ดูรายการทีวีตอนนี้ ดร.ปลอดประสพมาออกบ่อย เมื่อวันก่อนมาออกเรื่องถมทะเล ดร.ปลอดประสพ แนะนำตนเองว่า เป็นคนที่ไปจบปริญญาเอกทางสิ่งแวดล้อมมาเป็นคนแรกๆ ก็ต้องยอมให้น้ำหนักความรู้ทางด้านนี้ไปบ้าง แต่อีกวันหนึ่ง ดร.ปลอดประสพก็มาออกทีวีพูดเรื่องค่าแรงขั้นต่ำและขอร้องให้นักธุรกิจทั้งหลายอย่าต่อต้านนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทเลย โดยให้นักธุรกิจทำใจว่า การจ่ายค่าแรงในระดับนี้ เป็นการแทนคุณแผ่นดิน หลังจากฟัง ดร.ปลอดประสพแล้ว เลยต้องมาขอเขียนบทความนี้
ประชากรของประเทศไทยและเกือบทุกประเทศในโลก ล้วนแต่มีความเลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ ซึ่งเป็นปัญหาที่ต้องแก้ไข แต่การแก้ไขนั้นต้องอาศัยความรู้ ไม่ใช่อาศัยกฎหมาย ไม่ใช่อาศัยอารมณ์ หรือความมักง่าย มิฉะนั้นผลที่เกิดขึ้นจะเลวกว่าเดิมและจะเป็นการทำลายเศรษฐกิจของชาติ เช่นเดียวกับที่ได้ประสบมาแล้ว ในลาตินอเมริกาหลายประเทศและกำลังประสบอีกหลายประเทศในยุโรปเช่น กรีซ, ปอร์ตุเกส, ไอร์แลนด์, อิตาลี และสเปน
การแก้ปัญหาความยากจนและความเลื่อมล้ำต้องอาศัยความรู้ทางเศรษฐศาสตร์ ซึ่งถ้าจะเรียนกันจริงๆ ต้องเรียนกันหลายปี เป็นศาสตร์ที่โลกได้สะสมความรู้กันมาเกินกว่า200ปี ฉะนั้น จะให้คนที่ไม่มีความรู้เลยได้เป็นผู้เสนอนโยบายจะเป็นอันตรายเท่ากับให้คนที่ไม่เคยเรียนฝึกขับเครื่องบินให้ไปขับเคลื่อนบินร่อนลงมาจอดที่สนามบิน หรือให้คนที่ไม่ใช่หมอมารักษาคนไข้ที่กำลังเจ็บป่วย
แม้คนที่เรียนเศรษฐศาสตร์มาก็ต้องระวัง เพราะการใช้ความรู้ในวิชาเศรษฐศาสตร์ ต้องอาศัยความเชี่ยวชาญสูง การไปเชื่อนักเศรษฐศาสตร์ ซึ่งรู้แต่ทฤษฎี แต่ไม่มีความรู้ในทางปฎิบัติเพียงพอก็จะอันตรายอย่างยิ่ง เช่นเดียวกับที่ไปเชื่อนักเศรษฐศาสตร์ที่รู้แต่เศรษฐกิจส่วนย่อย แต่ไม่มีความรู้และความเชี่ยวชาญกับภาคเศรษฐกิจส่วนรวม ก็จะเป็นอันตรายอย่างยิ่งได้เช่นเดียวกัน
ยกตัวอย่างเช่น เรื่องค่าแรงขั้นต่ำ สามัญสำนึกของทุกคนก็คืออยากให้แรงงานได้ค่าแรงสูงๆ ไม่มีใครอยากให้ค่าแรงถูกกดโดยนายจ้างเพราะความเห็นแก่ตัวที่ต้องการความร่ำรวยจากการใช้แรงงานเยี่ยงทาส แต่นักธุรกิจของไทยส่วนใหญ่ก้าวข้ามจากความหลงผิดในการเอาเปรียบแรงงานมานานแล้ว ความร่ำรวยของนายจ้าง จะมาจากการเพิ่มประสิทธิภาพในการผลิต ซึ่งจะต้องมาจากการลงทุนในการฝึกฝนคนงานให้มีฝีมือด้วยการให้ค่าจ้างที่สูงขึ้นเป็นกำลังใจและสิ่งจูงใจ
คนที่เสนอให้ใช้กฎหมายกำหนดค่าแรงขั้นต่ำให้สูงๆนั้น ลืมคิดไปว่า สิ่งที่เลวว่าค่าจ้างที่ต่ำนั้น ก็คือ การว่างงาน ซึ่งมีความหมายที่ร้ายกาจที่สุดก็คือ การไม่ได้รับค่าจ้างเลย นโยบายทางเศรษฐกิจที่สำคัญที่สุดของทุกประเทศในโลกก็คือ การแก้ปัญหาการว่างงาน
นักเศรษฐศาสตร์ทั้งหลายที่ต้องร่ำเรียนกันมาอย่างหนัก ต่างต้องขวนขวายหาความรู้อย่างลึกซึ้ง ว่าจะแก้ปัญหาการว่างงานได้อย่างไร คำตอบแบบกำปั้นทุบดินก็คือ ต้องสร้างงาน จะสร้างงานได้อย่างไร คำตอบแบบง่ายๆก็คือ ต้องให้มีการขยายการผลิตโดยผู้ประกอบการ ผู้ประกอบการเขาจะขยายการผลิตก็ต่อเมื่อเขาสามารถไปขายผลิตภัณฑ์ของเขาได้โดยไม่ขาดทุน ยิ่งต้องไปขายแข่งในตลาดต่างประเทศด้วยแล้ว ยิ่งต้องดูปัจจัยต่างๆให้ละเอียดและลึกซึ้ง ไม่ใช่แต่ต้นทุนหลายๆ ประเภทมากมาย เช่นค่าวัตถุดิบ ค่าพลังงาน ค่าดอกเบี้ย ค่าแรง ค่าขนส่ง ค่าภาษี ฯลฯ นอกจากนั้น ยังต้องคำนึงถึงความเสี่ยงของอัตราแลกเปลี่ยนที่ขึ้นลงอยู่ตลอดเวลา อยู่ดีๆ ไปออกกฎหมายขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำอย่างมากมายคิดดูซิว่าเขาจะเพิ่มการสร้างงานไหม เขาจะลดการผลิตลงหรือไม่ หรือเขาจะหาทางเอาเครื่องจักรมาทดแทนแรงงานหรือเปล่า
นักลงทุนจากต่างประเทศที่กำลังคิดมาลงทุนในเมืองไทย เขาอาจไม่กลัวการขึ้นค่าจ้างครั้งนี้ เพราะเขาสามารถจ่ายได้สูงกว่าค่าจ้างขั้นต่ำอยู่แล้ว โดยเลือกแรงงานที่มีฝีมือแต่เขาอาจกลัวรัฐบาลที่คิดอะไรแบบไม่ค่อยมีความรู้แบบนี้ ถ้าเขาหลวมตัวลงทุนแล้ว อาจจะมาเจอกับมาตรการอะไรก็ไม่รู้ในอนาคต เขาก็เลยตัดสินใจไปที่อื่นดีกว่า ซึ่งจะรวมทั้งที่ลงทุนอยู่แล้วในปัจจุบันด้วย
เจ้าพระยา
วันจันทร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2554
เกมเหลี่ยมซื้อเวลายั่วยุ ถือ'คนมีสี'เป็นพรรคร่วม รอ'สฤษดิ์น้อย'ตบะแตก กับแผน2หาตัวแทนปูกิ๊
โถ ! ใครจะเชื่อ ว่าไทยผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่ 33 ของโลกแล้ว!
|
|
สาเหตุหลักที่ทำให้คนชั่วลอยนวลและกลับมามีอำนาจได้อีก..
Posted by น.ส.คะน้า , ผู้อ่าน : 426 , 17:57:00 น.
หมวด : การเมือง
พิมพ์หน้านี้ โหวต 9 คน
ถ้า คิดแบบนี้เลิกอ่านไปเลยดีกว่าค่ะ เลิกอ่านมันตั้งแต่บรรทัดนี้ไปเลย แล้วถ้าเลิกเป็นสื่อมวลชนได้ จะให้ไปกราบงามๆก็ยังไหว ..... เราทุกคนล้วนมีหน้าที่ต่างกัน ถ้าผู้เขียนได้เลือกอาชีพสื่อมวลชนเหมือนคุณแล้วไม่ได้ทำในสิ่งที่ถูกต้อง อันนั้นเราค่อยมาถลกหนังหัวกันนะคะ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ เราทำได้แค่นี้ แค่ขอร้องพวกคุณบนพื้นที่ๆจำกัด จึงทำได้เพียงเฝ้ามองดูพวกคุณบางคนด้วยใจหดหู่ และท้อถอย มีเพียงสื่อส่วนน้อยบางท่านที่พอให้ประชาชนธรรมดาอย่างผู้เขียน ได้มีช่วงเวลาที่สุขใจ และแอบยิ้มได้บ้าง รู้สึกใจชื้นขึ้นมาเบาๆ แม้ว่าวันนั้นจะเป็นวันที่บ้านเมืองกำลังก้าวไปสู่ความเลวร้ายก็ตาม
คำถามคือ... บ้านเรามีแบบนี้บ้างไหมคะ..??? กะ อีแค่จะจัดดีเบตเพื่อขอ Scan สมองของ Candidate ผู้นำสักหน่อย ยังไม่มีใครออกมากดดัน ออกมาตำหนิ เชิญนักการเมืองไปสัมภาษณ์ก็งั้นๆ สื่อคนไหนถามจี้ดีๆแบบรู้ไส้พุงมัน ไอ้พรรคเลวๆจะเบี้ยวไม่มาก็ได้ ประชาชนก็ไม่ต้องรู้กันว่าหมอนี่ยายนั่นจะเข้ามาทำอะไรให้สังคม รู้อย่างเดียวว่าเดี๋ยวมันก็เข้าไปกระโดดถีบชาวบ้าน หรือชูนิ้วกลาง ด่าพ่อล่อแม่ นั่งหลับ กินเงินเดือนเป็นแสนๆ รู้แค่นี้เอง และไอ้คนที่มันไม่เคยเข้าประชุมสภาฯ แต่ดัดจริตใช้เอกสิทธิ์ส.ส.คุ้มกะลาหัว และวันนี้พวกแก็งค์กุ้ยยาธิปไตย (ขอยืมพี่ตู้หน่อยนะ) กำลังกดดันทุกภาคส่วนเพื่อให้มันเป็นเสนาบดีดูความมั่นคง... โธ่เอ้ย..! แม่ตัวเองมันยังไม่ดูแล สะเออะจะมาดูความมั่นคงของชาติ สื่อมวลชนก็รู้ๆๆๆๆๆ รู้ดีอยู่แก่ใจ แต่ทำไมพวกคุณถึงได้นิ่งเฉยกันนักคะ ออกมาช่วยกันหน่อย ส่วนจะต้องการให้ประชาชนธรรมดาๆอย่างเราช่วยอะไรพวกคุณได้บ้างก็บอกมาเลย ค่ะ เชื่อว่าคนไทยอีกหลายล้านคนที่พร้อมจะสนับสนุนคนดี และไม่โง่ที่จะดูไม่ออกว่าคุณกำลังทำเพื่อพวกเรา
(และ สื่อชั้นดีท่านอื่นๆที่ผู้เขียนไม่ได้กล่าวถึง อยากจะเขียนอีกเยอะ แต่หาได้เท่านี้จริงๆ พอดีไม่ได้อยู่ในวงการ) อยากเป็นกำลังใจให้ทุกท่านสู้กับความชั่วร้ายต่อไปค่ะ ถึง แม้บางครั้งจะถูกเย้ยหยัน ถูกสมน้ำหน้า จนแทบจะหมดกำลังใจไม่ว่าจะจากคนใกล้ชิดที่เขาไม่เข้าใจในสิ่งที่ท่านทำ หรือเป็นพวกตรงกันข้าม ใครติเสื้อแดง ด่าเทพเจ้าทักษิณ กรูด่าแหลก ท่านอย่าไปเสียเวลาสนใจไอ้บัวใต้เสาซีเมนต์สะพานข้ามแม่น้ำ อย่างพวกนี้ค่ะ มันเรียกร้องประชาธิปไตย แต่ไม่รับฟังความเห็นต่างอันนี้ก็ปล่อยมันไป อย่าเอาตัวไปแปดเปื้อนให้สกปรกเลย แค่ขอให้รู้ว่ามีคนไทยอีกมากมายหลายแสนหลายล้านคน เข้าใจ ชื่นชม อุ่นใจที่ยังมีท่าน และพร้อมจะยืนเคียงข้างพวกท่านเสมอ ขอให้เชิดหน้าอย่างภาคภูมิใจเถอะค่ะว่าท่านได้ทำหน้าที่ของตัวเองอย่างดี เยี่ยมแล้ว ด้วยความเคารพอย่างสุดหัวใจค่ะ
หมวด : การเมือง
พิมพ์หน้านี้ โหวต 9 คน
คุณกำลังประสบปัญหานี้ใช่หรือไม่?
- คุณไม่เข้าใจ ว่า ทำไมคนเล่นการเมืองแค่ 2 เดือน ถึงได้เป็นนายกฯหญิงคนแรกของประเทศ ทั้งที่ผู้หญิงคนนี้ยังไม่เคยผ่านงานการเมืองแม้แต่ระดับตำบล ยังไม่เคยโชว์วิสัยทัศน์ ไม่ดีเบต ไม่ชี้แจงอะไรทั้งนั้น ไม่แสดงกระบวนการทำงานของระบบต่างๆในสมองเธอ ว่าปราดเปรื่องสมกับที่เราจะวางใจให้เป็นผู้กำหนดชะตาประเทศได้..?
- คุณงง กับ นโยบายที่พรรคการเมืองบางพรรคหาเสียง ขนาดยังไม่ได้ผ่านการศึกษาว่ามันจะเป็นไปได้ ไม่มีแผนระยะสั้น กลาง ยาว ไม่ชี้แจงวิธีหาเงินเข้าประเทศเพื่อจะนำไปสนับสนุนให้นโยบายลดแลกแจกแถม เหล่านั้นให้เป็นจริง โดยที่ไม่ส่งผลกระทบในทางลบกับระบบการเงิน เศรษฐกิจ สังคม กฎหมาย และวินัยทางการคลังฯของแผ่นดิน มีเพียงแต่วาทะ พูดๆๆๆ และพูดไป แต่กลับได้รับเลือกให้เป็นเสียงข้างมากของประเทศ และมากถึง 15 ล้านเสียง... ??
- ต่อจากด้านบน.... คุณไม่อยากจะเชื่อ ว่า ทำไมคนไทย 15 ล้านคนนั้นคิดเองไม่ได้ หรือไม่ได้คิด หรือมีข้อมูลไม่เพียงพอ ที่จะรู้ว่าไอ้ที่พรรคการเมืองบางพรรคโฆษณาปาวๆนั้น มันเป็นเพียงแค่ "เทคนิคการหาเสียง" มิใช่สัญญาประชาคมแบบประเทศเจริญแล้วเขามี Commitment ต่อสังคม ส่วนใครที่คิดเองได้และกำลังถามหาความรับผิดชอบ ก็ยังงงๆว่าไม่รู้จะเรียกร้องได้กับใครหรือหน่วยงานใด ... ??!!
- คุณสับสน วุ่นวายใจ ที่อยู่ดีๆไอ้พวกที่คุณเห็นว่าเป็นอันทพาล เผาบ้าน ผลาญเมือง กำลังจะกลายเป็นเสนาบดีปกครองแผ่นดินในอีกไม่กี่วัน...??
- คุณข้องใจ มา นานแล้วว่าทำไมคนระดับรองนายกฯ ไปประกันตัวให้พวกอันทพาลด้านบนนั่น ออกมาจากคุก ทั้งๆที่มีทั้งพยานหลักฐานมากมาย ว่าที่ๆไอ้อีพวกนั้นควรซุกหัวอยู่คือเรือนจำ ไม่ใช่รัฐสภาหรือทำเนียบรัฐบาล และอีกไม่นานทั้งท่านรองฯผู้ทรงเกียรติและมีเมตตา ก็กำลังจะได้ใช้ภาษีของเรา บริหาร (ผลาญ) ประเทศร่วมกับพวกมัน..??
- คุณคิดไม่ถึง ว่า เอกสิทธิ์ของการเป็น ส.ส. มันยิ่งใหญ่คับฟ้าจนไม่มีใครหรือกฎหมายใดทำอะไรไอ้พวกสารเลวเหล่านี้ได้เลย หรือ (เฉพาะที่เลวๆ ถ้าไม่เลวอย่าเดือดร้อน) การเป็นส.ส.สามารถปลุกระดมคนให้ปิดถนน บุกโรงพยาบาล ให้เผาศาลากลาง เผาห้าง เผารถเมล์ วางเพลิงธนาคาร ขนรถแก็สขู่ประชาชน หรือแม้กระทั่งจาบจ้วงบุคคลที่เป็นศูนย์รวมจิตใจของคนทั้งชาติได้เลย นี่มันเอกสิทธิ์ส.ส. หรือเอกสิทธิของซาตานกันแน่ งงไหม..?
- คุณจำใจ ที่ จะต้องเชื่อว่าคนที่โดนศาลสูงสุดของประเทศ ตัดสินว่าให้มีความผิดในคดีแพ่งและอาญา มีโทษจำคุก 2 ปี แต่กลับเป็นผู้มีอิทธิพลคับฟ้า สามารถกำหนดชะตาประเทศชาติของเราได้ ทั้งๆที่เขาหรือมันผู้นั้นยังไม่ได้แม้แต่เหยียบบนแผ่นดินไทย
- คุณไม่รู้ ว่า ทำไมคนไทยส่วนใหญ๋ ไม่เข้าใจคำว่า "ประชาธิปไตย" มันแปลยากตรงไหน ทำไมคนนับแสน นับล้านจึงเข้าใจว่าถ้าเราพวกเยอะกว่า เราสามารถปิดซอยแถวบ้านเพื่อทำกิจกรรมอะไรสักอย่าง คนแถวบ้านจะออกไปไหนไม่ได้ก็ช่างหัวมัน ไม่ใช่เพราะคนในซอยมีพวกน้อยกว่า แต่เพราะเขาไม่อยากออกมาวุ่นวาย ไม่อยากหาเรื่อง ไม่อยากเจ็บตัว พวกเราที่มีมากจึงสามารถริดรอนสิทธิของใครก็ได้ โดยใช้คำว่า "ประชาธิปไตย" บังหน้า และถ้าคนแถวบ้านเรากล้าหือ เราก็สามารถเข้าไปปล้นของบ้านมัน จุดไฟเผาบ้านมันได้เลย และถ้ามันจะยิงเราเพื่อปกป้องชีวิตและทรัพย์สิน คนที่ผิดคือมันไม่ใช่พวกเรา เพราะพวกเราเยอะกว่า ถ้าตำรวจจะมาจับเราเข้าคุกพวกเราอีกฝูงก็จะต้องเรียกร้องความยุติธรรม เพื่อให้เข้าสู่กระบวนการ "ปรองดอง" มิอย่างนั้นเราจะปิดซอยอีกรอบ เพราะพวกเราเยอะกว่า (อีกแล้ว) .... อย่างนั้นหรือ...??
- สุดท้าย คุณท้อใจ (คน เขียน Blog ท้อมาก ยังมึนมาถึงวันนี้) ... ว่าทำไมพรรคที่ส่วนใหญ่มีแต่คนดีๆ มีฝีมือ มีผลงาน มีการศึกษา นานาชาติให้การยอมรับ เชิญไปเป็นผู้นำองค์กรระดับชาติไม่รู้กี่องค์กรแล้ว ทำไมไม่สามารถชนะการเลือกตั้งกับพรรคการเมืองที่มีแต่กุ้ยได้ เราติดตามการเมืองมานานแล้ว ได้เห็นพฤติกรรมอันไม่น่าจะเรียกว่าผู้ทรงเกียรติ วินมอไซค์ปากซอยบ้านเราบางคนยังสุภาพมากกว่าไอ้สส.ถ่อยพวกนี้อีก แต่ประหลาดใจ แปลกใจ หดหู่ใจมาก ที่วันนี้มันยังคงได้รับเลือกตั้งเข้าไปเป็นฝ่ายบริหารของบ้านเมือง ถ้าเป็นที่อเมริกาหรืออังกฤษที่เราไปลอกเลียนแบบการปกครองระบอบนี้มาจากเขา อย่าว่าเป็นผู้แทนราษฎรเลยค่ะ แค่ยามทำเนียบไอ้ถ่อยพวกนี้จะ Qualify หรือเปล่ายังไม่แน่ใจ...... โอ้ พระเจ้า นี่ฉันกำลังฝันร้ายอยู่ใช่ไหม ..??
เอาเถอะ ค่ะ ก่อนที่จะงงไปมากกว่านี้ ผู้เขียนขอเข้าเรื่องเลยแล้วกันคือ หากคุณจะเลือกคนหรือปัจจัยอะไรสัก 3-4 กลุ่ม แล้วช่วยวิเคราะห์ทีว่าหรืออะไรกันแน่ที่เป็นสาเหตุใหญ่ที่ทำให้บ้านเมือง เราต้องเป็นแบบนี้ ระหว่าง
- ทักษิณกับเสื้อแดง
- นักการเมือง
- การศึกษาของคนในชาติ
- อำมาตย์ (เอากะเขาหน่อย) และสุดท้าย
- สื่อมวลชน .....???
เพื่อไม่เป็นการเยิ่นเย้ออีกต่อไป (จริงๆพี่สาวไล่ที่แล้ว) ขอแสดงความเห็นในทัศนะ "ของผู้เขียน" ว่าทุกคนหรือทุกอย่างตั้งแต่ข้อ 1-5 ล้วนมีส่วนเกี่ยวข้องทั้งนั้น จะมากหรือน้อยก็แล้วแต่สถานการณ์ แต่ที่ควรจะถูกตำหนิมากที่สุด (ย้ำอีกทีว่าในทัศนะของผู้เขียน) คือ "สื่อมวลชน" สื่อมวลชนนี่แหละตัวดี Play Save ตลอด ไม่ทำหน้าที่ของตนเองให้เต็มที่ ทั้งๆที่พวกคุณก็รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ใกล้ชิดข่าวสารความเป็นจริงมากกว่าประชาชนทั่วไปอย่างเราๆไม่รู้กี่เท่า ถ้าบ้านเราเต็มไปด้วยสื่อมวลชนที่มีจรรยาบรรณ มีอุดมการณ์อย่างแท้จริง ทุกอย่างจะไม่เลวร้ายแบบนี้แน่นอน ต่อให้ 10 ทักษิณ อีกล้านเสื้อแดงสมองฟองน้ำ ไร้สติเหมือนซอมบี้ หรืออีกร้อยนักการเมืองเลวชาติชั่วขนาดไหน ก็จะไม่ทำให้สังคมเราย่อยยับได้ขนาดนี้ หากพวกคุณได้ตระหนักหน้าที่ของตัวเองอย่างแท้จริง
กรณี ที่คุณประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ อดีตบรรณาธิการเฉพาะกิจสำนักพิมพ์มติชน ถูกเลิกจ้างนั้นไม่ได้ทำให้คนที่ติดตามข่าวสารบ้านเมืองแปลกใจเลย ตอนที่ได้อ่านบทความ "คำถามที่ยิ่งลักษณ์ยังไม่(กล้า?)ตอบ" ของคุณประสงค์ ผู้เขียนยังคิดในใจว่านี่จะเป็น เรื่องที่นำความเดือดร้อนให้คุณประสงค์หรือไม่ และแล้วเมื่อไม่กี่วันมานี้ก็เกิดขึ้นจริง ... ในส่วนตัวแล้วถ้าจะซื้อมติชนอ่าน คอลัมม์ของคุณประสงค์ก็จะเป็นเพียงกระดาษไม่กี่แผ่นที่ผู้เขียนให้ความสำคัญ และเปิดอ่านก่อนหน้าไหนๆ อ่านจบแล้วก็เอาที่เหลือไปฉีกเช็ดกระจกได้เลย ไม่ว่ากัน ก็ดีค่ะ...คนดีไม่มีที่อยู่แบบนี้ก็ดี คนอ่าน (ที่ดีๆ) ก็จะได้ไม่ต้องฝืนใจอุดหนุนสิ่งพิมพ์ในเครือนี้อีกต่อไป
ที่ขอกล่าวหารุนแรงว่าสื่อเป็นสาเหตุสำคัญนั้น ผู้เขียนมิได้มิอคติแต่อย่างใด เพียงแต่ บ้านเมืองเรายังอยู่ประเทศในกลุ่มโลกที่สาม ยัง มีคนค่อนประเทศที่ยังไม่รู้ว่าอะไรเป็นอะไร ไม่รู้เท่าทันเล่ห์เหลี่ยมนายทุนหรือบริษัทฯที่จัดตั้งในรูปของพรรคการเมือง มีคนอีกค่อนประเทศที่ยังเชื่อว่าสิ่งชั่วร้ายนั้นเป็นสิ่งดี ไม่ใช่เพราะพ่อแม่พี่น้องร่วมชาติของเรานิสัยไม่ดีหรือไร้การศึกษา แต่พวกเขาได้รู้ได้ยินในสิ่งที่ผิดเพี้ยนไป ข้อมูลเลวๆโดนป้อนเข้าสมองคนรากหญ้าในประเทศเรามากกว่า 10 ล้านคน เป็นเวลายาวนานกว่า 5 ปีแล้ว โปรดอย่านิ่งเฉยกันอีกเลยค่ะคุณสื่อ ผู้เขียนทราบดีว่าทุกคนต้องทำมาหากินเพื่อเลี้ยงปากท้อง แต่การที่คุณเลือกแล้วว่าจะยึดอาชีพนี้ก็ขอเพียงให้ทำหน้าที่ของคุณอย่างมี จรรยาบรรณ มีอุดมการณ์ อย่าใช้อาชีพนี้เพียงเพื่อแลกกับเงินเจือจุลตัวคุณและครอบครัว ขอให้รับรู้และภูมิใจว่าคุณกำลังได้ทำหน้าที่ๆมีความสำคัญต่อบ้านเมืองของ เรามากๆ โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้ เหมือนที่ทหารหรือตำรวจ เขาเองก็เลือกแล้วว่าพร้อมจะตายเพื่อรักษาแผ่นดินเกิด หากท่านเลือกแล้วว่าจะเป็นสื่อมวลชน ก็ขอจงทำหน้าที่ของท่านให้สมเกียรติเช่นกัน และหากมีสื่อท่านใดที่กรุณาให้เกียรติมาอ่านบทความนี้ แล้วกำลังคิดว่า...
"ใช่ซี้ แกมันก็แค่คนเขียน blog มันก็ได้แต่เขียน ถ้าฉันทำตามจรรยาบรรณแล้วเดือดร้อน พวกแกจะมาเดือดร้อนแทนฉันหรือเปล่า"
ใน การเลือกตั้งเมื่อวันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ที่ผ่านมา หากประเทศไทยเป็นเหมือนอเมริกา หรือสื่อแถบยุโรปซึ่งเป็นประเทศต้นตระกูลของผู้เขียนเอง (ที่อ้างถึงเพราะ อยากบอกท่านว่าพอรู้และสามารถเปรียบเทียบได้) เขาจะออกมาเลือกข้างให้เห็นกันชัดๆเลยว่าใครเป็นยังไง มีนโยบายอะไร มีแผนระยะกลางและแผนระยะยาวในการวางรากฐานประเทศต่อไปอย่างไร ประวัติของ Candidate ผู้นำแต่ละคนของเขาขาวสะอาดแค่ไหน ทีมงานหรือทีมบริหารประเทศในอนาคตมีหน้าตาเป็นอย่างไร มีสรรพคุณดีเด่นหรือเกียรติประวัติควรเชิดชู ด่างพร้อยหรือไม่อย่างไร ... เมื่อเขาซักจนเข้าใจแจ่มแจ้ง หนังสือพิมพ์หรือสื่อข่ายนั้นก็จะทำหน้าที่เป็นผู้สนับสนุนอย่างเป็นทางการ ของพรรคการเมืองที่เขาเห็นด้วย และมีเหตุผลรองรับ 108-1009 ประการ สื่อต่างข่ายกันบางทีเป็นศัตรูขายข่าวแข่งกัน แต่พอเขาเห็นตรงกันว่านโยบายของพรรคนี้ OK กลายเป็นสื่อที่สนับสนุนพรรคการเมืองเดียวกัน เรื่องพวกนี้ก็มีให้เห็นบ่อยๆ บางทีนักข่าวยังตอบคำถามเรื่องนโยบายที่ซับซ้อนบางนโยบายแทนผู้สมัครส.ส. ได้แบบฉะฉาน นั่นเพราะเขาศึกษามาแล้วว่าดีจริง ควร Support พรรคนี้หรือคนนี้
ถึง แม้ว่าทุกภาคส่วนจะต้องร่วมมือกัน แต่จะมีอาชีพไหนที่สามารถเป็นกระบอกเสียงได้เท่าพวกคุณ ทักษิณยังรู้ว่าถ้าคุมสื่อได้ ก็คุมทุกอย่างได้หมด กราบเถอะคะ ขอร้องเถอะ ช่วยกันแฉ เปิดโปง ใครดีก็ว่าดี ใครเลวก็ขุดคุ้ยความเลวหรือความไม่ชอบมาพากลให้ประชาชนได้เห็น ช่วยกันอย่างเป็นระบบและให้นานพอ ต่อให้บ้านเราจะมีนารีขี่ควายแดง หรือเศรษฐีชั่วๆสักอีกกี่คน ก็รับรองได้ว่าไม่ได้ผ่านการตรวจสอบเบื้องต้นของสื่อแน่ๆ บ้านเราจะเจริญรุ่งเรืองด้วยฝีมือและการร่วมแรงร่วมใจของทุกคน
สุดท้าย : ด้วยจิตคารวะต่อสื่อมวลชนไม่กี่ท่าน ผู้เขียนขอชื่นชมในความกล้าหาญและมีจุดยืนที่ตรงข้ามกับพวกนักการเมืองเลวมาโดยตลอด อาทิ
ปล. ก่อน หน้านี้เห็นพี่นักเขียนกว่าร้อยชีวิต ไปลงชื่อขอแก้ไขมาตรา 112 อันที่จริงผู้เขียนก็เป็นแฟนผลงานของหลายๆท่านนะคะ แต่มาตรา 112 น่ะ ถึงแม้ว่าจะเข้าใจว่าท่านเจตนาดีแต่มันไม่น่าจะใช่เวลาและกาละเทศะอันสมควร เลยที่จะมาทำแบบนี้ (คือแปลตรงๆก็คือไม่ต้องไปรวมตัวกันก็ได้ คนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้หนักกบาลที่มีมาตรานี้ค่ะ) ดังนั้น ในฐานะผู้ติดตามผลงาน อยากเรียกร้องให้ท่านรวมตัวกันอีกครั้ง เพื่อรณรงค์เปิดโปงนักการเมืองชั่วๆดีกว่าค่ะ อันนี้เราเดือดร้อนมากและหนักกบาลเรามากกว่า 112 ไหนๆก็ไหนๆ ถ้าอยากยกเลิกรัฐธรรมนูญอะไรสักมาตรา ขอเป็นมาตราเรื่องเอกสิทธิ์คุ้มกะลาหัวส.ส.เลวๆจะดีกว่า สัญญาว่าจะช่วยสนับสนุนอย่างเป็นทางการ และซื้อผลงานของท่านไม่ต่ำกว่า 2 เล่ม (อ่านเล่มเก็บเล่ม) พูดจริงๆนะเนี้ยะ ^^
“ภูมิพลอดุลเดช” แปลว่ามีเกียรติยศยิ่งใหญ่และเป็นกำลังของแผ่นดิน
ดร.วิษณุ เครืองาม เล่าว่า “ภูมิพลอดุลเดช” แปลว่ามีเกียรติยศยิ่งใหญ่และเป็นกำลังของแผ่นดิน พระนามนี้แต่แรกไม่มี “ย” แต่ต่อมาเป็นภูมิพลอดุลยเดช
by ภาณุมาศ_ทักษณา เสาร์-อาทิตย์ ที่ 30 – 31 ก.ค.ที่ผ่านมา ผมได้มีวาสนาเดินทางไปชื่นชมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ ที่มูลนิธิชัยพัฒนาดูแลและรับผิดชอบในจังหวัดเพชรบุรี และจังหวัดประจวบคีรีขันธ์มา 3 โครงการ ผมจะนำเสนอให้รับทราบกันในวันถัด ๆ ไปครับ
สำหรับวันนี้ มีเรื่องที่ ดร.วิษณุ เครืองาม อดีตเลขาธิการคณะรัฐมนตรี เขียนเอาไว้เมื่อปลายปี 2553 ชื่อเรื่อง “ เรื่องที่ทรงให้และทรงขอ” ปรากฏอยู่ใน เว็บไซด์เจ้าพระยา ของ Chaoprayanews.com มีหลายเรื่องราวที่ผมเชื่อว่าหลายท่านอาจจะยังไม่ทราบ
จึงขอนำเสนอเรื่องนี้ให้รับทราบไปพลางก่อน เรื่องที่ ดร.วิษณุ เครืองาม เขียนไว้มีดังนี้
0 0 0
ปีหนึ่งๆมีโอกาสสำคัญเกี่ยวเนื่องกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวหลายครั้ง ทั้งที่เป็นโอกาสประจำ เช่น วันเฉลิมชนมพรรษา วัน คล้ายวันราชาภิเษกสมรส วันฉัตรมงคล และโอกาสจร เช่น ทรงประกอบพระราชกรณียกิจต่างๆ อย่างคราวเสด็จพระราชดำเนินทรงเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ และสะพานภูมิพล 1 สะพานภูมิพล 2 เมื่อไม่กี่วันมานี้
พอ ถึงโอกาสอย่างนั้นเข้าทีหนึ่งก็มีเรื่องให้ต้องพูดถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวผู้ทรงคุณอันประเสริฐทีหนึ่ง ไม่ว่าในเรื่องพระราชจริยวัตรอัธยาศัย พระมหากรุณาธิคุณด้วยน้ำพระราชหฤทัยอันสุดจะหาสิ่งใดเปรียบปาน หรือพระปรีชาสามารถเข้าพระทัยในการประยุกต์สรรพวิทยามาใช้แก้ปัญหาของชาติ บ้านเมืองได้อย่างเหมาะเจาะ
วันนี้ก็ต้องพูดถึงกันอีกครั้ง เรื่องอันเป็นมงคลยิ่งพูดถึงบ่อยๆ ยิ่งเป็นมงคลต่อผู้พูดและผู้ได้ยินได้ฟัง
พระราชบรรพบุรุษของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทางฝ่ายพระบรมราชชนกนั้นสืบย้อนไปได้ถึงรัชกาลที่ 1 และ สมเด็จพระอมรินทรามาตย์ (นาค) พระราชบรรพบุรุษชั้นนี้มีเชื้อสายมอญ
พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ 1 คือรัชกาลที่ 2 ทรงอภิเษกสมรสกับสมเด็จพระศรีสุริเยนทรามาตย์ (เจ้าฟ้าบุญรอด) พระธิดาในสมเด็จพระเจ้าพี่นางเธอของรัชกาลที่ 1 และเจ้าสัวเงิน จีนแซ่ตันจากปักกิ่ง
พระราชโอรสของรัชกาลที่ 2 คือรัชกาลที่ 4 พระราชบรรพบุรุษชั้นนี้จึงมีเชื้อสายจีน วันตรุษวันสารทจึงยังมีพิธีเซ่นไหว้พระป้ายบรรพบุรุษตามแบบจีนจนบัดนี้
รัชกาลที่ 4 ทรงสถาปนาหม่อมเจ้าหญิงรำเพย หลานปู่รัชกาลที่ 3 เป็นพระมเหสี ภายหลังได้เป็นสมเด็จพระเทพศิรินทรามาตย์ มีพระราชโอรสคือรัชกาลที่ 5 ซึ่งถือเป็นหลานทวดรัชกาลที่ 1 หลานปู่รัชกาลที่ 2 และหลานทวด (ทางแม่) ของรัชกาลที่ 3
รัชกาลที่ 5 ทรง สถาปนา พระเจ้าบรมวงศ์เธอ พระองค์เจ้าหญิงสว่างวัฒนา พระราชธิดาในรัชกาลที่ 4 แต่ต่างพระครรภ์กันเป็นสมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชเทวี ภายหลังได้เป็นสมเด็จพระศรีสวรินทิราบรมราชเทวี และสมเด็จพระพันวัสสา อัยยิกาเจ้าตามลำดับ
พระราชโอรสพระองค์ใหญ่ของรัชกาลที่ 5 และสมเด็จพระบรมราชเทวีคือสมเด็จเจ้าฟ้าชายมหาวชิรุณหิศ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมกุฎราชกุมารพระองค์แรกของไทย
แต่เพราะทิวงคตเสียตั้งแต่วัยหนุ่ม ลำดับการสืบราชสมบัติจึงเคลื่อนไปยังพระราชโอรสพระองค์อื่นของรัชกาลที่ 5 ที่ประสูติจากสมเด็จพระนางเจ้าองค์อื่น ซึ่งได้ครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 6 และ 7
เมื่อรัชกาลที่ 7 ทรง สละราชสมบัติ ใน พ.ศ. 2477 ด้วยเหตุไม่มีพะราชอนุชาและพระราชโอรส ตามกฎมณเฑียรบาลว่าด้วยการสืบราชสันตติวงศ์ พ.ศ. 2467 ซึ่งใช้อยู่ในเวลานั้น ลำดับการ สืบราชสมบัติจึงย้อนกลับมาทางสมเด็จพระนางเจ้าสว่างวัฒนา พระบรมราชเทวี คือสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลอดุยเดช กรมหลวงสงขลานครินทร์ พระราชอนุชาในสมเด็จเจ้าฟ้ามหาวชิรุณหิศ
แต่ เพราะสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลาฯ ทิวงคตแล้ว กฎมณเฑียรบาลยอมให้พระโอรสของสมเด็จเจ้าฟ้าฯ กรมหลวงสงขลาฯ เลื่อนขึ้นมามีสิทธิรับราชสมบัติได้คือพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชายอานันทมหิดล ทรงเป็นรัชกาลที่ 8
เมื่อรัชกาลที่ 8 สวรรคต ใน พ.ศ. 2489 และยังไม่ได้ทรงอภิเษกสมรส ราชสมบัติจึงตกแก่พระราชอนุชา สมเด็จเจ้าฟ้าภูมิพลอดุลยเดชทรงเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาล ปัจจุบัน
รัชกาลที่ 9 จึงทรงเป็นหลานปู่รัชกาลที่ 5 หลานทวดรัชกาลที่ 4 เหลนทวดรัชกาลที่ 2 และรัชกาลที่ 1 แห่งพระบรมราชจักรีวงศ์
ส่วน พระราชบรรพบุรุษทางฝ่ายพระบรมราชชนนีเป็นสามัญชน เมื่อยังทรงพระเยาว์ได้อยู่ในพระอุปการะของสมเด็จพระศรีสวรินทิราฯ และทรงได้ทุนไปศึกษาวิชาพยาบาลในสหรัฐอเมริกาจนได้ทรงพบรักกับสมเด็จเจ้าฟ้า มหิดลฯ บัดนี้สตรีผู้ทรงบุญญาธิการนั้นคือสมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวประสูติที่โรงพยาบาลชานเมืองบอสตันในมลรัฐแมสซาซู เซตส์ สหรัฐอเมริกา โรงพยาบาลนั้นบัดนี้ย้ายที่ตั้งแล้ว แต่ยังมีแก่ใจทำป้ายติดว่า ณ ที่แห่งนี้ ทารกซึ่งถือกำเนิดคนหนึ่งในเวลาต่อมาได้เป็นพระมหากษัตริย์ของประเทศไทย และเป็นพระมหากษัตริย์พระองค์แรกและพระองค์เดียวที่ประสูติในประเทศสหรัฐ อเมริกา
วันนั้นคือวันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม 2470 ขณะประสูติ ดำรงพระยศเป็นพระวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าชาย และยังไม่มีเค้าว่าต่อไปจะได้ทรงเป็นพระมหากษัตริย์ เหตุผลคือ รัชกาลที่ 7 ยังทรงเป็นพระมหากษัตริย์ พระชนกก็ยังอยู่ พระเชษฐาก็ยังอยู่ และรัชกาลที่ 7 จะทรงสมมุติยกเชื้อพระบรมวงศ์พระองค์ใดเป็นรัชทายาทก็ได้
เมื่อสมเด็จพระศรีสวรินทิรา ฯ ทรงทราบข่าวว่าหม่อมในสมเด็จเจ้าฟ้ามหิดลฯ ประสูติพระกุมารเป็นชายก็ได้เสด็จไปเฝ้ารัชกาลที่ 7 ขอพระราชทานพระนามแก่พระราชนัดดาซึ่งทรงตั้งให้ว่า “ภูมิพลอดุลเดช” แปลว่ามีเกียรติยศยิ่งใหญ่และเป็นกำลังของแผ่นดิน พระนามนี้แต่แรกไม่มี “ย” แต่ต่อมาเป็นภูมิพลอดุลยเดช
เมื่อ ครอบครัวมหิดลเสด็จกลับเมืองไทย พระองค์เจ้าภูมิพลอดุยเดชได้ประทับอยู่ที่วังสระปทุมของสมเด็จพระศรีสวรินทิ ราฯ พระอัยยิกา ทรงรับการศึกษาที่โรงเรียนมาแตร์เดอี ขณะที่พระพี่นางทรงเรียนที่โรงเรียนราชินี พระเชษฐาทรงเรียนที่โรงเรียนเทพศิรินทร์
เมื่อพระชนกสิ้นพระชนม์ ครอบครัวมหิดลได้เสด็จไปประทับที่สวิตเซอร์แลนด์ ครั้น พ.ศ. 2477 พระโอรสพระองค์ใหญ่ในราชสกุลมหิดลได้เป็นรัชกาลที่ 8 พระโอรสพระองค์เล็กจึงได้เป็นสมเด็จเจ้าฟ้าพระราชอนุชา
แต่แรกทรงเรียนทางวิศวกรรมศาสตร์เพราะโปรดวิชาช่าง ครั้นเมื่อต้องทรงรับราชสมบัตินับตั้งแต่วันที่ 9 มิถุนายน 2489 จึงทรงเปลี่ยนไปศึกษาทางกฎหมายและการปกครอง
เคย รับสั่งเล่าว่าได้ทรงศึกษากฎหมายอาญา กฎหมายแพ่ง กฎหมายปกครอง กฎหมายรัฐธรรมนูญ ครั้งหนึ่งเคยทรงโต้แย้งทางวิชาการกับนักกฎหมายใหญ่ในขณะนั้นคือ ดร. หยุด แสงอุทัย จนต้องเปิดตำราเยอรมันว่ากันข้อนี้มา
สมกับที่ ดร. หยุด เคยเล่าให้ผมฟังว่า “มารู้ที่หลังว่าถูกของพระองค์ท่าน เพราะผมเองใช้ตำราหลังสงครามโลกครั้งที่ 1 แต่พระองค์ท่านทรงใช้ตำราฉบับแก้ไขใหม่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ”
แม้จะทรงครองราชย์เป็นรัชกาลที่ 9 ตั้งแต่วันที่ 9 มิถุยน 2489 แต่เพราะต้องเสด็จกลับไปสวิตเซอร์แลนด์เพื่อทรงศึกษาต่อ และต้องรอให้การถวายพระเพลิงรัชกาลที่ 8 ผ่านพ้นไป จึงทรงเข้าพิธีบรมราชาภิเษกเป็นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวตามโบราณราช ประเพณี เมื่อวันที่ 5 พฤษภาคม 2493 ซึ่งถือเป็นวันฉัตรมงคล แต่การนับอายุรัชกาลต้องนับมาตั้งแต่ พ.ศ. 2489 แล้ว
การ เสด็จพระราชดำเนินกลับมาประทับที่ประเทศไทยเป็นการถาวรในช่วงก่อน พ.ศ. 2500 เป็นการเริ่มการปฎิบัติพระราชกรณียกิจในฐานะพระมหากษัตริย์อย่างเต็มพระ กำลัง
เริ่ม ตั้งแต่การเสด็จออกทรงผนวช การเสด็จฯเยี่ยมราษฎรในต่างจังหวัด การเสด็จประพาสต่างประเทศ การมีพระราชดำริเริ่มโครงการต่างๆมากมายเพื่อแบ่งเบาภาระของรัฐในการช่วย เหลือประชาชน และการใกล้ชิดกับราษฎรทุกหมู่เหล่า ไม่ว่าตำรวจ ทหาร ข้าราชการ พลเรือน นักศึกษา เกษตรกร ชาวเขา หรือพ่อค้าวาณิช
แม้ แต่กับรัฐบาล ก็พระราชทานพระมหากรุณาแก่ทุกรัฐบาลโดยเสมอหน้าชนิดที่รัฐบาลใดจะอ้างว่าตน ได้รับละอองแห่งพระมหากรุณามากน้อยต่างกันไม่ได้เลย พระราชสิทธิในฐานะพระมหากษัตริย์ที่จะพระราชทานคำแนะนำ คำ ตักเตือน พระราชสิทธิที่จะพระราชทานกำลังใจและพระราชสิทธิที่จะรับคำกราบทูลถวาย รายงานข้อราชการบ้านเมืองนั้นทรงใช้แก่ทุกรัฐบาลโดยเสมอหน้ากัน
ในฐานะที่ทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาลโดยหน้าที่ต่างๆกันถึง 15 ปี ผมขอยืนยันว่าพระองค์ทรงมีมาตรฐานเดียวโดยตลอด จะต่างกันก็ที่โอกาส เช่น คณะรัฐมนตรีบางคณะเข้ามาในช่วงที่ทรงพระประชวร บางคณะมีราชการงานเมืองต้องเข้าเฝ้าฯ ขอ พระราชทานมหากรุณาบ่อยหรือห่างตามเหตุการณ์
ในการมีพระราชดำริ พระราชดำรัส และการทรงงานใดๆ ไม่มีเลยสักเรื่องที่จะแสดงว่าทรงรับเอาประโยชน์ส่วนพระองค์แม้พสกนิกรจะเต็มใจถวาย
สมัยจอมพลถนอมเป็นนายกฯ คราวหนึ่งประจวบโอกาสครองราชย์ครอบ 25 ปี (พ.ศ. 2514) รัฐบาลจะสร้างพระบรมราชานุสาวรีย์และถาวรวัตถุใหญ่โต “ที่สุดในประเทศ” ถวาย รับสั่งว่าสิ้นเปลืองและไม่เป็นประโยชน์แก่ประชาชน สร้างถนนกันรถติดดีกว่า นี่คือที่มาของถนนรัชดาภิเษก
สมัย คุณบรรหารเป็นนายกฯ เคยกราบบังคมทูลว่า จะสร้างทาวเวอร์หรือหอคอยสูงใหญ่ข้างสะพานพระราม 9 ใช้เป็นหอดูวิว หอโทรคมนาคม และเฉลิมพระเกียรติ รับสั่งว่าเทคโนโลยีสมัยนี้ไม่ต้องสร้างหอโทรคมนาคมและเปลืองเงินเปล่าๆ
นายกฯคนหนึ่งเคยกราบบังคมทูลถามว่า ที่พระอนุสาวรีย์กรมหลวงชุมพรฯ หน้าทำเนียบรัฐบาลนั้น ตอนพลบค่ำคนมักมาจุดประทัดแก้บน บางทีก็ยิงปืนสนั่นหวั่นไหว ดังรบกวนมาถึงสวนจิตรฯ หรือไม่ รับ สั่งว่า อยู่ที่หลักการว่าทำอย่างนั้นผิดกฎหมายไหม ถ้าผิดก็ต้องห้าม แต่ถ้าเป็นเสรีภาพก็ต้องปล่อยไป รำคาญหนวกหูก็ต้องทน อย่าใช้มาตรฐานสวนจิตรฯ หรือทำเนียบรัฐบาลมาตัดสิน
สมัยนายกฯทักษิณ เคยกราบบังคมทูลว่า
เมื่อ ประทับรักษาพระองค์ที่วังไกลกังวลอย่างนี้ รัฐบาลจะขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้สำนักพระราชวังปรับปรุงวังไกลกังวล ให้สะดวกสบายสมกับที่จะใช้เป็นที่ประทับยาวนนาน รวมทั้งจะปรับปรุงโรงพยาบาลหัวหินให้ทันสมัยพร้อมทุกประการ
รับสั่งว่า การปรับปรุงโรงพยาบาลเป็นประโยชน์แก่ทุกคนถ้ามีงบก็ควรทำ แต่การปรับปรุงวังไกลกังวลเป็นเรื่องพระสำราญ “แค่นี้ก็พออยู่พอเพียงแล้ว”
รัฐบาลหลายคณะ เคยออกกฎหมายที่มุ่งจะเฉลิมพระเกียรติเช่นมีคำว่า “พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลเดชมหาราช”
มีพระราชกระแสให้รัฐบาลนำกลับไปปรับปรุงเพราะ “ไม่อาจทรงสถาปนาพระองค์เองได้” เช่นเดียวกับที่ใน พ.ศ. 2512 ไม่ทรงลงพระปรมาภิไธยในร่างพระราชบัญญัติยศทหารซึ่งถวายพระยศ ทางทหารเป็น จอมพล จนร่างพระราชบัญญัตินั้นตกไปเองในที่สุด
รัชกาล นี้ทรงลงพระปรมาภิไธยตรากฎหมายมาแล้ว ทั้งที่เป็นพระราชบัญญัติ พระราชกำหนด พระราชกฤษฎีกานับหมื่นฉบับ ทรงวินิจฉัยฎีกานักโทษ ฎีการ้องทุกข์ขอพระราชทานความเป็นธรรมอีกหลายพันราย บางรายขอพระราชทานยืมเงิน บางรายขอความเป็นธรรมเรื่องแต่งตั้งโยกย้าย
ราย หนึ่งพ่อตาย ลูกชายบวชหน้าไฟให้พ่อ อยู่มาก็ไม่ยอมสึก แม่มีลูกชายคนเดียวทำหนังสือถวายฎีกาว่าเดือดร้อนหนัก ขอพระมหากรุณาให้ลูกสึกมาช่วยเลี้ยงแม่เถิด โปรดให้ตรวจสอบแล้วมีพระราชกระแสว่า แท้จริงแม่ไม่ได้อยากให้ลูกสึก แต่ปัญหาคือแม่ลำบากยากจน จึงโปรดให้กรมประชาสงเคราะห์เข้าไปช่วยดูแล สอนอาชีพให้และหาเครืองมือทำมาหากินไปให้แม่ ลงท้ายแม่ก็ทำมาหากินได้ ส่วนลูกก็อยู่ไปจนเป็นสมภาร
พระ บาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงสงเคราะห์ทั้งส่วนรวมและพระองค์เองเพื่อจะได้มี พระอนามัยดีทรงงานเพื่อส่วนรวมต่อไป จึงทรงดนตรี ทรงพระราชนิพนธ์หนังสือ ทรงเล่นคอมพิวเตอร์ ทรงฉายภาพ ทรงกีฬา ทรงวาดรูป ปั้นรูป ทรงงานไม้งานช่าง จะทรงจับงานด้านใดก็ทรงทำได้ดี
ที่คนไม่ใคร่ทราบคือทรงสนพระราชหฤทัยเป็นพิเศษในเรื่องภาษาไทย การศึกษา ระบบสิ่งแวดล้อม การสาธารณสุข และพุทธศาสนา ส่วนที่ทรงพระปรีชาทางดิน น้ำ ระบบระบายน้ำ และการแก้ปัญหาจราจรนั้นเป็นที่ทราบทั่วไปอยู่แล้ว
เมื่อครั้งยังเป็นเลขาธิการคณะรัฐมนตรี ผมเคยได้รับพระมหากรุณาพระราชทานคำแนะนำเรื่องการใช้ถ้อยคำภาษาไทยหลายหน
ครั้งหนึ่งได้ถวาย “รายชื่อ” บุคคลให้ทรงแต่งตั้ง รับสั่งถามว่า ตั้งกี่คน ผมกราบบังคมทูลว่าคนเดียว ตรัสว่าคนเดียวเรียกว่า “ชื่อ” ถ้า “รายชื่อ” ต้องหลายคน
อีกคราวหนึ่ง มีหนังสือกราบบังคมทูลว่า “ทูลเกล้าทูลกระหม่อมมาเพื่อทรงพิจารณา” ทรงพระสรวลตรัสว่า “ถ้าทูลเกล้าทูลกระหม่อมก็อยู่บนกระหม่อมยังไม่ถึงฉัน ถ้าจะให้ถึงฉัน ต้องทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายมาเพื่อทรงพิจารณา”
ใน ทางพระพุทธศาสนาก็ปรากฎว่าทรงรอบรู้ทั้งในทางปฎิบัติและปริยัติ ทรงรู้จักพระเป็นอันมาก เมื่อตรัสถึงเหตุการณ์ครั้งใดจะทรงย้อนไปถึงเรื่องราวครั้งเก่าก่อน เช่น “ครั้งสมเด็จพระสังฆราชยังเป็นพระญาณวราภรณ์” “ ครั้นเจ้าคุณประยุทธยังเป็นพระราชวรมุนี”
และ เคยตรัสเล่าเรื่องราวความเป็นอัครศาสนูปถัมภก ว่า ต้องทรงอุปถัมภ์ และคุ้มครองทุกศาสนา โดยไม่เลือกปฎิบัติ ทรงเล่าพระราชทานว่า ครั้งหนึ่งควีนจากประเทศหนึ่งทูลถามว่า พุทธศาสนาไม่มีพระเจ้าแล้วชาวพุทธนับถืออะไรกัน เหตุใดไม่ยกพระพุทธเจ้าเป็น god เสียเลย
ได้ทรงตอบว่า พุทธศาสนานับถือ “ธรรม” เรานับถือธรรมยิ่งกว่าพระพุทธเจ้าเสียอีก เพราะธรรมเป็นเครื่องคุ้มครองโลก และได้ตรัสเล่าต่อไปว่า แม้ศาสนาอื่นก็ยังต้องทรงอุปถัมภ์ ฉะนั้นในฝ่ายพุทธศาสนาขอให้ทุกคนวางใจเถิดว่า จะเป็น เถรวาท มหายาน รามัญนิกาย มหานิกาย ธรรมยุต ก็ต้องทรงคุ้มครองและพระราชทานความเป็นธรรมเสมอกัน
รัชกาล ที่ 5 นั้น อะไรที่ไม่เคยมีและไม่มีคนไทยคนใดนึกว่าชีวิตนี้จะมี แต่ก็ทรงบันดาลหรือวางรากฐานให้มีขึ้นเป็นขึ้นทั่วถ้วน เช่น โรงเรียน โรงพยาบาล รถไฟ ไปรษณีย์ เลิกทาส จนคนรุ่นก่อนหน้านั้นต้องคิดว่าเหลือเชื่อ
แต่รัชกาลที่ 9นั้น อะไร ที่ควรจะมีควรจะคิดออก ควรจะทำเป็นนานแล้ว แต่ผู้มีอำนาจหน้าที่ไม่ใคร่คิดไม่ใคร่ทำ ก็ทรงบันดาลหรือวางรากฐานให้มีให้เป็นขึ้น เช่น เขื่อน ฝาย ประตูระบายน้ำ ถนน สะพาน การสงเคราะห์คนเป็นโรคเรื้อน คนประสบภัยธรรมชาติ การแก้ปัญหาจราจร การเพิ่มผลผลิตการเกษตร การแก้ปัญหาความยากจน ปัญหาพลังงาน
สมัยผมเป็นเลขาธิการ ครม. ต้อง ทูลเกล้าฯถวายเอกสารใส่ซองขนาดใหญ่สีขาวเพื่อทรงลงพระปรมาภิไธย รับสั่งต่อไป หน้าซองไม่ต้องเขียนเลขที่หนังสือ จะได้หมุนเวียนกลับลงมาใช้หลายหน ไม่ต้องทิ้ง แม้แต่เรืองเล็กๆก็ควรประหยัด เวลาร่างกฎหมายโปรดให้ถวายปะหน้า 2 แผ่น เผื่อว่าทรงลงพระปรมาภิไธยแล้วหมึกซึมเลอะ จะได้ประหยัดเวลาไม่ต้องรอถวายใหม่ เวลาตั้งรัฐมนตรีใหม่จะต้องเข้า เฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฎิญาณ จะตรัสว่าให้รีบมาจะได้รีบไปทำงานไม่ต้องห่วงว่าติดเสาร์อาทิตย์ ประเทศไทยพระเจ้าแผ่นดินไม่มีวันหยุดราชการ
พระมหากรุณาธิคุณปานนี้จะหาได้จากที่ไหนอีกเจ้าประคุณเอ๋ย!
ปี 2538 สมเด็จ พระศรีนครินทราบรมราชชนนีสวรรคต ลองคิดดูว่าพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวจะทรงวิปโยคขนาดไหน เสด็จไปทรงสดับพระพิธีธรรมที่พระที่นั่งดุสิตฯ ทุกราตรี แต่ทราบกันบ้างหรือไม่ว่าพอพระสวดจบ เสด็จลงมาประทับที่พระที่นั่งราชกรัณยสภาใกล้ๆกัน พระราชทานคำแนะนำการแก้ปัญหาจราจรแทบทุกคืน
ปี 2553 อยู่ระหว่างประชวรประทับในโรงพยาบาล พระราชกรณียกิจอื่นภายนอกโรงพยาบาลทรงงดเสียเกือบสิ้น แต่การเสด็จไปเปิดประตูระบายน้ำคลองลัดโพธิ์ ทอดพระเนตรโครงการแก้ปัญหาน้ำท่วมและเปิดสะพานระบายการจราจรเพื่อพสกนิกรของ พระองค์ เป็นเรื่องที่ทรงถือเป็นกิจสำคัญ
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นยอดแห่งผู้อดทน อด กลั้น ในการประกอบพระราชกรณียกิจนั้นย่อมมีทั้งร้อนทั้งหนาวยาวนานและน่าเหนื่อย หนัก ดูเอาจากการพระราชทานปริญญาบัตรเถิด แม้แต่ที่ต้องทรงอดกลั้นด้วยขันติบารมีในคำจ้วงจาบหรือระคายเคืองเบื้องพระ ยุคลบาทอีกไม่รู้เท่าไร อย่าลืมว่า พระชนมพรรษา 83 แล้ว ทรงงานมา 64 ปีแล้ว
ดะไลลามะเคยพูดว่าใครอย่ามาชมตัวท่านเลยว่าเป็นยอดคน ไปดูที่พระเจ้าแผ่นดินเมืองไทยเถิด
ผมเคยไปเฝ้าฯเจ้าชายจิกมี กษัตริย์หนุ่มแห่งภูฎาน ตรัสว่ากษัตริย์ของท่านเป็นแบบอย่างของข้าพเจ้าในการจะครองราชย์ให้คนรัก
สุลต่านบรูไนที่เป็นผู้แทนกษัตริย์ 25 ประเทศ ถวายพระพรในคราวฉลองการครองราชย์สมบัติครบ 60 ปี เมื่อ พ.ศ. 2549 เคยทูลว่า การครองราชย์นานถึง 60 ปีเป็นเพียงตัวเลข สำคัญอยู่ที่ว่า 60 ปีนั้นได้ทำอะไร
“เป็น ที่ประจักแล้วว่า ฝ่าพระบาททรงทำทุกอย่างตลอด 60 ปี ให้เป็นประโยชน์ต่อชาวไทย ชาวเอเซีย และชาวโลก วาระนี้จึงทรงเป็นความภาคภูมิใจของบรรดาพระราชามหากษัตริย์ทั้งปวงโดยทั่ว กัน”
เมื่อวันเฉลิมพระชนมพรรษาปี 2552 มีพระราชดำรัสตอนหนึ่งว่า ความสุขความสวัสดีของพระองค์จะมีได้ก็ด้วยการที่บ้านเมืองมีความเรียบร้อย
พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวพระองค์นี้มีแต่ทรงให้พวกเรามาตลอด แต่พระราชดำรัสนี้มีนัยเป็นทั้งสิ่งที่ “ทรงหวัง” “ทรงบอกให้รู้” และ”ทรงขอ” ซึ่งน่าจะทรงประสงค์ยิ่งกว่าคำถวายพระพร ” ทรงพระเจริญ”
ไหนว่า ธ ประสงค์ใด จงสฤษดิ์ดังหวังวรหฤทัย
แล้วเรื่องอย่างนี้เราคนไทยจะพร้อมใจกันจัดถวายได้ไหมครับ
0 0 0
แถลงการณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช กรณีเครื่องบิน
Wassana Nanuam
สมเด็จพระบรมฯออกแถลงการณ์ด่วนจ ะทรงชดใช้ค่าเครื่องบินที่ถูกเย อรมันยึดด้วยพระองค์เอง ไม่อยากให้2ประเทศมีปัญหา
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
►
2012
(274)
- ► กุมภาพันธ์ (51)
-
▼
2011
(1241)
-
▼
สิงหาคม
(263)
-
▼
01 ส.ค.
(8)
- การบริหารชาติบ้านเมืองต้องอาศัยความรู้ ไม่ใช่ประชา...
- เกมเหลี่ยมซื้อเวลายั่วยุ ถือ'คนมีสี'เป็นพรรคร่วม ร...
- โถ ! ใครจะเชื่อ ว่าไทยผลิตน้ำมันเป็นอันดับที่ 33 ข...
- สาเหตุหลักที่ทำให้คนชั่วลอยนวลและกลับมามีอำนาจได้อ...
- “ภูมิพลอดุลเดช” แปลว่ามีเกียรติยศยิ่งใหญ่และเป็นกำ...
- แถลงการณ์ สมเด็จพระบรมโอรสาธิราช กรณีเครื่องบิน
- กรณ์ จาติกวณิช:สู้กับทักษิณ
- ที่แท้กกต.รับรองจตุพรแล้วได้เฮจันทร์นี้ ขืนแจกใบแด...
-
▼
01 ส.ค.
(8)
-
▼
สิงหาคม
(263)