ว่าด้วยเรื่องพาสปอร์ตของขวัญปีใหม่ "ทักษิณ"ของขวัญความแตกแยกของคนไทย!!!
อีกหนึ่งสถานการณ์ร้อนทางการเมืองที่ต้องเฝ้าติดตามอย่างใกล้ชิดก็คือการ เดินเครื่องของกระทรวงการต่างประเทศที่มีนายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพื่อช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ด้วยการคืนหนังสือเดินทาง
นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รมว.การต่างประเทศ ให้สัมภาษณ์ถึงกระแสข่าวการคืนหนังสือเดินทางให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ว่า ยังต้องรอการตรวจสอบรายละเอียดอีกเพียงเล็กน้อย โดยคาดว่าจะแล้วเสร็จในเร็ว ๆ นี้ โดยพาสปอร์ตที่จะนำไปให้กับพ.ต.ท.ทักษิณนั้นเป็นแบบบุคคลธรรมดา
รมว.การต่างประเทศ ไม่กลัวว่าจะมีการออกมาต่อต้านในเรื่องนี้ เพราะการออกพาสปอร์ตเป็นเรื่องข้อกฎหมาย และเป็นอำนาจของ รมว.การต่างประเทศที่ต้องปฏิบัติตามระเบียบกฎเกณฑ์
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี บอกว่ายังไม่ทราบข้อมูล เพราะเป็นเรื่องของทางกระทรวงต่างประเทศเป็นผู้พิจารณา
“วันนี้ตนมุ่งเน้นในเรื่องการ แก้ไขปัญหาให้พี่น้องประชาชนมากกว่า แต่ทุกอย่างก็ขอให้ทำภายใต้กรอบกติกา ยึดหลักนิติธรรมความเสมอภาคและถูกต้องตามกฎหมาย ตนขอยืนยันตามเจตนารมณ์เดิมว่ารัฐบาลไม่เลือกปฏิบัติ และก็ไม่เลือกที่จะคิดแก้แค้น แต่จะแก้ไข เพื่อที่จะนำบ้านเมืองไปสู่ความสามัคคีปรองดอง "ยืนยันว่าดิฉันไม่ได้เข้าไปยุ่งเกี่ยวเป็นหน้าที่ของรมว.ต่างประเทศ และเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง ในการพิจารณาตามความเหมาะสม"
นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แสดงความคิดเห็นถึงเรื่องนี้ว่า รัฐบาลพยายามจะทำให้เห็นว่าเรื่องนี้สำคัญกว่าการฟื้นฟูน้ำท่วมหรือไม่โดย เฉพาะในช่วงการฟื้นฟูหลังน้ำลด ภาคธุรกิจต้องการความเชื่อมั่นแต่รัฐบาลกลับซ้ำเติมด้วยการหยิบยกเรื่องที่ เป็นปัญหาอยู่ตลอดเวลา ทำให้ตนไม่เข้าใจว่ารัฐบาลต้องการอะไร
นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน กล่าวว่า หากมีการคืนพาสปอร์ตให้บุคคลที่ยังมีหมายศาลและยังมีคดีติดตัว ก็จะฟ้องร้องดำเนินคดีกับ รมว.ต่างประเทศเพราะถือว่าเป็นเรื่องผิดกฎหมาย
ก่อนหน้านี้พ.ต.ท.ทักษิณ มีหนังสือเดินทางอยู่ 2 ฉบับคือ พาสปอร์ตแบบธรรมดา หน้าปกสีเลือดหมู และพาสปอร์ตแดง หน้าปกสีแดงที่ได้รับมาจากดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี
สมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์โดยกระทรวงการต่างประเทศได้เพิกถอนพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ตั้งแต่วันที่ 12 เมษายน 2552 โดยเป็นไปตามระเบียบของกระทรวงการต่างประเทศว่าด้วยการออกหนังสือเดินทาง พ.ศ.2548 การยกเลิกหนังสือเดินทาง ข้อ 23 (7) ซึ่งระบุว่า สามารถยกเลิกและเรียกคืนหนังสือเดินทางได้ โดยมีนายกษิต ภิรมย์ รัฐมนตรีต่างประเทศในขณะนั้นเป็นผู้ลงนาม
การยกเลิกพาสปอร์ตของ พ.ต.ท.ทักษิณ ได้อ้างเหตุผลที่ว่า รัฐบาลสามารถยกเลิก หรือถอนหนังสือเดินทางสำหรับบุคคลที่ทำความเสียหายให้กับประเทศได้ ซึ่งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นที่พัทยา จ.ชลบุรี กรณีกลุ่มเสื้อแดงบุกเข้าโรงแรมรอยัล คลิฟ บีช จนต้องยกเลิกการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนและประเทศคู่เจรจา เมื่อวันที่ 11 เมษายน 2552 เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้รัฐบาลตัดสินใจถอนหนังสือเดินทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ
อย่างไรก็ตามแม้พ.ต.ท.ทักษิณจะถูกยกเลิกพาสปอร์ตไปตั้งแต่ปี 2552 แต่ในรอบ 2 ปีที่ผ่านกลับปรากฎภาพการเดินทางไปประเทศต่างๆอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ก็เป็นเพราะพ.ต.ท.ทักษิณได้ใช้วิธีการเปลี่ยนชื่อและถือสัญชาติอื่น เพื่ออาศัยเป็นช่องทางการเดินทางเข้าประเทศต่างๆ
ยกตัวอย่างเช่นการเข้าไปลงทุนในประเทศมอนเต เนโกร เพื่อแลกกับสัญชาติใหม่ เพื่อให้ได้สิทธิเซงเก้นวีซ่าเพื่อเดินทางไปยังประเทศสมาชิกในภาคพื้นยุบโรป รวมไปถึงการใช้ชื่อที่ 2 ว่า มิสเตอร์ซีเนกร้า ในการเดินทางเยือนประเทศต่างๆ
และนับตั้งแต่รัฐบาลพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ความพยายามที่จะช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการคืนหนังสือเดินทางก็ปรากฎขึ้น ตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มแถลงนโยบายต่อสภาด้วยซ้ำ
โดยเฉพาะการตั้งข้อสังเกตจากสังคมถึงโฉมหน้า รัฐมนตรีต่างประเทศว่าถูกคัดเลือกมาจากความเหมาะสมหรือว่าเป็นเพราะมีความ ใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณเป็นพิเศษในฐานะญาติห่างๆ ...หากจำกันได้ทันทีที่นายสุรพงษ์เข้ารับตำแหน่งรัฐมนตรีต่างประเทศ ก็ปรากฎข่าวสารว่า มีกระบวนการพิจารณาคืนพาสปอร์ตให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ
ต่อด้วยการที่รัฐมนตรีว่าการกระต่างประเทศเชิญทูตญี่ปุ่นเข้าพบ ซึ่งหลังจากนั้นไม่กี่วันพ.ต.ท.ทักษิณก็ได้รับการตอบรับให้เดินทางเข้า ญี่ปุ่น ซึ่งในเวลาต่อมาได้รับการเปิดเผยจากรัฐบาลญี่ปุ่นว่ารัฐบาลไทยเป็นฝ่ายร้อง ขอให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าญี่ปุ่นขณะที่นายสุรพงษ์เองก็ได้ยอมรับกับสื่อมวลชน เมื่อวันที่ 15 สิงหาคมว่า ได้เชิญทูตญี่ปุ่นเข้าพบเพื่อหารือถึงการออกวีซ่าให้พ.ต.ท.ทักษิณเข้าฯปุ่น ท่ามกลางการตั้งคำถามของคนไทยทั้งประเทศว่า แทนที่รัฐบาลจะติดตามจับกุมตัวพ.ต.ท.ทักษิณในฐานะนักโทษหลบหนีคดี แต่กลับส่งเสริมสนับสนุนให้เข้าประเทศญี่ปุ่น เข้าข่ายการละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 157
ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อวันที่ 9 กันยายน ในโอกาสที่นายสุรพงษ์พบปะกับบรรดาสื่อมวลชนประจำกระทรวงการต่างประเทศ ก็ได้พูดถึงเรื่องพาสปอร์ตแดงอย่างมีนัยยะสำคัญว่าตอนนี้ยังไม่สามารถทำได้ แต่ถ้าการขอพระราชทานอภัยโทษเสร็จสิ้นแล้วผลปรากฏว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ได้รับพระราชทานอภัยโทษ หรือถือว่าไม่มีความผิดแล้ว และในระเบียบระบุว่าอดีตนายกฯและรัฐมนตรีว่าการสามารถถือพาสปอร์ตสีแดงได้ ดังนั้นรัฐบาลชุดนี้ก็อาจเป็นไปได้ที่จะพิจารณาคืนพาสปอร์ตสีแดงให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ต่อไป
ด้วยการลำดับเรื่องราวและ สถานการณ์ที่เกิดขึ้น จึงไม่อาจปฎิเสธได้เลยว่า รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศได้ใช้ความพยายามอย่างหนักและต่อเนื่อง เพื่อที่จะช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ และเป็นอีกหนึ่งสถานการณ์ที่ต้องจับตามองอย่างใกล้ชิดว่าจะเป็นการจุดชนวน ความแตกแยกให้เกิดขึ้นอีกเรื่องหนึ่งหรือไม่ทั้งที่เรื่องพรรค์นี้ ไม่ว่าจะเป็นพระราชกฤษฎีกาขออภัยโทษ พระราชบัญญัตินิรโทษกรรม และอีกมากมายที่เกี่ยวข้องกับการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ล้วนนำพาไปสู่ความแตกแยกของคนในชาติ แต่รัฐบาลก็ยังคงดึงดันที่จะให้เกิดขึ้น ทั้งที่ประกาศปาวๆว่าจะปรองดอง ซึ่งเป็นวิธีคิดและการกระทำที่ขัดแย้งกันอย่างสิ้นเชิงการคืนพาสปอร์ตหรือ หนังสือเดินทางให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ เป็นการสะท้อนให้เห็นอย่างชัดเจนว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์มีจุดยืนทางการเมืองอัน แน่วแน่อย่างหนึ่งก็คือการช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนั่นเอง
สำนักข่าวทีนิวส์
"สุรพงษ์" ลั่นมีอำนาจเต็มให้พาสปอร์ต"นช.แม้ว" ไม่เกี่ยวนายกฯ ย้ำ"ทักษิณ"เดินทางจ้อต่างประเทศไม่เป็นภัยต่อประเทศไทย เหน็บฝ่ายค้านมัวตามล่า"แม้ว"จนมองหน้าปท.สมาชิกไม่ติด จำอวดสู้ตนไม่ได้ไม่ทะเลาะเบาะแว้งจนเปิดด่านแม่สอดได้