บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2555

การเมืองปี 56 แก้รัฐธรรมนูญและปราสาทเขาพระวิหาร เป็นประเด็นร้อน


ปลอดประสพ.วิเคราะห์การเมืองปี 56 แก้รัฐธรรมนูญและปราสาทเขาพระวิหาร เป็นประเด็นร้อน

นายปลอดประสพ สุรัสวดี รองนายกรัฐมนตรี และรองหัวพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงสถานการณ์การเมืองในปี 2556 ว่า เริ่มตั้งแต่ต้นปีก็มีประเด็นเรื่องแก้รัฐธรรมนูญจะเป็นประเด็นใหญ่ที่สุด และเรื่องนี้รัฐบาลคงต้องใช้เวลาสักระยะในการดำเนินการ โดยเป้าหมายคือหาทางออกให้ดีที่สุดด้วยการสร้างอำนาจอธิปไตยที่แท้จริงตามที่พรรคได้หาเสียงไว้ว่า จะแก้ไขรัฐธรรมนูญและทำประชามติ ซึ่งรัฐสภาได้ผ่าน 2 วาระไปแล้วว่าให้แก้ไข ทั้งหมดแสดงให้เห็นว่าพรรคเพื่อไทย รัฐบาล และรัฐสภา ต้องการคืนอาจประชาธิปไตยให้คนไทยที่ถูกขโมยอำนาจอธิปไตยไปด้วยการปฏิวัติรัฐประหาร เปลี่ยนคัมภีร์ที่ถูกสร้างไว้เพื่อข่มเหงรังแกลิดรอนสิทธิเสรีภาพของประชาชนให้เกิดความถูกต้อง ส่วนจะแก้ไขมาตราใดและหน้าตาของรัฐธรรมนูญออกมาเป็นแบบใดสุดท้ายจะจบลงที่ประชาชนต้องเป็นเจ้าของประเทศมีสิทธิในการปกครองประเทศเต็มที่

นายปลอดประสพ กล่าวอีกว่า ตอนนี้การดำเนินการมาติดกับ เพราะคนที่ไม่ควรยุ่งแต่เข้ามายุ่ง ดังนั้นแนวทางทั้ง 3 ทาง คือ 1.ทำประชามติ 2.สองเดินหน้าโหวตวาระ 3 และ3.แก้ไขเป็นรายมาตรา เท่าที่ทราบมีรายละเอียดประเมิน 9-15 เรื่องที่สำคัญ และบางส่วนพรรคประชาธิปัตย์แก้ไขไปแล้ว แต่สุดท้ายจะเลือกทางใดต้องใช้เวลาให้พรรคสรุปเป็นเอกฉันท์ โดยเจ้าของโจทย์ที่เสนอแต่ละแนวทางต้องนำเสนอให้พรรคทราบที่มาและผลดีผลเสีย จากนั้นจะมีการแบ่งโจทย์ให้ไปศึกษาแล้วนำกลับมาคุยกันว่าวิธีถอดโจทย์หรือแนวทางปฏิบัติของทั้ง 3 ทางจะทำอย่างไร เมื่อชัดแล้วมาตัดให้เหลือเพียงหนึ่งเดียว โดยมีคำอธิบายข้อดีข้อเสียออกมาก่อนและทำความเข้าใจ ซึ่งตนก็มีโจทย์ของตัวเอง

เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่ว่าทั้ง 3 โจทย์ จะผูกมัดและเกิดผลเสียกับรัฐบาลหรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าว สิ่งที่รัฐบาลทำทุกวันนี้เพื่อให้ได้ประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงไม่เห็นว่าจะมีผลเสียอะไร จะให้อธิบายผลเสียของรัฐธรรมนูญ2550 มีผลเสียอย่างไร จนต้องแก้ไขก็สามารถอธิบายเหตุผลได้ 108 อย่าง เมื่อถามว่าประเมินว่าจะใช้เวลานานแค่ไหนที่จะแก้ไขแล้วเสร็จ รองนายกฯ กล่าวว่า ไม่รู้ และคิดว่าไม่มีใครกำหนดกรอบเวลา เพราะทั้ง 3 โจทย์ ก็มีคนที่เห็นด้วยแตกต่างกัน เป็นเรื่องที่พูดยาก ต่อข้อถามว่าเกรงว่าจะเกิดกระแสต่อต้านกับโจทย์ที่รัฐบาลสรุปหรือไม่ นายปลอดประสพ กล่าวว่า ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถแย้งเราได้เลยว่ารัฐธรรมนูญ 2550 มีข้อดีอย่างไร เพราะทุกคนก็เคยพูดว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้ไม่ดี รวมทั้งพรรคประชาธิปัตย์ก็เคยพูดเมื่อตอนหาเสียง แต่ตอนนี้มาเบี่ยงเบนว่าแก้เพื่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพื่อชวนให้เกิดการชุมนุมขึ้นอีก

นายปลอดประสพ กล่าวต่อว่า จากนั้นปลายปีจะมีประเด็นข้อพิพาทในพื้นที่ทับซ้อนบริเวณปราสาทเขาพระวิหาร เนื่องจากศาลโลกจะพิจารณาเรื่องนี้ และมองว่าจะบานปลายเพราะเราก็ไปถอนตัวของคณะกรรมการมรดกโลกแล้วทำให้เรื่องยิ่งบานปลายหนัก และมองว่าเรื่องนี้เราน่าจะเสียเปรียบทางกัมพูชา ซึ่งทั้งหมดเป็นผลจากที่พรรคประชาธิปัตย์ไปสร้างเรื่องเอาไว้ ไปยั่วยุ และเมื่อเราเสียเปรียบกลุ่มพันธมิตรฯก็จะออกมาโหมกระแสว่า เรื่องทั้งหมดเป็นความรับผิดชอบของรัฐบาลทั้งๆที่เราไม่เกี่ยวข้องเลย

ที่มา.กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++++

วันศุกร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2555

'สามารถ'สวนแนวคิดแก้รธน.'นพดล'

'นพดล' หนุนแนวคิดคนไทยให้อภัยกันวอนผู้ใหญ่ร่วมผลักดัน 'สามารถ' ซัดแนวคิดทำประชามติคู่แก้รธน.รายมาตราเพิ่มปัญหา ชี้วาระ 3 คาอยู่ยื่นรายมาตราไม่ได้

                    28 ธ.ค.55 นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมาย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ตามที่มีผู้ใหญ่ในบ้านเมืองออกมาให้ความเห็นว่าความเห็นต่างไม่ใช่อุปสรรคในการสร้างความสามัคคีและคนไทยควรให้อภัยกัน ส่วนตัวเห็นว่าความเห็นนี้ดี เพราะบ้านเมืองแตกแยกมานานตั้งแต่มีการยึดอำนาจในปี 2549 คิดว่าทุกคนอยากเห็นเมืองไทยเดินหน้าและสามัคคี ตนมีความคิดว่าการให้อภัยกันเป็นสิ่งที่ดี โดยบ้านเมืองจะเดินหน้าเต็มกำลังได้ ต้องเปลี่ยนแปลงแนวคิดในสองระดับ คือระดับผิวนอก และระดับแก่นใน ในระดับผิวนอกได้เวลาที่ทุกสีแห่งความขัดแย้งจะยิ้มให้กันได้ มองกันเป็นคู่แข่งแต่ไม่ใช่ศัตรู ชอบสีใดก็สังกัดสีนั้นต่อไป แต่เคารพสิทธิ์สีอื่น และยิ้มให้กันได้เพราะเป็นคนไทยเหมือนกัน ตนขอเรียกว่า "การเมืองสีทนได้"

                    นายนพดล กล่าวต่อว่า นอกจากนั้นต้องแก้ในระดับแก่นในด้วย คือต้องสร้างให้ประชาธิปไตยและหลักนิติธรรมเกิดขึ้นในประเทศไทยให้ได้ เราต้องเคารพเสียงส่วนใหญ่ และปฏิเสธการรัฐประหาร และมีการชี้ขาดข้อพิพาททางกฎหมายตามเนื้อผ้า ไม่ใช่ตามสีเสื้อผ้า เป็นหน้าที่ของผู้มีอำนาจทุกคนที่จะต้องสร้างการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนในระดับแก่นในให้ได้ ยิ่งผู้ใหญ่ในบ้านเมืองร่วมผลักดัน ยิ่งมีทางสำเร็จ และประโยชน์จะตกแก่คนไทยทุกคน

 

เผย'นายใหญ่'อยู่ปักกิ่ง-ปัด'ปู'บินพบ'แม้ว'

 

                    นายนพดล กล่าวถึงกรณีที่มีกระเเสข่าวว่าน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลาราชการ 1 วัน เเละมีกระเเสข่าวว่านายกฯไปฮ่องกง 3 วัน ว่าทราบว่าตอนนี้พ.ต.ท.ทักษิณ อยู่ที่กรุงปักกิ่ง สาธารณรัฐประชาชนจีน เเละเชื่อว่ากระเเสข่าวที่ว่านายกฯไปต่างประเทศนั้น นายกฯคงไม่ได้พบอดีตนายกฯ

 

'สามารถ'ซัดแนวคิดประชามติคู่แก้รธน.รายมาตรา
                    

                    นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย และคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลเพื่อศึกษาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 291 กล่าวถึงข้อเสนอของนายนพดลว่า เข้าใจในความหวังดีของนายนพดลที่ต้องการช่วยแก้ปัญหา แต่ดูแล้วไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะประตูที่นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญมีอยู่ช่องทางเดียวคือ มาตรา 291 ไม่ว่าจะแก้ไขเป็นรายมาตรา หรือทั้งฉบับ แต่ขณะนี้มาตรา 291 ยังมีการลงมติคาอยู่ในวาระ 3 จึงไม่สามารถยื่นแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตราเข้ามาอีกได้ หากไปเสนอให้ทำควบคู่กัน ก็อาจถูกยื่นร้องให้มีการตีความได้

                     "ยิ่งเป็นการสร้างปัญหาขึ้นมาใหม่อีก จึงต้องคิดให้รอบคอบ การจะแก้ไขเป็นรายมาตราได้ ต้องไปโหวตวาระ 3 ก่อนแล้วโหวตไม่ผ่าน หรือไปทำประชามติแล้วไม่ผ่าน จึงเสนอแก้รัฐธรรมนูญเป็นรายมาตราเข้ามาใหม่ได้ แต่ไม่สามารถทำควบคู่กันได้ ความคิดของนายนพดลดูเหมือนแก้ปัญหา แต่จริงๆ เป็นการสร้างปัญหาและเพิ่มปัญหาขึ้นมาใหม่" นายสามารถ ระบุ

 

 

 



วันศุกร์ที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2555

เจาะลึก “นครสวรรค์ ทีเอส ดี” บ.รับฝากข้าวรัฐบาล ที่ปล่อยสินค้าให้ GSSG IMP & EXPCORP จากจีน ตามสัญญา จีทูจี พบ กรรมการ-ผู้หุ้น นามสกุลเดียวกับอดีตที่ปรึกษารมต.บ้านเลขที่ 111 พรรคไทยรักไทย 


 


     จากกรณีปรากฏข้อมูลว่า บุคคลที่ได้รับมอบหมายจากบริษัท GSSG IMP & EXPCORP ของจีน ให้มาทำสัญญาซื้อข้ายข้าวกับกรมการค้าต่างประเทศ ในรูปแบบรัฐต่อรัฐ หรือจีทูจี ล้วนแล้วแต่มีความเชื่อมโยงกับบริษัท สยามอินดิก้า จำกัด เบื้องต้นคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 4 ธันวาคม 2555 ให้แต่งตั้งคณะอนุกรรมการไต่สวน นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ ไปแล้วนั้น 

     ล่าสุดสำนักข่าวอิศรา (www.isranews.org) ตรวจสอบเอกสารประกอบการระบายข้าวจีทูจี ให้กับ บริษัท GSSG IMP & EXPCORP ของจีน ตามข้อมูลที่พรรคประชาธิปัตย์ นำมาเปิดเผยในการอภิปรายไม่ไว้วางใจ ที่ผ่านมา พบว่า ในหนังสือมอบอำนาจของ บริษัท GSSG IMP & EXPCORP ลงวันที่ 15 พฤษภาคม 2555 ที่ระบุว่ามอบอำนาจให้ นายรัฐนิธ โสจิระกุล (ผู้ช่วย ส.ส.ในลำดับที่ 3 ของนางรพิพรรณ พงษ์เรืองรอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ภรรยานายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง) ผู้ดำเนินการแทน บริษัท GSSG IMP & EXPCORP

     ก่อนที่ นายรัฐนิธ จะมอบอำนาจให้ นายนิมล รักดี (เสี่ยโจว มือขวา“เสี่ยเปี๋ยง”เจ้าของบริษัทเพรสซิเดนท์ อะกริ เทรดดิ้ง จำกัด และผู้ก่อตั้งบริษัทสยามอินดิก้า) ดำเนินการรับมอบปลายข้าวขาว นาปี 2554/55 จากคลังสินค้า บจก. นครสวรรค์ ทีเอส ดี แวร์เฮ้าส์ (หลัง3) จังหวัดนครสวรรค์ จำนวน 5,000,000 กิโลกรัม

     จากการตรวจสอบข้อมูลการจดทะเบียนจัดตั้งบริษัท นครสวรรค์ ทีเอส ดี แวร์เฮ้าส์ จำกัด พบว่า จดทะเบียนเมื่อวันที่ 12 พฤษภาคม 2546 ทุน 40,000,000 บาท ตั้งอยู่ที่เลขที่ 9 หมู่ที่ 3 ตำบลย่านมัทรี อำเภอพยุหะคีรี จังหวัดนครสวรรค์ แจ้งประกอบธุรกิจ บริการรับฝากสินค้า ปรากฏชื่อนางอาภรณ์ สุเมธโชติเมธา น.ส. ณฤมณ สุเมธโชติเมธา และ นาย ชาญยุทธ สุเมธโชติเมธา เป็นกรรมการผู้มีอำนาจ 

      ข้อมูลจากกรมพัฒนาธุรกิจการค้า ระบุว่า เดิมที่บริษัท นครสวรรค์ ทีเอส ดี แวร์เฮ้าส์ จำกัด มีทุนจดทะเบียน 5 ล้านบาท ก่อนจะปรับเพิ่มเป็น 40 ล้านบาท เมื่อวันที่ 29 พฤษภาคม 2550 

      ช่วงเริ่มจัดตั้งแจ้งประกอบธุรกิจค้าวัสดุก่อสร้าง 

      กรรมการผู้มีอำนาจ มี 3 ราย คือ นางอาภรณ์ สุเมธโชติเมธา นางสาวนฤมล สุเมธโชติเมธา และ นางนุชนาฏ สิตปรีชา 

      ผู้ถือหุ้นมี 7 ราย (ทุน 5 ล้านบาท ) ประกอบไปด้วย นางอาภรณ์ สุเมธโชติเมธา 11,000 หุ้น นายชาญยุทธ สุเมธโชติเมธา 6,500 หุ้น นางวราภรณ์ สุเมธโชติเมธา 6,500 หุ้น นางสาวนฤมล สุเมธโชติเมธา 6,500 หุ้น นางนุชนาฏ สิตปรีชา 6,500หุ้น นางสาวนาตยา สุเมธโชติเมธา 6,500 นายชาญชัย สุเมธโชติเมธา 6,500หุ้น 

      ก่อนที่ นายชาญยุทธ สุเมธโชติเมธา จะแจ้งเข้ามาเป็นกรรมการเพิ่ม เมื่อวันที่ 18 พฤศจิกายน 2546 ขณะที่ นางนุชนาฏ สิตปรีชา แจ้งลาออกจากกรรมการ เมื่อวันที่ 21 ธันวาคม 2554 

      ส่วน “นางสาวนฤมล” แจ้งเปลี่ยนชื่อเป็น “นางณฤมณ สุเมธโชติเมธา” เมื่อวันที่ 3 กุมภาพันธ์ 2553 

      ทั้งนี้ รายชื่อ ผู้ถือหุ้น ล่าสุด ณ วันที่ 27 กันยายน 2555 หลังเพิ่มทุนเป็น 40 ล้านบาท ยังคงเหมือนเดิม แต่มีการปรับสัดส่วนหุ้นเพิ่มขึ้น โดยนางอาภรณ์ สุเมธโชติเมธา ถืออยู่จำนวน 88,000 หุ้น ส่วนนายชาญยุทธ สุเมธโชติเมธา นางวราภรณ์ สุเมธโชติเมธา นางสาวณฤมล สุเมธโชติเมธา นางนุชนาฏ สิตปรีชา นางสาวนาตยา สุเมธโชติเมธา นายชาญชัย สุเมธโชติเมธา ถืออยู่คนละ 52,000 หุ้น 

      จากการตรวจสอบพบว่า กรรมการและผู้ถือหุ้น บริษัท นครสวรรค์ ทีเอส ดี แวร์เฮ้าส์ จำกัด มีนามสุกลเดียวกับ นายชัชชัย สุเมธโชติเมธา อดีตที่ปรึกษานายวีระกร คำประกอบ ในช่วงดำรงตำแหน่งเป็นรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี เมื่อปี 2540 

      ทั้งนี้ นายชัชชัย สุเมธโชติเมธา ถูกศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยชี้ขาด กรณีจงใจไม่ยื่นบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สิน และเอกสารประกอบ ตามที่คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ยื่นเรื่องให้วินิจฉัย เมื่อวันที่ 2 สิงหาคม 2543 

      ส่วน นายวีระกร คำประกอบ เป็นอดีตกรรมการบริหารพรรคไทยรักไทย และเป็นหนึ่งในสมาชิกบ้าน 111 ที่ถูก วินิจฉัยเพิกถอนสิทธิ์ทางการเมือง เป็นเวลา 5 ปี ด้วย 

สำนักข่าวอิศรา

 

 

วันจันทร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555

ผ่าขุมทรัพย์กลุ่มบริษัท Saab AB ยักษ์ค้าอาวุธจากสวีเดนรวบงานในกองทัพ 7 โครงการ 2.8 พันล้าน ทร.-ทอ.มากสุด โยงหุ้นส่วนเครือข่ายนายหน้าดัง





กลุ่มบริษัท Saab AB (publ) จากประเทศสวีเดน ผู้ค้าอาวุธยุทธภัณฑ์ได้รับว่าจ้างจากหน่วยงานในกองทัพกว่า 2.8 พันล้านบาท

สำนักข่าวอิศรา www.isranews.org ตรวจสอบพบว่า ในรอบ 5 ปีที่ผ่านมากลุ่มบริษัท Saab AB (publ) ผู้ค้าอาวุธและเครื่องมือสื่อสารจากประเทศสวีเดน ได้รับว่าจ้างจาก 3 หน่วยงานในกองทัพ 7 โครงการ 2,842,365,634.71 บาท ในจำนวนเป็นโครงการที่มีวงเงินเกิน 300 ล้านบาทขึ้นไป 3 โครงการได้แก่

1.ซื้อซอฟท์แวร์โปรแกรมระบบ ACCS ด้าน CCIS: Control Information System และ CRC Segment พร้อมการติดตั้งการฝึกอบรม วงเงิน 535 ล้านบาทโดย กรมสื่อสารอิเล็กทรอนิกส์ทหารอากาศ กองทัพอากาศ เมื่อวันที่ 30 ก.ย. 2554
2.ซื้อระบบการรบ (Combat System) สำหรับเรือฟริเกต ชุดเรือหลวงนเรศวร วงเงิน 1,850 ล้านบาท โดยกองทัพเรือ เมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2554
3.ซื้อระบบเชื่อมโยงข้อมูลทางยุทธวิธีอัตโนมัติ (Tactical Data Link: TDL) พร้อมอุปกรณ์ประกอบ จำนวน 2 ระบบ สำหรับเรือฟริเกต ชุดเรือหลวงนเรศวร วงเงิน 358 ล้านบาท โดยกองทัพเรือเมื่อวันที่ 3 มิ.ย. 2554
ก่อนหน้านี้กลุ่มบริษัท ซาบ จากประเทศสวีเดนเป็นตัวแทนจัดจำหน่ายเครื่องบนกริฟเพ่นให้กองทัพอากาศ เป็นหุ้นส่วนธุรกิจกับ บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด (AVIA SATCOM CO.,LTD.) ผู้ขายเครื่องตรวจวัตถุระเบิด (เครื่อง GT 200) ให้หน่วยงานในกองทัพและอื่นๆเป็นเงินทั้งสิ้น 1,365,770,213 ในจำนวนนี้เป็นกองทัพอากาศถึง 818,526,636 บาท ที่เหลือเป็นกองทัพบก และกองทัพเรือ

ทั้งนี้ บริษัท เอวิเอ แซทคอม จำกัด (AVIA SATCOM CO.,LTD.) ก่อตั้งเมื่อวันที่ 16 กรกฎาคม 2535 ทุนจดทะเบียนเริ่มแรก 1 ล้านบาท ต่อมาเพิ่มทุนอีก 6 ครั้ง ล่าสุดวันที่ 24 กรกฎาคม 2554 เพิ่มเป็น 473,372,800 บาท ที่ตั้งเลขที่ 174/68-71 หมู่ 9 ถนนวิภาวดี แขวงสีกัน เขตดอนเมือง กรุงเทพฯ ที่ตั้งปัจจุบัน เลขที่ 19 ถนนพหลโยธิน แขวงดอนเมือง เขตดอนเมือง กรุงเทพมหานคร ณ วันที่ 14 กรกฎาคม 2554 ลิบราเวย์ จำกัด (นายสุทธิวัฒน์ วัฒนกิจ ถือหุ้นใหญ่ ร.อ.ขจรศักดิ์ วัฒนางกูร ร่วมเป็นกรรมการ) ถือหุ้นใหญ่ 2,628,849 หุ้น หรือ 55.53% บริษัท ซาบ เอบี จำกัด (มหาชน) จากสวีเดน 1,733,728 หุ้น หรือ 36.62% พล.อ.อภิชิต กานตรัตน์ 10,001 หุ้น หรือ 0.21%

นายสุทธิวัฒน์ มีบริษัทประกอบธุรกิจอุปกรณ์สื่อสาร เทคโนโลยี ซอฟแวร์ อีกอย่างน้อย 4 แห่ง ได้แก่ บริษัท ลิบราเวย์ จำกัด, บริษัท แอโรว์เทคนิค เอวิเอชั่น เซอร์วิส (ประเทศไทย) จำกัด, บริษัท เอวิเอ ซิสเต็ม จำกัด และ บริษัท เอวิเอ ซาบ เทคโนโลยี จำกัด ซึ่งเพิ่งก่อตั้งเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม 2552 ที่ผ่านมา (ให้บริการโครงข่าวสื่อสารและอุปกรณ์ซอฟแวร์) หุ้นส่วนธุรกิจของนายสุทธิวัฒน์ คือ พล.อ.อภิชิต กานตรัตน์ อดีตผู้ทรงวุฒิพิเศษกองบัญชาการทหารสูงสุด ร.อ.อ.ขจรศักดิ์ วัฒนางกูร มีความเกี่ยวกันทางธุรกิจกับ พล.อ.อ.ธเรศ ปุณศรี อดีตรองปลัดกระทรวงกลาโหม และประธานคณะกรรมการสถาบันเทคโนโลยีป้องกันประเทศ (องค์การมหาชน) ปัจจุบันเป็นประธานกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.)

ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจคณะรัฐมนตรีรัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เมื่อวันที่ 25 พฤศจิกายน 2555 ประเด็นหนึ่งที่ นายศิริโชค โสภา ส.ส.สงขลา พรรคประชาธิปัตย์ อภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหม กรณีอนุมัติให้กองทัพเรือว่าจ้างกลุ่มบริษัท SAAB ในการเปลี่ยนแปลงติดตั้งอุปกรณ์เรือรบหลวงนเรศวรว่าส่อทุจริต

วันอังคารที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เสธ.อ้าย ประกาศแช่แข็งประเทศไทย 5 ปี





โดย...ไพบูลย์ กระจ่างวุฒิชัย/ชัยรัตน์ พัชรไตรรัตน์
กระแสคัดค้านรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เริ่มมีให้เห็นเป็นระยะนับตั้งแต่ทำงานครบ 1 ปี โดยเฉพาะนโยบายประชานิยมที่เริ่มพ่นพิษ กระทั่งถึงจุดที่เกิดแรงต้านนอกสภาจากการประกาศชุมนุมขับไล่รัฐบาลของ “กลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม”
มีคำถามตามมามากถึง “เสธ.อ้าย” พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ประธานองค์การพิทักษ์สยาม ถึงเหตุผลในการชุมนุมวันอาทิตย์ที่ 28 ต.ค. ที่สนามม้านางเลิ้ง ท่ามกลางความแคลงใจว่าทหารเก่าผู้เคยเป็นกบฏ 26 มี.ค. 2520 ร่วมกับ พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ กำลังเปิดประตูสู่การรัฐประหารหรือไม่
“คงไม่มีเวลาไหนเหมาะสมกว่าตอนนี้อีกแล้ว ยิ่งนานไปรัฐบาลยิ่งทำไม่ดีมากขึ้นๆ จนชาวบ้านเขาชินชา แต่อย่างว่าทุกอย่างจะเอาเร็วไม่ได้ ต้องมีปัจจัยหลายอย่างนะ” เหตุผลแรกจากปากนายทหารใหญ่ที่ให้ไว้กับโพสต์ทูเดย์
เสธ.อ้าย เล่าถึงการมาเป็นผู้นำองค์การพิทักษ์สยามว่า มาจาก นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ แกนนำกลุ่มหลากสี พล.อ.สมเจตน์ บุญถนอม สว.สรรหา พล.ร.อ.ชัย สุวรรณภาพ อดีตรองผู้บัญชาการทหารสูงสุด วรินทร์ เทียมจรัส อดีต สว. อาจารย์ปราโมทย์ นาครทรรพ พล.อ.ปฐมพงษ์ เกษรศุกร์ อดีตประธานที่ปรึกษากองบัญชาการกองทัพไทย และคนอื่นๆ อีก มาคุยกันที่ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์
“พวกเขาไม่มีคนนำ เขาเลยขอให้ผมนำ ผมไม่รู้เหมือนกันนะว่าทำไมต้องเป็นผม แต่พวกเขาบอกว่าเขาขาดแคลนคนนำประเทศไทย
...ผมถามกลับไปยังที่ประชุมว่า ผมบารมีถึงหรือไม่ มีความรู้ความสามารถหรือเปล่า มีประโยชน์ต่อกลุ่มหรือไม่ และคำตอบที่ได้รับคือ มี จึงตอบกลับไปตรงๆ ว่า ผมรับ เลยเป็นที่มาและกำเนิดกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม”
จัดตั้งองค์การเพื่อล้มรัฐบาลนี้โดยเฉพาะ?
เสธ.อ้าย ยืนยันเสียงแข็งว่า “ไม่ใช่อย่างนั้น แต่ว่าตอนเริ่มตั้งกลุ่มก็เพื่อเดินสายทำบุญประเทศ แต่หลังมาเห็นการทำงานของรัฐบาลชุดนี้ว่าไม่ไหวจริงๆ จึงมาคิดกันต่อว่าจะทำอย่างไรเป็นที่มาของการชุมนุมครั้งนี้”
“การชุมนุมก็เพื่อนำเสนอข้อมูล 3 เรื่อง คือ 1.การปล่อยให้มีการพาดพิงสถาบันพระมหากษัตริย์ 2.รัฐบาลบริหารประเทศไร้ประสิทธิภาพ และ 3.เกิดการทุจริตคอร์รัปชัน ที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ถือเป็นหุ่นเชิดของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร 3.การบริหารงานของรัฐบาลไร้ประสิทธิภาพ”
ประเด็นไหนที่มองว่ารัฐบาลไปต่อไม่ได้แล้ว?
“ผมว่าคอร์รัปชันก็เป็นมะเร็งร้ายนะสำหรับผมในฐานะนายทหารมหาดเล็กนะ ผมว่าเรื่องจาบจ้วงผมทนไม่ได้ ผมมันอาจจะคนรุ่นเก่า แต่เป็นคนมีความกตัญญูรู้คุณต่อพระองค์ผู้ทรงคุณประเสริฐกับแผ่นดิน พระเจ้าอยู่หัวไม่เคยทำอะไรให้ราษฎรเดือดร้อนเลยนะ มีแต่ดูทุกข์สุขของประชาชน สร้างโน่นสร้างนี่ไปเยี่ยมเยียนราษฎรทุกหย่อมหญ้า ทุกอำเภอ ทุกตำบล โดยทรงไม่เห็นแก่ความยากลำบาก คิดโครงการต่างๆ ที่ดี โครงการน้ำ โครงการป่า โครงการเกษตร เยอะแยะไปหมด”
ด้านหนึ่ง พล.อ.บุญเลิศ ยอมรับถึงการเคลื่อนไหวขับไล่รัฐบาลว่า มีความยากลำบากและเหนื่อยมาก การเรียกคนเพื่อมาชุมนุมไม่ใช่ง่ายๆ กว่าจะติด วันที่ 28 ต.ค. จึงมีความสำคัญมาก ถ้ามวลชนมาน้อยทุกอย่างก็จบ แต่ถ้าคนไม่เยอะแล้วเราจะบอกรัฐบาลได้อย่างไรว่ามีคนไม่ชอบท่าน
“ถ้าวันที่ 28 จุดไม่ติดผมก็เลิก ภาษามวยเขาเรียกว่าไม่มีราคา ขายไม่ได้เน่าแล้ว ของค้างคืนไม่น่าจะได้ จบเลยไม่มีราคาจะไปเดินเกมทำไม ขนาดสื่อมวลชนช่วยกันขนาดนี้ยังไม่มีคนมาจะไปเดินอะไรก็ต้องจบ”
จะไล่รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งอย่างไร?
“ลำบากดิ ถ้าง่ายเขาก็ไล่กันไปหมด 15 ล้านเสียงของเขามันเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น ไม่รู้ว่าเลือกตั้งพวกท่านเปลี่ยนหีบมาหรือเปล่า ไปบีบบังคับราษฎรหรือเปล่า หรือท่านทำประชานิยมเขาชอบหรือเปล่า”
เมื่อถามถึงโมเดลข้อเสนอการแก้ไขปัญหาประเทศภายใต้สมมติฐานว่าไล่รัฐบาลยิ่งลักษณ์สำเร็จ เสธ.อ้าย ตอบว่า “เราก็จะมีคณะบุคคลขึ้นมาดูแล เหมือนเล่นบาสเกตบอล ถ้าทีมเกิดเพลี่ยงพล้ำก็ขอเวลานอกให้เอ็งหยุดเล่นกันสักพักได้ไหม 2-3 นาที ถ้าเป็นเวลาทางการเมืองก็อาจเป็น 1 ปี 2 ปี 3 ปี 5 ปีแล้วจากนั้นมาเลือกตั้งกันใหม่
...ถ้าปีเดียวแบบตอนปี 2549 ก็เจ๊งกันพอดี เดี๋ยวเขาก็แค่ไปหลบเดี๋ยวค่อยมาใหม่ ระยะเวลาประมาณนี้ก็ถือว่าไม่มากไปไม่น้อยไป แต่เราต้องทำให้แข็งแรง”
แช่แข็งประเทศไทย?
“ถูก...หยุดและให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้”
ซักไปว่า คณะบุคคลที่ว่ามานี้หมายถึงรัฐบาลแห่งชาติใช่หรือไม่ แล้วจะมีที่มาอย่างไร เสธ.อ้าย บอกว่า ก็แล้วแต่จะเรียก แต่ไม่ให้นักการเมืองเข้ามาดูแลบ้านเมือง เพราะลองนึกดูมีนักการเมืองคนไหนทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศบ้าง
“พูดง่ายๆ ก็เหมือนเป็นคณะปฏิวัติ แต่ปฏิวัติโดยประชาชนแทนที่จะเอาปืนไปจี้ให้เขาลงมาจากตำแหน่งแต่เป็นการเอาเป็นล้านไปบีบให้ลง ส่วนที่มาของคณะบุคคลก็อาจให้องค์กรวิชาชีพไปเลือกกัน เช่น ด้านสื่อมวลชนไปเลือกกันมา ด้านสาธารณสุขไปเลือกกันมา ด้านความมั่นคงไปเลือกกันมา เสนอชื่อกันเข้ามา เป็นต้น คณะบุคคลต้องมีจำนวนพอสมควร แต่ต้องไม่มากเกินไป ไม่งั้นมากหมอก็มากความ”
การสนทนาในประเด็นนี้เป็นไปอย่างเข้มข้น พล.อ.บุญเลิศ เล่าต่อถึงภารกิจ 4 ข้อที่คณะบุคคลต้องทำภายใน 5 ปี ระหว่างมีอำนาจ คือ 1.การแก้รัฐธรรมนูญ 2.การเพิ่มการศึกษา 3.การเพิ่มความรู้ให้กับประชาชนเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และ 4.นำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย เพื่อรับโทษตามกฎหมาย
เสธ.อ้าย อธิบายรายละเอียดแต่ละภารกิจว่า “อย่างรัฐธรรมนูญที่มีตั้ง 309 มาตรา ต้องทำให้มีมาตราน้อยๆ แต่ต้องชัดเจนและไปออกกฎหมายลูกแทน แต่ที่สำคัญต้องแก้เพื่อดูแลประชาชนให้ทั่วถึงสำคัญที่สุด
...จากนั้นต้องให้การศึกษาคนมากขึ้น และให้มีจรรยาบรรณ ศีลธรรม อบรมให้คนรู้จักผิดรู้จักถูก เพราะทุกวันนี้คนไม่รู้จักผิดชอบชั่วดีโดยเฉพาะนักการเมือง เพราะการเมืองปัจจุบัน คือ การใช้เงินไปเลือกตั้ง ท่านทราบไหม คนกว่าจะเป็นผู้แทนราษฎรจะต้องใช้เงินเท่าไร แค่ 20 ล้านบาทก็ลำบากแล้ว แล้วเขาจะเอาจากไหน เขาก็เอามาจากการทุจริต มันก็วนเวียนอยู่อย่างนี้ ส่วนการอบรมให้ความรู้ความเข้าใจสถาบันพระมหากษัตริย์มากขึ้น อาจถึงขั้นจำเป็นต้องแก้กฎหมายลงโทษการหมิ่นให้แรงขึ้น
“ต้องนำตัว พ.ต.ท.ทักษิณ กลับมาลงโทษให้ได้ หรือเงินที่ได้มาไม่ถูกต้องก็ยึด ก็จบ...ที่ผ่านมาที่ทำไม่ได้ ก็เพราะพระเอกกลัวตาย ผู้ร้ายกลัวเจ็บ เขาก็ไม่ทำจริง หนังเรื่องนี้เลยไม่สนุก”

จากข้อเสนอในการปฏิรูปประเทศทั้งหมด เสธ.อ้าย บอกแบบมั่นใจว่า เป็นไปได้และประเทศจะไม่เกิดการชะงัก
“ก็เป็นไปได้ถ้าคนมาก เยอะ แต่ตอนนี้ยังไม่ได้ไปถึงตอนนั้น ขอคิดแค่วันที่ 28 ต.ค. ก่อนว่าจะมีคนมาขนาดไหน ถ้าไม่ถึงล้านก็ขอหลายๆ แสน ไม่งั้นเขาก็ไม่กลัว ท่านมีเงินหมื่นจะไปทำธุรกิจได้มั้ย มีเงินแสนก็ไม่ได้ มันก็ต้องมีมากกว่า
...เรื่องประเทศชะงักไม่มี พูดกันไปเอง ประเทศไหนชะงัก ชะงักเรื่องอะไร มันไม่ได้มีชะงัก แต่คำว่าต่างชาติไม่เห็นด้วย คือ สื่อช่วยกันพูด หรือนักการเมืองมาบอกหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่จริงๆ ไม่มี พม่าก็ไม่เห็นชะงัก”
เสธ.อ้าย ทิ้งท้ายเสียงดังฟังชัดเพื่อตอบคำถามที่หลายคนคาใจว่า แนวทางนี้ไม่ใช่ประชาธิปไตย
“มันเป็นไปไม่ได้หรอกประชาธิปไตยมันมีที่ไหน เลอะเทอะ พูดกันส่งเดช ...แต่แนวทางผมแบบนี้จะดีกว่าที่ให้นักการเมืองมาทำ ไม่มีทางเลือกอื่น ต้องปฏิวัติโดยประชาชน เลือกตั้งเมื่อไหร่พรรคทักษิณก็ชนะตลอด ชนะตลอดกาล”
อดีตเสธ.อ้าย กบฏ 26 มี.ค. 2520
พลิกแฟ้มประวัติ “เสธ.อ้าย” แล้ว นับว่าเป็นนายทหารมากคอนเนกชันคนหนึ่ง เพราะมิเช่นนั้นคงไม่สามารถสวมหมวกในตำแหน่งสำคัญได้หลายใบในเวลาเดียวกัน ไม่ว่าจะเป็น ประธานมูลนิธิศิษย์เก่าโรงเรียนเตรียมทหาร นายกสมาคมมวยสากลสมัครเล่นแห่งประเทศไทยฯ รวมไปถึงเลขาธิการกิตติมศักดิ์ราชตฤณมัยสมาคมแห่งประเทศไทยฯ
แต่ที่น่าสนใจคือ การเป็นนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 1 ร่วมกับ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี
“กับ พล.อ.สุรยุทธ์ ยอมรับว่าสนิทกัน เพราะเป็นเพื่อนรุ่นเดียวกัน แต่วีรกรรมสมัยเก่าผมไม่ขอพูดถึง เดี๋ยวบางเรื่องอาจไม่ยอมรับ เอาเป็นว่าเรียนด้วยกันมา 7 ปี คิดว่าไม่สนิทกันเหรอ และเดี๋ยวนี้ พล.อ.สุรยุทธ์ เป็นสภานายกฯ ราชตฤณมัยให้” เสธ.อ้าย เลี่ยงไม่ตอบถึงความสัมพันธ์ที่มีต่อ พล.อ.สุรยุทธ์
เมื่อไม่อยากพูดถึงองคมนตรีท่านนี้เท่าไรนัก จึงขอตอบคำถามถึงสายสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นกับ “เสธ.หนั่น” พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี ผู้ร่วมเหตุการณ์กบฏ 26 มี.ค. 2520 แทน
ย้อนอดีต กบฏ 26 มี.ค. 2520 เป็นความพยายามก่อรัฐประหาร นำโดย พล.อ.ฉลาด หิรัญศิริ และนายทหารกลุ่มหนึ่งที่ต้องการล้มรัฐบาลของนายธานินทร์ กรัยวิเชียร ซึ่งมาจากการแต่งตั้งของคณะปฏิรูปการปกครองแผ่นดินของ พล.ร.อ.สงัด ชลออยู่ แต่ไม่สำเร็จ ถูก พล.ร.อ.สงัด เข้าปิดล้อม จนนำไปสู่การเจรจาและฝ่ายผู้ก่อการยอมมอบตัวและขอให้ผู้นำการปฏิบัติการครั้งนี้ลี้ภัยไปยังต่างประเทศ แต่ พล.อ.ฉลาด ผู้นำกบฏถูกจับและตัดสินประหารชีวิตด้วยการยิงเป้า
เสธ.อ้าย เล่าว่า “ผมกับ เสธ.หนั่น ติดคุกมาด้วยกัน หลังพ้นคุกอีกหลายปี ผมช่วยหาเสียงให้ เสธ.มาเรื่อยๆ พอท่านชวน หลีกภัย มาเป็นรัฐบาลสมัยสอง ผมไปเป็นหัวหน้าฝ่าย เสธ. รมว.กลาโหม อัตราพลเอก และได้เป็นพลเอกในตอนนั้นมา
...เวลานี้ เสธ.ก็โทรศัพท์มาถามว่า ‘อ้ายเกิดอะไรขึ้น ไล่รัฐบาลหรือ’ เราก็ตอบไปว่า ครับ และ เสธ.หนั่นก็บอกว่า ‘เดี๋ยวพี่จะมา’แต่ไม่ได้มาร่วมชุมนุม แต่คล้ายๆ ว่าจะเป็นห่วงว่าเรากำลังคิดอะไร”
เสธ.อ้าย ไม่ปฏิเสธการได้รู้จักกับ เสธ.หนั่น ทำให้คุ้นเคยกับพรรคประชาธิปัตย์พอสมควร จนได้รู้จักกับนักการเมืองมากหน้าหลายตา ไม่เว้นแม้แต่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีปัจจุบัน ที่ฝ่ายหลังนัดทานข้าวมื้อการเมืองก่อนชุมนุมใหญ่ไม่กี่วัน
“...ผมสนิทหลายคน เช่น คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ คุณนิพนธ์ พร้อมพันธุ์ คุณนิพนธ์ บุญญามณี เจือ ราชสีห์ ซึ่งส่วนใหญ่ก็เป็นคนในพรรคประชาธิปัตย์ แม้จะรู้จักกับคนในพรรคประชาธิปัตย์เยอะ แต่ผมไม่ใช่คนของพรรคประชาธิปัตย์ ผมไม่เอาทั้งนั้น
...ท่านเฉลิมกับผมรู้จักกันมานานมาก สมัยผมมียศเป็นพันโท ขณะที่ท่านเฉลิมเป็นสารวัตรตำรวจ มีนายทหารรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่บ้านเดียวกับผมที่ จ.สิงห์บุรี ท่านเฉลิมก็ไปดูการดูดทรายที่ จ.สิงห์บุรี ซึ่งอยู่ใกล้ๆ บ้านผมและรุ่นพี่ ทำให้รู้จักกันเรื่อยมา มาตอนนี้ลูกชายท่านกับลูกชายผมสนิทกัน”
ขณะเดียวกัน แม้ เสธ.อ้าย จะไม่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เพียงใดจนเป็นเหตุผลให้มานำม็อบไล่รัฐบาลของน้องสาวในวันที่ 28 ต.ค. แต่ในช่วงสั้นๆ ก็ได้เคยร่วมกันก่อน เสธ.อ้าย จะเกษียณอายุราชการปี 2545 ในตำแหน่ง “ประธานคณะที่ปรึกษากองทัพบก”
“เคยร่วมทำงานกับรัฐบาลสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ 1 ปี ก็มีโอกาสสัมผัสกันบ้าง แต่ด้วยตำแหน่งที่ผมมีค่อนข้างห่างกับนายกฯ อยู่แล้ว แต่ครั้งหนึ่งเคยทำงานร่วมกันเรื่องค่ายเพื่อนรักเพื่อน เพื่อปราบปรามยาเสพติด ซึ่งเคยอ่านรายงานให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ฟัง
ตอนที่ร่วมงานกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ก็มองว่าดี ที่ว่าดีเพราะขณะนั้นยังไม่มีปัญหา แต่หลังจากได้ฟังว่าเขามีปัญหาทางการเมืองในหลายเรื่อง ก็มีความไม่ชอบ...
การทำงานร่วมกัน ผมไม่เคยขอตำแหน่ง เพราะผมมีอัตรายศเป็นจอมพลแล้ว และไม่ได้เสียใจที่รัฐบาลทักษิณไม่ได้ตั้งให้เป็นโน่นเป็นนี่”

เสื้อแดงมหาดเล็ก
การสนทนาประเด็นกลุ่มเสื้อแดง “เสธ.อ้าย” เปิดใจว่า รู้จักกับ วีระ มุสิกพงศ์ จากเหตุการณ์กบฏในอดีต เพราะไปติดคุกด้วยกัน และขณะนั้น วีระ ก็เริ่มเข้าวงการการเมือง รวมไปถึง สุธรรม แสงประทุม
ทว่าบิ๊กทหารรายนี้ไม่ค่อยอยากพูดถึงวันวานที่มีต่อแกนนำเสื้อแดงรายนี้เท่าไรนัก แต่ขอเลือกที่จะระบุถึงความเป็นสีแดงในตัวเองมากกว่า
“ตอนพวกเขามาชุมนุมที่ทำเนียบรัฐบาล ผมไม่ให้ใช้ห้องน้ำของสนามม้านะ แต่ตอนพันธมิตรฯ เสื้อเหลืองผมให้ใช้นะ โอเค”
“เสื้อแดงคืออะไร สัญลักษณ์ของอะไร ชาติไม่ได้มีแต่สีแดง ผมก็เสื้อสีแดง สัญลักษณ์ของทหารมหาดเล็กรักษาพระองค์ หมายถึงทหารราบ...สถาบันพระมหากษัตริย์ไม่เคยทำให้ใครได้เจ็บช้ำน้ำใจเลย พระองค์เป็นผู้ทรงคุณประโยชน์ให้กับแผ่นดิน ทั้งน้ำ ป่า อาหาร พระองค์ท่านดูแลทุกเรื่อง รวมถึงพลังงานท่านรู้เรื่องหมด ทรงทราบเป็นอย่างดี
เสธ.อ้าย บอกว่า เสื้อแดงจะมาฟังวันที่ 28 ต.ค.ด้วยก็ได้ จะได้มารู้ว่าเขาใช้น้ำมันแพงเพราะอะไร มันไม่ใช่เพราะเสื้อสีนี้ สีนั้น หรือเสื้อแดงใช้น้ำมันถูก มันไม่ใช่
“คุณยิ่งลักษณ์เป็นนายกฯ ได้ ก็อาจมีคนบอกว่า ผมก็เป็นได้ ผมยังจดยังเขียนหนังสือดีกว่าอีก ต้องพูดความจริงนะ ถ้าไม่พูดความจริงก็ไม่ไหว คุณเป็นผู้นำระดับนายกรัฐมนตรี จะพูดถูกพูดผิดได้หรือ ไม่งั้นเอาใครก็ได้มาเป็นนายกฯ ผมก็เป็นได้” เสธ.อ้าย ตบท้าย

ที่มาgo6 

วันอังคารที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2555

เอกสารทางราชการของกรมโฆษณาการ ๘ พ.ค. ๒๔๘๙ สุนทรพจน์ ของ นายปรีดี พนมยงค์

เอกสารทางราชการของกรมโฆษณาการ  ๘  พ.ค.  ๒๔๘๙

สุนทรพจน์
ของ
นายปรีดี  พนมยงค์
แสดงในสภาผู้แทนราษฎร   วันที่  ๗  พฤษภาคม  ๒๔๘๙


ท่านผู้เป็นประธาน
                            ในวาระที่การประชุมของสภาผู้แทนราษฎรตามรัฐธรรมนูญฉบับ  พ.ศ.  ๒๔๗๕   จะได้สิ้นสุดลงในวันนี้  ข้าพเจ้าขอถือโอกาสเชิญชวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายให้ระลึกถึงพระมหา กรุณาธิคุณพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ซึ่งเป็นพระมหากษัตริย์ที่ได้พระราชทานรัฐธรรมนูญเมื่อ  พ.ศ.  ๒๔๗๕   พระราชประสงค์ของพระองค์ ซึ่งมีมาแต่ก่อนพระราชทานรัฐธรรมนูญนั้น   คณะราษฎร  พึ่งทราบเมื่อ  ๖  วัน  ภายหลังที่ได้เปลี่ยนแปลงการปกครองแล้ว  คือ  เมื่อวันที่  ๓๐  มิถุนายน   ได้มีพระกระแสรับสั่งให้พระยาพหลพลพยุหเสนา   พระยาปรีชา     ชลยุทธ   พระยามโนปกรณ์นิติธาดา  พระยาศรีวิสารวาจา  พร้อมทั้งข้าพเจ้าไปเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท  และเจ้าพระยามหิธร   ซึ่งเป็นราชเลขาธิการขณะนั้นเป็นผู้จดบันทึกมีพระกระแสรับสั่งว่า   มีพระราชประสงค์จะพระราชทานรัฐธรรมนูญ   แต่เมื่อได้ทรงปรึกษาข้าราชการมีตำแหน่งสูงในขณะนั้นก็ไม่เห็นพ้องกับ พระองค์   ในสุดท้ายเมื่อเสด็จกลับจากประพาสอเมริกา  ได้ให้บุคคลคนหนึ่ง ซึ่งไปเฝ้าในวันนั้นพิจารณา   บุคคลนั้นก็ถวายความเห็นว่ายังไม่ถึงเวลา  และที่ปรึกษาก็กลับเห็นพ้องด้วยบุคคลนั้น  คณะราษฎรมิได้รู้พระราชประสงค์มาก่อน             การเปลี่ยนแปลงได้กระทำโดยบริสุทธิ์ไม่ได้ช่วงชิงดังที่มีผู้ปลุกเสกข้อเท็จ จริงให้เป็นอย่างอื่น  ความจริงทั้งหลายปรากฏในบันทึกการเฝ้าทูลละอองธุลีพระบาทในวันนั้นแล้ว  และโดยที่พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  ทรงมีพระราชประสงค์มาก่อนแล้ว  หากมีผู้ทัดทานไว้  ฉะนั้น เมื่อคณะราษฎรได้ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ  พระองค์จึงพระราชทานด้วยดี   พระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัว  ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณแก่ชาวไทย   ข้าพเจ้าจึงขอให้ท่านทั้งหลายที่อยู่  ณ  ที่นี้  และบรรดาชาวไทยทั้งหลาย  จงระลึกถึงพระมหากรุณาธิคุณและเทิดพระเกียรติของพระองค์ไว้ชั่วกัลป์ปาวสาน
                            บัดนี้ผู้ก่อการขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และผู้ที่ได้ร่วมมือช่วยเหลืออันประกอบเป็นสมาชิกประเภท  ๒  ก็จะสุดสิ้นสมาชิกภาพลงแล้ว   ข้าพเจ้ารู้สึกว่ามีความจำเป็นที่จะต้องซ้อมความเข้าใจถึงหลักประชาธิปไตย ตามหลักรัฐธรรมนูญ   ซึ่งคณะราษฎรได้ขอพระราชทานมาจากพระบาทสมเด็จพระปกเกล้า ฯ   ว่าระบอบประชาธิปไตยนั้น  เราหมายถึงประชาธิปไตยอันมีระเบียบตามกฎหมายและศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต   ไม่ใช่ประชาธิปไตยอันไม่มีระเบียบ  หรือประชาธิปไตยที่ไร้ศีลธรรม  เช่น  การใช้สิทธิเสรีภาพอันมีแต่จะให้เกิดความปั่นป่วน  ความไม่สงบเรียบร้อย  ความเสื่อมศีลธรรม  ระบอบชนิดนี้เรียกว่า  อนาธิปไตย  หาใช่ประชาธิปไตยไม่   ขอให้ระวัง  อย่าปนประชาธิปไตยกับอนาธิปไตย  อนาธิปไตยเป็นภัยอย่างใหญ่หลวงแก่สังคมและประเทศชาติ  ระบอบประชาธิปไตยจะมั่นคงอยู่ได้ ต้องประกอบด้วยกฎหมาย ศีลธรรม และความซื่อสัตย์สุจริต  หรือในครั้งโบราณกาลเรียกว่าการปกครองโดยสามัคคีธรรม   การใช้สิทธิโดยไม่มีขอบเขตภายใต้กฎหมายหรือศีลธรรม  หรือใช้สิทธิโดยไม่สุจริต   ไม่ใช่หลักของประชาธิปไตย  ไม่ใช่หลักซึ่งคณะราษฎรขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ   และพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าฯ  พระราชทานรัฐธรรมนูญให้แก่ประชาชนชาวไทยนั้น   ไม่มีพระราชประสงค์ให้เป็นอนาธิปไตย  ข้าพเจ้าขอยกตัวอย่างประเทศอิตาลี   เมื่อก่อนสมัยมุสโสลินี  ซึ่งประชาธิปไตยของอิตาลีในขณะนั้นเข้าขีดที่ไม่มีระเบียบ   มีความอลเวง  จึงเป็นเหตุหรือให้พวกฟาสซิสต์อ้างเป็นเหตุในการสถาปนา ระบอบเผด็จการในประเทศอิตาลี  ข้าพเจ้าไม่พึงประสงค์ที่จะให้มีระบอบเผด็จการในประเทศไทย   ในการนี้ก็จำเป็นต้องป้องกันหรือขัดขวางมิให้มีอนาธิปไตยอันเป็นทางที่ระบอบ เผด็จการจะอ้างได้   ข้าพเจ้าเชื่อว่า  ถ้าเราช่วยกันประคองให้ระบอบประชาธิปไตยนี้  ได้เป็นไปตามระเบียบเรียบร้อยอย่างที่ข้าพเจ้าได้กล่าวมาแล้ว  ระบอบเผด็จการย่อมมีขึ้นไม่ได้  ข้าพเจ้าเป็นผู้หนึ่งที่ได้ร่วมกับเพื่อนคณะราษฎรขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ   ข้าพเจ้าได้ประคับประคองระบอบประชาธิปไตยตามรัฐธรรมนูญนี้ตลอดมา  แม้ในการต่อต้านญี่ปุ่น  ซึ่งในการต่อต้านนั้นอาจจะมีความจำเป็นที่จะต้องตั้งรัฐบาลชั่วคราว  แต่ข้าพเจ้าก็เลือกเอาทางที่จะตั้งรัฐบาลตามระบอบรัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่  ข้าพเจ้าไม่มีเหตุผลอันใดที่จะกลายมาเป็นศรัตรูของประบอบประชาธิปไตย   ข้าพเจ้าสังเกตว่า  มีผู้เข้าใจระบอบประชาธิปไตยผิดโดยเอาระบอบอนาธิปไตยเข้ามาแทนที่   ซึ่งเป็นภัยต่อประเทศชาติอย่างร้ายแรง  ข้าพเจ้าไม่ประสงค์ที่จะให้ผู้ใดเชื่อข้าพเจ้าโดยไม่มีค้าน   ข้าพเจ้าต้องการให้มีค้าน   แต่ค้านโดยสุจริตใจ  ไม่ใช่ปั้นข้อเท็จขึ้น  ทางธรรมนั้นการกล่าวเท็จหรือมุสาวาทก็เป็นผิด   ในทางการเมืองการใช้สิทธิตามระบอบประชาธิปไตยต้องทำโดยความบริสุทธิ์ใจ  มุ่งหวังผลส่วนร่วมจริง ๆ  ไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว   หรือมีความอิจฉาริษยา อันเป็นมูลฐานเนื่องมาจากความเห็นแก่ตัว (เอโกอิสม์)  ความสามัคคีธรรม หรือระบอบประชาธิปไตยอันแท้จริง  จึงจะเป็นไปได้  ผู้ใดมีอุดมคติของตนโดยสุจริต   ข้าพเจ้าเคารพให้ผู้นั้น   และเราร่วมมือกันได้   ข้าพเจ้าเชื่อว่า  ถ้าต่างฝ่ายต่างสุจริตมุ่งส่วนรวมของประเทศชาติไม่ใช่มุ่งหวังส่วนตัว  แม้แนวทางที่จะเดินไปสู่จุดหมาย  จะเป็นคนละแนว   แต่ในอวสานเราก็พบกันได้   ข้าพเจ้าขออ้างเจ้านายหลายพระองค์  ซึ่งเดิมท่านมีแนวทางอย่างหนึ่ง และข้าพเจ้ามีแนวทางอีกอย่างหนึ่ง   แต่เจ้านายหลายพระองค์นั้น  ท่านก็มีจุดหมายเพื่อส่วนรวมของประเทศชาติ   ไม่ใช่ส่วนพระองค์   ผลสุดท้ายเราก็ร่วมมือทำงานด้วยกันมาเป็นอย่างดีในการรับใช้ประเทศชาติ  และรักใคร่กันสนิทสนมยิ่งเสียกว่าผู้ซึ่งเอาประเทศชาติเป็นสิ่งกำบังแต่ความ จริงมุ่งหวังในประโยชน์ส่วนตัวมาก    ผู้ที่คอยอิจฉาริษยา  เมื่อไม่ได้ผลสมหวังแล้วก็ทำลายกิจการอันเป็นประโยชน์ต่อประเทศชาติ    แทนที่จะเสริมก่อให้เกิดประโยชน์แก่ประเทศชาติอันเป็นส่วนรวม   ผู้ที่ทำการปฏิปักษ์ต่อคณะราษฎรแต่โดยมีอุดมคติซื่อสัตย์ต่อองค์พระมหา กษัตริย์  ข้าพเจ้าเคารพในความซื่อสัตย์  ซึ่งมีตัวอย่างอยู่มากหลายที่ผู้ซื่อสัตย์เหล่านี้ได้ร่วมกิจการรับใช้ชาติ กับข้าพเจ้า   ท่านเหล่านี้ไม่ต้องวิตกกังวล  แต่ผู้ซึ่งแสดงว่าซื่อสัตย์ต่อพระองค์พระมหากษัตริย์ในภายนอก  ส่วนภายในหวังผลส่วนตน หรือมูลสืบเนื่องมาแต่ความไม่พอใจเป็นส่วนตนเช่นนี้แล้ว  ก็เกรงว่าผู้นั้นก็อาจหันเหไปได้สุดแต่ว่าตนจะได้รับประโยชน์ส่วนตัวอย่าง ไหนมากกว่า 
                                   ข้าพเจ้าหวังว่า  ท่านสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรทั้งหลายคงจะใช้สิทธิของท่านด้วยความบริสุทธิ์ใจ   และอาศัยกฎหมายและศีลธรรมความสุจริตเป็นหลัก  ไม่ช่วยกันส่งเสริมให้มีระบอบอนาธิปไตย  ข้าพเจ้าขอฝากความคิดไว้ต่อท่านผู้แทนราษฎรทั้งหลาย  โดยเป็นห่วงถึงอนาคตของชาติ  ข้าพเจ้าปรารถนาที่จะได้เห็นประเทศชาติปลอดจากระบอบเผด็จการ  และปลอดจากระบอบอนาธิปไตย  คงมีแต่ระบอบประชาธิปไตยอันพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรม   ระบอบประชาธิปไตยโดยพรั่งพร้อมไปด้วยสามัคคีธรรมนี้  เป็นวัตถุประสงค์ของคณะราษฎรที่ขอพระราชทานรัฐธรรมนูญ และเป็นพระราชประสงค์ของพระบาทสมเด็จพระปกเกล้าเจ้าอยู่หัวที่พระราชทานรัฐ ธรรมนูญข้าพเจ้าขอขอบคุณสมาชิก สภาผู้แทนราษฎรที่ได้ให้ความร่วมมือ  และช่วยเหลือรัฐบาลนี้ด้วยดี  ขออวยพรให้ท่านทั้งหลายประสบความสุขความสำราญ  และในอวสานขอเชิญชวนท่านทั้งหลายขออวยพรให้ระบอบประชาธิปไตย  พรั่งพร้อมด้วยสามัคคีธรรมตามรัฐธรรมนูญ  จงสถิตสถาพรอยู่ในประเทศไทยชั่วกาลปวสาน
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง