บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

'นิติราษฎร์' เหยื่ออันโอชะ เข้าทางพวกกระหาย 'การเมืองข้างถนน'

 

Pic_236450 จากที่ทำท่าจะกลายเป็นไฟป่าลามทุ่งขนาดใหญ่ ก็กลายเป็นได้เพียงไฟไหม้ฟางเท่านั้น กับกลุ่มนักวิชาการกลุ่มมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ‘คณะนิติราษฎร์’ มาโถมใหญ่แล้วไปด้วยเพียงวูบเดียว ไม่ใช่ว่าจะกลายเป็นเรื่องที่จุดไม่ติด เพียงแต่หันไปทางไหนก็เจอแต่สหบาทาทางความคิดแตะเบรกกันตัวโกร่ง ไม่เล่นด้วยกับข้อเสนอที่ดูแล้วจะสุดโต่ง และอาจจะเข้าขั้นว่าพิสดาร ถึงขนาดมีผู้ใหญ่ในรัฐบาลบางคน ออกมาพ่นใส่ดังๆ ว่าพวก ‘กินยาผิดซอง!’ เพื่อเป็นการกระตุกความคึกคะนองกันเบาๆ

ลุกลาม บานปลายเป็นศึกร่วมสายสถาบันของนักวิชาการมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (และการเมือง) อีก เมื่อการออกมาประกาศอธิการบดีไม่ยอมให้ใช้ดินแดนศักดิ์สิทธิ์และประชาธิปไตย ที่เรียกว่าบริสุทธิ์ เป็นที่กระทำชำเราทางการเมือง เสมือนเอาหลังพิงสถาบัน แต่ใช้คราบของความเป็นวิชาการเข้าห้ำหั่นคู่ต่อสู้ทางหลักความคิด เพราะกลัวว่าเหตุการณ์จะบานปลาย กลายเป็นศึกนองเลือดย้อนอดีตขึ้นมาอีก ถือว่าเป็นการแตะเบรกรอบสองแบบลงไม้ลงมือขั้นรุนแรงกันเลยทีเดียว และตามมาด้วยกระแสอีกมากมาย กลายเป็นเรื่องที่ตอนแรกจะทะเลาะกันเรื่องความคิดและหลักการ กลายร่างเป็นว่าทะเลาะกันเรื่องแย่งชิง-ห้ามปรามการใช้พื้นที่แค่นั้นเอง โอละพ่อ!

ย้อน กลับไปที่ต้นเรื่องทำไฟลามทุ่ง จากกลุ่มไม้ขีดก้านเดียว ก็คือนักวิชาการนิติราษฎร์ เชื่อว่าหลายคนที่ออกมาเคลื่อนไหวในประเด็นนี้ย่อมเป็นผู้ที่ศึกษากฎหมาย อย่างแตกฉานและลึกซึ้ง เพราะประเด็นเดียวทำให้สะเทือนวงการไปถึงรัฐบาลและลามไปยันสำนักงานตำรวจ แห่งชาติยันกองทัพไทย

แค่นักวิชาการกลุ่มเดียวออกความเห็นกันใน เรื่องบางเรื่อง ไม่มีอาวุธศาสตราอะไรไปต่อสู้กับเขาได้ แม้อำนาจแค่ว่าจะบังคับให้ใครมานั่งฟังความคิดเห็นของตน ก็ลำบากมากพอทนอยู่แล้ว แต่หลายฝ่ายที่ออกมากระทำร่วมยำสหบาทาใส่กลุ่มนักวิชาการกลุ่มนี้ก็ไม่ยั้ง มือยั้งเท้า ประเคนเข้ามาใส่ทั้งหมัดทั้งศอก จึงเกิดคำถามเล็กๆ แต่ยิ่งใหญ่ว่า เพียงจะออกความคิดเห็นแค่นั้น แต่ดันเกิดปรากฏการณ์เสียขนาดนี้ ถามว่าประเทศนี้ยังให้โอกาสประชาชนมีปากมีเสียงได้หรือไม่อย่างไร

หาก มองอย่างมีสติและไม่นอกกรอบมากนัก จะเห็นได้ว่ากลุ่มนิติราษฎร์เอง ก็กลายเป็นเหยื่อทางการเมืองโดยไม่รู้ตัว หลายกลุ่มพยายามจุดกระแสใส่ตัวของกลุ่มนักวิชาการเหล่านี้ด้วยหลายแนวทาง เพื่อที่จะร่วมใช้ประโยชน์จากกลุ่มนิติราษฎร์ไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง เหมือนกับหัวขบวนแกนนำเสื้อแดงที่ออกมาระบุนิติราษฎร์เปรียบว่าการเคลื่อน ไหวของกลุ่มคนเสื้อแดงคือมี 2 แขน ซึ่งแขนขวาเป็นกลุ่มคนเสื้อแดง ส่วนแขนซ้ายคือกลุ่มนิติราษฎร์ ยุทธศาสตร์ทั้ง 2 ขา 2 แขน จะทำให้กลุ่มคนเสื้อแดงแข็งแกร่งขึ้น เพราะมีเป้าหมายเดียวกัน

..แต่นายวรเจตน์ ภาคีรัตน์ หัวหอกแกนนำนิติราษฎร์ ก็ออกมาประกาศว่า “ผมไปรวมกลุ่มกับคุณเมื่อไหร่ คุณจะทำอะไรก็ไม่เกี่ยวกับผม”

เป็น อันจบสิ้นกันไปกับความสัมพันธ์กับกลุ่มเสื้อแดงที่หวังจะรวมมวลชน ดึงนักวิชาการมาสร้างความเชื่อถือและโยนเผือกร้อนความดีความชอบทั้งหมดเข้า กลุ่มตนเอง โดยให้คิดว่ากลุ่มนิติราษฎร์ก็คือเสื้อแดงนั่นเอง
อีกกลุ่ม ที่พยายามจุดกระแสจากขั้วตรงข้ามโดยพยายามยัดเยียดบางข้อหา เพื่อสร้างประเด็นเรียกมวลชนขึ้นมาอีกครั้ง ผลักไสให้คนที่มีแนวคิดที่เป็นขั้วตรงข้ามให้ไปยืนในจุดที่เป็นศัตรูทางความ คิด แล้วนำมาต่อยอดสร้างมวลชนจุดประกาย ใส่อคติ แถมโปรโมชั่นด้วยข้อหาสุดฮิตที่เกี่ยวพันกับ ม.112 ว่าเป็นขบวนการอย่างใดอย่างหนึ่งตามเคย ทั้งที่ในข้อเท็จจริงก็ยังพิสูจน์ไม่ได้เช่นกันเสมือนการตีปิงปองทางวาทกรรม ตามหลักวิชาการกันไปมา ดั่งการละเล่นตีกินทางการเมืองเสียแล้ว

ทั้ง นี้ ได้มีเสียงเล็ดลอดออกมาจากแนวหน้ากลุ่มนิติราษฎร์แบบเสียอารมณ์ว่า การเดิมเกมนี้เพียงแต่นำข้อเสนอเพียงแต่เป็นเรื่องของวิชาการ เพื่อนำไปต่อยอดทางความคิด แต่กลับโดนโจมตีจากสื่อกระแสหลักกระแสรอง เบี่ยงประเด็นจากการเกิดอคติให้วุ่นวายจนเกินขอบเขต เช่นการตั้งคำถามแบบไม่ศึกษาข้อมูลรวบรัดตัดความ ไม่อ่านเนื้อหาที่พอเพียง ซึ่งหากเป็นสื่อที่แท้จริงต้องมีข้อมูลอย่างครบถ้วน โดยกลุ่มยินดีให้วิพากษ์ถ้านำข้อมูลวิชาการมาคุยให้แตกฉาน สะท้อนความคิดให้มุมมองทางความรู้ให้กับประชาชน ไม่ใช่เป็นเพียงการเสนอเพื่อโจมตีกันและกันเท่านั้น แบบนี้ก็ไร้ประโยชน์ที่จะเคลื่อนไหวต่อไป รังแต่จะสร้างความแตกแยกเพราะการสื่อความหมายอย่างผิดๆ ถูกๆ

เสียง เล็ดลอดพรายกระซิบยังบอกอีกว่า ที่ผ่านมาแม้จะโดนถาโถมสักเท่าไหร่ แต่ในการคุยกันของกลุ่มนิติราษฎร์ ไม่ได้หวั่นไหว เพียงแต่แปลกใจจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ทั้งข่มขู่ ด่าทอ ให้ร้าย และการอาฆาต ไม่ได้ทำให้เกิดการสั่นคลอน แต่ป็นห่วงในการนำเสนอของสื่อที่ทำให้เกิดการแตกแยก และรู้สึกโกรธที่ผู้ที่ทำหน้าที่กลับไม่ศึกษาการหาข้อมูลก่อนนำไปถามผู้ เกี่ยวข้อง จึงทำให้เหตุการณ์บานปลายเช่นนี้ โดยในครั้งต่อไปการจะเคลื่อนไหวหรือเสนออะไรนั้น จะต้องทบทวนให้ลึกซึ้งก่อนเพราะกลัวกับการเบี่ยงประเด็นที่เกิดขึ้น

...เป็น อันว่าต้องให้สังคมตัดสินกับเหตุการณ์นิติราษฎร์ที่เคลื่อนไหวในครั้งนี้ ว่าเกิดจากแนวคิดที่หลายๆ คน กล่าวว่าเป็นข้อเสนอที่ไปไกลและออกทะเลสุดโต่ง ยากเกินจะนำมาปรับใช้ให้เข้ากับบริบทของคนไทย หรือเป็นเพียงข้อเสนอที่อยากให้เกิดความเปลี่ยนแปลงก็ตาม แต่สาระที่ได้จากเรื่องนี้ คือการที่ถูกหยิบยกมาพิจารณาในเรื่อง ‘การทำความเข้าใจในเนื้อหาของประเด็น’ ก่อนที่จะเคลื่อนไหวหรือออกแอ็กชั่นบนเวทีการเมือง บางครั้งฝ่ายที่ต้องการจะเกี่ยวข้อง ก็ควรที่จะต้องเก็บข้อมูลไว้ในหัวกันเสียบ้าง มิใช่สักแต่ว่าจะชวนไปเดินขบวนบนท้องถนนท่าเดียว.

 

 

วิชาการ วิชามาร การเมืองแอบแฝง ถึงเวลา'ธรรมศาสตร์'พิสูจน์ตัวเอง

Pic_235549 จะกลายเป็นเรื่องโอละพ่อหรือไม่ เมื่อน้ำผึ้งหยดเดียวแต่หยดใหญ่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ หลังจากกลุ่มนิติราษฎร์ได้ทำการใช้พื้นที่เพื่อถกประเด็นเสวนาเรื่องวิชาการ มาอย่างต่อเนื่อง แม้ในตอนแรกดูว่าไม่น่าจะมีอะไร แต่กลับกลายเป็นประเด็นร้อนขึ้นมาทันที หลังจากไปแตะโดนมาตรา 112 ซึ่งมีความเกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย ถึงเรื่องเรื่องดังกล่าวจะเป็นการพูดคุยในเชิงวิชาการก็ตาม แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่า เรื่องนั้นเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอย่างมากในสังคมไทย ที่มีขนบธรรมเนียมและประวัติศาสตร์มาอย่างยาวนาน

อย่างไรก็ตาม กลุ่มนิติราษฎร์ได้ออกมาระบุว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการเสนอเพื่อต่อยอดทางความคิด และควรตกผลึกให้สังคมได้คิดต่อออกแขนงไปสู่มวลชน แต่สำหรับคนในสังคมบางกลุ่มนั้น เขาอาจจะมองไม่เห็นว่า เรื่องที่ทำการเสนอของนิติราษฎร์ ไม่ใช่วิชาการและมีแนวโน้มว่าเป็นการอิงการเมืองมากกว่า ทำให้ตกผลึกทางความคิด และที่รับไม่ได้คือความเห็นที่หมิ่นเหม่ว่าสุ่มเสี่ยง จึงยอมไม่ได้ที่จะให้นิติราษฎร์ได้เคลื่อนไหวในการใช้พื้นที่กระจายความคิด อันแยบยล และมีความเคลือบแคลงสงสัยในเป้าหมายที่แท้จริงตามที่คนกลุ่มหนึ่งคิด

แม้ ก่อนหน้านี้ กลุ่มนิติราษฎร์จะออกมาเคลื่อนไหวได้อย่างสะดวกโยธิน โดยใช้สถานที่ของมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นโต๊ะแถลง เหตุหนึ่งก็เพราะว่าอาจารย์และผู้ที่เสนอแนวทางต่างๆ นั้น มาจากคณะนิติศาสตร์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จึงเป็นการสะดวกที่จะใช้พื้นที่ของตนเอง ในการแสดงความคิดเห็น เมื่อมีการแถลงการณ์ออกมาหลายครั้ง ในการเคลื่อนไหวทุกครั้ง จึงทำให้บุคคลภายนอกนั้นไม่เข้าใจ จะคิดว่าการเคลื่อนไหวดังกล่าว เกิดจากธรรมศาสตร์ทั้งหมด ที่สุดแล้วกลุ่มที่ไม่สามารถทนได้ในพวกเดียวกันเอง จึงต้องลุกขึ้นมาเพื่อประกาศเจตนารมณ์ในการที่มีความคิดเห็นสวนทาง และบอกผ่านการตรงๆ ว่าไม่เห็นด้วยในครั้งนี้ เช่นการเคลื่อนไหวของกลุ่ม ‘วารสารฯ ต้านนิติราษฎร์’ หรือขยายความว่าเป็นกลุ่มของศิษย์เก่าคณะวารสารศาสตร์และการสื่อสารสารมวลชน มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์นั้นเอง

หลัง จากเกิดกระแสก่อนการรับลูกของอธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จะออกมามาเบรกเกม เพื่อไม่ให้มีการใช้มหาวิทยาลัยเป็นเครื่องมือสร้างความชอบธรรมให้กับกลุ่ม บางกลุ่ม ที่ต้องการความมุ่งหวังทางการเมือง เพราะเชื่อว่าเป็นการตัดปัญหาที่จะเกิดขึ้นในระยะยาว ที่อาจจะมีความหวั่นเกรงว่าจะลุกลาม และเกิดการควบคุมไม่ได้ก็ตาม ทำให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์เป็นวงกว้าง ว่านี่จะถือว่าเป็นการปิดกั้นทางความคิดหรือไม่อย่างไร เพราะธรรมศาสตร์นั้น ได้ชื่อว่ามีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว แต่คณะผู้บริหารมหาวิทยาลัยกลับออกกฎที่ปิดกั้นการแสดงความคิดเห็นของ บุคลากรตนเองเสียนี่

เชื่ออย่างสุจริตใจว่า กลุ่มนิติราษฎร์เองนั้น มีการเสนออะไรก็แล้วแต่ หลายอย่างเพื่อการเปลี่ยนแปลงไปสู่หนทางที่ดีขึ้นในสังคม แต่ก็ต้องยอมรับว่าบาง ‘ข้อเสนอ’ ก็สุดแสนจะเกินทำใจรับได้ของคนในสังคม และเมื่อถึงจุดหนึ่งที่เกิดทนไม่ไหว ทำให้เหตุการณ์รุนแรงเพราะทั้งสองฝ่าย ต่างมีความสุดโต่งกันทั้งคู่ อยากถามว่าจะรับผิดชอบไหวหรือไม่? กับการกระทำที่ได้ทำลงไป จะเอาอยู่หรือไม่ถ้าหากเกิดเหตุการณ์ไม่คาดฝัน

ใน ฐานะคนกลางอย่างอธิการบดี ย่อมเล็งเห็นว่ากรณีดังกล่าว ควรจะตัดไฟเสียแต่ต้นลม แต่กระนั้นก็ทำให้โดนมองว่า เป็นเกมการเมืองที่ถูกสั่งมาให้หยุดพวกนิติราษฎร์เช่นกัน เมื่อมองได้สองมุม แต่ละกลุ่มก็มีมุมในการเลือกมองของตน ย่อมทำให้ความเห็นไม่ตรงกันบังเกิดขึ้น ปัญหาไม่ได้เกิดขึ้นว่า กรณีดังกล่าวเป็นการปิดกั้นเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือไม่ แต่มันกลายเป็นประเด็นทางการเมืองไปแล้วอย่างปฏิเสธไม่ได้ จึงทำให้ธรรมศาสตร์ในวันนี้เกิดเสน่ห์ขึ้นอีกครั้ง ของความประชาธิปไตยที่เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยก็ได้ ในการนำเสนอของแต่ละคนที่เป็นศิษย์ก้นกฏิของลูกหลาน นายปรีดี พนมยงค์ ผู้ก่อตั้งธรรมศาสตร์และการเมืองเอง

ณ ขณะนี้ ธรรมศาสตร์กำลังต้องพิสูจน์ตัวเอง ในการสนับสนุนแนวทางตามประชาธิปไตย ว่าจะสามารถจัดการระบบภายในตัวเองได้หรือไม่ กับการแสดงความคิดเห็นที่ขัดกันเอง แต่อย่างหนึ่งที่น่ายอมรับ คือ การกล้าลุกขึ้นมาสู้กันแบบปัญญาชนของแต่ละกลุ่มในสถาบันเดียวกัน โดยไม่คิดจะใช้ความรุนแรงนำมวลชนกดดัน และธรรมศาสตร์จะสามารถจัดการให้ความจำกัดความอย่างไร กับการเดินตามเจตจำนงในการแยกแยะคำว่า ‘วิชาการต่อยอดความคิด’ หรือเป็น ‘เกมการเมืองแอบแฝง’กับการเคลื่อนไหวของหลายๆกลุ่มของภายในองค์กรของตนเอง.

เบื้องหลังธรรมศาสตร์ ตามรอยภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพฯ เพียงภาพพ่อ ก็ปีติ

  by อะหนึ่ง ,

ใน วันที่ไปชมนิทรรศการภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี “อุปบัติ ณ โลกี" BORN TO THIS WORLD ณ หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (bacc)
(นิทรรศการยังจัดแสดงถึงวันที่ ๑๙ ก.พ. ๕๕ ชมภาพเพิ่มเติม : www.oknation.net/blog/mindhand/2012/01/17/entry-2
)
สะดุดตากับภาพนี้เป็นพิเศษ! ด้วยเหตุว่าผมเคยไปนั่งชมอยู่บ่อยครั้ง ด้วยความปีติ ในช่วงของการไปรักษาดวงตา ที่โรงพยาบาลศิริราช ก่อนกลับบ้านก็แวะไปนั่ง พักกาย...พักใจ ที่ศาลาท่าน้ำ ชมทิวทัศน์ริมฝั่งแม่น้ำเจ้าพระยา มองไปฝั่งตรงข้าม มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ ประดับป้าย ทรงพระเจริญ พร้อมภาพพิมพ์ขนาดใหญ่ พระบรมฉายาลักษณ์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในฉลองพระองค์ชุดครุยปริญญาฯ โดดเด่นเห็นแต่ไกล จากฝั่งโรงพยาบาลศิริราช บันทึกภาพเก็บไว้มานำเสนอในโครงการ เพียงภาพพ่อ ก็ปีติ
ชอบแล้ว ยังสงสัยต่อ สมเด็จพระเทพฯ ทรงถ่ายภาพนี้จากจุดไหนนะ องค์ประกอบภาพสวยงาม นำสายตาด้วยแสงเงากระทบ จะทรงถ่ายจากศาลาท่าน้ำ ตอนที่ตามเสด็จฯ ในหลวง ลงมาพักผ่อนพระอิริยาบท เพื่อทอดพระเนตรระดับน้ำในแม่น้ำเจ้าพระยา เมื่อตอนเกิด มหาอุทกภัย น้ำท่วมเมื่อปลายปี ๒๕๕๔ หรือจะทรงถ่ายจากมุมสูง ณ ห้องประทับรักษาพระประชวรของในหลวง อาคารเฉลิมพระเกียรติ โรงพยาบาลศิริราช เพราะในภาพมองเห็นไกล ถึงสนามฟุตบอลใน ม.ธรรมศาสตร์ ด้วย
ภาพ ที่ผมถ่ายเก็บไว้ ด้วยกล้องตัวเล็กๆ ไม่สามารถซูมได้ไกล เก็บแสงเงา ไม่งดงามคมชัด เหมือนในภาพถ่ายฝีพระหัตถ์ สมเด็จพระเทพฯ นะครับ มีเรือตรวจการของทหารเรือจอดเทียบท่าบังอยู่ด้วย ช่วงนั้นดวงตาก็ยังเบลอๆยิ่งโฟกัสไม่ชัดกันไปใหญ่ แต่ในดวงใจ มองเห็นภาพของ ในหลวง สง่างามในฉลองพระองค์ชุดครุยปริญญาฯ ซึ่งไม่ค่อยพบเห็นบ่อยนัก
ทำให้สงสัยต่ออีกว่าภาพ พระบรมฉายาลักษณ์ ชุดนี้ทรงถ่ายเมื่อปี พ.ศ. อะไร ภาพประดับอยู่ที่ คณะศิลปศาสตร์ คงต้องเกี่ยวเนื่องในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทูลเกล้าฯถวายปริญญา ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ คณะใดคณะหนึ่งแด่ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว *หากท่านผู้อ่านที่รู้ที่มา ช่วยแจ้งด้วยนะครับ โดยเฉพาะชาวธรรมศาสตร์ ลูกแม่โดม ผมยั้งเสิร์ทหาที่มาของภาพไม่เจอ แต่เจอภาพฯต้นแบบ ที่คมชัดสวยงาม ขออัญเชิญ มาให้ชมกันครับ
ท ร ง พ ร ะ เ จ ริ ญ(อ้างอิง ขอบคุณ : ภาพจากเว็ปบอร์ด www.liverpoolthailand.com/forum/index.php?showtopic=32735)
พระบรมฉายาลักษณ์ (พระราชทาน) ฉลองพระองค์ชุดครุยปริญญาฯ ในโอกาสที่
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทูลเกล้าฯถวายปริญญา
เศรษฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และปริญญา รัฐศาสตร์ดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์
แด่สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ พระบรมราชินีนาถ ในพิธีพระราชทานปริญญาบัตรแก่ผู้สำเร็จการศึกษา
ประจำปีการศึกษา ๒๕๒๔ (วันพฤหัสบดี ที่ ๔ สิงหาคม ๒๕๒๕)
(*เพิ่มเติมที่มาของภาพจากคำแนะนำ "ลูกแม่โดม" ความคิดเห็นที่ 7,9 : glioraguzi : ขอบคุณครับ:-)อ้างอิง : www.ohmpps.go.th/documents/BP2525025/txt/T0036_0001.txt
*ตามรอยภาพ "พ่อ" เพิ่มเติม จากฉลองพระองค์ชุดครุยปริญญาฯ...ธรรมศาสตร์ ได้ทูลเกล้าฯถวายปริญญาแด่ ในหลวง มาแล้วหลายๆสาขาวิชา และในพิธีพระราชทานปริญญาบัตร ประจำปีการศึกษา ๒๕๔๑ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ทูลเกล้าฯถวายปริญญา นิติศาสตรดุษฎีบัณฑิตกิตติมศักดิ์ แด่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีพิธีทูลเกล้าฯ ถวายในวันที่ ๒๘ ตุลาคม ๒๕๔๒ ณ หอประชุมใหญ่ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ * ขอนำส่วนหนึ่งในคำ สดุดีพระเกียรติคุณฯ มาให้อ่านกันครับ...
" พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระอัจฉริยภาพอันสูงส่ง ทางด้านทฤษฎีกฎหมาย เป็นที่ประจักษ์แจ้งในบรรดานักนิติศาสตร์ทั้งมวล โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในสาขาสังคมวิทยากฎหมาย พระองค์มิได้ทรงศึกษากฎหมายแบบแยกส่วน หากแต่ทรงศึกษาพิเคราะห์กฎหมายอย่างเป็นองค์รวม กล่าวคือ ทรงพิจารณากฎหมาย ในฐานะที่เป็นปรากฏการณ์อย่างหนึ่งในสังคม มิได้ทรงมองกฎหมาย ในลักษณะที่เป็นเอกเทศ หรือแปลกแยกจากสังคม
อย่าง ไรก็ตาม ได้ทรงย้ำว่า กฎหมายกับความยุติธรรมนั้น มิใช่สิ่งเดียวกัน กฎหมายมีสถานะเป็นเพียงปัจจัย หรือเครื่องมือ ที่ใช้อำนวยความยุติธรรมให้บังเกิดแก่คู่กรณี หรือแก่สังคมเท่านั้น ความยุติธรรมที่แท้จริง อยู่ที่จิตสำนึกของผู้ใช้กฎหมายว่า จะใช้กฎหมายให้เกิดความเป็นธรรมได้เพียงใด นักกฎหมายควรเปิดรับความจริง และพิจารณา ข้อเท็จจริงต่างๆ ด้วยใจเป็นธรรม และใช้กฎหมายเป็นเครื่องมือในการสร้างความยุติธรรม ให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง...ฯ
นอก จากนี้ ในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงยึดมั่นในหลักการแห่งนิติรัฐ อย่างเคร่งครัด ทรงดำรงมั่นอยู่ในหลักทศพิศราชธรรม และโบราณราชนิติประเพณีตลอดมา สมดังพระปฐมบรมราชโองการที่ว่า จะทรงปกครองแผ่นดินโดยธรรม เพื่อประโยชน์สุข แห่งมหาชนชาวสยาม...ฯ
(อ้างอิง อ่านต่อ คำประกาศเกียรติคุณฯ :
www.tu.ac.th/news/1999/10/15.htm
)
วันนี้...กระแส(สื่อ)สังคม รวมทั้งประชาคมชาวธรรมศาสตร์เอง ต่างมุ่งไปสนใจอยู่เบื้องหน้าหอประชุมฯ ผมขอนำภาพเบื้องหลัง ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ มาให้ชม ภาพแห่งความปีติ ที่สามารถมองเห็นได้ไกล จากฝั่งโรงพยาบาลศิริราช ที่ยังคงมีอยู่ในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ เคียงคู่ กับสิทธิ เสรีภาพ ในการแสดงออก
ตามกรอบ ตามควร...

ดัง ที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมองเห็น ความแตกต่างทางความคิด ของสังคมไทย มาตั้งแต่ปี พ.ศ. ๒๕๑๔ ดังพระราชดำรัส ตอนหนึ่งว่า...

" การมีเสรีภาพนั้นเป็นของที่ดีอย่างยิ่ง แต่เมื่อจะใช้จำเป็นจะต้องใช้ด้วยความระมัดระวัง และความรับผิดชอบ มิให้ล่วงละเมิดเสรีภาพของผู้อื่นที่เขามีอยู่เท่าเทียมกัน ทั้งมิให้กระทบกระเทือนถึงสวัสดิภาพ และความปกติสุขของส่วนรวมด้วย "
พระราชดำรัส ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระราชทานแก่ผู้บังคับบัญชาลูกเสือ (๙ กรกฎาคม ๒๕๑๔)
(หมายเหตุ : เอ็นทรี่นี้มุ่งนำเสนอบทความตามรอย...เพียงภาพพ่อ ก็ปีติ
อาจมีเนื้อหาที่เกี่ยวเนื่องกับประเด็นความคิดเห็นใน ม.ธรรมศาสตร์ บ้างนะครับ
กรุณางดแสดงความคิดเห็น ในเชิงเปรียบเทียบกับคณะใดคณะหนึ่ง :-)
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง