บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 1 กรกฎาคม พ.ศ. 2555

มติ กสทช. เพิกถอนใบรับรองโทรศัพท์มือถือ 280 รุ่น เฉียดล้านเครื่อง จ่อดำเนินคีดอาญา 27บริษัทดังยื่นเอกสารปลอม


สำนักข่าวอิศรา


คณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ได้ออกประกาศเพิกถอนใบรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์หรือโทรศัพท์เคลื่อนที่จํานวน 280 แบบ/รุ่น กว่า 970,000 เครื่อง จาก 27 บริษัทที่นำเข้าจากประเทศจีน (ราชกิจจานุเบกษา เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน2555) เนื่องจากปลอมแปลงเอกสารการรับรองมาตรฐานจากต่างประเทศ ทั้งนี้จะได้มีการแจ้งความดำเนินคดีอาญากับบริษัทที่ยื่นเอกสารปลอมดังกล่าวต่อสำนักงาน กสทช.

สำหรับรายละเอียดประกาศของสำนักงาน กสทช.ระบุว่า กสทช. ได้ตรวจสอบเอกสารหลักฐานแสดงความสอดคล้องตามมาตรฐานทางเทคนิคซึ่งผู้ประกอบการได้จัดส่งประกอบการพิจารณาขอรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ พบว่ามีข้อเท็จจริงอันเป็นที่เพียงพอและเป็นที่ยุติว่า ผู้ประกอบการบางรายได้ใช้รายงานผลการทดสอบจากห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ ที่ไม่ได้ออกโดยห้องปฏิบัติการทดสอบของต่างประเทศ หรือมีการปลอมแปลง หรือแก้ไข เปลี่ยนแปลง ลดทอน แต่งเติมเนื้อหาหรือข้อมูลในรายงาน ให้ผิดแผกจากรายงานผลการทดสอบต้นฉบับ

ดังนั้น เอกสารดังกล่าวเป็นเอกสารอันเป็นเท็จ จึงถือว่าการรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ดังกล่าวไม่ชอบตามประกาศคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กทช.) เรื่องการตรวจสอบและรับรองมาตรฐานของเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม มีมติให้เพิกถอนใบรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ ที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย จํานวน 280 แบบ/รุ่น ตั้งแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป

พร้อมกันนี้ สํานักงาน กสทช. ได้ออกประกาศไว้ ดังนี้

1.ไม่อนุญาตให้ทําหรือนําเข้าเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอน ตามมติที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม จํานวน 280แบบ/รุ่น ตามรายการแนบท้ายประกาศนี้ นับแต่วันที่ 20 มิถุนายน 2555 เป็นต้นไป

2.ให้ผู้ประกอบการ จํานวน 27 ราย ที่เป็นผู้ยื่นขอและได้รับใบรับรองเครื่องโทรคมนาคม และอุปกรณ์แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนตามรายการแนบท้ายประกาศนี้ ซึ่งได้นําเข้าเครื่องโทรคมนาคม ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน 2555 รายงานการครอบครองเครื่องโทรคมนาคมแบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนดังกล่าวต่อสํานักงาน กสทช. และดําเนินการอย่างหนึ่งอย่างใด ดังนี้

(1) ยื่นคําขอรับใบอนุญาตให้นําออกเครื่องวิทยุคมนาคมตามกฎหมายว่าด้วยวิทยุคมนาคม ภายใน 30 วัน นับแต่วันที่ประกาศนี้มีผลใช้บังคับ และนําเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ดังกล่าว ออกนอกราชอาณาจักร

(2) ทําลายเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ดังกล่าว ภายใน 30 วัน แล้วแจ้งให้สํานักงาน กสทช. ทราบพร้อมหลักฐาน ทั้งนี้ ผู้ประกอบการดังกล่าวข้างต้นยังคงต้องมีภาระรับผิดชอบต่อเครื่องโทรคมนาคม แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนใบรับรองที่ตนเองจําหน่าย หรือนําเข้าเพื่อใช้งานในประเทศอยู่ต่อไป

3. ให้ผู้ประกอบการรายอื่นที่ได้นําเข้ามาเพื่อจําหน่ายหรือใช้งานเครื่องโทรคมนาคม แบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอน ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน2555 รายงานการครอบครองเครื่องโทรคมนาคมแบบ/รุ่นที่ถูกเพิกถอนดังกล่าวต่อ กสทช. ภายใน 30 วัน โดยอนุญาตให้สํารองจําหน่ายเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์ที่ได้นําเข้ามาในราชอาณาจักร ก่อนวันที่ 20 มิถุนายน 2555 ได้ต่อไป ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในการบรรเทาความเสียหายเนื่องจากความเชื่อโดยสุจริตของผู้จําหน่ายและใช้งานที่ได้รับผลกระทบจากการเพิกถอนใบรับรองเครื่องโทรคมนาคมและอุปกรณ์

นอกจากประกาศดังกล่าวแล้ว สำนักงาน กสทช.ยังต้องแจ้งความดำเนินคดีอาญากับบริษัท 27 แห่งที่นำที่ยื่นเอกสารรับรองมาตรฐานปลอมต่อพนักงานสอบสวน สน.บางซื่อด้วย

สำหรับบริษัทที่นำเข้าโทรศัพท์เคลื่อนที่ที่ใช้ใบรับรองมาตรฐานปลอมมีดังนี้

1. บริษัท 108 มาร์เก็ตติ้ง จํากัด 2. บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน)3. บริษัท เบสคิงส์ จํากัด4. บริษัท มีเดีย อินฟีนีตี้ จํากัด 5. บริษัท โมเดิร์น เทคโนโลยี โมบาย จํากัด 6. บริษัท โมบาย อาร์ อัส จํากัด 7.บริษัท สไมล์ โฟน (ประเทศไทย) จํากัด 8.บริษัท ออลเทค มาเก็ตติ้ง จํากัด9. นายอริยะ บุพศิริ 10. บริษัท คูล คอมพิวเตอร์ (ไทยแลนด์)

11. บริษัท เจ มาร์ท จํากัด (มหาชน) 12. บริษัท เจเจเค.คอร์ปอเรชั่น จํากัด 13.บริษัท ชาเทอเว คอร์พอเรชั่น (ประเทศไทย) จํากัด 14. บริษัท ซันไรซ์ อินเตอร์เทรด จํากัด 15.บริษัท ดี โมบาย (ประเทศไทย) จํากัด 16.บริษัท ที.ซี. โมบาย โฟน จํากัด 17.บริษัท ไทยเวย์ อินฟอร์เมชั่น คอมพิวเตอร์ จํากัด 18. บริษัท นีโอลูชั่น เทคโนโลยี คอร์ปอเรชั่น จํากัด 19.บริษัท พี.ที.อี. อินเตอร์กรุ๊ป จํากัด 20.บริษัท มาสเตอร์ เทคโนคอม จํากัด

21.บริษัท แม๊ค คอลเลคชั่น จํากัด 22.บริษัท ไมโครเทเลคอม จํากัด 23.บริษัท ลอง เชียร์ คอมมิวนิเคชั่น จํากัด 24.บริษัท เอ. โมบายล์ เวิลด์ จํากัด 25.บริษัท เอเอซี แอนด์ ที จํากัด 26. บริษัท แอล บี แอล (2004) จํากัด 27.บริษัท ไอโอเทค เทคโนโลยี จํากัด

ทั้งนี้ มีรายงานด้วยว่า ในจำนวน 27 บริษัทดังกล่าว มีบริษัทชื่อดังและมีขนาดใหญ่หลายแห่ง อาทิ บริษัท ทีดับบลิวแซด คอร์ปอเรชั่น จํากัด (มหาชน) ในเครือเอไอเอส บริษัท เจ มาร์ท จํากัด ฯ(มหาชน) เป็นต้น








เปิดเวที เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ปกป้องศาล

ศูนย์ข่าวนครราชสีมา- ภาคปชช. 5 องค์กร กว่า 1 พันคน ฮือรวมพลังหน้า “ย่าโม” เปิดเวที เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ปกป้องศาล ค้านชำเรา รธน. เรียกร้อง “เพื่อแม้ว”-แก๊งหางเแดง หยุดคุกคามศาล พร้อมเคลื่อนพลยื่น“ทภ. 2” จี้กองทัพเร่งผลักดันชุมชนกัมพูชา-ทหารเขมรพ้นแผ่นดินไทย “เขาพระวิหาร” และชายแดนไทยทุกจุด ซัดหากทหารไม่ทำหน้าที่ขอให้มอบอาวุธยุทโธปกรณ์แก่ปชช.เพื่อต่อสู้รักษาอธิปไตยของชาติแทน ขณะ “เสื้อแดง” เตรียมเปิดเวทีประชัน หนุนแก้ รธน. -ดัน พ.ร.บ.ปรองดอง ล้างผิด “พ่อแม้ว” ท่ามกลางตำรวจคุมเข้ม แต่ไม่มีเหตุรุนแรง

วันนี้ (29 มิ.ย.) ที่บริเวณสวนอนุสรณ์สถาน ข้างลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) อ.เมือง จ.นครราชสีมา กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน จาก 5 องค์กร ประกอบด้วย สมาพันธ์เกษตรกรไทย, สภาเกษตรกรไทยแห่งชาติ, เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย (อีสานใต้-ตะวันออก) และ สมัชชาประชาชนแห่งประเทศไทย รวมกว่า 1,000 คน นำโดย นายไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เลขาธิการสมัชชาฯ , นพ.ประทีป ตลับทอง ประธานเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ,นายเพชร ปัตตาละทะ ประธานสมาพันธ์เกษตรกรไทย , นายสวัสดิ์ จักษ์พุทรา ประธานสภาเกษตรกรไทยฯ และ ม.ล.วัลย์วิภา จรูญโรจน์ นักวิชาการ ได้รวมตัวชุมนุมแสดงพลัง พร้อมเปิดเวทีปราศรัย “เทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ ปกป้องสถาบันศาลรัฐธรรมนูญ” รวมทั้งต่อต้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และ ร่วมปกป้องผืนแผ่นดินไทย 4.6 ตารางกิโลเมตร ชายแดนเขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ

พร้อมกันนี้ ภายในงานได้มีการตั้งโต๊ะรวบรวมรายชื่อประชาชนเพิ่มเติม สมทบรายชื่อที่รวบรวมมาก่อนหน้านี้จำนวน 4.6 แสนรายชื่อ เพื่อส่งให้ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ หรือ ศาลโลก ในการเรียกร้องให้ศาลโลกจำหน่ายคดีปราสาทเขาพระวิหาร กรณีกัมพูชายื่นฟ้องให้ตีความคดีประสาทพระวิหาร ปี 2505 ในเรื่องเขตแดน และ แสดงเจตนารมณ์ประชาชนไทยคัดค้านอำนาจศาลโลก

นายสวัสดิ์ จักษ์พุทรา ประธานสภาเกษตรกรไทยแห่งชาติ ได้อ่านแถลงการณ์ของผู้ชุมนุม มีสาระสำคัญ ระบุว่า จากสถานการณ์บ้านเมืองในปัจจุบันนี้ ได้มีการเคลื่อนไหวจากพรรคการเมืองบางพรรค และกลุ่มบุคคลบางกลุ่มที่ประกาศย้ำไม่ยอมรับ ไม่ให้ความเคารพต่อสถาบันตุลาการ โดยเฉพาะศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสถาบันหลัก 1ใน 3 ของอำนาจอธิปไตย ที่ใช้ปกครองประเทศ อันเป็นอำนาจถ่วงดุลกันระหว่างอำนาจนิติบัญญัติ (รัฐสภา) , อำนาจบริหาร(รัฐบาล) และ อำนาจตุลาการ (ศาลรัฐธรรมนูญและศาลอื่นๆ ) ซึ่งการเคลื่อนไหวดังกล่าวได้บิดเบือนข้อเท็จจริง เป็นผลกระทบต่อความมั่นคงของบ้านเมืองอย่างร้ายแรง เพราะเป็นการข่มขู่อำนาจตุลาการโดยศาลรัฐธรรมนูญให้ไม่มีศักยภาพในการใช้อำนาจตามหน้าที่ ตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ ในการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข

นอกจากนี้ยังมีกลุ่มบุคคลบางพวก ได้เคลื่อนไหว กระทำการออกล่ารายชื่อ เพื่อถอดถอนคณะตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญ ทั้งที่ได้ดำเนินการโดยชอบในการชะลอการพิจารณาลงมติแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นการชั่วคราวของรัฐสภา ล่าสุดมีการออกมาชุมนุมของพรรคการเมืองบางพรรค และกลุ่มคนบางกลุ่ม เช่น นายจตุพร พรหมพันธุ์ อดีตส.ส. พรรคเพื่อไทย (พท.) และ แกนนำกลุ่ม นปช. ได้ประกาศในเชิงข่มขู่ต่อความปลอดภัยในชีวิตของ คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

ทั้งนี้จากการสถานการณ์ดังกล่าวพวกเราในฐานะคนไทย มีความห่วงใยต่อสถานการณ์บ้านเมืองในขณะนี้ รวมถึงการกระทำที่มีเจตนารมณ์อันแอบแฝง ที่เป็นการจาบจ้วงต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงถือว่ากลุ่มบุคคลและพรรคการเมืองดังกล่าวได้กระทำการเคลื่อนไหวโดยมิได้ยึดถือเจตนารมณ์ของการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขและมิได้ยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง

พวกเราจึงขอแสดงเจตนารมณ์ เรียกร้องให้พรรคการเมืองและกลุ่มบุคคลดังกล่าวได้ยุติการเคลื่อนไหวใด ๆ โดยเด็ดขาด และขอเรียกร้องให้พี่น้องประชาชนทุกหมู่เหล่าได้ร่วมแสดงพลัง เพื่อปกป้องรักษาระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข และนำความสงบเรียบร้อยมาสู่บ้านเมืองให้ได้โดยเร็วที่สุด

ด้าน นพ.ประทีป ตลับทอง ประธานเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ได้อ่านแถลงการณ์สถานการณ์ชายแดนไทย-กัมพูชา ระบุว่า เครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย เคยยื่นหนังสือต่อกองทัพภาพที่ 2 ให้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของชาติมาแล้วเมื่อ เดือน มี.ค. 2555 นับจากวันนั้นปัญหาการยึดครองและรุกล้ำอธิปไตยของไทยยังคงเกิดขึ้นและมีแนวโน้มทวีความรุนแรงมากขึ้น มีการสร้างสิ่งปลูกสร้างที่มั่นคงแข็งแรง ขยายชุมชนและการแสดงสิทธิ์เหนือพื้นที่ โดยไม่ได้มีการผลักดัน จากทางการเจ้าหน้าที่ฝ่ายไทยในหลายพื้นที่

ฉะนั้นในวันนี้ เราจึงขอเรียกร้องไปยังกองทัพไทยและกองทัพภาคที่ 2 ได้เร่งดำเนินการดังต่อไปนี้ คือ เร่งผลักดันชุมชนกัมพูชา และ ทหารกัมพูชาออกจากแผ่นดินไทยชายแดนด้าน เขาพระวิหาร จ.ศรีสะเกษ และ ในทุกจุดโดยไม่ชักช้า หากกำลังทหารในกองทัพไม่เพียงพอให้กองทัพประกาศเรียกกำลังพลสำรองมาเสริมในกองทัพโดยด่วน เพื่อปฏิบัติภารกิจศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งนี้

และ หากกองทัพไม่สามารถดำเนินการได้ตามที่กล่าวมา ขอให้กองทัพได้ใจกว้างและสนับสนุนเครือข่ายฯ รวมทั้งประชาชนชาวไทยให้ยืมเครื่องมือยุทโธปกรณ์และเครื่องทุ่นแรงอื่นๆ ของกองทัพเพื่อนำไปใช้ในการปกป้องอธิปไตยของชาติ เมื่อปฏิบัติภารกิจอันศักดิ์สิทธิ์เสร็จสิ้นแล้ว พวกเราจะนำเครื่องมือดังกล่าวมาส่งคืนให้กองทัพต่อไป

จากนั้น ทางกลุ่มเครือข่ายภาคประชาชน 5 องค์กร ได้ยื่นหนังสือเปิดผนึก เรื่อง เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ปกป้องสถาบันตุลาการ และคัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญ ให้กับ ผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา โดยมี นายวิจิต กิจวิรัตน์ ป้องกันจังหวัดนครราชสีมาเดินทางมารับหนังสือดังกล่าวบนเวทีพร้อมรับปากจะส่งต่อให้ผู้ว่าฯนครราชสีมา และรัฐบาลต่อไป

ส่วนข้อเรียกร้องการปกป้องอธิปไตยชายแดนเขาพระวิหาร และ แผ่นดินไทย นั้น กลุ่มเครือข่ายรวมพลังปกป้องแผ่นดินไทย ได้ส่งตัวแทนเดินทางไปยื่นหนังสือเปิดผนึกให้กับ กองทัพภาคที่ 2 ที่ค่ายสุรนารี กองทัพภาคที่ 2 อ.เมือง จ.นครราชสีมา ก่อนสลายการชุมนุม

ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า ขณะที่ กลุ่มเครือข่ายภาคประชาชนทั้ง 5 องค์กร มีการจัดเวทีปราศรัย ที่บริเวณสวนอนุสรณ์สถาน ข้างลานอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) อยู่นั้นในพื้นที่ติดกัน ที่บริเวณสวนรักษ์ข้างอนุสาวรีย์ท้าวสุรนารี (ย่าโม) เช่นกัน กลุ่มคนเสื้อแดงโคราชได้จัดเตรียมเวทีขนาดใหญ่เพื่อจัดงาน “สร้างความปรองดองเดินหน้าแก้รัฐธรรมนูญ” ซึ่งจะมีแกนนำคนสำคัญของ นปช. และ พรรคเพื่อไทย เดินทางมาเปิดเวทีปราศรัยในช่วงค่ำของวันเดียวกันนี้ ( 29 มิ.ย.) ท่ามกลางการจัดกำลังดูแลความสงบเรียบร้อยของเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด แต่ไม่มีเหตุการณ์รุนแรงเกิดขึ้นแต่อย่างใด




เมเนเจอร์ออนไลน์





"นาซา" จับมือ "เชฟร่อน" หาประโยชน์ธุรกิจพลังงาน


"ถาวร" เปิดข้อมูลแฉ "นาซา" จับมือ "เชฟร่อน" หาประโยชน์ธุรกิจพลังงาน โยงคนใกล้ชิด "ทักษิณ" ตั้งบริษัทโอนหุ้นตั้งท่ารอ ตะเพิด "บิ๊กอ๊อด" ไขก๊อกพ้นเก้าอี้รมต. จวกไร้สำนึกตั้งป้อมสอบฝ่ายข่าวกรองที่ปกป้องผลประโยชน์ชาติ พร้อมท้า "สุกำพล"ดีเบตแทน"มาร์ค" ด้าน"ชวนนท์" โต้ "นพดล" ไม่เคยบิดเบือนเอกสารบัวแก้ว วอนอย่าโยนบาปปชป. "เพื่อไทย" ยันเปิดประชุมสภาฯ ถกปมนาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา มาตรา179วอน "ฝ่ายค้าน" ใช้เวทีสภาฯ ให้เกิดประโยชน์อย่าตั้งป้อมขยายผลการเมือง
เมื่อวันที่ 30 มิ.ย.55 นายถาวร เสนเนียม รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวชี้แจงถึงกรณีองค์การบริหารการบินและอวกาศแห่งชาติ(นาซา)ของสหรัฐอเมริกา ยกเลิกขอใช้ท่าอากาศยานอู่ตะเภา เพื่อสำรวจชั้นบรรยา กาศ ช่วงมรสุม พร้อมนำเอกสารมาแสดง ประกอบด้วย 1.เอกสารลงนามความร่วมมือระหว่างนาซากับสำนักงานพัฒนาเทคโนโลยีอวกาศ และภูมิสารสนเทศ(จิสดา) 2.เอกสารของกระทรวงการต่างประเทศ ด่วนที่สุด เรื่องการอนุญาตให้นาซา เข้ามาดำเนินโครงการ ซึ่งเป็นหนังสือที่นำเข้าสู่ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี(ครม.)เพื่อขอให้ ครม. อนุมัติเห็นชอบ ตามที่ นายสุรพงษ์ โตวิจักษ์ชัยกุล รมว.ต่างประเทศ เสนอ เมื่อวันที่ 4 มิ.ย.ที่ผ่านมา 3.เอกสารของเอกอัครราชทูตสหรัฐฯ ประจำประเทศไทย ถึงรมว.ต่างประเทศของไทย เพื่อให้ตอบรับ และ เอกสารของนายสุรพงษ์ ที่เตรียมลงนามระหว่าง 2 ประเทศ รวมทั้งเอกสารของกองบัญชาการกองทัพไทยประทับตราด่วนที่สุดที่ กห.0300/1396 ลงวันที่ 25 มิ.ย.ที่ผ่านมา ระบุโครงการดังกล่าว เป็นประโยชน์ต่อส่วนร่วม แต่ควรศึกษารายละเอียดของโครงการ รวมถึงระเบียบข้อบังคับ เพื่อกำหนดขอบเขตมาตรการความควบคุม โดยคำนึงถึงผลกระทบด้านเทคโนโลยี สังคมจิตวิทยา ความมั่นคงและมิตรประเทศ มาแจกจ่ายให้สื่อ
นายถาวร กล่าวว่า หลังจากที่ชี้แจงเมื่อวันที่ 11 มิ.ย.ที่ผ่านมา ปรากฎว่ารัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯ กลับให้ข่าวแก้เกี้ยวใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ อดีตนายกฯ และนายกษิต ภิรมย์ อดีต รมว.ต่างประเทศ ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 157 เพราะไม่ได้ขอความเห็นชอบต่อครม. นั้น ขอฝากไปบอกคนพูดว่า ไม่รู้เรื่อง และไม่ดูกฎหมายที่เกี่ยวข้อง อีกทั้งยังไม่ได้ปฏิบัติ จึงไม่จำเป็น ต้องขอความเห็นชอบจาก ครม. เพราะเป็นอำนาจขององค์การมหาชนตามกฎหมายและจิสดาอยู่ภายใต้การกำกับของกระทรวงวิทยาศาสตร์และสิ่งแวดล้อม เมื่อเห็นว่าเป็นประโยชน์ก็มีการอนุมัติและลงนาม แต่มีการเลือกตั้ง ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์แพ้
เมื่อรัฐบาลพรรคเพื่อไทย เข้ามาดำเนินการ กลับให้กระทรวงการต่างประเทศ โดยกรมอเมริกาและแปซิฟิก เป็นผู้รับผิดชอบประชุมร่วมกับนาซา รวมถึงเจ้าหน้าที่สถานทูตสหรัฐฯ รวม 4 ครั้ง จึงได้ข้อยุติส่งเรื่องเพื่อลงนามในสัญญาระหว่างรัฐบาลไทยกับนาซา แต่ระหว่างการประชุม มีผอ.สำนักยุทธศาสตร์ความมั่นคงจากสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.)ตั้งข้อสังเกต 6 ข้อ เพื่อสอบถามรายละเอียดด้านความมั่นคงิ ซึ่งมี พล.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ดูแล
"อยากถามว่าพล.อ.สุกำพล ไปนอนหลับที่ไหนจึงออกมาเอะอะโวยวาย เหมือนไม่เคยเป็นทหาร ฝ่ายยุทธการ ซึ่งจริงๆ แล้วสุกำพลก่อนหน้าที่จะตัดหน้าข้ามหัวคนอื่นมาอยู่ในตำแหน่งนี้ อดีตก็เป็นแค่รองเจ้ากรมพลาธิการ และได้ดีเพราะพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯโดดข้ามหัวจากนายทหารจัดซื้อเสื้อผ้า รองเท้าให้ กำลังพล มาเป็นรองเจ้ากรมยุทธการและได้ดิบได้ดีมาโดยตลอด จึงขอถามว่า ไปนอนหลับที่ไหน เพราะหน่วยงานในสังกัดกังวลถึงความมั่นคงของชาติ แต่รมว.กลาโหมไม่รู้ เอาสำนึกความเป็นทหารไปไว้ไหน อย่ามาท้าดีเบตกับนายอภิสิทธิ์เลย มาดีเบตกับผมดีกว่า อย่างไรก็ตาม ขณะนี้มีการตีแผ่ว่า มีการตั้งพล.ท.นายหนึ่งมานั่งในตำแหน่งรองเลขาสมช. เพื่อจ่อขึ้นเป็นเลขาสมช. ซึ่งแสดงว่าเป็นการเริ่มเกาะกินประเทศไทยอีกคืบหนึ่งของระบอบทักษิณ"
รองหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ยังตั้งข้อสังเกตด้วยว่า 1.ทำไมหน่วยงานความมั่นคงที่นายกฯ เป็นประธานไม่เรียกประชุม สมช.เพื่อหารือ จึงชัดเจนว่านายกฯบริหารงานไม่เป็น ไม่ใช่มืออาชีพ มีประสบการณ์ในการขายโทรศัพท์มือถือ บริหารสื่อ แต่ไม่มีประสบการณ์ในการบริหารประเทศและความมั่นคง 2.กระทรวงวิทย์ฯ นายปลอดประสพ สุรัสวดี เป็น ดร.ด้านประมง มีความรู้ด้านปู ปลา ไม่ชำนาญด้านวิทยาศาสตร์ 3.รมว.ต่างประเทศ ไม่มีความรู้ด้านต่างประเทศ เงอะงะมาหลายรอบ ไม่เข้าใจพิธีการด้านต่างประเทศ 4.รมว.กลาโหมควรให้ความสำคัญงานด้านความมั่นคง โดยเฉพาะสื่อของจีนและรัสเซียที่ท้วงติงเรื่องนี้
นายถาวรยังได้เปิดเว็บไซต์ของบริษัทเชฟรอน ซึ่งเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ ที่รับสัมปทานผูกขาดขุดเจาะน้ำมันและด้านพลังงาน โดยมีภาพผู้บริหารสูงสุดของนาซาและเชฟรอน จับมือเป็นพันธมิตรกันในการทำธุรกิจปกป้องและหาผลประโยชน์ในอุตสาหกรรมพลังงานด้วยกัน
เมื่อถามว่าจะนำข้อมูลนี้ไปใช้ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐบาลในการเปิดสมัยประชุมหน้าหรือไม่ นายถาวร กล่าวว่า ไม่ หากไม่เดินเรื่องนี้ต่อ อย่างไรก็ตาม ล่าสุดที่จ.นครศรีธรรมราช บริษัทเชฟรอนมาก่อสร้างท่าเรือ และสนามบินมูลค่ากว่า 3.5 พันล้านบาท เพื่อรองรับการทำธุรกิจพลังงานที่ขุดเจาะในอ่าวไทยทั้งหมด ซึ่งขณะนี้มีการจับตามองคนใกล้ชิของพ.ต.ท.ทักษิณที่ไปจดทะเบียนตั้งบริษัทเกี่ยวข้องกับพลังงานและมีการโอนหุ้นสอด คล้องกับการเคลื่อนไหวในเรื่องนี้ ว่าเป็นความบังเอิญหรือวางแผนล่วงหน้าและยืนยันว่า จะใช้กฎหมายเป็นอาวุธในการต่อสู้
ส่วนกรณี พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง ระบุว่าจะทำการสอบสวนฝ่ายข่าวกรอง กรณีที่มีเอกสารด้านความมั่นคงหลุดมาถึงมือฝ่ายค้านนั้น นายถาวร กล่าวว่า แทนที่จะไปสอบผลกระทบด้านความมั่นคง ที่จะเกิดขึ้นหากมีความร่วมมือ แต่กลับไปเอาความผิดกับคนที่รักชาติ บ้านเมือง จึงอยากจะบอกคุณลุงว่า คนเป็นทหาร และเป็นรองนายกฯ ควรจะมีจิตสำนึกในการทำหน้าที่ปกป้องประโยชน์ของประเทศ มากกว่าจะหาตัวคนมาลงโทษ ซึ่งหากเป็นเช่นนี้ ควรลาออกจากการเป็นรัฐมนตรี รวมถึง พล.อ.อ.สุกำพล ที่กล่าวโทษฝ่ายค้านตลอดเวลา
ด้าน นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงยืนยันว่า พรรคประชธิปัตย์ ไม่ได้บิดเบือนเอกสารข้อเท็จจริง ตามที่นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของ พ.ต.ท. ทักษิณ ระบุ เพราะเอกสารที่นำออกมาเปิดเผยเป็นเอกสารโดยตรงของสหรัฐฯ สถานทูต นาซา และสภาความมั่นคงแห่งชาติ แต่เป็นรัฐบาลเอง ที่ตอบคำถามไม่ได้ รัฐบาลชุดนี้ทำงานไม่ได้ก็โทษกฎหมาย ถ้ารัฐบาล หรือรัฐมนตีมีตรรกแบบนี้ประเทศล่มจมแน่นอน และขอให้นายนพดล ไปไถ่บาปไปสำนึกผิด เรื่องการลงนามไทยกัมพูชาจนทำให้สถานการณ์ตึงเครียดมาจนวันนี้ดีกว่า อาจจะพอให้อภัย
เมื่อถาม ว่า นายปลอดประสพ สุรัสวดี รมว.วิทยาศาสตร์ฯ ระบุว่า รัฐบาลยังไม่สิ้นหวังและจะพยายามสุดความสามารถ ที่จะนำโครงการนี้กลับมา แม้จะต้องซมซานไปขอร้องก็จะยอมทำ นายชวนนท์ กล่าวว่า สิ่งที่รัฐบาลต้องเร่งดำเนินการ คือเร่งแก้ไข ถ้าจะเปิดสภา ตามมาตรา 179 ทางพรรคไม่มีปัญหา
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงกรณีนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิ ปัตย์ เรียกร้องให้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกฯนำกรณีที่นาซาขอใช้สนามบินอู่ตะเภา เพื่อสำรวจสภาวะเมฆเข้าสู่รัฐสภาตามมติครม.พร้อมทั้งเรียกร้องให้นายกฯชี้แจงด้วยตัวเอง ในฐานะผู้นำรัฐบาล ว่า การนำเรื่องดังกล่าวเข้าสู่ที่ประชุมรัฐสภา ตามมาตรา 179 ถือเป็นสิ่งที่ถูกต้อง แม้ว่าในปีนี้นาซาจะยกเลิกโครงการก็ตาม เพื่อแสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของนายกฯ ที่พร้อมรับฟังความเห็นจากทุกฝ่าย แต่อยากเรียกร้องไปยังนายอภิสิทธิ์ และสมาชิกพรรคที่ออกมาคัดค้านเรื่องนี้ว่า ควรใช้เวทีสภาฯให้เป็นประโยชน์ ไม่ใช้ขยายผลทำให้เกิดความขัดแย้งและทำให้นาซาต้องยกเลิกโครงการไปอย่างถาวร ซึ่งจะทำให้ประเทศไทย และภูมิภาคอาเซียนเสียประโยชน์ และขอเรียกร้องให้นายอภิสิทธิ์ ใช้กรณีนี้เป็นบทเรียนในการทำหน้าที่ฝ่ายค้าน ให้เป็นมาตรฐานสากลไม่ใช่ค้านทุกเรื่องแบบรายวัน แต่ต้องค้านเพื่อประโยชน์ของบ้านเมือง


สยามรัฐ
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง