บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มหากาพย์องค์กร "กสทช."/งานนี้มีเดิมพัน "หลายแสนล้าน"

by อดิศักดิ์ ,

บ้าน เมืองของเรามักมีเรื่องร้อนๆ ซ้อนๆ กันในห้วงเวลาเดียวกัน  คอลัมนิสต์รายสัปดาห์อย่างผมเลยมักเป็นคนหลายใจไม่รักษาคำพูด  เลือกไม่ค่อยถูกว่าจะเขียนถึงเรื่องอะไร  ทั้งๆ ที่เมื่อสัปดาห์ที่แล้วเขียนตอนที่ 1 ตั้งคำถามถึงพรรคประชาธิปัตย์ว่าจะปฏิรูป หรือ Re-Branding จริงหรือเปล่า
    สัญญาว่าสัปดาห์นี้จะมาเขียนตอนที่ 2 เพื่อบอกคนรุ่นใหม่ๆ ของพรรคประชาธิปัตย์ที่หลงไปว่าตัวเองเป็นกูรูรู้จักสื่อใหม่ แต่กลับไม่เคยทำความเข้าใจสื่อเก่าหรือกลางเก่าใหม่อย่างโทรทัศน์ดาวเทียม ที่ทำให้พรรคประชาธิปัตย์แพ้พรรคเพื่อไทยยับเยิน  แต่ต้องขออภัยที่ขอไม่เขียนต่อในวันอาทิตย์นี้  เพราะดันมีเรื่องร้อน "กสทช." แทรกเข้ามา
   สายๆ วันนี้ สมาคมนักข่าววิทยุและโทรทัศน์ไทย ร่วมกับอีกหลายองค์กร จัดเสวนาเรื่อง "ผ่าแผนล้ม สรรหา กสทช." ตั้งหัวข้อได้น่าสนใจ คาดว่าเนื้อหาน่าจะอยู่ในระดับพาดหัวไม้ได้ หรือขึ้นข่าวหนึ่งโทรทัศน์ได้  หากวันอาทิตย์ไม่มีข่าวอื่นมาชิงพื้นที่ไปหมด  ฟังจากผู้จัด เดิมจะตั้งหัวข้อประมาณว่า "ผลประโยชน์แสนล้านล้มสรรหา กสทช. เปิดโปงขบวนการเตะหมูเข้าปากสุนัข"  แต่เกรงไปว่าเชิญวิทยากรคนไหนก็คงไม่มีใครกล้ามา เลยตั้งหัวข้อให้เบาลงนิดหนึ่ง
   ท่านผู้อ่านอาจจะงงๆ กับเรื่อง กสทช. ว่า คืออะไร  กสทช. มาจากชื่อเต็มๆ ว่า คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และ กิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ ที่วุฒิสภาจะต้องเลือกจากรายชื่อ 44 คน จากคณะกรรมการสรรหาให้เหลือ 11 คน ภายในวันที่ 11 ก.ย. 2554   หากวุฒิสภาไม่สามารถเลือกได้ทัน ก็จะโอนอำนาจนี้ไปให้ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" สามารถเลือกใครก็ได้ 11 คน จาก 44 คน ให้เป็น กสทช.
    มองเห็นกันหรือยัง  อะไรคือ "หมู"   อะไรคือ "ปากสุนัข" และใครเป็นคนที่กำลังเล่นเกม "เตะถ่วง"   ทำไม สมาคมวิทยุและโทรทัศน์ไทยฯ จำเป็นต้องรีบมากๆ จัดหนักเสวนา "ผ่าแผนล้ม สรรหา กสทช." ที่อยากจะห้อยท้ายไว้ว่าเดิมพัน "ผลประโยชน์หลายแสนล้านบาท" และการยึดครองสื่อบรอดแคสติ้งกับนิวมีเดียที่ทะลุทะลวงเข้าถึงทุกครัวเรือน ของคนไทยกว่า 21 ล้านครัวเรือน
    หลังจาก กทช.พลาดท่าถูกศาลปกครองสอยจนประมูลคลื่น 3.9จี ไม่สำเร็จในวินาทีสุดท้ายในช่วงปลายๆ ปีที่แล้ว  ทำให้วงการโทรคมนาคมตกอยู่ในภาวะสับสนอลหม่านเปิดศึกตะลุมบอนขั้นประชิดตัว แทงด้วยดาบปลายปืนกันกะแทงตายต่อหน้าต่อตาเพื่อเอาตัวรอด  เมื่อ กทช.ถูกแช่แข็ง "เล็กๆ ใหญ่ๆ ทำไม่ได้ทั้งนั้น" ไม่สามารถปฏิบัติหน้าที่ได้ตามอำเภอใจอีกต่อไป แม้ว่าจะพยายามมีคำสร้อยว่า กทช.ปฏิบัติหน้าที่แทน กสทช.  เมื่อพลาดท่าไม่ทำประชาพิจารณ์ร่างแผนแม่บทการจัดสรรคลื่นความถี่ให้เสร็จ ก่อนจัดประมูล
   เริ่มจากยักษ์ใหญ่เบอร์ 3 TRUE MOVE วิ่งพล่านไปคว้าสัญญาเก่า CDMA ของบริษัท HUTCH จากบริษัท CAT  แสร้งว่าขอเป็น "ตัวแทนขาย" แต่อัดเงินลงทุนอัพเกรดเครือข่ายเดิมให้เป็น 3จี ท่ามกลางความกังขาของค่าย DTAC ที่เป็นคู่สัญญากับ CAT เดิม  ทนไม่ไหวไปฟ้องศาลปกครองขอการคุ้มครอง  แต่ศาลปกครองกลับไม่เล่นด้วยกับ DTAC เพราะทีมกฎหมาย TRUE MOVE เป็นระดับเทพได้ลงทุนก้อนใหญ่ปะผุอุดช่องโหว่ทุกรูสัญญา
   มิหนำซ้ำ ศึกระหว่าง DTAC กับ TRUE MOVE ยังลุกลามกลายเป็น "สงครามธุรกิจ" ที่กะเล่นกันให้ตายไปข้างหนึ่ง  ทีมกฎหมายขั้นเทพของ TRUE MOVE ซุ่มซ่อนเก็บข้อมูลเอารายชื่อผู้ถือหุ้นทุกคนของ DTAC ไปเอกซเรย์ DNA ว่าเป็นสัญชาติไทยหรือต่างด้าว  ยังถือเป็นโชคช่วย DTAC เมื่อเจ้ากระทรวงอยู่ในช่วงสุญญากาศทำให้ข้าราชการไม่เล่นด้วยกับ TRUE ที่เกมนี้เล่นกันแรงขนาดไล่ฝรั่งเทเลนอร์ถอนหุ้นกลับบ้านไปเลย
  พักนี้จะเห็นว่าค่ายมือถือ 3 ยักษ์ใหญ่ AIS  DTAC  TRUE  ออกมาโหมกระหน่ำอวดเครือข่าย 3จี ที่ใช้วิธีอัพเกรดจากคลื่นเดิม 2จี ที่เคยพัฒนาไปเป็น 2.5จี หรือ EADGE ประเภทครึ่งน้ำครึ่งบกของ 3จี แต่เอาเข้าจริงก็ยังกระท่อนกระแท่นเกินกว่าจะไปทำมาหากินในระยะยาวได้  ยกเว้นว่าบริษัท ทศท หรือ TOT จะเอาจริงสักทีกับการวางโครงข่ายระบบ 3จี ให้เสร็จเร็วๆ หลังจากได้รับการอนุมัติเงินลงทุนไปกว่า 2.6 หมื่นล้านบาท จากรัฐบาลชุดที่แล้ว
  ฟากของบรอดแคสติ้งก็ยังอยู่ในช่วง "ขุดทอง" บนแผ่นดินว่างเปล่า  ค่ายยักษ์ใหญ่หลายค่ายออกมาประกาศจองโฉนดพื้นที่บนดาวเทียมออกโทรทัศน์ดาว เทียมกันจ้าละหวั่นค่ายละหลายช่อง
   แทบทุกสัปดาห์จะมีช่องทีวีดาวเทียมเกิดใหม่จนคนดูเคเบิลทีวีไม่ยอมสอยลงไป ให้คนดูแล้ว เพราะไม่แน่ใจว่าแต่ละช่องจะอยู่ได้นานแค่ไหน  รวมแล้วตอนนี้น่าจะมีโทรทัศน์ดาวเทียมอยู่บนดาวเทียมไทยคม, ดาวเทียม NSS6 มากกว่า 150 ช่อง
  ในปีหน้า น่าจะเกิดสถานีโทรทัศน์ดาวเทียมใหม่ๆ ที่มาจากค่ายหนังสือพิมพ์กระโจนเข้ามาอีกหลายช่อง  เช่น  บางกอกโพสต์แชนนัล, มติชนแชนนัล  ฯลฯ
  ใครจะไปเชื่อว่าช่องสัญญาณดาวเทียมระบบ C-Band ของดาวเทียมไทยจะ "ขาดตลาด" กลายเป็น "ทอง" ต้องจ่ายค่าเช่าช่องจากมือสองนักกักตุนช่องดาวเทียม  จนไม่สามารถทำสัญญาตรงกับบริษัทไทยคมได้ราคาใกล้จะทะลุไปกว่าช่องละ 1 ล้านบาท แพงกว่าเดิมเท่าตัวและทราบมาว่าช่องสัญญาณดาวเทียมไทยคม 6 ที่กำลังอยู่ระหว่างสร้างให้เสร็จภายใน 2 ปี  ช่องสำหรับโทรทัศน์ดาวเทียมได้ถูกค่ายสื่อบันเทิงรายใหญ่จับจองพื้นที่ไป เกือบหมดแล้ว
   ใครจะไปเชื่ออีกว่าผู้ผลิตจานดาวเทียมรายใหญ่ๆ อย่าง PSI, IDEASAT, INFOSAT, DYNASAT ต่างเกิดปัญหาช่างติดตั้งจานดาวเทียมทำงานไม่ทันใจลูกค้าที่อยากจะติดตั้ง จานดาวเทียมแทบทุกบ้าน
   ใครจะไปเชื่ออีกว่าผู้ผลิตจานรายใหญ่สุดที่มีส่วนแบ่งตลาดมากกว่า 50% อย่าง PSI  สามารถ "ตั้งราคา" ค่าหมายเลขช่องลำดับแรกๆ แพงกว่าราคาค่าช่องสัญญาณดาวเทียมเสียอีก
   ใครจะไปเชื่ออีกว่าเจ้าของโทรทัศน์ดาวเทียมทั้งรายเล็กรายใหญ่ต่างโอดครวญ ว่าแท้จริงแล้ว Content is not the King  หลังจากโดน "เสือหิว" พวกกักตุนช่องสัญญาณดาวเทียมขย้ำโก่งราคาค่าช่องแพงกว่าปีที่แล้วเท่าตัว
     ยังมาเจอ "จระเข้พีเอสไอ"อ้างเทคโนโลยีจัดลำดับช่องและวัดเรทติ้งคิดออกมาเป็น "ราคาค่าเบอร์" ที่พวกทีวีดาวเทียมต้องจ่าย  ถ้าอยากจะอยู่ในช่องหมายเลขต้นๆ ใครไม่จ่ายจะถูกเทคโนโลยี O2 ของ PSI เตะกระดอนไปไกลรีโมตกดไปไม่ไหวไม่มีคนดู
  แต่ต้องขอขอบพระคุณเป็นอย่างสูงกับผู้ผลิตจานดาวเทียมรายรองลงมา อย่าง INFOSAT, DYNASAT ยังรักษาระบบการค้าอย่างมิตรภาพและเป็นธรรมกับผู้ผลิตคอนเทนท์ทีวีดาวเทียม แบบน้ำพึ่งเรือเสือพึ่งป่า  ไม่มีนโยบายคิดค่าเบอร์ช่อง
  ใครจะไปเชื่อว่าธุรกิจโทรทัศน์ดาวเทียม สถานการณ์บานปลายไปไกลถึงขั้นขู่จะส่งมือปืนไปยิงหัวกันให้ตายไปข้างหนึ่ง  ถ้าหากยังใช้อำนาจเหนือตลาด "ข่มเหง" กันไม่หยุดไม่หย่อน  ส่วนใครถูกใครเป็นคนขู่ฆ่าขอไม่บอก เพราะเป็นเพียงเสียงร่ำลือแว่วดังๆ ที่น่าเชื่อว่ามีมูลความจริงอยู่ไม่น้อยทีเดียว
   ใครจะไปเชื่อว่ากรมสอบสวนคดีพิเศษ หรือ ดีเอสไอ ของคุณพี่ธาริตจะขยันขันแข็งมากกกกกกจริงๆ  ออกจะทำงานเกินหน้าที่คดีอาญาดันข้ามฟากมาทำคดีปกครองเป็นคดีเร่งด่วนสุดๆ   จัดชุดสืบสวนสอบสวนเร่งด่วนปานประหนึ่งว่าคณะกรรมการสรรหา กสทช.ของวุฒิสภาที่จัดตั้งขึ้นตาม พ.ร.บ.กสทช. เป็นโจรผู้ร้ายทำลายความมั่นคงของประเทศ  ทำงานแค่ 14 วันเสร็จสิ้นสรุปความว่ากระบวนการสรรหา กสทช. มิชอบด้วยกฎหมาย  มิหนำซ้ำยังไปกล่าวหาว่าสภาวิชาชีพข่าววิทยุและโทรทัศน์ฯ เป็นองค์กรอุปโลกน์กำมะลอเสียงั้น
    แถมอีกหนึ่งเรื่องก็ได้ ใครจะไปเชื่อว่าการแจกแทบเล็ตของกระทรวงศึกษาธิการให้แก่นักเรียนประถม 1 ปีหน้ากว่า 8 แสนเครื่องจะเกิดประโยชน์เชิงความรู้สู่ลูกหลานของเราผ่านกระดานชนวน อิเล็กทรอนิกส์  หากอินเทอร์เน็ตบ้านเรายังเต่าคลานไม่ใช่บรอดแบนด์หรือเครือข่ายเป็น 3จี ทั่วประเทศ
    เห็นหรือยังว่า กสทช. เข้าไปเกี่ยวข้องกับวิถีชีวิตของผู้คนในยุค New Media แทบทุกอณู   ตราบใดที่ยังไม่มีการจัดตั้ง กสทช. ให้เป็นเรื่องเป็นราวเพื่อมากำหนดกติกามารยาทและบริหารการจัดสรรคลื่นความ ถี่ของประเทศให้เกิดประโยชน์สูงสุดได้  สภาพความสับสนอลหม่านก็ยังเกิดขึ้นอยู่ตลอดเวลา
    ผู้บริโภคเสียประโยชน์แต่เพียงผู้เดียว  บริการโทรศัพท์ 3จี แบบห่วยๆ ไม่ใช่เครือข่ายของแท้สมบูรณ์แบบ,  โทรทัศน์ดาวเทียมผุดขึ้นมายิ่งกว่าดอกเห็ดมิหนำซ้ำยังเป็นเห็ดพิษมีแต่ขายยา ปลุกเซ็กซ์มากกว่าการให้ความรู้ประชาชน ,  วิทยุชุมชนออกอากาศเถื่อนๆ ภาษาหยาบคายและลบหลู่สถาบันเยอะไปหมด ฯลฯ
    ผมไม่อยากเท้าความไปมากเรื่องมากความย้อนไปตั้งแต่รัฐธรรมนูญปี 2540  จนมาถึงรัฐธรรมนูญปี 2550,  พ.ร.บ.ประกอบกิจการวิทยุและโทรทัศน์ฯ และ พ.ร.บ.องค์กรจัดสรรคลื่นความถี่ กสทช. ฯลฯ
    อยากฝากไปถึงคณะผู้พิพากษาศาลปกครองที่จะออกนั่งบัลลังก์ในวันจันทร์ที่ 22 สิงหาคม อ่านคำวินิจฉัยคำร้องของผู้สมัครสรรหา กสทช.คุณสุรนันท์ วงศ์วิทยกำจร ให้การสรรหาในสายผู้เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์เป็นการกระทำมิชอบ  ลำพังคำวินิจฉัยเฉพาะบุคคลจะมิชอบหรือชอบแล้วคงไม่ได้ทำให้กระบวนการเลือก กสทช. ชะงักไปทั้งกระบวนการ
    แต่อยากให้คณะผู้พิพากษาศาลปกครองคำนึงถึงผลเสียหายจากการไม่มี กสทช. ว่า จะมีผลอย่างไร   หากคำพิพากษาออกมาจำกัดเฉพาะคำร้องก็จะไม่เกิดผลกระทบ  แต่ถ้าหากขยายความไปทั้งกระบวนการก็เป็นห่วงว่ากระบวนการสรรหาที่เริ่มมาได้ หลายเดือนจะเป็นอันต้องล้มเลิกไป   ผลจะนำไปสู่การใช้อำนาจของนายกรัฐมนตรีเลือกได้เองเลย 11 คน จาก 44 คน
   และขอถามกันตรงๆ ว่า คุณธาริต อธิบดีดีเอสไอว่างมากหรือไง หรือกำลังรับงานใครมา "เตะถ่วงเวลา" กระบวนการสรรหาและเลือกคณะกรรมการ กสทช. ให้ทำไม่ทันวันที่ 11 ก.ย. 2554 แล้วอำนาจการเลือก กสทช. จะไปตกอยู่ในมือของ "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" คุณยิ่งลักษณ์  ชินวัตร ที่มีอำนาจเลือก 11 คน จาก 44 คน ไปเป็น กสทช. เลย
   แต่ใครจะเชื่อได้ว่า "นายกรัฐมนตรีหญิงของเรา" จะเป็นผู้เลือก กสทช. 11 คนด้วยตัวเอง  เพราะเริ่มมองเห็นเงาดำของพี่ชายคนเก่งคุณทักษิณ  ชินวัตร ได้ทอดยาวจากดูไบมาครอบคลุมกระบวนการสรรหาและเลือกกสทช.ที่มีผลประโยชน์หลาย แสนล้านบาทเป็นเดิมพัน และยังหมายถึงการกุมอำนาจในการชี้เป็นชี้ตายธุรกิจสื่อสายบรอดแคสติ้งและนิ วมีเดียที่สามารถเข้าถึงทุกครัวเรือนคนไทยกว่า 21 ล้านครัวเรือน  มองเห็นอนาคตอันมืดมนแล้วน่ากลัวจริงๆ     

ถ้าแบบนี้ไม่มีทาง" ปรองดอง"

!! อีกหนึ่งภาระกิจเร่งด่วน!! ของเพื่อไทย..ขุนคลัง ไปเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง จ.อุดรธานี!!!!
  by ก้อยกัลยา
ที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี ดร.สุชาติ ธาดาธำรงเวช ขุนคลัง พรรคเพื่อไทย อดีต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง เดินทางมาเป็นประธานเปิดหมู่บ้านเสื้อแดง ที่บ้านนามั่ง ต.บ้านยวด อ.สร้างคอม จ.อุดรธานี พร้อมด้วยศิลปินเพลง เพื่อประชาธิปไตย ชาย อิสระชน อเล็กซ์ จัมโบ้ แพะ บุญเติม และซัน ซีโร่ ซึ่งมีประชาชนคนเสื้อแดงของ จ.อุดรธานี และชาว อ.สร้างคอน ไปร่วมงานเป็นจำนวนมาก
เฮ้อ...!!!!คน ไทยบางกลุ่ม อยากได้ อยากมี ประชาธิปไตยยุโรป คนยุโรปเขาปกป้องสิทธิเขาเต็ม แต่ก็ไม่เคยจะละเมิดสิทธิของคนอื่น ความเป็นมนุษยชนเขามีพอที่สมควรจะให้กฎหมายคุ้มครอง..
      การเลือกคนบริหารประเทศเขาก็ตัดสินกันที่นโยบายจริงๆ ไม่ใช่เห็นแก่พวกเห็นแก่เงินแบบไทยๆ
     “สงครามไพร่โค่นอำมาตย์คงไม่มีอีกแล้ว เพราะพรรคเพื่อไทย ที่นำโดยน้องสาวของ นช.ทักษิณ ได้เป็นรัฐบาลแล้ว และแกนนำ นปช. บัดนี้ได้สลัดเสื้อแดง เปลี่ยนมาแต่งเครื่องแบบของอำมาตย์กันทั่วหน้า!! 


      ส่วนเรื่องเงิน 10 ล้าน บาท ที่นายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และนางธิดา ถาวรเศรษฐ์ รักษาการประธาน นปช. ทวงถามจากรัฐบาล จึงเป็นค่าปิดปาก ผีเสื้อแดง” ไม่ให้ลุกขึ้นมาทวงถามสัญญาจากนช.ทักษิณและแกนนำคนเสื้อแดง ที่บัดนี้ได้ดิบได้ดี ยกชั้นขึ้นเป็นอำมาตย์ 
     สัญญาที่ว่าก็คือ จะ นำตัวนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ฯลฯ มาดำเนินคดีข้อหาสั่งฆ่าประชาชน
      สัญญาที่ว่า คนเสื้อแดงต้องไม่ตายฟรี และสัญญาที่ว่าจะนำตัวนายอภิสิทธิ์ ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ
     และใช่หรือไม่ว่า สัญญาที่ว่านั้นมีที่มาจาก
ความตายของคนเสื้อแดง ที่มีสาเหตุมาจากการชุมนุม เผาบ้านเผาเมือง เพื่อทวงอำนาจคืนให้ นช. ทักษิณผู้เป็นนายใหญ่ที่คนเสื้อแดงรักใคร่ และนช. ทักษิณก็หวังว่า ความรุนแรง เลือด และความตายที่เกิดขึ้น จะทำให้รัฐบาล อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอยู่ไมได้ ต้องลาออกตามโมเดลพฤษภาทมิฬ
       แต่ การณ์กลับไม่เป็นเช่นนั้น เพราะความรุนแรงที่เกิดขึ้นเมื่อปีที่แล้ว คนไทยทั้งชาติ และคนทั้งโลก ต่างเห็นว่า คนเสื้อแดงเป็นผู้จุดชนวน ยั่วยุ กดดันให้ทหารต้องใช้กำลัง แรงกดดันให้นายอภิสิทธิ์ลาออกจึงไม่เกิดขึ้น

    
ความ ตายของคนเสื้อแดง จึงเป็นความตายที่ถูก นช. ทักษิณ และ แกนนำนปช. ใช้เป็นเครื่องมือโค่นอำมาตย์ คนที่ต้องรับผิดชอบต่อความตายของคนเสื้อแดงก็คือ
นช.ทักษิณ
    อนิจจา! ไม่รู้ชาวหมู่บ้านเสื้อแดง จะรู้บ้างไหมว่า หลังจากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง ไพร่อย่างพวกเขาก็ ไร้ค่าลงทันที หลังจากเสร็จศึกเลือกตั้ง พวกเขาจะสังเกตบ้างไหมว่า ท่านทักษิณของ พวกเขาไม่พูดถึงคนเสื้อแดงเลยสักแอะ หรือแม้แต่ออกมาขอบคุณคนเสื้อแดงที่สนับสนุนพรรคเพื่อไทยจนได้คะแนนเสียงแบบ ถล่มทลายก็ไม่มี นั่นเป็นเพราะว่า ท่านทักษิณ มัวแต่ต่อสาย และรับแขกคนโน้นคนนี้ที่บินไปหาเพื่อเลียแข้งเลียขาขอเป็นรัฐมนตรี
      รัฐบาลยิ่งลักษณ์ แทนที่จะออกมาห้ามปราม.. เพื่อไม่ให้เกิดความแตกแยก.. กลับหุบปากเงียบ..ปล่อยให้ปลวกแดง กัดกินแผ่นดิน..

ศาลตัดสิน กองทัพบกผิด-ข้อหายิง นปช.ด่านดินแดง -สั่งชดใช้ 3 ล้าน!


ศาลแพ่งตัดสินให้ 2 นปช.ชนะคดีจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเสื้อแดงที่ดินแดงเมื่อปี 52 โดย 2 เหยื่อปืนถูกยิงบาดเจ็บเป็นโจทก์ยื่นฟ้องรัฐบาล-กองทัพ เรียกค่าชดเชยที่ถูกยิงบาดเจ็บจากเหตุการณ์ดังกล่าว ชี้เชื่อว่าโจทก์บาดเจ็บจากฝีมือเจ้าหน้าที่จริง ให้จ่ายเงินชดเชย 3 ล้าน


เมื่อวันที่ 20 ส.ค. นายคารม พลพรกลาง หัวหน้าทนายความแกนนำนปช. พร้อมด้วยนายสุวิทย์ ทองนวล ทนายความร่วมเปิดเผยถึงคดีที่ 2 นปช.ที่ได้รับบาดเจ็บจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อปี 2552 ยื่นฟ้องรัฐบาลและกองทัพ โดยระบุว่า มีโจทก์ 2 ราย ได้แก่ นายไสว ทองอ้ม โจทก์ที่ 1 และนายสนอง พานทอง โจทก์ที่ 2 ซึ่งได้รับอนุญาตให้ดำเนินคดีอย่างคนอนาถา ยืนฟ้องต่อศาลแพ่งให้ดำเนินคดีจำเลย 5 ราย ได้แก่ จำเลยที่ 1 สำนักนายกรัฐมนตรี จำเลยที่ 2 กองบัญชาการกองทัพไทย จำเลยที่ 3 นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น จำเลยที่ 4 พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ และจำเลยที่ 5 กองทัพบก ว่า สืบเนื่องจากเมื่อวันที่ 13 เม.ย.2552 โจทก์ทั้ง 2 คนได้ใช้สิทธิตามรัฐธรรมนูญเข้าร่วมชุมนุมทางการเมืองอยู่กับกลุ่มนปช. บริเวณสามเหลี่ยมดินแเดง และได้ถูกเจ้าหน้าที่ใช้อาวุธปืนหลายชนิดตามคำสั่งการสลายการชุมนุมโดยวิธี การไม่ชอบด้วยหลักสากลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี และคำสั่งของผอ.สถานการณ์ฉุกเฉิน โดยระบุว่าจำเลยมีเจตนาฆ่า เป็นเหตุให้โจทก์ทั้งสองได้รับบาดเจ็บสาหัส กลายเป็นคนพิการตลอดชีวิต การกระทำดังกล่าวเป็นการกระทำละเมิดต่อโจทก์ทั้ง 2 คน โดยนายไสวถูกยิงบริเวณต้นแขนซ้ายเรียกร้องค่าชดเชยจำนวน 2,857,534 บาท เพราะไม่สามารถประกอบอาชีพได้โดยปกติ ส่วนนายสนองที่ถูกยิงบริเวณขาขวา จนทำให้ถูกเลิกจ้างไม่สามารถประกอบอาชีพได้ เรียกร้องค่าชดเชย 2,245,205 บาท รวมกับดอกเบี้ยนับตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย.52 ซึ่งต่อมาศาลรับฟ้องแค่จำเลยที่ 2 และจำเลยที่ 5

นายคารมกล่าวว่า ต่อมาวันที่ 21 มิ.ย. 2554 ศาลชั้นต้นจึงพิพากษาให้กองบัญชาการกองทัพไทย และกองทัพบกร่วมกันชำระเงินชดใช้ให้นายไสวเป็นเงินจำนวน 1,200,000 บาท และร่วมกันชำระเงินให้แก่นายสนองเป็นเงิน 1,000,000 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันที่ 13 เม.ย.2552 เป็นต้นไปจนกว่าจะชำระค่าเสียหายแล้วเสร็จ พร้อมทั้งให้จำเลยทั้ง 2 ร่วมกันชดใช้ค่าธรรมเนียมศาล และค่าทนายความรวม 8,000 บาท อย่างไรก็ตาม จำเลยมีการอุทธรณ์ให้ขอขยายระยะเวลาถึงวันที่ 16 ก.ย.54 แต่ตอนนี้ยังไม่ทราบว่าจำเลยทั้ง 2 จะอุทธรณ์หรือไม่ เพราะหากไม่ยื่นอุทธรณ์ก็จะถือว่าคดีถึงที่สุดแล้ว

"วงศักดิ์แฉเหตุเด้ง! "ขัดคำสั่งไม่ส่งปืนลูกซองให้ ศอฉ.ฆ่าเสื้อแดง"


ที่มา มติชนรายสัปดาห์ ๑๙-๒๕ ส.ค.๒๕๕๔ ปีที่ ๓๑ ฉ.๑๖๑๘ หน้า ๔๐
"สัมภาษณ์ พิเศษ"อธิบดีกรมการปกครอง วงศ์ศักดิ์ สว้สดิ์พาณิชย์:เปิดเบื้องหลังไม่ส่งปืนลูกซองฆ่าเสื้อแดง สาปส่งนักการเมือง ทำชาติหายนะ
หลัง จากนายวงศ์ศักดิ์ ถูกคำสั่ง ครม.สมัยรัฐบาล นายอภิสิทธิ์ โยกย้ายจากอธิบดีกรมการปกครองไปเป็นผู้ตรวจราชการ ก.มหาดไทยเมื่อวันที่ ๒๗ เม.ย.๕๓ ตามที่ก.มหาดไทย ที่มี นายชวรัตน์ ชาญวีรกูล เป็น หน.ภท. รมว.มท. เป็นผู้เสนอ มีผลตั้งแต่วันรุ่งขึ้น ทั้งๆ ที่เพิ่งเป็นอธิบดีกรมการปกครองมาได้ ๑ ปี ๕ เดือน
ในที่สุด นายวงศ์ศักดิ์ ก็กลับมารับตำแหน่งเดิม ในวันที่ ๓ ส.ค.๕๔ รวมเวลาที่นายวงศ์ศักดิ์ ถูกดอง ๑ ปี กับ ๓ เดือนเศษ
การ ร้องทุกข์ต่อ คณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ว่าถูกไม่ชอบด้วยกฎหมาย ๔ เรื่อง ต่อมา ก.พ.ค. ก็มีคำวินิจฉัยให้ความเป็นธรรม ทำให้กลับมานั่งเก้าอี้เดิมอีกครั้ง เหลือเวลาแคเดือนเศษก็จะเกษียณ
สาเหตุ ประการหนึ่งที่ถูกย้ายเกี่ยวกับ "ปืนลูกซอง" และ "นักการเมือง" นั่นคือ กรณี นายสุเทพ ผอ.ศอฉ.สั่งการด้วยวาจาทางโทรศัพท์ให้ นายวงศ์ศักดิ์ (อธิบดีกรมการปกครอง) สนับสนุนอาวุธปืนลูกซอง ๕ นัด จำนวน๓,๐๐๐ กระบอก พร้อมกระสุน ส่งมอบให้ ศอฉ. แต่นายวงศ์ศักดิ์ ชี้แจงว่า ตนไม่มีอำนาจสั่งผู้ว่าฯ แต่ปลัด ก.มหาดไทย (นายวิเชียร ชวลิต-บักฮูขี) มีอำนาจบังคับบัญชาผู้ว่าฯ จึงเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่นายสุเทพ ผอ.ศอฉ. ประสานงานมายัง ก.มหาดไทยให้มีการสั่งย้ายนายวงศ์สวัสดิ์
ต่อไปนี้คือการให้สัมภาษณ์ (ขอใช้สัญลักษณ์ตัวอักษร Q = คำถาม, A = คำตอบ)
Q : เรื่องปืนลูกซองยาว ๕ นัด จำนวน ๓,๐๐๐ กระบอกที่ไม่ส่งให้ ศอฉ. จึงถูกสั่งย้ายคนมีอำนาจตอนนั้นต้องการปืนไปปราบเสื้อแดงที่มาชุมนุม เม.ย.-พ.ค.๕๓
A เขา โทร.มาหาผมโดยตรง ผู้มีอำนาจใน ศอฉ. เป็นข้าราชการการเมือง มีตำแหน่งสำคัญใน ศอฉ. โทร.มาเอง เขาคงจะเอาไปใช้ปราบคนเสื้อแดง ผมก็บอกไปว่า ปืนนี้เป็นปืนที่ส่งไปให้ ชรบ. ชุดรักษาความปลอดภัยประจำหมู่บ้าน ตามชายแดน เป็นปืนราชการที่ส่งไปเพื่อใช้ป้องกันพวกยาเสพติด พวกรักษาความสงบตามชายแดน ผมไม่มีอำนาจที่จะไปเอาคืนมาได้ ก็พูดไปอย่างนี้ เราปฏิเสธไปเลย บอกว่า การที่จะสั่งการไปยังผู้ว่าฯ แล้วก็ส่งไปให้ ศอฉ. นั้นน่ะ เป็นการใช้ปืนผิดประเภท
- ใน ใจส่วนลึกของผมนั้น บอกตรงๆ ว่า การที่จะใช้ปืนลูกซองยาวไปปราบพี่น้องคนไทยนั้น ผมไม่เห็นด้วย ไม่ว่าจะเสื้อสีใดก็แล้วแต่ ปืนนี่ก็เอาไปใช้ยิงกันน่ะ ใช่ไหมฮะ ผมไม่เห็นด้วย มันเป็นเรื่องคุณธรรม เป็นเรื่องมนุษยธรรม ความคิดเห็นที่แตกต่างกันนั้น ควรจะคุยกันรู้เรื่อง แก้ไขทางการเมือง ไม่ใช่มาแก้ไขด้วยอำนาจ ด้วยกระบอกปืน นี่ก็เป็นส่วนลึกในจิตใจของผม
- ใน ทางกฎหมาย เราไม่สามารถสั่งปืนพวกนี้ไปใช้นอกวัตถุประสงค์นั้นได้ ปรากฏว่า ทางโน้นไม่พอใจ คล้ายกับว่า เราไม่ให้ความร่วมมือ แล้วเขาก็วางสายเลย
- ฝากสื่อมวลชนไปติดตามดูหน่อยว่า ปืนที่ทางจังหวัดส่งไปให้ ศอฉ. ช่วงที่ผมถูกย้าย ยังได้คืนไม่ครบ ๓,๐๐๐ กระบอก เป็นความรับผิดชอบของใคร ปืนของหลวง เมื่อเอาไปใช้แล้วก็ต้องเอากลับมาที่เดิม
...................................
Q : เหตุ จลาจลนองเลือดเดือนเมษายน-พฤษภาคม ๒๕๕๓ มีการสลายคนเสื้อแดง มีการเผาเมือง เผาศาลากลางจังหวัด คิดว่าเป็นความบกพร่อง ผิดพลาดของกรมการปกครองหรือทางจังหวัดด้วยหรือไม่
A : เอา เป็นว่า ที่เกี่ยวข้องนะ หนึ่ง รัฐบาล สอง กระทรวงมหาดไทยที่ชัดเจน สำหรับรัฐบาลนั้น ผมคิดว่า ถ้าเราใช้นโยบายการเมืองนำในการเจรจา พูดคุยกับกลุ่มคนเสื้อแดง เสื้อเหลือง หรือสีอะไรต่างๆ ที่เกิดม็อบ เจรจากับแกนนำในพื้นที่ และในกรุงเทพฯ ถ้าลงตัวกันตรงนั้น มันไม่น่ามีปัญหา
- ใคร จะใส่เสื้อสีอะไร เป็นสัญลักษณ์เฉยๆ แต่ดูสิว่า ม็อบเขาออกมาเพื่ออะไร เขาต้องการให้ยุบสภาแล้วเลือกตั้งใหม่ เพราะอะไร อย่างนี้ต้องว่ากันไปตามเกมการเมือง แต่ว่ามีการปราบปราม มีการฆ่า ผมไม่เห็นด้วย
...................................
Q : ช่วง หาเสียง คุณเฉลิม อยู่บำรุง ปราศรัยว่าจะย้ายผู้ว่าฯ ถือเป็นเรื่องผิดปกติของการเป็นข้าราชการหรือเปล่าที่นักการเมืองแสดงออก เช่นนี้
A : ถ้าผมเป็นท่านเฉลิม บางทีถ้าเกิดไปเห็นเหตุการณ์ ไปเห็นข้อเท็จจริง ถ้าเห็นนะ ผมอาจจะพูดมากกว่านั้น อาจจะย้ายมากกว่านั้น
- เรา มาดูว่า ผู้ว่าฯ นี่ วุฒิภาวะ และอำนาจหน้าที่หรือเกียรติศักดิ์ศรีของผู้ว่าฯ เป็นอย่างที่ท่านเฉลิมว่าหรือเปล่า ถ้าเป็นอย่างที่ท่านว่า นั่นก็คือ ทำตัวเข้าไปเป็นเด็กรับใช้ของฝ่ายการเมือง แล้วก็ไปปลุกปั่นประชาชน โดยไม่ได้สร้างความปรองดอง สร้างความแตกแยกแตกสามัคคีอยู่ตลอดเวลา ผมก็ว่า ไม่ควรเป็นผู้ว่าราชการจังหวัด
- สรุปสั้นๆ ก็คือ ผู้ว่าฯ ทุกคนต้องวางตัวเป็นกลาง ส่วนตัวนั้นจะนิยมชมชอบใคร ก็อยู่ในครอบครัว ในตัวเอง อย่าเอามาเกี่ยวกับงาน
...................................
Q : การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในมหาดไทยสมัยที่พรรคภูมิใจไทยมาคุมกระทรวงนี้เป็นอย่างไร เห็นมีข่าวอื้อฉาวอยู่ตลอด
A : ผม มีความรู้สึกว่า การโยกย้าย แต่งตั้ง มันเอาแต่พรรคพวกกันขึ้นมา แล้วก็ข้ามหัวข้ามหาง เพราะฉะนั้น คนที่เขาทำงานดีอยู่แล้ว ดูผมเป็นตัวอย่าง ไม่ใช่ว่าตัวเองทำดีหรอกนะ ก็ดูที่ผลงานที่ออกมานะ ไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิดแล้วถูกย้ายไปนี่ ยังมีข้าราชการอื่นๆ อีก เขาทำงานในพื้นที่ของเขาเป็นปกติดีอยู่แล้ว ก็ย้ายเขาออกไป ตั้งแต่ผู้ว่าฯ ลงมาถึงข้าราชการผู้น้อย รวมไปถึงอธิบดีกรมต่างๆ ในกระทรวงมหาดไทย
...................................
Q : ๑ เดือนครึ่งที่เหลือจะทำอะไร
A : ผม จะเยียวยาข้าราชการ โดยเฉพาะนายอำเภอที่ถูกกลั่นแกล้ง นายอำเภอเกรดเอ หรืออำเภอชั้นหนึ่ง ย้ายไปเป็นนายอำเภอชั้นสี่โดยไม่มีเหตุผลอะไร ย้ายไปดื้อๆ แล้วไปย้ายนายอำเภอเกรดสี่ ขึ้นมาเกรดเอ ผมคงจะโยกย้ายอีกครั้งเพื่อความเป็นธรรม
...................................
Q : การโยกย้ายนายอำเภอและผู้ว่าฯ ถามจริงๆ ว่ามีการซื้อเก้าอี้หรือเปล่า เขาซื้อกันเท่าไร
A : ก็ มีทั้งได้ยินข่าว มีทั้งคนมาบอกเล่า มีทั้งคนที่จ่ายเงินไปแล้วแต่ไม่ได้ มีคนมาเล่าให้ฟัง อย่างเข้าโรงเรียนนายอำเภอ บางคนก็บอก ๗ แสน, ๘ แสนมั่ง, ล้านมั่ง แต่ถ้า ขึ้นเป็นผู้ว่าฯ ก็ ๕ ล้าน, ๑๐ ล้านไปโน่น หนังสือพิมพ์ก็เคยลง รวมทั้งมีคนมาเล่าให้ผมฟัง
...................................
Q : นายกฯ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แสดงภาวะผู้นำอย่างไรกรณีท่านถูกย้ายเข้ากรุมหาดไทย
A : ผม เองเคยไปคุยกับท่านครั้งหนึ่งหลังผมถูกย้ายไปเป็นผู้ตรวจฯ ผมไปชี้แจงท่านครั้งหนึ่งปัญหาเรื่องสมาร์ทการ์ด ท่านนายกฯ ก็บอกว่า เอ๊ะ มันใช้ได้นี่ บัตรสมาร์ท การ์ด มันไม่ผิด น่าจะเป็นประโยชน์ ท่านบอกว่า ท่านก็หนักใจ เพราะว่าท่านไม่ได้เป็นรัฐบาลพรรคเดียว ใครจะว่าพายเรือให้โจรนั่งก็ทนฟัง ท่านก็พูดอย่างนี้
...................................
Q : ถือว่าหนักหนาสาหัสไหมสำหรับการเล่นพรรคเล่นพวกในการแต่งตั้งโยกย้ายในมหาดไทยยุคคุณชวรัตน์
A : สื่อ มวลชนก็ลงมาตลอดนะว่า เป็นยุคที่เสื่อมที่สุด สื่อเกือบทุกฉบับ บางคนก็บอกว่า ตั้งแต่มีประวัติศาสตร์ตั้งกระทรวงมหาดไทยมา มียุคนี้ล่ะ เสื่อมที่สุด บางฉบับก็บอกว่า ในยุคร้อยปีที่ผ่านมา
- ข้า ราชการเก่าแก่ ผู้บังคับบัญชาเก่าๆ ทุกคน ไม่มีใครไม่โทร.ถึงผมเลยนะ อดีตผู้บังคับบัญชาระดับปลัดกระทรวง รัฐมนตรีก็มีรัฐมนตรีกระทรวงอื่น ก็มี ที่เป็นข้าราชการประจำแล้วมาเป็นรัฐมนตรีก็โทร.มาบอกว่า ไม่มียุคไหนที่เสื่อมยิ่งกว่านี้ มันเหมือนกับยุคมืด อันนั้นเป็นความคิดคนทั่วไป ผมก็มีความคิดเช่นเดียวกันนั้นแหละ
...................................
Q : ฝ่ายการเมืองที่มาคุมมหาดไทยแล้วทำผิดกฎหมายที่เพิ่งพ้นอำนาจไป จะมีช่องทางได้รับโทษหรือไม่
A: พวก นี้นะ ทำให้ประเทศหายนะ ไม่ควรกลับมาทำงานการเมืองต่อ ถ้ากลับมาทำอีก จะทำให้ประเทศหายนะหนักเข้าไปอีก ผมยังคิดไว้ว่า ถ้ามาเจอแบบที่ผมเคยเจอแล้ว แล้วคนพวกนี้ยังเข้ามาทำงานอีก ผมคงหนีไปอยู่ประเทศลาวสักพักหนึ่ง มันรับไม่ได้
นี่ผมพูดจริงๆ ไม่ได้พูดเล่น ๏
ที่มา มติชนรายสัปดาห์ ๑๙-๒๕ ส.ค.๒๕๕๔ ปีที่ ๓๑ ฉ.๑๖๑๘ หน้

จรัล ดิษฐาอภิชัย:ไทยส่งอภิสิทธิ์-สุเทพขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศได้ แม้ยังไม่ลงนามสัตยาบัน


ตาม มาตรา ๑๒ อนุ๓ ศาลอาญาระหว่างประเทศก็รับพิจาณาคดีประเทศที่ยังไม่เป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรม ได้ หากรัฐบาลประเทศนั้นๆแถลงยอมรับอำนาจตุลาการของศาลฯเหนือดินแดนของประเทศตน เช่น คดีไอวอรีโคต.. จากที่ผมได้ไปสังเกตการณ์การพิจารณาคดีน่าสนใจยิ่ง ทำให้ผมจินตนาการว่า ถ้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทือกสุบรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นจำเลย คงจะดูไม่จืด

โดย จรัล ดิษฐาอภิชัย

เมื่อวันที่๑๘ สิงหาคม ที่ผ่านมา ผมไปเยี่ยมศาลอาญาระหว่างประเทศ(International Criminal Court -ICC )ที่กรุงเฮก ประเทศเนเธอร์แลนด์

ที่แรก ผมขอให้คณะรณนรงค์เพื่อศาลอาญาระหว่างประเทศ ติดต่อ ฟาดิ เอล อัลดาลาห์ ( Fadi.EL Abdallah ) โฆษกของศาลฯเพื่อขอพบ และถามความคืบหน้าคดีเมษายน- พฤษภาคม ๒๕๑๐ ซึ่งโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม ทนายความของนปช.ยื่นฟ้องเมื่อเดือนมีนาคม ที่ผ่านมา

แต่เนื่องจากเวลากระชั้นชิด โฆษกไม่ว่าง ผมจึงขอไปฟังการพิจารณาคดีคองโก เพื่อรู้จักศาลสิทธิมนุษยชนนี้เพิ่มเติม

ศาลอาญาระหว่างประเทศ ตั้งขึ้นตามธรรมนูญกรุงโรมเมื่อวันที่ ๑ กรกฎาคม ๒๕๔๕ ถึงปัจจุบัน มี ๑๑๖ ประเทศให้สัตยาบัน

ศาลอาญาระหว่างประเทศมีอำนาจพิจารณาคดี ๔ ประเภท คือ คดีฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ คดีอาชญากรรมต่อมนุษยชาติ คดีอาชญากรสงคราม และคดีอาชญากรรมการรุกราน

มีคณะผู้พิพากษามี๑๘ คน ประธานศาลเป็นคนเกาหลีใต้ และขณะนี้กำลังพิจารณา ๖ คดี เช่น คดีการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ในอูกานดา คดีคองโก คดีดาร์เฟอร์ ซูดาน คดีอาฟริกากลาง คดีเคนยา คดีไอวอรีโคต คดีสุดท้าย คดีลิเบีย ศาลอาญาระหว่างประเทศได้ออกหมายจับไปแล้ว ๑๕ ใบ มีจำเลยถูกคุมขังอยู่ ๕ คน

คดีคองโกทีผมไปฟังการพิจารณา เกิดมาตั้งแต่ปี ๒๕๔๕ จำเลย คือเจอร์เมน คาตังกา ( Germain Katanga) และมาธิว นกูโจโล ซู ( Mathieu Ngudjolo Chui )

คนแรกเป็นผู้บัญชาการกองกำลังรักชาติต่อต้านรัฐบาล คนที่สอง เป็นผู้นำแนวร่วมแห่งชาติของชนเผ่า

ศาลอาญาระหว่างประเทศออกหมายจับจำเลยทั้ง๒ เมื่อปี ๒๕๕๐ เจอร์เมนมอบตัวเมื่อเดือนตุลาคม ๒๕๕๐ และ มาธิวถูกทางการคองโกจับได้เมื่อเดือนกุมาพันธ์ ปี ๒๕๕๑

ทั้งสองถูกส่งมาศาลฯกรุงเฮก ซึ่งศาลเริ่มพิจารณาคดีนี้มาตั้งแต่เดือนกันยายน ๒๕๕๑ จำเลยทั้งสองถูกฟ้องข้อหาฆ่าล่างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม โดยมีการกระทำฆ่าหมู่และเผาหมู่บ้านของพลเรือน ใช้ทหารเด็ก ฯลฯ

ช่วงที่ผมเข้าไปนั่งฟัง เป็นช่วงที่อัยการหญิงการซักถามพยานจำเลย โดยพยานจำเลยมิได้มายืนในห้องพิจารณา คงอยู่ในห้องลับ อัยการถาม พยานตอบด้วยวิดิโอภาพเลือนราง ไม่เห็นตัวเห็นหน้าตา เช่น พยานเคยไปฝึกทหารกับจำเลยหรือไม่ พยานรู้เห็นทหารเผาหมู่บ้านได้อย่างไร เหล่านี้เป็นต้น

โดยมีทนายจำเลยคอยแย้ง และท้วงติง ตลอดเวลา จำเลยทั้งสองนั่งนั่งแถวหลังสุดของคณะทนายของตน มีตำรวจ๒ คนถือกุญแจมือนั่งขนาบข้าง

การพิจารณาคดีน่าสนใจยิ่ง ทำให้ผมจินตนาการว่า ถ้าอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ สุเทพ เทอือกสุบรรณ พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นจำเลย คงจะดูไม่จืด

ความจริงมีเรื่องเล่ามากว่านี้ แต่ขอกลับไปยังคดีสังหารหมู่เดือนเมษายนและพฤษภาคม ๒๕๑๐ คนเสื้อแดง รวมทั้งผมอยากรู้ว่าศาลอาญาระหว่างประเทศรับฟ้องหรือยัง

ผมพยายามหาคำตอบ ก็ได้ความว่า อัยการยังไม่ส่งฟ้อง เขาคงรอให้ประเทศไทยให้สัตยาบันธรรมนูญกรุงโรม ก่อน แต่ทว่า ตามมาตรา ๑๒ อนุ๓ ศาลอาญาระหว่างประเทศก็รับพิจาณาคดีประเทศที่ยังไม่เป็นภาคี ธรรมนูญกรุงโรมได้ หากรัฐบาลประเทศนั้นๆแถลงยอมรับอำนาจตุลาการของศาลฯเหนือดินแดนของประเทศตน เช่น คดีไอวอรีโคต เมื่อรัฐบาลที่นั่นแถลงยอมรับอำนาจตุลาการของศาลอาญาระหว่างประเทศเมื่อวัน ที่ ๑๘ เมษายน ๒๕๔๖ และต่อมา ประธานาธิบดีคนใหม่แถลงยืนยันอีกครั้งเมื่อต้นปีนี้ อัยการของศาลอาญาระหว่างประเทศจึงเริ่มดำเนินการสอบสวน

ฉะนั้น หากรัฐบาลใหม่ของไทยยื่นคำแถลงต่อฝ่ายทะเบียนของศาลอาญาระหว่างประเทศ ศาลจะรับพิจารณาคดี ไม่ต้องรอให้สัตยาบันหรือคณะมนตรีความมั่นคงของสหประชาชาติร้องขอเหมือนกรณี ลิเบีย

ภาพจากกล้องของผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น.กรณีสลายการชุมนุม เมษา 53


ภาพจากกล้องของผู้สื่อข่าวญี่ปุ่น.MP4




คลิปจะจะเสื้อแดงถูกเสื้อแดงข้างหลังฆ่า!มันฆ่ากันเอง 10 เมษายน 53

ทำไมทักษิณต้องไปญี่ปุ่น:จดหมายข่าวการปาฐกถาของทักษิณ ชินวัตร

 

ผย....ทำไมทักษิณต้องไปญี่ปุ่น:จดหมายข่าวการปาฐกถาของทักษิณ ชินวัตร
Thu, 2011-08-18 23:55

แปลโดย :นักเรียนเก่าญี่ปุ่น และ คุณ Pop Anan

ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีของไทยมีกำหนดการเดินทางมาเยี่ยมเยือนประเทศญี่ปุ่นในช่วง ปลายเดือนสิงหาคมเพื่อแสดงปาฐกถาและชี้แจงจุดยืนของตนเอง  ตามคำเชิญของ สถาบันเศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน อาเซียน

เป็น ที่ทราบกันดีว่านางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ผู้นำพรรคเพื่อไทยและน้องสาวคนสุดท้องของนายทักษิณ ชินวัตรเป็นผู้กำชัยชนะในศึกเลือกตั้งทั่วไปของประเทศไทยเมื่อต้นเดือน กรกฎาคมที่ผ่านมา และจะเป็นผู้นำในการจัดตั้งรัฐบาลใหม่ของประเทศในไม่ช้านี้ กล่าวกันว่าที่จริงแล้วมีผู้สนับสนุนนายทักษิณอยู่ในพรรคเพื่อไทยเป็นจำนวน มาก ถึงแม้ว่าเขาจะโดนใส่ร้ายในคดีความผิดโทษฐานคอร์รัปชั่นจน ณ บัดนี้ก็ยังกลับประเทศไทยไม่ได้ ต้องลี้ภัยไปพำนักอยู่ที่ประเทศดูไบในเขตตะวันออกกลาง แต่ก็เป็นที่แน่ชัดว่าอิทธิพลของเขาในการเมืองไทยนับต่อจากนี้ไปจะยิ่ง ชัดเจนขึ้น

ด้วยความปรารถนาที่จะได้รับฟังเรื่องราวต่างๆจากนาย ทักษิณ ทางสถาบันของเราจึงพยายามดำเนินเรื่องซึ่งก็ได้รับการตอบรับในการเดินทางมา ประเทศญี่ปุ่นเป็นอย่างดีมาโดยตลอด งานปาฐกถามีกำหนดจัดขึ้นในคืนวันที่ 23 สิงหาคม ณ หอประชุมเมืองคันดะจิมโบโฌ จังหวัดโตเกียว

จึงใคร่ขอเรียนเชิญทุกท่านที่สนใจในสถานการณ์ปัจจุบันของประเทศไทยและองค์กร การค้าที่ทำธุรกิจกับประเทศไทยเข้าร่วมงานนี้โดยทั่วกัน
อนึ่ง ในการโอกาสมาเยือนญี่ปุ่นครั้งนี้ นายทักษิณยังมีกำหนดการไปเยี่ยมเยือนและให้กำลังใจแก่ผู้ประสบภัยพิบัติใน จังหวัดมิยะงิซึ่งเป็นพื้นที่ที่ได้รับความเสียหายครั้งใหญ่จากภัยสึนามิและ แผ่นดินไหวทางฝั่งตะวันออกของญี่ปุ่นเมื่อไม่นานมานี้ด้วย

ในงานปาฐกถานี้ ทางสถาบันของเราจึงใคร่ขอเรียนเชิญผู้สนใจทุกท่านร่วมบริจาคเงินสมทบทุนให้กับผู้ประสบภัยร่วมกัน

เดือนสิงหาคม ปี 2011

สถาบันเศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน อาเซียน(องค์กรนิติบุคคล)
ประธานสถาบัน นาย มิซึโนะ คิโยะชิ
ผู้แทนคณะกรรมการบริหาร นาย ฮิงุราชิ ทะกะโนะริ

หมาย เหตุ : สถาบันเศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน อาเซียน เป็นกลุ่มของข้าราชการเกษียณและอดีตนักการเมือง นาย มิซึโนะ คิโยะชิ ประธานสถาบัน เป็นนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งสำคัญๆในรัฐบาลมาหลายตำแหน่งรวมทั้งตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวง Ministry of Construction
ที่มา : http://nicchu-asean.org/kouenkai20110823.pdf


ประชาไท
0000000

ขบวนการเสรีไทยช่วยกันวิเคราะห์กันสนุกสนาน ( คลิก )

0000000

ความเห็น...

อ่าน ตามใบบอกนี้พอสรุปได้ว่า นักการเมืองอดีตรัฐมนตรีของญี่ปุ่น เชิญทักษิณไปแสดงจุดยืนและท่าที ในฐานะที่เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลของรัฐบาลใหม่ของไทย จึงมีการเชิญชวนนักธุรกิจ ไปร่วมรับฟัง ก็คงไม่หนีเรื่องการสร้างคอนเน็คชั่นกับผู้ทรงอิทธิพลนอกประเทศของไทย

งาน แบบนี้เป็นงานถนัดของพวก "ล้อบบี้ยิสต์" ซึ่งสามารถจัดให้ได้ จากนั้นก็ใช้เรื่องนี้เรียกร้องไปยังรัฐบาลของตน และสุดท้ายก็กลายเป็นว่ารัฐบาลไทยได้ขอความร่วมมือไปยังรัฐบาลญี่ปุ่น ให้อำนวยความสะดวกให้กับทักษิณเพื่อให้ได้เข้าไปแสดงจุดยืนต่อนักธุรกิจของ ญี่ปุ่น

แน่นอนเรื่องนี้มันเกี่ยวพันกับ เรื่อง วีซ่า พาสปอร์ต ของนักโทษชายทักษิณ จะว่าไปแล้วเท่ากับรัฐบาลนี้กำลังจะทำผิดกฎหมาย โดยเฉพาะป.อาญามาตรา 157 โทษฐานละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

แม้นักโทษชาย ทักษิณจะหลบหนีคดีจะมีโอกาสใช้ความเป็นคนไทย ขอคืนพาสปอร์ตได้ แต่ในกฎหมายเองก็ระบุชัด หากคนไทยคนนั้นเป็นผู้ต้องหาหลบหนีการจับกุมจากคดีอาญา ก็ไม่มีสิทธิ์ได้รับพาสปอร์ตเช่นกัน

การด่วนช่วยเหลือนักโทษชายทักษิณซึ่งยังมีคดีความที่ค้างคาในศาลอีกหลายคดี จึงน่าจะเข้าข่ายละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ของรัฐบาลไทย

ส่วน เรื่องการได้รับเชิญไปปาฐกถา ก็มิใช่เรื่องทางวิชาการอะไร นอกจากไปแสดงจุดยืนของตัวทักษิณเอง (ไปโชว์ตัวสร้างภาพ ) ซึ่งแน่นอนว่านักธุรกิจต่างประเทศ เค้าก็หาช่องทางทำธุรกิจกับประเทศไทยอยู่แล้ว

การ ไปแสดเพียงท่าที วิธีคิด หรือจริงๆก็คือไปแสดงตัวว่ามีอิทธิพลต่อรัฐบาลไทย มองยังไงก็ไม่สง่างาม หากรัฐบาลไทยยอมทำตัวเป็นลิ่วล้อของคนไทยในต่างประเทศ ไม่ว่าจะอยู่ในสถานะใด ๆ เพราะเท่ากับไปสร้างความสับสนในหมู่นักธุรกิจต่างประเทศว่า สมควรจะติดต่อกับรัฐบาลไทยหรือจะติดต่อกับนักโทษชายทักษิณที่อยู่ต่างประเทศ

สุดท้ายหากสามารถทำได้ก็จะกลายเป็นว่า ประเทศไทย มีนายกรัฐมนตรีถึง 2 คน

งาน สร้างภาพ ออกข่าวที่ไม่ชัดแจ้ง ก็หวังหลอกคนไทยที่ไม่สืบเสาะหาข้อมูล เชื่อตามที่นักการเมือง พรรคการเมือง เป็นงานถนัดของลิ่วล้อทักษิณอยู่แล้ว

แต่ก็อย่างว่ามีเงินซะอย่าง จ้างผีมาโม่แป้งก็ยังได้...

โลกนี้ไปที่ไหนก็หอมแต่กลิ่นเงินกันทั้งนั้น

คิดแล้วกลุ้ม

แคน ไทเมือง

 

 

 ต่อ 


ทางประชาไทอ้างว่า  แปลโดย นักเรียนเก่า ญี่ปุ่น  ผมเองลองเช็คดูกับหลายท่านพบว่าไม่ได้ผิดอะไร

เพียงแต่  เราพบว่าแปลหนนี้งดแปลบางส่วน  คือ 7 บรรทัดสุดท้าย

ย้อนกลับไปดูต้นฉบับญี่ปุ่นนะครับ

จึงได้มีการแปลอีกครั้งโดย คนใน เสรีไทย บอร์ด  และได้ผลลัพท์น่าสนใจ

1) เราพบว่า  2 บรรทัดสุดท้าย  แจ้งอัตราเข้าฟัง  การบรรยายครั้งนี้เก็บเงินนะครับ

การเข้าร่วมงาน คนธรรมดา 2000 นักเรียนลดครึ่งราคา แล้วก็มีราคา 5000 ด้วยครับ
ลืมอีกข้อ ที่บอกว่ารายได้มอบให้ผู้ประสบภัยตรงเครื่องหมาย
* ดอกจันญี่ปุ่น นั่นแหละครับ เขาหมายเหตุไว้ให้

2)ค่า เข้าฟังนั้นราคาถูกมาก 5000 เยนค่าบัตรนั้น เพียง 760 บาท/หัว ประมาณซื้อราเม็งที่ญี่ปุ่นกินได้ 2 ชาม! (บ้านเราคงได้ก๋วยเตี๋ยว 2 ชาม 80 บาท)

ด้วยอัตรานี้ใครๆก็เข้าได้  จึงให้น่าสงสัยว่าที่เข้าฟังนั้นใครกันแน่  นักธุระกิจญี่ปุ่นหรือ?
แล้วผมก็พบที่เว็บแดงแห่งหนึง

เตรียมต้อนรับทักษิณอย่างเป็นระบบที่ญี่ปุ่น 22 ส.ค. นี้
Image
คน จะรักกัน-คนไทยในญี่ปุ่นนัดรวมตัวกันต้อนรับพ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร ไปเยือนญี่ปุ่นในวันที่ 22 สิงหาคมนี้ และมีนัดพบปะสังสรรค์เพื่อให้กำลังใจและให้หายคิดถึงในวันที่ 27 โดยมีพี่น้องทั่วเกาะญี่ปุ่นเดินทางร่วมงาน เจ้าภาพผู้ใจดีบอกว่าหากท่านใดเดินทางมาไกลจะจัดหาที่พักให้ฟรี ขอแค่ให้ได้มาเจอกันในนัดสำคัญนี้
ที่มาของข้อมูล Thai E News
ด้วยข้อมูลจากเว็บแดงนี้ พอเดาได้ว่าที่มาจริงๆ ญี่ปุ่นหรือแดงในญี่ปุ่นที่มาฟัง...........

3)สถานที่จัดงาน ที่ผู้แปลของประชาไทแปลไว้คือ
งานปาฐกถามีกำหนดจัดขึ้นในคืนวันที่ 23 สิงหาคม ณ หอประชุมเมืองคันดะจิมโบโฌ จังหวัดโตเกียว

ความน่าสนใจคือ  เมื่อ อ่าน 7 บรรทัดสุดท้าย  โดยเฉพาะที่มีเลข 202 นั้นมันแปลว่า

" ห้องเรียน หมายเลขห้อง202"

ผมเริ่มสงสัยว่ามันเกี่ยวอะไรกับ  และในที่สุดผมก็พบว่าที่จัดบรรยายคือ



Gakushi kaikan is an alumni association for the graduates

Image

เมื่อผมเช็คข้อมูลห้องบรรยาย  ก็พบห้อง 202 จริงๆ

Image

Image

Image


มันน่าสนใจตรง  ทำไมมันเรียกว่า "ห้องเรียน"  ผมจึงลองค้นแล้วพบว่า Gakushi kaikan is an alumni association for the graduates ที่จัดบรรยายครั้งนี้

เป็น สโมสรนักศึกษา  ไม่ใช่โรงแรมหรือหอประชุมแต่อย่างไร  สโมสรแห่งนี้ มีทั้งห้องพักให้ พ่อ-แม่ เช่าได้เมื่อมาเยี่ยมลูก มีร้านอาหาร ร้านหนังสือ สวัสดิการ และห้องประชุมให้นักศึกษาใช่งาน

และแน่นอนมันไม่ใช่โรงแรม

น่า ประหลาดไหม?  ใกล้ๆกันนั้นมี โรงแรมระดับ 5 ดาวอยู่ด้วย  จัดบรรยายอดีตนายกทั้งทีไม่จัดที่โรงแรม 5 ดาวที่อยู่ใกล้ ๆ โรงแรมเพนนินซูล่าก็มีนะ

Image

แต่จัดที่สโมสรนักศึกษา

อาจเพราะค่าเช่าถูกมาก

基本料金(2時間) 105,000
会員料金(2時間) 64,900
http://www.gakushikaikan.co.jp/banquets/cost.html

เพียง 64 900 เยน หรือราวๆ 18 000 บาทเท่านั้น

4)  ห้องบรรยายเล็กมาก  เท่าที่ตรวจสอบ  ขนาดเพียง 240 ตรม ซึ่งพบว่าจุผู้ฟังได้ไม่เกิน 200 คน  แต่ในทางปฎิบัติเชื่อว่าไม่เกิน 120 คน
ซึ่งขนาดเหมาะมากกับ ห้องสัมนามหาวิทยาลัยที่ตัวมันเป็น

5) ผู้เชิญ ทักษิณคือ สถาบันเศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน อาเซียน
ซึ่งจริงๆแล้วเป็นชมรมของกลุ่มของข้าราชการเกษียณและอดีตนักการเมือง นาย มิซึโนะ คิโยะชิ ประธานสถาบัน เป็นนักการเมืองที่ดำรงตำแหน่งสำคัญๆในรัฐบาลมาหลายตำแหน่งรวมทั้งตำแหน่ง รัฐมนตรีว่าการ กระทรวง Ministry of Construction

ไม่ใช่สถาบันจริงๆหรอกครับ เป็นชมรมที่ใช่ซื่อสถาบันเท่านั้น
และนี้คือภาพที่ทั้งของชมรมนี้

Image
ตามที่เว็บลงที่อยู่

一般社団法人 日本・中国・ASEAN経済文化研究会
〒101-0052  東京都千代田区神田小川町3-2大丸ビル5F

http://nicchu-asean.org/index.html
รวมความงานนี้คือ  ทักษิณ จ้างให้ทางสมาคม สถาบันเศรษฐกิจและวัฒนธรรมญี่ปุ่น จีน อาเซียน เชิญไป เพื่อแลกกับเงินบริจาคช่วยซึนามิ  ว่าง่ายๆจ่ายเพื่อให้ได้บรรยาย
แต่.............
เอา เข้าจริงๆคือไปเพื่อพบปะเสื้อแดง  ประกาศข่าวไปยังแดงทั้งหลายในญี่ปุ่น เป็นสำคัญ  และเกรงเสื้อแดงจะเข้ามาน้อยเลยเก็บค่าเข้าถูกมาก  เพื่อให้ได้คนเยอะๆ
และ เนื่องด้วยเกือบฟรี  จึงประหยัดโดยไปใช่สถานที่ของสโมสรนักศึกษาแทนที่จะเป็นโรงแรมอย่างที่งาน บรรยายให้นักธุรกิจ หรือบุคคลสำคัญ ทั่วไปเขาทำกัน
นี้คือข้อมูล 7 บรรทัดที่ประชาไท และเสื้อแดงไม่ยอมแปล  เพราะมันเฉลยสถานภาพของงานบรรยายครั้งนี้
ปล.
ผมกังวลนิดๆ ธรรมเนียมญี่ปุ่นนั้น เขาคงไม่ช่วยใครฟรีๆหรอกครับ..........รอเดี๋ยวก็เห็นบิลเรียกเก็บมาที่ ประเทศไทย
ใครจ่ายพอรู้  จ่ายด้วยเงินภาษีใคร  รอดูแล้วกันครับ


 

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง