บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 13 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำลายของทักษิณ มีค่าน้อยกว่าส้วมกระดาษ ดีแต่โม้ - ดีแต่โม้ - ดีแต่โม้ (สารส้ม)

( สารส้ม )

วันนี้ ขออนุญาตไม่พูดอะไรมาก...

เพราะยอมรับว่าพูดไม่ออกบอกไม่ถูก กับท่าทีล่าสุดของ "ทักษิณ ชินวัตร" ผู้ร้ายหลบหนีอาญาแผ่นดิน ผู้ถูกศาลฎีกาฯ พิพากษายึดทรัพย์อันได้มาโดยมิชอบตกเป็นของแผ่นดิน มูลค่ากว่า 46,000 ล้านบาท เนื่องจากได้อาศัยอำนาจรัฐเอื้อประโยชน์แก่ตนเองโดยมิชอบ

บ้านเมืองกำลังวิกฤติ น้ำท่วมครึ่งค่อนประเทศ คนตายมากมาย (มากกว่าประเทศเวียดนามเสียอีก)

ขณะนี้ คนไทยทุกภาคส่วน ชุกชั้นชน กำลังพยายามช่วยเหลือกันและกันอย่างเต็มที่

มีเงินช่วยเงิน มีแรงช่วยแรง มีศักยภาพด้านการสื่อสารผ่านโลกออนไลน์ก็ช่วยกันเต็มที่

สมเด็จพระเทพฯ ทรงพระกรุณาฯ เสด็จลงพื้นที่น้ำท่วม เป็นขวัญกำลังใจและพระราชทานถุงยังชีพแก่พสกนิกรชาวไทยผู้เดือดร้อน ยังกำลังใจและความปลาบปลื้มไปสู่คนไทยผู้ได้รับความเดือดร้อนในทุกพื้นที่ทั่วประเทศ และเป็นแรงบันดาลใจให้คนไทยอีกจำนวนมากมีความอุตสาหะ พยายามที่จะช่วยเหลือพี่น้องร่วมชาติมากขึ้นไปอีก

ผู้นำเหล่าทัพทุกหมู่เหล่า ระดมสรรพกำลังเต็มที่ ทัพบก ทัพเรือ อากาศ ไม่มีใครอยู่นิ่ง

ผู้นำฝ่ายค้านก็เดินสายลงพื้นที่ช่วยเหลือ แถม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ก็ถึงกับสมัครใจหักเงินเดือนหลายล้าน ช่วยผู้ประสบภัย โดยไม่แบ่งแยกว่าใครเสื้อสีใดทั้งสิ้น

น่าเสียดายที่ยังคงมีคนเสื้อแดงบางพื้นที่ ไม่กี่คน ไม่รู้กาลเทศะ บ้าไม่เลิก

น้ำท่วมแท้ๆ ก็ยังอุตส่าห์ไปเล่นเกมการเมือง ตั้งป้อมด่าทอผู้นำฝ่ายค้าน จนเกือบจะถูกชาวบ้านด้วยกันเล่นงานบานปลาย

ไม่ต่างกับอำมาตย์เสื้อแดงที่ยังเดินเกมการเมือง จุดไฟความแตกแยกไม่หยุดหย่อน

และไม่ต่างกับ "ทักษิณ ชินวัตร" ที่ยังบ้าน้ำลายไม่เลิก!

ล่าสุด... ทักษิณให้สัมภาษณ์กับผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ที่เมืองดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ คุยโวหาเสียง หวังเอาดีเข้าตัวอย่างไม่ดูกาลเทศะ โม้ถึงการฟื้นฟูหลังน้ำท่วมว่าสามารถหาเงินให้ได้อย่างน้อย 1 แสนล้านบาท โดยไม่จำเป็นต้องกู้ และจะแก้ไขปัญหาน้ำอย่างบูรณาการ โดยใช้เงินถึง 4 แสนล้านบาท ฯลฯ

"ผมบอกรัฐบาลว่าไทม์มิ่ง (ระยะเวลา) ตอนนี้เหมาะที่สุด เพราะจีนมีเงินสดเยอะ และจีนมีสหรัฐฯ เป็นลูกหนี้รายใหญ่มาก จีนก็รู้สึกว่าการมีสหรัฐฯ เป็นลูกหนี้ใหญ่ในเวลานี้ความไม่แน่นอนมีอยู่เยอะ จีนก็อยากจะมีลูกหนี้มากหน่อย ถ้าเราเป็นลูกหนี้เราก็เป็นลูกหนี้ที่น่าเชื่อถือ และจีนก็อยากจะให้เราเป็นลูกหนี้ที่ชำระโดยสินค้าเกษตร รัฐบาลก็ต้องทำงานหนักหน่อยในเรื่องจีทูจีกับจีน"

พฤติกรรมเยี่ยงนี้ นับเป็น การ "ตีกิน" ทางการเมือง

น่ารังเกียจยิ่งกว่านักการเมืองจำพวกที่บริจาคเอาหน้า เอาป้ายชื่อตัวเองไปแปะกับถุงบริจาค เพราะคนพวกนั้นถึงจะอยากได้หน้า อยากได้คะแนนนิยม มันก็ยังลงทุนเอาเงินตัวเองซื้อของไปแจก

แต่กรณีอย่างทักษิณนี้ เรียกว่า "ดีแต่พูด" และ "ดีแต่โม้"

ปั้นน้ำลายเป็นตัว!

ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่คนไทยจะตาสว่างกันเสียที เพราะคนๆ นี้ คุยโวโอ้อวดไว้ตั้งกี่เรื่องแล้วไม่สำเร็จ อาศัยคำคุยโวคำโตๆ ทำให้คนไทยบางกลุ่มเกิดอาการ "เมาน้ำลายทักษิณ" หลงเชื่อ หลงเพ้อไปไม่น้อย

ปัญหารถติดใน กทม.จะหมดไปภายในหกเดือน (รถหายติดหรือยัง)

คนจนจะหมดประเทศภายในหกปี (อำเภออาจสามารถ หายจนหรือยัง) ฯลฯ

ที่สำคัญ ครั้งนี้มันชัดเจนว่า จงใจโกหก สำรอกน้ำลายใส่หน้าคนไทย เหมือนดูแคลนว่าคนไทยเรากินหญ้าหรืออย่างไร เพราะเล่นคุยโวว่ารัฐบาลจะไม่ต้องกู้ ไม่ต้องเป็นหนี้เลย

โกหกหน้าด้านๆ

เพราะข้อเท็จจริงมันประจานอยู่ทนโท่ ว่ารัฐบาลที่ "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" ในขณะนี้ เพิ่งทำงานไปไม่กี่เดือน ก็ก่อหนี้ไปหลายแสนล้านบาทแล้ว!

ถ้าไม่กู้หรือไม่เป็นหนี้ แล้วจะเอาเงินมาจากไหน (ของฟรีไม่มีในโลก)

สั่ง ส.ส.เพื่อไทยหักเงินเดือนช่วยน้ำท่วมเหมือนประชาธิปัตย์ ยังจะเกิดประโยชน์กว่า

นี่คือข้อเท็จจริงที่คนเสื้อแดงควรจะตาสว่างได้แล้ว

เลิกเชื่อคำโม้ คำคุย คำโว เพียงเพื่อหวังผลทางการเมืองของคนตระกูลนี้เสียที

วิกฤติทุกครั้ง เราคนไทยต้องช่วยเหลือตัวเอง และช่วยเหลือกันเอง บนพื้นฐานข้อมูลข้อเท็จจริงและภูมิปัญญาที่เหมาะสมกับพื้นที่ของเราเอง ไม่ใช่ไปหวังน้ำบ่อหน้า

น้ำลายของทักษิณยามนี้ มีค่าน้อยกว่า "ส้วมกระดาษ" สักหนึ่งอันเสียอีก!

นสพ.แนวหน้า

มติ สมัชชาปฏิรูประดับชาติ ครั้งที่1 /2554


นปช.แถลงข่าว



“ธิดา” นำ “โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม” แถลงข่าวกลางห้างดัง จี้ รื้อ พ.ร.บ.กลาโหม พร้อมเร่งรัฐบาล “ปู” ตั้งคณะ กก.เยียวยาผู้ชุมนุมเสื้อแดง ด้านทนาย “นช.แม้ว” ลามปาม อ้างแก้ไข ม.112 ยาก เพราะมือที่มองไม่เห็นควบคุมอยู่ หยันไทยเป็นประชาธิปไตยแค่ก้าวแรก แนะไม่ควรให้ทหารแสดงความเห็นทางการเมือง
        เมื่อ ช่วงบ่ายวันที่ 12 ต.ค.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช.นำโดย นางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช.พร้อมด้วย นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แถลงข่าวที่ห้างสรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 5
    
       นาง ธิดา ระบุว่า พ.ร.บ.ข้าราชการกลาโหม จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง และควรยกเลิก เพราะ พ.ร.บ.นี้เกิดในสมัยพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เกิดจากการทำรัฐประหาร ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง พร้อมสนับสนุนคำพูดของ นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ออกมาพูดถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ข้าราชการทหาร พร้อมเรียกร้องรัฐบาลเร่งตั้งคณะทำงานเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการ ชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553 รวมไปถึงความเสียหายอื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ทำไว้ ซึ่งจะปล่อยให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่ง ชาติ (ปคอป.) ทำเพียงหน่วยงานเดียวไม่ได้ รัฐบาลต้องทำด้วย
    
       นาย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม กล่าวว่า การเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ เพื่อมาหาหลักฐานเพิ่มเติมในเหตุการณ์ที่ทหารสลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว โดยจะทำงานร่วมกับทีมทนาย นปช.ของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการจะยุติในเรื่องที่ทหาร คือ ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษ พร้อมมองว่า การแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการยากที่จะทำได้ เพราะมีมือที่มองไม่เห็นเป็นผู้ควบคุมอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
    
       นาย โรเบิร์ต กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ประเทศไทยถือเป็นประชาธิปไตยเพียงก้าวแรกเท่านั้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพื่อให้ประชาธิปไตยมีต่อไป และจะต้องไม่ปล่อยคนทำผิดไป ซึ่งไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ มีอีกหลายประเทศที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน และก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้ พร้อมมองว่า ประเทศไทยไม่สมควรจะให้ทหารแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
    
       นาย โรเบิร์ต กล่าวอีกว่า เมื่อวานนี้ ได้เดินทางไปเยี่ยมคนเสื้อแดงที่ถูกคุมขังที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ มาแล้วก็ทำให้ได้ข้อมูลมาพอสมควร ต่อไปก็จะไปตรวจเยี่ยมผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น พร้อมจะเดินทางไปสถานที่เกิดเหตุเพื่อหาข้อมูลที่เป็นจริง เพราะตนไม่ยอมรับว่าสิ่งที่รัฐบาลบอกจะเป็นเรื่องจริง โดยในวันอาทิตย์นี้ นางสาวอลิซาเบ็ธ โพเลนจ์กี้ น้องสาวของ นายฟาบิโอ โพเลนจ์กี้ ช่างภาพชาวอิตาลี ที่ถูกยิงเสียชีวิตขณะปฏิบัติหน้าที่ทำข่าวการชุมนุมของคนเสื้อแดงเมื่อปี 2553 จะเดินทางมายังประเทศไทยเพื่อมาพบ นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ด้วย
    
       พร้อม กันนี้ ในวันที่ 14 ตุลาคม ตั้งแต่เวลา 10:00-24:00 น.คนเสื้อแดงจะจัดคอนเสิร์ตเพื่อหาเงินช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วมที่ห้าง สรรพสินค้าอิมพีเรียล ลาดพร้าว ชั้น 6 จากนั้นในวันที่ 15-16 ตุลาคม ก็จะเดินทางนำสิ่งของไปบริจาคให้กับประชาชนที่ได้รับความเดือดร้อนจากภัยน้ำ ท่วม
                                                                               ที่มา:ผู้จัดการออนไลน์
      ทนาย แม้วคนนี้เค้าแรงจริง มาตามใบสั่งหรือเปล่าก็ไม่รู้ แต่ที่รู้ๆสงสัยที่บ้านน้ำไม่ท่วม ยังอยู่กันสุขสบายดี จึงมีเวลามานั่งวิจารณ์โน่น นี่ นั่น อยู่ซึ่งผมอ่านแล้วมานั่งคิดเล่นๆดูในมุมต่างออกไปก็ได้ดังนี้ครับ
     นาง ธิดา ระบุว่า พ.ร.บ.ข้าราชการกลาโหม จะต้องได้รับการเปลี่ยนแปลง และควรยกเลิก เพราะ พ.ร.บ.นี้เกิดในสมัยพลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ที่เกิดจากการทำรัฐประหาร ซึ่งถือว่าไม่ถูกต้อง พร้อมสนับสนุนคำพูดของ นายสุรชาติ บำรุงสุข อาจารย์คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ที่ออกมาพูดถึงการแก้ไข พ.ร.บ.ข้าราชการทหาร พร้อมเรียกร้องรัฐบาลเร่งตั้งคณะทำงานเยียวยาผู้เสียหายจากเหตุการณ์สลายการ ชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553 รวมไปถึงความเสียหายอื่นๆ ที่เจ้าหน้าที่ของรัฐได้ทำไว้ ซึ่งจะปล่อยให้คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อความปรองดองแห่ง ชาติ (ปคอป.) ทำเพียงหน่วยงานเดียวไม่ได้ รัฐบาลต้องทำด้วย
      ผม ไม่แน่ใจว่า นอกจาก พ.ร.บ. ข้าราชการกลาโหม ที่เป็นผลผลิตที่ได้มาจากการรัฐประหารแล้ว สัมปทานการสื่อสารที่ผูกขาดโดยใครสักคนตั้งแต่หลังช่วงพฤษภาทมิฬ อันนี้ถือว่าเป็นผลพวงมาจากรัฐประหารที่เกิดขึ้นโดยทหาร ซึ่งมันก็น่าจะไม่ถูกต้องตามที่คุณธิดากล่าวไว้ เราน่าจะนำมันกลับมาเป็นของชาติได้มั๊ย ยกเลิกดีมั๊ย แล้วเอาผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดกลับมาเป็นของแผ่นดินดีมั๊ยครับ อีกทั้ง รัฐธรรมนูญฉบับแรก ที่ได้มาก็เป็นผลผลิตจากการทำรัฐประหาร เรากลับไปปกครองแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ กันเลยดีมั๊ยครับคุณ
     การชุมนุมของคนเสื้อแดงปี 2553 นั้นถ้ามองในมุมกลับกัน พวกคุณเคยคิดจะไปทวงถามหาความยุติธรรมหรือเยียวยาความเสียหายให้กับผู้ที่ อาศัยอยู่ในกรุงเทพ พ่อค้าแม่ค้า ห้างสรรพสินค้าที่ได้รับความเสียหายจากการชุมนุมของกลุ่มคนเสื้อแดงบ้างหรือ ไม่ เพราะผมไม่เคยเห็นพวกคุณออกมาเรียกร้องอะไรเพื่อส่วนรวม และ ชดเชย หรือรับผิดชอบกับผลกระทบที่เกิดจากการชุมนุมของพวกคุณเลย หรือคุณเป็นคนกลุ่มเดียวเท่านั้นในประเทศไทยที่มีสิทธิและเสรีภาพ
    นาย โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม กล่าวว่า การเดินทางมาประเทศไทยในครั้งนี้ เพื่อมาหาหลักฐานเพิ่มเติมในเหตุการณ์ที่ทหารสลายการชุมนุมเมื่อปีที่แล้ว โดยจะทำงานร่วมกับทีมทนาย นปช.ของไทย โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อต้องการจะยุติในเรื่องที่ทหาร คือ ผู้กระทำความผิดต้องรับโทษ พร้อมมองว่า การแก้กฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นการยากที่จะทำได้ เพราะมีมือที่มองไม่เห็นเป็นผู้ควบคุมอยู่ ซึ่งจำเป็นต้องใช้เวลาในการศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง
    ผู้กระทำผิดต้องรับโทษรวม ไปถึงแกนนำผู้ชุมนุมที่ควรจะเป็นผู้ที่ต้องรับผิดชอบในการก่อให้เกิดความ เสียหายจากการชุมนุมด้วยหรือเปล่าและเห็นด้วยที่ว่าเค้าน่าจะไปศึกษากฏหมาย ไทยให้มากกว่านี้จะได้รู้ที่มาที่ไปและไม่ทำอะไรที่ไม่ควรทำอย่างที่ทำอยู่ ทุกวันนี้
      นาย โรเบิร์ต กล่าวด้วยว่า ขณะนี้ประเทศไทยถือเป็นประชาธิปไตยเพียงก้าวแรกเท่านั้น ดังนั้น จึงจำเป็นที่จะต้องต่อสู้เพื่อให้ประชาธิปไตยมีต่อไป และจะต้องไม่ปล่อยคนทำผิดไป ซึ่งไม่ใช่ประเทศไทยประเทศเดียวเท่านั้นที่เป็นแบบนี้ มีอีกหลายประเทศที่มีลักษณะใกล้เคียงกัน และก็สามารถผ่านพ้นมันไปได้ พร้อมมองว่า ประเทศไทยไม่สมควรจะให้ทหารแสดงความคิดเห็นทางการเมือง
     
ประเทศ ไทยเรามีประชาธิปไตยมาตั้งแต่ปี พศ. 2475 นับไปนับมาก็ เจ็ดสิบกว่าปีแล้ว ที่ผ่านมาเราผ่านการเรียนรู้ร่วมกันมาในเรื่องนี้ ปัญหาที่เกิดขึ้นมาทุกวันนี้ผมมองว่าไม่ได้อยู่ที่ตัวของประชาธิปไตย แต่อยู่ที่ตัวของประชาชนที่มีความเข้าใจต่อประชาธิปไตย รวมไปถึงจิตสำนึกในคำว่า "สิทธิ" และ "หน้าที่"  มากกว่า ถ้าเรามองประชาธิปไตยเป็นอาวุธ มันจะเป็นคุณหรือโทษ สร้างสรรค์ หรือ ทำลาย ย่อมขึ้นอยู่กับผู้ใช้อาวุธจริงมั๊ยครับ...{^_^}

หากจะแก้วิกฤติชาติต้องไม่ประชานิยม


     ไม่ว่ากรุงเทพมหานครจะจมหรือจะพ้นน้ำ วิกฤติน้ำท่วมประเทศไทยครั้งนี้ นับว่าเป็นภัยทางน้ำที่รุนแรง กว้างขวางที่สุด ในประวัติศาสตร์ของประเทศ เท่าที่มีการบันทึก
         
     พื้นที่ภาคกลางตลอดลุ่มน้ำเจ้าพระยาอู่ข้าวอู่น้ำที่สำคัญที่สุดของประเทศ ล้วนจมอยู่ใต้บาดาล ไม่ว่าจะเป็นย่านราชการ การค้า อุตสาหกรรม ล้วนได้รับผลกระทบอย่างรุนแรง  กรุงศรีอยุธยาที่เคยล่มเมื่อหน้าแล้งปีพุทธศักราช  2310 มาล่มอีกครั้งในฤดูน้ำหลากปีนี้
       
     จริงอยู่ประเทศไทยมีเขื่อนอยู่ทั้งหมด 30 กว่าแห่ง แต่ส่วนใหญ่เป็นเขื่อนขนาดเล็ก เขื่อนหลักๆ ที่กั้นน้ำเหนือไหลก่อนลงมาภาคกลางมี เขื่อนภูมิพลสร้างกั้นแม่น้ำปิง ที่อำเภอสามเงา จังหวัดตากสามารถรับน้ำได้ 13,500 ล้านลูกบาศก์เมตร เขื่อนนี้ถือเป็นเขื่อนคอนกรีตรูปโค้งใหญ่เป็นอันดับ 8 ของโลก ใช้งานมานานเกือบ 50 ปี รองลงมาเป็นเขื่อนสิริกิติ์ที่กั้นแม่น้ำน่านมีปริมาณความจุน้ำได้ 9,510 ล้านลูกบาศก์เมตร 
       
     นอกเหนือจากนั้น เป็นเขื่อนขนาดเล็กแทบทั้งสิ้น
         
     น้ำปีนี้ไม่ต้องดูสถิติอะไรมาก ความจริงมีอยู่ว่าปริมาณมากกว่าปริมาณน้ำปีที่แล้วเกือบร้อยละ 50 น่าจะเป็นครั้งแรกๆ ที่น้ำจะล้นจนพนังกั้นไม่อยู่  ไล่ดะท่วมเมืองมาตั้งแต่นครสวรรค์   จนถึงจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ลามลงมาที่ปทุมธานี นนทบุรี กำลังจ่อกรุงเทพมหานคร
        
     วันนี้ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครสวรรค์ แนะนำให้เลี่ยงการเดินทางขึ้น-ล่องภาคเหนือว่า อย่าผ่านจังหวัดนครสวรรค์ เนื่องจากคอสะพานเดชาติวงศ์ทรุด จำเป็นต้องประกาศปิดสะพานแห่งนี้
       
     กลับเข้ามาดูเหตุการณ์ในเมืองหลวง    
          
     ผู้บริหารกทม. มักจะตั้งธงไว้ว่าขออย่าให้ระดับในแม่น้ำเจ้าพระยา วัดได้ตรงสะพานพระพุทธยอดฟ้าฯ สูงเกิน 2.50 เมตรเหนือระดับน้ำทะเล เพราะนั่นคือระดับพนังกั้นน้ำที่ กทม.สร้างตลอดแนวริมน้ำเจ้าพระยาจากเขตด้านใต้กรุงเทพฯจนถึงนนทบุรี ทั้งนี้ทำตามทฤษฎีที่ระดับน้ำในปีที่น้ำท่วมใหญ่เมื่อปี พ.ศ. 2485 และ พ.ศ. 2538 ไม่เคยเกิน 2.27 เมตรเหนือระดับน้ำทะเลปานกลาง
         
     เรียกว่ายังมีช่องให้หายใจอยู่ 23 เซนติเมตร 
          
     คืบกว่าๆเท่านั้น
         
     กรุงเทพฯจะท่วมหรือไม่ก็ตามทีแต่ความเสียหายทางเศรษฐกิจจนถึงวันนี้ประเมินต่ำสุดไม่ต่ำกว่าแสนล้านบาท อาจจะทะลุหลักสองแสนล้านบาท
         
     ในภาวะคับขันเช่นนี้ ในอารยะประเทศ ไม่ว่าจะเป็นที่ไหนนักการเมืองเขาจะไม่ทำร้ายกัน ทุกฝ่ายจะวางความขัดแย้งไว้ข้างตัวและมาร่วมมือกัน ขอให้ดูคุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกรัฐมนตรีเป็นตัวอย่าง 
          
     บ้านเรากลับมีคนบางกลุ่มโดยเฉพาะสื่อมวลชนบางประเภท ที่ทำตัวเป็นหอกทิ่มแทง รัฐบาลที่นำโดยนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งที่เข้ามาทำงานเพียงเดือนเดียวกล่าวหาว่า เอาแต่ไปเมืองนอก เอาแต่เปิดงาน ทำงานไม่เป็นบ้าง พูดผิดบ้าง ถึงขั้นประณามว่าเป็นตัวซวยของแผ่นดิน
          
     มันจะอะไรกันนักหนา
         
     ผมอยากจะขอมองข้ามไปหลังมหาอุทกภัยครั้งนี้ ว่าบ้านเมืองต้องการการฟื้นฟูโดยเร่งด่วน ผู้ประกอบการทั้งชาวไทยและชาวต่างประเทศต้องได้รับการเหลียวแล ชาวบ้านต้องได้รับการเยียวยาตามสมควร แต่ที่สำคัญที่สุดก็คือ
      
     โครงการป้องกันในระยะยาวจะต้องนำเข้าสู่การพิจารณาเป็นวาระแห่งชาติ อาทิการสร้างเขื่อนเพิ่มปริมาณการเก็บกักน้ำส่วนเกิน  การเชื่อมต่อผันน้ำระหว่างแม่น้ำสายต่างๆ การซ่อมสร้างทางหลวงสายหลัก ซ่อมสร้างถนนสายรอง อาจจะต้องพิจารณาสร้างทางยกระดับจากกรุงเทพฯถึงนครสวรรค์ และสระบุรี
      
     ทุกโครงการล้วนใช้เงินทั้งสิ้น
         
     รัฐบาลควรจะพิจารณาเริ่มเก็บค่าผ่านทางบนถนนสายเอเชียและเส้นทางหลักสายอื่นๆ ภายใต้หลักการที่ว่า “ใครใช้คนนั้นจะต้องจ่าย”
        
     ควรจะพิจารณายกเลิก นโยบายประชานิยมที่มุ่งเน้น ผลสัมฤทธิ์ทางการเมือง แต่กลับส่งผลเสียแก่สังคมในระยะยาว เลิกเสียทีเถอะครับ การคืนภาษีรถคันแรก บ้านหลังแรก ค่าน้ำ ค่าไฟฟรี น้ำมันราคาถูก
        
     นโยบายประชานิยม ไม่จำเป็นต้องดีเสมอไป นโยบายที่ดีไม่จำเป็นที่คนจะต้องนิยม 
     
     มีข้อสังเกตประการหนึ่ง เมื่อ 6-7 เดือน ก่อน กรมชลประทานได้ออกประกาศว่า ปีนี้น้ำจะน้อย ขอให้ชาวนาลดพื้นที่การปลูกข้าวนาปรัง 
     
     นั่นแปลตรงตัวว่าการคาดการณ์สภาพดินฟ้าอากาศของบ้านเรายังล้าสมัย ไม่แม่นยำเท่าที่ควร 
          
     ในสหรัฐอเมริกามีหน่วยงานหนึ่งชื่อย่อคล้ายเรือกู้ภัย Noah ตำนานน้ำท่วมโลก ในพระคัมภีร์
          
     หน่วยงานดังกล่าวชื่อ National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA)
        
     NOAA ใช้เทคโนโลยีที่ล้ำสมัย สนับสนุนด้วยข้อมูลจากดาวเทียม และสถานีอวกาศ  บวกกับคลังข้อมูลในอดีต มาประกอบในการวิเคราะห์คาดการณ์สภาวะดินฟ้าอากาศได้อย่างแม่นยำ
      
     ท่านนายกรัฐมนตรีเองก็คุ้นกันดีกับท่านทูตสหรัฐ Kristie Kenney มิใช่หรือ เห็นไปมาหาสู่กันอยู่บ่อยๆ
      
     รีบส่งเจ้าหน้าที่วัยหนุ่มวัยสาวจากกรมอุตุนิยมวิทยา กรมอุทกศาสตร์ทหารเรือ กรมชลประทาน ไปฝึกงาน รวมทั้งวางโครงข่ายการติดต่อสื่อสาร กับ NOAA
     
     ประเทศไทยไม่ได้ยากจนอยู่ในฐานะที่จะต้องขอทุน  หากจะต้องลงทุนส่งคนไปฝึก ฝรั่งมันจะคิดเงินค่าวิชาเท่าไหร่ก็จ่ายไปเถอะครับ
        
     จะได้เกิดความแม่นยำในการทำนายดินฟ้าอากาศมากขึ้นไม่มากก็น้อย
       
     ดูคุณชายสุขุมพันธ์ ท่านทำพิธีไล่น้ำแล้วเห็นใจท่านจริงๆ

Submitted by kittipong

คำสั่ง "ยิ่งลักษณ์" อัมพาต ทักษิณ-บรรหาร-บ้าน 111 หน่วยชูชีพ-กู้ภัยน้ำท่วมรัฐบาล

ประชาชาติธุรกิจ
ภาพ-การบัญชาการแก้ปัญหาน้ำท่วมประเทศไทย ในนาม 5 พรรคร่วมรัฐบาล 299 เสียง

ยังมีเฉพาะภาพ "พรรคเพื่อไทย"

ทั้ง ที่ทำเนียบรัฐบาล-ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ดอนเมือง ทั้งคณะกรรมการเฉพาะหน้า มีแต่หน้ารองนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย

มือซ้าย-มือขวา ของ น.ส.ยิ่งลัษณ์ ชินวัตร จึงมีเฉพาะ นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกรัฐมนตรี-รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย ที่ปฏิบัติงานควบคู่ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รัฐมนตรีว่าการกระทรวงยุติธรรม

ทั้ง ๆ ที่กระทรวงเกษตรและสหกรณ์-กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา ก็อยู่ในการกำกับของรัฐมนตรีจาก พรรคชาติไทยพัฒนา ของ นายบรรหาร ศิลปอาชา

กระทรวงอุตสาหกรรม ที่ดูแลนิคมอุตสาหกรรม อยู่ในการกำกับของรัฐมนตรีจากพรรครวมชาติพัฒนา ของนายสุวัจน์ ลิปตพัลลภ

แต่การบัญชาการทั้งหมด ยังกระจุกอยู่ในมือของรัฐมนตรีจากพรรคเพื่อไทย

การ บริหารจัดการแบบเบ็ดเสร็จ- คำสั่งที่ออกจากทำเนียบรัฐบาลจึงเป็นอัมพาต นานนับสัปดาห์ กว่าจะเกิดคณะกรรมการแบบ single command-ศูนย์รวมสั่งการ ที่สนามบินดอนเมือง

แหล่งข่าวในพรรคเพื่อไทย อธิบายปัญหา-อุปสรรค "การเมือง" ในการจัดการน้ำท่วม พ.ศ. 2554 ว่า เป็นเพราะที่ทำเนียบรัฐบาลมีนายกรัฐมนตรี+รองนายกรัฐมนตรี+รัฐมนตรีประจำ สำนักนายกรัฐมนตรี+โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรีและรองโฆษก เป็น "มือใหม่ทั้งหมด"

ทั้ง น.ส.ยิ่งลักษณ์-นายยงยุทธ-น.พ.สุรวิทย์ คณสมบูรณ์-น.ส.กฤษณา สีหลักษณ์-นางฐิติมา ฉายแสง ต่างเป็นคนใหม่ ไม่เคยเผชิญหน้าและแก้ปัญหาวิกฤตระดับชาติ

มีแต่เพียง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรีคนเดียวเท่านั้น ที่เคยมีประสบการณ์ เป็นรัฐมนตรี แต่ก็ไม่ปรากฏชื่อ-ภาพ อยู่ในทีม "พิเศษ" เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม

การ โอเปอเรชั่น สั่งการทีมทำงาน-ผลิตข้อเสนอ-แนวนโยบายระดับปฏิบัติการ จึงถูกส่งมาจาก "ทีมพี่เลี้ยง" กลุ่มนักการเมืองบ้านเลขที่ 111 เป็นหลัก

แต่ การปฏิบัติการในช่วงแรกไม่ ราบรื่นนัก เพราะกูรู-เรื่องน้ำ ในพรรคร่วมรัฐบาล มี "บรรหาร ศิลปอาชา" แห่งพรรคชาติไทยพัฒนา บัญชาการอยู่ในพื้นที่ภาคกลาง

เป็นการบัญชาการที่ไม่เป็นไปในทิศทางเดียวกับการปฏิบัติการของพรรคเพื่อไทย

จึงเกิดปัญหาระหว่าง นายพายัพ ปั้นเกตุ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ที่เปิดศึกกับนายบรรหาร เพราะเหตุน้ำไม่ท่วม จ.สุพรรณบุรี

กลาย เป็นญัตติด่วน เรื่องแก้ปัญหาน้ำท่วม ในสภาผู้แทนราษฎรที่ ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลจากเพื่อไทย ตะลุมบอนกับ ส.ส. ของพรรคชาติไทยพัฒนา พาดพิงไป ถึงการสร้างบึงฉวากเป็นเหตุหนึ่งของ น้ำท่วม

นายพายัพอธิบายว่า "สาเหตุสำคัญที่ทำให้น้ำไม่ท่วมสุพรรณบุรี มาจากการระบายน้ำน้อยเกินไปจากประตูน้ำพลเทพตรงแม่น้ำสุพรรณบุรี ส่งผลให้ น้ำไปเอ่อท่วมจังหวัดอุทัยธานี อ่างทอง และชัยนาท ทางผ่านของแม่น้ำสุพรรณบุรี มีบางพื้นที่ของสุพรรณบุรี น้ำท่วมบ้างจริง แต่อยู่ใน อ.เดิมบางนางบวช พื้นที่ของนายสหรัฐ กุลศรี ส.ส.สุพรรณบุรี พรรคเพื่อไทย"

ก่อนศึกระหว่างพรรคร่วมรัฐบาลจะบานปลาย "พ.ต.ท.ทักษิณ" ต้องสั่งการข้ามน้ำ ข้ามทะเลทราย มาจากนครดูไบ

คำ สั่งมีว่า "พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้โทรศัพท์มาประสานงานว่าอยากให้ ส.ส.พรรค เพื่อไทยยุติการแสดงท่าทีเกี่ยวกับ ปัญหาน้ำท่วม โดยเฉพาะการแสดง ความคิดเห็นพาดพิงพรรคชาติไทยพัฒนาในฐานะที่เป็นพรรคที่ดูแล กรมชลประทานหน่วยงานในสังกัด ของกระทรวงเกษตรและสหกรณ์มีส่วนสำคัญทำให้สุพรรณบุรีน้ำไม่ท่วม"

"สำหรับ ปัญหานี้ พ.ต.ท.ทักษิณจะขอหารือกับนายบรรหารเป็นการ ส่วนตัว เพราะหากปล่อยให้ ส.ส.แสดงความคิดเห็นกันต่อไปกังวลว่าอาจจะกระทบความสัมพันธ์กับพรรคร่วม รัฐบาลได้"

อ้างถึง-คำสั่งของ พ.ต.ท.ทักษิณ นำไปสู่การชี้แจงของนายบรรหาร มีใจ ความสำคัญว่าด้วย "สุพรรณบุรีน้ำก็ท่วมเหมือนจังหวัดอื่น"

ทั้ง นายบรรหาร ศิลปอาชา ในฐานะประธานที่ปรึกษาหัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา ที่ปรึกษา นายธีระ วงศ์สมุทร รัฐมนตรีว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ และ นายชุมพล ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคและรัฐมนตรีการท่องเที่ยวและกีฬา ต่างพากันชี้แจงเรื่อง จ.สุพรรณบุรี

"ยืนยันจังหวัดสุพรรณบุรีก็ประสบกับปัญหาน้ำท่วม กินพื้นที่ความเสียหายไปแล้วประมาณ 3.4 แสนไร่"

ข้อ เสนอเฉพาะหน้าของนายบรรหาร คือ 1.ใช้โมเดลคลองลัดโพธิ์ สร้างประตูน้ำใหม่ 4 จุด 2.สร้างเขื่อนทุกจังหวัด เช่น จ.อุทัยธานี จ.ชัยนาท โดยเน้นการป้องกันเขตเทศบาลเมืองเป็นหลัก

ขณะที่ฝ่ายพรรคเพื่อไทย พลิกข้อเสนอของ พ.ต.ท.ทักษิณขึ้นมาขยายเป็นนโยบาย ที่เคยเสนอไว้ในวาระที่น้ำท่วมภาคใต้-ต้นฤดูร้อน 2554 นโยบายของ พ.ต.ท.ทักษิณ มี 5 ข้อ อาทิ

1.สร้างเขื่อนและประตูกันน้ำทะเลหนุนและประตูเพื่อระบายน้ำลงทะเลรอบกรุงเทพฯ/สมุทรปราการ และสร้างพื้นที่สีเขียวเพื่อเป็นที่พักผ่อน

2.สร้างแก้มลิงตามแนวพระราชดำริ ในลุ่มแม่น้ำสายหลักทั่วประเทศ รวมไปถึงแม่น้ำโขงเพื่อกักเก็บน้ำไว้ใช้ในฤดูที่น้ำน้อย

3.ขุด เขื่อนแม่น้ำสายหลักที่ไม่ไกลกันมากเข้าหากันเหมือนที่เคยทำแล้ว โดยเชื่อมแม่น้ำยมเข้ากับแม่น้ำน่าน ทำให้สามารถผันน้ำไปตามปริมาณน้ำได้

4.สร้างป่าชุมชนขึ้น 1 หมู่บ้าน 1 ป่าชุมชน เพื่อเกิดพื้นที่ชุ่มน้ำมากขึ้น

5.พื้นป่าต้นน้ำ ปลูกหญ้าแฝกกันดิน (soil erosion) ตามแนวพระราชดำริ

ดัง คำแถลงของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ที่กล่าวออกรายการวิทยุว่า จำพลาดจากคำ "หญ้าแฝก" เป็น "หญ้าแพรก" จึงมีที่มา ข้อแนะนำของอดีตนายกรัฐมนตรีผู้พี่ 5 ข้อนี้

ระหว่างที่ "คำสั่ง" จากรัฐบาลอัมพาต ไม่อาจลงสู่ระดับปฏิบัติการ

ระหว่าง ที่รอฟัง "ยิ่งลักษณ์" ออกโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ออกทีวีคอนเฟอเรนซ์ถึงผู้ว่าราชการจังหวัด รายงานสถานการณ์น้ำท่วมทุกวัน

ข้าราชการ-ประชาชนและพรรคร่วมรัฐบาลทั้ง 5 พรรค 299 เสียง อาจต้องคอยเงี่ยหูฟัง "คำสั่ง" ข้ามทะเลทราย เสียงจาก "พ.ต.ท.ทักษิณ" ด้วย

สำนักพิมพ์นิติราษฎร์ อีกหนึ่งภารกิจนิติศาสตร์เพื่อราษฎร


ที่มา ประชาไท

“ถึง เวลาแล้ว ที่จะต้องทำให้บรรดานักนิติศาสตร์และนักกฎหมายทั้งปวงเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรมและความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรจำกัดอยู่แต่การท่องจำตัวบท คำอธิบายกฎหมาย หรือคำพิพากษาของศาล การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนตัดขาดตัวเองออก จากสังคม ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จทางวิชาชีพเพียงเพื่อในที่สุดแล้วจะได้อยู่ในที่ สูงกว่าราษฎร และใช้อำนาจหรือการผูกขาดความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงราษฎร วิชานิติศาสตร์ควรจะสอนให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาและ เริ่มต้นประกอบวิชาชีพโดยเข้าไปเป็นองค์กรของรัฐและทรงอำนาจในการกระทำการ ทางกฎหมาย อำนาจที่ตนกำลังใช้อยู่นั้นโดยเนื้อแท้แล้ว หาใช่อำนาจของตนเองไม่ แต่เป็นอำนาจของราษฎร ผู้ที่ศึกษาวิชานิติศาสตร์ควรจะศึกษาอย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และเมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้ว จะต้องใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผล อธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน การใช้กฎหมายเช่นนี้ในที่สุดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย”
ข้างต้นคือ คำประกาศสำนักพิมพ์นิติราษฎร์ ซึ่งเป็นอีกช่องทางหนึ่งของ คณะนิติราษฎร์:นิติศาสตร์เพื่อราษฎร นอกเหนือจาก เว็บไซต์ www.enlightened-jurists.com ที่เปิดตัวมาได้ร่วม 1 ปี ในการต่อสู้ทางความคิด
คำ ประกาศดังกล่าวได้กล่าวถึงวัตถุประสงค์ของการตั้งสำนักพิมพ์ว่า “เพื่อหวังเป็นกลไกอีกประการหนึ่งในการสถาปนาอุดมการณ์นิติรัฐ-ประชาธิปไตย ให้เจริญงอกงามในวงวิชาการนิติศาสตร์ เพื่อผลิตตำราทางนิติศาสตร์ที่มีคุณภาพ เพื่อนำเอาตำราทางนิติศาสตร์ในอดีตที่สนับสนุนหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตยกลับ มาพิมพ์ขึ้นใหม่เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าได้อย่างสะดวกขึ้น เราหวังว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์จากหนังสืออันทรงคุณค่าต่างๆที่เราจะได้จัด พิมพ์ขึ้น”
ผลงานหนังสือเล่มแรกของสำนักพิมพ์นิติราษฎร์ คือการจัดพิมพ์หนังสือกฎหมายปกครอง ภาคทั่วไป โดยวรเจตน์ ภาคีรัตน์ ซึ่งเป็นตำราที่ปรับปรุงและขยายความมาจากหนังสือ ความรู้เบื้องต้นเกี่ยวกับกฎหมายปกครอง : หลักการพื้นฐานของกฎหมายปกครองและการกระทำทางปกครอง หนังสือเล่มนี้ผู้เขียนได้อธิบายความหมายของฝ่ายปกครอง ความหมายของกฎหมายปกครอง หลักการพื้นฐานของกฎหมายปกครอง ดุลพินิจของฝ่ายปกครอง ตลอดจนการกระทำของฝ่ายปกครอง ไม่ว่าจะเป็นคำสั่งทางปกครอง กฎ ปฏิบัติการทางปกครอง สัญญาทางปกครอง นอกจากนี้ยังได้อธิบายการพิจารณาทางปกครอง การบังคับทางปกครอง และความรับผิดของฝ่ายปกครองในส่วนของความรับผิดทางละเมิดของเจ้าหน้าที่ด้วย
แม้โดยหลักแล้ว ผู้เขียนมุ่งหวังให้หนังสือเล่มนี้เป็นหนังสือประกอบการฟังคำบรรยายวิชา กฎหมายปกครอง แต่ก็หวังว่าจะเป็นประโยชน์ต่อผู้สนใจวิชาการทางด้านกฎหมายปกครอง ตลอดจนเป็นประโยชน์ต่อการพัฒนาความรู้ในทางกฎหมายปกครองในประเทศไทยต่อไป
..........................
คำประกาศสำนักพิมพ์นิติราษฎร์
ตลอดระยะเวลาหลายปีที่ผ่านมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งนับตั้งแต่การรัฐประหารเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เราปฏิเสธไม่ได้ว่ากฎหมายถูกใช้เป็นเครื่องมือช่วงชิงอำนาจ สร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจ ตลอดจนทำลายอำนาจ การช่วงชิง สร้างความชอบธรรม และทำลายล้างในนามของกฎหมายและความยุติธรรมนั้น ไม่เพียงแต่สร้างบาดแผลที่ลึกอย่างยิ่งให้กับวงการกฎหมายและวงวิชาการ นิติศาสตร์ไทยเท่านั้น แต่ยังมีผลสร้างความอยุติธรรมอย่างรุนแรงให้เกิดขึ้นกับผู้คนในสังคมโดยรวม ด้วย เหตุที่ทำให้เกิดสภาพการณ์แบบนี้ขึ้นในสังคม ก็เนื่องจากผู้คนจำนวนหนึ่งที่มีบทบาทชี้นำสังคม และนักกฎหมายที่เป็นชนชั้นนำปิดล้อมความคิดความอ่านของผู้คนด้วยการยกเอาข้อ ธรรม ความเชื่อในทางจารีตประเพณี ตลอดจนบุคคลที่ถูกสร้างให้เป็นที่ยึดถือศรัทธาขึ้นเป็นกรงขังการใช้เหตุผล และสติปัญญาของผู้คน
เพื่อจะไปให้พ้นจากสภาวะเช่นนี้ สังคมไทย โดยเฉพาะอย่างยิ่งวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์จะต้องก้าวข้ามยุคมืดไป สู่ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาหรือที่บางท่านเรียกว่ายุคภูมิธรรมหรือ ยุคพุทธิปัญญา (Enlightenment; les Lumières; Aufklärung) ดังที่ได้เคยเกิดมาแล้วในยุโรป โดยเฉพาะอย่างยิ่งยุคภูมิธรรมหรือพุทธิปัญญาในช่วงศตวรรษที่ ๑๗ และ ๑๘ ซึ่งในที่สุดแล้วเป็นรากฐานสำคัญให้เกิดการเปลี่ยนแปลงโครงสร้างทางสังคมไป สู่ความเป็นประชาธิปไตย ลักษณะสำคัญของ Enlightenment คือ การเกิดความเคลื่อนไหวทางความคิดในทุกแขนงวิชา โดยการเคลื่อนไหวทางความคิดดังกล่าวมีลักษณะเป็นการตั้งคำถาม การวิพากษ์วิจารณ์ การสงสัยต่อสิ่งที่ยอมรับเด็ดขาดเป็นยุติ ห้ามโต้แย้ง ห้ามคิดต่าง เช่น ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ หรือคำสอนทางศาสนา ทั้งนี้โดยที่ถือว่า “เหตุผล” มีคุณค่าเท่าเทียมกับ “ความดี” การใช้สติปัญญาครุ่นคิดตรึกตรอง ไม่หลงเชื่ออะไรอย่างงมงายมีค่าเป็นคุณธรรม ถือว่ามนุษย์ทั้งหลายสามารถที่จะได้รับการฝึกฝนให้ใช้สติปัญญาได้ และถือว่าเหตุผลเป็นเครื่องมือที่สำคัญในการรับรู้ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นรอบ ตัวอย่างเท่าทัน ยุคนี้เป็นยุคที่เกิดการเรียกร้องให้มีขันติธรรมในเรื่องความเชื่อทางศาสนา กล่าวให้ถึงที่สุด ยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คือ ยุคที่เสรีภาพจะเข้าแทนที่สมบูรณาญาสิทธิ์ ความเสมอภาคจะเข้าแทนที่ระบบชนชั้น เหตุผล ความรู้ วิธีคิดแบบวิทยาศาสตร์จะเข้าแทนที่อคติและความงมงายทั้งหลาย
ถึงแม้ ว่าในปัจจุบันนี้นักคิดสกุลหลังสมัยใหม่ (Postmodernism) และนักคิดในสายถอดรื้อโครงสร้าง (Deconstruction) จะปฏิเสธคุณค่าภววิสัยและความจริงปรมัตถ์และเห็นว่าตรรกะไม่ใช่รากฐานเพียง ประการเดียวของความรู้ของมนุษย์ก็ตาม แต่เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่าหากเราไม่เริ่มต้นตั้งคำถาม และใช้สติปัญญาของเราอันเปรียบเสมือนแสงสว่างขับไล่ความมืดมนคืออคติและความ งมงายแล้ว เราก็คงจะสร้างสรรค์สังคมมนุษย์ที่ยุติธรรมไม่ได้ แม้ว่ายุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญาจะเป็นเพียงยุคสมัยหนึ่งในประวัติ ศาสตร์ของมนุษยชาติ แต่การใช้เหตุผลและสติปัญญาแสวงหาความจริงเป็นกระบวนการที่ไม่รู้จักจบสิ้น เราปฏิเสธความเชื่อ จารีตอันงมงายอันปรากฏในวงวิชาการนิติศาสตร์ และอยู่บนหนทางของการตั้งคำถาม วิพากษ์วิจารณ์ และท้าทายสถาบันทั้งหลายทั้งปวงในทางกฎหมายที่ไม่ตั้งอยู่บนรากฐานของเหตุผล ที่สามารถยอมรับได้ เราเห็นด้วยกับคำขวัญของยุคแห่งความสว่างไสวทางสติปัญญา คำขวัญที่ Immanuel Kant (ค.ศ.๑๗๒๔-๑๘๐๔) นักปรัชญาผู้เรืองนามชาวเยอรมันให้ไว้ว่า “จงกล้า ที่จะใช้ปัญญาญานแห่งตน!” (Habe Mut, dich deines eigenen Verstandes zu bedienen!)
หากเราย้อนกลับไปที่การเปลี่ยนแปลงการ ปกครองจากระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ มาเป็นระบอบที่กษัตริย์อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญแล้ว เราจะพบความจริงประการหนึ่งว่าวิธีคิดของคนในวงการนิติศาสตร์และระบบตลอดจน โครงสร้างขององค์กรในกระบวนการยุติธรรมโดยเฉพาะอย่างยิ่งศาลยุติธรรม มีความเปลี่ยนแปลงน้อยมาก อาจกล่าวได้ว่าอุดมการณ์ประชาธิปไตยซึ่งเป็นอุดมการณ์ของการเปลี่ยนแปลงการ ปกครองนั้น ไม่ได้ถูกปลูกฝังบ่มเพาะให้เข้าสู่ความรับรู้ของบุคคลในวงการกฎหมายอย่างที่ ควรจะเป็น การเกิดสิ่งที่เรียกว่า “ตุลาการภิวัตน์” ในช่วงก่อนการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ย่อมต้องถือว่าเป็นผลพวงของความล้มเหลวในอันที่จะสถาปนาอุดมการณ์นิติ รัฐ-ประชาธิปไตยให้เป็นอุดมการณ์หลักในวงการกฎหมายและวงวิชาการนิติศาสตร์ เหตุผลของความล้มเหลวดังกล่าวมีอยู่หลายประการ แต่เหตุผลที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งน่าจะเนื่องมาจากการที่สถาบันที่อบรมให้ ความรู้ทางวิชาการและฝึกฝนวิชาชีพทางกฎหมายตัดตัวเองออกจากการเรียนการสอน กฎหมายมหาชนในแง่ของหลักการและคุณค่าที่แท้จริง นับตั้งแต่ พ.ศ. ๒๔๙๐ เป็นต้นมา เราจึงได้เห็นการรัฐประหารและล้มล้างรัฐธรรมนูญครั้งแล้วครั้งเล่า เราเห็นบรรดานักกฎหมายรุ่นแล้วรุ่นเล่าที่พร้อมจะรับใช้คณะรัฐประหารและผู้ ที่อยู่เบื้องหลังการรัฐประหาร และพร้อมที่จะละทิ้งหลักวิชาที่ร่ำเรียนมาเพื่อตอบสนองความต้องการของการทำ รัฐประหาร เราเห็นศาลยอมรับบรรดาประกาศคำสั่งของคณะรัฐประหารให้มีค่าบังคับเป็นกฎหมาย โดยแทบจะไม่มีการตั้งคำถามถึงความยุติธรรมในทางเนื้อหาของบรรดาประกาศหรือคำ สั่งเหล่านั้น สิ่งเหล่านี้นอกจากจะมีผลทำลายคุณค่าของวิชานิติศาสตร์ลงอย่างถึงรากแล้ว ในที่สุดยังเท่ากับเป็นการทำร้ายราษฎรผู้เป็นเจ้าของอำนาจรัฐด้วย
ถึง เวลาแล้ว ที่จะต้องทำให้บรรดานักนิติศาสตร์และนักกฎหมายทั้งปวงเห็นว่าวิชานิติศาสตร์ ในรัฐเสรีประชาธิปไตย ต้องเป็นศาสตร์ที่มุ่งตรงไปที่ความยุติธรรมและความมั่นคงแน่นอนแห่งนิติฐานะ ที่สำคัญวิชานิติศาสตร์ต้องเป็นวิชาการที่เป็นไปเพื่อราษฎร การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรจำกัดอยู่แต่การท่องจำตัวบท คำอธิบายกฎหมาย หรือคำพิพากษาของศาล การเรียนการสอนในทางนิติศาสตร์ไม่ควรเป็นไปเพื่อให้ผู้เรียนตัดขาดตัวเองออก จากสังคม ไต่เต้าบันไดแห่งความสำเร็จทางวิชาชีพเพียงเพื่อในที่สุดแล้วจะได้อยู่ในที่ สูงกว่าราษฎร และใช้อำนาจหรือการผูกขาดความรู้ทางกฎหมายเอารัดเอาเปรียบกดขี่ข่มเหงราษฎร วิชานิติศาสตร์ควรจะสอนให้ผู้เรียนได้ตระหนักว่าเมื่อสำเร็จการศึกษาและ เริ่มต้นประกอบวิชาชีพโดยเข้าไปเป็นองค์กรของรัฐและทรงอำนาจในการกระทำการ ทางกฎหมาย อำนาจที่ตนกำลังใช้อยู่นั้นโดยเนื้อแท้แล้ว หาใช่อำนาจของตนเองไม่ แต่เป็นอำนาจของราษฎร ผู้ที่ศึกษาวิชานิติศาสตร์ควรจะศึกษาอย่างมีจิตใจวิพากษ์วิจารณ์ และเมื่อสำเร็จการศึกษาไปแล้ว จะต้องใช้กฎหมายโดยซื่อตรงต่อหลักวิชาที่ยอมรับกันเป็นยุติว่ามีเหตุผล อธิบายได้ ไม่คำนึงถึงหน้าคน การใช้กฎหมายเช่นนี้ในที่สุดแล้วย่อมเป็นไปเพื่อประโยชน์แก่ราษฎรทั้งหลาย
เราก่อตั้งสำนักพิมพ์นิติราษฎร์ขึ้น เพื่อหวังเป็นกลไกอีกประการหนึ่งในการสถาปนาอุดมการณ์นิติรัฐ-ประชาธิปไตย ให้เจริญงอกงามในวงวิชาการนิติศาสตร์ เพื่อผลิตตำราทางนิติศาสตร์ที่มีคุณภาพ เพื่อนำเอาตำราทางนิติศาสตร์ในอดีตที่สนับสนุนหลักนิติรัฐ-ประชาธิปไตยกลับ มาพิมพ์ขึ้นใหม่เพื่อให้คนรุ่นหลังได้ศึกษาค้นคว้าได้อย่างสะดวกขึ้น เราหวังว่าผู้อ่านจะได้ประโยชน์จากหนังสืออันทรงคุณค่าต่างๆที่เราจะได้จัด พิมพ์ขึ้น และจะได้ติดตามผลงานของสำนักพิมพ์นิติราษฎร์ในอันดับถัดๆไป

คณะนิติราษฎร์ : นิติศาสตร์เพื่อราษฎร

ใครงาบ 210 ล้าน??





“คอรัปเตอร์ปะดาบ”-ดูเหมือนว่าปัญหา “รถตู้มาเฟีย” ที่ซุกปีกนักการเมืองสีน้ำเงิน โดยเฉพาะวินสาย ต.ของ “แก๊งดิ่งนรก” ที่มีเลขาฯ ชื่อ “เล็ก ขี้เรื้อน” ที่ทำนาบนหลังคนมานาน จนคนหาเช้ากินค่ำในแวดวงรถตู้กร่นสาปแช่ง ทั้งเช้า สาย บ่าย ค่ำ นั้น ค่าจดทะเบียนรถตู้ถูกกฎหมายดังกล่าว
รายละ 50,000 บาท จำนวน 6,000 กว่าคัน !?
คิดเป็นเงินผลประโยชน์ กว่า 600 ล้านบาท !!
แล้วเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวไปอยู่ในกระเป๋าใครบ้าง? แบ่งเค็กกันอย่างไร ที่อ้างว่าเก็บให้ “นาย” หรือให้ “ผู้ใหญ่” นั้น คือใครกัน? เป็นที่ถกเถียงกัน และตั้งข้อสงกะสัยกันมากมาย ตามที่ “คอรัปเตอร์” ได้ชำแหละไว้แล้วนั้น เดี๋ยวกระผ๊มจะค่อยๆ เล่าให้ฟัง เอาไปเอามามีการการเรียกเก็บมากกว่านั้นอีกคร๊าบพี่น้อง “คอรัปเตอร์” บอกตามตรงเป็นที่รู้กันดีว่า
นโยบายหาแดกบนหลังคนหาเช้ากินค่ำ !?
ในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ ที่พรรคภูมิใจไทย โดย “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคมในขณะนั้น ได้เรียกผู้ประกอบการรถตู้เข้ารับฟังนโยบาย แนวทางจัดระเบียบให้เดินรถได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ที่อาคารชาลเลนเจอร์ 3 อิมแพ็ค เมืองทองธานี เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2552 ซึ่งผู้ประกอบการที่ยึดอาชีพขับรถตู้รับจ้าง (ป้ายดำ) มองว่า
เป็นความหวังที่จะได้ทำมาหากิน!!
โดยที่ไม่ต้องถูก “รีดไถ” เหมือนอดีตที่ผ่านมา !?
ซึ่งในการจัดระเบียบรถตู้ถูกกฎหมายในครั้งนั้น “นายโสภณ” บอกว่า การจัดระเบียบรถตู้จะเป็นการแก้ไขปัญหาเรื่องร้องเรียนเกี่ยวกับรถตู้เถื่อนที่ให้บริการอย่างไม่ปลอดภัย สภาพรถที่ไม่ได้มาตรฐาน ตลอดจนความไม่เป็นธรรมด้านราคาที่เอาเปรียบผู้โดยสาร จึงได้มอบหมายให้กรมการขนส่งทางบก ดำเนินการจัดระเบียบ
ให้เป็นรถตู้โดยสารประจำทางที่ถูกต้อง !!
เพื่อให้ประชาชนได้รับบริการที่สะดวกและปลอดภัย รวมทั้งได้รับการคุ้มครองตามกฎหมาย ซึ่งจะทำให้ประชาชนมีความมั่นใจในการใช้บริการรถตู้โดยสารมากขึ้น “คอรัปเตอร์” คงต้องบอกว่า ขณะเดียวกัน  “นายโสภณ” ก็โปรยยาหอมว่า การจัดระเบียบดังกล่าวจะเกิดประโยชน์ต่อผู้ประกอบการ หรือเจ้าของรถตู้โดยสารที่ให้บริการอยู่ในขณะนี้ พร้อมทั้งแจ้งเชิญเจ้าของรถที่ให้บริการในลักษณะเดียวกันกับรถโดยสารประจำทาง แต่ไม่ได้มาขอรับใบอนุญาตประกอบการขนส่ง และจดทะเบียนกับกรมการขนส่งทางบก
เข้ารับฟังนโยบายและร่วมให้ข้อมูล !?
เพื่อหาแนวทางจัดระเบียบ ??
ให้เดินรถได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย !!
พร้อมทั้งย้ำให้จัดระเบียบอย่างโปร่งใส ไม่มีการเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มจากที่กฎหมายกำหนด โดย บขส.จะทำหน้าที่รับเอกสารการจดรถตู้ที่ผิดกฎหมายให้เป็นรถตู้โดยสารร่วม บขส. จากนั้นก็มีการส่งเอกสารให้กรมการขนส่งทางบก เพื่อการออกในอนุญาตเป็นป้ายเหลือง สำหรับค่าใช้จ่ายในการจดเอกสารขอป้ายเหลือง
มีค่าใช้จ่าย 2 หมื่นบาทเป็นราคาตามกฎหมาย !?
“คอรัปเตอร์” บอกได้อีกเหมือนกันว่า ในครั้งผู้ประกอบการรถตู้รับจ้าง (ป้ายดำ) ถูกหลอกมามากมาย แถม “เล็ก ขี้เรื้อน” เลขาฯ “ดิ่งนรก” ขาใหญ่ในวงการรถตู้เถื่อน ยังคอยเรียกเก็บเงินในราคา 3.5  แสนบาท ในการดำเนินการค่าป้ายเหลือง หากไม่จ่ายกลุ่มชายฉกรรจ์ก็ไม่ยอมให้เข้าเมืองทอง
ที่สำคัญคนขับรถตู้บางรายยังถูก “รุมตื๊บ” อีก ??
เหมือน “บ้านเมืองไม่มีขื่อมีแปร” !!
คนหาเช้ากินค่ำแท้ๆ แต่กลับตกอยู่ใต้เงามืดของ “มาเฟีย อิทธิพล”…นรกชัดๆ …
เนี่ยหละเป็นที่มาของคนในวงการรถตู้ที่ตั้งฉายามาเฟียรายนี้ว่า  “ดิ่งนรก” แต่ไม่ใช่ปัญหาน่ะขอรับ เพราะปัญหาที่ว่า เมื่อมีการเรียกเก็บเงินรถตู้ที่ขอป้ายเหลืองคันละ 3.5. แสนบาท รวมรถตู้ทั้งหมดกว่า 6 พันคัน คิดเป็นเงินกว่า 210 ล้านบาท
แล้ว “หัวคิว” มันกระจายไปอยู่กระเป๋าใครบ้าง ???
เรื่องนี้หลายหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่าบอกน่ะว่าไม่มีมูลจริง เฮ่อๆๆ…!!!
คอรัปเตอร์
*****************************
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง