บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2554

โธ่! รัฐสภาไทย


ปีติชา ทุมเทียง
ประชาชน ที่เป็นเจ้าของประเทศไทยที่มีจิตสำนึก คงได้ฟังการแถลงนโยบายของรัฐบาล ที่ถ่ายทอดทางสถานีโทรทัศน์แห่งประเทศไทย เมื่อวันที่ 23-25 สิงหาคม 2554 สมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (ส.ส.) และสมาชิกวุฒิสภาร่วมประชุมที่รัฐสภาแห่งชาติ ได้ฟังวาทะ ได้เห็นท่าทาง วางบทบาทของ “ผู้ทรงเกียรติ” ที่แสดงออก ตามบทบาทหน้าที่เป็นผู้แทนของปวงชนชาวไทย ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด…..
ผู้ เขียนตั้งความหวังไว้สูงที่จะได้เห็น ความจริง ความดี ความงาม ความสบายใจ ได้เห็นแบบอย่าง ความมีมาตรฐานความคิด จิตใจ การแสดงออกของ “ผู้ทรงเกียรติ” ในรัฐสภา สถานที่ศักดิ์สิทธิ์ ศูนย์รวมใจของคนในชาติ ที่ต่างก็ตั้งความหวังรอคอยอยู่ทั่วทั้งแผ่นดิน
แต่ก็ต้องผิดหวังอย่างรุนแรงที่สุด
รัฐสภา เป็นสถานที่ทรงเกียรติภูมิ มีศักดิ์ศรี ความศักดิ์สิทธิ์ ที่ชาติบ้านเมืองหลอมรวมไว้ ให้มีความเป็นชาติที่แสดงถึงความเป็นอารยะ ที่ได้สั่งสมสืบทอดกันมายาวนาน ต้องเป็นศูนย์รวมของสัตบุรุษ (คนดี) ที่เข้ามาสร้างสรรค์ ความดี ความงาม ให้แก่บ้านเมือง….
แต่สองสามวันดังกล่าว รัฐสภาไทยได้ถูกย่ำยีให้ป่นปี้ยับย่อย ไปด้วยพฤติกรรมของทุรชนคนพาลส่วนหนึ่ง ที่ผ่านด่านการเลือกตั้งที่เป็น มายาประชาธิปไตย เรียบร้อยแล้ว…..!!!
ประการแรก รัฐสภาได้กลายเป็นแหล่งชำระ..ทดแทน..เอาคืน..แสดงวาทกรรม ที่มีแต่แฝงเร้นไปด้วยความสับปลับ ไม่จริงใจ ไม่คำนึงถึงสัจจะ ความจริง ความดี ความงาม ที่พึงมีตามหลักแห่งคุณธรรม มีการจัดตั้งกองกำลังคอยเฝ้าระวัง บดขยี้ ในมติที่ฝ่ายตนเพลี่ยงพล้ำ
ด้วย หลงไปว่าสิบหกล้านเสียงเป็นพลังสำคัญ ที่ยกมาขย่มฝ่ายตรงข้ามให้ยอมศิโรราบ มีการวางบทบาทตัวแทนที่ด้านพอ ออกปะทะคารมอย่างไม่ลดละ จนเป็นเวทีแห่งความเฉโก (ความเห็นแก่ตัว) อย่างไม่ละอายใจ ไม่ยำเกรงต่อสถานที่ ความศักดิ์สิทธิ์ และไม่เกรงใจประชาชนเจ้าของประเทศ ที่หย่อนบัตรลงคะแนนให้ถึงสิบหกล้านเสียงไปนั้น
ประการที่สอง วาจาท่าทางที่เหล่า “ผู้ทรงเกียรติ” แสดงออกในรัฐสภาในวันดังกล่าว มันห่างจากมาตรฐาน จริยธรรม หลักธรรมที่พึงมี มันต่ำกว่ามาตรฐานที่ควรจะมีอยู่ในสังคมไทย วาจาที่ก้าวร้าว ข่มขู่ คุกคาม ท่วงท่าที่อหังการ การแสดงออกของการมุ่งชำระ..สะใจ ไม่คำนึงถึงความถูกต้อง ผิด ถูก ชั่ว ดี…เมื่อห่างจากธรรมะ แสดงถึงจิตที่จำแนกได้ยาก
“ธรรมะนี้เพื่อความผิดแปลกแตกต่างจากสัตว์” รัฐสภาจะเสื่อมถอยด้วยการกระทำดังกล่าวอย่างน่าเป็นห่วง…เมื่อวาจาสุภาษิต ที่ยึดมั่นในความจริง ความดี วาจาที่เป็นประโยชน์ต่อส่วนรวมไม่มี รัฐสภาก็ตกอยู่กับผู้มีจิตใจเป็นพาล ปราชญ์กล่าวไว้ว่า “อันว่าผู้ใดมีความพาล เรามิเห็นผู้นั้นสมควรจะมีอำนาจอยู่ในมือ”……!!!
ประการที่สาม รัฐสภามิบังควรจะให้เป็นสถานที่ ระบายความแค้น ความอึดอัด คับข้องใจ เป็นที่ตอบแทนบุญคุณ…เป็นที่ฟอกตัว ยอยกคนผู้ใดผู้หนึ่ง…มิบังควรจะเป็นที่ประกาศปักธงแห่งชัยชนะของใคร…เป็นที่ ประลองกำลังของการช่วงชิงอำนาจ และผลประโยชน์ของกลุ่มใดๆ
รัฐสภา ต้องเป็นสถานที่มีเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี และคงความศักดิ์สิทธิ์ เป็นของประชาชนที่ใครเข้าไปจะต้องให้ความเคารพ ยำเกรง พิทักษ์รักษา ไม่ให้มีความหมองมัวด้วยประการใดๆ…หาไม่แล้วประชาชนก็มีสิทธิ์อันชอบธรรม ที่จะปกป้อง คุ้มครอง ให้คงคืนแห่งความศักดิ์สิทธิ์ เกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี อย่างสุดจิตสุดใจ
ประการที่สี่ บทบาทพฤติกรรมที่เกิดขึ้นในรัฐสภา จะส่งผลต่อพฤติกรรมของคนในชาติ โดยเฉพาะเด็ก เยาวชน จะเลียนแบบ สั่งสมบ่มเพาะพฤติกรรมทั้งมวลไว้ กลายเป็นค่านิยม ความประพฤติ เป็นความเคยชิน เป็นวัฒนธรรมประจำชาติ ที่ส่งผลต่อเศรษฐกิจการเมือง สังคม วัฒนธรรม จนฝังลึกอย่างน่าเป็นห่วงยิ่ง
หวนถึงเพลงยาวก่อนเสียกรุงศรีอยุธยา ครั้งกระโน้นที่เป็นวิกฤติของชาติที่กล่าวไว้ว่า…
“…..จึง เกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ/ คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพ/ อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน/ มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ/ เกิดนิมิตพิสดาทุกบ้านเมือง/ พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก/ อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง/ ผีป่าจะวิ่งเข้าสิงเมือง/ ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร/ พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี/ พระกาฬกาลีจะเข้ามาเป็นไส้/ พระธรณีจะตีอกไห้ ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ/ นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย/ กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย/ น้ำเต้าเคยลอยจะถอยจม/ ผู้ดีจะเดินตรอก ขี้ครอกจะเดินถนน……”
……ฯลฯ……
บ้านเมืองกำลังจะก้าวเข้าสู่ยุคเข็ญนั้น ฤๅไฉน? จึง ขอเรียกร้องทวงคืนเกียรติภูมิ ศักดิ์ศรี ความศักดิ์สิทธิ์ของรัฐสภาไทย เพื่อให้ชาติบ้านเมืองก้าวขึ้นสู่อารยะ จรรโลงความมั่นคง เจริญก้าวหน้า ตามระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไปชั่วนิจนิรันดร……….
ขอขอบคุณ ไทยโพสต์

ห้ามกระพริบตา – Final Cut


กอร์ปศักดิ์ สภาวสุ

     Final Cut  มาเร็วกว่าที่คิด
     วันนี้ครม.เห็นชอบโครงการรรับจำนำเรียบร้อยแล้วครับ กล้าทำกว่าที่ผมคิดไว้มากทีเดียว
     เนื้อหาการเดินหน้าโครงการไม่ได้ต่างไปมากนักจากเวอร์ชั่น Producer’s cut ต่างที่แนวทางการใช้เงิน เห็นชัดเจนขึ้นว่ารัฐบาลเตรียมเดินหน้าเต็มสูบ
      รัฐบาลพร้อมซื้อข้าวเปลือก 25 ล้านตัน ผมกะไว้ 30 ล้านตัน แสดงว่าน้ำท่วมนาเสียหายมากกว่าที่คิด
      คณะ รัฐมนตรีอนุมัติเงินให้ธกส.ไว้รับซื้อข้าวเปลือก 410,000 ล้านบาท และค่าบริหารโครงการอีกเกือบ 26,000 ล้านบาท รวมเป็นเงิน 436,000 ล้านบาท ผมประมาณไว้ที่ 500,000 ล้านบาทบวกลบ ถือว่าใกล้เคียง
     คณะรัฐมนตรีอนุมัติครั้งเดียวทั้งหมดประมาณ 436,000 ล้านบาท แบ่งเป็นสองส่วน
      ส่วนที่ 1. อนุมัติ 410,000 ล้านบาทให้ธกส.  โดยให้ธกส.ใช้เงินของธนาคารลุยซื้อข้าวเปลือกไปก่อน ด้วยวงเงิน 90,000 ล่้านบาท อีก 320,000 ล้านบาท มอบให้คลังไปหาวิธีกู้เงินให้ ธกส.ในภายหลัง
     ส่วนที่ 2. อนุมัติตั้งงบประมาณปี 2555  วงเงินที่เรียกว่าเป็นการจ่ายขาด 25,547.647 ล้านบาทเป็นค่าบริหารโครงการ
     อธิบายได้อย่างนี้ครับ
     สำหรับส่วนที่ 1. เป็นวงเงินรับซื้อข้าวเปลือกล้วนๆ ซื้อแพง ขายถูก หรือซื้อแพงแต่ขายเก่ง  ขายได้ราคาสูงกว่าที่ซื้อ   ต้องนั่งชมกันอย่างไม่กระพริบตาต่อจากนี้ไป  รวมทั้งช่วยกันตรวจสอบว่าตอนซื้อข้าวเปลือกจะไม่มีการเวียนเทียนข้าว   หมายถึงข้าวล๊อตเดียวแต่ซื้อหลายครั้ง  หรือไม่ใช่ซื้อข้าวจากเพื่อนซี้ที่อยู่ติดชายแดน
    ขาดทุนหรือกำไร รออีกอย่างน้อยปีครึ่งตัวเลขถึงจะออก  ถ้าขาดทุนท่านผู้อ่านในฐานะผู้เสียภาษี เตรียมจ่ายเงินจากงบประมาณแผ่นดินได้เลย  ถ้ามีกำไรต้องขอคารวะสามจอก (ผมคาดว่าจะขาดทุนประมาณแสนล้าน)
      ส่วนที่ 2. เป็นค่าบริหาร  เห็นชื่อที่เรียกก็ขนลุกเกลียวแล้ว  ราชการเขาเรียกว่า “จ่ายขาด” ขาดจริงๆ ครับเพราะไม่ว่าส่วนที่ 1 จะกำไรหรือขาดทุนก็ไม่เกี่ยว  ส่วนจ่ายขาดยังคงเป็นค่าใช้จ่าย หลีกเลี่ยงไม่ได้
      จ่ายใครบ้าง  จ่ายโรงสี  เจ้าของโกดังและหน่วยงานของรัฐบาล
1. จ่ายธกส. 14,882.41 ล้านบาท  เป็นค่าดอกเบี้ยและบริหารสินเชื่อ
2. จ่ายโรงสี จ่ายเจ้าของโกดัง ผ่าน อคส. อตก. 9,958.317 ล้านบาท  เป็นค่าบริหาร ค่าสีข้าว และค่าเช่าโกดัง
3. จ่ายกระทรวงพานิชย์ 498.00 ล้านบาท เป็นค่าบริหาร กำกับ ดูแล และประชาสัมพันธ์ (105.5 ล้านบาท)
4. จ่ายกระทรวงเกษตร 208.92 ล้านบาท เป็นค่าบริหารจัดการการขึ้นทะเบียน  รั่วไหลหรือไม่  หลับตานึกภาพเอาเอง
     เกิดจากท้องพ่อท้องแม่เพิ่งจะได้ประสบพบเห็นเป็นครั้งแรกในชีวิตต้องร้อง “OMG พระเจ้าช่วย กล้วยทอด” รัฐบาลของน้องสาวพตท.ทักษิณอนุมัติวงเงินใช้จ่ายครั้งเดียว เกือบ 5 แสนล้านบาท เพื่อใช้จ่ายเพียง 1 ปี
      เห็นตัวเลขแล้วท่านผู้อ่านในฐานะเจ้าของเงินหน้ามืดตาลาย  คล้ายจะเป็นลมไปแล้วหรือยังครับ
…………………………………………………………………………………………………………..
ขอขอบคุณ….กอร์ปศักดิ์ สภ

ตัวจริง ที่ "นาย" ไว้ใจ !

ย่าง เข้าสัปดาห์ที่สามของการบริหารงานรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 1" แต่ดูเหมือนว่าสั่นกระเพื่อมที่เกิดจากการปรับทัพข้าราชการชนิด "บิ๊กล็อต"ยังคงเดินหน้าต่อไป อย่างเข้มข้น !
     บ้างว่ากันว่านี่เป็นเพียงความ "บังเอิญ" ที่เอื้อให้รัฐบาลใหม่อาศัยจังหวะเหมาะ ในการจัดสรร วางค่ายกล "ข้าราชการ" กันใหม่ เพราะเข้ามาทำงานในช่วงฤดูกาลแต่งตั้งโยกย้ายพอดิบพอดี
     บ้างก็ว่านี่เป็นรายการ "ตัดไม้ข่มนาม" ของขั้วอำนาจฝ่าย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เพื่อกำราบไม่ให้ "ฝ่ายตรงข้าม" ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านการมาใหม่ของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
     แน่นอนว่าการโยกย้ายข้าราชการชนิดยกล็อตของรัฐบาลชุดนี้ จะว่าไปแล้ว "รูปแบบ"และ "วิธีการ" ที่นำมาใช้เขย่าในแต่ละกระทรวง แต่ละหน่วยงานนั้น มีความใกล้เคียงกันแทบทั้งสิ้น นั่นคือทุบให้ช้ำก่อนแล้วจึงลงมือ
" เชือด" เป็นรายๆ ตามคิวกันไป

     ล่าสุดมีทั้งรายการ "ย้ายฟ้าผ่า"และ ย้ายเพื่อ "ปูนบำเหน็จ" กันขึ้นที่กระทรวงยุติธรรม เมื่อเจ้ากระทรวงเสนอให้มีการโยกย้ายข้าราชการระดับสูง ระดับ 10ในเก้าอี้สำคัญแทบทั้งสิ้น ด้วยกัน 7 ราย 
     นายชาติชาย สุทธิกลม อธิบดีกรมราชทัณฑ์ ไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง  นาง สุวณา สุวรรณจูฑะ  อธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ ไปดำรงตำแหน่งรองปลัดกระทรวง  นายพิทยา จินาวัฒน์  รองปลัดกระทรวง ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ
    นางสุรีย์ประภา  ตรัยเวช  เลขาเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด(ป.ป.ส.) ไปดำรงตำแหน่ง รองปลัดกระทรวง พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันต์ชัย ผู้ตรวจราชการกระทรวงเทคโนโลยีและสารสนเทศ(ไอซีที) ไปดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์
     พ.ต.อ.ดุษฎี  อารยวุฒิ  ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม ไปดำรงตำแหน่ง เลขาธิการ สำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ  (ป.ป.ท.) และนายอำพล วงศ์ศิริ ย้าจจากเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามการทุจริตในภาครัฐ(ป.ป.ท.) ไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม

     ในรายของ พ.ต.อ.สุชาติ  ที่ถูกดันให้ขึ้นไปนั่งเป็น อธิบดีกรมราชทัณฑ์ นั้นต้องถือว่าเป็นการปูนบำเหน็จจาก "ผลงาน" ที่ได้เคยทำมาและเป็นที่พอใจของฝ่ายรัฐบาลยิ่งลักษณ์ นั่นคือการเข้าไปเกี่ยวข้องกับการเคลื่อนไหว "ยุบพรรคประชาธิปัตย์"
     และการมาของ พ.ต.อ.สุชาติ ในครั้งนี้ดูจะเป็นที่รับรู้กันเป็นอย่างดีถึงภารกิจอันสำคัญของเขานั้นมี เพียงประการเดียว นั่นคือการทำหน้าที่เบิกทางให้ "พ.ต.ท.ทักษิณ" ได้กลับบ้านโดยผ่านกระบวนการยื่นถวายฎีกา เพื่อขอนิรโทษกรรม
     อย่างไรก็ดี หากขมวดเรื่องราวที่กำลังเกิดขึ้นที่กระทรวงยุติธรรมย่อมจะเห็นได้ว่า นี่คือจุดใหญ่ใจความหลักๆ ที่มีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง และเป็นกระทรวงที่มีความหมายต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ
     โดยตรง เพราะต้องไม่ลืมว่า กระทรวงยุติธรรมคือ 1 ใน 5 กระทรวงหลัก ที่เคยมีข่าวว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ต้องเป็นผู้เลือกเฟ้นบุคคลที่เขาสามารถไว้วางใจได้เท่านั้นให้มานั่งใน เก้าอี้แห่งนี้ !
     ดูเหมือนว่างานนี้ "นายใหญ่" เลือก "ใช้คนได้ตรงกับงาน" เสียด้วย เพราะเมื่อเทียบน้ำหนัก กันชนิดปอนด์ต่อปอนด์แล้ว ระหว่างพล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม ผู้สวมบท "โลว์โปรไฟว์" กับรองนายกฯเฉลิม อยู่บำรุง ที่ออกมารับแสดงในทุกบทบาท
     ทั้งบท "องครักษ์" พิทักษ์นายกฯยิ่งลักษณ์ ในและนอกสภาแล้ว รองนายกฯยังคง "ยึดเวที" โชว์การแสดงผ่านสื่ออย่างต่อเนื่อง แล้วต้องถือว่า "ผลงาน" ที่ได้รับกลับมานั้นถือว่า "ห่างกันลิบลับ"
     ฝ่ายหนึ่งส่งเสียงและโชว์การแสดงชนิดรายวัน ด้วยท่าทีจริงจัง พราวด้วยลูกล่อลูกชน แต่ขณะเดียวกันตัวเขาเองก็อดที่จะหวั่นไหวไม่ได้ว่า "ที่ยืน" ที่กำลังปักหลักอยู่ในเวลานี้ คือ "ฐานที่มั่น" ถาวรได้ยาวนานแค่ไหน
     เพราะก่อนหน้านี้ "ทีมข่าวคิดลึก"ได้เคยนำเสนอไปแล้วว่า "คู่ปรับ" ที่น่ากลัวสำหรับ "ขุนศึกฝั่งธน" นั้นคงไม่มีใครเหนือไปกว่า "เจ้าแม่กทม." ที่ชื่อคุณหญิงสุดารัตน์ เกยุราพันธุ์ 
     เพราะแม้เวลานี้ขนาดเจ้าตัวยังติดอยู่บ้านที่เลขที่ 111  แต่เธอกลับสามารถสร้างความหวั่นไหวให้กับแกนนำหลายต่อคนในพรรคเพื่อไทยอยู่ ไม่น้อย และหนึ่งในนั้นย่อมหมายรวมไปถึง รองนายกฯเฉลิม อยู่บำรุง ก็ไม่อาจยกเว้นได้เช่นกัน !
     แต่สำหรับ "ตัวจริง" อย่างพล.ต.อ.ประชา แล้ววงในพรรคเพื่อไทยเอง สะท้อนว่า เขาคือบุคคลที่ "นายใหญ่" ไว้วางใจให้ "ทำงานใหญ่" ภายใต้ท่าทีที่เรียบเฉย และไม่โฉ่งฉ่าง
     แต่สามารถทำงานชนิดที่เรียกว่า ได้น้ำได้เนื้อ นั่นคือการตั้งแถว ตั้งขบวนเพื่อเตรียมเดินหน้าในเรื่องของการถวายฎีกา เพื่อขอพระราชทานนิรโทษกรรม ให้ลุล่วงในวันข้างหน้า
     การ ใช้อำนาจในฐานะเจ้ากระทรวงการลงนามในการเสนอแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการะดับ 10 ด้วยกันทั้งสิ้น 7 ราย โดยที่ประชุมครม. วานนี้ (13 ก.ย.) ให้ไฟเขียวนั้น  เป็นเพียงการเริ่มต้น "นับหนึ่ง" สำหรับ "งานใหญ่" ในมือของพล.ต.อ.ประชา เท่านั้น !
     และท่ามกลางแรงผลักแรงต้านที่กำลังจะเกิดขึ้นเบื้องหน้า หลังการ "จุดพลุ" เรื่องนิรโทษกรรมในรอบใหม่ จากกลุ่มการเมืองฝ่ายตรงข้าม ที่เปิดฉากออกมาต่อต้านเพียงบางส่วนนั้น ก็ย่อมไม่ใช่ "โจทย์ยาก" สำหรับพล.ต.อ.ประชา แต่อย่างไร
     เพราะรมว.ยุติธรรม คนนี้ ไม่ใช่ "นักรบ" ประเภทโจทก์มากเมื่อเทียบกับรองนายกฯเฉลิม รวมทั้งยังเป็นรับรู้กันว่าอดีตอธิบดีกรมตำรวจผู้นี้ ไม่ใช่คนที่ขาดแคลน "แรงหนุนชั้นดี" เนื่องจากเพื่อนพ้องของพล.ต.อ.ประชา นั่นมีมากมายหลายกลุ่ม 
     คอนเนคชั่นของพล.ต.อ.ประชา นั้นต้องถือว่ากระจายไปยังกลุ่มต่างๆ ไม่เฉพาะแต่ "ฝ่ายการเมือง" เท่านั้น แต่ยังมีสัมพันธ์อันดีกับแกนนำเอ็นจีโอ บางกลุ่มอีกด้วย
     และที่น่าสนใจไปกว่านั้น ต้องไม่ลืมว่าพล.ต.อ.ประชา ผู้นี้คือผู้ที่มีชื่อติดเป็นแคนดิเดตในรายการสำคัญๆ ของพรรคเพื่อไทยมาโดยตลอด
     จังหวะก้าวเดินของรมว.ยุติธรรม อาจไม่เพียงแต่ทำให้ ฝ่ายค้านอย่างประชาธิปัตย์ต้อง "จับตา" เท่านั้น
     ทว่า คนในพรรคที่หวังจะชิงการนำ โชว์การแสดงบนเวทีบางคน ยังอดที่จะหวั่นไหวและเปรียบเทียบ "ความไว้เนื้อเชื่อใจ" ที่นายใหญ่ มีให้ไม่ได้ด้วยซ้ำ !


                                                                                   ทีมข่าวคิดลึก. สยามรัฐ

เยือนเขมรโชว์ออฟช่วย“วีระ-ราตรี”ระวังแฝงผลประโยชน์

เยือนเขมรโชว์ออฟช่วย“วีระ-ราตรี”ระวังแฝงผลประโยชน์



09-11-13-407367597
นายปกครอง
        ทันทีที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รับตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ยังมีข่าวมาพร้อมๆ กับ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร ผู้เป็นพี่ชายเตรียมเดินทางไปทัวร์ ประเทศนั้น ประเทศนี้ทันที โดยลืมไปว่าอดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ เป็นนักโทษต้องคดี 2 ปี โดยข่าวใหญ่ตามสื่อต่างๆ นั้น คือการเดินทางไปประเทศญี่ปุ่น สุดท้ายก็สามารถฟันฝ่ากระแสสื่อเพื่อเดินทางเข้าไปในดินแดนปลาดิบได้ตามที่ ใจต้องการ
         นอกจากนี้ เมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา นางสาวยิ่งลักษณ์ ไปเยือนประเทศบรูไน อย่างเป็นทางการ ก็ยังมีข่าวออกมาอีกว่า พ.ต.ท.ทักษิณ เคียงข้างไปด้วย ซึ่งข่าวนี้ ยังไม่ได้มีการยืนยันอย่างเป็นทางการเท่านั้นเอง
         แต่ท่าทีของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่ยืนยันค่อนข้างชัดเจนนั้น คือการเดินทางไปเยือนเขมร ข่าวนี้ดูเหมือนว่าจะออกมาก่อน นายกรัฐมนตรีของไทยตัวจริงจะไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการเสียอีก
             หลังจากนั้น จึงมีกำหนดการของนางสาวยิ่งลักษณ์ ที่ต้องเดินทางไปเขมรอย่างเป็นทางการ ในเบื้องต้นจะมีการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี ด้วยการเตะฟุตบอลกระชับมิตรที่ประกอบด้วยนักการเมืองฝ่ายไทย และฝ่าย กัมพูชาที่มี “ฮุนเซน” เป็นแกนนำ ในวันที่ 24 กันยายน นี้
         กระแสข่าวล่าสุด พ.ต.ท.ทักษิณ ก็คงไม่อยู่ร่วมสานสัมพันธ์ในครั้งนี้ เหตุผลนั้น คงเป็นเรื่องความพยายามที่จะอยู่เบื้องหลังและไม่ดำเนินการให้เป็นที่ชัดเจน เกินไป
        ไม่บอกก็คงจะรู้ว่าหลายๆ ประเทศนั้น พ.ต.ท.ทักษิณ มักจะอยู่เบื้องหลังนายกรัฐมนตรีไทยเสมอ จึงไม่จำเป็นต้องอยู่ร่วมโชว์ผลงานผ่านสื่อ แต่ก็สามารถทำให้ทุกคนเข้าใจได้ว่านี้คือผลงานของใคร
         การไปเขมรครั้งนี้คงต้องจับตาในสองประเด็นด้วยกัน เริ่มจาก “ช่วยนักโทษ” คือ นายวีระ สมความคิด กับ นางสาวราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ ที่ถูกเขมรจับกุมตั้งแต่รัฐบาล “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” โดยคนของพรรคประชาธิปัตย์ นั้น ถูกจับกุมตัวพร้อมกัน แต่ได้รับการช่วยเหลือพ้นคุกเขมรออกมาได้ก่อน ยังเหลือแต่นักโทษ 2 คนนี้เท่านั้น เมื่อเป็นเช่นนี้จึงเป็นโอกาสของรัฐบาล”ยิ่งลักษณ์”ได้”โชว์ออฟ”ช่วยเหลือ ให้ทั้งสองคนได้ออกจากคุกเขมร กลายเป็นผลงานที่หยามประชาธิปัตย์ได้ชัดเจน
           ทั้งนี้ประเด็นที่ต้องจับตาต่อมาคงหนีไม่พ้นเรื่อง”ผลประโยชน์” ซึ่งมีหลากหลายรูปแบบด้วยกัน โดยเฉพาะแนวชายแดนไทย-กัมพูชานั้น มีหลายจุดด้วยกันที่ยังมีปัญหาข้อ พิพาทโดยเฉพาะจุดที่เรียกว่าประสาทเขาพระวิหาร ยังมีเรื่องที่พร้อมจะรบกันได้ตลอดเวลา ใครจะได้ผลประโยชน์จุดนี้
           นอกจากนี้ ยังมีผลประโยชน์ทางด้านอ่าวไทยซึ่งมีทรัพยากรธรรมชาติจำนวนมาก สามารถสร้างรายได้ให้กับประเทศหรือส่วนตัวจำนวนมหาศาล ผลประโยชน์ในส่วนนี้ บางจุดนั้น ทั้ง 2 ประเทศยังยังตกลงกันไม่ได้ว่าใครจะเป็นเจ้าของ
            ผลประโยชน์ที่สำคันอันหนึ่ง ที่จะมองข้ามไปไม่ได้คือ”บ่อนคาสิโน” ซึ่งผลงานที่ชัดเจน จะเห็นได้จากการปราบปรามบ่อนการพนันในกรงเทพมหานคร ผลงานของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้สั่งให้ตำรวจกวาดล้างบ่อนการพนันในประเทศไทยอย่างจริงๆ จังๆ
          ในการปราบบ่อนการพนันนั้น ต้องยอมรับว่า เข้าทางเขมรทันที โดย “ผีพนัน”เมืองไทยจำนวนมากนั้น วิ่งเข้าไปเล่นในบ่อนของเขมรทันที ทำให้มีการโกยรายได้วันละหลายร้อยล้านบาท ผู้นำประเทศกัมพูชายิ้มอย่างสดใสอีกครั้งหนึ่ง
         ดังนั้นไม่ว่าจะเป็นในสนามฟุตบอลนัดกระชับมิตร หรือ บนโต๊ะร่วมรับประทานอาหาร หรือ บนโต๊ะสนทนากันอย่างเป็นทางการนั้นระหว่างไทย-กัมพูชานั้น จึงต้องจับตาเรื่องดังกล่าว และ ลุ้นกันต่อไปว่าฝ่ายใดจะได้ผลประโยชน์มากกว่ากัน
           แต่ที่แน่ๆ หากมีการช่วยเหลือ 2 นักโทษคนไทย ฝ่ายค้านที่นำโดย”อภิสิทธิ์”ก็ต้องหน้าแตกอีกเช่นกัน แต่ทั้งนี้คงต้องย้อนไปดูว่าบทบาทของนักโทษที่หลบหนีคดีจำคุก 2 ปี จนไม่มีแผ่นดินจะอยู่ แต่แสดงบทบาทเข้ามามีอิทธิพลต่อการทำงาน ของผู้นำประเทศ และอย่างนี้ ไม่รู้ว่าใครจะเสียหน้ามากกว่ากัน

นักข่าวช่อง 7 สัมภาษณ์ เฉลิม กรณีทักษิณ

คมนาคมล้างบางขั้ว‘เนวิน’ จับตารื้อทอท.สุวรรณภูมิ


ก.คมนาคม/พรรคเพื่อไทย xz จับตาโยกย้ายในกระทรวงคมนาคมล้างบางกลุ่ม “ภูมิใจไทย” สัมพันธ์ลึก “เนวิน” เริ่มโยกแล้วผู้บริหารในหน่วยงานรัฐ วันที่ 20 ก.ย.นี้โยกอีก 2 กรมใหญ่ก่อนลุยหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ วงในเผยงานนี้กะถอนราก ถอนโคน เตรียมเช็กบิลตั้งแต่บอร์ด ยันผู้บริหารบางหน่วยงาน ด้านแหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทยระบุสุวรรณภูมิมีสิทธิ์ถูกรื้อสัญญาที่ไม่เป็น ธรรม เหตุผูกขาด
โดยคิงเพาเวอร์ เกรงกระทบต่อการบริการประชาชนและผลประโยชน์ทอท.

แหล่งข่าวจากกระทรวงคมนาคมเปิดเผย “สยามธุรกิจ” ว่า ช่วงนี้ถือว่าเป็นช่วงฤดูกาลโยกย้ายตามธรรมเนียมเมื่อมีรัฐบาลใหม่เข้ามาบริ หารประเทศก็ต้องมีการปรับเปลี่ยนโยกย้ายคนของขั้วอำนาจเก่าออกไป เพื่อให้การทำงานมีประสิทธิภาพ สามารถตอบสนองนโยบายรัฐบาลได้ ประกอบกับสิ้นเดือนกันยายนนี้ยังเป็นช่วงเดือนเกษียณอายุราชการ ดังนั้นจึงมีการเปลี่ยนแปลงหลายตำแหน่งตามมา ซึ่งในส่วนของกระทรวงคมนาคมนั้น ที่ผ่านมาพรรคภูมิใจไทยกำกับดูแล ซึ่งเป็นที่ทราบกันว่า นายเนวิน ชิดชอบ เป็นผู้กำกับดูแลอยู่เบื้องหลัง ได้สร้างความสัมพันธ์แนบแน่นแทบทุกองค์กร จึงเป็นที่น่าจับตาว่างานนี้รมว.คมนาคมจะมีการเปลี่ยนแปลงอีกหลายตำแหน่ง อย่างแน่นอน โดยเริ่มจากกรมกองในกระทรวงคมนาคมก่อน จากนั้นจะเป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจต่อไป

ทั้งนี้เมื่อวันที่ 13 ก.ย.ที่ผ่านมาคณะรัฐมนตรีอนุมัติแต่งตั้งข้าราชการให้ดำรงตำแหน่งประเภท บริหารระดับสูงแทนผู้ที่จะเกษียณอายุราชการตั้งแต่วันที่ 1 ตุลาคม 2554 โดยโอนย้าย นายวรเดช หาญประเสริฐ ผู้ตรวจราชการกระทรวงคมนาคม ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี กรมการบินพลเรือน แทน นายสมชาย จันทร์ ที่ถูกโอนย้ายไปเป็นผู้ตรวจราชการกระทรวง ย้าย นายสมชัย ศิริวัฒนโชค ผู้ตรวจราชการกระทรวง ไปดำรงตำแหน่ง อธิบดี กรมการขนส่งทางบก แทน นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร ที่จะเกษียณอายุราชการในวันที่ 30 ก.ย.นี้

นอกจากนี้ในการประชุม ครม.วันที่ 20 ก.ย.นี้ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม เตรียมเสนอ ครม.แต่งตั้งโยกย้ายผู้บริหารของกระทรวงคมนาคม ในตำแหน่งอธิบดีที่จะเกษียณอายุราชการอีก 2 ตำแหน่ง คือ นายวีระ เรืองสุขศรีวงศ์ อธิบดีกรมทางหลวง (ทล.) และนายวิชาญ คุณากูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมทางหลวงชนบท (ทช.) ซึ่งตามขั้นตอนการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการระดับ 9 ขึ้นเป็นระดับ 10 หรือระดับรองอธิบดีขึ้นตำแหน่งอธิบดี จะต้องผ่านขั้นตอนการสรรหา โดยมีปลัดกระทรวงคมนาคมเป็นประธาน คาดว่าจะใช้เวลาประมาณ 2 สัปดาห์ก่อนจะสรุปเสนอรมว.คมนาคม เพื่อเสนอที่ประชุม ครม.ต่อไป

สำหรับผู้ที่คาดหมายว่าจะดำรงตำแหน่งอธิบดีกรมทางหลวง ซึ่งเป็นกรมที่มีความสำคัญมาก กำงบประมาณกว่า 80% ของกระทรวงคมนาคมนั้น มีบุคคลที่เข้าข่ายได้รับการพิจารณารวม 3 ตำแหน่ง คือ นายสมชาย เดชภิรัตนมงคล รองอธิบดีฝ่ายบริหาร นายวันชัย ภาคลักษณ์ รองอธิบดีฝ่ายวิชาการ และนายชัชวาล บุญเจริญกิจ รองอธิบดีฝ่ายบำรุงทาง

โดยนายวันชัย มีโอกาสมากที่สุด เนื่องจากมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับ นายพงษ์ศักดิ์ รักตพงษ์ไพศาล อดีตรมว.คมนาคม และเป็นเพื่อนร่วมรุ่นที่คณะวิศวกรรมศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยในขณะเดียวกัน อีกทั้งยังได้รับแรงสนับสนุนจาก นายชัยสวัสดิ์ กิตติพรไพบูลย์ อดีตปลัดกระทรวงคมนาคม ซึ่งเป็นเพื่อนร่วมรุ่นวิทยาลัยป้องกันราชอาณาจักร (วปอ.) กับ พล.อ.อ.สุกำพล ด้วย ส่วนนายชัชวาล ได้รับแรงสนับสนุนจากกลุ่มผู้รับเหมารายใหญ่ และยังถูกมองว่ามีสายสัมพันธ์กับพรรคภูมิใจไทย

สำหรับผู้ที่เดิมคาดหมายว่าจะมาดำรงตำแหน่งอธิบดี ทช.คนต่อไป คือ นายชาติชาย ทิพย์สุนาวี รองอธิบดี ทช. ซึ่งถือว่ามีผลการทำงานที่โดดเด่นและได้รับการสนับสนุนจากคนใน ทช. แต่ล่าสุดปรากฏวชื่อ นายศรศักดิ์ แสนสมบัติ ลูกหม้อเก่าที่ได้เลื่อนระดับซี 9 เป็นซี 10 ขึ้นนั่งรองปลัดคมนาคมคุมงานขนส่งมาพักใหญ่ มีแนวโน้มจะกลับถิ่นเดิม

แหล่งข่าวกล่าวถึงการเปลี่ยนผู้บริหารในหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ ว่า ตำแหน่งผู้บริหารสูงสุดของหน่วยงาน เช่น ผู้ว่าการ ผู้อำนวยการใหญ่ กรรมการผู้จัดการใหญ่ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ นั้นไม่สามารถปรับเปลี่ยนโยกย้ายได้ในทันที เพราะมีการสรรหา มีวาระการทำงานชัดเจน หากต้องการจะโยกย้าย ต้องรอการประเมินผลงานตามหลักเกณฑ์ว่าจะผ่านหรือไม่ แต่ส่วนที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้คือ บอร์ดรัฐวิสาหกิจต่างๆ ซึ่งต้องจับตาว่าหลังจากนี้ใคร เด็กใครจะมาเป็นบอร์ดในรัฐวิสาหกิจต่างๆ บ้าง

แต่ที่ต้องจับตาดูคือ ผู้ว่าการรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย (รฟม.) ที่ยังสรรหาไม่ได้ แว่ว ๆ มาว่ารองฝ่ายก่อสร้าง นายชัยสิทธิ์ คุรุรัตน์ ซึ่งจบวิศวะจาก มหาวิทยาลัยเชียงใหม่กำลังมาแรงแซง นายรณชิตแย้มสะอาด รองฝ่ายกฎหมาย งานนี้ลือกันว่าได้รับการสนับสนุนจากพรรคเพื่อไทย

ส่วนคนอื่นๆ เช่น นายโอภาส เพชรมุณี ผู้อำนวยการองค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ (ขสมก.) ซึ่งที่ผ่านมาติดตามนายโสภณ ซารัมย์อดีต รมว.คมนาคมจนออกนอกหน้านั้น หากไม่สามารถสนองนโยบายรัฐบาลชุดนี้ได้ก็มีโอกาสหลุดเช่นกัน

แหล่งข่าวจากพรรคเพื่อไทย กล่าวกับ “สยามธุรกิจ” ก่อนหน้านี้ว่า นอกจากการโยกย้ายผู้บริหารและบอร์ดเพื่อให้เกิดประสิทธิภาพในการทำงานแล้ว อาจจะต้องลงไปดำเนินการแกปัญหาในหน่วยงานที่ประสบปัญหาด้วย เนื่องจากที่ผ่านมาขั้วอำนาจเก่าได้เข้าไปมีผลประโยชน์ในกิจการขององค์กรรัฐ วิสาหกิจค่อนข้างมาก ทำให้หลายหน่วยงานขณะนี้ประสบปัญหาด้านการบริการ ปัญหาการขาดสภาพคล่อง มีมาเฟียคอยแสวงหาประโยชน์ รวมถึงสัญญาสัมปทานต่างๆ ที่ไม่เป็นธรรมต่อหน่วยงานรัฐวิสาหกิจ เป็นต้น

ทั้งนี้ล่าสุด กระทรวงคมนาคม กำลังดำเนินการแก้ปัญหาโครงการแอร์พอร์ตลิ้ง ที่กำลังขาดสภาพคล่องอย่างหนัก เพื่อให้สามารถเดินหน้าโครงการต่อไปได้

ส่วนหน่วยงานต่อไปคือ ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ ที่ยังมีปัญหามากมาย ทั้งในเรื่องการบริการ ไม่ว่าจะเป็นที่จอดรถ ปัญหามาเฟีย ไกด์ผี แท็กซี่ เถื่อนโรงแรมสุวรรณภูมิที่ขาดทุนอย่างหนัก ความแออัดของอาคารผู้โดยสาร การผูกขาดสัญญาสัมปทานในสนามบินโดยกลุ่มบริษัท คิงเพาเวอร์ ซึ่งอาจจะส่งผลกระทบต่อการใช้บริการของประชาชน และทำให้บริษัทท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) เสียประโยชน์ได้  


Siamturakij

"บิ๊กอ๊อด"แฉเลขานายกฯ จุ้นโผทหาร บีบโยนบอร์ดรื้อปลัดกห.

ยื้อชงเปิดอัตราจอมพล ปัด"ยิ่งลักษณ์"สั่งแก้ชื่อ ประยุทธ์ลั่นทบ.ไม่เกี่ยว

พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 15 กันยายน โดยปฏิเสธความขัดแย้งกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี หลังมีข่าวสั่งให้แก้โผโยกย้ายนายทหารประจำปี 2554 ในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมจาก พล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวง มาเป็น พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ประธานคณะที่ปรึกษา กองบัญชาการกองทัพไทย

บิ๊กอ๊อดยันปูไม่ได้จุ้นโผทหาร

อย่าไปว่าท่านายกฯ เลย อย่ามองว่าท่านมีเจตนาไม่ดี เรื่องโยกย้ายขณะนี้ยังไม่มีการขยับอะไร รมว.กลาโหม กล่าวพร้อมยืนยันว่า ในการเข้าพบนายกฯเมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมา ไม่ได้ หารือเรื่องโผทหาร แต่ไปขอความสนับสนุนในการ จัดซื้อเรือดำน้ำของกองทัพเรือ และแก้ปัญหาน้ำท่วม โดยจะผันน้ำจากแม่น้ำเจ้าพระยาลงทะเลในช่วงน้ำลดต่ำสุดในช่วง 7 วันนี้ โดยคุยกัน 15 นาที

แฉเลขานายกฯล้วงลูกแทน

แต่จากนั้นอีก 15 นาทีถัดมา ผมคุยกับคุณบัณฑูร (นายบัณฑูร สุภัควณิช เลขาธิการนายกรัฐมนตรี) เพราะมีปัญหาที่ท่านยังไม่เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เปิดตำแหน่งประธานที่ปรึกษา กระทรวงกลาโหม อัตราจอมพล ซึ่งเป็นตำแหน่งเฉพาะตัวเพื่อแก้ปัญหานายพลระดับสูงในกองทัพ ซึ่งทำมาตั้งแต่ยุคพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มาจนถึงรัฐบาลชุดที่แล้ว รมว.กลาโหม กล่าว

ไม่เปิดอัตราจอมพลมีปัญหาแน่

พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวอีกว่า ตนได้บอกกับนายบัณฑูรไปว่า ถ้าไม่รักษานโยบายเดิมไว้จะเกิดผลกระทบต่อการปรับย้ายครั้งนี้ และในอนาคต ไล่ตั้งแต่ระดับพลตรีที่จะขึ้นพลโท, พลโทที่จะเป็นพลเอก และ พลเอกที่ขึ้นจอมพล ตรงนี้มีปัญหาแน่นอน เพราะการประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารชั้นนายพล ตาม พ.ร.บ.จัดระเบียบกระทรวงกลาโหม เมื่อวันที่ 1 ก.ย.ที่ผ่านมา มีการบรรจุตำแหน่งนี้ในโผไปแล้ว จึงส่งเรื่องไปเพื่อขออนุญาตให้ ครม.อนุมัติอัตราดังกล่าวมารองรับ

ผมได้บอกเหตุผลเลขาธิการนายกฯไปแล้วว่า ผลกระทบเป็นแบบนี้ ซึ่งแล้วแต่ท่านจะบรรจุหรือจะสงวนตำแหน่งนี้ไว้ ถ้าไม่สงวนก็จบ ถ้าสงวน ก็ต้องขอความคิดเห็นคณะกรรมการปรับย้าย นายทหารชั้นนายพลใหม่ รมว.กลาโหม กล่าว

เล็งประชุมบอร์ดกองทัพอีกรอบ

เมื่อถามว่า มีความขัดแย้งกับฝ่ายการเมือง ที่ดึงเรื่องการเปิดอัตราจอมพลเพื่อต่อรองการเปลี่ยนตัวผู้มาเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าวว่า การพิจารณาไม่มีความ ขัดแย้ง ซึ่งเหลือปัญหาตรงตำแหน่งประธาน ที่ปรึกษากระทรวงกลาโหมเท่านั้นเอง ถ้าเลขาธิการ นายกรัฐมนตรี บอกว่าตำแหน่งนี้จะไม่เปิด ก็ต้องเรียกประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหาร ชั้นนายพลใหม่

พร้อมทำตามคำสั่งของนายกฯ

เมื่อถามว่า หากนายกฯจะเปลี่ยนโผทหารต้องหารือกับเหล่าทัพก่อนหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า นายกฯไม่ต้องหารือ แต่มีสิทธิ์ที่จะให้นโยบาย เพราะเป็นผู้บังคับบัญชาของตนและของ กองทัพ ท่านมีสิทธิ์สั่งการและให้นโยบาย แต่ขณะนี้ท่านไม่ได้ทำและให้เปลี่ยนอะไร แต่ถ้าสั่งการลงมา ตนก็ปฏิบัติทันทีเพราะเป็นทหาร ที่ต้องปฏิบัติตาม คำสั่งผู้บังคับบัญชา

เมื่อถามว่า เลขาธิการนายกฯเป็นฝ่ายการเมืองไม่มีหน้าที่ดูเรื่องอัตราจอมพล พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า ท่านต้องรับนโยบายมา ท่านไม่ต้องให้นายกฯพูดหรอก ท่านเลขาฯพูดกับผม ผมก็โอเคแล้ว พล.อ.ยุทธศักดิ์กล่าว

ยันโผเดิมยังไม่เปลี่ยนแปลง

อย่างไรก็ตาม ขณะนี้ยังไม่มีการพิจารณาทบทวนรายชื่อของผู้ที่ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวง กลาโหมที่คณะกรรมการ ได้เห็นชอบไปแล้วเมื่อวันที่ 1 ก.ย. ส่วนจะมีการปรับหรือไม่ขึ้นอยู่กับคณะกรรมการที่จะประชุมต่อไป แต่ยืนยันว่าจะพิจารณาได้ทันส่งขึ้นทูลเกล้าฯ และขอโปรดเกล้าฯ ในวันที่ 1 ต.ค.นี้

โยนให้บอร์ดชี้ขาดรื้อ-ไม่รื้อ

เมื่อถามว่า ยังยืนยันอำนาจของ รมว. กลาโหม ในการเสนอคนเดิมขึ้นเป็นปลัดกระทรวง กลาโหมหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า หากมีการเปิดประชุมคณะกรรมการปรับย้ายนายทหารระดับชั้นนายพลใหม่ ก็ต้องแล้วแต่คณะกรรมการที่จะพิจารณาอะไรเพิ่มเติมหรือไม่ ก็ต้องไปคุยกันในที่ประชุมอีกครั้ง ส่วนจะประชุมใหม่หรือไม่ก็ขึ้นอยู่กับเลขาธิการนายกฯ

ไม่ได้ขัดแย้งกับยิ่งลักษณ์

ผมไม่ขัดแย้งกับท่านนายกฯ เพราะผมเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาต้องทำตามผู้บังคับบัญชาทุกเรื่อง ผมสนองตอบต่อผู้บังคับบัญชาทุกเรื่อง พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวเสียงอ่อย พร้อมบอกว่า คำสัมภาษณ์ก่อนหน้านี้ที่ระบุว่า หมัดหนัก พร้อมที่หนุนพล.อ.วิทวัส รชตะนันทน์ รองปลัดกระทรวงกลาโหม ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงกลาโหมนั้น ตนไม่ได้พูด แต่นักข่าวไปเขียนเพราะให้ตนมีภาพความเข้มแข็งเพราะตอนนี้อายุก็มากแล้ว

ผบ.ทบ.ลั่นไม่เกี่ยวกองทัพบก

ขณะที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหม

จะเรียกคณะกรรมการการจัดตั้งโผทหารมาประชุม ใหม่อีกครั้งหากครม.ไม่อนุมัติตำแหน่งอัตราจอมพลว่า เรื่องนี้ตนยังไม่ทราบคงเป็นเรื่องของ รมว.กลาโหม ท่านชี้แจงอย่างไรก็คงเป็นไปตามนั้น ในส่วนของกองทัพบกไม่เกี่ยวข้องกับตรงนี้

เมื่อถามว่า ถ้าครม.ไม่อนุมัติตำแหน่ง ที่ปรึกษา รมว.กห. จะส่งผลกระทบอย่างไร พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า คงจะไม่มีผลกระทบกับกองทัพบกอยู่แล้ว เพราะกองทัพบกไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับการปรับย้ายภายในของหน่วยอื่น

บอกให้ใจเย็นๆรอโปรดเกล้าฯ

ขอให้ใจเย็นๆ และคอยติดตามว่า จะโปรดเกล้าฯ ออกมาอย่างไร อย่าไปให้ความสำคัญ กับข่าวโผโยกย้ายมากนัก ทหารเป็นกลไกของรัฐในการทำหน้าที่ ให้ทหารทำหน้าที่ดูแลเรื่องน้ำท่วม ดีกว่า ใครจะเป็นอะไรตำแหน่งอะไรไม่สำคัญ แต่ผมคิดว่า ใครเป็นแล้วทำประโยชน์ให้กับประเทศมากกว่ากัน ก็น่าจะดูตรงนั้น ผบ.ทบ. กล่าว

ยิ่งลักษณ์อ้างยังไม่คุยรมว.กห.

ด้านน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ก่อนออกเดินทางไปเยือนกัมพูชาอย่างเป็นทางการถึงกระแสข่าว เตรียมส่งโผทหารให้พิจารณาใหม่ในตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหมว่า คงยังไม่คุยรายละเอียด เมื่อวันที่ 14 กันยายนที่ผ่านมาได้คุยกันถึงเรื่องน้ำท่วม เดี๋ยวกลับมาสัปดาห์หน้าคงจะหารือกัน เมื่อถามย้ำว่าได้ส่งโผกลับไปแล้วหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า ยังไม่ได้คุยเลยค่ะ

ถวิลหวังก.พ.ค.ให้ความเป็นธรรม

วันเดียวกันที่รัฐสภา มีการจัดเสวนาเรื่อง ธรรมาภิบาลในการแต่งตั้งโยกย้าย จัดโดยคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลในภาครัฐ ในคณะกรรมาธิการตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา โดยนายถวิล เปลี่ยนศรี ที่ปรึกษานายกรัฐมนตรี ฝ่ายข้าราชการ ประจำ กล่าวว่า ตนมั่นใจว่าคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) จะให้ความเป็นธรรมกรณีมีมติครม.ย้ายตนพ้นจากเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) อย่างไม่เป็นธรรม

แฉสมช.โดนแทรกแซงหนัก

นายถวิล ยังกล่าวเปิดใจว่า สมช.ในยุคที่ผ่านมาตั้งแต่พล.อ.อ.สิทธิ เศวตศิลา น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ พล.อ.จรัล กุลละวณิชย์ และพล.อ.วินัย ภัททิยกุล ท่านเหล่านี้ไม่ได้ทำให้เกิดความรู้สึกว่ามีการแทรกแซงในองค์กร แต่ปัจจุบันมิติด้านความ มั่นคงได้เปลี่ยนไปเริ่มมีการแทรกแซงเกิดขึ้น ซึ่งภาพคนที่แทรกแซงก็ไม่ได้ทำประโยชน์ให้กับสมช. เป็นชิ้นเป็นอัน มีแต่ทำให้เกิดความแตกแยก

โวยถูกย้ายทั้งที่ไม่มีความผิด

เหตุผลที่ฝ่ายการเมืองย้ายผมก็คือ ผมทำงานอยู่ในศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ซึ่งความจริงแล้ว ศอฉ.ก็มีมาตั้งแต่ สมัยพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และผมก็ต้องไปอยู่ศอฉ.ตามที่พ.ร.ก.สถานการณ์ฉุกเฉินกำหนด อีกทั้งนายกฯก็พูดตลอดว่าผมไม่มีความผิด แล้วทำไมมาโยกย้ายผม นายถวิล กล่าว

ลั่นยอมไม่ได้ทำลายระบบขรก.

และว่า ตนไม่ได้สู้เพื่อกลับไปอยู่ตำแหน่งเดิม แต่สู้เพื่อศักดิ์ศรีและความถูกต้อง ถ้าถูกรังแกพอทนได้ แต่ถ้ารังแกด้วยระบบราชการถือว่าทำร้ายประเทศชาติ ตนจะได้รับการคุ้มครองหรือไม่ขึ้นอยู่กับ ก.พ.ค. แต่เชื่อในกฎแห่งกรรม ตนมีอายุราชการเหลือแค่ 3 ปี คิดว่าจะได้เห็นผลของกฎแห่งกรรมนั้น

ผาณิตชี้กติกาพังเพราะถูกแทรก

ด้านนางผาณิต นิติทัณฑ์ประภาศ ผู้ตรวจการแผ่นดิน และอดีตปลัดกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) กล่าวว่า การบริหารราชการแผ่นดิน ได้ให้ความสำคัญกับผู้ที่จะมาเป็นผู้บริหารงาน ของประเทศ แต่ที่ผ่านมาได้มีการสร้างเพื่อให้ เกิดความเป็นธรรม อาทิ รัฐธรรมนูญ กฎหมาย ที่เกี่ยวข้องกับงานบุคคล แต่ไม่สามารถนำกติกาดังกล่าวไปสู่การปฏิบัติที่ให้เป็นรูปธรรม ยึดหลักของคุณธรรมได้ เพราะผู้บริหารระดับสูงของหน่วยงานนั้นต้องยึดโยง และอยู่ภายใต้กำกับของนักการเมือง

ปลุกสำนึกขรก.ลุกขึ้นมาต่อสู้

นายปรีชา วัชราภัย อดีตเลขาธิการ ก.พ. กล่าวว่า แม้รัฐธรรมนูญได้กำหนดไม่ให้มี การก้าวก่ายของฝ่ายการเมือง แต่ในทางปฏิบัติมีการกระทำที่เกิดขึ้นเรื่อยๆ เราจึงควร ใช้หลักการของรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในการต่อสู้เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม จำเป็นอย่างยิ่งที่ เราต้องทำให้เห็นว่าการแทรกแซงโดยการเมือง ไม่ใช่สิ่งปกติเพราะไม่เช่นนั้นฝ่ายการเมืองจะรู้สึกว่าการทำเช่นนั้นเป็นเรื่องปกติ และควรจะช่วยกันเรียกร้องความเป็นธรรม

ปชป.เสนอชะลอตั้งเลขาฯสมช.

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการประชุมสภา ผู้แทนราษฎร มีนายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ประธานสภาผู้แทนราษฎร เป็นประธาน ซึ่งในวาระพิจารณากระทู้ถามสดเรื่องการแต่งตั้ง โยกย้ายข้าราชการอย่างไม่เป็นธรรม นายอลงกรณ์ พลบุตร สส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ ได้เสนอไปยังรัฐบาลว่า ในการประชุมครม. วันที่ 20 กันยายนนี้ควรชะลอการแต่งตั้งเลขาธิการ สมช.คนใหม่ออกไปก่อนเพราะได้ทำลายขวัญข้าราชการอย่างมาก

ทางด้านนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงกรณีการ แต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการว่า ที่ตนเป็นห่วงในขณะนี้ในส่วนของการแต่งตั้งบุคคลที่ดูว่าจะมีเรื่องของการเมืองเป็นหลัก



ที่มา: แนวหน้า
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง