บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

ปชป.-พท.วังวนประชานิยม น้ำผึ้งอาบยาพิษ

ข้อ เสนอของ คณะกรรมการปฏิรูปที่มีอานันท์ ปันยารชุน เป็นประธาน  และ ชุดคณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ของ นพ.ประเวศ วะสี” ที่ทยอยออกสู่สาธารณะ จนเป็นมติ “สมัชชาปฏิรูปประเทศไทย” ที่ “ลดความเหลื่อมล้ำ-สร้างความเป็นธรรม” ให้กับสังคม  รวม 8 ประเด็น
เช่น จัดสรรที่ดินให้เป็นธรรมด้วยการจำกัดการถือครองที่ดินไม่เกินรายละ 50 ไร่ เกินกว่านั้นให้มีระบบอัตราภาษีก้าวหน้าที่เหมาะสม  จัดการทรัพยากรทะเลและชายฝั่งให้เป็นสาธารณะของชาติ ที่ประชาชนมีสิทธิเข้าถึงโดยชอบ ปฏิรูประบบยุติธรรมที่เกี่ยวกับคดีที่ดินและทรัพยากร ปฏิรูประบบประกันสังคม สร้างหลักประกันและการสร้างเสริมสุขภาวะผู้สูงอายุ
ข้อ เสนอเหล่านี้เปิดให้พรรคการเมืองช็อบได้เสรีในโอกาสทองช่วงเลือกตั้ง ทว่า การขับเคี่ยวด้านนโยบายหาเสียงของสองพรรคใหญ่ พรรคเพื่อไทยกับ พรรคประชาธิปัตย์   กลับมองข้ามข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปไปหมด
พรรคประชาธิปัตย์ ใช้นโยบาย  อาทิ “ประกันสังคมทั่วหน้า”ขยายประกันสังคมสู่แรงงานนอกระบบ โดยจ่ายเงินสมทบไม่เกิน 100 บาทต่อเดือน   “สินเชื่อทั่วถึง” ให้แก่แท็กซี่เพื่อสามารถเป็นเจ้าของรถเองได้ และให้ผู้ค้าหาบเร่ได้เข้าถึงแหล่งทุนที่เป็นธรรม  “มอเตอร์ไซค์รับจ้างทำกินเป็นธรรม”ขึ้น ทะเบียนมอเตอร์ไซค์รับจ้างเพื่อไม่ให้กลุ่มอิทธิพลเข้ามารีดไถหาผลประโยชน์  เพิ่มจุดผ่อนผันให้ผู้ค้าหาบเร่ ลดภาระกองทุนน้ำมัน ตรึงราคาก๊าซแอลพีจีในภาคครัวเรือนและขนส่ง แต่ปล่อยลอยตัวในภาคอุตสาหกรรม ขึ้นค่าแรง 250 บาทต่อวัน  รวมถึง จัดตั้งกองทุนเงินออมแห่งชาติ ขยายไปที่ผู้สูงอายุ นโยบายเรียนฟรี เบี้ยยังชีพ เบี้ย อสม. ที่ออกมาก่อนหน้านี้
พรรคเพื่อไทย  พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ประกาศนโยบายล่าสุดเมื่อวันที่ 23 เม.ย. หลากหลายข้อ  เช่น  ให้มี “30 บาท รักษาทุกโรค”  เพิ่ม กองทุนหมู่บ้าน 2 ล้านบาท กองทุน S M L 3-4-5 แสนบาท  พักหนี้ครัวเรือนต่ำกว่า 5 แสนบาท อย่างน้อย 3 ปีจำนำข้าวเปลือกเจ้า 15,000 บาทต่อตัน จำนำข้าวเปลือกหอมมะลิ 20,000 บาทต่อตัน ลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมเพื่อเป็นแรงจูงใจ  แรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อ วัน โดยมีการลดภาษีเงินได้นิติบุคคลให้ภาคธุรกิจ และอุตสาหกรรมเพื่อเป็นแรงจูงใจ
ส่วน เมกกะโปรเจคท์มีมาก โดยเฉพาะการถมเกาะ สร้างเมืองใหม่ บริเวณ สมุทรปราการ สมุทรสาคร เพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพ หรือ  การปรุบปรุงโครงการรถไฟฟ้าทั่วกรุงเทพมหานครและปริมณฑล 10 สาย ค่าโดยสาร  20 บาทตลอดสาย

นโยบายแยกส่วน ไม่มององค์รวม 
“วิทยากร เชียงกูล” คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต มองว่า นโยบายขอพรรคการเมืองที่ออกมา แยกเป็นส่วนๆ มุ่งเน้นที่กลุ่มประชาชน ที่พรรค ต้องการคะแนนเสียง  โดยที่พรรคการเมือง ไม่ได้มองโครงสร้างเศรษฐกิจในภาพรวม แต่มองเป็นส่วนๆ แยกเป็นเรื่องๆ ออกไป เพื่อจะกระจายรายได้ให้คนกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง และคนกลุ่มไหนจะได้ประโยชน์ เพื่อให้คนกลุ่มนั้นเลือกพรรค ฉะนั้น โครงการจึงมีลักษณะแตกกระจาย และยังมีลักษณะ ”ประชานิยม” คือ เน้นการช่วยเหลือมากกว่าที่จะส่งเสริมให้ประชาชนได้เข้มแข็งและยืนอยู่ได้ใน ระยะยาวจริง 
ส่วนนโยบายของประชาธิปัตย์ “วิทยากร” มองว่า เป็นการทุ่มเงินที่เปล่าประโยชน์ เพราะไม่ได้แก้ปัญหาตรงส่วนของโครงสร้าง
              “การช่วยเรื่องการศึกษาก็เห็นด้วย แต่บางทีมันก็ไม่ค่อยคุ้ม คือการให้การศึกษาฟรีแต่ไม่ได้เพิ่มคุณภาพ การสอนก็ไม่มีประโยชน์ มันอาจไปช่วยลดค่าใช้จ่ายได้บ้าง แต่ไม่ได้ปรับปรุงคุณภาพขึ้นมา อันนี้มันเป็นการลงทุนที่เสียเปล่า มันกลายเป็นการแก้ปัญหาแบบเป็นส่วนๆ โดยไม่ได้แก้ในเชิงภาพรวม” เช่นเดียวกับนโยบายของพรรคเพื่อไทย ที่จะให้มีการเพิ่มค่าแรงขั้นต่ำเป็น 300 บาทเกทับพรรคประชาธิปัตย์ที่ให้ 250 บาทว่าเป็นการ “ขายฝัน” มากกว่าจะทำได้จริง
“ความเป็นจริงก็คือ คนงานได้รับค่าจ้างแรงงานที่ต่ำกว่าค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำ ฉะนั้น ที่ประกาศไปก็อาจจะไม่มีความหมายเพราะว่า มันจ่ายไม่ได้ เนื่องจากมีแรงงานเยอะ ต่อไปคนไทยจะไม่มีงานทำเพราะเขาไปจ้างพม่าแทน เพราะว่าแรงงานพม่ายอมรับค่าจ้างต่ำกว่า ก็มองว่าบางทีหาเสียงมากเกินไป โดยไม่ดูความเป็นจริง” 
สำหรับ นโยบาย “กองทุนเงินออมแห่งชาติ” ของ พรรคประชาธิปัตย์ที่หลายฝ่ายมองว่า เป็นการสร้างหลักประกันอย่างยั่งยืน  วิทยากร เห็นด้วยว่าหลักการเป็นเรื่อง ดี แต่คนที่จะทำได้ ต้องมีรายได้ที่แน่นอน  ซึ่งคนจนจะออมลำบาก  ความจริงเรื่องนี้ ทุกพรรคต้องย้อนไปที่หลักการปฏิรูป ที่มีการเก็บภาษีคนรวย ไปช่วยคนจน  คือถ้าพูดแต่การรับสวัสดิการ การช่วยคนจน แต่ไม่กล้าพูดเรื่องการเก็บภาษีคนรวยก็คงช่วยอะไรไมได้ อย่างไรก็ตามเห็นว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์เป็นผู้จัดตั้งคณะกรรมการปฏิรูปขึ้นมา   แต่น่าเสียดายที่ไม่สนใจถึงข้อเสนอหรือแนวทางที่ให้มีการปฏิรูปเชิงโครง สร้างซึ่งเป็นเรื่องที่เป็นประโยชน์ม่ก
“วิทยากร” กล่าว ว่า เวลานี้น่าเสียดายเพราะพรรคการเมืองไทยไม่มีทางเลือกมานำเสนอ  การแข่งเรื่องนโยบายก็แค่เป็นไปตามกระแสเท่านั้น  ส่วนพรรคใหม่ที่นำเสนอนโยบายใหม่ๆ เป็นทางออกก็หายาก  การเมืองวันนี้ จึงเป็นการแข่งกันทางตัวบุคคลเท่านั้น
“การ เปิดนโยบายของพรรคการเมืองยังเป็นจุดด้อย  ความจริงควรจะมีพรรคการเมืองอื่น ที่เป็นพรรคการเมืองขนาดเล็ก ที่บอกว่า สนใจข้อเสนอเหล่านี้ (คปร.) มาแข่งขันกันมันก็จะเป็นสิ่งที่ดี แต่พรรคการเมืองก็ไม่มีการพูดถึงเลย กลับไปมองว่าเศรษฐกิจจะโตหรือไม่โต  เพราะเน้นไปในทางเศรษฐกิจมากกว่าปัญหาชาวบ้าน ทั้งที่จริงแล้วถ้าชาวบ้านเข้มแข็งเศรษฐกิจโดยรวมก็จะไปได้”
“การ เน้นประชานิยมมาก จะทำให้ประชาชนมึนชา คอยแต่จะได้ โดยไม่คิดว่าตัวเองจะต้องจัดตั้งองค์กร และต้องทำอะไรมากขึ้น ในแง่หนึ่งมันก็พัฒนายากเหมือนกัน และก็จะแข่งกันในเชิงประชานิยมต่อไป รัฐบาลก็จะเป็นหนี้มากขึ้นในระยะยาว ก็จะสร้างปัญหามากขึ้น ประชาชนจะแย่ลงไปอีกหากไม่รีบหาทางแก้ปัญหาแต่ต้น”
เขา บอกว่า   ทุกฝ่ายต้องพยายามให้ประชาชนรู้ปัญหามากขึ้น จะได้ไปผลักดันนักการเมืองต่อไป แต่วันนี้นี้ ประชาชนชอบ  ประชานิยม มากกว่าเพราะเห็นผลในระยะสั้น แต่ด้านการปฏิรูปนั้น มันจะเห็นผลได้ในระยะยาว เพราะการเปลี่ยนเชิงโครงสร้าง กว่าจะได้มาก็เป็นทางอ้อม ประชาชนก็ไม่เห็นชัดเจนเพราะยังไม่เห็นเงิน

ประโยชน์ระยะสั้น ให้ประชาชนแบมือ
“สุริยันต์ ทองหนูเอียด” เลขาธิการคณะกรรมการรณรงค์ประชาธิปไตย หรือ ครป.  มองการเปิดนโยบายของพรรคการเมืองว่า  พอใกล้เลือกตั้ง  นโยบายการช่วยเหลือคนจนก็จะถูกเสนอเข้าเป็นนโยบายหาเสียงทุกครั้ง เช่น  เรื่องแก้จน เรื่องลงทะเบียน แต่ไม่มีใครพูดในระยะยาวที่เกี่ยวกับการสร้างระบบ สำคัญที่เป็นปัญหา โดยเฉพาะปัญหาคอรัปชั่น เรื่องความสามารถในการทำงานของผู้บริหารที่สงสัยว่าทำงานไม่เป็นบ้าง หรือความโปร่งใสในเรื่องการโยกย้ายแต่งตั้ง ทั้งหลาย อันนี้ชัดเจนว่า ทุกพรรคไม่มีใครนำเสนอในเรื่องนี้
เขา บอกว่า  การที่เพื่อไทยเปิดนโยบายล่าสุดมาก็ไม่ได้ต่างจาก นโยบายเดิมที่มาจากพรรคไทยรักไทยในอดีต หากแต่เป็นการสานต่อปรับแต่งให้มากขึ้น เช่น กองทุนหมู่บ้าน ต่อยอดของนโยบายประชานิยม   โดยไม่สรุปบทเรียนในเชิงคุณภาพของนโยบาย จึงเป็นการหาเสียงแย่งกันใช้ ประชานิยมในการทำงานมวลชนกับชาวบ้านเท่านั้น
“เพื่อ ไทยและประชาธิปัตย์ เหมือนกันตรงที่ ไม่ได้ไปปรับแก้โครงสร้างระบบในการแก้ปัญหาในเชิงยั่งยืนถาวร  เขาใช้นโยบายหาเสียงฉาบฉวยเฉพาะหน้าที่หวังหาคะแนนกับชาวบ้านมากกว่า”
ที่ จะเป็นผลเสียในระยะยาวจากนโยบายประชานิยมเหล่านี้ คือประชาชนจะไม่รู้จักการพึ่งพาตนเอง และจะคอยเป็นผู้รับจากรัฐบาลเพียงฝ่ายเดียว  เหมือนการวางยาหอมให้ประชาชนได้วาดฝันไว้ ซึ่งในความเป็นจริงการที่จะพัฒนาให้ยั่งยืนจะต้องปรับแก้ที่เชิงโครงสร้าง แต่ประชานิยมมันจะทำให้กิดผลเสียเรื่องหนี่สินตามมา
“การ ที่พรรคการเมืองประกาศนโยบายเชิงฉาบฉวยก็จะเป็นเหมือนน้ำผึ้งอาบยาพิษที่ไม่ ได้นำพาไปสู่การแก้ปัญหาในระยะยาว เป็นเพียงการเคลือบนโยบาย มันดูเหมือนดี แต่ที่จริงไม่มีคุณภาพในเชิงความยั่งยืนของประชาชน  วันนี้แม้ว่า ประชาชนต้องการให้นักการเมืองไปแก้ปัญหาของเขา แต่เขาก็อยากได้นโยบายที่เชื่อมโยงกับปัญหาปากท้องนำไปสู่การแก้ปัญหาในโครง สร้างอย่างเป็นระบบ”
นโยบาย ที่เปิดกันออกมา ที่สุดแล้วเป็นแค่การเบี่ยงเบนกระแส เพราะวันนี้การเมืองมันไกลจากปากท้องชาวบ้านมากเกินไปทั้งประชาธิปัตย์ ทั้งเพื่อไทย อย่างเพื่อไทยก็จะเอาทักษิณกลับมาอย่างเดียว จึงไม่ใช่การเมืองเพื่อมวลชน แต่เป็นการเมืองเพื่อบุคคล
ดัง นั้น ไม่ว่าใครมาเป็นรัฐบาล สุดท้ายจะไม่สามารถผลักนโยบายการปฏิรูปได้  เพราะต้องพะว้าพะวง หรือติดอยู่กับความขัดแย้งทางการเมืองเหมือนเดิม
“นโยบายประชานิยม” ของทั้งสองพรรคการเมืองหลักอย่างประชาธิปัตย์ และ เพื่อไทย ก็อาจกลายป็น “ยาขม” ที่จะส่งผลให้ประชาชนมึนเมากับเงินทุนและกลยุทธ์ มากกว่าที่จะแก้ปัญหาให้กับปากท้องของพี่น้องประชาชนอย่างแท้จริง

สำนึกในการซื้อ “อาวุธ” ของกองทัพ กรรมวิธีในการสร้างฉันทามติจากสังคม

       มี คำถามนานัปการเกี่ยวกับการจัดหายุทโธปกรณ์ของกองทัพ ที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องหลังช่วงการปฏิวัติรัฐประหาร เดือนกันยายน 2549 เริ่มตั้งแต่การจัดหาเครื่องบินขับไล่ “กริฟเฟ่น” เข้าประจำการที่ กองบิน 7 จำนวน 1 ฝูงบิน โดยจัดหา 2 ระยะ ทวาโครงการนี้ผ่านฉลุยด้วยการชี้แจงทำความเข้าใจกับประชาชนถึงความจำเป็น บวกกับประสิทธิภาพของเครื่องบินในเจนเนอเรชั่นที่ 4.5 ที่พอจะมีน้ำหนักใน การจัดหาเข้าประจำการ
       แต่กริฟเฟ่น ไม่ได้เป็น “บิ๊ก โปรเจ็คส์” โครงการ เดียวที่กองทัพจัดหา  แต่ยังมีอีกหลายโครงการที่กำลังเข้าคิวในการเข้าประจำการ เพราะได้มีการทยอยอนุมัติงบประมาณ และ โครงการ หลังช่วงการปฏิวัติรัฐประมาณเมื่อปี 2549 อย่างต่อเนื่อง
       ล่าสุดที่เข้าประจำการ ได้แก่ เฮริลคอปเตอร์ลำเลียงขนาดกลาง  MI-17 V5 จำนวน 3 เครื่อง  วงเงิน 995 ล้านบาทได้เข้ามาประจำการที่กองทัพบก  เพื่อใช้ทดแทน ฮ. ชีนุก ที่มีปัญหาเรื่องซ่อมบำรุงและอะไหล่ทดแทน
       กองทัพบกยังได้ ดำเนินการจัดหาเฮริลคอปเตอร์  UH-60 - M / Black Hawk เพื่อใช้ในภารกิจด้านยุทธการ และ ยุทธวิธี เพิ่มเติมอีก 3  เครื่อง วงเงินกว่า 3 พันล้านบาท โดยโครงการดังกล่าวบรรจุอยู่ในแผนงบประมาณปี 2554 แล้วขณะนี้อยู่ในขั้นตอนการอนุมัติของสภาคองเกรสสหรัฐฯ   ทั้งนี้กองทัพบก มี เฮริลคอปเตอร์  UH-60 - L /Black  Hawk ประจำการแล้ว 7 เครื่อง เมื่อครั้งที่ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ เป็นผู้บัญชาการทหารบก  และ ได้รับการอนุมัติจัดหาเพิ่มเติมไปแล้วเมื่อ ปีงบประมาณ 2553 ซึ่งเป็นรุ่น L อีก 3 เครื่อง วงเงิน ประมาณ 2.5 พันล้านบาท ซึ่งกำลังอยู่ระหว่างการผลิตเพื่อส่งมอบให้ กองทัพบกไทยในปีหน้า
       นอกจากนั้น กองทัพบกยังรอการอนุมัติการจัดซื้อ เฮริลคอปเตอร์ Black Hawk รุ่น M  จากที่สภาฯสหรัฐเสนอ โดยกองทัพจัดหาตามแผนงบฯ ปี 54นี้เป็นรุ่นที่มีความทันสมัย โดยพัฒนาให้มีใบพัดพิเศษพร้อมเครื่องยนต์ ที 700 –GE-701 ดี โดยให้กำลังสูงสุด 2,000 แรงม้า มีคอมพิวเตอร์ระบบจัดการยานพาหนะร่วม และ ห้องนักบินที่มีอุปกรณ์แบบใหม่ มีระบบตรวจสภาพอากาศ เมฆฝนที่เหมาะกับสภาพอากาศที่แปรปรวนในประเทศไทย  ทั้งนี้ กองทัพบก มีแผนในการจัดหา  เฮริลคอปเตอร์รุ่นดังกล่าว  เข้าประจำการให้ครบ 33 ลำ
       กองทัพสหรัฐฯ จะส่งมอบ ฮ.โจมตีคอบบร้า มือ 2  จำนวน 4 ลำ ที่สหรัฐฯปลดประจำการและยกให้ กองทัพบกไทยโดยไม่คิดมูลค่า  แต่ให้รัฐบาลไทยอนุมัติงบประมาณจากที่กองทัพบกเสมอ เพื่อทำการปรับสภาพเพื่อนำฮ.รุ่นนี้ ใช้งานในภารกิจโจมตีได้  โดยคาดว่าจะส่งมอบให้ไทยได้ในปลายปีนี้เช่นกัน
       ไม่เท่านั้น กองทัพบกกำลังจัดหารถถัง  Oplot จากประเทศยูเครนเพื่อทดแทน รถถังM-41  ที่กำลังจะปลดประจำการในหลายหน่วย เช่น  ม.พัน 2 รอ. ,ม.พัน 4 รอ., ม.พัน 9 ,ม.พัน 8    ขณะนี้ได้ผ่านขั้นตอนการคัดเลือกแบบ และ บรรจุอยู่ในแผนงบประมาณปี 54 ที่ผ่านสภาฯไปแล้ว ทั้งนี้ได้ดำเนินการจัดหาในระยะแรกเข้าประจำการ  1-2  กองพัน  (คันละ120 ล้านบาท)   ประจำการที่ ม.พัน 2 รอ.  หรือ ม.พัน 8  เพื่อใช้ในพื้นที่ชายแดนไทย –กัมพูชา  ตอบสนองการป้องกันภัยคุกคามที่เกิดขึ้น  โดยรถถังที่ไทยสั่งผลิตจะติดปืนใหญ่ขนาด  125 มม.  คาดว่าจะส่งมอบได้ปลายปีนี้ หรือ ปีหน้า ทั้งนี้  รถถังรุ่นดังกล่าว มีประจำการในประเทศจอร์เจีย และ ยูเครนไม่มากนัก ทั้งนี้ กองทัพบก ยังรอการส่งมอบรถหุ้มเกราะล้อยาง  BRT 3E1 จากยูเครนที่กองทัพบกจัดหาในระยะแรก 101 คัน และ ระยะที่ 2 จำนวน 121  คัน ขณะนี้มีการส่งมอบในระยะแรกแล้ว 14 คัน คาดว่าจะดำเนินการส่งมอบให้ครบตามจำนวนได้ในปี 2555
       กองทัพเรือ ยังมีโครงการการจัดหาเรือดำน้ำมือสอง ชั้น U206A จากประเทศเยอรมัน จำนวน 6 ลำ   วงเงิน 7.7 พันล้านบาท  ขณะนี้อยู่ระหว่างการจัดทำข้อมูลเพื่อเสนอคณะรัฐมนตรีในอนาคต  โดยคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 28 มี.ค. ซึ่งมีการอนุมัติกรอบงบประมาณปี 55  ของทุกกระทรวงไปแล้ว ซึ่งกองทัพเรือ โดยกระทรวงกลาโหม ได้รับการจัดสรรงบลงทุนจำนวนหนึ่งสำหรับโครงการจัดหาเรือดำน้ำ
       ทั้งนี้ โครงการดังกล่าวจัดอยู่ในแผนยุทธศาสตร์   Modernization Plan Vision 2020 ที่กองบัญชาการกองทัพไทยได้จัดทำขึ้น   เพื่อเสนอให้รัฐบาลได้เห็นถึงความจำเป็นในการจัดหายุทโธปกรณ์ที่จำเป็นต่อ ภัยคุกคามด้านต่างๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับสถานการณ์ในอนาคต แต่ที่เราได้รวบรวมมายังไม่ใช่ทั้งหมด หากยังมีอาวุธที่ได้มีการอนุมัติจัดซื้อก่อนหน้านี้ในนามของกองอำนวยการ รักษาความมั่นคงภายใน (กอ.รมน.) ซึ่งเป็นการจัดซื้อวิธีพิเศษ  เน้นที่ภารกิจในการแก้ไขปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้  และ การรักษาความสงบเรียบร้อยภายในประเทศ
       ในภารกิจในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ดูเหมือนว่าการจัดหาเครื่องมือตรวจการณ์เพิ่มเติม  เช่น โครงการเรือเหาะเพื่อความมั่นคง ที่ปัจจุบันพยายามปรับแก้ไขให้เกิดปัญหาน้อยที่สุด และ ยังสามารถใช้กล้องตรวจการณ์ได้  แม้จะไม่เป็นตามที่ได้มีการเปิดโครงการไว้ก็ตาม  แต่ส่วนหนึ่งต้องยอมรับว่าโครงการดังกล่าวตกเป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ในช่วงการ จัดหาตอนเริ่มระยะแรก เหมือนเช่นเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด จีที -200  ที่กลายเป็นที่แดกดันกันไปทั่ว ถึงขั้นตอน ระเบียบวิธีการ ในการจัดซื้อยุทโธปกรณ์ของกองทัพ  ที่ถูกพ่อค้าหลอกขาย โดยใช้ ”ความเชื่อ” เป็นเครื่องมือ  ไม่นับรวม อาวุธประจำการ ประเภทปืน “ทราโว้”  ที่มีการจัดหาเพื่อทยอยเข้าประจำการอย่างต่อเนื่อง หรือแม้กระทั่งเสื้อเกราะ
       เลยไปถึงการจัดหาเครื่องมือสำหรับการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ เครื่องมือควบคุมฝูงชน ตั้งแต่อุปกรณ์ รถฉีดน้ำ   ที่ทั้งหมดนั้นเป็นการจัดหาแบบ “วิธีพิเศษ”  เพื่อเลี่ยง ม.190 ของรัฐธรรมนูญ ในการทำสัญญาแบบรัฐต่อรัฐ   แต่เหล่าทัพต่างๆ ย้ำว่า “วิธีพิเศษ” คือการต่อรองเพื่อให้ฝ่ายผู้ซื้อได้ประโยชน์สูงสุด
       ซึ่งการจัดหาด้วย “วิธีพิเศษ” กลายเป็นประเด็นรองที่ถูกวิจารณ์มากกว่า การซื้ออาวุธแบบ “บิ๊กล็อต”และ มีความต่อเนื่องติดต่อกันทุกเหล่าทัพ  พร้อมถูกโจมตีเมื่อเข้าครม. โดยโหมประโคมข่าวเรื่องการอนุมัติ เพื่อเอาใจกองทัพ เพื่อแลกเปลี่ยนกับการทำหน้าที่ “กระดูกสันหลัง” ให้กับ รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์
       ทั้งที่ “ปมประเด็น” ที่ภาคประชาสังคม ควรตรวจสอบคือ เรื่อง “วิธีการจัดซื้อ”  เลยไปถึงรายละเอียดในเรื่อง สเปค ความคุ้มค่าของงบประมาณ ต่อโครงการนั้น ๆ  เพราะอย่าลืมว่า ในการจัดซื้ออาวุธของกองทัพที่ผ่านมา ถูก “ชะลอ” และไม่ ได้รับการพัฒนามานาน  เนื่องจากปัญหาเรื่องเศรษฐกิจ นโยบายการแบ่งสรรงบประมาณในด้านอื่นที่หนุนส่งคะแนนเสียงทางการเมืองอยู่ใน อัตราส่วนที่มากกว่า
       แต่เมื่อมีการจัดสรรงบประมาณ โดยใช้ยุทธศาสตร์ด้านต่างๆ เข้ามาจับ เหมือนเช่นประเทศอื่นดำเนินการอยู่ การจัดสรรงบประมาณด้านความมั่นคงจึงขยับตัวในเปอร์เซ็นต์ที่มากขึ้น   ทำให้กองทัพ เพิ่งเริ่มจัดหาอาวุธ อย่างเป็นรูปธรรมได้ใน 5 ปีหลังนี้   ซึ่งคนส่วนใหญ่เข้าใจว่าต้องดำเนินการ เพราะอาวุธที่ประจำการอยู่ก็เก่าเก็บ บางอย่างมีประจำการตั้งแต่สงครามโลกครั้งที่ 2
       ปัญหาที่แท้จริงจึงไม่ได้เกิดจากการที่เหล่าทัพจะจัดหาอาวุธที่เหมาะสมเข้าประจำการ  หากแต่เป็น “กรรมวิธี” ในการจัดซื้อ ทั้ง “วิธีพิเศษ” ที่มีเหล่าทัพจะมีคณะกรรมการฯ ในการพิจารณาทุกระดับชั้น แต่หนีข่าวฉาวเรื่อง “นายหน้า” ที่วิ่งเข้าออกดิวส์งานกันจนคนในกองทัพรู้ไปทั่ว สิ่งเหล่านี้  กองทัพเอง ต้องยอมรับว่าหลายโครงการ ก็มี “กลิ่น” เรื่อง “ค่าคอมมิชชั่น” ในเปอร์เซ็นต์ ที่ “โอเวอร์”  เกินกว่าจะรับได้ ทำให้บางโครงการ “ราคา” กับ ”ของ” ไม่อยู่ในระดับที่สมดุล  และรัฐสูญเสียงบประมาณ ไปกับสิ่งเหล่านี้ ทั้งที่ไม่ควรจะมี ในช่วงที่ “สังคม” ได้ให้โอกาสกองทัพ ได้พัฒนาตัวเองในศักยภาพการทำหน้าที่ทหารตามรัฐธรรมนูญ
       กระทรวงกลาโหม  กองบัญชาการกองทัพไทย และ ทุกเหล่าทัพ  พึงตระหนักว่า  โดยส่วนใหญ่คนในสังคมเข้าใจในความจำเป็นต่อการพัฒนากองทัพ   หากแต่ “ยอมรับไม่ได้” ที่จะให้การจัดหาหลายครั้ง  ได้อาวุธ ที่ “ห่วย” ไม่คุ้มค่า “งบประมาณ” มาใช้   เพราะในอดีต มีภาพสะท้อนที่เป็นตัวอย่างให้เห็นหลายโครงการ อีกทั้งมี “บิ๊กทหาร” หลายคนที่เกษียณร่ำรวย อู่ฟู่ เพราะมี “โปรเจ็คส์” ทิ้งทวนเป็น “โบนัส” ในช่วงโค้งสุดท้ายก่อนปลดเกษียณ
       ในสังคมเปิด ที่ข้อมูลข่าวสารไหล่บ่า  จึงยากนักที่ “กองทัพ”จะปิดข้อมูล หรือ “แหกตา” คนส่วนใหญ่ได้ เหมือนในอดีต ดังนั้น “แนวความคิด“ ในการจัดหาอาวุธ จึงต้องผูกติดไปกับ”สำนึก”ของ ผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องในกระบวนการพิจารณาทุกขั้นตอน  ไล่ตั้งแต่หน่วยใช้  กรมสรรพาวุธ คณะกรรมการจัดหาฯ คณะกรรมการคัดเลือกแบบฯ คณะกรรมการมาตรฐานยุทโธปกรณ์  เหล่าทัพ กองบัญชาการกองทัพไทย กระทรวงกลาโหม และ คณะรัฐมนตรี
       เพื่อให้การกระบวนการกลั่นกรองมีประสิทธิภาพ และ เพื่อที่สังคมจะได้มีฉันทามติร่วมกัน ที่ยอมรับการจัดซื้ออาวุธ เข้าประจำการในทุกเหล่าทัพ

ถิ่นกาขาว!

มาเลือกตั้งกันครั้งนี้....ทั้งหมดทั้งปวงกับไปตกอยู่ที่คำทำนายนี้...เฮ้อ???
 
 อาศัยคำทำนายที่ชาวบ้านเชื่อ และทำนายได้แม่นมาตลอด มาใช้ เพื่อประโยชน์ในการกลับมาครอง
 
อำนาจ คิดแบบนี้ เราจึงเห็นการเปลี่ยนตัวผู้ที่จะมาเป็นนายกจากพรรคเพื่อไทยก่อนหน้านี้ไงครับ

ถิ่นกาขาว
คำทำนายที่เคยมีช้านานนัก เริ่มประจักษ์ให้เห็นเร้นไม่ได้ หลวงพ่อฤาษีลิงดำเคยทำนาย

เมื่อถึงปลายรัชกาลผ่านเข้ามา ประเทศชาติจะรุ่งเรืองและเฟื่องฟุ้ง

น้ำมันผุดขึ้นมาจนเห็นค่า พวกกาขาวจะบินรี้หนีเข้ามา เป็นประชาจนเต็มพระนคร

ชนทั่วโลกจะยกพระองค์ท่าน ชื่อกระฉ่อนร่อนทั่วทุกสิงขร ออกพระนามลือชื่อดั่งทินกร

องค์อมรเอกบุรุษแห่งแผ่นดิน ชาวประชาจะปิติยิ้มสดใส แต่อกไหม้หนอนกินข้างในสิ้น

จะมีพวกกาฝากคอยกัดกิน เพื่อให้ได้สิ่งถวิลสมจินตนา จะมีการต่อตีกันกลางเมือง

ขุนนางเขื่องกังฉินกินทั่วหล้า คอรัปชั่นจะกัดกร่อนทั้งพารา ประดุจปลวกกินฝานั้นปะไร

ข้าราชการตงฉินถูกประณาม สามคนหามสี่คนแห่มาลากไส้ เกิดวิกฤติผิดเพี้ยนโดยทั่วไป

โกลาหลหม่นไหม้ไร้ความดี ประชาชีจะสับสนเรื่องดีชั่ว ถ้วนทุกทั่วจะหมุดขุดรูหนี

ไม่แน่ใจสิ่งที่ทำนำความดี เกรงเป็นผีตายตกไปตามกัน

พุทธศาสน์จะถูกรุกและล้ำ มิตรเคยค้ำเป็นศัตรูมุ่งอาสัญ เกิดวิกฤติธรรมชาติอุบาทว์ครัน

พายุลั่นน้ำถล่มดินทลาย แผ่นดินแยกแตกเป็นสองปกครองยาก เกิดวิบากทุกข์เข็ญระส่ำระสาย

เกิดการปราบจลาจลชนล้มตาย เลือดเป็นสายน้ำตานองสองแผ่นดิน

ข้าเป็นนายนายเป็นข้าน่าสมเพช ผู้มีบุญมีเดชจะสูญสิ้น ทั้งพฤฒาอาจารย์ลือระบิล จะร่วงรินดุจใบไม้ต้องสายลม

ความระทมจะถมทับนับเทวศ ดั่งดวงเนตรมืดบอดสุดขื่นขม คนที่ดีจะก้มหน้าสุดระทม ส่วนคนชั่วหัวร่อร่าทำท่าดัง

จะมีหนึ่งนารีขี่ม้าขาว ควงคฑามุ่งสู่ดาวสร้างความหวัง

ผู้ปกครองจะเป็นหญิงพึงระวัง สายน้ำหลั่งกรากเชี่ยวหวาดเสียวใจ

ศิวิไลซ์จะบังเกิดในสยาม หลังฝนคร้ามลั่นครืนจะยืนได้ จะเข้าสู่ยุคมหาชนพาไป

เปลี่ยนเมืองใหม่ศักราชแห่งประชา คนชั่วจะถูกปราบราบคาบสิ้น แผ่นดินเดือดสูญหายไร้ปัญหา

ประเทศชาติผ่านวิกฤติด้วยศรัทธา ยามเมื่อฟ้าศรีทองผ่องอำไพ

เหตุใดนักการเมืองจึงไม่กล้าชูนโยบายปราบโกง


เสียงปี่เสียงกลองกำลังดังกระหึ่ม เป็นสัญญาณบ่งบอกว่า ประเทศไทยได้ก้าวเข้าสู่โหมดการเลือกตั้งอย่างเป็นทางการแล้ว หลังนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ประกาศยุบสภาเมื่อค่ำวันที่ 9 พฤษภาคม 2554 พร้อมๆ กับกำหนดให้มีการเลือกตั้งทั่วไป 3 กรกฎาคม 2554
ขณะเดียวกันสารพัดโพล ที่จัดทำโดยสถาบันการศึกษาเพื่อหยั่งคะแนนความนิยมพรรคการเมืองก่อนหน้านี้ ผลก็ออกมาโชว์ตัวเลขที่เฉือนกันแบบเฉียดฉิว ไม่มีพรรคการเมืองใดสามารถกุมคะแนนนิยมสูงสุดจนสามารถจัดตั้งรัฐบาลแบบพรรค เดียวได้ แม้กระทั่งพรรคการเมืองหน้าใหม่ก็ยังไม่ใช่ทางเลือก
ยิ่งเมื่อมาดู “นโยบาย” ที่พรรคการเมืองต่างโหมประชาสัมพันธ์ และเข็นออกมาขายนั้น ส่วนใหญ่ก็เน้นไปที่การเอาใจคนรากหญ้า ทั้งลด แลก แจก แถม แทบเหมือนกันทั้งสิ้น
นี่คือการเมือง
และเท่าที่ติดตามอ่านนโยบายพรรคการเมืองอยู่ห่างๆ การทุจริตคอร์รัปชั่น กลับกลายเป็นประเด็นที่ยังไม่มีพรรคการเมืองใดให้ความสนใจมากเท่าใดนัก
แม้ว่าล่าสุดจะมีงานวิจัยเรื่อง “ปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นในวงการธุรกิจเอกชนไทย” เผยแพร่ออกสู่สาธารณะ โดยสถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) เมื่อ เร็วๆ นี้ ซึ่งก็ระบุชัด การที่ประเทศไทยไปฝากความหวังไว้ที่ฝ่ายการเมืองให้เป็นผู้ริเริ่มการ เปลี่ยนแปลงในเรื่องนี้ น่าจะเป็นไปได้น้อย เนื่องจากการทุจริตมี “รากเหง้า” จากภาคการเมืองนั่นเอง
มีความเป็นไปได้สูงด้วยว่า ถึงแม้รัฐบาลจะยุบสภา และมีการเลือกตั้งใหม่ ไม่ว่าได้พรรคการเมืองไหนมาเป็นรัฐบาล ก็คาดการณ์กันว่า การทุจริตก็ยังคงอยู่เช่นเดิม พูดแบบทำให้ใครต่อใครหลายคนหมดความหวัง แต่สำหรับ ดร. เดือนเด่น นิคมบริรักษ์ หัวหน้าคณะผู้วิจัย งานชิ้นข้างต้น มองว่า เป็นธรรมดาที่พรรคการเมืองต้องคิดเรื่องอะไรที่ประชาชนให้ความสำคัญมากที่ สุดก่อน ซึ่ง ณ ขณะนี้คงหนีไม่พ้น เรื่องของแพง ที่เป็นเบอร์หนึ่ง เป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องโดยตรงกับการดำรงชีพ
กอรปกับช่วงที่ผ่านมา นโยบายประชานิยม ตั้งแต่สมัยรัฐบาลทักษิณ “เวิร์ค” ทำ ให้นโยบายของพรรคการเมืองส่วนใหญ่จึงเทไปทางนี้กันหมด จึงไม่แปลกใจ หากประเด็นการทุจริตคอร์รัปชั่น พรรคการเมืองไทยไม่เคยหยิบขึ้นมาชูเป็นโยบาย “เด่น” เลย
นัก วิชาการจากทีดีอาร์ไอ ขอให้เราลองย้อนกลับไปถามคนที่จะไปใช้สิทธิ์ใช้เสียงด้วยว่า ใช้ประเด็นใดในการตัดสินใจกากบาทลงในบัตรเลือกตั้ง…?
เพราะในเมื่อคนส่วนใหญ่ไม่ค่อยให้ความสำคัญกับการปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชัน และมองเป็นเรื่องไกลตัว ฉะนั้น พรรคการเมือง “โฆษณา” ไปก็ไร้ประโยชน์
แล้วนับประสาอะไรกับการไปสัญญากันไว้ล่วงหน้า ต่อมาทำตามไม่ได้  พรรคนั้นๆ ก็เสี่ยงถูกโวย เสียเครดิต
สรุปตรงนี้เลยว่า หยิบประเด็นทุจริตขึ้นมาทำเป็นนโยบายหาเสียงแล้วมันไม่คุ้ม ทำไปก็ไม่รู้ว่าจะได้คะแนนเสียงหรือเปล่าด้วย
ต่างกันอย่างชัดเจนกับกรณีเกาหลีใต้ ที่มีแรงกดดันมาจากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง คนเกาหลีจะให้ความสำคัญกับการทุจริตคอร์รัปชั่น ด้วยเชื่อว่า การทุจริตคอร์รัปชั่น ระหว่างรัฐบาลกับเอกชน ทำให้เศรษฐกิจของประเทศเขาเสียหาย
กระทั่งในที่สุดความเชื่อดังกล่าว ทำให้รัฐบาลต่อๆ มาจำเป็นต้องให้ความสำคัญกับนโยบายการต่อต้านการทุจริตคอร์รัปชั่น เพราะมิเช่นนั้น ก็จะไม่ได้ใจคนเกาหลี
นี่เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของเสียงสะท้อนที่มาจากประชาชนแท้ๆ กับการต่อต้านคอร์รัปชั่นที่ยั่งยืนมาจากประชาชน แต่ทว่าจะถึงจุดนั้นได้ ดร.เดือนเด่น ชี้ว่า การเข้าถึงข้อมูลต้องมาก่อน โดยสังคมต้องมีข้อมูล เพื่อให้เห็นว่า คอร์รัปชั่นมันเกิดความเสียหายอย่างไร มีตัวอย่างให้ดูว่า คนที่ทุจริต ต้องเข้าคุกจริง
น่าเสียดาย.... เมืองไทยมีปัญหาตรงที่ว่า เรายังพิสูจน์ไม่ได้ว่า มีการทุจริตจริงหรือไม่ ก่อนที่จะลงโทษเขา เพราะถ้าเผื่อเราไม่มีการลงโทษ เราก็ไม่รู้ว่าใครทุจริต มีแต่คนที่ฟ้องร้องเรื่องการทุจริต สุดท้ายแล้ว ก็หลุด !!
“มีรัฐมนตรีกี่คนที่ติดคุกในประเทศไทย  ฉะนั้นคนไทยจึงยังไม่รู้สึกว่า ทุจริตจริงหรือ หรือว่าเป็นการกล่าวหา ไม่มีบทเรียน เพราะว่ามันไม่มีการดำเนินการทางกฎหมาย ไม่มีกรณีตัวอย่าง เราจึงไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย” ดร.เดือนเด่น ให้ทรรศนะไว้อย่างนั้น
ในมุมนักการเมืองที่รู้ซึ้ง เจอมากับตัวต้องหลุดจากเก้าอี้รัฐมนตรี สนองกฎเหล็ก 9 ข้อของพรรค  อย่างนายวิทยา แก้วภราดัย  รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ บอกว่า การทุจริตคอรัปชั่นเป็นเรื่องที่พรรคการเมืองทุกพรรคมีนโยบายอยู่แล้ว แต่จะเอามาพูดมากหรือน้อย จะมีการเผยแพร่ หรือโฆษณามากน้อยแค่ไหน ก็เท่านั้น
“การทุจริตคอร์รัปชั่นไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิด เพียงแต่ว่าการทุจริตคอรัปชั่นในวันนี้มีการตรวจสอบไล่ทัน”
“องค์กรตรวจสอบภาคประชาชน ภาคสื่อ และองค์กรอิสระที่ตั้งขึ้นมา มีการตรวจสอบเปิดเผยมากขึ้นๆ จนคนรู้สึกว่า มาก เพราะได้ยินบ่อยขึ้น”
“ทั้งที่จริงก็ไม่ได้แตกต่างจากยุคอดีตที่ผ่านมาเลย ไม่ได้ต่างจากในยุคเผด็จการที่เราไม่เคยได้ยิน แต่เราก็รู้ว่า การคอร์รัปชั่นมันเต็มบ้าน เต็มเมืองในยุคคอร์รัปชั่นมากที่สุด ยิ่งกว่ายุคเลือกตั้งเสียอีก”
นักการเมือง ผู้เคยแสดงสปิริต ขอลาออกจากตำแหน่ง รมว.สธ. กรณีการทุจริตในโครงการไทยเข้มแข็ง แม้ต่อมาผลการสอบสวนที่ออกมาในภายหลัง สรุปว่า เขาไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้อง เล่าย้อนให้ฟังอย่างน้อยอกน้อยใจ ถึงช่วงเวลานั้นว่า
“ช่วงนั้น ผมก็ลาออกทันที แต่ไม่เห็นมีใครรับผิดชอบ และกรรมการที่นายกฯ ตั้งมาสอบผมก็ไม่เห็นรับผิดชอบอะไร อยู่กันได้สบายทุกคน โดยการโจมตีนักการเมืองว่า บกพร่อง มันกลายเป็นเรื่องง่ายที่เอานักการเมืองมาเป็นเครื่องสังเวย”
นายวิทยา ยังย้ำด้วยว่า แม้ปัจจุบัน เราอาจจะได้ยินนโยบาย 30 บาท นโยบายหมู่บ้านละ 20 ล้าน และเรื่องค่าแรงมากกว่า จนกลบนโยบายต่อต้านคอรัปชั่นไปหมด สิ่งสำคัญกว่า ที่น่าจับตา คือ หากพรรคการเมือง ออกนโยบายปราบโกงออกมาแล้ว คนไทยจะเชื่อมั่นในนโยบายนี้กันมากน้อยขนาดไหน
“เพราะนอกจากกนโยบายทุจริตคอรัปชั่น มันไม่โดนใจใครแล้ว คนยังไม่มีสนใจ ไม่มีใครเชื่อเรื่องคอรัปชั่น และต่อให้รณรงค์ให้ตาย ถ้าคนไม่เชื่อก็จบ  ยิ่งหากพรรคไหนประกาศเน้นการปราบทุจริตคอรัปชั่น ก็จะมีคำถามต่อว่า “แล้วจะปราบยังไง” ในเมื่อขณะนี้เรามีองค์กรอิสระเพื่อปราบคอรัปชั่นอย่างน้อย 4-5 องค์กรแล้ว” อดีต รมว.สธ. ให้บทสรุปสั้นๆ ทิ้งท้าย

รายการที่ควรปฏิรูป ศ.นพ. ประเวศ วะสี

ผังประเทศไทย 2600





เอกสารแนวทางการปฏิรูปประเทศไทย




รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง