บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เสธ.อ้าย ประกาศแช่แข็งประเทศไทย 5 ปี





โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย/ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
กระแสคัดค้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มมีให้เห็นเป็นระยะนับตั้งแต่ทำงานครบ 1 ปี โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่เริ่มพ่นพิษ กระทั่งถึงจุดที่เกิดแรงต้านนอกสภาจากการประกาศชุมนุมขับไล่รัฐบาลของ “กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม”
มีคำถามตามมามากถึง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ถึงเหตุผลในการชุมนุมวันอาทิตย์ที่ 28 ต.ค. ที่สนามม้านางเลิ้ง ท่ามกลางความแคลงใจว่าทหารเก่าผู้เคยเป็นกบฏ 26 มี.ค. 2520 ร่วมกับ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ กำลังเปิดประตูสู่การรัฐประหารหรือไม่
“คงไม่มีเวลาไหนเหมาะสมกว่าตอนนี้อีกแล้ว ยิ่งนานไปรัฐบาลยิ่งทำไม่ดีมากขึ้นๆ จนชาวบ้านเขาชินชา แต่อย่างว่าทุกอย่างจะเอาเร็วไม่ได้ ต้องมีปัจจัยหลายอย่างนะ” เหตุผลแรกจากปากนายทหารใหญ่ที่ให้ไว้กับโพสต์ทูเดย์
เสธ.อ้าย เล่าถึงการมาเป็นผู้นำองค์การพิทักษ์สยามว่า มาจาก นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มหลากสี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว.สรรหา พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด วรินทร์ เทียมจรัส อดีต สว. อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย และคนอื่นๆ อีก มาคุยกันที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
“พวกเขาไม่มีคนนำ เขาเลยขอให้ผมนำ ผมไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมต้องเป็นผม แต่พวกเขาบอกว่าเขาขาดแคลนคนนำประเทศไทย
...ผมถามกลับไปยังที่ประชุมว่า ผมบารมีถึงหรือไม่ มีความรู้ความสามารถหรือเปล่า มีประโยชน์ต่อกลุ่มหรือไม่ และคำตอบที่ได้รับคือ มี จึงตอบกลับไปตรงๆ ว่า ผมรับ เลยเป็นที่มาและกำเนิดกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม”
จัดตั้งองค์การเพื่อล้มรัฐบาลนี้โดยเฉพาะ?
เสธ.อ้าย ยืนยันเสียงแข็งว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าตอนเริ่มตั้งกลุ่มก็เพื่อเดินสายทำบุญประเทศ แต่หลังมาเห็นการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ว่าไม่ไหวจริงๆ จึงมาคิดกันต่อว่าจะทำอย่างไรเป็นที่มาของการชุมนุมครั้งนี้”
“การชุมนุมก็เพื่อนำเสนอข้อมูล 3 เรื่อง คือ 1.การปล่อยให้มีการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.รัฐบาลบริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพ และ 3.เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 3.การบริหารงานของรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ”
ประเด็นไหนที่มองว่ารัฐบาลไปต่อไม่ได้แล้ว?
“ผมว่าคอร์รัปชันก็เป็นมะเร็งร้ายนะสำหรับผมในฐานะนายทหารมหาดเล็กนะ ผมว่าเรื่องจาบจ้วงผมทนไม่ได้ ผมมันอาจจะคนรุ่นเก่า แต่เป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์ผู้ทรงคุณประเสริฐกับแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทำอะไรให้ราษฎรเดือดร้อนเลยนะ มีแต่ดูทุกข์สุขของประชาชน สร้างโน่นสร้างนี่ไปเยี่ยมเยียนราษฎรทุกหย่อมหญ้า ทุกอำเภอ ทุกตำบล โดยทรงไม่เห็นแก่ความยากลำบาก คิดโครงการต่างๆ ที่ดี โครงการน้ำ โครงการป่า โครงการเกษตร เยอะแยะไปหมด”
ด้านหนึ่ง พล.อ.บุญเลิศ ยอมรับถึงการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลว่า มีความยากลำบากและเหนื่อยมาก การเรียกคนเพื่อมาชุมนุมไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะติด วันที่ 28 ต.ค. จึงมีความสำคัญมาก ถ้ามวลชนมาน้อยทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าคนไม่เยอะแล้วเราจะบอกรัฐบาลได้อย่างไรว่ามีคนไม่ชอบท่าน
“ถ้าวันที่ 28 จุดไม่ติดผมก็เลิก ภาษามวยเขาเรียกว่าไม่มีราคา ขายไม่ได้เน่าแล้ว ของค้างคืนไม่น่าจะได้ จบเลยไม่มีราคาจะไปเดินเกมทำไม ขนาดสื่อมวลชนช่วยกันขนาดนี้ยังไม่มีคนมาจะไปเดินอะไรก็ต้องจบ”
จะไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างไร?
“ลำบากดิ ถ้าง่ายเขาก็ไล่กันไปหมด 15 ล้านเสียงของเขามันเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่รู้ว่าเลือกตั้งพวกท่านเปลี่ยนหีบมาหรือเปล่า ไปบีบบังคับราษฎรหรือเปล่า หรือท่านทำประชานิยมเขาชอบหรือเปล่า”
เมื่อถามถึงโมเดลข้อเสนอการแก้ไขปัญหาประเทศภายใต้สมมติฐานว่าไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์สำเร็จ เสธ.อ้าย ตอบว่า “เราก็จะมีคณะบุคคลขึ้นมาดูแล เหมือนเล่นบาสเกตบอล ถ้าทีมเกิดเพลี่ยงพล้ำก็ขอเวลานอกให้เอ็งหยุดเล่นกันสักพักได้ไหม 2-3 นาที ถ้าเป็นเวลาทางการเมืองก็อาจเป็น 1 ปี 2 ปี 3 ปี 5 ปีแล้วจากนั้นมาเลือกตั้งกันใหม่
...ถ้าปีเดียวแบบตอนปี 2549 ก็เจ๊งกันพอดี เดี๋ยวเขาก็แค่ไปหลบเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ระยะเวลาประมาณนี้ก็ถือว่าไม่มากไปไม่น้อยไป แต่เราต้องทำให้แข็งแรง”
แช่แข็งประเทศไทย?
“ถูก...หยุดและให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้”
ซักไปว่า คณะบุคคลที่ว่ามานี้หมายถึงรัฐบาลแห่งชาติใช่หรือไม่ แล้วจะมีที่มาอย่างไร เสธ.อ้าย บอกว่า ก็แล้วแต่จะเรียก แต่ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาดูแลบ้านเมือง เพราะลองนึกดูมีนักการเมืองคนไหนทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศบ้าง
“พูดง่ายๆ ก็เหมือนเป็นคณะปฏิวัติ แต่ปฏิวัติโดยประชาชนแทนที่จะเอาปืนไปจี้ให้เขาลงมาจากตำแหน่งแต่เป็นการเอาเป็นล้านไปบีบให้ลง ส่วนที่มาของคณะบุคคลก็อาจให้องค์กรวิชาชีพไปเลือกกัน เช่น ด้านสื่อมวลชนไปเลือกกันมา ด้านสาธารณสุขไปเลือกกันมา ด้านความมั่นคงไปเลือกกันมา เสนอชื่อกันเข้ามา เป็นต้น คณะบุคคลต้องมีจำนวนพอสมควร แต่ต้องไม่มากเกินไป ไม่งั้นมากหมอก็มากความ”
การสนทนาในประเด็นนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น พล.อ.บุญเลิศ เล่าต่อถึงภารกิจ 4 ข้อที่คณะบุคคลต้องทำภายใน 5 ปี ระหว่างมีอำนาจ คือ 1.การแก้รัฐธรรมนูญ 2.การเพิ่มการศึกษา 3.การเพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ 4.นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย เพื่อรับโทษตามกฎหมาย
เสธ.อ้าย อธิบายรายละเอียดแต่ละภารกิจว่า “อย่างรัฐธรรมนูญที่มีตั้ง 309 มาตรา ต้องทำให้มีมาตราน้อยๆ แต่ต้องชัดเจนและไปออกกฎหมายลูกแทน แต่ที่สำคัญต้องแก้เพื่อดูแลประชาชนให้ทั่วถึงสำคัญที่สุด
...จากนั้นต้องให้การศึกษาคนมากขึ้น และให้มีจรรยาบรรณ ศีลธรรม อบรมให้คนรู้จักผิดรู้จักถูก เพราะทุกวันนี้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีโดยเฉพาะนักการเมือง เพราะการเมืองปัจจุบัน คือ การใช้เงินไปเลือกตั้ง ท่านทราบไหม คนกว่าจะเป็นผู้แทนราษฎรจะต้องใช้เงินเท่าไร แค่ 20 ล้านบาทก็ลำบากแล้ว แล้วเขาจะเอาจากไหน เขาก็เอามาจากการทุจริต มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ส่วนการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น อาจถึงขั้นจำเป็นต้องแก้กฎหมายลงโทษการหมิ่นให้แรงขึ้น
“ต้องนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาลงโทษให้ได้ หรือเงินที่ได้มาไม่ถูกต้องก็ยึด ก็จบ...ที่ผ่านมาที่ทำไม่ได้ ก็เพราะพระเอกกลัวตาย ผู้ร้ายกลัวเจ็บ เขาก็ไม่ทำจริง หนังเรื่องนี้เลยไม่สนุก”

จากข้อเสนอในการปฏิรูปประเทศทั้งหมด เสธ.อ้าย บอกแบบมั่นใจว่า เป็นไปได้และประเทศจะไม่เกิดการชะงัก
“ก็เป็นไปได้ถ้าคนมาก เยอะ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ไปถึงตอนนั้น ขอคิดแค่วันที่ 28 ต.ค. ก่อนว่าจะมีคนมาขนาดไหน ถ้าไม่ถึงล้านก็ขอหลายๆ แสน ไม่งั้นเขาก็ไม่กลัว ท่านมีเงินหมื่นจะไปทำธุรกิจได้มั้ย มีเงินแสนก็ไม่ได้ มันก็ต้องมีมากกว่า
...เรื่องประเทศชะงักไม่มี พูดกันไปเอง ประเทศไหนชะงัก ชะงักเรื่องอะไร มันไม่ได้มีชะงัก แต่คำว่าต่างชาติไม่เห็นด้วย คือ สื่อช่วยกันพูด หรือนักการเมืองมาบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่จริงๆ ไม่มี พม่าก็ไม่เห็นชะงัก”
เสธ.อ้าย ทิ้งท้ายเสียงดังฟังชัดเพื่อตอบคำถามที่หลายคนคาใจว่า แนวทางนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกประชาธิปไตยมันมีที่ไหน เลอะเทอะ พูดกันส่งเดช ...แต่แนวทางผมแบบนี้จะดีกว่าที่ให้นักการเมืองมาทำ ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องปฏิวัติโดยประชาชน เลือกตั้งเมื่อไหร่พรรคทักษิณก็ชนะตลอด ชนะตลอดกาล”
อดีตเสธ.อ้าย กบฏ 26 มี.ค. 2520
พลิกแฟ้มประวัติ “เสธ.อ้าย” แล้ว นับว่าเป็นนายทหารมากคอนเนกชันคนหนึ่ง เพราะมิเช่นนั้นคงไม่สามารถสวมหมวกในตำแหน่งสำคัญได้หลายใบในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร นายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ รวมไปถึงเลขาธิการกิตติมศักดิ์ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
แต่ที่น่าสนใจคือ การเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 ร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
“กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่าสนิทกัน เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่วีรกรรมสมัยเก่าผมไม่ขอพูดถึง เดี๋ยวบางเรื่องอาจไม่ยอมรับ เอาเป็นว่าเรียนด้วยกันมา 7 ปี คิดว่าไม่สนิทกันเหรอ และเดี๋ยวนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นสภานายกฯ ราชตฤณมัยให้” เสธ.อ้าย เลี่ยงไม่ตอบถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อ พล.อ.สุรยุทธ์
เมื่อไม่อยากพูดถึงองคมนตรีท่านนี้เท่าไรนัก จึงขอตอบคำถามถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ร่วมเหตุการณ์กบฏ 26 มี.ค. 2520 แทน
ย้อนอดีต กบฏ 26 มี.ค. 2520 เป็นความพยายามก่อรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ต้องการล้มรัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ แต่ไม่สำเร็จ ถูก พล.ร.อ.สงัด เข้าปิดล้อม จนนำไปสู่การเจรจาและฝ่ายผู้ก่อการยอมมอบตัวและขอให้ผู้นำการปฏิบัติการครั้งนี้ลี้ภัยไปยังต่างประเทศ แต่ พล.อ.ฉลาด ผู้นำกบฏถูกจับและตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า
เสธ.อ้าย เล่าว่า “ผมกับ เสธ.หนั่น ติดคุกมาด้วยกัน หลังพ้นคุกอีกหลายปี ผมช่วยหาเสียงให้ เสธ.มาเรื่อยๆ พอท่านชวน หลีกภัย มาเป็นรัฐบาลสมัยสอง ผมไปเป็นหัวหน้าฝ่าย เสธ. รมว.กลาโหม อัตราพลเอก และได้เป็นพลเอกในตอนนั้นมา
...เวลานี้ เสธ.ก็โทรศัพท์มาถามว่า ‘อ้ายเกิดอะไรขึ้น ไล่รัฐบาลหรือ’ เราก็ตอบไปว่า ครับ และ เสธ.หนั่นก็บอกว่า ‘เดี๋ยวพี่จะมา’แต่ไม่ได้มาร่วมชุมนุม แต่คล้ายๆ ว่าจะเป็นห่วงว่าเรากำลังคิดอะไร”
เสธ.อ้าย ไม่ปฏิเสธการได้รู้จักกับ เสธ.หนั่น ทำให้คุ้นเคยกับพรรคประชาธิปัตย์พอสมควร จนได้รู้จักกับนักการเมืองมากหน้าหลายตา ไม่เว้นแม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ที่ฝ่ายหลังนัดทานข้าวมื้อการเมืองก่อนชุมนุมใหญ่ไม่กี่วัน
“...ผมสนิทหลายคน เช่น คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ คุณนิพนธ์ บุญญามณี เจือ ราชสีห์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะรู้จักกับคนในพรรคประชาธิปัตย์เยอะ แต่ผมไม่ใช่คนของพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่เอาทั้งนั้น
...ท่านเฉลิมกับผมรู้จักกันมานานมาก สมัยผมมียศเป็นพันโท ขณะที่ท่านเฉลิมเป็นสารวัตรตำรวจ มีนายทหารรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่บ้านเดียวกับผมที่ จ.สิงห์บุรี ท่านเฉลิมก็ไปดูการดูดทรายที่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้านผมและรุ่นพี่ ทำให้รู้จักกันเรื่อยมา มาตอนนี้ลูกชายท่านกับลูกชายผมสนิทกัน”
ขณะเดียวกัน แม้ เสธ.อ้าย จะไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพียงใดจนเป็นเหตุผลให้มานำม็อบไล่รัฐบาลของน้องสาวในวันที่ 28 ต.ค. แต่ในช่วงสั้นๆ ก็ได้เคยร่วมกันก่อน เสธ.อ้าย จะเกษียณอายุราชการปี 2545 ในตำแหน่ง “ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก”
“เคยร่วมทำงานกับรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ 1 ปี ก็มีโอกาสสัมผัสกันบ้าง แต่ด้วยตำแหน่งที่ผมมีค่อนข้างห่างกับนายกฯ อยู่แล้ว แต่ครั้งหนึ่งเคยทำงานร่วมกันเรื่องค่ายเพื่อนรักเพื่อน เพื่อปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเคยอ่านรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ฟัง
ตอนที่ร่วมงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มองว่าดี ที่ว่าดีเพราะขณะนั้นยังไม่มีปัญหา แต่หลังจากได้ฟังว่าเขามีปัญหาทางการเมืองในหลายเรื่อง ก็มีความไม่ชอบ...
การทำงานร่วมกัน ผมไม่เคยขอตำแหน่ง เพราะผมมีอัตรายศเป็นจอมพลแล้ว และไม่ได้เสียใจที่รัฐบาลทักษิณไม่ได้ตั้งให้เป็นโน่นเป็นนี่”

เสื้อแดงมหาดเล็ก
การสนทนาประเด็นกลุ่มเสื้อแดง “เสธ.อ้าย” เปิดใจว่า รู้จักกับ วีระ มุสิกพงศ์ จากเหตุการณ์กบฏในอดีต เพราะไปติดคุกด้วยกัน และขณะนั้น วีระ ก็เริ่มเข้าวงการการเมือง รวมไปถึง สุธรรม แสงประทุม
ทว่าบิ๊กทหารรายนี้ไม่ค่อยอยากพูดถึงวันวานที่มีต่อแกนนำเสื้อแดงรายนี้เท่าไรนัก แต่ขอเลือกที่จะระบุถึงความเป็นสีแดงในตัวเองมากกว่า
“ตอนพวกเขามาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ผมไม่ให้ใช้ห้องน้ำของสนามม้านะ แต่ตอนพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองผมให้ใช้นะ โอเค”
“เสื้อแดงคืออะไร สัญลักษณ์ของอะไร ชาติไม่ได้มีแต่สีแดง ผมก็เสื้อสีแดง สัญลักษณ์ของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ หมายถึงทหารราบ...สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยทำให้ใครได้เจ็บช้ำน้ำใจเลย พระองค์เป็นผู้ทรงคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ทั้งน้ำ ป่า อาหาร พระองค์ท่านดูแลทุกเรื่อง รวมถึงพลังงานท่านรู้เรื่องหมด ทรงทราบเป็นอย่างดี
เสธ.อ้าย บอกว่า เสื้อแดงจะมาฟังวันที่ 28 ต.ค.ด้วยก็ได้ จะได้มารู้ว่าเขาใช้น้ำมันแพงเพราะอะไร มันไม่ใช่เพราะเสื้อสีนี้ สีนั้น หรือเสื้อแดงใช้น้ำมันถูก มันไม่ใช่
“คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ได้ ก็อาจมีคนบอกว่า ผมก็เป็นได้ ผมยังจดยังเขียนหนังสือดีกว่าอีก ต้องพูดความจริงนะ ถ้าไม่พูดความจริงก็ไม่ไหว คุณเป็นผู้นำระดับนายกรัฐมนตรี จะพูดถูกพูดผิดได้หรือ ไม่งั้นเอาใครก็ได้มาเป็นนายกฯ ผมก็เป็นได้” เสธ.อ้าย ตบท้าย

ที่มาgo6 

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เอกสารทางราชการของกรมโฆษณาการ ๘ พ.ค. ๒๔๘๙ สุนทรพจน์ ของ นายปรีดี พนมยงค์

เอกสารทางราชการของกรมโฆษณาการ  ๘  พ.ค.  ๒๔๘๙

สุนทรพจน์
ของ
นายปรีดี  พนมยงค์
แสดงในสภาผู้แทนราษฎร   วันที่  ๗  พฤษภาคม  ๒๔๘๙


ท่านผู้เป็นประธาน
                            ในวาระที่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับ  พ.ศ.  ๒๔๗๕   จะได้สิ้นสุดลงในวันนี้  ข้าพเจ้าขอถือโอกาสเชิญชวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้ระลึกถึงพระมหา กรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อ  พ.ศ.  ๒๔๗๕   พระราชประสงค์ของพระองค์ ซึ่งมีมาแต่ก่อนพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้น   คณะราษฎร  พึ่งทราบเมื่อ  ๖  วัน  ภายหลังที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว  คือ  เมื่อวันที่  ๓๐  มิถุนายน   ได้มีพระกระแสรับสั่งให้พระยาพหลพลพยุหเสนา   พระยาปรีชา     ชลยุทธ   พระยามโนปกรณ์นิติธาดา  พระยาศรีวิสารวาจา  พร้อมทั้งข้าพเจ้าไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท  และเจ้าพระยามหิธร   ซึ่งเป็นราชเลขาธิการขณะนั้นเป็นผู้จดบันทึกมีพระกระแสรับสั่งว่า   มีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ   แต่เมื่อได้ทรงปรึกษาข้าราชการมีตำแหน่งสูงในขณะนั้นก็ไม่เห็นพ้องกับ พระองค์   ในสุดท้ายเมื่อเสด็จกลับจากประพาสอเมริกา  ได้ให้บุคคลคนหนึ่ง ซึ่งไปเฝ้าในวันนั้นพิจารณา   บุคคลนั้นก็ถวายความเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา  และที่ปรึกษาก็กลับเห็นพ้องด้วยบุคคลนั้น  คณะราษฎรมิได้รู้พระราชประสงค์มาก่อน             การเปลี่ยนแปลงได้กระทำโดยบริสุทธิ์ไม่ได้ช่วงชิงดังที่มีผู้ปลุกเสกข้อเท็จ จริงให้เป็นอย่างอื่น  ความจริงทั้งหลายปรากฏในบันทึกการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในวันนั้นแล้ว  และโดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  ทรงมีพระราชประสงค์มาก่อนแล้ว  หากมีผู้ทัดทานไว้  ฉะนั้น เมื่อคณะราษฎรได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ  พระองค์จึงพระราชทานด้วยดี   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวไทย   ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่  ณ  ที่นี้  และบรรดาชาวไทยทั้งหลาย  จงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติของพระองค์ไว้ชั่วกัลป์ปาวสาน
                            บัดนี้ผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และผู้ที่ได้ร่วมมือช่วยเหลืออันประกอบเป็นสมาชิกประเภท  ๒  ก็จะสุดสิ้นสมาชิกภาพลงแล้ว   ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องซ้อมความเข้าใจถึงหลักประชาธิปไตย ตามหลักรัฐธรรมนูญ   ซึ่งคณะราษฎรได้ขอพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ   ว่าระบอบประชาธิปไตยนั้น  เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต   ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ  หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม  เช่น  การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน  ความไม่สงบเรียบร้อย  ความเสื่อมศีลธรรม  ระบอบชนิดนี้เรียกว่า  อนาธิปไตย  หาใช่ประชาธิปไตยไม่   ขอให้ระวัง  อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย  อนาธิปไตยเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมและประเทศชาติ  ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ ต้องประกอบด้วยกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต  หรือในครั้งโบราณกาลเรียกว่าการปกครองโดยสามัคคีธรรม   การใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายหรือศีลธรรม  หรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต   ไม่ใช่หลักของประชาธิปไตย  ไม่ใช่หลักซึ่งคณะราษฎรขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ   และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  พระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทยนั้น   ไม่มีพระราชประสงค์ให้เป็นอนาธิปไตย  ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างประเทศอิตาลี   เมื่อก่อนสมัยมุสโสลินี  ซึ่งประชาธิปไตยของอิตาลีในขณะนั้นเข้าขีดที่ไม่มีระเบียบ   มีความอลเวง  จึงเป็นเหตุหรือให้พวกฟาสซิสต์อ้างเป็นเหตุในการสถาปนา ระบอบเผด็จการในประเทศอิตาลี  ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย   ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตยอันเป็นทางที่ระบอบ เผด็จการจะอ้างได้   ข้าพเจ้าเชื่อว่า  ถ้าเราช่วยกันประคองให้ระบอบประชาธิปไตยนี้  ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อยอย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว  ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้  ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมกับเพื่อนคณะราษฎรขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ   ข้าพเจ้าได้ประคับประคองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ตลอดมา  แม้ในการต่อต้านญี่ปุ่น  ซึ่งในการต่อต้านนั้นอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งรัฐบาลชั่วคราว  แต่ข้าพเจ้าก็เลือกเอาทางที่จะตั้งรัฐบาลตามระบอบรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่  ข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลายมาเป็นศรัตรูของประบอบประชาธิปไตย   ข้าพเจ้าสังเกตว่า  มีผู้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยผิดโดยเอาระบอบอนาธิปไตยเข้ามาแทนที่   ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง  ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ใดเชื่อข้าพเจ้าโดยไม่มีค้าน   ข้าพเจ้าต้องการให้มีค้าน   แต่ค้านโดยสุจริตใจ  ไม่ใช่ปั้นข้อเท็จขึ้น  ทางธรรมนั้นการกล่าวเท็จหรือมุสาวาทก็เป็นผิด   ในทางการเมืองการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ  มุ่งหวังผลส่วนร่วมจริง ๆ  ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว   หรือมีความอิจฉาริษยา อันเป็นมูลฐานเนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอโกอิสม์)  ความสามัคคีธรรม หรือระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง  จึงจะเป็นไปได้  ผู้ใดมีอุดมคติของตนโดยสุจริต   ข้าพเจ้าเคารพให้ผู้นั้น   และเราร่วมมือกันได้   ข้าพเจ้าเชื่อว่า  ถ้าต่างฝ่ายต่างสุจริตมุ่งส่วนรวมของประเทศชาติไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว  แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมาย  จะเป็นคนละแนว   แต่ในอวสานเราก็พบกันได้   ข้าพเจ้าขออ้างเจ้านายหลายพระองค์  ซึ่งเดิมท่านมีแนวทางอย่างหนึ่ง และข้าพเจ้ามีแนวทางอีกอย่างหนึ่ง   แต่เจ้านายหลายพระองค์นั้น  ท่านก็มีจุดหมายเพื่อส่วนรวมของประเทศชาติ   ไม่ใช่ส่วนพระองค์   ผลสุดท้ายเราก็ร่วมมือทำงานด้วยกันมาเป็นอย่างดีในการรับใช้ประเทศชาติ  และรักใคร่กันสนิทสนมยิ่งเสียกว่าผู้ซึ่งเอาประเทศชาติเป็นสิ่งกำบังแต่ความ จริงมุ่งหวังในประโยชน์ส่วนตัวมาก    ผู้ที่คอยอิจฉาริษยา  เมื่อไม่ได้ผลสมหวังแล้วก็ทำลายกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ    แทนที่จะเสริมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม   ผู้ที่ทำการปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎรแต่โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหา กษัตริย์  ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์  ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า   ท่านเหล่านี้ไม่ต้องวิตกกังวล  แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อพระองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก  ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตนเช่นนี้แล้ว  ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตัวอย่าง ไหนมากกว่า 
                                   ข้าพเจ้าหวังว่า  ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายคงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ   และอาศัยกฎหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก  ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย  ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย  โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ  ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ  และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย  คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม   ระบอบประชาธิปไตยโดยพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรมนี้  เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎรที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญข้าพเจ้าขอขอบคุณสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้ความร่วมมือ  และช่วยเหลือรัฐบาลนี้ด้วยดี  ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายประสบความสุขความสำราญ  และในอวสานขอเชิญชวนท่านทั้งหลายขออวยพรให้ระบอบประชาธิปไตย  พรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ  จงสถิตสถาพรอยู่ในประเทศไทยชั่วกาลปวสาน

วันพฤหัสบดีที่ 18 ตุลาคม พ.ศ. 2555

พบเครือข่ายใหม่หุ้นส่วน“ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”รับงาน ปตท.อื้อ 226 ล้าน




พบบริษัทใหม่เครือข่ายหุ้นส่วน“ณัฐวุฒิ  ใสยเกื้อ”รับเคลียร์มวลชนต้านท่อก๊าซ ปตท. 14 โครงการ 226 ล้าน  เคยถือหุ้นด้วยกัน เซ็นสัญญาหมาดๆโปรเจ็กต์ภาคเหนือ 39 ล้าน
         บริษัทที่ปรึกษาด้านมวลชนสัมพันธ์ซึ่งมีผู้ถือหุ้นเกี่ยวโยงกับบริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ของนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ (นายณัฐวุฒิถือหุ้น ในช่วงปี 2544-2551) ได้รับว่าจ้างจัดการด้านมวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อก๊าช ปตท.ในพื้นที่ต่างๆ  อย่างน้อย 14 โครงการ กว่า 226 ล้านบาท
         สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ล่าสุดเมื่อวันที่ 27 มี.ค. 2555 ที่ผ่านมา บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน)  ทำสัญญาว่าจ้างที่ บริษัท ซีวิล โปร จำกัด เป็นที่ปรึกษามวลชนสัมพันธ์ โครงการท่อส่งก๊าซธรรมชาติ บนบกภาคเหนือ (นครสวรรค์)  วงเงิน 39,024,000 บาท
          จากการตรวจสอบข้อมูลกับกรมพัฒนาธุรกิจการค้าพบว่า บริษัท ซีวิล โปร จำกัด จดทะเบียนวันที่ 16 กรกฎาคม 2542  ทุน 3 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 92/473 หมู่ที่ 2 ถนนเสรีไทย แขวงคลองกุ่ม เขตบึงกุ่ม กรุงเทพมหานคร  มีนายสนธยา ทิพย์อาภากุล อาชีพรับจ้าง เป็นผู้ถือหุ้นในช่วงก่อตั้งร่วมกับนายสุวรรณ บัณฑิต  ผู้ก่อการจดทะเบียน
           ในช่วงก่อตั้ง บริษัท ซีวิล โปร จำกัด มีผู้ถือหุ้น 7 คน คือ
          1.นายสุวรรณ บัณฑิต อยู่บ้านเลขที่ 51/10 ซอยสุขุมวิท 39  แขวงคลองเตย เขตคลองเตย กรุงเทพฯ
          2.น.ส.สุพร บัณฑิต อยู่บ้านเลขที่ 94 หมู่ที่ 2 หมู่ที่ 2 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
          3.นายธนะสาร พงศ์ปิตานนท์ อยู่บ้านเลขที่ 124 หมู่ที่ 1 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
          4.นายสนธยา ทิพย์อาภากุล อยู่บ้านเลขที่ 3 หมู่ที่ 2 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
          5.นายสุวิทย์ บัณฑิต อยู่บ้านเลขที่ 94 หมู่ที่ 2 หมู่ที่ 2 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
          6.น.ส.ศิรินาถ หนูนวล อยู่บ้านเลขที่ 224/8 ถนนชาววัง ต.ในเมือง อ.เมือง จ.นครศรีธรรมราช
          7.นายสุวัฒน์ บัณฑิต อยู่บ้านเลขที่ 94 หมู่ที่ 2 หมู่ที่ 2 ต.ท่าศาลา อ.ท่าศาลา จ.นครศรีธรรมราช
          ทั้งนี้ นายสนธยา ทิพย์อาภากุล  เป็นผู้ก่อตั้งและร่วมถือหุ้น บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัด ประกอบธุรกิจให้คำปรึกษาและวางแผนด้านการประชาสัมพันธ์และมวลชนสมพันธ์ โครงการท่อก๊าซ ปตท.ร่วมกับนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ ในช่วงปี 2544  ก่อนที่นายณัฐวุฒิโอนหุ้นให้นายเจตนันท์ ใสยเกื้อ พี่ชายในช่วงปี 2551 ขณะที่นายสนธยายังคงถือหุ้นเรื่อยมาจนถึงปัจจุบัน
          ก่อนหน้านี้สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า บริษัท ไทย คอนซัลแตนท์ แอนด์ พับบลิค รีเลชั่น จำกัดของนายณัฐวุฒิกับพวก ได้รับว่าจ้างเป็นปรึกษามวลชนสัมพันธ์โครงการท่อส่งก๊าซ  รวม 13 โครงการกว่า 31 ล้านบาท

วันอังคารที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2555

แฉ”แฟ้มลับ” 30 รายชื่อนักการเมืองไซฟ่อนเงินสู่ฮ่องกงปล้นจากงบน้ำท่วม



หน้าต่างมีหู ประตูมีช่อง …“แฟ้มลับ” รายชื่อนักการเมืองอย่างน้อย 30 คน ในซีกรัฐบาลซึ่งใช้วิธีโพยก๊วนไซฟ่อนเงินไปเปิดบัญชีเงินฝากในฮ่องกงบัดนี้ ได้ตกมาอยู่ในมือของกลุ่มนักเคลื่อนไหวภาคประชาชนที่ต่อต้านทุจริต คอร์รัปชั่นแล้ว หลังจากที่“เฉลิม” เคยย่ามใจว่า กุมความลับในแฟ้มนี้ไว้ได้แต่เพียงผู้เดียว

อัญชะลี ไพรีรัก

ฝ่าย “ข่าวกรองทหาร” เล่าว่า แฟ้มบัญชีรายชื่อเหล่านี้มีจริง ชื่อเจ๊ ดอ นำโด่งและเงินที่หอบไปฝากในบัญชีนั้น “ปล้น” มาจาก“งบน้ำท่วม”โดยมีจำนวนมากถึง 2 ใน 3 จากงบทั้งหมด แฟ้มพวกนี้ทหารก็มีเก็บไว้ คาดว่าเอาไว้ถือบังแดดตอนไปให้ปากคำเรื่องชายชุดดำ

ว่ากันว่า “ท่านกลาโหม” ยุคนี้ลุแก่อำนาจบาตรใหญ่ เปิดประตูปูพรมเชื้อเชิญให้ฝ่ายการเมืองเข้ามาล้วงลูกยุ่มย่ามขี่คอทหารทุก เหล่าทัพ เป็นผลให้ทุกหน่วยงานในกองทัพจำต้องมี “แฟ้มลับ” ถือติดมือไว้เป็นเกราะคุ้มกันภัย และหน่วยงานที่พุ่งตรงไปคุ้ยหนีไม่พ้นที่ “ป.ป.ท.” ปรากฏว่า โป๊ะเชะ !!!

เวลานี้แฟ้มลับโกงชาติได้ถูกร่อนไปถึง “สมาชิกวุฒิสภา” หลายคน และภาคีเครือข่ายต่อต้านคอร์รัปชั่นหลายกลุ่มแล้ว ทั้งเรื่องโกงงบน้ำท่วม-เรียกรับเงินใต้โต๊ะ 40% ทุกกระทรวง-แผนการขายแผ่นดินให้เขมรแลกผลประโยชน์พลังงานอ่าวไทยแบ่งกับ อเมริกา-ถมทะเลสร้างเมืองใหม่ และโครงการรับจำนำข้าวที่โกงมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย รวมถึงใต้โต๊ะจากหวยออนไลน์ กับกาสิโนแห่งแรกที่พัทยา ซึ่งมีเค้าว่า รัฐจะเริ่มโครงการนำร่องในโรงแรมหรูที่นายหญิงซื้อต่อมาจากอดีตเศรษฐีใหญ่ เมื่อปีมะโว้…งานนี้หัวคะแนน ชาวบ้าน ถูกมอมเมาจนมึนงง อ่อนแอ สนตะพายง่ายเลย

ฝ่ายข่าวทหารกระซิบว่า พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหมมีคำสั่ง “ลับ” ให้กองทัพบกจัดหาสถานที่ทำโกดังเก็บข้าวที่รับจำนำมาทุกเมล็ด แต่ท่านผบ.ทบ.บิ๊กตู่กลับทำหน้าซื่อตาใสออกมาเล่าให้สื่อฟังหมดจดไม่ปิดบัง เป็นผลให้รัฐมนตรีกลาโหมโกรธจัดจนเกือบโดดไป “ตบบ้องหู” ถ้าไม่เกรงใจกัน เรื่องของเรื่องคือ บิ๊กตู่ ต้องการกันเอากองทัพบกออกมาจากโครงการรับจำนำข้าวที่เต็มไปด้วยการโกง งานนี้แว่วว่ามีการแจก “ของลับ” กันลั่นสนั่นกลาโหมชนิดไม่มีใครกลัวใครแล้ว

ตอนนี้ได้มีการสำรวจ “สนามบิน” ต่างจังหวัดที่เคยถูกสร้างขึ้นมาด้วยตัณหาของนักการเมืองขี้โอ่ กะเกณฑ์กันว่า จะนำสนามบินเล็ก รก ร้าง เหล่านั้นมาดัดแปลงเป็นโกดังเก็บข้าวที่มาจากการรับจำนำ ที่บัดนี้ล้นแล้วล้นอีก ล้นจนเห็นความล้นของขี้เลื่อยจากสมองนายกรัฐมนตรีหญิงที่โง่ได้โง่อีก …โง่จนได้ถ้วยทองครองแชมป์ทุกสมัย

อย่าว่าแต่เรื่องขายข้าว 8 ล้านตัน ที่ตอบไม่ได้ไปไม่ถูกเลย นายกรัฐมนตรีหญิงไม่สามารถตอบคำถามเกี่ยวกับเรื่องการบริหารชาติบ้านเมือง ได้เลยแม้แต่ประเด็นเดียว ในสมองของเธอเวิ้งว้างว่างเปล่า จับต้นชนปลายอันใดไม่ได้ ยิ่งอยู่นานเท่าไรยิ่งลักษณ์ก็ยิ่งพาพวกเรายิ่งเละไปเท่านั้น เรื่องนี้นักการเมืองบางคนจากเพื่อไทยที่ไปฮ่องกงบอกว่าทักษิณรู้ พจมานบ่น แต่ต้องทน เพราะเพรียวพันธ์ยังไม่พร้อม และบุญคลีไม่เอาด้วย

นายกรัฐมนตรีหญิงเป็นที่น่าสมเพชเวทนา และถูกหัวเราะเยาะในสายตาสื่อมวลชนต่างประเทศมากขึ้นเวลานี้สื่อเมืองนอก ขนานนามเธอว่า “แม่ตุ๊กตาบาร์บี้”แต่คนไทยเรียกเธอว่า “ตุ๊กตาเสียกบาล”และเริ่มมีตลกฝรั่งเกี่ยวกับนายกรัฐมนตรีหญิงของไทยออกมา บ้างแล้ว  โดยเนื้อหาคล้ายๆ กับตลกที่ฝรั่งแต่งขึ้นมาดูแคลนความบ้องตื้นของแม่สาวผมบลอนด์-นมโต แต่ไม่มีสมอง …ลองอ่านดู…

From :  UN, New York

Ambassador: How is the economy?

The Prime Minister OfThailand:

I don’t know I fly  first class.

Ambassador : @_@ “

แต่ความโง่เง่าเต่าตุ่นเฟอะฟะของนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์  ก็พอถูไถได้ในเรื่องแฟชั่นความงาม สมกับที่อดีตเพื่อนร่วมรุ่นของเธอหลายคนจากมหาวิทยาลัยเชียงใหม่เล่าให้ฟัง ว่า “ยิ่งลักษณ์พูดเสมอๆ ว่า ที่มาเรียนวิชารัฐศาสตร์เพราะพ่อแม่และครอบครัวกำหนด แต่ถ้าเลือกทางเดินชีวิตตัวเองได้ เธออยากเข้าสู่วงการบันเทิง อยากเป็นดารา”

อย่าไปหวังอะไรกับผู้หญิงคนนี้ แค่เพียงระวังไม่ให้หล่อนไปทำเรื่องฉาวโฉ่อย่างที่เกิดในโฟร์ซีซั่นส์อีกก็ แล้วกันเพราะได้ยินมาว่า ผู้ตรวจการแผ่นดินเริ่มอ่อนอกอ่อนใจเนื่องจากนายใหญ่แสนสิริ คู่กรณีไม่ให้ความร่วมมือ แถมเอกสารที่นายกฯหญิงส่งไปให้ก็พิราบพิไรรำพันมาแค่กระดาษแผ่นเดียว แถมครึ่งหน้าด้วยซ้ำ

แต่ที่บ้าบอคอแตกยิ่งกว่าต้องยกให้ข่าวนักการเมืองข้าราชการ นักธุรกิจ บินไปกราบตีนทักษิณ เลียไข่กันถึงฮ่องกง ไม่ต้องพูดกันแล้วว่า เขาคือนักโทษหนีคดีหรือใครมีหน้าที่ต้องจับแล้วไม่จับเพราะสังคมวันนี้กราบ ไหว้วันทาทักษิณเหมือนเทพเจ้า เทวดา พระราชา คนที่ไปมาเล่าให้ฟังว่าบรรดาลูกไพร่ ลูกอำมาตย์เดินชนกันสนั่นเกาะ โรงแรมชั้นดี ร้านอาหารชั้นนำมีแต่คนพวกนี้พล่านไปหมดจนกระทั่งร้าน Sweet Dynasty แถบโอเชี่ยนเทอร์มินัล ใกล้ๆ กับโรงแรมมาร์โคโปโล มีสภาพเหมือนโรงอาหารของสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ตำรวจใหญ่มากมายนั่งกินปากมันเต็มพรึ่ด หนึ่งในนั้นคือ บิ๊กแจ๊ดและหวานใจวัยดึก ที่เดินตามทักษิณเหมือนขี้ติดตูด

งานเลี้ยงเลิกราแล้วที่ฮ่องกง บางคนได้ บางคนเสียแต่อารมณ์ “นายหญิง” เสียยิ่งกว่า เพราะลูกชายตัวดีดันไปเล่นไลน์กับเพื่อนสาวจอมแฉ แล้วเผลอเล่าว่านายแม่ควันออกหูหลังเห็น ภาพทักษิณนัวเนียกับสาวคราวลูกในปาร์ตี้ริมสระที่ฮ่องกงกับลุงเหลิม ถึงกับต่อสายโทร.ด่าเช็ดในเช้ารุ่งขึ้น ก่อนทักษิณโกยแน่บกลับลอนดอน

ที่นั่นทักษิณมีนัดอยู่ก่อนแล้วกับ “มือกฎหมาย”ใหญ่ ที่ “สมชาย แสวงการ” เล่าว่า กำลังดำเนินการปูทางทำเรื่องให้ทักษิณรอดคุกโดยเอาตัวมากักบริเวณในบ้าน แล้วติดกำไลฝังชิพที่ข้อเท้า จากนั้นก็ทำเรื่องปรองดอง และนิรโทษกรรมต่อไป

ฝ่ายทักษิณเรียกเกมนี้ว่า “ออง ซาน ซู จี โมเดล”แต่ฝ่ายเรามองเห็น “โฮเต็ล ระวันดา” อยากรู้รายละเอียดว่า เป็นไงต้องรอถาม “อุกฤษ มงคลนาวิน”

อัญชะลี ไพรีรัก

ที่มาของบทความ


apac news

วันอังคารที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2555

สื่อฮ่องกงแฉทักษิณจัดปาร์ตี้ริมสระเลี้ยงพรรคพวกจากเมืองไทย“เหลิม-เยาวเรศ-บรรณพจน์”โผล่


  

สื่อฮ่องกงแฉ“ทักษิณ”เจียดเงินล้านจัดปาร์ตี้ริมสระน้ำบนโรงแรมหรูบนเกาะฮ่องกง เชิญสาวๆพรรคพวกลิ่วล้อร่วมงาน 2 คืนติด“เหลิม-เยาวเรศ-บรรณพจน์” โผล่ด้วย เผยเฮฮาเต็มที่แอลกอฮอล์เพียบจนเจ้าตัวเดินเซ แต่กลับปฏิเสธกับผู้สื่อข่าว“ไม่มีเงินแล้ว” ยอมรับไม่รีบกลับเมืองไทย

จากกรณีที่มีข่าวว่าในช่วงปลายสัปดาห์ และสุดสัปดาห์ที่ผ่านมามีนักการเมือง ข้าราชการ และนักธุรกิจสายพรรคเพื่อไทยจำนวนหนึ่งเดินทางไปพบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนักโทษผู้หลบหนีคำพิพากษาจำคุก 2 ปีจากศาลฎีกา ณ เกาะฮ่องกง ประเทศจีนนั้น

เมื่อวันที่ 7 ต.ค. สื่อท้องถิ่นของฮ่องกงแอปเปิล เดลี รายงานว่า ผู้สื่อข่าวท้องถิ่นพบว่า พ.ต.ท.ทักษิณเดินทางไปยังฮ่องกงจริง พร้อมทั้งจัดงานเลี้ยงต้อนรับพรรคพวก เพื่อนฝูง ที่ระเบียงและสระน้ำของโรงแรมเพนนินซูล่า โรงแรมสุดหรูในย่านจิมซาจุ่ยติดต่อกันเป็นเวลา 2 คืน คือในช่วงค่ำของวันพฤหัสบดีที่ 4 ต.ค. และศุกร์ที่ 5 ต.ค.

แอปเปิ้ล เดลีของฮ่องกงรายงานโดยระบุรายละเอียดด้วยว่า งานเลี้ยงทั้งสองคืนจัดขึ้นบริเวณระเบียงริมสระน้ำของโรงแรมเพนนินซูล่า คืนแรกมีผู้มาร่วมงานประมาณ 20 กว่าคน ขณะที่ในคืนที่สองมีผู้เข้าร่วมงานประมาณ 40 กว่าคน ด้วยงบประมาณทั้งหมดราว 300,000-400,000 เหรียญฮ่องกงหรือราว 1.2-.1.6 ล้านบาท โดย พ.ต.ท.ทักษิณ ทักทาย พูดคุยและดื่มกินกับแขกที่มาร่วมงานอย่างมีความสุขจนดึกทั้งสองคืน ทั้งเมื่อเดินลงมาขึ้นรถยังมีท่าทีมึนเมาจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์

จากการตรวจสอบข้อมูลภาพนิ่ง และคลิปวิดีโอรายงานข่าวดังกล่าวผู้สื่อข่าว ASTVผู้จัดการ พบว่า ปรากฎภาพของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ผู้ซึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมาเคยออกมาปฏิเสธว่าไม่ได้เดินทางไปฮ่องกงเพื่อพบกับ พ.ต.ท.ทักษิณ แต่พาครอบครัวไปเที่ยว ภาพที่พบเป็นภาพที่ พ.ต.ท.ทักษิณ กอดคอถ่ายภาพอยู่กับสาวสวยนางหนึ่ง โดยมี ร.ต.อ.เฉลิมยืนอยู่ด้านซ้ายของ พ.ต.ท.ทักษิณ

นอกจากนี้ยังปรากฎภาพของนางเยาวเรศ ชินวัตร อดีตประธานสภาสตรีแห่งชาติในพระบรมราชินูปถัมภ์ และน้องสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณรวมถึงนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ พี่ชายของคุณหญิงพจมาน ดามาพงศ์ อดีตภรรยาของที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นต้น

สำหรับรายละเอียดของรายงานข่าวจากแอปเปิล เดลี มีดังนี้

“พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีผู้เร่ร่อนอยู่นอกประเทศไทยนับตั้งแต่การปฏิวัติเมื่อปี พ.ศ.2549 เป็นต้นมา โผล่เกาะฮ่องกงอย่างลับๆ สื่อฮ่องกงสังเกตพบ มีการจัดปาร์ตี้กับเหล่าเพื่อนพ้องคนสนิทต่อเนื่องสองคืน ณ โรงแรมเพนนินซูล่า บรรยากาศเป็นไปด้วยความรื่นเริงนอกจากนี้ยังมีภาพทักษิณ กอดคอหญิงสาวสวยถ่ายรูป โดยงานเลี้ยงทั้งสองคืนจะจัดถึงดึกดื่นค่อนคืนกระทั่งมึนเมากันจนได้ที่ ถึงได้แยกย้าย ส่วนข่าวลือที่ว่าทักษิณมีธุรกิจในฮ่องกงไม่น้อยนั้น อดีตนายกยิ้มพร้อมตอบสื่อฮ่องกงว่า “ไม่มีเงินแล้ว (No more money)”

แอปเปิลเดลี รายงานว่า เมื่อวันพฤหัสบดีที่ 4 ต.ค. 2555 อดีตนายกทักษิณ เดินทางไปถึงโรงแรมเพนนินซูล่าย่านจิมซาจุ่ย ในเวลา 18.30 น. ด้วยรถตู้ของทางโรงแรมที่จองในชื่อของบุตรชาย (นายพานทองแท้ ชินวัตร)

ผู้สื่อข่าวที่บังเอิญอยู่ในพื้นที่ ได้ติดตามเข้าไปสัมภาษณ์ โดยพ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า”จะอยู่ฮ่องกงประมาณ 2-3 วัน หลักๆ คือมาพบเพื่อนฝูงที่เดินทางมาจากเมืองไทย”

นอกจากนี้ พ.ต.ท. ทักษิณผู้ซึ่งเคยเดินทางมาฮ่องกงหลายต่อหลายครั้งกล่าวยอมรับด้วยว่าฮ่องกงเป็นจุดนัดหมายสะดวกที่สุดที่เขาและพวกพ้องจะพบปะกัน จากนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ พลางกล่าวทักทายกับผู้คน พลางเดินดูสินค้าในร้านค้าแบรนด์เนม ทั้ง Chanel, Prada ส่วนร้าน Hermes ปิดทำการแล้วเลยไม่ได้เข้าไปเดิน ทว่าไม่ได้ของติดมือใดๆ ออกมา

พ.ต.ท.ทักษิณ เคยประกาศเมื่อวันเกิดฉลองอายุ 63 ปีในปีนี้ว่าจะกลับประเทศไทยให้เร็วที่สุด รอเพียงวีซ่าเข้าประเทศจากรัฐบาลไทยเท่านั้น ทว่าเมื่อผู้สื่อข่าวแอปเปิลเดลีถามว่าตกลงจะกลับประเทศเมื่อไหร่ พ.ต.ท.ทักษิณแสดงท่าทีว่ายังไม่รู้ ส่วนอยากกลับหรือไม่นั้น คำตอบคือ “ไม่รีบ(Not hurry)”

ขณะที่กรณีข่าวลือเมื่อเร็วๆ นี้ ที่ว่า อดีตนายกจากประเทศไทยผู้นี้กว้านซื้อแมนชั่นหรูบนเกาะฮ่องกงไปหลายแห่งนั้น เขาปฏิเสธพร้อมทั้งกล่าวว่าบุตรชาย บุตรสาวทำธุรกิจที่ฮ่งกงมาหลายปีแล้ว ต่อข้อถามที่ว่าแล้วตัวเขาจะยื่นมือเข้ามาเกี่ยวข้องด้วยหรือไม่ คำตอบคือ “ไม่มีเงินแล้ว (No more money)”

ขณะกำลังสัมภาษณ์ รถแวนขนาด 7 ที่นั่ง 2 คันบรรทุกชาวไทย 10 กว่าคนเดินทางมาถึงโรงแรมเพนนินซูล่าและนั่งอยู่ ณ มุมหนึ่งของล็อบบี้ ขณะที่ พ.ต.ท. ทักษิณ เดินมาที่ล็อบบี้และตรงเข้าสวมกอดหญิงสาวคนหนึ่งในกลุ่ม ทั้งหมดสนทนากับราว 30 นาที จากนั้นอดีตนายกก็แยกตัวออกไปขึ้นลิฟท์ของทางโรงแรมไปที่งานเลี้ยงส่วนตัวซึ่งจัดขึ้น ณ ริมสระน้ำของทางโรงแรม

คืนวันแรกงานเลี้ยงสังสรรค์เริ่มขึ้นเวลาประมาณ 19.00น. ผู้สื่อข่าวพบว่าผู้ที่เข้าร่วมงานมีประมาณ 20 กว่าคน ส่วนใหญ่เป็นคนไทย โดยจำนวนหนึ่งเป็นสาวสวยแต่งตัวเปรี้ยว งานเลี้ยงดังกล่าวเป็นแบบบุฟเฟ่ต์ แขกที่มาส่วนใหญ่ต่างถือแก้วไวน์กันอยู่ในมือ ยืนอยู่บริเวณระเบียงด้านนอกของโรงแรม

งานเลี้ยงดำเนินไปจนกระทั่งเวลาเที่ยงคืนจึงเลิกรา พ.ต.ท.ทักษิณที่เริ่มเดินไม่ตรงทางจากฤทธิ์ของแอลกอฮอล์หลังจากร่ำลากับพรรคพวกก็ขึ้นรถตู้หรูพร้อมบุตรสาวจากไป

คืนต่อมา พ.ต.ท.ทักษิณก็ใช้สถานที่เดียวกันนี้จัดงานปาร์ตี้อีกครั้ง โดยผู้สื่อข่าวสืบทราบว่างบประมาณที่ใช้จัดงานเลี้ยงสองคืนน่าจะอยู่ที่ 300,000-400,000 เหรียญฮ่องกง (หรือ ราว 1.2 ล้านบาท ถึง 1.6 ล้านบาท) ไม่นับรวมกับเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ส่วนใหญ่แขกที่เข้าร่วมงานต่างหยิบติดไม้ติดมือมาเอง

สำหรับงานเลี้ยงคืนที่สองของ พ.ต.ท.ทักษิณเริ่มต้นเวลาเดิมคือประมาณ 19.00น. โดยบุตรสาวของ พ.ต.ท.ทักษิณอยู่เพียงไม่นานก็หลบออกจากงานไปในเวลา 2 ทุ่มกว่าๆ ในวันที่สองมีแขกเข้าร่วมงานเลี้ยงประมาณ 40 กว่าคน ในงานมีสาวสวยเข้าร่วมมากมาย ขณะที่ พ.ต.ท.ทักษิณก็ทักทายและพูดคุยสนุกสนามกับพรรคพวกโดยตลอด พร้อมทั้งถ่ายภาพร่วมกับสาวๆ จำนวนหนึ่ง

งานเลี้ยงสังสรรค์คืนที่สองดำเนินไปถึงเวลาประมาณตี 2 จึงเลิกรา โดย พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นรถตู้หรู พร้อมรถติดตามหนึ่งคัน มุ่งหน้ากลับไปยังคฤหาสน์หรูในคิงส์ พาร์ค ฮิลล์ ย่านเยาหม่าเต่ย

อย่างไรก็ตาม กรณีข่าวของแอปเปิล เดลีที่ระบุเรื่องคฤหาสน์คิงส์ พาร์ค ฮิลล์ของครอบครัวชินวัตรนั้น เมื่อวันที่ 29 ก.ค. ที่ผ่านมา หนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์รายงานว่า ครอบครัวชินวัตรเพิ่งขายคฤหาสน์ขนาด 3 ชั้น คิงส์ พาร์ค ฮิลล์ หลังดังกล่าวที่ซื้อมาในปี 2550 ไปราคาราว 258 ล้านบาท โดยกำไรกว่า 75 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ก.ค. 2555 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็เคยจัดงานเลี้ยงฉลองก่อนวันเกิดที่ร้าน Ye Shanghai บนเกาะฮ่องกง พร้อมด้วยลูกๆ ทั้งนางพินทองทา ชินวัตร นางสาวแพทองธาร ชินวัตร นายพานทองแท้ ชินวัตร พร้อมด้วย นายณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ บุตรเขย

นอกจากนี้ยังมี ‘แป้ง’ อรจิรา แหลมวิไล ดารานักแสดงชื่อดังในฐานะเพื่อนสนิทของนางพินทองทา เดินทางมาร่วมด้วย

งานเลี้ยงดังกล่าวเป็นการพบปะกับผู้สนับสนุนและแฟนเพจที่ผ่านการคัดเลือกจากกิจกรรมหน้าเฟซบุ๊ก “Oak Panthongtae Shinawatra” ก่อนที่จะมีการจัดงานวันเกิดจริงขึ้นในวันถัดมา (26 กรกฎาคม) ที่ชั้น 18 โรงแรมเดอะมิรา ฮ่องกง โดยมีแกนนำพรรคเพื่อไทย ส.ส. ข้าราชการระดับสูงแห่เข้าร่วมงานจำนวนมาก อาทิ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงศ์ไพศาล นายวิชิต ปลั่งศรีสกุล นายไพจิต ศรีวรขาน นายฉลอง เรี่ยวแรง นายสันติ พร้อมพัฒน์ นายประชา ประสพดี พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบ.ชน. พล.ต.ท.ภาณุ เกิดลาภผล ผบช.ภ.3 พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชาที่ปรึกษา (สบ 10) นางปวีณา หงสกุล นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ นายนพดล ปัทมะ เป็นต้น

ที่มาของข่าว



http://www.manager.co.th/Politics/ViewNews.aspx?NewsID=9550000123039

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เสธ.อ้ายร่วมกับ 30 องค์กรนัดชุมนุมใหญ่ 28 ต.ค.อัดโครงการหลายแสนล้านช่วยกันโกงกินทุกระดับ

องค์การพิทักษ์สยามเรียกร้องนายกฯแก้ 3 ปัญหาเร่งด่วนของชาติทั้งการปกป้องสถาบันที่ถูกจาบจ้วง นักการเมืองเข้ามาบริหารแบบไร้ความสามารถ อัดเครือญาตินายกรัฐมนตรีและอภิมหาโครงการหลายแสนล้านทั้งแก้น้ำท่วมและรับจำนำข้าว นัดชุมนุมใหญ่ 28 ต.ค.ที่สนามม้านางเลิ้ง

เมื่อวันที่ 6 ต.ค. ที่สนามม้านางเลิ้ง องค์การพิทักษ์สยามโดยพล.อ. บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ หรือ เสธ.อ้าย ประธานมูลนิธีโรงเรียนเตรียมทหาร ในฐานะประธานองค์การพร้อมเครือข่ายภาคประชาชน 30 กว่าองค์กร ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์เรียกร้องให้รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร แก้ไขปัญหาสำคัญของชาติ

คำประกาศเจตนารมณ์ระบุว่านับตั้งแต่รัฐบาลบริหารประเทศมาเป็นเวลาปีเศษ ได้ก่อเกิดวิกฤตใหญ่ของประเทศอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน องค์การพิทักษ์สยามได้รับฟังความคิดเห็นจากประชาชน นักธุรกิจ ข้าราชการทหารตำรวจ เป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีบุคคล กลุ่มบุคคลจำนวนไม่น้อยได้เข้ามาระบายความอึดอัดให้ฟังอย่างต่อเนื่อง

เรื่องหลักใหญ่ๆ 3 เรื่องที่ประชาชนหลากหลายอาชีพทุกวงการ ทนไม่ได้ คือ

1.สถาบันหลักของชาติที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของประชาชนถูกบ่อนทำลายและจาบจ้วงมาอย่างต่อเนื่องโดยบางฝ่ายและบางส่วนมีความเกี่ยวข้องกับรํฐบาล โดยที่รัฐบาลไม่ดำเนินการจัดการอย่างจริงจัง และมีแนวโน้มทวีมากยิ่งขึ้นทุกวัน

2.นักการเมืองที่เข้ามาบริหารประเทศ นอกจากไม่สามารถแก้ไขปัญหาหลักของชาติได้แล้วยังกลับอาศัยอำนาจของฝ่ายบริหารและฝ่ายนิติบัญญัติสร้างอำนาจและความร่ำรวยเพิ่มขึ้นบนความเดือดร้อนทุกข์ยากของประชาชน และสร้างวิกฤตให้กับประเทศชาติถึงขั้นใกล้วิบัติล่มจม

3.เกิดการทุจริตคอร์รัปชั่นทุกระดับในรัฐบาล โดยเฉพาะรัฐมนตรีและบุคคลที่เป็นเครือญาติของนายกรัฐมนตรีและพี่ชาย โดยเฉพาะอภิมหาโครงการในการแก้ปัญหาน้ำท่วม และโครงการรับจำนำข้าวจากนโยบายประชานิยมที่ใช้งบประมาณหลายแสนล้านบาท

นอกจากประชนอึดอัดจนถึงขั้นทนไม่ได้แล้ว บรรดาข้าราชการพลเรือน ทหาร ตำรวจ ต่างเอือมระอากับพฤติกรรมการแทรกแซงข้าราชการของนักการเมืองบ้าอำนาจ โดยมีลักษณะเหยียดหยามและหมิ่นศักดิ์ศรีของข้าราชการอย่างหนัก

จากสภาพดังกล่าว ทางองค์การพิทักษ์สยามในฐานะตัวแทนของประชาชนทุกวงการที่ต้องพิทักษ์ผลประโยชน์ของประชาชนและประเทศ โดยเฉพาะการปกป้องรักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข จึงต้องออกมาแสดงเจตนารมณ์ให้กับประชนทั้งประเทศให้รับทราบ

จึงขอเรียกร้องให้รัฐบาลเร่งแก้ปัญหาใหญ่ทั้ง 3 ประการดังกล่าวโดยด่วน ทางองค์การพิทักษ์สยามจะเฝ้าติดตามการดำเนินการของรัฐบาลอย่างใกล้ชิด และจะมีการชุมนุมใหญ่ ในวันอาทิตย์ที่ 28 ตุลาคม 2555 เวลา 10.00 น. ณ ราชตฤณมัยสมาคม (สนามม้านางเลิ้ง) เพื่อแสดงท่าทีที่ชัดเจนต่อไป โดยในระหว่างนี้ ทางองค์การพิทักษ์สยามจะได้จัดเวทีรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนวงการต่างๆ รวมทั้งพร้อมจะแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับกลุ่ม องค์กรและหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้ได้ความคิดเห็นที่เป็นเอกภาพ โดยขอมติจากที่ชุมนุมใหญ่

“ทางองค์การพิทักษ์สยามมีความเห็นร่วมกันว่า 1.ภารกิจดังกล่าวเป็นภารกิจร่วมกันของประชาชนผู้รักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ และ 2.การที่จะสามารถแก้ไขปัญหาวิกฤตของประเทศชาติได้อย่างแท้จริงนั้น จำเป็นต้องอาศัยพลังสามัคคีของทุกฝ่ายอันกว้างใหญ่ไพศาลที่เป็นเอกภาพ องค์การพิทักษ์สยามจึงขอประกาศเจตนารมณ์ มาให้ทราบทั่วกัน”


Apac news

 


รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง