กลายเป็นเรื่องวิจารณ์กันยกใหญ่ว่า
“เหมาะสมแล้วหรือ” เมื่อ “ครม.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” แต่งตั้ง “แกนนำ-แนวร่วม” ของคนเสื้อแดง เข้ามามีบทบาท-มีตำแหน่งเป็น “ข้าราชการการเมือง” ทั้งเลขานุการรัฐมนตรี-ที่ปรึกษา-ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี ฯลฯ
บางฝ่ายก็ว่า นี่คือการตอบแทน ที่คนเสื้อแดงต่อสู้ให้ขั้วอำนาจทักษิณ ได้กลับมามีอำนาจทางการเมืองอีกครั้ง
บางฝ่ายก็ว่า นี่คือการดึงคนเสื้อแดง ให้เข้ามาอยู่ในระบบ เพื่อจะได้ไม่ต้องออกไปเคลื่อนไหวข้างถนน และกลายเป็นหอกข้างแคร่สำหรับรัฐบาล
ทั้งหลายทั้งปวง หากต้องการ “ความจริง” ต้องไปสนทนากับ
“จตุพร พรหมพันธุ์” ส.ส.ระบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำกลุ่ม นปช. ซึ่งถูกขนานนามว่า “แดงตัวพ่อ” ที่เวลานี้ ถูกวิพากษ์ยกใหญ่ว่า เป็น “อำมาตย์ในแดง”
ความจริงจากปากของชายผู้นี้ คือคำตอบที่ “คนเสื้อแดง” ต้องรับฟัง
Q : การแต่งตั้งคนเสื้อแดงเข้ามามีตำแหน่งทางการเมือง เป็นจุดเริ่มต้นของความปรองดองได้จริงอย่างที่คนในรัฐบาลและพรรคเพื่อไทย พยายามอธิบายหรือไม่
A : การแต่งตั้งกับการปรองดองเป็นคนละเรื่องกัน ความปรองดองเป็นภาระหน้าที่ของทุกคนแม้ว่าจะไม่ได้รับการแต่งตั้งเป็น เลขานุการ ที่ปรึกษารัฐมนตรี หรือตำแหน่งอื่นใด แต่ว่าเหตุที่การปรองดองยังเดินหน้าไปไม่ได้ เพราะแต่ละฝ่ายไม่มีความเสมอภาคในเรื่องความยุติธรรม เมื่อความยุติธรรมไม่เท่ากัน ความรู้สึกจึงไม่เท่ากัน การเดินหน้าความปรองดองจึงไม่สามารถที่จะเคลื่อนกันไปอย่างที่ควรจะเป็น ยกตัวอย่างว่า ถ้ามีความเท่ากันในเรื่องกระบวนการยุติธรรม แต่ละฝ่ายถูกดำเนินคดีอย่างเท่าเทียม ถ้าเริ่มต้นกันไปในลักษณะอย่างนี้ ก็ว่ากันตามกระบวนการยุติธรรม ก็มาคุยกันต่อว่าจะปรองดองอย่างไร เดินหน้าแบบไหนดี แต่เมื่อมันไม่เท่ากัน ความรู้สึกก็แตกต่างกันระหว่างคนที่ถูกกระทำและคนที่เป็นฝ่ายกระทำ อารมณ์ก็จะแตกต่างกัน เพราะฉะนั้นเรื่องนี้จึงแตกต่างกัน การมีตำแหน่งหน้าที่ของคนเสื้อแดงในรัฐบาลนี้ ความจริงแล้วบุคคลที่มีตำแหน่ง ล้วนแต่เป็นอดีตผู้สมัครส.ส. ตั้งแต่สมัยพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน จนกระทั่งถึงพรรคเพื่อไทยเกือบทุกคน เพียงแต่ว่าเขามาร่วมต่อสู้กับพี่น้องเสื้อแดงและเป็นคนที่พรรคได้เห็น ศักยภาพสามารถปฏิบัติหน้าที่ในตำแหน่งต่างๆได้ เพราะฉะนั้นกระบวนการพิจารณาจึงเป็นเรื่องของพรรคๆ ตัดสินอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น ไม่ได้ไปต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น
Q : เสื้อแดงเข้าสู่ตำแหน่งเป็นไปตามยุทธศาสตร์ 2 ขา 5 แขนของกลุ่มนปช.ซึ่งเป็นการเคลื่อนไหวทั้งในฝ่ายมวลชนและฝ่ายการเมือง
A :
เรื่อง 2 ขา คือ 2 องค์กร “พรรคเพื่อไทย” และ “กลุ่ม นปช.” มีอุดมการณ์ที่เหมือนกัน แต่เป้าหมายไม่เหมือนกัน พรรคการเมืองเป้าหมายสูงสุดคือการได้รับเลือกตั้งเพื่อบริหารประเทศ เป้าหมายของนปช.คือบ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยและกระบวนการยุติธรรมมีมาตรฐาน เดียว ฉะนั้นจุดที่เหมือนกันคือเรื่องประชาธิปไตยและความยุติธรรม แต่พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคการเมืองในระบอบประชาธิปไตย เป้าหมายสูงสุดคือการระดมความศรัทธาที่จะได้รับการเลือกตั้งแล้วเข้ามาบริ หารประเทศ เพราะฉะนั้นเมื่อเดินคู่ขนานบางคนก็อยู่ใน 2 สถานะ แต่สามารถก้าวเดินร่วมกันได้ เพราะยังรักษาจุดยืนในระบอบประชาธิปไตยที่เหมือนกัน เราจึงบอกเสมอว่า “พรรคเพื่อไทย” และ “คนเสื้อแดง” เป็นคนละองค์กรกัน ถ้าเรื่องในการตัดสินผู้สมัครส.ส. การแต่งตั้งในหน้าที่ต่างๆ เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย แต่เรื่องของการขับเคลื่อนภาคประชาชนเป็นเรื่องของการตัดสินของ นปช.แม้ว่าบางครั้งคนๆ เดียวก็มี 2 สถานะ
Q : เสื้อแดงเข้าสู่ตำแหน่งเป็นหนึ่งในยุทธศาสตร์การเข้าสู่เป้าหมายเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างสังคมหรือไม่
A : พวกเราที่อยู่ในตำแหน่งหน้าที่ อยู่ในพรรคการเมืองทั้งที่ถูกยุบก่อนหน้านี้และ พรรคเพื่อไทย และก่อนที่จะมีเสื้อแดง เป้าหมายเพื่อเป็นตัวกลางระหว่างประชาชนกับรัฐมนตรีและรัฐบาล วันนี้พวกเราซึมซับปัญหาความเดือดร้อน ความเหลื่อมล้ำของพี่น้องประชาชน เพราะฉะนั้นเมื่อมีโอกาสไปนั่งอยู่กระทรวงต่างๆ ก็จะได้ถ่ายทอดความทุกข์ไปยังรัฐมนตรีต่อไปยังรัฐบาล เมื่อลดความเหลื่อมล้ำและรอความเป็นประชาธิปไตยให้เข้มข้นมากยิ่งขึ้นก็ เชื่อว่าจะบรรลุเป้าหมาย ภายใต้คำจำกัดนิยามว่า
“เป็นประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” เราเองก็เห็นว่าเมื่อคนเหล่านี้ลงไปสัมผัสกับประชาชนตั้งแต่ระดับหมู่บ้าน ตำบล เขาย่อมรับรู้ปัญหามากมายฉะนั้นการที่จะถ่ายทอดไปยังรัฐมนตรีในฐานะผู้จะ แก้ไขปัญหา เมื่อรัฐบาลได้รับการร้องขอจากพี่น้องประชาชนท้ายที่สุดความเหลื่อมล้ำก็จะ ลดลงไปเรื่อยๆ
Q : ตอนนี้แกนนำถูกเรียกว่าเป็น “อำมาตย์ในแดง”
A :
ไม่ได้เป็นอำมาตย์ในแดง ก็จะเห็นได้อย่างชัดเจนว่าการเลือกตั้งเมื่อปี 2550 จะเห็นว่าผมก็เป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ก็ปฏิบัติหน้าที่ตามปกติแล้วก็บอกเสมอว่า ตำแหน่งหน้าที่เป็นเรื่องของการสมมุติ เป็นเรื่องของหัวโขน มายาภาพ แล้วก็บอกบรรดาหมู่มวลมิตรเสมอว่า ถ้าตัวเองถูกจำกัดให้เลือกได้อย่างเดียว ระหว่างการเป็นรัฐมนตรี เป็นส.ส. กับการเป็นคนเสื้อแดง ก็จะเลือกเป็นคนเสื้อแดง เพราะการเป็นคนเสื้อแดงเป็นการต่อสู้เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยและ นี่เป็นเป้าหมายที่เรายังเดินและยังไม่ถึงใน ปัจจุบันนี้
Q : จากจำนวนที่ได้รับตำแหน่ง มากเกินไปไหมหรือเหมาะสมแล้ว
A : การตัดสินทั้งหมดเป็นเรื่องของทางพรรค แต่ถามว่ามาก-น้อยไปไหม ต้องยอมรับว่าการเลือกตั้งที่ผ่านมา พี่น้องคนเสื้อแดงได้ร่วมการต่อสู้ทุกหน แห่ง และคนที่เป็นนักการเมืองย่อมรู้ดีว่า พื้นที่ใดมีคนเสื้อแดงแข็งแรงจะได้รับชัยชนะในทุกๆที่ บางแห่งคะแนนก็จะดีกว่าเดิม ฉะนั้นการต่อสู้ไม่ได้เป็นคำตอบว่าจะได้รับตำแหน่งอะไร เหมือนผม เหมือนนายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ เหมือนพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ก็มีคำตอบให้แล้วว่าถึงที่สุดแล้วพวกเราก็พร้อมรับฟัง ให้รัฐบาลเดินหน้าโดย ที่ไม่ได้แสดงความรู้สึกใดๆ เพราะเราบอกว่าเรื่องตำแหน่งเป็นเรื่องของการสมมุติ เป็นคำถามกลับกันว่าในคณะรัฐมนตรีก็ไม่มีพวกเราอยู่เลย เมื่อมีการจัดตำแหน่งเลขาฯ ที่ปรึกษาก็มีพวกเราก็บอกว่ามากไปหรือเปล่า เราก็ถามว่าแล้วที่ไม่มีพวกเราเลย เราก็ผ่านตรงนั้นมาแล้ว ฉะนั้นการมีหรือไม่มี ไม่ใช่ประเด็น ไม่มีก็ไม่เป็นปัญหา มีก็ไม่ได้เป็นปัญหา เขาก็ปฏิบัติตามหน้าที่
Q : โดยตำแหน่งต้องปฏิบัติกับคนทุกกลุ่มอย่างเท่าเทียม จะทำงานมวลชนต่อไปอย่างไรให้เท่าเทียมกันหมดทุกกลุ่ม
A : ข้อเรียกร้องของคนเสื้อแดง ไม่ใช่ข้อเรียกร้องที่เกิดขึ้นเฉพาะจากคนเสื้อแดง ความเป็นประชาธิปไตยและความยุติธรรมมันเกิดขึ้นกับคนไทยทุกคน 64 ล้านคนได้อย่างไร คนเสื้อแดงก็ได้อย่างนั้น ไม่ใช่ความยุติธรรมต้องเกิดกับเฉพาะคนเสื้อแดง
แล้วผมก็บอกกับพี่ น้องเราที่ไปอยู่กระทรวงต่างๆ แม้ว่าตัวเองจะเป็นคนเสื้อแดง ก็ต้องทำหน้าที่เพื่อคนทุกกลุ่ม ซึ่งคนทุกคนในที่นี้ไม่ว่าเขาจะมีสถานะอย่างไรจะไปแบ่งแยกในการดูแลไม่ได้ เพราะหน้าที่เป็นเรื่องของการดูแลทุกคน
Q : หลังจากนี้การเคลื่อนไหวงานมวลชน อาจถูกมองว่าไม่ใช่พลังบริสุทธิ์ เพราะท้ายที่สุดเมื่อสู้มาแล้วแกนนำก็เข้าสู่ตำแหน่งสู่อำนาจทางการเมือง
A : พี่น้องประชาชนคนเสื้อแดงเขารู้มาตั้งแต่เริ่มต้นว่า แต่ละคนมีสถานะความเป็นมาอย่างไร อย่างพ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย ก็เป็นรองประธานสภาผู้แทนราษฎร ผมก็เป็นส.ส. แต่ละคนก็เป็นอดีตผู้สมัครส.ส. ส่วนใหญ่ก็มีที่มาที่ไป ไม่ได้ปกปิดอะไรเลย ไม่ได้มีอะไรว่าที่จะไปปกปิดพี่น้องประชาชน ทุกคนรู้อยู่แล้วเหมือนเราว่า ถึงเวลาเลือกตั้งเราก็ต้องไปลงเลือกตั้ง
สิ่งที่เขาสนใจคือเมื่อคุณ มีตำแหน่งหน้าที่แล้ว คุณยังมีจุดยืนเหมือนเดิมหรือเปล่า มีอุดมการณ์ แนวทางประชาธิปไตยเหมือนเดิมหรือไม่ นี่คือหัวใจหลัก เขาไม่ได้สนใจว่าไปมีหน้าที่อะไร สนใจเพียงว่าไปแล้วทำอะไร ทรยศต่ออุดมการณ์หรือเปล่า นี่เป็นหัวใจของเรื่องนี้
Q : เป็นจุดอ่อนของรัฐบาล ให้ถูกใช้เป็นเงื่อนไขให้เกิดการโจมตีหรือไม่
A :
ไม่ใช่...ความจริงเป็นจุดแข็งด้วยซ้ำ เราบอกเสมอว่า ขบวนการต่อสู้ของประชาชนผู้รักประชาธิปไตยแข็งแรง รัฐบาลประชาธิปไตยย่อมแข็งแรง เราเคยผ่านบทเรียนรัฐบาล 377 เสียง มีคะแนนผู้เลือกตั้งให้ 19 ล้านเสียง แต่เมื่อถูกทหารยึดอำนาจไม่มีคนออกมาต่อสู้เลย วันนี้เรา 265 เสียง น้อยกว่าเดิมเป็นร้อย แต่ว่าวันนี้จะมีความแตกต่างคือมีประชาชนผู้รักประชาธิปไตยที่พร้อมจะต่อสู้ กับอำนาจนอกระบบ การเคลื่อนไหวจะต้องดำรงอยู่ แต่ไม่เป็นอุปสรรคกับรัฐบาลประชาธิปไตย
เพราะฉะนั้นการที่ยังมีคน เสื้อแดงขับเคลื่อนอยู่นั่น หมายถึงว่ารัฐบาลจะมีภูมิคุ้มกันจากอำนาจนอกระบบ ผมจึงบอกว่า นปช.แข็งแรง รัฐบาลก็แข็งแรง และการขับเคลื่อนของ นปช.จะไม่เป็นอุปสรรคกับรัฐบาล ในทางตรงกันข้ามจะเป็นหนังทองแดง กำแพงเหล็กให้กับรัฐบาลด้วย
Q : ที่ออกมาเปิดเผยว่าเดือน ธ.ค.ขบวนการล้มรัฐบาลจะเริ่มเคลื่อนไหว รายละเอียดเป็นอย่างไร
A : ผมอยู่กับ 3 พรรคการเมืองมา ชีวิตนี้ไม่ได้ย้ายไปไหนเลย แต่ถูกเขายุบพรรค ในสมัยนี้ตัวเองก็ยังไม่รู้ว่าจะเป็นผู้แทนฯได้อีกกี่วันด้วยซ้ำ เรามีบทเรียน 19 ก.ย.2549 ในวันที่เรามีความแข็งแรง รอบข้างเต็มไปด้วยเทคโนแครต นักการเมืองที่เชี่ยวกราก แต่สุดท้ายสนิมรอบตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ที่โบราณบอกสนิมเกิดจากเนื้อในตน แวดล้อมของพ.ต.ท.ทักษิณ เต็มไปด้วยคนทรยศ หักหลัง แม้กระทั่งว่าการเตรียมการยึดอำนาจเขาได้ยินกันทั้งบ้านทั้งเมือง แต่คนที่อยู่ในรัฐบาลยืนยันว่า “ไม่มี” สุดท้ายการรับมือก็ไม่ทัน และที่สำคัญคือตัวนายกรัฐมนตรีก็ไม่ได้อยู่ในประเทศในขณะนั้น มันมีบทเรียนมากมาย ในทางการข่าว ในทางการจัดบุคคลที่มีความซื่อสัตย์ต่อพรรค นี่เป็นเรื่องใหญ่ และการซื่อสัตย์ต่อพรรคคือการซื่อสัตย์ต่อประชาชน เพราะในรัฐบาลทรยศแล้วการยึดอำนาจเป็นไปด้วยความง่ายดาย เพราะจะประเมินสถานการณ์ไม่ได้ นี่คือสิ่งที่พ.ต.ท.ทักษิณโดน มาถึงสมัยพรรคพลังประชาชนนายกฯ “สมัคร สุนทรเวช” ก็โดนกลไกจากการยึดอำนาจ เรียกว่า “ผลผลิตจากซากเดนเผด็จการอำมาตย์” ก็มาจัดการนายกฯสมัคร นายกฯสมชาย วงศ์สวัสดิ์ วันนี้ผมเองก็ไม่ได้เห็นความประหลาดใจของพรรคประชาธิปัตย์ซึ่งแพ้การเลือก ตั้ง เขาไม่อินังขังขอบ เพราะเขารู้ว่าถึงที่สุดจะต้องมีคนช่วยเขาให้ได้เป็นรัฐบาลเหมือนที่ผ่านมา
Q : รูปแบบเป็นการจับมือระหว่างเครือข่ายเดิมทั้งกองทัพ กับระบบยุติธรรม
A :
วันนี้...ทุกขบวนการที่เคยโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร โค่นล้มรัฐบาลนายสมัคร สุนทรเวช นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ อดีตนายกรัฐมนตรี “ยังอยู่ครบเหมือนเดิม” เราชนะการเลือกตั้งทุกครั้ง แต่เราก็ถูกปล้นทุกครั้งเช่นเดียวกัน วันนี้ในทางการข่าวเราก็รู้กันว่า มีคนปรามาสว่า 3 เดือน 4 เดือนให้อยู่กันเท่านี้ แล้วเดือนธ.ค.จะมีความชัดเจน ผมเชื่อว่าตัวละครเดิมๆ จะเริ่มออกมา กลไกทุกอย่างต้องยอมรับ
อย่าง ส.ว.สรรหาชุดนี้ร้ายแรง เป้าหมายชัดเจน ความเป็นปฏิปักษ์ก็ชัดเจน ส.ว.สรรหาปี 2549 เราว่าแย่แล้ว ส.ว.สรรหาชุดนี้น่ากลัวยิ่งกว่า แล้วอยู่ 6 ปีด้วย บางคนอยู่มาตั้งแต่ สนช. คนพวกนี้เป็นปฏิปักษ์ถาวร องค์กรอื่นๆ ก็ไม่สามารถไปเปลี่ยนแปลงได้เลย ฉะนั้นจึงอยู่ในอุ้งมือมาร เพียงแต่ประชาชนยังง้างมืออยู่ เลยยังบีบไม่ได้
Q : ทำไมต้องหลัง 5 ธ.ค.
A : ทุกอย่างคือให้การเฉลิมฉลอง 84 พระชนมพรรษาโดยการหล่อหลอมหัวใจคนทั้งชาติ เพราะว่าใครไปทำอะไรก่อนหรือในห้วงเวลาดังกล่าว เป็นเรื่องที่มิบังควร เพราะฉะนั้นแนวความคิดอันนี้ ก็บอกว่าจะต้องดำเนินการ
Q : วิธีการคือล้มด้วยการใช้กำลังหรือล้มด้วยกระบวนการยุติธรรม
A : ความเคลื่อนไหวมันเป็นการจับมือระหว่างนักการเมืองกับนักการเมือง นักการเมืองกับอำนาจเก่าที่ไม่ใช่ฝ่ายเรา เวลานี้เป็นการประสานกันหาวิธีการ ปฏิวัติ รัฐประหารอย่างเดิม ประชาชนเขาต่อต้าน หรือว่าใช้องค์กรอิสระหรืออย่างอื่น สรุปได้ว่าวันนี้รัฐบาล คนเสื้อแดงจะประมาทไม่ได้ ทุกอย่างเป็นไปได้ทั้งสิ้นเพราะอย่างที่บอกว่าวันนี้ทุกฝ่ายอยู่ครบใน ตำแหน่งหน้าที่และอยู่ในจุดเดิม เราประเมินสถานการณ์บนพื้นฐานความเป็นจริง ไม่ใช่สมมติฐาน ครั้งนี้จะเป็นการบูรณาการระหว่างการโค่นล้มพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร นายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ แล้วนายกรัฐมนตรี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ก็จะเจอขบวนการที่หนักหน่วงยิ่งขึ้น เราก็ประเมินกันว่าในช่วงเริ่มต้นของรัฐบาล นโยบายทำให้แข็งแรงมากที่สุด นำนโยบายที่เราสัญญาไว้กับพี่น้องประชาชนไว้มาทำได้ครบ แล้ววันที่รัฐบาลมีความแข็งแรงมากที่สุด ก็ตัดสินใจแก้ไขรัฐธรรมนูญที่เป็นกลไก เป็นซากเดนที่ทำลายกระบวนการประชาธิปไตย แต่ไม่ควรจะเริ่มทันที ประชาชนเขาจะเป็นภูมิคุ้มกันที่ดีที่สุด
Q : อำนาจนอกรัฐธรรมนูญ หรือมือที่มองไม่เห็นรวมอยู่ด้วยหรือไม่
A :
วันนี้ไม่อยากจะบอกว่า “ใครเป็นใคร” ความจริงเราอยากให้แต่ละภาคส่วนเคารพประชาชน เพราะเมื่อประชาชนเขาตัดสินใจมาแล้วก็ควรให้รัฐบาลของประชาชนบริหารประเทศ ครบวาระ ฝ่ายที่ตัวเองสนับสนุนก็หมั่นทำความดี ถ้าประชาชนเห็นว่าควรได้รับความไว้วางใจ เมื่อครบวาระกระบวนการก็สามารถจะเดินหน้ากันต่อไปได้ แต่วันนี้เมื่อแพ้แล้วปล้นเหมือนกับการเลือกตั้งทุกครั้งที่ผ่านมา มันเป็นการทำร้ายหัวใจของประชาชน
Q : ในมุมกลับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญก็เท่ากับเปิดช่องให้ตัวเองถูกโค่นล้มก็ได้
A : การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่ได้เป็นเรื่องของรัฐบาลต้องการอะไร ถึงจะไม่มีคำตอบว่าแก้เพื่อใคร แต่คำตอบทุกอย่างไปยังการเลือก “ส.ส.ร.” การไปฟังประชาชนว่าแก้ไขอย่างไร การแก้ไขรัฐธรรมนูญจึงไม่ได้เป็นเรื่องของคนๆเดียว เป็นเรื่องของพรรคการเมืองพรรคเดียว แต่จะเป็นเรื่องของคนทุกคนในชาตินี้เขาจะกำหนดว่าจะเอารัฐธรรมนูญซึ่งเป็น กฎหมายสูงสุดของประเทศหน้าตาเป็นอย่างไร ประชาชนจะเป็นคนตัดสินโดยการลงประชามติ โดยการเลือก “ส.ส.ร.” แล้วก็ไปฟังประชาชน สุดท้ายก็ไปจบที่การลงประชามติ ดัง นั้นทุกขั้นตอนของการลงประชามติ ประชาชนจะมีส่วนกำหนดทุกขั้นตอน มันจึงไม่ได้เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย เป็นเรื่องของพรรคเพื่อไทย แต่เป็นเรื่องของประชาชนเป็นผู้ลงมือ เพราะเรารู้ว่าเราจะยืนแข็งแรงได้ก็ด้วยประชาชนจะเป็นผู้กำหนด เรารู้ว่าหากกลไกรัฐธรรมนูญฉบับนี้ยังอยู่ ถึงเราเลือกตั้งมาเหมือนขึ้นเหวมา ชนะอีกก็หล่นอีก ถ้าเราไม่มีการแก้ไขก็รอวันหล่นเหวอยู่อย่างนี้ ถ้าไม่แก้ตายสถานเดียว แต่แก้ มีโอกาสรอด เหตุที่ยังไม่แก้ทันทีเพราะต้องการให้รัฐบาลแก้ปัญหาปากท้องของพี่น้อง ประชาชนให้ครบถ้วนเสียก่อน เมื่อมีความพร้อมการแก้ไขรัฐธรรมนูญก็จะเริ่มต้นโดยประชาชน
Q : เป็นการแก้เพื่อให้รัฐบาลแข็งแรง
A :
ไม่ใช่แก้เพื่อให้รัฐบาลแข็งแรง แก้เพื่อให้ประชาชนแข็งแรง ไม่ใช่อำมาตย์แข็งแรงขึ้นเหมือนรัฐธรรมนูญปัจจุบัน เมื่อประชาชนแข็งแรง รัฐบาลก็แข็งแรง ตั้งแต่ 19 ก.ย.2549 ประชาชนน่าจะรู้แล้วว่าอะไรเป็นอุปสรรคต่อระบอบประชาธิปไตย อะไรเป็นอุปสรรคต่ออำนาจอธิปไตยของประชาชน ดังนั้นจึงเป็นอำนาจ ภาระหน้าที่ของประชาชนจะเป็นผู้กำหนด ชะตากรรมของประเทศนี้ด้วยน้ำมือตัวเอง ตั้งแต่ร่วมเลือก ส.ส.ร. ร่วมกันคิดประเด็นและร่วมลงมติในขั้นตอนสุดท้าย ส่วนพรรคการเมืองไม่ควรเข้าไปมีส่วนร่วม ผมเชื่อว่าขณะนี้ประชาชนรู้ดีว่าอะไรเป็นสิ่งไม่ถูก อะไรจำเป็นต้องแก้ไข
Q : เสื้อแดงต้องเตรียมพร้อมอย่างไร กิจกรรมต้องเข้มข้นขึ้นหรือไม่
A : เสื้อแดงเตรียมพร้อมเป็นปกติ หมู่บ้านเสื้อแดงก็ขยายโดยประชาชนทุกวันอยู่แล้ว เสื้อแดงก็มีการจัดกิจกรรมตามภูมิภาคต่างๆ ทุกวันอยู่แล้ว เป็นข่าวบ้าง ไม่เป็นข่าวบ้าง เราไม่ใช่ว่าพอชนะเลือกตั้งแล้วหยุด เมื่อจะถูกยึดอำนาจก็เรียกเสื้อแดงมาหน่อย นั่นไม่ใช่องค์กรภาคประชาชน และองค์กรภาคประชาชนไม่ได้ฟังคำสั่งพรรคการเมือง แต่องค์กรประชาธิปไตยกำหนดทิศทางประชาธิปไตยของประเทศ แต่ว่าคนเสื้อแดงเขาเห็นว่าถ้าพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งแล้ว แต่บ้านเมืองยังไม่เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ดี กระบวนการยุติธรรมยังไม่มีความเท่าเทียมดี ชัยชนะก็เป็นเพียงการเริ่มต้น ดังนั้นเราต้องรักษาชัยชนะของพรรคเพื่ออันนี้เอาไว้ให้ยาวนาน เพื่อไปแก้ไขสิ่งที่เป็นอุปสรรค เพื่อไปแก้ไขความเหลื่อมล้ำของสังคม
Q : เป็นแค่การขู่ พูดเพื่อตีปลาหน้าไซ เท่านั้นหรือไม่
A
: เราไม่เคยตีปลาหน้าไซ ข้อมูลแต่ละเรื่องที่เคยเปิดออกมาท้ายสุดเป็นจริงหรือเปล่า ข้อมูลแต่ละเรื่องเรามีการกลั่นกรอง ถามว่าทำไมข้อมูลผมจึงมีมาเรื่อยๆ ก็เพราะว่าเราไม่เคยทรยศต่อแหล่งข่าว เราซื่อสัตย์ต่อแหล่งข่าวว่าเมื่อได้ข้อมูลมาจะต้องนำมาเปิดเผยเพื่อเป็น ประโยชน์ต่อประชาชน บางเรื่องถูกฟ้องร้องเราก็พร้อมสู้คดี ข้อมูลที่เราเคยเปิดเผยในการชุมนุมที่ผ่านมาเมื่อตรวจสอบย้อนหลังก็พบว่า เป็นความจริงทุกอย่าง ฉะนั้นในฐานการข่าวจึงเป็นข้อมูลที่ผิดน้อยมาก และเราก็จับชีพจรแต่ละฝ่าย ในแวดวงการข่าวดูกันไม่ยากและในแวดวงนั้นเราก็รู้ว่ารัฐบาลนี้จะเจอมรสุมใน เดือนธ.ค.นี้
Q : นายกรัฐมนตรีเรียกเข้าไปถามข้อมูลหรือยัง
A :
ยังไม่ได้คุยกัน แต่ในส่วนอื่นก็ได้คุยกันมาพอสมควรและเป็นข้อมูลที่กลั่นกรอง เพียงแต่ว่าเมื่อเรามีข้อมูลอันนี้ก็ควรเตือนพี่น้องประชาชน เตือนไปยังรัฐบาลว่าไม่ควรยืนอยู่บนพื้นฐานของความประมาท เพราะเรามีบทเรียนมาแล้ว และผมเชื่อว่าทางการข่าวของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คงจะประเมินเรื่องนี้เป็นระยะๆ ถามว่าขณะนี้เราอยากให้บ้านเมืองสงบ ปรองดองหรือไม่ เราอยากมาก เพียงแต่ว่าสิ่งที่จะเกิดทุกอย่างได้ต้องเป็นประชาธิปไตยและมีความยุติธรรม เสียก่อน คนเสื้อแดงก็ยังต้องเดินหน้าต่อ