บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เล่นไพ่ ปรับครม.! ?

แม้วานนี้ (29 พ.ย.) ที่ประชุมครม.จะไร้เงาของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม เพราะผู้นำรัฐบาลต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน เนื่องจากอาการป่วย "อาหารเป็นพิษ" ก็ตาม ทว่าไม่ได้ทำให้จังหวะการเคลื่อนขยับทางการเมืองมีอันต้องชะงักไปแต่อย่างใด !
องศาทางการเมืองกำลังเดินไปสู่ความเข้มข้น หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมและหลังจากที่วิกฤติน้ำซึ่งเคยทำเอา นายกฯยิ่งลักษณ์ และครม. จวนเจียนต้องเกือบเอาตัวไม่รอด ด้วยข้อหา "ล้มเหลว" จากการบริหารจัดการน้ำ ทำให้ประชาชนเกือบสามสิบจังหวัด  ไล่ตั้งแต่ชาวนครสวรรค์ จนมาจนถึงกรุงเทพฯชั้นใน พากันทุกข์ถ้วนหน้า
ภาพความเดือดร้อน แสนสาหัสของชาวจำนวนมาในแต่ละวันที่มีขึ้นผ่านสื่อเป็นเวลาเกือบสองเดือนก่อนหน้านี้ ผสมปนเปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากซีกฝ่ายค้าน

ตลอดจน "นักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ" ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบ สร้างแรงกระแทกทำให้หัวขบวนตั้งแต่นายกฯยิ่งลักษณ์ ไปจนถึงข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง ต่างซวนเซ แทบเสียศูนย์ ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ที่สุดแล้วเมื่อสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วม เริ่มคลี่คลาย ในบางพื้นที่ประชาชนเริ่มกลับเข้าไปยังที่อยู่อาศัยของตนเองได้แล้ว ประกอบกับศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา ที่ผ่านมานั้น แม้จะมีรายการ "บาดเจ็บ" กันอยู่บ้างก็ตาม
ทั้งนี้ในภาพรวมต้องถือว่า พล.ต.อ.ประชา สามารถเอาตัวรอด และ "สอบผ่าน" การตรวจสอบของฝ่ายค้านมาได้อย่างหวุดหวิด !
อย่างไรก็ดีเมื่อล่าสุดเวลานี้มีความชัดเจนว่าหลังน้ำลด หลังจากศึกซักฟอกในสภาได้ปิดฉากลงไปแล้วก็ตาม หากแต่การเคลื่อนไหวในทางการเมืองนั้นยังคงเป็น "วาระ" ที่ต้องถูกดำเนินต่อไป เพื่อสนองตอบต่อ "ภารกิจใหญ่" ของตัวพ.ต.ท.ทักษิณ เอง
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าการปรับครม.ครั้งใหม่ จาก "ยิ่งลักษณ์1" ไปสู่ "ยิ่งลักษณ์ 2" ยังอาจมีวาระแฝง นั่นคือการ "สยบ" แรงกระเพื่อม และความวุ่นวายภายในขุมข่ายอำนาจในมือของอดีตนายกฯทักษิณ เองอีกด้วย
และขุมข่ายอำนาจที่ว่านั้น แน่นอนว่าย่อมกินวงกว้าง ครอบคลุมไปถึงกลุ่มก๊วนในพรรคเพื่อไทย -บรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111-"คนเสื้อแดง" ยังไม่นับรวมไปถึง "รัฐมนตรี" ในปัจจุบันที่กำลังนั่งอยู่ในแต่ละเก้าอี้ ว่าเมื่อถึงเวลาที่ "นายใหญ่-นายหญิง" มี "บัญชา" ลงมาแล้วว่า "ใคร" ควร "อยู่" หรือ ใคร ต้อง "ไป" แล้วจะไม่มีอาการ "โวยวาย" ก่อหวอดให้เจ้าของรัฐบาลต้องรำคาญใจ
ทั้งนี้ในสภาพความเป็นจริงแล้ว ปัญหาและความวุ่นวายภายในพรรคเพื่อไทย และในครม.นั้นอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายต่อการบริหารจัดการได้ดั่งใจนึก เพราะแม้ในด้านหนึ่งจะเคยมีการเปรียบเปรยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ "คุณหญิงอ้อ" คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร  จะมี "ไพ่" ในมืออยู่ด้วยกันหลายหน้าก็ตาม
จนถือเป็นความได้เปรียบในทางการเมือง ว่าเมื่อใดควรที่จะทิ้งไพ่ ใบใดลงมา และเมื่อใดที่สถานการณ์กำลังตกเป็นรอง " ไพ่" หน้าไหนควรถูกเปิดออกมาล่อหลอก "ฝ่ายตรงข้าม" ก็ตาม
ถึงกระนั้นภายใต้ความได้เปรียบในทางการเมืองเช่นนี้ ย่อมต้องสร้างแรงเสียดทานให้เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มก๊วนใดในพรรคต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบขึ้นมา 
เมื่อไพ่มีให้เล่นหลายหน้า แต่การเล่นไพ่แต่ละหน้า แต่ละคราวของทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงอ้อ เองต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังอยู่ไม่น้อย
การปรับครม.ไปสู่ "ยิ่งลักษณ์ 2" หากจำต้องมีขึ้นจริงนั้น ย่อมต้องเป็นเงื่อนไขที่มีขึ้นเพื่อ หนึ่ง เรียกคืนความเชื่อมั่นของรัฐบาลกลับมาให้เร็วที่สุด มากที่สุด และสอง เพื่อตอบสนองกลุ่มการเมืองในมือ ให้ทุกฝ่ายอยู่ในอาการ "ปั่นป่วน" น้อยที่สุด
ไม่เช่นนั้นแล้ว "แรงกระเพื่อม" ที่จะเกิดขึ้นอาจทำให้ "งานใหญ่" ที่ถูกจัดคิวเอาไว้ มีอันต้องสะดุดก่อนถึงเวลา ..
การปรับครม. ที่กำลังถูดจับตาและประเมินกันว่าน่าจะมีขึ้นหลังปีใหม่ นั้นย่อมเป็นเพียงการ "ปรับเล็ก" อุ่นเครื่องรอ "ของจริง" กลับลงสังเวียนหลังเดือนพ.ค. ปีหน้า ต่างหาก
และเมื่อใดก็ตามที่มีการปรับรื้อครม.ครั้งใหญ่ มีขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงอ้อ สามารถส่ง "ตัวจริง" ลงสนามรบ เมื่อใดแล้ว "จุดเปลี่ยน" ทางการเมือง อาจกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นทุกขณะ !
ทีมข่าวคิดลึกสยามรัฐ

ประกันแจง‘ซ่อมรถจมนำ’ เริ่ม 8 พันบาท-มิดคันจ่ายเต็ม/ราคาเดียวทั่วประเทศ






ส.วินาศภัย >> คลอดแล้วราคากลางค่าซ่อมรถจมน้ำ เผย 3 ฝ่าย คปภ.-ส.วินาศภัย-อู่ แบ่งความเสียหายเป็น 4 ระดับตามปริมาณน้ำท่วม ต่ำสุดแค่พรมค่าแรงซ่อมเริ่มต้น 8,000 บาท สูงสุดท่วมมิดคันจ่ายเต็มทุนประกัน ย้ำราคานี้ไม่รวมค่าอะไหล่ตัวแปรซ่อมแพงหรือถูก จะอยู่ที่ประเภทรถ ความยากง่ายในการซ่อม ระบบไฟฟ้า ระยะเวลาซ่อม ยกเคสเบนซ์ รื้อพรมอย่างเดียวค่าแรง 5,500 บาทแล้ว ชี้อู่สมาชิกสมาคมสหมิตร-อู่กลางและอู่คู่สัญญาบริษัทประกัน 500-600 แห่งทั่วประเทศใช้ราคานี้ ส่วนรถไม่มีประกันทำใจอาจถูกชาร์จค่าซ่อมแพง ย้ำถ้ารถถูกน้ำท่วมห้าวสตาร์ทเด็ดขาดไฟฟ้าลัดวงจรเสียหายหนัก คาดรถจมน้ำถึง 3 หมื่นคันแต่มีประกันชั้น 1 ราว 2 หมื่นคันค่าเสียหาย 2-3 พันล้าน

นายพันธ์เทพ ชัยปริญญา ประธานชมรมสินไหมยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวกับ”สยามธุรกิจ”ว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย(คปภ.) สมาคมประกันวินาศภัยและสมาคมสหมิตรอู่ซ่อมรถยนต์ได้ประชุมร่วมกันกำหนดราคา กลางค่าซ่อมรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมซึ่งจะแบ่งตามระดับความเสียหายที่ถูกน้ำท่วม โดยมีข้อสรุปการประเมินความเสียหายเบื้องต้นแบ่งออกเป็น 4 ระดับได้แก่ระดับ A น้ำท่วมถึงส่วนบนพรมและพื้นรถ มีรายการซ่อมทั้งหมด 15 รายการ อาทิ ถอดพรมซักล้าง อบแห้ง ,ล้างทำความสะอาดห้องเครื่องเป่าแห้ง ถอดกล่องควบคุม(ECU)เป็นต้น ค่าแรงซ่อม(ไม่รวมค่าอะไหล่) ประมาณ 8,000-10,000 บาท 2.ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง มีรายการซ่อมทั้งหมด 26 รายการ อาทิ การถ่ายน้ำมันเครื่องเกียร์เฟื่องท้าย ,ถอดทำความสะอาดแผงประตูทั้ง 4 ด้าน ,กรองน้ำมันเครื่องกรองอากาศ เป็นต้น ค่าแรงซ่อมประมาณ 15,000-20,000 บาท 3.ระดับ C น้ำท่วมถึงหน้าปัดเรือนไมล์และคอนโซล มีรายการซ่อมทั้งหมด 39 รายการ อาทิ ชุดอีโมไรท์เซอร์/ระบบGPS ที่ติดมากับรถ,ไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ท่อไอดี ห้องเผาไหม้ ,ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง ,ระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า, ถอดเครื่องเช็คตู่แอร์ มอเตอร์ โบวเวอร์ เซ็นเซอร์ เป็นต้น ค่าแรงซ่อมประมาณ 20,000-30,000 บาท และ 4.ระดับD น้ำท่วมถึงส่วนบนหลังคาหรือมิดคัน เช่น รถยนต์ฮอนด้าในโรงงานผลิตที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะกว่า 200 คันที่ท่วมมิดหลังคา เป็นต้น หากประเมินความเสียหายค่าซ่อมรวมค่าอะไหล่มูลค่าเกิน 70% ของราคารถหรือใกล้เคียง บริษัทประกันภัยสามารถให้คำแนะนำผู้เอาประกันภัยรับค่าสินไหมทดแทนเต็มทุน ประกันภัยได้ หากผู้เอาประกันภัยไม่ใช้สิทธิ์ดังกล่าวแต่ต้องการจะนำรถเข้าซ่อมบริษัท ประกันภัยจะจ่ายค่าซ่อมไม่เกิน 70% ของทุนประกันภัย

“การกำหนดราคากลางค่าซ่อมรถถูกน้ำท่วมออกมาเพื่อแก้ไขฟื้นฟูให้เจ้าของรถผู้ เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายโดยเฉพาะ จะใช้เป็นราคากลางกับอู่ที่เป็นสมาชิกสมาคมสหมิตรซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นอู่ใน เครือบริษัทประกันภัย ขณะที่อู่สมาชิกสมาคมสหมิตรเองส่วนหนึ่งก็เป็นสมาชิกอู่กลางประกันภัยเช่น กัน ซึ่งทั้งสมาคมสหมิตรและอู่กลางประกันภัยมีสมาชิกอู่ซ่อมรถยนต์ทั่วประเทศ ประมาณ 500- 600 อู่ พูดง่ายๆคือรถที่มีประกันชั้น 1 ใช้ราคาซ่อมนี้เป็นราคาอ้างอิง ขณะที่อู่ทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกใช้ราคานี้ได้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของ อู่ โดยราคานี้รวมค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ แล้ว ซึ่งราคาที่ว่านี้เป็นราคาซ่อมในช่วงปกติที่ไม่เกิดน้ำท่วม”

อย่างไรก็ดี นายพันธ์เทพกล่าวว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคาประมาณการณ์เบื้องต้นหากน้ำท่วมถึง 4 ระดับที่ว่าค่าซ่อมน่าจะอยู่ในเกณฑ์นี้ แต่ทั้งนี้ราคาซ่อมอาจจะแพงกว่านี้ขึ้นอยู่ประเภทรถ อาทิ รถเก๋ง รถกระบะ ยกตัวอย่างรถเบนซ์แค่รื้อเบาะอย่างเดียวเฉพาะค่าแรงประมาณ 5,500 บาทแล้ว อีกทั้งยังมีปัจจัยในเรื่องความยากง่ายในการซ่อม, อุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆนำเข้าหรือไม่, ระบบไฟฟ้าอย่างรถบางประเภทอุปกรณ์ภายในเป็นระบบไฟฟ้า มีสมองกลความจำ ,ขั้นตอนการซ่อมยากหรือง่าย ระยะเวลาในการซ่อมรวมไปถึงมีอุปกรณ์อื่นๆ เสียหายเพิ่มเติมหรือไม่

“เมื่อรถจมน้ำสิ่งแรกที่ต้องทำคือห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาดเพราะถ้าน้ำท่วมพื้น พรมระบบไฟฟ้าต่างๆ อยู่ใต้พื้นพรมถ้าสตาร์ททำให้ไฟฟ้าเกิดลัดวงจรจะลามไปยังส่วนอื่นๆทำให้เสีย หายเพิ่มขึ้นหากไม่มีประกันภัยจะมีปัญหาจัดหาอะไหล่ ดังนั้นควรจะตรวจสอบน้ำท่วมถึงระดับน้ำมันเครื่องหรือไม่ดูจากสีถ้าเป็นสี น้ำนมแสดงว่ามีน้ำเข้าไปในห้องเครื่องหรือถอดที่กรองอากาศออกมาดูแห้งหรือ ชิ้นถ้าชื้นแสดงความน้ำเข้า เป็นการตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้น”

สำหรับรถที่ไม่มีประกันภัยชั้น 1 และถูกน้ำท่วมซึ่งต้องจ่ายค่าซ่อมเอง นายพันธ์เทพกล่าวว่า สามารถใช้ราคาค่าซ่อมนี้เป็นราคาอ้างอิงได้ แต่เจ้าของรถต้องทำใจอาจจะต้องถูกชาร์จค่าซ่อมแพงกว่านี้เพราะตามข้อเท็จ จริง ถ้าซ่อมอู่ที่ไม่รู้จัก เช่นคาร์แคร์ หากน้ำท่วมถึงระดับ A ค่าแรงซ่อมอาจจะเป็น 10,000 บาทหรือ 15,000 บาท แล้วแต่ประเภทรถ

นายพันธ์เทพกล่าวว่า รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมอาจจะถึง 30,000 คันแต่ที่ประกันชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองรถยนต์ถูกน้ำท่วมและแจ้งเคลมมาแล้วประมาณ 20,000 คัน ค่าเสียหายประมาณ 2,000 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท

ก่อนหน้านี้นายสมพร สืบถวิลกุล ประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยกล่าวว่า
การกำหนดราคากลางค่าซ่อมรถยนต์ถูกน้ำท่วมเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการจ่ายค่า ซ่อมของทั้งธุรกิจจะมีการทำเป็นตกลงร่วมกัน ทำให้ลูกค้าได้รู้เสียหายระดับค่าซ่อมควรจะเป็นเท่าไหร่และให้ผู้เอาประกัน นำรถเข้าซ่อมได้ทันทีโดยไม่ต้องมาประเมินค่าเสียหายอีก โดยราคานี้รถทั่วไปที่ไม่ได้มีประกันภัยสามารถใช้เป็นราคาอ้างอิงได้

ขณะเดียวกัน บริษัทประกันภัยมีข้อตกลงร่วมกันจ่ายค่าซ่อมภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ตกลงราคาค่าซ่อมกันแล้ว โดยที่ลูกค้าที่รถได้รับความเสียหายเกิน 70% ของทุนประกันขึ้นไปผู้เอาประกันสามารถเลือกที่จะรับค่าสินไหมทดแทนสิ้น เชิง(เต็มทุนประกัน)หรือจะเลือกรับสิทธิ์การซ่อมก็ได้เป็นข้อตกลงกับ ทุกบริษัทสมาชิกที่จะปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน

คาดว่าจะมีรถยนต์ที่ทำประกันชั้น 1 ถูกน้ำท่วมประมาณ 20,000 คัน เฉลี่ยค่าซ่อมคันละ 100,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนประมาณ 2,000 ล้านบาท

ตอบโจทย์ : ข้อเสนอนิติราษฏร์








Boon Wattanna ผิดกาลเทศะ กฎหมายมาตรา 112 ควรได้รับการแก้ไข แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เหมาะสม
เห็นด้วยกับอาจารย์สุลักษณ์ ทุกข้อ การปกป้องเป็นพิเศษรังแต่จะทำให้เกิดความเสื่อม แต่เมื่อพิจารณาในบริบทของสังคมไทยปัจจุบัน ความขัดแย้งยังมีอย่างสุดโต่ง ผู้คนส่วนใหญ่เทิดทูนสถาบันกษัตริย์ ยิ่งเมื่อเรามีในหลวงที่ทรงทศพิธราชธรรม แต่ในอีกฟากหนึ่ง ก็มีฝ่ายการเมืองที่จ้องจะทำลายสถาบัน เพราะเห็นว่า ความศรัทธาของประชาชน เป็นอุปสรรคในการแสวงหาอำนาจที่สมบูรณ์ของพวกเขา
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ต้องใช้มาตรา 112 ใช้แค่กฎหมายหมิ่นประมาทก็สามารถจัดการได้แล้ว ปัญหาคือรัฐบาลไม่ยอมทำ ฝ่ายตำรวจก็ตกเป็นเครื่องมือของนักการเมือง คอยกลั่นแกล้งผู้บริสุทธิ์ การที่คุณพงษ์พัฒน์ วชิระบรรจง ได้รับหมายเรียกจากตำรวจเป็นตัวอย่างที่ดี ของการใช้กฎหมายอย่างไม่เหมาะสม

สรุป ควรแก้ที่คน คือตำรวจก่อน โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างชาญฉลาด ไม่ใช้ 112 พร่ำเพรื่อ การเปิดเรื่องมาตรา 112 เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะในปัจจุบัน ควรหยุดเรื่องนี้ และใช้สื่อในเชิงสร้างสรร เช่น เผยแพร่พระราชกรณียกิจของในหลวงและพระบรมวงศานุวงศ์ให้มากขึ้น











Chor Chang อ.วรเจตต์ พูดยังกับไม่รู้ว่าการเลือกตั้งมันไม่ได้บริสุทธิ์ แล้วไปให้ความสำคัญกับการอดทนเพื่อให้รัฐอยู่ให้ครบวาระ อดทนเพื่อให้ประชาธิปไตยแข็งแรง ขึ้น แล้วให้ประชาชนตรวจสอบ แล้วตัดสินโดยประชาชน ถ้ารัฐบาลโกงแหลก เผด็จการ บ้าอำนาจ มีสื่ออยู่ในมือ แล้วประชาชนทำอะไรได้หว่า?? มันจะใช่เพื่อให้ประชาธิปไตยแข็งแรงจริงหรือไง แล้วที่สำคัญ ทำไมประชาชนต้องทนด้วยล่ะ

ถ้านักวิชาการอาศัยแต่หลักการ รูปแบบ หลักทฤษฎี แต่ไม่รู้ว่าความเป็นจริงมันเป็นไปตามหลักการมั้ย แล้วออกมาเป็นแกนหลักในการเรียกร้องเพื่อมวลชน แบบนี้ ใครจะไม่คิดว่าเป็นเครื่องมือของใครได้ ให้ยอมรับการเลือกตั้งเป็นหลักของประชาธิปไตย มันก็ถูกถ้ามองตามหลักที่ควรจะเป็น แต่ไม่ใช่ว่า ต้องยอมรับการเลือกตั้งที่คนชนะได้มาด้วยการซื้อเสียงไม่ใช่เหรอ? แบบนี้มันใช่ประชาธิปไตยหรือไงหว่า ?





รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง