บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2555

Practical Report“เอ็งรู้มั้ยว่าข้าซี8 นะเว้ย!!” บทวิพากษ์กรณีข้าราชการตบบ้องหูโดยนักรัฐศาสตร์

วีระศักดิ์ เครือเทพ

คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย



ข่าวร้อนช่วงเช้าของวันที่ 11 มกราคม 2555 เป็นเรื่องเกี่ยวกับกรณีที่ข้าราชการกรมศุลกากรนายหนึ่งระดับซี 7 ซึ่งทําหน้าที ่ด้านบริการผู้โดยสารได้เดินผ่านด่านตรวจที่สนามบินสุวรรณภูมิ แต่ทว่าข้าราชการคนดังกล่าวไม่ยอมให้เจ้าหน้าที่ทําการตรวจค้นตามปกติ มิหนําซํ้ายังได้ลงมือทําร้ายร่างกายเจ้าหน้าที่คนดังกล่าวอีกด้วย !?! นี่แหล่ะสะท้อนถึงตัวตนของข้าราชการไทยและวิธีคิดในการทํางานของระบบราชการที่ควรเร่งปรับปรุงอย่างจริงจัง





สิ่งที่เคลือบแคลงใจเป็นอย่างมากก็คือตําแหน่งงานด้านบริการผู้โดยสารของกรมศุลกากร ซึ่งเป็นกรมที่มีหน้าที่รับผิดชอบการจัดเก็บภาษีนําเข้าและส่งออก มีตําแหน่งงานนี้เพื่ออะไร? ทําไมต้องบริการผู้โดยสาร(ซึ่งคงไม่ใช่ผู้ส่งออกหรือนําเข้า) ตําแหน่งงานนี้ไปสอดคล้องกับหน้าที่หลักในการจัดเก็บภาษีหรืออํานวยความสะดวกด้านการส่งออกนําเข้าอย่างไร หรือมีไว้เพื่ออํานวยความสะดวกด้านอื่นๆที่เกี่ยวกับประโยชน์ส่วนตนของคนในกรมศุลกากร สังคมไทยคงอยากได้คําตอบในเรื่องนี้อย่างไม่รอช้า….. อย่าลืมนะครับเงินเดือนค่าตอบแทนของข้าราชการคนนี้
ก็เงินภาษีของผมเหมือนกัน

ส่วนประเด็นที่ว่ากันว่าข้าราชการไทยชอบอวดเบ่ง โดยเฉพาะกับประชาชนผู้รับบริการหรือกับผู้คนที่มีฐานะหน้าที่การงานตํ่าต้อยกว่า ก็คงจะมีส่วนจริงไม่น้อยจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นนี้
ซึ่งจะเห็นได้จากคลิปวีดีโอที่เผยแพร่กันทั่วไปตอนนี้อย่างชัดเจน ตราบใดทีข้าราชการไทยจํานวนหนึ่ง (หรือส่วนมาก?) ยังมีวิธีคิดเช่นนี้เราคงได้เห็นเหตุการณ์แบบนี้อีกบ่อยครั้งโดยเฉพาะกับข้าราชการในตําแหน่งงานที่ต้องใช้อํานาจรัฐโดยตรง

เมื่อไหร่วิธีคิดเช่นนี้จะหมดไปจากข้าของราชการไทยเสียที ผมเองไม่อยากกลายเป็นเหยื่อแบบนี้และก็ไม่ต้องการให้ญาติมิตรหรือคนรู้จักของผมต้องกลายเป็นเหยือเช่นกัน มีบ้างไหมที ่จะกําหนดมาตรฐานด้านคุณธรรมและพฤติกรรมอันเหมาะสมของข้าราชการไทย (code of conduct) และบังคับใช้กันอย่างจริงจัง

สิ่งที่น่าสงสัยเป็นอย่างมากก็คือทําไมเมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ขึ้นเฉพาะหน้า เจ้าหน้าที่ตรวจค้นถึงยอมให้เรื่องนี้ผ่านไป นี่เป็นเรื่องการรักษาความปลอดภัยนะครับ !?! ถ้าเป็นประชาชนทั่วไปทําแบบนี้บ้าง คุณจะยอมให้ผ่านไปหรือไม่เราอาจได้เห็นแนวปฏิบัติที่มี “สองมาตรฐาน” ในเรื่องนี้และจะเห็นว่าระบบการทํางานของราชการไทยยังคงยอมอ่อนข้อหรือยกเว้นขั้นตอนการปฏิบัติให้แก่ผู้มีอํานาจ (หรือแสร้งว่าตนมีอํานาจ) แต่ประชาชนตาดําๆ มักได้รับการปฏิบัติที่ไม่เป็นธรรมและถูกกดขี่อย่างโหดร้าย

ข้าราชการ ต้องได้เวลาปรับตัว!!
หากจะอ้างว่าเจ้าหน้าที่เหล่านี้เป็นคนของบริษัทเอกชนที่รับช่วงต่อมาอีกที (out-source) ในการทําหน้าที่ตรวจสอบความปลอดภัย จึงไม่มีอํานาจดําเนินการใดๆ เลย ถ้าเป็นเช่นนี้
จริง เราคงต้องยกเครื่องกันใหม่ในเรื่องการจ้างเหมาภาคเอกชนให้รับช่วงภารกิจต่อจากภาครัฐ เพราะถ้าหากการจ้างเหมาภาคเอกชนทํา ให้มาตรฐานการทํางานในเรื่องนั้นๆ ตกตํ่าลงแล้ว ก็คงต้องทบทวนหรือยุติวิธีการบริหารงานเช่นนี้เสีย

ในประเทศสหรัฐอเมริกาเองซึ่งเป็นประเทศหนึ่งที่มีการจ้างเหมาภาคเอกชนกันเป็นอย่างมากยังได้เริ่มตั้งคําถามเกี่ยวกับข้อดีข้อเสียของการจ้างเหมาภาคเอกชนว่าท้ายที่สุดแล้วอาจไม่
ได้เป็นวิธีการที่ดีเสมอไป (1)เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้น่าจะเปิดประเด็นให้มีการทบทวนในวิธีคิดและวิธีการบริหารงานในลักษณะเช่นนี้กันต่อไป

ได้แต่สงสารประเทศไทยที่ไม่เคยรู้ร้อนรู้หนาวอะไร หากผมอยู่ร่วมในเหตุการณ์ครั้งนี้ผมคงต้องทําอะไร บางอย่างเป็นแน่ แท้…..

1. อ่านเพิ่มเติมจาก Larry D. Terry. 2006. “The thinning of administrative institutions”, pp.109-128 และ Barbara S. Romzek. 2006.
“Business and government”, pp. 151-178. ใน David H. Rosenbloom and Howard E. McCurdy (eds.). Revisiting Waldo’s
administrative state: Constancy and change in public administration. Washington, DC: Georgetown University Press.


Siam Intelligence Unit

10 หลักฐานใช้มัดแน่นมาร์ค-เทือกกรณีสลายการชุมนุม




Dream impossible dream:ศาลพิจารณาเห็นว่้่าผู้ต้องหามีอัตราโทษหนัก เป็นผู้บงการสังหารประชาชน หากให้ประกันตัวเกรงว่าจะไปยุ่งเหยิงกับหลักฐานพยาน และเกรงว่าจะหลบหนี จึงไม่ให้ประกันตัวและให้ตีตรวนส่งไปเข้าเรือนจำอยู่แดนเดียวกับอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง









ในวันที่ 8-9 ธันวาคมนี้อภิสิทธิ์กับสุเทพจะเข้าให้การต่อตำรวจนครบาลคดี 16 ศพวีรชนเสื้อแดงที่มีหลักฐานชัดเจนว่า ตายเพราะเจ้าหน้าที่ทหาร โดยที่ทั้งสองยังไม่มีทีท่าจะสำนึกผิด นอกจากการปัดไปว่า"เป็นเรื่องการเมืองที่รัฐบาลปัจจุบันตามเช็กบิล




คิวแรกเทพเทือกโดนตำรวจเค้น 4 ชั่วโมง อ่านรายละเอียดข่าว:เหลิมแทงใจดำทำไมชายหน้าดำไม่จับอ้างดีนักชายชุดดำฆ่าเสื้อแดง เปิด10หลักฐานมัดคอมาร์ค-เทือก









1.เอกสารที่สุเทพ เทือกสุบรรณ และพ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด สารภาพว่าเป็นของจริง




สาระสำคัญของเอกสารคือ:นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีขณะเกิดเหตุได้สั่งการ นายสุเทพรับมอบหมาย นายทหารตั้งแต่ผบ.ทบ.รับงานไปสังหารผู้ชุมนุม ผลคือตาย 92 ศพ เจ็บกว่า2,000 สุดท้ายจับกุมฝ่ายผู้ชุมนุมไปขังคุกไว้400คนเศษ




2.เอกสารที่ทหารยอมรับว่ามีการปฏิบัติการโฆษณาชวนเชื่อให้คนมองผู้ชุมนุมเสื้อแดงเป็นผู้ก่อการร้าย เพื่อออกใบอนุญาตฆ่า โดยคนในสังคมเห็นคล้อยตามไม่คัดค้าน


AW-SP-69-81

สาระสำคัญของเอกสารคือ:ทำไมการสลายการชุมนุมคราวนี้ได้รับการสนับสนุนจากประชาชนจำนวนมาก และสื่อกระแสหลักนำเสนอแต่ภาพเผาบ้านเผาเมือง ไฟไหม้ห้าง เผาโรงหนังสยาม(และคำบ่นว่า พวกเสื้อแดงเลวสมควรตาย)




คำตอบก็คือเพราะการทำโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล และทหารได้ผลมีประสิทธิภาพในการล้างสมองให้คนในสังคมคล้อยตาม



3.เอกสารแผนการรบเต็มอัตราศึกต่อผู้ชุมนุม และรายงานผลชัยชนะของฝ่ายทหาร




Lesson 7

สาระสำคัญของเอกสารคือ:ทหารยอมรับว่า นโยบายรัฐบาลชัดเจนมาตลอดที่จะใช้มาตรการทางทหารกดดันม็อบกลุ่ม นปช. ความชัดเจนก็คือนโยบายกระชับวงล้อม เพื่อการยุติ การชุมนุมไม่ใช้การกระชับวงล้อมเพื่อเปิดการเจรจา ..และนายกรัฐมนตรีได้สั่งการในที่ประชุม ศอฉ.ในวันที่ 12 พฤษภาคม ให้ฝ่ายทหารเริ่มต้นปฏิบัติการตามแผนยุทธการที่ได้วางไว้




ยุทธการกระชับวงล้อมเมื่อ 19 พฤษภาคม พ.ศ.2553 เป็นการปฏิบัติทางทหารเต็มรูปแบบ จึงเห็นได้ว่าภารกิจชัดเจน คือการกระชับวงล้อมด้วยกระสุนจริง ที่ใช้อาวุธยุทธโธปกรณ์ทางทหารเต็มอัตราศึก ทั้งกำลัง อาวุธประจำกายที่ทันสมัย ชุดสไนปอร์




4.เอกสารระบุชื่อนายทหารระดับบังคับบัญชาต่อกรณีสังหารผู้ชุมนุม10เมษา-19พฤษภาคม53
















สาระสำคัญของเอกสารคือ:เป็นการเปิดเผยรายชื่อนายทหารระดับผู้บังคับบัญชาในการควบคุมการสังหาร และรายชื่อเหยื่อผู้ถูกสังหาร ซึ่งทำให้รู้ชัดเจนว่านายทหารคนใดต้องรับผิดชอบทั้งทางอาญาและทางแพ่ง




เพิ่มเติม:

-โฉมหน้าและรายชื่อทีมสังหารโหดเหยื่อวัดปทุมฯ






-เปิดโฉม2มือสไนเปอร์สังหารเสื้อแดง




5.เอกสารคอป.ชุดอภิสิทธิ์ตั้งชี้ชัดทหารฆ่าอย่างน้อย 13 ศพ ต้องเอาผู้รับผิดชอบ และเจ้าหน้าที่ทหารขึ้นศาล แต่DSIถูกแทรก ขณะที่ศาลไม่เข้าใจทำให้ไม่ให้ประกันนักโทษเสื้อแดง




รายงานความคืบหน้า คอป ครั้งที่ 1

สาระสำคัญของเอกสารคือ:พบว่าอย่างน้อยผู้เสียชีวิต ๑๓ ราย เกิดจาก การกระทำของเจ้าหน้าที่ฝ่ายรัฐ ไม่มีตอนใดเลยกล่าวถึงชายชุดดำว่าเป็นผู้สังหารเหยื่อ10เมษายน-19พฤษภาคม 2553 แต่การทำงานของตำรวจและDSIถูกฝ่ายการเมืองแทรกแซง เพราะไม่มีการดำเนินคดีต่อทหารและฝ่ายการเมือง ขณะที่ศาลไม่เข้าใจเหตุการณ์กลับดำเนินคดีต่อนักโทษเสื้อแดงเหมือนคดีอาญาทั่วไป ไม่ยอมให้ประกันตัว แต่คอป.ไม่เห็นด้วยกับการนิรโษกรรม




6.คำให้สัมภาษณ์วงศ์ศักดิ์เรื่องสุเทพขอปืน3,000กระบอกไปปราบเสื้อแดง เมื่อไม่ร่วมมือก็ถูกเด้ง


สาระสำคัญ-นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ผู้อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) สั่งการด้วยวาจาทางโทรศัพท์ให้ นายวงศ์ศักดิ์ (อธิบดีกรมการปกครอง) สนับสนุนอาวุธปืนลูกซอง ๕ นัด จำนวน๓,๐๐๐ กระบอก พร้อมกระสุน ส่งมอบให้ ศอฉ. แต่นายวงศ์ศักดิ์ ชี้แจงว่า ตนไม่มีอำนาจสั่งผู้ว่าราชการจังหวัด แต่ปลัดกระทรวงมหาดไทย มีอำนาจบังคับบัญชาผู้ว่าฯ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นายสุเทพ ผอ.ศอฉ. ประสานงานมายังกระทรวงมหาดไทยให้มีการสั่งย้ายนายวงศ์สวัสดิ์




นายวงศ์ศีักดิ์ให้สัมภาษณ์ตีพิมพ์ในมติชนสุดสัปดาห์ ฉบับ๑๙-๒๕ ส.ค.๒๕๕๔ ปีที่ ๓๑ ฉ.๑๖๑๘ หน้า ๔๐ ตอนหนึ่งว่า การที่จะใช้ปืนลูกซองยาวไปปราบพี่น้องคนไทยนั้น ผมไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเสื้อสีใดก็แล้วแต่ ควรจะคุยกันรู้เรื่อง แก้ไขทางการเมือง ไม่ใช่มาแก้ไขด้วยอำนาจ ด้วยกระบอกปืน ทำให้ทางโน้นไม่พอใจว่า เราไม่ให้ความร่วมมือ แล้วเขาก็วางสายเลย




ฝากสื่อมวลชนไปติดตามดูหน่อยว่า ปืนที่ทางจังหวัดส่งไปให้ ศอฉ. ช่วงที่ผมถูกย้าย ยังได้คืนไม่ครบ ๓,๐๐๐ กระบอก เป็นความรับผิดชอบของใคร ปืนของหลวง เมื่อเอาไปใช้แล้วก็ต้องเอากลับมาที่เดิม




7.คอป.แฉใบสั่งDSI ตำรวจ อัยการเหวี่ยงแหยัดคุกเสื้อแดงแรงเกินเหตุ



สาระสำคัญ-นายสมชาย หอมละออ กรรมการ คอป. ในฐานะประธานอนุกรมการค้นหาข้อเท็จจริง ในงานด้านกฎหมาย เปิดเผยว่า ได้ตรวจสอบพบว่า ผู้ที่ถูกคุมขังนั้น ส่วนใหญ่ถูกตั้งข้อหาที่เกินเลยจากความเป็นจริง ซึ่งมีมากถึง 53 คน ที่ถูกตั้งข้อหาก่อการร้าย และวางเพลิง ซึ่งตามประมวลกฎหมายอาญามีโทษถึงประหารชีวิต




ทั้งนี้จากการสอบข้อเท็จจริงเกี่ยวกับการตั้งข้อกล่าวหากับพนักงานสอบสวน คือตำรวจ-DSI และพนักงานอัยการพบว่า การตั้งข้อหาดังกล่าวนั้นเกิดจากแรงกดดันของผู้บริหารระดับนโยบาย อีกทั้งการจับกุมและตั้งข้อกล่าวหายังเป็นในลักษณะของการเหวี่ยงแห ซึ่งเกิดขึ้นในพื้นที่ต่างจังหวัดและกรุงเทพฯ ทั้งนี้พนักงานสอบสวนและพนักงานอัยการยังไม่สามารถพิสูจน์พยานหลักฐาน




8.DSIแฉนโยบายเบื้องบนหากหาหลักฐานใครลั่นกระสุนไม่ได้ให้โยนบาปคนเสื้อแดง



สาระสำคัญ- BBC เปิดเผยในสารคดี Thailand - Justice Under Fire (ประเทศไทย-ความยุติธรรมที่ปลายกระบอกปืน) โดยอ้างรายงานการสัมภาษณ์เ้จ้าหน้าที่DSIว่า
"มีนโยบายให้กล่าวโทษคนเสื้อแดงในทุกกรณีเท่าที่จะเป็นไปได้ มีความพยายามจะออกคำสั่งว่า หากไม่พบผู้กระทำผิดให้โยนข้อกล่าวหาำไปให้ฝา่ยเสื้อแดง โดยอธิบดี DSI เป็นผู้ออกคำสั่ง"




"มีคำสั่งว่า หากไม่สามารถหาบุคคลที่เหนี่ยวไกปืนได้ เราจะต้องสันนิษฐานว่า ฝ่ายเสื้อแดงและผู้สนับสนุนเป็นคนทำ"


9.ไก่อูสารภาพซัดทอดมาร์ค-เทือกบงการ



สาระสำคัญ-พ.อ.สรรเสริญ แก้วกำเนิด โฆษกของศอฉ.เข้าให้การกับตำรวจเมื่อ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ระบุว่า "ศอฉ." ไม่ใช่องค์กรที่เกิดขึ้นเอง แต่มีขึ้นโดยคำสั่งของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกฯ ขณะนั้น และมีนายสุเทพ เทือกสุบรรณ รองนายกฯ ในขณะนั้น เป็นผอ.ศอฉ.




สรุปแบบเข้าใจง่ายๆ ก็คือ ทหารจะไม่สามารถนำกำลังเข้าสลายม็อบแดงได้เลย



หากไม่มีคำสั่งพิเศษจาก "ศอฉ." ! หากไม่เพราะอภิสิทธิ์-สุเทพสั่ง (อ่านรายงานข่าว:ทหารออกตัวล้อฟรีไก่อูเปิดปากซัดทอดมาร์ค-เทือกเต็มๆ มัดคอเป็นผู้สั่งการสังหารเมษา-พฤษภาเลือด)




10.สุเทพยอมรับกลางแยกราชประสงค์เป็นคนสั่งการเอง



สาระสำคัญ-เทือกยอมรับหน้าชื่นตาบานที่แยกราชประสงค์ก่อนการเลือกตั้ง 3 กรกฎาฯว่าเป็นคนออกคำสั่งเอง มาร์คไม่เกี่ยว





ผมเป็นผู้สั่งการทุกอย่าง แล้วผมเป็นคนรับผิดชอบ

 by

ท่านตรัสว่า “เดี่ยวเราจะกลับทางเรือเอง ให้ ฮ.เอาคนไข้ไปส่ง รพ.ก่อน”


ท่านตรัสว่า
“เดี่ยวเราจะกลับทางเรือเอง
ให้ ฮ.เอาคนไข้ไปส่ง รพ.ก่อน”
          ยายซุบ สามร้อยยอด เป็นหญิงชาวบ้านวัย 70 แห่ง บ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี  จังหวัด ประจวบคีรีขันธ์  ยากจนมาตังแต่ยังสาวจวบจนวันนี้  หากแต่เธอกลับยืนยันว่า เธอมีอดีตที่มีความหมายต่อชีวิตของแก  อดีตที่หมายถึงชีวิตใหม่  ไม่ว่าแกจะยังจนต้องขอเงินลูก ๆ 9 คนใช้ดังเช่นทุกวันนี้หรือจะมั่งมีศรีสุข  ถูกหวยรวยเบอร์อย่างไรก็ตาม  แกไม่เคยลืมเหตุการณ์ครั้งนั้น เหตุการณ์ที่ล่วงเลยมานานกว่า 40 ปี  การเสด็จพระราชดำเนินเยี่ยมเยียนราษฏรบ้านคุ้งโตนด อำเภอกุยบุรี  ไม่เพียงทำให้หมู่บ้านที่ยากจน  ล้าหลัง  ไม่มีแม้ถนนที่จะติดต่อกับโลกภายนอก ได้มีชีวิตที่ดีขึ้น  หากแต่การเสด็จพระราชดำเนินในครานั้นได้ทำให้หญิงคนหนึ่งมีชีวิตยืนยาวต่อมา จนถึงวันนี้ 
สมัยยังสาวยายเคยไปรับเสด็จในหลวงใช่ไหม ?          ยาย-ใช่ ตอนนั้นไปรับเสด็จที่ตีนถ้ำไทรในหมู่บ้านเรานี่แหละ ท่านเสด็จฯ มาทางเหนือ เราป่วยเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องมาครึ่งเดือนแล้ว แต่ไม่รู้หรอกนะตอนนั้นว่าเป็นไส้ติ่ง ปวดท้องนอนซม คนในบ้านบอกในหลวงจะมา เราก็อยากเห็น อยากไปรับเสด็จ แต่ปวดท้องจนเดินไม่ไหว เดินไม่ไหว แล้วไปยังไง ? 
        ยาย-ก็ให้คนหามไป ใส่เกวียนไปเลย 



ทำไมถึงเลือกไปเฝ้าในหลวง ไม่ไปหาหมอ ? 
        ยาย-ไม่ รู้สิ คืออยากเห็นตัวจริง ๆ ใกล้ ๆ นะ คิดในใจว่ายอมตายได้ แต่ขอไปรับเสด็จก่อน แลกตัวแลกชีวิตกันเลย พูดง่าย ๆ ว่าวัดดวงเอาเลย อีกอย่างตอนนั้นถ้าเราไปหาหมอก็ลำบาก เพราะน้ำแห้ง เรือเครื่องก็ไม่มี ถ้าไปก็คงไปไม่ถึง มันคงจะตายก่อน 


แล้วตอนนั้นได้ถวายอะไรท่านบ้างไหม ?         ยาย-ยกมือพนมยังจะไม่ไหวเลย จะให้ถวายอะไรอีก (หัวเราะเสียงดัง) 
แล้วได้เห็นท่านไหม ? 
        ยาย-ก็ ได้เห็นท่านอยู่ แต่ก็เห็นห่าง ๆ แล้วก็เห็นไม่นานเพราะว่าพระองค์ท่านต้องเสด็จฯ ไปที่ตีนเขาอีกลูกคนละฟาก ทรงไปดูเรื่องที่จะระเบิดเขาทำทางเข้าออกหมู่บ้าน 
ไส้ติ่งเรากำลังจะแตก แล้วรอดมาได้อย่างไร เกิดอะไรขึ้น ?
 

         ยาย-ตอน นั้นไส้ติ่งกำลังจะแตก เงินสักบาทก็ไม่มีติดตัว พอดีว่าพระราชินีท่านทรงเยี่ยมเยียนราษฏร แล้วทอดพระเนตรเห็นเรานั่งหน้าซีด พิงเพื่อน คือได้ตอนนั้นมันไม่ไหวจริง ๆ ท่านทอดพระเนตรเห็นก็คงสังเกตได้ว่าอาการเราไม่ดี พระองค์ก็ถามว่า เป็นอะไร ? ท่านบอกให้พูดธรรมดาก็ได้ เราบอกว่าเจ็บท้อง พระองค์ท่านตรัสถามต่อว่า เจ็บมากี่วันแล้ว ? เราก็บอกว่า เจ็บมาครึ่งเดือนเห็นจะได้ ท่านก็เลยบอกให้หมอที่มาด้วยตรวจดู 

แล้วหมอว่ายังไง ?
 

          ยาย-หมอบอกว่าไส้ติ่งกำลังจะแตก พอหมอบอกอยางนั้น พระองค์ท่านก็ทรงติดต่อไปที่ในหลวงซึ่งทรงอยู่ที่ตีนเขาอีกลูก 
รู้ได้ยังไงว่าสมเด็จพระนางเจ้าฯ ทรงติดต่อไปที่ในหลวง ?
 

          ยาย-รู้สิ เพราะเห็นในหลวง พระองค์ท่านทรงวิ่งจากตีนเขาลูกโน้นมาเลย ห่างกันถึง 1 กิโล (แค่นี้ก็ตื้นตันแทนคุณยายแล้ว)
รู้สึกอย่างไรบ้างในตอนนั้น ? 
          ยาย-ดีใจ แล้วก็ปลื้มใจแบบมาก ๆ ตอนแรกคิดว่ากำลังจะตายนี่ คิดว่าตัวเองรอดแน่ มันมีกำลังใจ คิดว่าขนาดพระเจ้าแผ่นดินยังเอาใจใส่เราขนาดนี้ เราจะตายไม่ได้ 
พอในหลวงเสด็จมาถึง ทรงตรัสว่าอย่างไรหรือไม่ ? 
          ยาย-ท่าน ให้เอา ฮ. มารับ ท่านตรัสว่า เดี๋ยวเราจะกลับทางเรือเอง ให้เอาคนไข้ไปส่งก่อน พอพระองค์ท่านตรัส หมอสองคนก็หิ้วปีกเราไป ในหลวงท่านทรงเมตตาเราไปจนถึงเครื่อง พอเราขึ้นไป ก่อนที่ประตู ฮ. จะปิด เราก็มองลงมาเห็นในหลวง ท่านทรงโบกพระหัตถ์ เราซาบซึ้งมาก ยิ่งบอกตัวของเราเลยว่าเราจะตายไม่ได้ 

ถ้าไม่มีในหลวงในวันนั้น ก็ต้องตายแน่ ? 
         ยาย-แน่นอน ไม่ต้องอะไรหรอก หมอบอกว่า มาช้ากว่านี้แค่ 2-3 นาที ก็ไม่รอดแล้ว แล้ววันนั้นอย่างที่บอกว่าเรือเครื่องก็ไม่มี น้ำก็แห้ง ไม่รู้ใช้เวลาครึ่งวันจะเดินทางไปถึงโรงพยาบาลหรือเปล่า ถ้าในหลวงไม่เสด็จมาที่นี่ วันนั้นก็ตายแน่ ตายทั้ง ๆ ที่ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นอะไรตาย 


เหมือนกับได้ชีวิตใหม่ ? 
         ยาย-ใช่ ชีวิตทุกวันนี้ถึงฉันแก่แล้ว แต่เมื่อนึกถึงวันนั้นทีไรรู้สึกเหมือนได้เกิดใหม่ทุกที ตอนนั่งดูโทรทัศน์ เวลาเห็นท่าน เราก็จะพนมมือไหว้ตลอด รู้สึกว่าท่านได้มอบชีวิตใหม่ให้กับเรา 

ตอนนั้นอยู่บน ฮ. เป็นอย่างไรบ้าง ?
 

         ยาย-จำ ไม่ค่อยได้ รู้แต่ว่าพอบินขึ้นไปพักใหญ่หมอก็ถามว่าเป็นยังไงบ้าง เราพูดไม่ค่อยไหว แต่ก็บอกไปว่าปวดท้อง บน ฮ. นอกจากเรา ก็มีหมออีก 2 คน แล้วก็คนขับอีก 2 คน จำได้แค่นี้ล่ะ ฮ. พาไปที่โรงพยาบาลไหน ? 
         ยาย-โรงพยาบาลพระมงกุฏฯ เพชรบุรี 

แล้วพักอยู่กี่วัน ? 
         ยาย-ปกติคนเป็นไส้ติ่งทั่วไปเขาพักกัน 3-4 วันก็ออกได้แล้ว แต่เราเป็นหนักต้องพักถึง 24 วัน ถ้าในหลวงไม่ช่วยก็ตายแน่ แล้วถ้าเราตาย ลูกเต้าก็ไม่รู้จะอยู่ยังไง ในหลวงท่านทรงเมตตา ทรงดูแลเราอย่างดี ห้องที่เราพักอยู่นี่ดีมาก เป็นห้องพิเศษเลย พูดตรง ๆ ว่า ดีกว่าบ้านที่ฉันอยู่อีก หมอก็นิสัยดี พูดจากับเราเพราะแล้วก็ใจดี 
        
** ในหลวง ท่านทรงห่วงใยเรามากมีคนมาเยี่ยม ถามอาการ ถามสารทุกข์สุขดิบทุกวัน คนใกล้ชิดพระองค์ท่านก็ถามเรานะว่า จะฝากอะไรถึงท่านไหม เราบอกให้ พระองค์ทรงพระเจริญ ทรงพระเจริญ พูดได้แค่นั้น มันตื้นตันจนนึกไม่ออก** 
หลังจากวันนั้นแล้วเป็นอย่างไร ? 
          ยาย-ไม่ มีโอกาสได้เข้าเฝ้าฯ พระองค์ท่านอีกเลย ถ้าเรามีโอกาส จะขอเข้าไปกราบแทบพระบาทเลย สิ่งที่พระองค์ท่านทรงช่วยเหลือเราไว้ เป็นความซาบซึ้งที่สุดในชีวิตแล้ว 
         
** คิ ดูสิโลกนี้จะหากษัตริย์อย่างท่านได้ที่ไหน เราเป็นแค่ชาวบ้านจน ๆ แต่ท่านห่วงเราเหมือนเราเป็นลูกพระองค์ท่าน ทรงห่วงเราเหมือนที่เราห่วงลูก ท่านทรงเสียสละแม้กระทั่งของส่วนพระองค์ ทรงยอมลำบากกลับทางเรือเพื่อคนอย่างเรา พูดตรง ๆ ว่าสิ่งที่พระองค์ทรงทำให้ฉันตายแล้วเกิดใหม่อีกสิบชาติก็ทดแทนไม่หมด** 
กลับมาบ้านแล้ว เป็นอย่างไร ?
 

         ยาย-ตอนที่ออกจากโรงพยาบาลใหม่ ๆ พระองค์ท่านก็ส่งเงินมาให้อยู่ถึง 1 ปี ครั้งละ 3-5 พันบาท ส่งมาหลายครั้งอยู่ เรารู้เพระว่าใส่ซองสีขาวประทับตราสำนักพระราชวัง จากเหตุการณ์นั้นทำให้เรารักในหลวงของเรามาก          แล้ว ทุกวันนี้ก็ยังน้อยใจตัวเองอยู่ ว่า เวลาที่ท่านป่วย เราก็ไม่มีเงินไปเฝ้า ไปแสดงความจงรักภักดีกับท่าน ได้แต่ร้องไห้อยู่กับบ้าน นั่งร้องไห้ทุกวัน ดูข่าวทุกวันไม่เคยเว้นเลย  ** ฉันอายตัวเองว่า ในขณะที่ท่านให้ชีวิตใหม่กับเรา แต่เราช่วยอะไรท่านไม่ได้เลย** 

การเสียสละของในหลวงคราวนั้น ได้เอามาปฏิบัติตามหรือไม่ ?
 

          ยาย-มี ส่วนมากเลย เวลาคนในหมู่บ้านเขาป่วยเป็นอะไร ฉันก็ไปเยี่ยมเขาทั่ว ไปไหนไปกัน มีใครเจ็บในหมู่บ้านนี่ฉันจะ ไปเยี่ยมหมด บางทีถึงไม่ใช่หมอ ไม่ใช่ญาติเขา แต่เราก็ไป ไปนั่งพูดคุยให้กำลังใจ บางทีก็ไปบีบให้นวดให้ นี่คือสิ่งที่ในหลวงให้เรา และเราให้คนอื่นต่อ 
         ** เมือง ไทยเราโชคดีที่มีในหลวง โชคดีมาก ๆ ไม่มีกษัตริย์ที่ไหนในโลกอีกแล้วที่จะเป็นห่วงชาวบ้านอย่างฉันเท่ากับท่าน คนอย่างเราเปรียบไปก็เหมือนมดปลวก แต่ท่านก็ยังใส่ใจ ท่านใส่ใจจริง ๆ เหมือนกับว่าคนไทย คือ ลูกของท่านทั้งแผ่นดิน**
*ขอขอบคุณ www.dek-d.com
ผ่าน ข่าวเจ้าพระยา

ปรับเดิมพันอนาคต?


Pic_230162 ยิ่งลักษณ์  -  ทักษิณ

เดาอารมณ์ไม่ออกเลย กับสีหน้าแววตาของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ในขณะเป็นประธานมอบถ้วยรางวัลชนะเลิศในการแข่งขันฟุตบอลมูลนิธิไทยคม เอฟเอคัพ และต้องจับมือแสดงความยินดีกับนายเนวิน ชิดชอบ ประธานสโมสร “ปราสาทสายฟ้า” บุรีรัมย์ พีอีเอ

ได้จังหวะปะหน้ากันจังๆกับ “น้องรักหักเหลี่ยมโหด” ของอดีตนายกฯทักษิณ ชินวัตร

แน่ นอน ตามมารยาททางสังคมมันจำเป็นต้อง “ปั้นหน้าใส่กัน” โชว์สื่อ แต่เบื้องหลังอย่างที่รู้ “เนวิน” คือเบอร์หนึ่งในบัญชีดำที่ “นายใหญ่” และแนวร่วมคนเสื้อแดง

“แค้นฝังหุ่น” ถอนไม่ขึ้น

เรื่องของ กีฬาก็ว่ากันไป แต่โดยเงื่อนไขทางการเมืองตามท้องเรื่อง “มันจบแล้วครับนาย” จนมาถึง “มันจบแล้วครับเน” อดีตลูกพี่กับอดีตลูกน้องรัก คงยากที่จะหวนกลับมาจูบปากกันเหมือนเก่า

อย่างไรก็ตาม ไม่ได้เหมารวมไปถึงพวกที่อยู่รอบข้าง “เนวิน” อย่างทีมมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำพรรคภูมิใจไทย ที่แปรสภาพเป็นอะไหล่ “เชียงกง”

หาง่าย ใช้คล่อง

โดยเฉพาะใน จังหวะที่ “ทักษิณ” ต้อง “วัดใจ” “บิ๊กเติ้ง” นายบรรหาร ศิลปอาชา หลงจู๊ใหญ่พรรคชาติไทยพัฒนา ตามเงื่อนไขที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ต้องการเวนคืนโควตากระทรวงเกษตรและสหกรณ์กลับมาให้คนพรรคเพื่อไทยนั่งกุม บังเหียน เพื่อความคล่องตัวในการเดินหน้าเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ

ถ้า “บรรหาร” ออกลูกเฮี้ยว โอกาสของ “สมศักดิ์” ก็ยิ่งเปิดกว้าง

ในเหลี่ยมที่ “นายใหญ่” ได้สองเด้ง ทั้งกั๊กเชิงกับ “บรรหาร” ไปพร้อมๆกับการโดดเดี่ยว “เนวิน”

สรุป ว่า สถานการณ์ของพรรคร่วมรัฐบาล ไพ่อยู่ในมือ “ทักษิณ” เลือกตีได้ แต่มันจะเหนื่อยยากกับการบริหารจัดการ “นกแล” ในพรรคเพื่อไทยซะมากกว่า

อย่าง ที่เห็นๆกัน พลันที่สัญญาณคลื่นความถี่ชัดขึ้นตามฤกษ์ปรับ ครม.หลังวันตรุษจีน ก็เร้าด้วยฉากโหมโรง บทบู๊ เปิดหน้าซัดกันตรงๆระหว่าง “เสี่ยแมว” นายวรวัจน์ เอื้ออภิญญกุล รมว.ศึกษาธิการ กับนายเวียง วรเชษฐ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย

คนค่ายเดียวกันเอง สาวไส้ประจานกันออกสื่อ

ฟ้อง อาการ “เน่าใน” ปัญหาเชิงบริหาร แม้แต่ผู้แทนฯพรรคเดียวกันยังไม่สบอารมณ์รัฐมนตรี งานนี้ถือเป็นจังหวะ “เขี่ยไฟ” ให้ควันลอยไปถึงเมืองดูไบ

ต้องรีบจำกัดวงไม่ให้ไฟลุกลาม

ตามปรากฏการณ์ซ้ำซ้อนกับอาการเกาเหลาในกระทรวงคมนาคม ที่รัฐมนตรี 3 คน พะยี่ห้อพรรคเพื่อไทยล้วนๆ แต่ไม่กินเส้นกัน โวยวายกันออกอากาศ

ปาดหน้าแย่งกันคุม “ขุมทรัพย์” ทองคำฝังเพชร

งานบริหารไม่ขยับ วนเวียนป้วนเปี้ยนอยู่กับผลประโยชน์ “ยิ่งลักษณ์” แทบไม่ต้องคิดมากอะไร

ตาม ข่าววงใน รายการปรับ ครม.รอบนี้ จะมีการสลับปรับเปลี่ยนกันอย่างน้อย 7-8 ตำแหน่ง เพื่อให้เกิดประสิทธิผลต่อการบริหารประเทศ เอื้อต่อการปั่นผลงานรัฐบาล

โดยสถานการณ์ไม่ใช่แค่การประคองเรตติ้งในเมืองไทย แต่ยังมีผลไปถึงสายตาของต่างชาติ

ตาม คิวที่นายยูคิโอ เอดะโนะ รัฐมนตรีกระทรวงเศรษฐกิจ การค้า และอุตสาหกรรม เดินทางเข้าพบนายกฯยิ่งลักษณ์ นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯและ รมว.พาณิชย์ กัปตันทีมเศรษฐกิจรัฐบาล และ นพ.วรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.อุตสาหกรรม รวมไปถึง “ด็อกเตอร์โกร่ง” นายวีรพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.)

เพื่อขอความมั่นใจในแผนบริหารจัดการน้ำ

ตาม ที่นายเอดะโนะพูดชัดเลยว่า ญี่ปุ่นเห็นว่าไทยยังเป็นแหล่งลงทุนที่น่าสนใจ โดยจะร่วมมือกับไทยในการฟื้นฟูประเทศหลังวิกฤติอุทกภัยให้ฟื้นตัวเร็วที่สุด อย่างไรก็ตาม ญี่ปุ่นก็จะจับตามองมาตรการช่วยเหลือและการป้องกันปัญหาน้ำท่วมที่รัฐบาลไทย ประกาศว่าจะไม่ให้เกิดเหตุซ้ำอีก อย่างใกล้ชิด

นักลงทุนต่างชาติจับจ้อง จึงต้องเน้นมือบริหารอาชีพเข้ามากระตุกความมั่นใจ

สำคัญ ยิ่งกว่านั้น ตามยุทธศาสตร์ของอดีตนายกฯทักษิณ ที่ตั้งธงไว้กับการเน้นลงทุนเมกะโปรเจกต์เป็นตัวกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจ ต้องเร่งลงทุนสารพัดโครงการเพื่อกระตุ้นภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวให้พลิกฟื้น ขึ้นมา อย่างที่เคยประสบความสำเร็จมาในยุคอดีตรัฐบาลไทยรักไทย ตามโปรแกรมทั้งการเดินหน้าโครงการขนส่งมวลชนขนาดใหญ่ รถไฟฟ้า รถไฟรางคู่ รถไฟความเร็วสูง รวมถึงเมกะโปรเจกต์บริหารจัดการน้ำ เขื่อน ฟลัดเวย์ ฯลฯ

เดิมพันอนาคตประเทศไทย เดิมพันเกมลากยาวของน้องสาว พ่วงเดิมพันอนาคตตัวเอง

“ทักษิณ” ต้องเฟ้นพวกมือถึงเท่านั้น.

ทีมข่าวการเมืองไทยรัฐรายงาน

เปิดแฟ้มสตช.คดีอาญา“เหลือง-แดง” พธม.152–นปช.615

           การเดินหน้าลดความขัดแย้งทางการเมืองเพื่อสร้างความปรองดอง สมานฉันฑ์ ให้เกิดขึ้นกับคนในชาติ ของฝ่ายต่างๆ กำลังดำเนินไปไม่หยุดหย่อน   
          รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ก็กำลังหาวิธีการอยู่หลังผ่านไป 4 เดือนยังไร้วิธีการที่เป็นรูปธรรม เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย พรรคแกนนำรัฐบาลที่ยัง
คงไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่าการคิดแค่ว่าถ้าจะปรองดองต้องแก้ไขรัฐธรรมนูญและออกกฎหมายนิรโทษกรรม 

  ขณะที่กรรมการชุดต่างๆที่ดูจะมีหน้าที่ในส่วนนี้อย่างคณะกรรมการอิสระตรวจสอบค้น หาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติหรือ คอป.ชุด
คณิต ณ นคร  ก็พบว่าข้อเสนอที่จะนำไปสู่การปรองดองยังไม่มีอะไรเป็นรูปเป็นร่าง  ส่วน”คณะกรรมการอิสระว่าด้วยการส่งเสริมหลักนิติธรรมแห่งชาติ”
หรือคอ.นธ. ที่มี "ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน"อดีตประธานรัฐสภาเป็นประธาน ดูจากชื่อและหน้าที่ตามที่คณะรัฐมนตรีแต่งตั้ง หลายคนก็คิดว่าจะเสนออะไร
ที่เป็นรูปธรรมไปให้รัฐบาลปฏิบัติ แต่ก็ยังไม่มีอะไรให้ต้องพูดถึงนอกจากเสนอแนวคิดเรื่อง”แก้รัฐธรรมนูญ”โดยไม่เอา”สภาร่างรัฐธรรมนูญ”

อย่างไรก็ตามล่าสุดรัฐบาลโดยที่ประชุมคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันอังคารที่ 10 มกราคม 2555 เห็นชอบกับข้อเสนอของ"คณะกรรมการประสาน
และ
ติดตามผลการดำเนินตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมอิสระ ตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ"หรือ (ปคอป.)ที่มี
ยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รองนายกรัฐมนตรีและรมว.มหาดไทยเป็นประธาน ที่ชงเรื่องให้ครม.เอาด้วยกับแนวทางที่คอป.เสนอมาตรการส่งเสริมการเยียวยา
และฟื้นฟูเหยื่อ ผู้เสียหาย ตลอดจนผู้ที่ได้รับผลกระทบจากความรุนแรง หรือความขัดแย้งทางการเมือง
           ด้วยการเตรียมช่วยเหลือเยียวยา ความเสียหายทางตัวเงินกับผู้ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมการเมืองตั้งแต่ก่อน 19 กันยายน 2549 ถึง 19 พ.ค. 2553
           เช่นเงินชดเชยกรณีการเสียชีวิต 4.5 ล้านบาท 2.เงินช่วยเหลือสำหรับค่าปลงศพ 2.5 แสนบาท/ราย รวมวงเงินที่จะใช้เพื่อการนี้ประมาณ 2 พันล้านบาท
           การปรองดองด้วยการช่วยเหลือทางการเงินก็เกิดขึ้นแล้ว อีกหนึ่งแนวทางที่หลายฝ่ายเรียกร้องโดยเฉพาะ”นักการเมือง-พรรคการเมือง-แกน นำกลุ่มเคลื่อนไหวการเมือง”ก็คือการต้องการให้”ลบล้างคดีความทางการเมือง” ทุกอย่างภายใต้เงื่อนเวลาเช่นเดียวกับการจ่ายเงินชดเชยข้างต้นคือให้ล้มล้าง คดีความการเมืองทุกอย่างตั้งแต่หลัง 19 กันยายน 2549 ถึง 19 พ.ค. 2553
          ซึ่งถือเป็นเรื่องใหญ่และจะก่อให้เกิดผลต่อเนื่องทางการเมืองตามมา หากมีการดำเนินการเรื่องนี้ โดยไม่มีการ"จำกัดความ-แบ่งแยกประเภทคดีความการเมือง"ให้ชัดเจนก่อนจะนำไปสู่การปรองดองหรือการนิรโทษกรรม
          เช่นหากมีการยกโทษความผิดคดีทุจริตคอรัปชั่น-คดีก่อการร้าย-การตัดสิทธิการ เมืองจากผลพวงคดียุบพรรคการเมือง พ่วงไปด้วยไปกับการนิรโทษกรรมหรือเรียกให้ซอฟท์ว่าการปรองดอง ในคดีการชุมนุมทางการเมือง ก็ย่อมทำให้เกิดแรงต่อต้านสูงจากคนในสังคมแน่นอน จึงต้องจับตาดูว่า หนทางการนิรโทษกรรมภายใต้การปรองดองเรื่อง”คดีความ”จะออกมาเช่นใด
          โดยในส่วนของ"คดีความผิดที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง"โดยเฉพาะ"เสื้อเหลือง-เสื้อแดง"ซึ่งมีการรวบรวมอย่างเป็นทางการโดย"สำนักงานตำรวจแห่งชาติ"(สตช.)เมื่อสิ้นปี 2554 ที่ผ่านมา
         “ทีมข่าวสารนโยบายสาธารณะ” ได้รับบันทึกสถิติ คดีความผิดที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมืองจากผู้ทำบันทึกดังกล่าวใน สตช. ซึ่งเป็นข้อมูลที่เป็นระบบมีการประมวลผลล่าสุดสามารถอ้างอิงได้ มานำเสนอไว้ในที่นี้ เพื่อจะได้รู้ว่า คดีความอาญาของฝ่ายเสื้อแดง-เสื้อเหลืองใน

“แฟ้มคดีของสตช.” 

         ที่มีแกนนำทั้งสองฝ่ายเช่น สนธิ ลิ้มทองกุล-พลตรีจำลอง ศรีเมือง หรือสายนปช.อย่างจตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ แม้แต่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีรวมอยู่ด้วย จนถึงปัจจุบันมีทั้งสิ้นกี่คดีและมีความคืบหน้าไปถึงไหนแล้ว โดยแยกออกเป็นความคืบหน้าหลักๆ ดังนี้

บันทึกคดีความผิดที่เกี่ยวข้องกับความขัดแย้งทางการเมือง

1.บัญชีความผิดที่กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยถูกดำเนินคดี 

         (นับจากที่พันธมิตรฯประกาศสงครามครั้งสุดท้ายขับไล่รัฐบาลพลังประชาชนทั้ง รัฐบาลสมัคร สุนทรเวช-สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ถึงเหตุการณ์บุกยึดสนามบิน คือตั้งแต่ 25 พฤษภาคม 2551 ถึง 2 ธันวาคม 2551 )
มีทั้งสิ้น 152 คดี 
แยกเป็น คดีความผิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพฯ จำนวน 3 คดี
คดีความมั่นคง ฝาฝืนพรก.ฉุกเฉินฯ มั่วสุม 23 คดี
คดีอาญาทั่วไป ประทุษร้ายต่อชีวิต ทรัพย์สิน 47 คดี
คดีความผิดฐาน หมิ่นประมาท จำนวน 79 คดี
ทั้งหมดสอบสวนเสร็จสิ้นหมดแล้ว
2.บัญชีความผิดที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือนปช.ถูกดำเนินคดี 
          (นับรวมตั้งแต่กลุ่มนปช.ปิดล้อมทำเนียบรัฐบาล ต่อเนื่องถึงเหตุการณ์กลุ่มคนรักเชียงใหม่ก่อความวุ่นวายตั้งแต่ 26 มีนาคม 2552 ถึง 22 ธันวาคม 2552 )
รวม 124 คดี 
แบ่งเป็น – คดีความผิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จำนวน 0 คดี
- คดีความมั่นคง ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่วสุม รวม 55 คดี
- คดีอาญาทั่วไป ประทุษร้ายต่อชีวิต ทรัพย์สิน รวม 69 คดี
ทั้งหมดสอบสวนเสร็จสิ้นหมดแล้ว
3.บัญชีคดีความผิด ที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ(นปช.) ถูกดำเนินคดีนับรวมตั้งแต่กลุ่มนปช.ได้ชุมนุมใหญ่ทางการเมืองที่สะพานผ่าน ฟ้าและเริ่มมีเหตุระเบิด จนปิดแยกราชประสงค์และเผาสถานที่ราชการ นับตั้งแต่วันที่ 21 มกราคม 2553 จนถึง 21 พฤษภาคม 2553 
รวม 591 คดี 
แยกเป็น
- คดีที่มอบให้กรมสอบสวนคดีพิเศษและคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ สอบสวนต่อรวม 259 คดี
-คดีความผิด หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวม 2 คดี
-คดีความมั่นคง ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มั่วสุม จำนวน 158 คดี
-คดีอาญาทั่วไป ประทุษร้ายต่อชีวิต ทรัพย์สิน 126 คดี
-คดีความผิด เกี่ยวกับเหตุระเบิด 46 คดี
รวมคดีที่อยู่ในความรับผิดชอบของตำรวจส่วนนี้ 332 คดี
          สอบสวนเสร็จแล้ว 327 คดี คงเหลือ 5 คดี ซึ่งคดีคงเหลือ 5 คดี เป็นคดีที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด 4 คดี ได้แก่ 1.คดีอาญาที่สน.โครกคราม 2.คดีอาญาที่สน.สุทธิสาร 3.คดีอาญาที่สน.บางโพงพาง 4.คดีอาญาที่สภ.เมืองเชียงราย ซึ่งเป็นคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และ 5.คดีรู้ตัวผู้กระทำความผิด 1 คดี ตามคดีอาญาที่ 981/53 ของสน.พญาไท ข้อหาฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ซึ่งคดีอยู่ระหว่างการสอบสวนพยานฝ่ายผู้ถูกกล่าวหา

คดีเสื้อเหลืองในชั้นอัยการ-ศาล 

         สำหรับข้อมูลการดำเนินคดีกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในชั้นอัยการและศาล
         พบว่าคดีที่กลุ่มพันธมิตรฯถูกร้องทุกข์กล่าวโทษมีทั้งสิ้น 152 คดี โดยสอบสวนเสร็จสิ้นหมดแล้ว  แยกเป็นของกองบัญชาการตำรวจนครบาล 43 คดี รู้ตัวผู้กระทำผิด 27 คดี ไม่รู้ตัวผู้กระทำผิด 16 คดี , กองบัญชาการตำรวจภูธรภาค 1 มี 54 คดี ,ภาค 2 มี 19 คดี ,ภาค 3 มี 30 คดี , ภาค 4 มี 1 คดี, ภาค 5 มี 2 คดี , ภาค 9 มี 1 คดี ส่วนกลางคือตร.มี 2 คดี ซึ่งจะพบว่าคดีในส่วนของพันธมิตรฯ ไม่มีคดีในกองบัญชาการตำรวจภูธรภาค   6 และ 7 แต่อย่างใด
         คดีสำคัญๆ ที่ “ทีมข่าวสารนโยบายสาธารณะ”ขอยกมาเช่น 
         1.คดีที่พ.ต.ต.ณัฐนิติ หลุ๊ดหล๊ะ และนายธนชาติ แสงประดับ ร่วมกันแจ้งความดำเนินคดีนายสนธิ ลิ้มทองกุล แกนนำพันธมิตรฯ ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เหตุเกิดที่สะพานมัฆวานรังสรรค์เมื่อ 20-21 กรกฏาคม 2551
          พฤติการณ์แห่งคดีคือตามวันเวลาเกิดเหตุ ผู้ต้องหาคือนายสนธิได้กล่าวปราศรัยในลักษณะหมิ่นประมาทดูหมิ่นสถาบัน (พูดซ้ำคำพูดของนางดารณี เชิงศิลปกุล)
          ผลการสอบสวน –คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นของบ ช.น.พิจารณาแล้วมีความเห็นว่าควรสั่งฟ้องและได้ส่งสำนวนพร้อมผู้ต้องหาไปให้ อัยการเมื่อ 22 มกราคม 2552 ความคืบหน้าคือคดีเสร็จสิ้นแล้ว อัยการมีความเห็นสั่งฟ้อง และนัดส่งตัวผู้ต้องหาไปเมื่อ 12 กุมภาพันธ์ 2553
         2.คดีที่นายธนชาติ แสดงประดับ ธรรมโชติ เข้าแจ้งความต่อสน.นางเลิ้งให้ดำเนินคดีนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ แกนนำพันธมิตรฯและอดีตส.ส.ระบบสัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กรณีความผิดฐานหมิ่นประมาทและดูหมิ่นสถาบันฯ เหตุเกิดเมื่อ 28-29 พ.ค. 2551 ที่เวทีพันธมิตร สะพานชมัยมรุเชษฐ์ โดยผู้กล่าวหาได้แจ้งความว่านายสมเกียรติได้เปิดอินเตอร์เน็ตเว็บไซด์ www.managerradio.com โดยได้ปราศรัยกล่าวหาเกี่ยวกับ โรงเรียนราชวินิตมัธยมเป็นโรงเรียนในสมเด็จฮุนเซน ซึ่งความจริงโรงเรียนดังกล่าวด้วยพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ พระราชทานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เป็นที่ดินพระราชทานให้ตั้งโรงเรียน ดังกล่าว และหมายถึงสถานที่อบรมกุลบุตรกุลธิดาในระดับมัธยม การพูดเปรียบเทียบดังกล่าวจึงเห็นว่าเป็นการดูหมิ่น
         ผลแห่งคดี-คณะกรรมการพิจารณาคดีหมิ่นของ ตร.พิจารณาแล้วมีความเห็นควรสั่งฟ้องและได้ส่งสำนวนฟ้องผู้ต้องหาไปให้ อัยการเมื่อ 8 มกราคม 2552 คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ
         3.คดีบุกทำเนียบรัฐบาล ซึ่งสำนักเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ได้แจ้งความต่อสน.ดุสิต โดยมีผู้ต้องหาคือพลตรีจำลอง ศรีเมืองกับพวก ร่วมกันบุกรุกทำเนียบรัฐบาลเนื่องจากวันเกิดเหตุคือ 26 มกราคม 2551 ผู้ต้องหากับพวกได้บุกรุกเข้าไปชุมนุมในทำเนียบรัฐบาลทำให้ทรัพย์สินของ ทำเนียบรัฐบาลเสียหาย โดยคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการ
         4.คดีที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แจ้งความดำเนินคดีนายไกรศักดิ์ ชุณหะวัณ อดีตสว.กรุงเทพมหานครและอดีตส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์ กรณีนายไกรศักดิ์ขึ้นเวทีปราศรัยเมื่อ 17 มิถุนายน 2551 ในความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาเพราะผู้ต้องหาได้ปราศรัยใส่ความหมิ่น ประมาทว่าไม่มีรัฐบาลยุคไหนที่มีการฆ่ามากเท่ากับรัฐบาลพ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งมีคนตายกว่า 2,500 ศพ
         อย่างไรก็ตามคดีนี้ บช.น.สั่งไม่ฟ้องและส่งสำนวนไปให้อัยการแต่อัยการสั่งให้ตำรวจสอบสวนเพิ่ม เติมทำให้คดีอยู่ระหว่างการสอบสวนเพิ่มเติมของตำรวจ
         5.คดีที่นายนพวุฒิ วรขิตวุฒิกุล ได้แจ้งความต่อสน.นางเลิ้งเอาผิดพลตรีจำลอง ศรีเมือง ในความผิดฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ เหตุเกิดเมื่อ 2 มิถุนายน 2551 ที่เวทีปราศรัยสะพานมัฆวานฯ พฤติการณ์แห่งคดีคือ วันเวลาเกิดเหตุ ผู้ต้องหากล่าวปราศรัยพูดถึงกรณีพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียเวศ อดีตผบ.ตร.ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งสมัยรัฐบาลสมัคร สุนทรเวช ว่าพล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ไม่ได้กระทำผิด ผู้กล่าวหาเห็นว่าพลตรีจำลองได้พูดภายหลังวันที่พระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ปลดพ.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ฯ ถือว่าเป็นการไม่เคารพ พระราชวินิจฉัย
         ผลการสอบสวนดำเนินคดี สรุปมีความเห็นสั่งไม่ฟ้องผู้ต้องหาทั้งหมด และเมื่อส่งสำนวนให้อัยการอาญาใต้ 3 อัยการก็มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องเช่นกัน ทำให้คดีเป็นที่ยุติ
พลิกแฟ้มคดีนปช.ศึกสงครามครั้งสุดท้าย“ไพร่-อำมาตย์”  
          ขณะที่ข้อมูลสถิติผลการดำเนินคดีความผิดอาญาทั่วไปที่เกี่ยวข้องกับการ ชุมนุมของกลุ่มนปช.ที่ชุมนุมใหญ่ที่สะพานผ่านฟ้าและสี่แยกราชประสงค์ โดยเริ่มเคลื่อนไหวกันตั้งแต่เดือนมกราคม 2553 จนถึงการสลายการชุมนุมเมื่อ 19 พ.ค. 2553
          พบว่าจากข้อมูลของสตช.พบว่า มีคดีเกิดขึ้นในกองบัญชาการต่างๆ รวมทั้งสิ้น 478 คดี แยกเป็นเช่น กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง 10 คดี ,กองบัญชาการตำรวจนครบาล 300 คดี
          ผลการสอบสวนคดีทั้งหมดพบว่า สอบสวนเสร็จสิ้นไปแล้ว 284 คดี –ส่งมอบให้หน่วยงานอื่นรับผิดชอบเช่น กรมสอบสวนคดีพิเศษ จำนวน 192 คดี คงเหลือคดีค้าง 2 คดี แยกเป็นคดีค้างที่บช.น.1 คดีคือคดีที่สน.พญาไท อยู่ระหว่างการนัดสอบปากคำพยานฝ่ายผู้ต้องหา และคดีอาญาที่สภ.เมืองเชียงราย เป็นคดีที่ไม่รู้ตัวผู้กระทำความผิด อยู่ระหว่างการสอบสวน
          คดีสำคัญๆ เช่น 1.คดีเอาผิดนายพรวัฒน์ ทองธนบูรณ์หรือเคทอง ลูกน้องพลตรีขัตติยะ สวัสดิผล หรือเสธแดง ในข้อหาทำผิดพ.ร.บ.อาวุธปืน เนื่องจากวันที่ 6 มีนาคม 2553 ที่บ้านพักเลขที่ 13 ย่านลาดกระบัง เจ้าหน้าที่ตำรวจจากสส.น.3 ได้ทำการตรวจค้นบ้านนายพรวัฒน์ พบอาวุธปืนและเครื่องกระสุนปืนอยู่ในความครอบครองโดยไม่ได้รับอนุญาต คดีอยู่ระหว่างการส่งฟ้องต่อศาล
          2.คดีนปช.ยกพวกบุกบ้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรี เหตุเกิดในพื้นที่สน.ทองหล่อ ผู้ต้องหาคือนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง โดยวันเกิดเหตุคือ 17 มีนาคม 2553 ผู้ต้องหากับกลุ่มนปช.ได้เคลื่อนตัวไปที่บ้านนายอภิสิทธิ์โดยนำเลือดบรรจุ ขวดพลาสติกจำนวนหลายขวดไปเทราดบริเวณหน้าบ้านพักแล้วใช้ถุงพลาสติกบรรจุ เลือดปาเข้าไปในบ้านจนแตกเปรอะเปื้อน คดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของอัยการเพื่อสั่งฟ้อง
          3.คดีเอาผิดนายยศวริศ ชูกล่อมหรือเจ๋ง ดอกจิก แกนนำนปช.ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์และทำให้เสียทรัพย์ เนื่องจากวันที่ 10 เมษายน 2553 ที่บริเวณเชิงสะพานสมเด็จพระปิ่นเกล้า เขตบางกอกน้อย ทางกองพันทหารราบที่ 11 โดยพ.ต.ปิยะณศณ์ ภัทรศาศวัตวงษ์ และกรมทหารราบที่ 29 โดยพ.ต.สุพล ดำก้อน ผู้กล่าวหาได้รับคำสั่งจากผู้บังคับบัญชาให้นำกำลังพลพร้อมยุทโธปกรณ์ไป รักษาความสงบเรียบร้อยบริเวณสี่แยกคอกวัว ต่อมานายยวริศ ผู้ต้องหาได้นำประชาชนปิดล้อมยานพาหนะที่จอดไว้และได้สั่งให้ประชาชนทำการ ยึดยุทโธปกรณ์และยังได้ทุบทำลายรถทรัพย์สินของราชการ
          ตัวอย่างที่ยกมาเป็นแค่ตัวอย่างคดีไม่กี่คดีเท่านั้นจากจำนวนคดีที่ทั้งฝ่าย พันธมิตรฯและฝ่ายนปช.มีคดีอาญาค้างอยู่ทั้งในชั้นตำรวจ-อัยการ-ศาล จำนวนหลายร้อยคดี ซึ่งบางคดีในแฟ้มสถิติดังกล่าว ศาลยุติธรรมก็มีการตัดสินคดีไปแล้ว บางคดีก็ยังไม่มีความคืบหน้าอะไร 
           กระนั้นหากมีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมออกมา คดีความทั้งหมดในแฟ้มนี้ที่เป็น "คดีการเมือง"จะกลายเป็น"ศูนย์"ในทางกฎหมาย
          คือเสมือนหนึ่งว่าไม่เคยมีความผิดใดๆเกิดขึ้นมาก่อน โดยตัวกฎหมายนิรโทษกรรมจะล้างความผิดทั้งหมด แม้ต่อให้ศาลมีการตัดสินไปแล้ว ตัวผู้ต้องหาหรือจำเลยที่ถูกศาลตัดสิน ก็จะถือว่าไม่เคยมีการกระทำความผิดนั้นเกิดขึ้นมาก่อนเลย ไม่เคยมีประวัติการถูกดำเนินคดีใดๆทั้งสิ้น
          ซึ่งหากมีการออกกม.มาจริง ไม่ใช่แค่แกนนำทั้งเสื้อเหลือง-เสื้อแดง จะได้ประโยชน์ ประชาชนคนธรรมดาที่เลือกสีในช่วงการชุมนุมทางการเมืองก็ได้ประโยชน์ด้วย เช่นเดียวกับ “นักการเมือง”ทั้งหลายที่จะได้อานิสงฆ์จากการนี้


 สถาบันอิศรา มูลนิธิพัฒนาสื่อมวลชนแห่งประเทศไทย
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง