บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2555

จดหมายเปิดผนึก...ขอให้จัดทำรธน.คุณภาพ(TQM)


โดย Koon Rachapurk ในปฏิรูปประเทศไทย : TQM · แก้ไขเอกสาร
** (จดหมายเปิดผนึกฉบับนี้ ร่างขึ้นเพิ่อเสนอรัฐบาล และให้ประชาชนได้อ่านเพื่อประชาสัมพันธ์ รัฐธรรมนูญคุณภาพ (TQM) โดยไม่ได้มีความหวังจากรัฐบาล...ขอให้เพื่อนสมาชิกกลุ่มเสนอความเห็นเพื่อการปรับแก้ต่อไป... ด้วยคิดว่าเราควรต้องมีร่างเตรียมไว้เผื่อต้องใช้ ...Koon Rachapurk)*-------------------------------------------------------------------------------------------------------------* 
จดหมายเปิดผนึก เรื่องขอให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็น "รัฐธรรมนูญคุณภาพ (TQM)"
จดหมายเปิดผนึก วันที่    __   เมษายน พ.ศ.2555
เรื่อง    ขอให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็น รัฐธรรมนูญคุณภาพ (TQM)
เรียน              นายกรัฐมนตรี (น.ส.ยิ่งลักษณ์  ชินวัตร)
สำเนา เรียน      ประธานส.ส.ร.  ประธานวุฒิสภาและประธานรัฐสภา 
 
                     ด้วยตามนโยบายของรัฐบาลเพื่อไทยที่กำลังดำเนินการจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ คือรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19  ซึ่งปัจจุบันอยู่ในระหว่างขั้นตอนของการดำเนินการจัดหา สมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญนั้น  เพื่อการมีส่วนร่วมของภาคประชาชนอันจะส่งผลให้รัฐธรรมนูญฉบับใหม่นี้ ..เป็นของประชาชน โดยประชาชน เพื่อประชาชน "กลุ่มปฏิรูปประเทศไทย:TQM " ใคร่ขอมีส่วนร่วมแสดงความคิดเห็นในส่วนของ "เนื้อหารัฐธรรมนูญ" โดยขอเสนอให้จัดทำรัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 เป็น " รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้
 
1) ปัจจุบัน รัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดที่มิใช่สำหรับการปกครองประเทศเท่านั้น แต่ประเทศที่พัฒนาแล้วมุ่งเน้นให้ใช้เป็น "กฎหมายสูงสุดสำหรับการบริหารประเทศ" เป็นสาระสำคัญด้วย
2)  กระแสโลกกำลังให้ความสำคัญเรื่อง "ระบบ" คือเป็นที่ยอมรับกันว่า ..ในเครื่องมือทางการบริหารงานที่มึคุณภาพจะต้องมี "ระบบงาน" ที่ได้มาตรฐานรองรับเป็นหลักอยู่ในเครื่องมือทางการบริหารนั้น ..เพื่อจะได้เกิดวินัยและรูปแบบทางการบริหารที่มีประสิทธิภาพของทุกกระบวนงาน   ..เช่นเดียวกับ รัฐธรรมนูญอันเป็นกฎหมายสูงสุดในการปกครองและบริหารประเทศที่มึคุณภาพก็จะต้องมึ “ระบบงาน” ที่ได้มาตรฐานสากลรองรับบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญ ..เพื่อรัฐบาลจะได้บริหาร "ระบบ" นี้แทนบริหาร "คน"  ..อันจะเกิดผลดีในการเพิ่มคุณภาพในการบริหารประเทศแก้ไขปัญหารุนแรงที่ค้างสะสมและพัฒนาประเทศให้เป็นไปตามวิสัยทัศน์ แผนยุทธศาตร์ ที่วางไว้      
3)ที่มาของ "ระบบงาน” สำหรับใช้รองรับรัฐธรรมนูญคือ ..รัฐบาลอเมริกาต้องการปรับปรุงเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการผลิตและการค้าของประเทศในตลาดโลก ได้ใช้เครื่องมือทางการบริหารTQM ( Total Quality Management ) ของดร.ชูฮาร์ท (Dr. Walter Shewhart) และ ดร.เดมมิ่ง (Edwards W. Deming) มาประยุกต์ปรับเสริมรัฐธรรมนูญเดิมเป็น "รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) " สำหรับใช้บริหารประเทศ โดยได้ระดมมันสมองจากภาคราชการ นักวิชาการของมหาวิทยาลัย และนักบริหารของภาคธุรกิจอย่างละ 100 คน มาดำเนินการ
มีหัวใจสำคัญอยู่ที่ การออกแบบจัดทำ "ระบบงาน" (work system) และ "กระบวนการทำงาน" (work process) รวมเรียกว่า ชุดแสดงวิธีปฏิบัติงาน (Set of management practices) โดยแสดง ขั้นตอน บทบาท ระเบียบ รูปแบบและวิธีปฏิบัติงานของทีมรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ในภาคสว่นราชการ ให้เกิดความชัดเจนและง่ายต่อการดำเนินการบริหารให้มีคุณภาพ...                                       
และบัญญัติเป็นกฎหมาย(MBNQA 1987) รองรับรัฐธรรมนูญสนับสนุนจูงใจให้ทั้งภาคเอกชนและภาครัฐบาลปฏิรูปองค์กรด้วย TQM   เพื่อให้เกิดการปรับปรุงคุณภาพอย่างต่อเนื่อง..อันส่งผลเป็นการเพิ่มความสามารถการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก ..และมี เป้าหมายหลักคือ รัฐบาลบริหารประเทศให้ประชาชนพึงพอใจ ..อันเป็นหลักการประชาธิปไตยที่แสดงถึงประชาชนเป็นเจ้าของอำนาจประชาธิปไตย ..ซึ่งนานาประเทศและ UN ต่างยอมรับว่า เป็น “ระบบงาน” ที่ได้มาตรฐานสากลเพราะมีการนำไปใช้แล้วเกิดผลดี  และ UN ได้สนับสนุนให้ประเทศต่างๆใช้ รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) คือใช้ "ระบบงาน" ของอเมริกาเป็นแม่แบบ ถ่ายทอดยึดโยงโครงร่างไปใส่ในรัฐธรรมนูญ ..ไทยก็เคยสัญญารับฉันทามติกับ UN จะใช้รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) มาหลายปีแล้ว..แต่รัฐบาลไทยยังไม่ได้ดำเนินการ                                              
4) “ระบบงาน" (work system) ที่ออกแบบจัดทำใส่ไว้ในรัฐธรรมนูญนั้น ..จะเป็นเครื่องมือในการปรับปรุงกระบวนงานใดๆ ..ทุกๆระดับงานในภาคส่วนราชการ ตุลาการ วุฒิสภาและสภาผู้แทนราษฎร ..ดังนั้นจึงมีส่วนในการแก้ไขปรับปรุงตัวบทกฎหมายบริหารราชการแผ่นดินและกฎหมายรัฐธรรมนูญเองด้วย ..ทำให้ ตัวบทกฎหมายในรัฐธรรมนูญมีความทันสมัยตามสถานการณ์ ตามสภาพแวดล้อมของประเทศที่เปลี่ยนไปตามเวลา ..จึงช่วยให้ไม่ต้องมีการเปลี่ยนรัฐธรรมนูญ ..           
รวมทั้งทำให้กฎหมายต่างๆมีกระบวนการสำหรับการแก้ไขปรับปรุงให้มีคุณภาพมีความเป็นประชาธิปไตย ..มีความเป็นธรรมระหว่างชนชั้นในทุกๆด้านทั้งด้านเนื้อหาและการนำไปใช้ใช้ปฏิบัติ ..ทำให้สามารถแก้ปัญหาความแตกแยกของประชาชนตลอดจนถึงผู้บริหาร..และเกิดความชัดเจนในเนื้อหา ง่ายต่อวิธีปฏิบัติให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ในขั้นตอนต่างๆ ..มีผลให้กฎหมายไทยได้มาตรฐานเป็นที่ยอมรับของประชาชน และสังคมโลก  ..ช่วยให้ประเทศไทยไม่ต้องถูกเพ่งเล็งในเรื่องกฎหมายฉบับสำคัญที่มีผลต่อประชาคมโลกไม่ได้มาตรฐานเช่น พรบ.ป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน ..ที่กำลังเป็นปัญหา 
 
 
5) รัฐธรรมนูญของไทยที่กำลังใช้กันมาถึงฉบับที่ 18 ในปัจจุบันนี้ ในสังคมโลกถือว่าล้าสมัย นานาประเทศกว่า 50 ประเทศ เช่น อินโดนีเซีย มาเลเซีย สิงคโปร ได้เปลี่ยนมาใช้รัฐธรรมนูญคุณภาพ (TQM) คือมี “ระบบงาน” ได้มาตรฐานสากลรองรับกันแล้ว ..ทุกโครงสร้างของประเทศได้แก่ โครงสร้างทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมืองนั้น ต่างใช้ "ระบบงาน" เดียวกันบริหาร ..คือจัดทำเพียง"ระบบงาน" เดียวแล้วนำไปใช้บริหารได้ทุกโครงสร้างเหมือนกัน ..                                           

6) ระบบงาน" ที่เป็นกฎหมายรองรับรัฐธรรมนูญที่ได้มาตรฐานสากล ..จะเป็นหลักประกันคุณภาพของการบริหารประเทศ ของรัฐบาล ..ทำให้ผลของการบริหารเป็นไปตามแผนยุทธศาตร์และเป้าประสงค์ ของรัฐธรรมนูญ รวมถึงทุกแผนปฏิบัติการในระดับล่างๆลงไปของภาคส่วนราชการ ด้วยกระบวนการปรับปรุงของ วงล้อเดมมิ่ง หรือวงล้อ P(plan) > D(do) > C(check) > A(action) ที่อยู่ใน “ระบบงาน” ยังผลให้เป็นการเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขันของประเทศในตลาดโลก                  

7) รัฐธรรมนูญไทยฉบับปี 2540 มาตรา 75 และ ฉบับปี 2550 มาตรา 78 ได้เล็งเห็นความสำคัญและได้บัญญัติให้มีการจัดทำ “ระบบงาน” ไว้ในรัฐธรรมนูญเป็นการเริ่มต้นนำเรื่องเอาไว้แล้ว แต่รัฐบาลยังไม่ได้ดำเนินการ ดังนั้น รัฐธรรมนูญฉบับที่ 19 จึงควรบัญญัติให้จัดทำ “ระบบงาน” รองรับรัฐธรรมนูญไว้อย่างชัดเจน โดยในรัฐธรรมนูญบังคับให้ตราขึ้น เป็น พรบ.ประกอบรัฐธรรมนูญ เรียกว่า “พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ระบบงาน รองรับรัฐธรรมนูญ” พ.ศ. _ _ _ _ ”  ที่รัฐสภาจะต้องดำเนินการออกแบบจัดทำให้แล้วเสร็จตามเวลาที่กำหนดไว้เพื่อนำมาใช้บริหารประเทศต่อไป     

8) ในปี พ.ศ. 2558 ไทยจะต้องเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community – AEC) โดยมีองค์ประกอบที่สำคัญ 4 เรื่องคือ - การเปิดเสรีการค้าสินค้า -การสร้างขีดความสามารถในการแข่งขันทางเศรษฐกิจอาเซียน  -  การพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเสมอภาค - การบูรณาการเข้ากับเศรษฐกิจโลก                                     
**ไทยต้องเตรียมความพร้อมในผลกระทบเชิงลบดังนี้ **                                     
ก). สินค้าของประเทศอาเซียนอื่นเข้าสู่ตลาดไทยได้โดยไม่มีภาระภาษี ทำให้ผู้ประกอบการไทยต้องแข่งขันมากขึ้น ทั้งด้านคุณภาพ ราคาและมาตรฐานชื่อแบรนด์เนม ยี่ห้อ บริษัทผู้ผลิต                              
ข).ในด้านการลงทุน หากประเทศไทยไม่มีการพัฒนาปัจจัยพื้นฐาน (Infrastructure) ประสิทธิภาพการผลิตของแรงงาน (Labor productivity) การควบคุมอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และไม่มีการปรับปรุงกฎระเบียบกฎหมายให้มีความทันสมัยไม่เป็นอุปสรรคต่อนักลงทุน ..อาจทำให้มีการย้ายฐานการผลิตจากประเทศไทยไปยังประเทศอื่นๆ ใน ASEAN ที่เหมาะสมกว่า                                    
 
ค).การเคลื่อนย้ายแรงงานได้อย่างเสรี อาจทำให้เกิดการเคลื่อนย้ายของแรงงานมีฝีมือของไทยไปประเทศที่ให้ค่าตอบแทนสูงกว่า เช่น สิงคโปร์ มาเลเซีย อิสราเอลและบรูไน และต้องจ้างแรงงานต่างด้าวจากประเทศที่ค่าแรงถูกกว่าเข้ามา อาจก่อปัญหาด้านสังคม และเนื่องจากทิศทางนโยบายของไทยคือ การเป็น “รัฐสวัสดิการ” ทำให้งบประมาณของรัฐส่วนหนึ่งจะไปเป็นสวัสดิการของแรงงานต่างด้าว                                   
ง). ตลาดสินค้าในประเทศ (Domestic Market) หากตลาดภายในของไทยยังไม่มีกลไกในการป้องกันไม่ให้สินค้าราคาถูกคุณภาพต่ำกว่าที่ผลิตจากประเทศสมาชิกอาเซียนอื่นเข้ามาขายในประเทศไทยมากขึ้นเรื่อยๆ ..ก็จะทำให้นโยบายการพัฒนาอุตสาหกรรมของไทยที่มีเป้าหมายในการพัฒนาอุตสาหกรรมให้สินค้ามีคุณภาพสูงขึ้น ..อาจเกิดปัญหาอุปสรรคได้ ..เนื่องจากไม่มีตลาดภายในประเทศรองรับ ..รวมทั้งอาจส่งผลทางจิตวิทยาแก่ผู้ประกอบการไทยในการพัฒนาขีดความสามารถในการผลิตได้
                
** รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) ช่วยเตรียมความพร้อมและเพิ่มคุณภาพ **               
 
"ระบบงาน" ในรัฐธรรมนูญคุณภาพ (TQM) จะช่วยให้ไทยเตรียมความพร้อมในทุกเรื่องของผลกระทบเชิงลบได้และสามารถพลิกกลับขึันมาเป็นผู้นำของประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ได้ไม่ยากเพราะไทยมีความพร้อม มีจุดแข็ง ในหลายเรื่องที่รอการนำมากำหนดในแผนยุทธศาตร์ใช้เป็นกลยุทธ์
..พร้อมกันก็ต้องปรับปรุงจุดอ่อนอย่างต่อเนื่องเพื่อเพิ่มศักยภาพให้เท่าเทียมประเทศอื่น  .. รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) พร้อม “ระบบงาน” จะช่วยจัดทำแผนในภาพรวมแล้วพัฒนาไปพร้อมกันทุกด้านอย่างสม่ำเสมอต่อเนื่องโดยไม่หลงลืมปล่อยทิ้งเรื่องใดไว้ ด้วยวงล้อเดมมิ่ง ..แต่น่าเสียดายถ้าไทยจะต้องถูกทิ้งห่าง จากสิงคโปร อินโดนีเซีย มาเลเซีย ฯลฯ
..เพราะเขาได้ใช้รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) สำหรับเตรียมความพร้อมในการเข้าแข่งขันในประชาคมเศรษฐกิจอาเซี่ยนไปแล้วก่อนไทย ..แต่รัฐบาลไทยขาดการตระหนักรู้ ..และไทยอาจต้องตามหลังประเทศอื่นๆอีกถ้าหากไทยยังนิ่งนอนใจ ..ยังขาดจิตสำนึกในการเสียสละเพื่อชาติไม่ยอมใช้ “รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM)” ยังต้องวุ่นวายวนเวียนอยู่กับเกมการเมืองจนไม่ได้พัฒนาประเทศไปในทิศทางที่ทันสมัยของสังคมโลก    
            
 
กลุ่มปฏิรูปประเทศไทย:TQM ...ขอแสดงความเป็นห่วงมาตุภูมิประเทศไทย และหวังเป็นอย่างยิ่งว่ารัฐบาลและสภาที่เกี่ยวข้องซึ่งมึความเสียสละ มีจิตสำนึก มีจิตอาสาในการเข้ามารับใช้ประเทศชาติประชาชนเหมือนดังรัฐบาลของประเทศที่พัฒนาแล้ว จะได้พิจารณาใช้รัฐธรรมนูญคุณภาพ(TQM) บริหารประเทศ ..แก้ปัญหาด้านสังคมเรื่องอบายมุขความแตกแยก ด้านเศรษฐกิจและการเมือง รวมทั้งสร้างความพร้อมของประเทศในการเข้าร่วมประชาคมเศรษฐกิจอาเซียนด้วยเป้าหมายการเป็นผู้นำ ..เพื่อความมั่นคงของประเทศและชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีของประชาชน                                                                                


 
นายปรีดา กุลชล

ผู้แทนกลุ่มปฏิรูปประเทศไทย:TQM

 
 
หมายเหตุ                                                                                                                         
    
- หัวใจสำคัญของรัฐธรรมนูญคุณภาพ (TQM) คือ "ระบบงาน" (work system) คู่กับ กระบวนการทำงาน (work process) ที่ต้องออกแบบจัดทำให้ได้มาตราฐานสากลตามแม่แบบกฎหมายของอเมริกา(MBNQA 1987)ซึ่งต้องใช้ผู้มีทักษะประสบการณ์เป็นมืออาชีพระดับสากล ซึ่งในไทยมีน้อยมาก “กลุ่มปฏิรูปประเทศไทย:TQM”  มีผู้ชำนาญการในเรื่องนี้โดยเฉพาะคือ คุณปรีดา กุลชล ซึ่งเคยทำงานกับรัฐบาลอเมริกา (U.S. Federal Government )  และยินดีที่จะรับใช้ชาติด้วยความยินดีและมั่นใจ

แฉภาพลับถ่ายกับโจรใต้ ปชป.แห้วไม่ใช่ทักษิณ





ภาพลับ-นายมะแซ อุเซ็ง หรือ อุสตาซแซ(ภาพล่าง)แกนนำกองกำลังBRN Co-ordinate ภาพซ้ายเป็นภาพเก่าที่ทางการไทยออกหมายจับ ส่วนภาพด้านขวาเป็นรูปในปัจจุบัน (ภาพบน)โดยภาพล่าสุดนั้นขยายจากภาพถ่ายร่วมกับนายนัจมูดดิน อูมา อดีตส.ส.นราธิวาส 3 สมัย ปัจจุบันสังกัดพรรคมาตุภูมิ ภาพนี้หน่วยงานความมั่นคงเชื่อกันว่าถ่ายในมาเลเซีย เมื่อปีที่แล้ว หรือปี 2553


ยิง "เอ็ม-79" ถล่มบ้านนัจมุดดีน อูมา อดีตส.ส.นราธิวาส-เวลา 08.00 น. วันที่ 30 มี.ค.2555 คนร้ายยิง เอ็ม-79 ถล่มใส่บ้านของนายนัจมุดดีน อูมา เลขที่ 5 ถ.ระแงะมรรคา เขตเทศบาลตำบลตันหยงมัส นาย นัจมุดดีนเปิดเผยว่า เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นตนไม่ทราบว่าว่าคนร้ายเป็นใครมุ่งประสงค์อะไร แต่จะทำงานต่อไปเพื่อรับใช้ประเทศชาติ คนเรามีทั้งคนชอบคนเกลียดเป็นเรื่องธรรมดา ตนไม่หวั่นไหวจะดำรงชีวิตไปตามปกติ 


โดย ทีมข่าวไทยอีนิวส์
7 เมษายน 2555


อีกแล้วแม้วผิดบึ้มใต้ ตรวจสอบเว็บPULOพบปชป.มั่วให้ร้าย


ไม่รู้เป็นรูปนี้ไหมที่ส.ส.ปชป.มั่วนิ่มอ้างว่าทักษิณโอบกอดแกนนำพูโล?!

เว็บไซต์ASTVผู้จัดการ นำเสนอข่าวเรื่อง ส.ส.ใต้แฉเว็บไซต์พูโลแพร่รูป “แม้ว” โอบกอดแกนนำ ก่อนคาร์บอมบ์

โดยได้โปรยข่าวว่า ส.ส.ยะลา ปชป.แฉเว็บไซต์พูโล แพร่รูป “แม้ว” โอบกอดแกนนำที่มาเลเซีย กังขาระเบิดบึ้มหลัง ครม.สัญจรแค่ 4 วัน

เนื้อข่าวมีว่า วันนี้ (5 เม.ย.) นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ กระทู้ถามสดนายกรัฐมนตรี เรื่องเหตุการณ์ระเบิดในจังหวัดยะลา โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า
มีการร่ำลือกันเยอะทั้งในเว็บไซต์ในและต่างประเทศว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ ไปคุยกับกลุ่มขบวนการเอาเจ้าหน้าที่ภาคใต้ไป เอาอดีตนักการเมืองพรรคเพื่อไทยไปพบกลุ่มขบวนการที่ประเทศมาเลเซีย เพื่อเจรจากับกลุ่มขบวนการ สุดท้ายไม่สำเร็จมาเกิดเหตุระเบิดชิบหายทั้งบ้านเมือง ดังนั้นจึงอยากถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณไปพบกลุ่มขบวนการเรื่องอะไร
ไทยอีนิวส์ได้ตรวจสอบข่าวจากเว็บไซต์http://www.puloinfo.net ซึ่ง เป็นเว็บไซต์ทางการของ องค์การปลดปล่อยปัตตานี ( Patani United Liberation Organization-PULO )ไม่พบภาพข่าวที่ส.ส.ประชาธิปัตย์รายนี้อ้างถึงแต่อย่าง ใด ไม่ว่าจะเป็นข่าวล่าสุด หรือย้อนหลังกลับไป

ข่าวล่าสุึดที่ปรากฎบน เว็บไซต์http://www.puloinfo.netคือเรื่องที่ขบวนการPULOประกาศว่า ไม่ได้เป็นเจ้าของเว็บไซต์ชื่อ http://www.puloinfo.org/แต่อย่างใด โดยชี้ว่าโดนแอบอ้างและบิดเบือน

เนื้อข่าวรายละเอียดมีว่า ขอ ประกาศให้ผู้รักสันติทั้งหลายที่กำลังติดตามความเคลื่อนไหวของการต่อสู้อัน ชอบธรรมของชนชาวมลายูมุสลิมปาตานีจากงานการประชาสัมพันธ์ของเราบนพื้นฐาน แห่งความจริง โปร่งใส ตรงไปตรงมา

 ในความพยายามที่จะนำมาซึ่งความสงบสุข ความเป็นธรรมและยั่งยืนด้วยการยอมรับของทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นชาวมลายูปาตานีเองและชนกลุ่มน้อยอื่นๆที่อยู่ในเขตปาตานีดา รุสซาลามนั้น

บัดนี้ได้มีบุคคลหรือคณะบุคคลได้คัดลอกเว็บไซต์ทางการของเราแล้วเสนอบทความ และเนื้อหาบิดเบือนและโจมตีในทางลบโดยมีจุดประสงค์เพื่อหันเหจุดประสงค์ดีสม เหตุสมผลดังกล่าวข้างต้นและพยายามที่จะก่อให้เกิดสถานการณ์ที่เป็นอยู่ในขณะ นี้ให้เลวร้ายยิ่งขึ้น

เราขอประนามผู้ที่อยู่เบื้องหลังกิจกรรมอันไร้ความรับผิดชอบนี้ ซึ่งมีความเชื่อมโยงกับทางการไทยอย่างใกล้ชิดแน่นอนไม่ว่าจะเป็นทางตรงหรือ ทางอ้อม และเราขอยืนกรานว่า ไม่ว่าท่าน โดยเฉพาะกับคนที่ไม่รู้จักแม้แต่ค่าของความเป็นคนที่มีอุดมการณ์ชั่วๆ ที่ไม่สามารถมองทะลุว่าอะไรกำลังเกิดขึ้นกับชาติของตนเองทั้งในส่วนกลางและ ตามภูมิภาค

และไม่ว่าท่านจะพายามขัดขวางความตั้งใจอันแน่วแน่ของเราสักเพียงใด ก็จะไม่สามารถที่ทำให้เราล้มเลิกการยืนหยัดเพื่อสัจธรรมอันมีเกียรติของเรา ไปจนกว่าความสำเร็จนั้นจะอยู่ในเงื้อมมือเราในที่สุด

เราขอขอปฎิเสธอย่างแข็งขันว่าเว็บไซต์ www.puloinfo.org นั้นไม่ใช่ของเรา แต่เป็นของบุคคลหรือคณะบุคคลที่มีวิกลจริต จึงประกาศมาให้ทราบ ขอบคุณ

อย่างไรก็ตามจากการตรวจสอบในเว็บไซต์ http://www.puloinfo.org/ซึ่งPULOประกาศว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องนั้นก็ไม่มีรูปทักษิณโอบกอดแกนนำPULOก่อนเกิดคาร์บอมบ์แต่อย่างใด



แม้วตอกฝาโลงปชป.มั่วทั้งดุ้นดอดถกโจรใต้ เผยที่มาภาพลับลูกพรรคบิ๊กบังถ่ายภาพหราแกนนำBRN

Pic_251541
ปัดเจรจาโจรใต้ แม้วโต้ ปชป. แต่เห็นด้วยให้คุย

ไทยรัฐออนไลน์ รายงานวันนี้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี โต้เดือดพรรคประชาธิปัตย์ โวย กล่าวหาไม่มีมูล ยืนยัน ไม่เคยไปเจรจากับกลุ่มโจรใต้ อ้างเป็นแค่คนตกงาน แต่เห็นด้วยให้มีการพูดคุยแต่ต้องไม่ใช่รัฐบาลโดยตรง ชี้สงครามจบลงบนโต๊ะเจรจา... 

พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ขณะอยู่ที่เกาะฮ่องกง ตอบโต้อย่างรุนแรง ต่อกรณีที่ นายถาวร เสนเนียม ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่า ตนเองไปพบกับตัวแทน 18 คน ของกลุ่มก่อความไม่สงบในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนใต้ ที่ประเทศเพื่อนบ้านเมื่อเร็วๆ นี้ โดยยืนยันว่า ตนเอง ไม่เคยไปพูดคุยกับกลุ่มก่อการร้ายดังกล่าว เพราะตนเองไม่ได้อยู่ในสถานะที่จะทำเช่นนั้นได้ เพราะในเวลานี้เป็นแต่เพียงคนตกงาน 

ส่วนกรณี นายประเสริฐ พงษ์สุวรรณศิริ ส.ส.ยะลา พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวหาว่า เคยเห็นรูปที่อดีตนายกรัฐมนตรี ไปพบกับหัวหน้ากลุ่มพูโลนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ กล่าวว่า เป็นเรื่องที่ไม่มีมูลความจริงแต่อย่างใด เพราะเป็นไปไม่ได้ที่ตนเองจะไปติดต่อกับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ รวมทั้งหัวหน้ากลุ่มพูโล  

ทั้งนี้ หากจะมีการเจรจาใดๆ ก็ควรจะเป็นการหารือกับประเทศเพื่อนบ้าน เพื่อป้องกันไม่ให้ถูกใช้เป็นสถานที่หลบซ่อนตัวของกลุ่มก่อความไม่สงบ ซึ่ง น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ที่เดินทางไปเยือนประเทศมาเลเซีย เมื่อวันที่ 20 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา ก็มีหัวข้อไปหารือในเรื่องดังกล่าวเช่นกัน

อย่างไรก็ดี พ.ต.ท.ทักษิณ เห็นด้วย หากจะให้มีการพูดคุยกับกลุ่มก่อความไม่สงบ โดยให้เหตุผลว่า สงครามมักจะจบลงด้วยการเจรจาบนโต๊ะ ไม่ใช่ในสนามรบ อย่างไรก็ดี การพูดคุยดังกล่าวจะต้องไม่ได้มาจากฝ่ายรัฐบาลโดยตรง
เผยที่มาภาพลับอดีตส.ส.นราธิวาสกับแกนนำโจรใต้
ก่อนหน้านี้ผู้เขียนใช้นามปากกาว่า ปาแด งา มูกอ ได้เขียนบทความเรื่อง"แผน7ขั้นปั้นหมาให้เป็นเสือ"เผยแพร่ทางไทยอีนิวส์ เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2554 พร้อมกับเผยภาพลับแกนนำโจรใต้ที่อยู่ระหว่างหลบหนีถ่ายภาพกับนายนัจมุดดีน อูมา อดีตส.ส.นราธิวาส ปัจจุบันสังกัดพรรคมาตุภูมิ ของพลเอกสนธิ บุณยะรัตกลิน ดังต่อไปนี้


แผน7ขั้นปั้นหมาให้เป็นเสือ




ผู้ต้องสงสัย?-นายมะแซ อุเซ็ง หรือ อุสตาซแซ(ภาพบน)แกนนำกองกำลังBRN Co-ordinate ภาพซ้ายเป็นภาพเก่าที่ทางการไทยออกหมายจับ ส่วนภาพด้านขวาเป็นรูปในปัจจุบัน (ภาพล่าง)โดยภาพล่าสุดนั้นขยายจากภาพถ่ายร่วมกับนายนัจมูดดิน อูมา ส.ส.นราธิวาส ภาพนี้เชื่อกันว่าถ่ายในมาเลเซีย 

แผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน นับเป็นแผนแม่บทที่ระดับนำขององค์กรกู้ชาติรัฐปัตตานี นำไปเผยแพร่ ชี้นำ ให้กับสมาชิกระดับสำคัญขององค์กรทราบ เป็นระยะ ๆ ตลอดมา โดยตั้งเป้าจะปฏิวัติสำเร็จในปี 50 แต่ที่มท.3 (นายถาวร เสนเนียม รมช.มหาดไทยในเวลานั้น-ไทยอีนิวส์)ให้ สัมภาษณ์ว่า ปี 54 นี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 พูดยังกับว่า ท่าน มท.3 เป็นคนขยายเวลาแผนขั้นบันได 7 ขั้นให้กับกลุ่มก่อการร้ายเสียเอง

อ่านข่าวการให้สัมภาษณ์ของ มท.3 แล้ว นึกห่วงเหตุการณ์ชายแดนใต้จริงๆ แบบนี้เข้าลักษณะเอาน้ำมันไปราดกองไฟ ให้ขี้เถ้าที่มันกำลังจะมอดไปแล้วกลับลุกเป็นไฟขึ้นมาใหม่

นี่แหล่ะที่โบราณเขาบอกว่า “ปั้นหมาให้เป็นเสือ”

คำสัมภาษณ์ของ มท.3 (ถาวร เสนเนียม) ที่ว่า

“...ซึ่งจริงๆ แล้ว ก็ทราบดีว่า ในช่วง ปี 54 ปีนี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ ทางเจ้าหน้าที่ทุกภาคส่วน ก็ระมัดระวัง งานการข่าวก็เป็นที่เชื่อถือได้ งานการป้องกันก็ระวังกันอย่างเต็มที่ แต่การที่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบได้แทรกเข้ามาก่อเหตุในช่วงระยะเวลาไม่ถึง 10 วัน เกิดขึ้น 2 ครั้ง ทุกฝ่ายต้องกลับมาทบทวนการปฏิบัติงานร่วมกัน ระหว่างพลเรือน ตำรวจ และ ทหาร สำหรับการเกิดเหตุคาร์บอมบ์ และเหตุระเบิดหลายต่อหลายครั้งในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ คาดว่า น่าจะเป็นการเชื่อมโยงกันของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ และ เป็นการดำรงความมุ่งหมายไปแนวทางเดียวกัน...”


ขอประทานโทษน่ะครับ ท่าน มท.3 ถ้าไม่รู้จริง ช่วยกรุณาสงบปากไว้หน่อย ไหว้เหอะ อายเขาครับ และมันจะเข้าตำราโบราณที่ว่า “อาศัยเสือจนเป็นหมา”

ไอ้ที่ว่า ปี 54 ปีนี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ นั้น บันไดที่ไหนครับ บันไดบ้านท่าน หรือบันไดที่กระทรวงมหาดไทย

ถ้าอยากทราบความจริง จะอธิบายให้ฟัง ไอ้เรื่องบันได หรือ บรรลัย

เอาขั้นที่ 6 ขั้น 7 ตามที่ให้สัมภาษณ์ก่อน หลังจากนั้นจะได้ให้ท่านผู้อ่านได้รับทราบบันไดทั้ง 7 ขั้นเลยครับ

ขั้นที่ ๖ “เตรียมพร้อมปฏิวัติ” ความหมาย เป็นการก่อเหตุร้ายทุกรูปแบบในพื้นที่ จชต. เหมือนกับการแตก/กระจาย ของดอกไม้ไฟ “จุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติ” โดยกำหนดให้ปฏิบัติในปี ๒๕๔๗ คล้ายกับ “วันเสียงปืนแตก” ของพรรคคอมมิวนิสต์แห่งประเทศไทยในอดีต

ทั้งนี้ยังมีคำกล่าว ที่คล้ายคลึงอีกว่า “ ในปี ๔๗ จะเป็นปีที่ดอกลองกองผลิดอกออกพร้อมกัน ” 

ซึ่งข้อเท็จจริงที่ปรากฏและพิสูจน์ได้ เช่น กรณีเกิดเหตุการณ์มากมายใน ปี ๔๗ จนถึงปัจจุบัน สอดคล้องกับข้อความข้างต้น (แต่มันก็ได้ผ่านพ้นมาแล้ว ย่างเข้าปีที่ 7 ในปี 2554 )

ขั้นที่ ๗ “จัดตั้งการปฏิวัติ” หรือ “ก่อการปฏิวัติ” เป็น แผนงานที่เดิมกำหนดจะกระทำในปี ๒๕๔๘ แต่ด้วยความไม่พร้อมของจำนวนกองกำลัง และจำนวนแนวร่วม ซึ่งอาจจะหมายรวมถึงอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน และมีความเป็นไปได้ว่าขยายไปอีก ๒ ปี ข้างหน้า

กล่าวคือ จะก่อการปฏิวัติในปี ๒๕๕๐ (มันก็ผ่านมาแล้ว 3 ปี) กรณีกำหนดปี ๔๘ เป็นปีก่อการปฏิวัติ มีหลักฐานค่อนข้างชัดเจนจากเอกสารที่ยึดได้จากปอเนาะญีฮาด ในครั้งการบรรยายของ อุสตาซอาหมัด เมื่อ ๗ ธ.ค.๔๑ ภาพก่อการปฏิวัติที่จะเกิดขึ้นนั้นจะเป็นภาพการต่อสู้ของนักต่อสู้เพื่อรัฐ ปัตตานี ที่ทำการโจมตีด้วยกองกำลังต่อกลไกรัฐเต็มพื้นที่ จชต. ซึ่งขณะโจมตีจะติดตั้งธงรัฐปัตตานีควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สื่อมวลชนแพร่กระจายข่าวไปทั่วโลก และหวังผลต่อการเข้ามาแก้ปัญหาดังกล่าวโดย UN เช่น ติมอร์ตะวันออก หรือประเทศอื่นๆ จนท้ายสุดเป็นการลงประชามติของประชาชนว่า จะเป็นประชาชนของฝ่ายใด

ซึ่งประเด็นสำคัญสุดท้ายนี่เอง ที่กลุ่มก่อความไม่สงบประเมินแล้ว ความไม่พร้อมของมวลชนที่ซึ่งเป็นปัจจัยชี้ขาด จึงต้องขยายเวลาการก่อการปฏิวัติไปอีก ๒ ปี คือปี 2550

แผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน นับเป็นแผนแม่บทที่ระดับนำขององค์กรกู้ชาติรัฐปัตตานี นำไปเผยแพร่ ชี้นำ ให้กับสมาชิกระดับสำคัญขององค์กรทราบ เป็นระยะ ๆ ตลอดมา จึงนับ ได้ว่าเป็นข้อมูลสำคัญที่ทุกหน่วยงานของรัฐ ต้องศึกษาวิเคราะห์ เพื่อนำไปสู่การกำหนดแนวคิด/แนวทางปฏิบัติสำหรับตอบโต้ทำลายแผนดังกล่าว มิให้ขับเคลื่อนไปได้อย่างเป็นรูปธรรม.

มท.3 ตาสว่างขึ้นรียังครับ แล้วดันไปเอาข้อมูลของลูกน้องตัวไหนที่บอกให้ท่านมาสัมภาษณ์ว่า ปี 54 ปีนี้ เป็นการก่อเหตุในขั้นบันได ขั้น 6 ขั้น 7 ของกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบ

พูดยังกับว่า ท่าน มท.3 หรือลูกน้องท่านเป็นคนขยายเวลาแผนขั้นบันได 7 ขั้นให้กับกลุ่มก่อการร้ายเสียเอง จริงไหมครับท่านผู้อ่าน

เอาล่ะครับที่นี้สำหรับท่านผู้อ่านโดยเฉพาะครับ (มท.3 ไม่เกี่ยว)

แผนบันได 7 ขั้น

ตรวจพบครั้งแรกเมื่อ 1 พฤษภาคม 2546 หลังเจ้าหน้าที่เข้าตรวจค้นบ้านพักนายมะแซ อุเซ็ง อาจารย์ สอนศาสนาโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม “สัมพันธ์วิทยา” บ้านเจาะเกาะ ตำบลบูกิต อำเภอเจาะไอร้อง จังหวัดนราธิวาส หลังจากนั้นเจ้าหน้าที่สามารถตรวจยึดเอกสาร “แผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน” ได้อีกหลายครั้ง ล่าสุดยึดได้จากโรงเรียน “ปอเนาะญีฮาด” หรือ โรงเรียนญีฮาดวิทยา บ้านท่าด่าน ตำบลตะโล๊ะกาโปร์ อำเภอยะหริ่ง จังหวัดปัตตานี เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคม 2548

กลุ่มก่อความไม่สงบ โดยเฉพาะ BRN Coordinate ซึ่งสมาชิกระดับแกนนำส่วนใหญ่เป็นกลุ่มบุคคลที่มีสถานภาพเป็นผู้นำศาสนาใน ทุกระดับในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ได้ดำเนินการทางลับโดยการใช้แผนสู่ความสำเร็จ (บันได 7 ขั้น) มาตั้งแต่ปี พ.ศ.2535 โดยการชักชวนเยาวชนทั้งในและนอกโรงเรียนเข้าร่วมงานได้เป็นจำนวนมาก และเรียกตัวเองว่า “Pejuang” (เปอยูแว/ยูแว) แปลว่า “นักต่อสู้ของกลุ่มเยาวชนกู้ชาติปัตตานี” (Pemuda Merdeka Patani) ขององค์กรกู้ชาติปัตตานี (Pejuangan Merdeka Patani)

กลุ่มนักสู้เหล่านี้เป้นนักต่อสู้รุ่นใหม่ที่ผ่านการฝึกอบรมบ่มเพาะ สร้างจิตสำนึกให้เคียดแค้นชิงชังคนต่างศาสนา มีอดุมการณ์การต่อสู้เพื่อชาติ ศาสนา มาตุภูมิ เคร่งครัดศาสนา เป็นที่ยอมรับของสังคม และมีความกระหายที่จะต่อสู้ตามแนวทางศาสนา (ญีฮาด) และอิสรภาพอันชอบธรรมเพื่อรัฐปัตตานี

ทั้งนี้องค์กรกู้ชาติปัตตานีได้ขับเคลื่อนตามแผนการปฏิวัติ 7 ขั้นตอน (บันได 7 ขั้น) เป็นยุทธศาสตร์สำคัญสำหรับการเตรียมคน จังตั้งองค์กรควบคุม ขยายเครือข่ายและสมาชิก พร้อมทั้งได้กำหนดห้วงปีที่จะปฏิบัติอย่างชัดเจน

ความหมายของแผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอน (แผนบันได 7 ขั้น)

ผลการแปลเอกสารภาษามาลายู และอาหรับโดยผู้รู้เกี่ยวกับภาษาระบุว่าแผนปฏิวัติ 7 ขั้นตอนถูกกำหนดมาตั้งแต่ ปี ค.ศ.1992 (พ.ศ.2535) โดยมุ่งใช้เยาวชนเป็นกลุ่มปฏิบัติการทั้งทางทหาร ประชาสัมพันธ์ และโฆษณาชวนเชื่อ โดยแผนดังกล่าวแบ่งออกเป็น 2 ส่วน คือ

ส่วนที่ 1 ขั้นที่ 1 ถึงขั้นที่ 5 เป็นห้วงของการจัดตั้งและดำเนินงาน เพื่อสร้างความพร้อมของคน องค์กร และอุดมการณ์

ส่วนที่ 2 ขั้นที่ 6 ถึงขั้นที่ 7 เป็นขั้นการปฏิวัติ เพื่อความสำเร็จของการกู้ชาติปัตตานี

ขั้นที่ 1 การสร้างจิตสำนึกมวลชน 

เป็นการปลุกระดมมวลชนให้สำนึกถึงความเป็นชาวมลายู ความยึดมั่นในศาสนาอิสลาม และเน้นความเป็นชาติ/รัฐปัตตานีในอดีตที่จะต้องต่อสู้เอาดินแดนคืนโดยมักจะ ยกเป็นประ เด็นการกวาดต้อนชาวมลายูไปยังกรุงเทพ และบังคับให้ใช้มือเปล่าขุดคลองแสนแสบ รวมทั้งอ้างคำสอนในคัมภัร์อัลกุรอ่านมาประกอบ

ขั้นที่ 2 การจัดตั้งมวลชน

เป็นการจัดตั้งแนวร่วม ซึ่งมักดำเนินการระหว่างสอนศาสนาต่อเยาวชน เยาวชนในที่นี้หมายถึงผู้ที่มีอายุในระหว่าง 18-35 ปี และประชาชนทั่วไป โดยเฉพาะในช่วงการอ่าน “คุปตะเบาะห์” ในวันศุกร์ หรือ “ละหมาดใหญ่” ตามมัสยิด ส่วนในโรงเรียนตาดีกา โรงเรียนเด็กเล็กก่อนวัยเรียน/อนุบาล ปอเนาะและโรงเรียนเอกชนสอนศาสนาอิสลาม จะมอบให้ครูสอนศาสนาที่ผ่านการบ่มเพาะมาในระดับหนึ่งแล้วเป็นผู้ดำเนินการ

จากนั้นจะพัฒนาให้นักเรียน/นักศึกษาเหล่านี้ผู้ปฏิบัติ โดยอาจให้ทุนการศึกษาไปเรียนต่อต่างประเทศ (ที่ปรากฎหลักฐานคือการไปศึกษา ณ มหาวิทยาลัยในเมือง บันดุง เมดาน ยอร์คจาร์กาตาร์ ประเทศอินโดนีเซีย) ซึ่งนักศึกษาเหล่านี้นอกจากจบการศึกษาทางวิชาการแล้วยังได้ผ่านการฝึกหลัก สูตรด้านการทหารมาอีกด้วย

จากนั้นจะส่งมวลชนจัดตั้งเข้าเป็นคณะกรรมการต่างๆเช่น คณะกรมมการอิสลามประจำจังหวัด คณะกรรมการมัสยิด คณะกรรมการหมู่บ้าน และสมาชิกองค์การบริหารส่วนตำบล รวมทั้งเข้าครอบงำสหกรณ์ที่ภาครัฐส่งเสริมให้ประชาชนได้รวมกลุ่มดำเนิน กิจการเพื่อพึ่ง ตนเอง เช่น สหกรณ์หมู่บ้าน ซึ่งจะมีการเก็บเงินรายได้ส่วนหนึ่งเข้าขบวนการอันเป็นการสร้างเศรษฐกิจ ระดับรากหญ้า ควบคู่กันไป ส่วนสมาคมหรือชมรม (รวมถึงด้านกีฬา) ก็เป็นอีกเป้าหมายหนึ่งที่ต้องการเข้าครอบงำด้วย

ขั้นที่ 3 การจัดตั้งองค์กร

เป็นการจัดตั้งองค์กรอำพรางในการปฏิบัติ ทั้งเพื่อการควบคุมมวลชนและแหล่งเงินทุน เช่น การจัดตั้งชมรมตาดีกา โดยในพื้นที่จังหวัดนราธิวาสใช้ชื่อว่า “PUSAKA” (Pusat Kebajkan Tadika) พื้นที่จังหวัดปัตตานีใช้ชื่อว่า “PUSTAKA” พื้นที่จังหวัดยะลาใช้ชื่อว่า “PERTIWI” พื้นที่จังหวัดสงขลาใช้ชื่อว่า “PUTRA” และพื้นที่จังหวัดสตูล ใช้ชื่อว่า “PANTAS” เพื่อควบคุมโรงเรียนตาดีการที่ยินยอมเข้ามาอยู่ในองค์กร

ซึ่งการควบคุมองค์กรเหล่านี้จะอำนวยประโยชน์ทางการเมืองต่อระดับแกนนำใน พื้นที่เหล่านั้นด้วย นอกจากนี้ ยังมีการจัดตั้งองค์กรบังหน้าอื่นๆอีกหลายรูปแบบ เช่น จัดตั้งสหกรณ์เพื่อเป็นแหล่งเงินทุน เป็นต้น

ขั้นที่ 4 การจัดตั้งกองกำลัง

ในขั้นนี้มี 3 ระดับ ได้แก่ ระดับเยาวชน เป็นกองกำลังที่อยู่ประจำหมู่บ้านตามภูมิลำเนาโดยเฉพาะในหมู่บ้านสีแดง (ประมาณ 257 หมู่บ้าน) โดยมีเป้าหมายที่จะจัดตั้งกองกำลังดังกล่าวให้ได้ 30,000 คน

ระดับเยาวชนคอมมานโดเป็นผู้ที่ถูกคัดเลือกจากลุ่มเยาวชนทหารนำไปฝึกยุทธวิธี หน่วย ทหารขนาดเล็ก (Runda Kumpulan Kecil/RKK) และยุทธวิธีด้านอื่นๆเพิ่มเติม สมาชิกระดับคอมมานโดจะได้รับมอบภารกิจด้านการก่อเหตุร้าย ซึ่งทั้งการลอบยิง ลอบวางระเบิด และลอบโจมตี โดยมีเป้าหมายที่จะจัดตั้งให้ได้ 3,000 คน กระจายอยู่ในเขตปกครองใหม่ 3 เขต (เขตการปกครองขององค์กรกู้ชาติปัตตานี) เขตงานละ 1,000 คน

และ ระดับกองกำลังระดับผู้เชี่ยวชาญ เป็นผู้ควบคุมและครูฝึกกองกำลังคอมมานโด กลุ่มเหล่านี้บางคนผ่านการฝึกมาจากต่างประเทศ มีขีดความสามารถค่อนข้างสูง เคยผ่านการปฏิบัติจริงมาแล้วและมีจิตใจต่อสู่เพื่อองค์กรที่แน่วแน่ โดยมีเป้าหมายกำหนดไว้ 300 คน คัดเลือกจากเยาวชนคอมมานโดและผู้ที่ผ่านการฝึกจากต่างประเทศแล้ว

ขั้นที่ 5 การสร้างอุดมการณ์ชาตินิยม

การปฏิบัติขั้นนี้ มุ่งเน้นการสร้างอุดมการณ์ความเป็นชาติพันธุ์เดียวกัน (ความเป็นมาลายู)ที่จะต้องร่วมกันต่อสู้เพื่อให้ได้รัฐปัตตานีคืนมาโดยการ ผนึกกำลังของชนชาติพันธุ์มาลายูที่เป็นชาวไทยมุสลิมทุกสถานะ/อาชีพ ซึ่งรวมถึงข้าราชการพลเรือน ตำรวจทหารที่เป็นมุสลิม และชาวมาเลเซีย ที่สำคัญผู้ที่ได้รับการปลุกฝังอุดมการณ์ชาตินิยมแล้วจะต้องเคยผ่านการ ปฏิบัติจริง (การก่อเหตุร้ายไม่ว่าในลักษณะใดตามเงื่อนไขและระดับความรับผิดชอบ)

ขั้นที่ 6 การเตรียมพร้อมปฏิวัติ

เป็นขั้นตอนการก่อเหตุร้ายทุกรูปแบบในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ให้เหมือน การแตกกระจายของดอกไม้ไฟ หรือเรียกว่า “การจุดดอกไม้ไฟแห่งการปฏิวัติ” เพื่อการเคลื่อนไหวใหญ่

ขั้นที่ 7 การจัดตั้งการปฏิวัติ หรือ การก่อการปฏิวัติ

เป็นการต่อสู้ขั้นสุดท้ายและใช้การโจมตีประกอบด้วยกองกำลังต่อกลไลรัฐเต็ม พื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งขณะโจมตีจะติดตั้งธงรัฐปัตตานีควบคู่ไปด้วย เพื่อให้สื่อมวลชนแพร่กระจายไปทั่วโลก และหวังผลให้ประชาคมระหว่างประเทศโดยเฉพาะองค์การสหประชาติหรือองค์กรมุสลิม ในระดับโลกเข้ามาแสดงบทบาทในการแก้ปัญหาดังกล่าว จนนำไปสู่การลงประชามติของประชาชนเพื่อแยกตัวเป็นเอกราชและจัดตั้งรัฐ ปัตตานีขึ้นในที่สุด

ซึ่งตามแผนการเดิมขั้นตอนนี้กำหนดจะกระทำในปี พ.ศ.2548 แต่ด้วยความไม่พร้อมของจำนวนกองกำลังแนวร่วมและอาวุธยุทโธปกรณ์ จึงยังไม่สามารถดำเนินการได้ตามแผน และต้องขยายแผนนี้ออกไปอีกระยะหนึ่ง

จากเอกสารดังกล่าวข้างต้น จนกระทั่งทุกวันนี้ ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อหรือหลงกลเชื่อว่า เอกสารที่ว่าค้นพบในบ้านพักนายมะแซ อุเซ็ง นั้น จะเป็นเอกสารที่อาจเรียกได้ว่า “โคตรของโคตรความลับ” ท่านมะแซ จะสะเพร่าวางไว้จนเจ้าหน้าที่ค้นพบได้เชียวหรือ

หรือว่า เจ้าหน้าที่เขียนเอง ร่างเอง ฮั่นแน่เสียวหลังวูบเข้าแล้วไหมล่ะ แต่หากจะให้ผมเชื่อหรือท่านผู้อ่านเชื่อ ก็ต้องรอให้ท่านมะแซ อุเซ็ง มาเขียนให้ดูหน่อยว่าบันไดที่ท่านเขียนนั้น มันเป็นบันไดจริงหรือบันไดลิง ตรงกับต้นฉบับจริงรึเปล่า

มะแซ อุเซ็ง ทราบแล้วโปรดตอบรับด้วย จะเป็นพระคุณอย่างสูง


แนวร่วม การสนับสนุน 

ผู้ที่ให้การสนับสนุน ต่อกองกำลังติดอาวุธ ที่เคลื่อนไหว ในเขตไทย ส่วนใหญ่ เป็นเครือญาติ ที่มีผลประโยชน์ ร่วมกัน หรือถูกบังคับ การสนับสนุน ต่อกองกำลัง ติดอาวุธ เพื่ออุดมการณ์

มีเพียงส่วนน้อย ที่จะได้รับ การสนับสนุน จากต่างประเทศ เดิมมีหลายประเทศ ที่ให้การสนับสนุน แต่ปัจจุบันเหลือน้อยมาก และ เป็นการสนับสนุน ของบุคคล ที่ไม่เกี่ยวข้อง กับภาครัฐ ผู้มีอิทธิพล และกลุ่มแอบอ้าง ทางการเมือง และศาสนา

จากการก่อการร้าย และความไม่สงบ ในพื้นที่ จังหวัด ชายแดน ภาคใต้ เมื่อตรวจสอบ ข้อเท็จจริง แล้วพบว่า ผู้ที่อยู่ เบื้องหลัง หรือผู้ที่บงการ มักจะเป็นผู้กว้างขวาง หรือผู้มีอิทธิพล ในพื้นที่ ซึ่งอาจจะมีส่วนร่วม กับนักการเมือง และ ข้าราชการบางคน

ในขณะเดียวกัน กลุ่มผู้กระทำ หรือผู้ก่อเหตุ ส่วนใหญ่ เป็นผู้ต้องคดี ผู้ติดยาเสพย์ติด แนวร่วม จกร. หรือ กองกำลัง ติดอาวุธ ของ จกร. ซึ่งเบื้องหลัง ของกลุ่มบุคคล ดังกล่าวนี้ มักมีความสัมพันธ์ ทางใด ทางหนึ่ง ประกอบกับ เกิดปัญหา ความขัดแย้ง ด้านแนวทาง ในการปฏิรูป แนวทาง ศาสนา ของกลุ่มบุคคล หรือผู้นำ ศาสนา ในบางพื้นที่ รวมทั้ง ปัญหา ความขัดแย้ง ทางด้านการเมือง ปัญหาดังกล่าว ผสมผสาน เป็นความ ไม่สงบ เรียบร้อย ความไม่ปลอดภัย ในชีวิต และทรัพย์สิน

กลุ่มโจร มิจฉาชีพ มีการจัดตั้งกลุ่ม เช่น กลุ่มมูจาฮีดีน อิสลาม ปัตตานี เคลื่อนไหว ก่อเหตุร้าย ก่อกวน สร้างความ ไม่สงบ หลายครั้ง เพื่อยกระดับ กลุ่มโจร มิจฉาชีพ ให้ จกร. ยอมรับว่า มีอุดมการณ์ แบ่งแยก ดินแดน เช่นเดียวกัน นอกจากนั้น ยังมีกลุ่ม มือปืนรับจ้าง และผู้หลบหนี คดีอาญา มาก่อเหตุร้าย หรือข่มขู่ กรรโชกทรัพย์ เพื่อแสวงหาผลประโยชน์

สถานการณ์ในพื้นที่ 

เหตุร้ายที่เกิดขึ้นในพื้นที่ มีทั้งจากการ ปะทะจากโจรก่อการร้าย โจรมิจฉาชีพ กลุ่มผลประโยชน์ และ เรื่องส่วนตัว แต่ลักษณะการก่อเหตุร้าย จะคล้ายกัน จึงทำให้เข้าใจว่า เป็นคนร้าย กลุ่มเดียวกันทำ หรือที่ที่เหตุร้าย จะกระจาย ไปใน หลายพื้นที่ ไม่เน้นหนัก ในพื้นที่ใด พื้นที่หนึ่ง ส่วนใหญ่ จะเกิด นอกเขตชุมชน รองลงมา ในเขตเทศบาล ของพื้นที่ จังหวัดนราธิวาส ยะลา ปัตตานี ส่วนสงขลา และสตูล มีเหตุการณ์น้อยมาก

แนวโน้ม สถานการณ์ ก่อความไม่สงบ 

โดยเฉพาะ การก่อเหตุร้าย จะยังคงมีต่อไป แต่ด้วยการปฏิบัติการ ทางยุทธการ ของฝ่ายเจ้าหน้าที่ ทำให้ฝ่าย จกร. ระดับกองกำลัง ติดอาวุธ หลายคน ต้องสูญเสีย จากการปะทะ และถูกจับกุม เป็นผลให้ จกร. ได้มีการพัฒนา และเปลี่ยนรูปแบบ ในด้านการดำเนินการใหม่

โดยระยะหลัง ได้เน้นหนัก ทางด้าน สังคมจิตวิทยา และการข่าว ซึ่งบางครั้ง อาศัย สถานการณ์ ที่เกิดขึ้น ปล่อยข่าว ให้ฝ่ายเจ้าหน้าที่ เกิดความสับสน และสร้างความแตกแยก ให้เกิดขึ้น ระหว่าง หน่วยงาน ของรัฐ เพื่อเป็นการ ดำรง รักษา สภาพ จกร. เอาไว้ และขยาย แนวร่วม เพื่อให้ความสนับสนุน

สำหรับ การก่อการร้าย สร้างผลงาน แสดงอิทธิพล แสวงผลประโยชน์ นอกจากนั้น ยังมีกลุ่มอื่น สถานการณ์ เพื่อก่อเหตุร้าย เพื่อรักษา ผลประโยชน์ ของบุคคล หรือของกลุ่มตน
***********
 
 
ไทยอีนิวส์
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง