บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2555

เปิดใจอธิการบดี มธ. ว่าด้วยเรื่องก้านธูปและม. 112


ที่มา :Watch Red Shirt ศูนย์ปฏิบัติการติดตามผู้ชุมนุมเสื้อแดง



เปิดใจอธิการบดี มธ. ว่าด้วยเรื่องก้านธูปและม. 112 ผมจะไล่เธอออก ถ้าศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุด
ให้จำคุก

เปิดปีใหม่ 2555 มติชนออนไลน์ สัมภาษณ์ "ดร.สมคิด เลิศไพฑูรย์" อธิการบดีมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ในฐานะผู้บริหารมหาวิทยาลัยและในฐานะนักกฎหมายมหาชน ในหลายประเด็น ตั้งแต่เรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

จนถึงประเด็นร้อนแรง การที่มีกลุ่มนักวิชาการ-อาจารย์-แนวร่วมภาคประชาชน ออกมาเรียกร้องให้มีการแก้ไขหรือยกเลิกกฎหมายอาญามาตรา 112

รวมถึงประเด็นเรื่องการรับ"ก้านธูป" เข้าเรียนใน มธ. ซึ่งเป็นประเด็นอยู่ในขณะนี

ทำไม มธ. ถึงรับ "ก้านธูป" ให้มาศึกษา ในขณะที่ มศก. และมก. ต่างปฎิเสธที่จะรับเธอเข้าเรียน

ไม่เห็นมีกฎข้อบังคับใดของมหาวิทยาลัยบอกว่า นักศึกษา มธ. ต้องเคารพชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ถ้าหากมีกฎข้อนี้จริง หมายความว่า มธ. ต้องตรวจสอบว่านักศึกษาคนนี้รักชาติ รักศาสนาหรือเปล่า นับถือศาสนาไหม คำถามเหล่านี้จะเกิดทันที ไม่ใช่แต่เฉพาะก้านธูปคนเดียว ผมจึงสงสัยคนที่มาโพสต์ถามผมในเฟซบุ๊กเกี่ยวกับการรับก้านธูปมาเรียนที่ มธ. ว่า ทำไมถึงตั้งโจทย์กับก้านธูปคนเดียว ไม่ตั้งโจทย์นี้กับนักศึกษาอื่นเลย เพราะใน มธ. ก็มีนักศึกษาอีกมากที่ไปขึ้นเวทีชุมนุมต่างๆ ทั้งเหลืองทั้งแดง ทำไมต้องเป็นก้านธูป นี่คือคำถามของผม

ต่อมาคือสิ่งที่ก้านธูปทำผมไม่รู้ว่าจริงหรือไม่ แล้วจะมาอ้างว่าก็ให้อธิการบดีไปตรวจสอบแล้วทำไมไม่ตรวจสอบ แต่ต้องเข้าใจด้วยว่าอธิการบดีมีเรื่องมากมายที่ต้องทำ นักศึกษา 1 ใน 35,000 คนของมธ. ถือว่าเล็กมาก ที่สำคัญคือสิ่งที่คนพูดว่าก้านธูปโพสต์ข้อความหมิ่นประมาทนั้นเกิดขึ้นก่อนที่เธอจะเข้ามาเรียนในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ และสิ่งสุดท้ายคือ เราไม่ควรไล่ล่าแม่มดเพราะเราไม่รู้ว่าเขาเป็นแม่มดจริงหรือเปล่า แล้วแม้เธอจะเป็นแม่มดจริงแต่แม่มดก็สามารถอยู่ในสังคมไหนก็ได้ ตัวอย่างเรื่องแวมไพร์ ทไวไลท์ แวมไพร์ยังอยู่กับคนได้เลย"

อาจารย์มองว่านักศึกษาควรได้รับโอกาสในการศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้

ผมอยากยกตัวอย่างว่า ถ้าเข้าใจสังคมไทย ในช่วงเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 มีนักศึกษาที่รักชาติ รักประชาชนส่วนหนึ่งไปเข้าร่วมกับพรรคคอมมิวนิสต์ ทั้งเสกสรรค์ ประเสริฐกุล ธีรยุทธ บุญมี และอีกมากมาย แต่ทุกวันนี้คนเหล่านี้คือคนชั้นยอดของประเทศ พวกเขาอาจจะหลงทิศผิดทางไปบางช่วงแต่ก็กลับมาเมื่อสังคมเปิดโอกาสให้กลับมา เมื่อเทียบก้านธูปกับนักศึกษา ที่เข้าร่วมกลุ่ม พคท. เมื่อหลายปีก่อน เราในฐานะที่เป็นผู้ใหญ่ เป็นอธิการบดี เป็นคนมธ. ถ้าเด็กมีความรู้ ความสามารถสอบเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้เธอก็ต้องได้รับการศึกษาจาก มธ. สิ่งที่เธอทำก่อนมาเข้าศึกษาใน มธ. เป็นสิ่งที่ยังไม่เคยมีใครแจ้งความจับ มีเพียงแต่บอกทำผิดกฎหมาย ซึ่งกฎ ข้อบังคับของ มธ. ระบุชัดว่า หากนักศึกษาผู้ใดต้องโทษหรือมีคำพิพากษาที่สุดให้จำคุก เว้นแต่ทำผิดลหุโทษ หรือทำความผิดโดยประมาท ถือว่าผิดร้ายแรงถึงมีคำสั่งให้ไล่ออก ดังนั้นผมจะไล่ก้านธูปได้ก็ต่อเมื่อมีคำพิพากษาที่สุดให้จำคุก ต่อให้ถูกแจ้งความวันนี้ผมก็ไล่เขาออกไม่ได้ เพราะฉะนั้นผมขอร้องว่าอย่าไล่คนให้ไปจนตรอก ผมคิดว่าคนแต่ละคนก็มีความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างกัน ที่ผมคิดก็คือก้านธูปเป็นเด็กที่มีความคิดหัวรุนแรง

ถ้าอาจารย์มองว่า ก้านธูปมีแนวคิดที่รุนแรงทางคณะสังคมสงเคราะห์ศาสตร์หรือทางมหาวิทยาลัยเอง จะทำอย่างไรกับสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้

วันที่เธอเข้ามามธ. คณะสังคมสงเคราะห์ฯ ก็รู้เรื่องนี้ดีอยู่แล้ว ทางคณะสังคมสงเคราะห์ฯ เองก็สอบสัมภาษณ์เธอถึงสองครั้ง นอกจากนี้คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ฯ ก็นำเรื่องนี้เข้าที่ประชุมคณบดีทุกคณะพร้อมกับก้านธูปด้วย วันที่ประชุมก็ไม่มีคณบดีคนใดรู้ว่า ก้านธูปกำลังถูกกล่าวหาจากสังคมออนไลน์ว่าโพสต์ข้อความหมิ่นสถาบันเบื้องสูง มีแต่คนรู้ว่าเธอขึ้นเวทีเสื้อแดง ผมขอเรียนว่าถ้าหากอยากให้ผมลงโทษเธอก็ต้องเอาข้อเท็จจริงตามที่เธอถูกกล่าวหามาให้ผม จะได้ตั้งกรรมการสอบสวนทางวินัย แล้วคนที่ร้องขอให้มีการสอบสวนเธอทางวินัยจะต้องรับผิดชอบด้วยถ้าเธอไม่ผิดจริงตามข้อกล่าวหานั้น มีแต่คนกดดันอธิการบดี มธ. ให้ลงโทษ คนกดดันไม่ต้องรับผิดชอบอะไรแต่อธิการบดีต้องรับผิดชอบ

ทั้งนี้ประเด็นไม่ใช่ว่าผมกลัวถูกฟ้องเลยไม่กล้าจัดการในสิ่งที่ควรกระทำ แต่ผมคิดในเชิงให้โอกาสคน เด็กอายุ 18-19 อย่างก้านธูปอาจจะได้รับข้อมูลชุดหนึ่งมา เธอก็คิดไปอย่างที่สื่อเหล่านั้นบอก ถ้าใช้เหตุผลเรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างในการไล่เธอออกจาก มธ. แบบนี้คงต้องไล่สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรบางคนออกจากสภาเพราะไปแสดงความเห็นทางการเมืองบนเวทีเสื้อแดง ผมบอกเลยนะว่านักศึกษา มธ. ส่วนใหญ่ไม่ใช่เสื้อแดง ก้านธูปมาเรียนหนังสือก็ต้องเจอเพื่อน เจอการกดดันจากหลายสิ่งหลายอย่าง มีคนบอกว่าวันรับเพื่อนใหม่เธอไม่ยืนตอนเพลงสรรเสริญพระบารมี แต่สุดท้ายแล้วเธอก็ต้องยืน ไม่รู้ว่าเหตุการณ์จริงเป็นแบบที่นักศึกษาคนอื่นเล่ามาไหม แต่ถ้าเป็นเรื่องจริงทำไมก้านธูปต้องลุก เขาอยากนั่งก็นั่งได้

ย้อนไปว่าทำไมต้องมีการประชุมคณบดีทั้งมหาวิทยาลัยเกี่ยวกับการรับก้านธูปเข้ามาเรียนใน มธ. กรณีการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่างจึงสำคัญขนาดที่ต้องเรียกประชุมใหญ่

เนื่องจากมีคนร้องเรียนมาทั้งคนในและคนนอกมหาวิทยาลัย เราก็ต้องเคลียร์ประเด็นนี้ให้ชัดเจน

อธิการบดี มธ. ไม่กลัวถูกกล่าวหาหรือ ในการรับก้านธูปเข้ามาเรียนใน มธ.

ไม่กลัวครับ จะกลัวอะไร เพราะถ้าผมจะจัดการก็คงต้องจัดการกับ สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล วรเจตน์ ภาคีรัตน์หรือปิยบุตร แสงกนกกุล ต้องจัดการไม่รู้กี่คนเพียงเพราะพวกเขาใช้สิทธิเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นของเขาที่แตกต่างกัน ไม่ใช่เฉพาะแค่กรณีก้านธูปหรือคนที่มีความเห็นต่างทางการเมืองคนอื่น ๆ แม้แต่นักศึกษา มธ. นาย ก. ไปฆ่านาย ข. ตาย แต่ศาลยังพิพากษาอยู่เขาก็ต้องได้เรียนหนังสือในมธ. ต่อไปจนกว่าจะถูกตัดสินจำคุกโดยไม่รอลงอาญา"

มีกรณีที่ก้านธูปซึ่งขณะนี้เป็นนักศึกษา มธ. ถูกสังคมออนไลน์นำข้อมูลส่วนตัวมาเปิดเผยในที่สาธารณะชน สื่ิอสำนักหนึ่งลงบทความเกี่ยวกับก้านธูปในกรณีเรื่องการตั้งคำถามกับ มธ. ที่รับเธอเข้ามาศึกษา ในฐานะที่เป็นอธิการบดี มธ. จะออกหนังสือมาชี้แจงหรือตอบโต้สื่อดังกล่าวหรือไม่ อย่างไร

ไม่ครับ อธิการบดีไม่ว่างขนาดนั้น น้ำท่วมเสียหาย 2,800 ล้านบาท ผมมีเรื่องใหญ่ที่ต้องคิดเยอะ มีเรื่องที่ต้องคิดว่าจะทำยังไงให้อาจารย์ มธ. ทำวิจัย เพื่อให้เป็นมหาวิทยาลัยระดับโลกให้ได้ เรื่องก้านธูปนี้คณบดีคณะสังคมสงเคราะห์ฯ รับเรื่องและเป็นที่ปรึกษาให้เธอด้วย ปกติคณบดีไม่รับเป็นที่ปรึกษาให้แก่นักศึกษาหรอก เรื่องนี้มีคนดูแลเยอะครับ มีคนจับจ้องก้านธูปเยอะไม่ต้องห่วงอะไร ผมขอย้ำว่าถ้าก้านธูปทำอะไรผิดในมธ. ผมก็ต้องจัดการ ซึ่งผมเองก็ไม่เห็นด้วยกับพฤติกรรมของก้านธูปตามข้อกล่าวหา เพราะฉะนั้นอย่าบอกว่าผมช่วยเหลือก้านธูปเพราะผมเป็นพวกเดียวกับก้านธูป เรื่องก้านธูปผมก็สนใจเลยเอาเรื่องดังกล่าวเข้าที่ประชุมคณบดีซึ่งในที่ประชุมก็มีการพูดคุยกันว่าจะรับหรือไม่ คณบดีส่วนใหญ่ก็หนุนว่าควรรับทั้งนั้น"

การรับก้านธูปเข้ามาเรียนใน มธ.เพื่อลดกระแสต่อต้านจากคนที่เห็นต่างกับอาจารย์ในเรื่องความคิดทางการเมืองหรือไม่

ไม่เคยคิดเลย เรารับก้านธูปเพราะเธอสอบได้ก็ต้องได้เรียน ซึ่งถ้าทำแบบนั้นเพื่อให้รัฐบาลเสื้อแดงพอใจมธ. ผมคงต้องรับเด็กเสื้อแดงมาอีกสักร้อยคนซึ่งผมไม่ทำแบบนั้นหรอก ในทางกลับก็เช่นเดียวกันเพราะธรรมศาสตร์ไม่ได้แยกคนที่สีเสื้อ แต่เราแยกคนด้วยความรู้ความสามารถ ด้วยตัวตนของเด็กคนนั้นเอง ไม่ว่าคุณจะเสื้อสีใดพอเข้ามาคุณคือธรรมศาสตร์ ถึงคุณเป็นสีแดงคุณก็ต้องเคารพว่ามีสีอื่นในสังคมไทยและสังคมธรรมศาสตร์ด้วย คุณเป็นสีเหลืองก็ต้องเคารพว่ามีสีแดง ก็ต้องปรับตัวอยู่ในสังคมไทยให้ได้ ธรรมศาสตร์พยายามจะทำให้สังคมภายนอกเห็นว่าเป็นสังคมที่ดีที่แม้จะคนละสีเสื้อก็อยู่ร่วมกันได้ เราไม่ควรไล่ล่าแม่มดกัน"

การที่ให้คณบดีเป็นอาจารย์ที่ปรึกษา การยื่นวาระเรื่องก้านธูปในที่ประชุมคณบดีทุกคณะใน มธ. เป็นการสะท้อนว่า ความคิดเห็นที่แตกต่างทางการเมืองเป็นปัญหาของสังคม มธ. หรือไม่

ผมเรียนว่ามีคนมาชมผมในเฟซบุ๊กจำนวนมากว่าอธิการบดีมีพฤติกรรมที่น่ายกย่องเรื่องเดียวก็คือ การรับก้านธูปมาศึกษาใน มธ. ในฐานะอธิการบดี มธ. เราวางตัวว่าเสื้อเหลืองหรือเสื้อแดง จะด่าผมไม่สนใจเพราะผมยังยึดหลักการของธรรมศาสตร์ว่าธรรมศาสตร์มีเสรีภาพทุกตารางนิ้ว ธรรมศาสตร์สอนให้คนรักประชาชน ธรรมศาสตร์สามารถพูดอะไรก็ได้แต่ต้องไม่ละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่น ไม่ใช่แค่ก้านธูป นิติราษฎร์เองผมก็เคยไปเตือนตอนที่จัดงานแถลงข่าวต่าง ๆ ของกลุ่มนี้ จัดได้งานเสวนาเกี่ยวกับการแก้ไขปัญหามาตรา 112 แต่เมื่อไรที่จัดแล้วไปละเมิดสิทธิเสรีภาพของผู้อื่นผมต้องจัดการ ผมต้องมีมาตรการผม ผมให้คนมาใช้เวทีของมธ. เพื่อด่าหรือละเมิดสิทธิคนอื่นไม่ได้ อันนี้เป็นหลักการที่สำคัญของธรรมศาสตร์

อาจารย์มองกฎหมายอาญามาตรา 112 อย่างไร มีปัญหาในการบังคับใช้กฎหมายข้อนี้เหมือนคนในสังคมอีกกลุ่มอีกกำลังตะโกนบอกหรือไม

มาตรา 112 คือเรื่องดูหมิ่นหรือหมิ่นประมาทพระมหากษัตริย์ รัชทายาท ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีมานานในสังคมไทยอย่างน้อยก็ปรากฎหลักฐานในสมัยรัตนโกสินทร์ และไม่ใช่มีเฉพาะสังคมไทยเท่านั้นในต่างประเทศก็มี มาตรานี้เป็นมาตราคุ้มครองประมุขของประเทศไม่ว่าประมุขนั้นจะเป็นกษัตริย์ ประธานาธิบดี หรือรูปแบบใดก็ตาม ทุกประเทศมีกฎหมายอาญามาตรานี้เพราะการดูหมิ่น หมิ่นประมาทประมุขของประเทศก็เหมือนไปหมิ่นประมาทคนอื่นๆ ทั่วไป

สำหรับมาตรา 112 นั้นมีปัญหามาตลอดในสายตาของนักวิชาการ ไม่ได้มีปัญหาที่ตัวบทมาตรา แต่มีปัญหาที่การตีความกฎหมาย การบังคับใช้ซึ่งคนที่บังคับใช้ก็คือตำรวจ ศาล ในหลักทางกฎหมายอาญาความผิดดูที่เจตนา ถ้าไม่มีเจตนาไม่ต้องรับผิด โดยโครงสร้างของกฎหมายไทยเกี่ยวกับคดีดูหมิ่น หมิ่นประมาทแบ่งออกเป็นสามกลุ่มคือ

1.ดูหมิ่นซึ่งหน้าโทษจำคุกไม่เกิน 6 เดือน 2. หมิ่นประมาท โทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี โดยศาลจะดูจากเจตนา ซึ่งสำหรับพระมหากษัตริย์ตามมาตรา 112 คือ 3-15 ปี ที่ผ่านมาการพิจารณาของศาลและแนวของการบังคับคดีต่างๆ ของศาลไปในทิศทางที่ไม่เอาเจตนามาดู

นี่คือปัญหาใหญ่ของมาตรา 112 ซึ่งเป็นปัญหาทางการบังคับใช้ ในทางกฎหมายนักกฎหมายพูดกันว่า มีบุคคลโดนมาตรา 112 หลายคดีที่ไม่ควรถูกรับโทษเพราะศาลไม่เอาเจตนามาจับในบางกรณี เช่น สนธิ ลิ้มทองกุลเอาคำพูดของดา ตอร์ปิโดมาพูดบนเวทีเพื่อปกป้องพระมหากษัตริย์นั้นถือว่าไม่มีเจตนาจะดูหมิ่น ไม่ควรถูกรับโทษ หากมีคนแจ้งความจับสนธิและตำรวจตีความอย่างที่ผมบอก เขาก็ไม่รับแจ้งความ อัยการต้องไม่ฟ้องศาล ศาลต้องไม่ตัดสินให้สนธิต้องรับผิดชอบเพราะเป็นการกระทำที่ขาดเจตนา รวมถึงกลุ่มคนต่างๆ นานาที่วิพากษ์วิจารณ์เพื่อปกป้องสถาบันเหล่านี้ไม่ควรถูกรับโทษตามมาตรา 112 แต่หากบอกว่าพูดอย่างนี้ไม่ได้ ถ้าพูดถือว่าหมิ่นประมาทหมด ก็แสดงว่าศาลไม่ได้ใช้เจตนามาใช้บังคับคดีกฎหมายอาญาเพราะหลักการสำคัญของกฎหมายอาญาต้องดูเจตนาเสมอ

อีกเรื่องที่เป็นปัญหาสำหรับกฎหมายอาญามาตรานี้คือ โทษ โดยกฎหมายหมิ่นประมาททั่วไป ถ้าเป็นหมิ่นซึ่งหน้า ลงโทษจำเลยไม่เกินหกเดือน หากเป็นนาย ก ดูหมิ่น นาย ข หรือเจ้าพนักงานไม่เกินหนึ่งปี ถ้าเทียบกับบทลงโทษของกฎหมายอาญามาตรา 112 สำหรับผมบทลงโทษของมาตรานี้ โทษมันหนักเกินไป"

"นิธิ เอียวศรีวงศ์" เขียนไว้ในบทความว่า กฎหมายอาญามาตรานี้มุ่งผลประโยชน์ต่อประมุขของรัฐ ในแง่ที่กระทบถึงความมั่นคงของรัฐแล้วอาจส่งผลให้เกิดการกบฎในราชอาณาจักร แต่จำเลยที่ถูกพิพากษาตามมาตรานี้ส่วนใหญ่ไม่ได้มีพลังมากพอที่จะสามารถพูดหรือเขียนอะไรที่ถึงขั้นกระทบประมุขแห่งรัฐจนอาจทำให้เกิดการกบฎในราชอาณาจักรได้ อาจารย์มองแนวคิดของ "นิธิ เอียวศรีวงศ์" อย่างไร

ไม่ครับ นิธิอาจจะตีความกฎหมายกว้าง แต่เวลาเราดูว่ากฎหมายมุ่งประสงค์สิ่งใดบ้าง พุ่งไปที่อนาคต แต่กฎหมายมาตรา 112 ที่เขียนแบบนี้จากอดีตจนถึงปัจจุบันเขาหมายความถึงตัวบุคคล ไม่ได้หมายถึงในแง่ของพระมหากษัตริย์ในฐานะประมุขของรัฐเพียงอย่างเดียว แต่หมายถึงตัวบุคคลที่เป็นพระมหากษัตริย์ด้วย กฎหมายนี้ก็เหมือนกับกฎหมายหมิ่นประมาททั่วไป อย่างถ้ามีคนมาด่าผมก็เหมือนกับด่านายสมคิดด้วย ด่าอธิการบดี มธ. ด้วย ดังนั้นประเด็นสำคัญของปัญหาอาญามาตรานี้ไม่ได้อยู่ที่ตัวบทแต่อยู่ที่การตีความในการบังคับใช้กฎหมายเพราะตีความกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยที่ไม่ได้เอาเจตนาเป็นที่ตั้ง"

กลุ่มอาจารย์-นักวิชาการของชาญวิทย์ เกษตรศิริ" ก็ออกมาบอกว่า ควรจะตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองการฟ้องร้องกฎหมายอาญามาตรา 112 โดยอาจเป็นตัวแทนจากภาคประชาชน สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรหรือววุฒิสภา อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร

ทำไม่ได้ ในทางกฎหมายไม่มีการให้ตั้งคณะกรรมการกลั่นกรองก่อนการฟ้องร้องใด ๆ มีแต่ ตำรวจ อัยการ ศาล เท่านั้นที่มีอำนาจดังกล่าว"

แล้วข้อเสนอของ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ที่มอบแผนการแก้ไขปัญหากฎหมายอาญามาตรา 112 กับรัฐบาล ด้วยการให้ราชเลขาธิการเป็นคนดำเนินการฟ้องตามกฎหมายดังกล่าว อาจารย์มองเรื่องนี้อย่างไร

ยิ่งไม่ได้ใหญ่เลยเพราะในสำนักราชวังไม่ควรยุ่งเกี่ยวในกระบวนการยุติธรรม การให้ราชเลขาธิการหรือสำนักราชวังเป็นผู้ฟ้องร้องเสียเองยิ่งทำให้สถาบันกษัตริย์เกี่ยวข้องกับการเมือง เรื่องนี้เป็นเรื่องรัฐ เป็นประมุขของรัฐ เช่นการที่ให้สำนักราชวังมาเป็นผู้ฟ้องเอง อาจจะเกิดการตั้งคำถามจากสังคมว่า ทำไมสำนักราชวังจึงฟ้องคนนี้ ไม่ฟ้องคนนั้น ทำไมไปฟ้องราษฎร ผมมองว่าไม่ควรให้ราชเลขาธิการเป็นผู้ดำเนินการฟ้องร้อ

โดยส่วนตัวผมไม่ได้ครุ่นคิดว่า จะแก้ไขกฎหมายอาญามาตรานี้อย่างไรเพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญเกี่ยวกับกฎหมายอาญา คนที่จะนำประเด็นนี้ไปปรับแก้ไขอาจจะเป็นหน้าที่ของผู้เชี่ยวชาญอื่น ๆ หรือแม้แต่ที่นิติราษฎร์ทำอยู่ สำคัญก็คือ กลุ่มคนที่เรียกร้องหรือเสนอให้มีการแก้ไขกฎหมายอาญามาตราดังกล่าวจะต้องตอบสังคมให้ได้ว่า แก้ไปทำไม แก้ไขแล้วจะได้อะไรแก่สังคม ต้องตอบโจทย์ว่า ทำไมโทษหมิ่นประมาทสมเด็จพระราชินีและองค์รัชทายาทโทษจะต้องเท่ากับบุคคลธรรมดาคือไม่เกินหนึ่งปีด้วย"

กฎหมายอาญามาตรา 112 ก็เหมือนกับกฎหมายทั่วไปสามารถแก้ไขหรือคุยกันในวงเสวนาทางวิชาการต่าง ๆ ได้อยู่แล้ว "คนที่เสนอให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112 ไม่ใช่คนหมิ่นพระมหากษัตริย์ สังคมคงไม่บอกว่าอดีตนายกรัฐมนตรีอานันท์ ปันยารชุนหมิ่นพระมหากษัตริย์" คนที่อยากให้แก้ไขกฎหมายอาญามาตราดังกล่าวหวังดีต่อพระมหากษัตริย์ก็มีตั้งเยอะ เรื่องกฎหมายอาญามาตรา 112 เป็นเรื่องที่คนพูดเรื่องเดียวกันแต่คิดไม่เหมือนกัน คนที่อยากแก้ไขกฎหมายมาตรานี้จะต้องหาเหตุผลมาอธิบายสังคมให้ชัดเจนให้ได้ว่า ทำไมจึงต้องแก้ ส่วนตัวแล้วไม่ได้คิดว่าจะเป็นคนนำในการแก้ไขกฎหมายนี้เพราะเป็นนักกฎหมายมหาชนไม่ใช่นักกฎหมายอาญา อีกทั้งการเป็นอธิการบดี มธ. ก็มีเรื่องให้คิด แก้ปัญหาอยู่อีกมากมาย

“พระราชอำนาจ” มาจาก “พระราชสถานะ”


king_15_260
อธิปัตย์
นับแต่อดีตกาลเป็นต้นมา “อำนาจ” ทั้งหลายทั้งปวงที่พึงจะมีได้ล้วนถูกเสกสรรค์ปั้นแต่งตามแต่ “สถานะ” ของบุคคลนั้น หากบุคคลใดมี “สถานะ” ที่สูงส่งก็ย่อมมี “อำนาจ” สูงส่งตาม สถานะจึงกลายเป็นเครื่องมือกำหนด “ขอบเขต” ของการใช้อำนาจ แม้ว่าจะมีสถานะสูงส่งเพียงใดหากใช้อำนาจในทางที่มิชอบ อำนาจอื่นๆที่มีในสังคมก็สามารถโค่นล้มอำนาจที่มิชอบได้
การตีความเรื่อง “อำนาจ” นั้นมีปัญหามาอย่างยาวนาน ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากอำนาจที่มากกว่าย่อมพึงพอใจในกฎเกณฑ์และขอบเขตแห่ง อำนาจนั้น แต่หากผู้ใดเสียผลประโยชน์จากอำนาจที่เหนือกว่า ก็ย่อมมีการต่อต้านเป็นธรรมดา เหตุบ้านการเมืองจึงไม่สงบสุขมาแต่อดีตกาล
ถ้าเป็นบุคคลธรรดาเราเรียก “อำนาจ” ว่า “อำนาจ” แต่หากเป็นกษัติรย์เราเรียกว่า “พระราชอำนาจ” ในบทความชิ้นนี้เป็นการพูดถึงกษัตริย์ดังนั้นเราจะเรียกอำนาจว่า “พระราชอำนาจ”
แท้จริงแล้วคำว่า “พระราชอำนาจ” ก็เสมือนเป็น “หน้าที่” เป็นสิ่งที่ระบุว่าหน้าที่ของกษัตริย์นั้นมีอะไร มีขอบเขตเพียงใด หากเรามองดูกับหน่วยงานภาครัฐ “อำนาจนายกรัฐมนตรี” ย่อมมีมากกว่า “อำนาจของผู้ว่าราชการจังหวัด” ดังนั้นหากมองในอีกมุมหนึ่ง “อำนาจ” เป็นเครื่องหมายแสดงความรับผิดชอบต่องานที่ได้ทำ ยิ่งอำนาจมากเท่าใด การรับผิดชอบต่องานก็ยิ่งมากเท่านั้น
พระราชอำนาจอันมีแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ไทยก่อนการเปลี่ยนแปลงการปกครองนั้นมีเป็นล้นพ้น แต่ก็ถูกกรอบของ “กฎหมาย” อย่างเช่น กฎมณเฑียรบาล ทศพิธราชธรรม และนอกจากตัวกฎหมายที่เป็นกรอบแลวก็ยังมีตัวบุคคลเช่น อภิรัฐมนตรี รัฐมนตรีสภา เชื่อพระวงศ์ ขุนนาง เป็นต้น ดังนั้นหากจะกล่าวว่าพระมหากษัตริย์ทรงมีอำนาจเป็นล้นพ้นก็เห็นว่าจะ ต้องกลับไปมองดูประวัติศาสตร์กันเสียใหม่ เพราะนับแต่การกฏิรูประบบราชการครั้งสำคัญในสมัยรัชกาลที่ ๕ เป็นต้นมา อำนาจของพระมหากษัตริย์ที่แต่เดิมมีกรอบของกฎหมายบังคับ ก็เริ่มมีตัวบุคคลเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย
ในสมัยประชาธิปไตย “พระราชสถานะ” ของพระมหากษัตริย์เป็น “ประมุขแห่งรัฐ” และจะต้องใช้ “พระราชอำนาจ” ผ่านอำนาจทั้งสามคือ นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ โดยทั้งสามส่วนมีประมุขที่รับผิดชอบคือ ประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี และประธานศาลฎีกา แม้ว่าทั้งสามจะมี “สถานะ” เท่าเทียมกันเพราะต่างก็เป็นส่วนหนึ่งในพระราชอำนาจแต่เดิมของพระมหากษัตริย์ แต่ทั้งสามก็มี “หน้าที่” ที่ต่างกัน และความสำคัญที่ต่างกัน
โดยอำนาจท้ังสามนั้นเป็น “ตัวแทนใช้พระราชอำนาจ” ซึ่งในอดีตพระมหากษัตริย์จะคัดเลือกบุคคลเพื่อดำรงตำแหน่งเสนาบดี ผบ.เหล่าทัพ แต่ในปัจจุบันการคัดเลือกผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองต่างๆนั้นมาจากคัดเลือก โดยประชาชน โดยองค์กร โดยรัฐบาล แลัวจึงจัดการทูลเกล้าฯเพื่อให้พระมหากษัตริย์โปรดเกล้าแต่งตั้งลงมาดังนั้น ผู้ที่ได้รับการแต่งตั้งก็เป็นเสมือน “ตัวแทน” จากองค์พระมหากษัตริย์ที่ได้รับอำนาจไปปฏิบัติหน้าที่ที่ได้รับ
และเพราะมิใช้พระมหากษัตริย์เป็นผู้ “คัดเลือก” ด้วย พระองค์เอง หรือหากจะพูดในอีกแง่มุมคือทรงไม่มีหน้าที่และความรับผิดชอบทางการเมือง ดังนั้นในพระบรมราชโองการแต่งตั้งใดๆก็ตามก็จะมี “ผู้รับสนองพระบรมราชโองการ” รับผิดชอบในการแต่งตั้งนั้นๆไป หากเกิดความผิดพลาดใด ผู้รับสนองฯจะเป็นผู้รับผิดชอบโดยตรง
ในแง่มุมเรื่องพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยมีการเสวนาและอภิปรายกัน กว้างขวางมากในช่วงเวลานี้ มีการเสนอให้แก้ไขเกี่ยวกับกฎหมายที่เกี่ยวกับพระมหากษัติรย์ หรือกระทั่งมิให้มีพระราชดำรัสโดยตรงกับประชาชนอย่างเช่นกษัตริย์ในต่าง ประเทศ ดังนั้นก่อนที่เราจะคล้อยตาม หรือไม่เห็นต่างในประเด็นเหล่านี้ เราควรทราบที่มาและที่ไปโดยเฉพาะขนบธรรมเนียม ประเพณีปฏิบัติของพระมหากษัตริย์ในประเทศแม่แบบเสียก่อนครับ
ตอนนี้ในโลกเรามีประเทศที่มีกษัตริย์ ๒๘ ประเทศ โดยมี ๖ ประเทศเป็นแบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์ ส่วนที่เหลือเป็นการปกครองแบบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัติรย์เป็นประมุข
โดย ศ.ดร.บวรศักดิ์  อุวรรณโณ เลขาธิการสถาบันพระปกเกล้าฯ ได้อธิบายเรื่องนี้ไว้น่าสนใจว่า…”ในประเทศประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ ทรงเป็นประมุข กลุ่มแรกคือ กลุ่มต้นแบบ มีอังกฤษเป็นตัวหลัก อังกฤษ นี่เป็นแม่แบบของประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข ซึ่งจะมีหลักตั้งแต่ประเทศเข้าสู่ระบอบประชาธิปไตย ใน ค.ศ. ๑๘๖๗ ว่าพระมหากษัตริย์ หรือพระราชินีนาถ จะไม่ทรงมีพระราชดำริทางการเมืองใด ๆ ทั้งสิ้น แต่จะทรงทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี หรือรัฐมนตรี ที่รับผิดชอบต่อสภาสามัญซึ่งเป็นสภาผู้แทนราษฎร และสภาก็รับผิดชอบต่อประชาชน ดังนั้น จึงถือว่าพระมหากษัตริย์อังกฤษ ไม่ทรงกระทำผิด ที่เรียกว่า the king can do no wrong ที่ไม่ทรงกระทำผิด เพราะทรงทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรีและคณะรัฐมนตรี ในฐานะผู้ลงนามรับสนองพระบรมราชโองการและผู้ถวายคำแนะนำ เกิดความผิดทางการเมืองทางกฎหมายขึ้น คนถวายคำแนะนำต้องรับผิดชอบ และถือเป็นธรรมเนียมว่า ทรงมีพระราชอำนาจสำคัญ ๓ ประการ คือ ๑. พระราชอำนาจที่จะให้คำแนะนำ ๒. พระราชอำนาจที่จะสนับสนุนและให้กำลังใจ ๓. พระราชอำนาจที่จะทรงเตือน วันนี้ก็ยังถืออยู่ รัฐธรรมนูญอังกฤษทุกเล่ม พูดถึงเรื่องนี้
ในอังกฤษพระราชดำรัสของสมเด็จพระราชินีนาถ ต้องส่งให้นายกรัฐมนตรีเห็นชอบ จึงจะพูดกับประชาชนได้ มีข้อยกเว้นอยู่ 2 พระราชดำรัสที่ไม่ต้องขอความเห็นชอบนายกรัฐมนตรี คือ ๑. พระราชดำรัสเนื่องในวันคริสต์มาสสำหรับเครือจักรภพทั้งหมด ๑๖ ประเทศ และ ๒. พระราชดำรัสให้เครือจักรภพในวันสถาปนาเครือจักรภพ จะเห็นได้ว่าเมืองไทยไม่มีธรรมเนียมนี้ พระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเป็นเรื่องของพระองค์ท่านโดยแท้
หลายประเทศเอาธรรมเนียมอังกฤษไปปฏิบัติ รวมทั้งไทยก็ถือคติว่าพระมหากษัตริย์ไทยจะไม่มีพระราชดำริทางการเมือง เพราะทรงทำตามคำแนะนำของนายกรัฐมนตรี เรื่องนี้อยู่ในรัฐธรรมนูญ ม.๑๙๕ มันเป็นหลักเดียวกับของอังกฤษ และผมให้ข้อสังเกตว่าอังกฤษนั้น พระราชินีนาถจะไม่ค่อยปรากฏพระองค์ต่อสาธารณะ และเป็นสถาบันที่ลึกลับ สูงส่ง เพราะสืบทอดอารยธรรมมาเป็นพันปี ถ้าเป็นกลุ่มที่สองคือกษัตริย์ในกลุ่มสแกนดิเนเวีย เช่น เนเธอร์ แลนด์ สวีเดน นอร์เวย์ เดนมาร์ก ก็ใช้ธรรมเนียมเดียวกับของอังกฤษ แต่วางพระองค์ต่างจากอังกฤษ คือ กลุ่มที่สอง เป็นสถาบันที่ทำตัวเหมือนประชาชน”
ศ.ดร.บวรศักดิ์ ยังกล่าวว่าพระราชอำนาจของพระมหากษัตริย์ไทยนั้นเสมือนเป็น “กลุ่มที่สาม” คือการรวมเอากลุ่มแรกและกลุ่มที่สองเข้าด้วยกัน “….ประเทศ ไทย ผมให้เป็นกลุ่มที่สาม เพราะของไทยเราจะมีลักษณะที่อยู่ระหว่างกลุ่มที่ ๑ และกลุ่มที่ ๒ ว่าเรามีสถาบันพระมหากษัตริย์มายาวนาน สืบทอดอารยธรรม วัฒนธรรม เอกราช และความเป็นเอกภาพของคนไทย แต่พระองค์ท่านใกล้ชิดกับประชาชนมากกว่าสถาบันพระมหากษัตริย์ ในกลุ่มสแกนดิเนเวียด้วยซ้ำ คุณเคยเห็นไหม ที่ พระองค์เสด็จฯไปในทุกพื้นที่ที่เราไม่อยากไป เคยเห็นภาพหรือไม่ ที่ประทับนั่งบนพื้นดิน และทรงแผนที่ รับสั่งกับประชาชนด้วยคำสามัญ จากพระราชกรณียกิจในรัชกาลพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวองค์ปัจจุบัน ๖๕ ปีที่ทรงเสวยราชสมบัติ มีโครงการพระราชดำริ ๔๐๐๐ กว่าโครงการ และผมคิดว่า ถ้าควีนทำอย่างนี้ในอังกฤษ ก็ไม่แน่ว่าจะได้รับการยอมรับ เพราะเขาเน้นปฏิบัติตามจารีต…”
ผมจะขอสรุปถึงที่ไปที่มา และชุดความคิดตะวันตกที่ครอบงำรูปแบบการปกครองของไทยที่ทำให้คนไทยเริ่มไขว้ เขวและถกเถียงกัน ทั้งๆที่ไม่ได้รับรู้ที่และที่ไปอย่างแท้จริงดังนี้ครับ
๑.คนสยามหรือกระทั้งหลายๆอาณาจักรในเอเชียตะวันออก ล้วนมีคติความเชื่อโบราณ ความคิดเป็นเหตุเป็นผลจากศาสนาพุทธ ลัทธิเทวราชา การเวียนว่ายตายเกิด ผลบุญที่สั่งสมในอดีตชาติทำให้ในปัจจุบันชาติมีความเป็นอยู่ที่แตกต่างกัน จนเกิดเป็น “วรรณะ” หรือการแบ่งชนชั้น ซึ่งความเชื่อเหล่านี้ยากที่จะอธิบายให้คนต่างชาติเข้าใจ หรือกระทั่งในปัจจุบันหลายคนที่ศึกษาประวัติศาสตร์ก็ไม่มองจุดๆนี้ กลับเอาความคิดของตะวันตกมาตัดสินอดีตของคนตะวันออกอย่างไม่ใยดี
๒.สถานะของกษัตริย์หรือจักรพรรดิของคนตะวันตก(ยุโรป) จากเดิมมีความเชื่อเรื่องเทวดาเรื่องเทพเจ้า(ซึ่งเป็นเรื่องปกติของยุค โบราณ)ต่อมาเมื่อคริสต์ศาสนาเข้ามาในยุโรป สถานะของกษัตริย์จากเทพเจ้าก็กลับสู่สามัญเป็นคนธรรมดาในสายตาของราษฎรและ ขุนนาง เพียงแต่สถานะของกษัตริย์ถูกทำให้สูงขึ้นด้วยศาสนา คือเป็นกลุ่มคนที่ “เคร่งศาสนา” มากกว่าราษฎรทั่วๆไป และด้วยเหตุฉะนี้นักคิดของยุโรปเริ่มมองเห็น “ความเท่าเทียม” ในทุกระบบ ทุกคนล้วนมีสิทธิเท่าเทียมกัน ทุกคนมีสิทธิในการประกอบอาชีพ ทุกคนมีสิทธิในการใช้ทรัพยากรในประเทศ ซึ่งสิ่งเหล่านี้ “ขัดแย้ง” กับ “คตินิยม” ของคนตะวันออกเรียกได้ว่า “โดยสิ้นเชิง”
และเมื่อชนชาติยุโรปสามารถพัฒนาตนเองได้อย่างรวดเร็วและเรียกขานตนเองว่า “อารยะชน” เป็นชนชาติที่เจริญแล้วได้เริ่มออกขยายดินแดนอารักขา(ล่าอาณานิคม)หาพื้นที่ เพิ่มพูนทรัพยากรเพื่อป้อนโรงงานในช่วงปฏิวัติอุตสาหกรรม ชาติตะวันออกที่คนตะวันตกมองเห็นเป็น “คนป่า” (ตามบันทึกของคนตะวันตก) ไร้อารยะ และมีการกีดกัน กดขี่เสรีภาพอย่างมาก ในมุมมองของคนเหล่านั้นจึงกลายเป็น “เค้ก” ชิ้น ใหญ่ให้คนเหล่านั้นมาตัดแบ่งแสดงความเป็นเจ้าเขาเจ้าของ โดยอาศัยหลุมพรางทางการเมืองที่คนตะวันออกไม่เท่าทัน เพราะทั้งขาดผู้เชี่ยวชาญทางภาษาและนักการทูตที่เก่งกาจ
ตรงนี้ก็เป็นอีกจุดที่ทำให้ “นักวิชาการไทย” มองว่าเพราะความเชื่อบุร่ำบุราณของชาติเรานั้นเองได้ปิดกั้น “ความสามารถ” ของ ราษฎร และจำกัดความสามารถเหล่านั้นให้กับเชื้อสายอันศักดิ์สิทธิ์แห่งราชวงศ์ การส่งเสริมการเรียนล้วนมีแต่เจ้านายชั้นสูงเท่านั้นที่มีโอกาส การปิดกั้นการศึกษาให้กับราษฎรเพียงเพื่อ “อุบาย” ทางการ เมืองเพื่อไม่ให้ราษฎรฉลาดเท่าทันผู้ปกครอง ซึ่งอาจจะก่อปัญหาให้ชนชั้นผู้ปกครองได้ ซึ่งความคิดชุดนี้ของนักประวัติศาสตร์ที่มักจะกล่าวในยุคปัจจุบันก็เห็นได้ ว่า “มีอิทธิพล” ค่อนข้างมากในสังคม
ดังนั้นหากไม่ทำความเข้าใจประวัติศาสตร์ให้ดี ชุดความคิด “เจ้า-ขุนนาง-ไพร่” ก็จะออกมาวนเวียนซ้ำไปมาในสังคม ทั้งๆที่สิ่งเหล้านี้เป็นประวัติศาสตร์ที่แก้ไขไม่ได้แล้ว ความพยายามปลุกประวัติศาสตร์ทางชนชั้นมาพูดกันเพื่อ “หวังผล” บางอย่างในยุคสมัยประชาธิปไตยมันดูจะเป็นการ “จงใจ” ทำลายรากฐานของบ้านเมืองตนเองเสียมากกว่า

ประวัติศาสตร์มันก็เหมือน “ดาบโบราณ” นักประวัติศาสตร์บางคนอาจจะเห็นดาบโบราณนั่นเป็นเพียง “โบราณวัตถุ” ที่ต้องรักษาเก็บไว้ในตู้โชว์ นักประวัติศาสตร์บางคนอาจจะเห็นดาบโบราณนั่นแล้วตั้คำถามว่า “เคยเป็นดาบของใคร” แต่อย่างไรก็ไม่น่ากลัวเท่ากับนักประวัติศาสตร์ที่มองเห็นดาบโบราณนั่นเป็น ดัง “อาวุธ” ที่จะใช้ทิ่งแทงศัตรูที่ไม่มีดาบ ใช้ประวัติศาสตร์เพื่อทำลายอนาคตแบบนักวิชาการหลายๆคนผมว่าแบบนี้มันไม่ เหมาะสมครับ

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง