บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เปิดคำพิพากษา'อากง'ฉบับเต็ม-ทนายขอขยายเวลาอุทธรณ์

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.เว็บไซต์ประชาไท รายงานว่า น.ส.พูนสุข พูนสุขเจริญ ทนายความของนายอำพล (ขอสงวนนามสกุล) หรือ “อากง” ผู้ต้องขังคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จากกรณีส่ง SMS และถูกตัดสินจำคุก 20 ปีเมื่อวันที่ 23 พ.ย.2554 ระบุว่า ได้ยื่นคำร้องต่อศาลขอขยายเวลาอุทธรณ์เป็นเวลา 30 วัน เป็นวันที่ 23 ม.ค.2555 เป็นที่เรียบร้อยแล้ว เนื่องจากเพิ่งได้คำพิพากษาฉบับเต็มเมื่อเร็วๆ นี้ และคดีมีรายละเอียดมาก อย่างไรก็ตาม ทราบมาว่าทางอัยการก็ได้ยื่นคำร้องขอขยายเวลาอุทธรณ์เช่นกัน
สำหรับคำพิพากษาฉบับเต็ม มีจำนวน 13 หน้า ลงนามโดยผู้พิพากษา นายชนาธิป เหมือนพะวงศ์ และน.ส.ภัทรวรรณ ทรงกำพล


(อ่านคำพิพากษาฉบับเต็มด้านล่าง)

tcijthai

คำพิพากษา'อากง'ฉบับเต็ม

'ชาวโนนเรือง'ขวางเปิดหมู่บ้าน'เสื้อแดง'





 

ชาวบ้าน 2 หมู่บ้าน ขวางคน 'เสื้อแดง' หลังประกาศให้บ้านโนนเรืองเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง แกนนำเข้ากล่อมขอจัดกิจกรรมในหมู่บ้าน 24 ธ.ค.54 นี้ ถูกโห่ไล่หนีไปจัดกิจกรรมที่อื่น หลังจากประชาคมชาวบ้าน ไม่ยอมให้เปิดหมู่บ้านเสื้อแดง

          23 ธ.ค.54 เวลา 14.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ชาวบ้านโนนเรือง หมู่ 6 และ หมู่ 18 ต.บ้านค้อ อ.เมือง จ.ขอนแก่น หลายร้อยคนได้รวมตัวกันเพื่อต่อต้านการทำกิจกรรมของคนเสื้อแดงขอนแก่น ที่จะใช้บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้านเป็นสถานที่ทำกิจกรรมของกลุ่มคนเสื้อแดง พร้อมกับถือโอกาสประกาศให้หมู่บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านเสื้อแดง 100% จึงทำให้ชาวบ้านไม่พอใจกับการจัดกิจกรรมของแกนนำคนเสื้อแดงในครั้งนี้ ต่างพากันขึ้นป้ายทั่วทุกมุมของหมู่บ้าน เพื่อต่อต้านคนเสื้อแดงจัดกิจกรรมทุกอย่าง

          หลังจากที่คนเสื้อแดงมีกำหนดการณ์ใช้สนาม ร.ร.บ้านโนนเรืองเป็นสถานที่จัดกิจกรรมเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงในวันที่ 24 ธ.ค.54 นี้ จึงทำให้แกนนำคนเสื้อแดง นำโดย นายนพดล สีดาทัน ส.อบจ.ขอนแก่น ,นายอิทธิชัย ศรีวงษ์ชัย ส.อบจ.ขอนแก่น  และนางซาบีน่า ซาร์ กลุ่มแกนนำคนเสื้อแดงขอนแก่น ขอ พบชาวบ้านโนนเรืองทั้งสองหมู่บ้าน เพื่อทำความเข้าใจในการจัดกิจกรรม และขอทำประชาพิจารณ์กับชาวบ้านว่า ทำไมชาวบ้านไม่ให้แกนนำคนเสื้อแดงจัดกิจกรรม และนำหมู่บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้าน เปิดเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง
          ซึ่งชาวบ้านก็ยินดีให้แกนนำคนเสื้อแดงอธิบายจุดประสงค์ต่างๆของการจัด กิจกรรมของคนเสื้อแดงภายในหมู่บ้านโนนเรือง ซึ่งชาวบ้านก็รับฟังเหตุผลของกลุ่มแกนนำเสื้อแดงที่ขอนัดพบชาวบ้านเพื่อ ปรึกษาหารือ แต่ไม่อนุญาติให้คนเสื้อแดงเข้ามาจัดกิจกรรมใดๆทั้งสิ้นในบ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้าน และไม่ให้นำป้ายหมู่บ้านเสื้อแดงเข้ามาติดในหมู่บ้านเด็ดขาด พร้อมทั้งไม่ให้คนเสื้อแดงประกาศบ้านโดนเรืองเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง
          นายสำราญ ศรีวิจารย์ ผู้ใหญ่บ้านโนนเรือง หมู่ที่ 6 กล่าวว่า ไม่ทราบจุดประสงค์ของกลุ่มคนเสื้อแดงที่จะเข้ามาจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงภาย ในหมบ้านโนนเรืองทั้งสองหมู่บ้าน พร้อมถือโอกาสประกาศให้บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง อีก ทั้งคนเสื้อแดงที่จะมาจัดกิจกรรมในครั้งนี้ไม่ใช่ชาวบ้านโนนเรือง หรือคนในหมู่บ้านโนนเรืองเลยไม่ทราบว่าคนเสื้อแดงมีเหตุผลอะไร เพราะเดิมนั้นชาวบ้านก็สามัคคีกันดีอยู่แล้ว มีชื่อบ้านโนนเรืองเป็นหมู่บ้านอยู่แล้ว อยู่ดีๆทำไมถึงจะมีเปลี่ยนชื้อเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง ซึ่ง ทุกอย่างอาจจะมีนัยแอบแฝง ชาวบ้านทั้งหมู่บ้านหรือ เกือบ 100% ไม่เห็นด้วยและทำทุกอย่างที่จะคัดค้านไม่ให้คนกลุ่มนี้เข้ามาประกาศให้หมู่ บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านเสื้อแดง เพราะ ชาวบ้านเขาอยู่อย่างนี้ก็ดีแล้วสามัคคีกันดี หากเข้ามาประกาศให้เป็นหมู่บ้านเสื้อแดงกลุ่มคน หรือชาวบ้านในหมู่บ้านเกือบ 100% ไม่เห็นด้วยอยู่แล้ว จะทำให้เกิดความแตกแยกผลกระทบอีกมากมายจะตามมาทำให้เกิดความเสียหาย
          ขณะที่ชาวบ้านเห็นด้วยไม่มีแม้แต่คนเดียว แต่การที่แกนนำคนเสื้อแดง อย่างคุณ นพดล สีดาทัน ส.อบจ.ขอนแก่น ขอร้องชาวบ้านให้มารับฟังความคิดเห็นและขอหารือในครั้งนี้เราก็ยินดี เพราะเขาเข้ามาถูกต้องตามกฎของหมู่บ้าน ถึงแม้ว่าเขาจะเป็นคนเสื้อแดง หรือชาวบ้านโนนเรืองไม่ชอบเสื้อแดง แต่ ก็เป็นคนรักปรัชาธิปไตยด้วยกัน ชาวบ้านไม่ว่า เปิดโอกาสให้เขาเข้ามาสอบถามและอธิบายเหตุผลในการจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงใน ครั้งนี้ ซึ่งชาวบ้านโนนเรืองก็รับฟัง แต่ไม่ยอมให้คนเสื้อแดงจัดกิจกรรมใดๆขึ้นในหมู่บ้าน และไม่ให้คนเสื้อแดงประกาศหมู่บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง "นายสำราญ กล่าว"
          ขณะที่ นายวสันต์ เพียร์จันทร์ หนึ่งในแกนนำชาวบ้านโนนเรือง ที่ต่อต้านไม่ให้คนเสื้อแดงจัดกิจกรรมในหมู่บ้านโดนเรืองกล่าวว่า ในเรื่องของประชาธิปไตยชาวบ้านโนนเรืองยอมรับในประชาธิปไตย และให้การสนับสนุนการทำงานของรัฐบาลทุกรัฐบาล แม้กระทั่งรัฐบาลชุดนี้ เพราะเป็นที่ยอมรับของปีระชาชนในการเลือกเข้ามาบริหารประเทศ แต่การที่บุคคลกลุ่มหนึ่ง หรือคนเสื้อแดงที่ไม่ใช่คนในหมู่บ้านโนนเรือง จะเข้ามาจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงในหมู่บ้าน โดยการเกณฑ์คนเสื้อแดงมาจากที่อื้นมาจัดกิจกรรมในหมู่บ้าน เป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้อง
          อีกทั้งการกำหนดจัดกิจกรรมคนเสื้อแดงในวันที่ 24 ธ.ค.54 นี้ คนเสื้อแดงก็ไม่ได้มาสอบถามชาวบ้านโนนเรืองเลยว่า จะยอมรับหรือให้จัดกิจกรรมเสื้อแดงหรือไม่ ซ้ำยังจะถือโอกาสประกาศให้หมู่บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้านเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง ยิง เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้องเพราะชาวบ้านไม่ชอบ อีกทั้งในเรื่องนี้หลังทราบว่าคนเสื้อแดงจะเข้ามาจัดกิจกรรมขึ้นในหมู่บ้าน ผู้ใหญ่บ้าน และแกนนำชาวบ้าน ได้ประกาศผ่านหอกระจายข่าวทำประชาคมหมู่บ้าน ว่ามีใครเห็นด้วยหรือไม่ที่จะยินยอมให้คนเสื้อแดงมาจัดกิจกรรมในหมู่บ้าน และยอมให้ประกาศว่าหมู่บ้านนี้เป็นหมู่บ้านเสื้อแดง
          ซึ่งเบื้องต้นจากการประกาศไปหลายรอบทั่วทั้งหมู่บ้านโนนเรืองทั้ง 2 หมู่บ้าน ให้ชาวบ้านมาลงชื่อทำประชาคมหมู่บ้าน มีชาวบ้านเกือบ 200 หลังคาเรือน จากทั้งหมดเกือบ 300 กว่าหลังคาเรือนจาก 2 หมู่บ้าน ส่งตัวแทนมาลงชื่อในการทำประชาคม ซึ่งผลปรากฎว่า ชาวบ้านเกือบ 200 คน ที่มาลงรายชื่อไม่เห็นด้วยที่จะให้คนเสื้อแดงมาจัดกิจกรรมในหมู่บ้าน และไม่ยอมให้ประกาศว่าหมู่บ้านโดนเรืองเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง และ ในวันที่ 24 ธ.ค.54 นี้ ที่คนเสื้อแดงมีกำหนดการณ์ที่จะใช้สนามโรงเรียนบ้านโนนเรืองจัดกิจกรรมก็ให้ ย้ายไปที่อื่น เพราะชาวบ้านไม่ยอม
          ขณะที่ นางซาบีน่า ซาร์ แกนนำคนเสื้อแดงได้กล่าวกับชาวบ้านว่า การเข้ามาทำกิจกรรมของคนเสื้อแดงในหมู่บ้านโนนเรืองนั้น เป็นการทำกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย ไม่ใช่การทำกิจกรรมอย่างอื่น อีกทั้งก็มีคนบางส่วนอยากจะให้หมู่บ้านโนนเรืองนี้เป็นหมู่บ้านเสื้อแดง ผู้ใหญ่ ที่จะมาร่วมทำกิจกรรมที่บ้านโนนเรืองด้วยในวันที่ 24 ธ.ค.54 นี้ จะได้เห็นบรรยากาศของหมู่บ้านโนนเรืองที่จะประกาศเป็นหมู่บ้านเสื้อแดงว่าจะ มีการพัฒนาจุดไหนบ้าง เพื่อให้หมู่บ้านโนนเรืองเจริญ เพราะที่ผ่านมาทั้งถนนหนทางก็ผุพังและไม่มีใครเข้ามาดูแล จึงอยากจะให้ชาวบ้านร่วมมือกันทำกิจกรรมหมู่บ้านเสื้อแดง และให้ประกาศแค่ในนามเฉยๆว่าหมู่บ้านโนนเรืองเป็นหมู่บ้านเสื้อแดง เพื่อ ร่วมทำกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย ซึ่งก็มีชาวบ้านบางส่วนอยากให้ทำกิจกรรมในหมู่บ้านโนนเรือง ส่วนใครไม่เห็นด้วยก็ไม่เป็นไรให้อยู่เฉยๆ "นางซาบีน่า กล่าว"
          ผู้สื่อข่าวรายงานว่า หลังจากตัวแทนกลุ่มคนเสื้อแดงอธิบายถึงเหตุผลต่างๆที่จะเข้ามาจัเดกิจกรรมของคนเสื้อแดง พร้อม ทั้งจะประกาศให้บ้านโนนเรืองทั้งสองหมู่บ้าน เป็นหมู่บ้านเสื้อแดงนั้น ได้สร้างความไม่พอใจให้กับชาวบ้านที่มารับฟังจุดประสงค์จากแกนนำคนเสื้อแดง ที่ขออธิบายจุดประสงค์ในการจัดกิจกรรมขึ้นในวันที่ 24 ธ.ค.54 ชาวบ้านไม่ยอมและขับไล่ให้คนเสื้อแดงไปจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงที่อื่น นายอิทธิชัย ศรีวงษ์ชัย ส.อบจ.ขอนแก่น จึง ได้ปรึกษากับแกนนำชาวบ้าน ก่อนที่จะสรุปว่า เพื่อเป็นการสร้างความสามัคคี และไม่สร้างความแตกแยก จะไม่ขอจัดกิจกรรมของคนเสื้อแดงในวันที่ 24 ธ.ค.54 นี้ หากชาวบ้านไม่ยินยอม คนเสื้อแดงจะย้ายไปจัดกิจกรรมที่หมู่บ้านอื่นแทนในวันที่ 24 ธ.ค.54 นี้ แต่ถ้าหากว่าชาวบ้านโนนเรืองปรึกษาหารือกันได้วันไหนว่าคนเสื้อแดงจะเข้ามา พัฒนาหมู่บ้าน หรืออาจจะให้คนเสื้อแดงช่วยเหลือหรือจัดกิจกรรมที่เป็นประชาธิปไตย ต้านภัยยาเสพติดก้พร้อมที่จะเข้ามาเมื่อชาวบ้านหร้อม จากนั้นชาวบ้านก็สลายตัวแยกย้ายกันกลับ
(ภาพ : จากแฟ้ม)

 คมชึดลึก

เปิด "54" ชื่อผู้ต้องขัง ลุ้นนอน "คุกการเมือง"

(ที่มา หนังสือพิมพ์มติชนรายวัน ฉบับประจำวันที่ 23 ธันวาคม 2554)
ตาม ที่คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) เสนอแนะเรื่องการปรองดองเกี่ยวกับการคุมขังนักโทษคดีการเมืองว่า "สมควร จัดหาสถานที่ในการควบคุมที่เหมาะสมที่มิใช่เรือนจำปกติ เป็นสถานที่ควบคุมผู้ต้องหา/จำเลย ดังเช่นเคยใช้กับนักโทษทางการเมืองในอดีต" ต่อมากรมราชทัณฑ์ได้ปรับปรุงโรงเรียนพลตำรวจบางเขน เป็นเรือนจำชั่วคราวหลักสี่หรือสถานคุมขังพิเศษ เพื่อรองรับนักโทษคดีการเมือง มีกำหนดโอนย้ายนักโทษการเมืองมาคุมขังในต้นปี 2555 นั้น

ทั้งนี้ สเปกหรือคุณสมบัติที่ คอป.ระบุถึงผู้ต้องขังคดีการเมืองข้อหนึ่งคือ เป็นผู้อยู่ระหว่างการดำเนินคดี นั่นหมายถึงคดียังไม่ถึงที่สุด

ล่าสุด "มติชน" ตรวจสอบพบว่ากรมราชทัณฑ์จำแนกกลุ่มผู้ต้องหาหรือผู้ต้องขังที่เกี่ยวเนื่อง ทางการเมืองและคดีอยู่ระหว่างการพิจารณา เป็นคดีระหว่างอุทธรณ์ 45 คน และคดีระหว่างการพิจารณา (ศาลชั้นต้น) 9 คน

ในกลุ่มที่คดีอยู่ระหว่างอุทธรณ์ จำแนกตามสถานที่คุมขังดังนี้ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายเพชร หรือโชค แสงมณี คดีก่อการร้าย ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.บ.คนเข้าเมือง พ.ร.ก.การบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน โทษจำคุก 6 ปี 6 เดือน นายประสงค์ มณีอินทร์ ฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนดห้ามชุมนุมฯ ร่วมกันมีระเบิด วิทยุคมนาคมฯ พาอาวุธไปในเมือง และร่วมกันลักทรัพย์ โทษจำคุก 11 ปี 8 เดือน นายโกวิทย์ แย้มประเสริฐ ฝ่าฝืนประกาศข้อกำหนด ห้ามมิให้ชุมนุมฯ และการใช้เส้นทางคมนาคม ร่วมกันมีวัตถุระเบิด ร่วมกันพาอาวุธไปในเมืองหรือหมู่บ้านจำคุก 11 ปี 8 เดือน

นายเอกชัย มูลเกษ คดีก่อให้เกิดระเบิด ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.บ.อาวุธปืน จำคุก 8 ปี นายธันย์ฐวุฒิ ทวีวโรดมกุล คดีหมิ่นเบื้องสูง พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ จำคุก 13 ปี นายเสถียร รัตนวงศ์ คดีประกอบกิจการจำหน่ายวีดิทัศน์โดยทำเป็นธุรกิจ โดยไม่ได้รับอนุญาตจากนายทะเบียนและหมิ่นเบื้องสูง จำคุก 3 ปีและกักขัง 250 วัน นายพันธุ์ชาย สวนเนตร คดีหมิ่นเบื้องสูงจำคุก 3 ปี 4 เดือน นายวราวุธ ฐานังกรณ์ คดีหมิ่นเบื้องสูงจำคุก 3 ปี นายณัฐ สัตยาภรณ์พิสุทธิ์ คดีนำเข้าสู่คอมพิวเตอร์ เผยแพร่ที่มีลักษณะลามก และหมิ่นเบื้องสูง จำคุก 3 ปี 11 เดือน 8 วัน นายวันชัย แซ่ตัน คดีหมิ่นเบื้องสูง 2 คดี รวม 13 ปี 9 เดือน

นายสุริยันต์ กกเปือย คดีหมิ่นเบื้องสูงและทำให้ผู้อื่นเกิดความกลัวฯ จำคุก 3 ปี 15 วัน นายอำพล ตั้งนพคุณ คดีหมิ่นเบื้องสูงและนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคง หรือที่คนทั่วไปรู้จักในชื่อคดีอากง จำคุก 20 ปี นายคมสันติ์ สุดจันทร์ฮาม คดีความผิดต่อเจ้าพนักงาน ปล้นทรัพย์ และ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำคุก 3 ปี 6 เดือน

เรือนจำจังหวัดมหาสารคาม นายภานุพงษ์ พณสน คดีก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ตระเตรียม จำคุก 5 ปี 4 เดือน นายคมกฤษ คำวิแสง คดีก่อให้เกิดเพลิงไหม้จำคุก 4 ปี 4 เดือน นายสมโภชน์ สีกากุล นายเดชอดุลย์ เดชบุรัมย์ นายสุชล จันปัญญา นายชรัณย์ เอกศิริ นายอุภัย คงหา นายไพรัช จอมหรรษา คดีก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้เสียทรัพย์จำคุก 5 ปี 8 เดือน นายมนัส วรรณพงษ์ คดีก่อให้เกิดเพลิงไหม้ ทำให้เสียทรัพย์ 6 ปี 8 เดือน

เรือนจำกลางอุบลราชธานี น.ส.ปัทมา มูลมิล คดีความผิดต่อเจ้าพนักงาน ก่อให้เกิดความวุ่นวาย ก่อให้เกิดเพลิงไหม้ บุกรุก ทำให้เสียทรัพย์ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน จำคุก 34 ปี นายธีรวัฒน์ สัจสุวรรณ คดีความผิดต่อเจ้าพนักงาน ความผิดเกี่ยวกับความสงบสุขของประชาชน บุกรุก จำคุก 34 ปี นายสนอง เกตุสวรรณ์ นายสมศักดิ์ ประสานทรัพย์ คดีวางเพลิงเผาทรัพย์ ฯลฯ จำคุก 34 ปี

เรือนจำกลางอุดรธานี คดีผิดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ วางเพลิง บุกรุก นายอาทิตย์ ทองสาย จำคุก 22 ปี 6 เดือน นายบัวเรียน แพงสา จำคุก 20 ปี 6 เดือน นายกิตติพงษ์ ชัยกัง จำคุก 11 ปี 3 เดือน นายวันชัย รักสงวนศิลป์ จำคุก 20 ปี 6 เดือน นายเดชา คมขำ จำคุก 20 ปี 6 เดือน เรือนจำจังหวัดมุกดาหาร นาย ควง คนยืน นายทวีศักดิ์ แข็งแรง นายณัฐวุฒิ พิกุลศรี นายไมตรี พันธ์คุณ นายนพชัย พิกุลศรี นายพรนม กันนอก นายวิชัย อุสุพันธ์ นายวินัย ปิ่นศิลปะชัย นายสมัคร ลุนริลา นายวิชิต อินตะ นายประครอง ทองน้อย นายแก่น หนองพุดสา นายทินวิวัฒน์ เมืองโคตร คดีวางเพลิงเผาทรัพย์ จำคุก 20 ปี และทัณฑสถานหญิงนครราชสีมา นางดารณี ชาญเชิงศิลปกุล คดีหมิ่นเบื้องสูง จำคุก 15 ปี

ส่วนผู้ต้องหาที่อยู่ระหว่างการพิจารณาคดี (ศาลชั้นต้น) จำแนกตามสถานที่ควบคุม ดังนี้ เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ นายสายชล แพบัว ความผิดต่อเจ้าพนักงาน ปล้นทรัพย์ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน นายเอนก สิงขุนทด คดีร่วมกันทำวัตถุระเบิด ฯลฯ ส.ต.ต.บัณฑิต สิทธิทุม คดีร่วมกันก่อการร้าย ทำให้เกิดระเบิดอันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินและ พ.ร.บ.อาวุธปืน นายสุรัช แซ่ด่าน คดีหมิ่นเบื้องสูง 3 คดี นายเลอพงษ์ วิไชยคำมาตย์ หรือ โจ กอร์ดอน คดีหมิ่นเบื้องสูงและนำเข้าระบบคอมพิวเตอร์เกี่ยวกับความมั่นคง นายพินิจน์ จันทร์ณรงค์ วางเพลิง พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ นายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เรือนจำจังหวัดนนทบุรี นายจรูญ บุญเรือง นายสมนึก แซ่เฮง คดี พ.ร.ก.ฉุกเฉิน และ พ.ร.บ.อาวุธปืน ฯลฯ

อย่างไรก็ตาม เมื่อพิจารณาตามที่นายคณิต ณ นคร ประธาน คอป.เคยอรรถาธิบายไว้ว่า "นัก โทษการเมืองหมายถึงกลุ่มที่กระทำผิดด้วยแรงจูงใจทางการเมือง...ไม่ใช่พวกชุด ดำที่ใช้อาวุธเข่นฆ่ากัน และพวกวางเพลิงที่เตรียมการมา"
ฉะนั้น การคัดกรองแยกขังนักโทษการเมือง จึงเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่กรมราชทัณฑ์จะต้องตรวจสอบและตอบคำถามสังคมได้!!?

เจาะ ก.ต่างประเทศยุค“เดอะปึ้ง”สุรพงษ์ ใช้งบฯตกแต่งห้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ 11.3 ล้าน

ตรวจสอบ ก.ต่างประเทศยุค “เดอะปึ้ง”สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล 3 เดือนใช้งบฯ ตกแต่งห้องซื้อเฟอร์นิเจอร์ 11.3 ล้าน บ.เดียวกวาด 26%
หากพลิกการใช้งบประมาณจัดซื้อจัดจ้างของกระทรวงการต่างประเทศในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาจะพบข้อมูลที่น่าสนใจ นั่นเพราะ งบประมาณ 38.9 ล้านบาท (17 ครั้ง) ใช้เพื่อปรับปรุงตกแต่งห้องทำงานผ่านสำนักปลัดกระทรวงการต่างประเทศถึง 11.3 ล้านบาท กล่าวคือ
5 ก.ย. 54 จ้างบริษัท พีเอ อาร์คิเทคท์ จำกัด ปรับปรุงห้องทำงาน 2,325,279 บาท
5 ก.ย. 54 จ้างบริษัท พีเอ อาร์คิเทคท์ จำกัด ปรับปรุงห้องทำงานกลุ่มตรวจสอบภายใน 2,153,555 บาท
14 ก.ย. 54 จ้างบริษัท พีเอ อาร์คิเทคท์ จำกัด ปรับปรุงและตกแต่งภายในสถานที่ทรงงานและปรับปรุงเพิ่มเติมในส่วนห้องกรมยุโรป 2,763,070 บาท
26 ก.ย. 54 ซื้อครุภัณฑ์ในส่วนห้องทำงานกรมยุโรปจำนวน 41 รายการ ผ่าน บริษัท พีเอ อาร์คิเทคท์ จำกัด 2,885,480 บาท
28 ก.ย. 54 จ้าง บริษัท เดอะ คลาสสิค แชร์ส จำกัด ผลิตครุภัณฑ์เฟอร์นิเจอร์ จำนวน 8 รายการ 1,223,280 บาท
รายการอื่น อาทิ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยทำและจัดพิมพ์หนังสือฉลองวาระครบรอบ 150 ปีความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมนีเป็นรูปเล่ม รวม 3 เรื่องๆละจำนวน 1,000 เล่มทุกเรื่องจัดทำคำแปล 3ภาษา ได้แก่ ไทย,เยอรมัน,อังกฤษ 1,000,000 บาท
จ้าง มหาวิทยาลัยหอการค้าไทยศึกษาวิจัยการจัดทำคู่มือการลงทุนในกลุ่มประเทศลาตินอเมริกา(ประเทศบราซิล) 1,000,000 บาท
จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจัดทำโครงการประชุมวิชาการนานาชาติด้านภาษาและ วัฒนธรรมเยอรมัน ภายในวันที่ 15 กันยายน 2554และจัดพิมพ์เอกสารรวมบทความจากการประชุม(Proceedings)ในรูปของวารสารชุด Cross Cultural Communication 1,500,000 บาท
จ้างจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัยจ้างดำเนินโครงการสหรัฐอเมริกาศึกษา(AmericanStusies Program) ปี 2554 วงเงิน 1,280,000 บาท
จ้าง บริษัท อสมท. จำกัด จัดทำสารคดีฉลองวาระครบรอบ 150 ปี ความสัมพันธ์ทางการทูตไทย-สหพันธ์สาธารณรัฐเยอรมัน รวม 10 ตอน 6,000,000 บาท
จ้าง บริษัท พายซอฟท์ จำกัด พัฒนาระบบบริหารจัดการเว็บไซต์กระทรวงการต่างประเทศ4,950,000 บาท
ซื้อรถยนต์ NISSAN "TEANA" 2.0 Sport SeriesNAVI จำนวน 2 คัน จากบริษัท สยามนิสสัน บีเคเค จำกัด 2,343,177 บาท
น่าสังเกตว่าเป็นการจัดซื้อจัดจ้างจากบริษัท พีเอ อาร์คิเทคท์ จำกัด 10.1 ล้านบาท หรือ คิดเป็น26%
ทั้งนี้ บริษัท พีเอ อาร์คิเทคท์ จำกัด จดทะเบียนวันที่ 4 กุมภาพันธ์ 2546 ทุน 5 ล้านบาท ที่ตั้งเลขที่ 1213/327 ซอยลาดพร้าว 94 ถนนศรีวรา แขวงวังทองหลาง เขตวังทองหลาง กรุงเทพฯ นายไพรพณ์ สุขเกษม ถือหุ้นใหญ่ นายไพรพณ์ สุขเกษม และ นายสมศักดิ์ อัตโสภณ เป็นกรรมการ
เป็นเรื่องท้าทายที่นายสุรพงษ์เจ้ากระทรวงจะขันนอตมิให้กระจุกตัวได้อย่างไร?


  isranews,

จากหมอประเวศ ถึง กสทช: 15 ข้อเสนอพาชาติพ้นวิกฤต

ศ.นพ.ประเวศ วะสี เสนอบทความพิเศษ กสทช. กับระบบการสื่อสารที่พาชาติออกจากวิกฤต วิกฤตใหญ่ประเทศไทยไม่ได้มีแต่มหา อุทกภัย แต่เป็นวิกฤตใหญ่ที่วิกฤตทุกเรื่องมาบรรจบกัน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ วิกฤตสังคม วิกฤตสิ่งแวดล้อม และวิกฤตการเมืองการปกครอง
วิกฤตเหล่านี้ยากและซับซ้อน เกินความเข้าใจของสังคมไทย สังคมใดสังคมหนึ่งจะรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของประเทศไว้ได้ต้องมีปัญญาพอ เพียง ถ้าปัญญาไม่พอเพียงก็จะสูญเสียบูรณภาพและดุลยภาพ ทำให้เจ็บป่วย วิกฤต และล่มสลาย วิกฤตใหญ่ประเทศไทยขนาดนี้ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขได้ นอกจากคนไทยทั้งหมดต้องร่วมกันสร้างจิตสำนึกใหม่ และปัญญาโดยรวมให้พอเพียง หากยังเล่นเกมอำนาจกันต่อไปประเทศไทยจะล่มสลายแน่นอน
ประเวศ วะสี
นพ. ประเวศ วะสี (ภาพจาก Thai Reform)
การจะสร้างจิตสำนึกใหม่และปัญญาอย่างกว้างขวางและรวดเร็วทันการไม่มีวิธี อื่น นอกจากระบบการสื่อสารที่ดี ฉะนั้น พันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ ของ กสทช. คือเสริมสร้างระบบการสื่อสารที่ดีให้ทันกาล ไม่มีใครอื่นจะทำได้ดีเท่า กสทช. กสทช.จึงไม่ควรพลาดพันธกิจที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาเช่นนี้
กสทช. ควรใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ใช้แต่อำนาจ
อำนาจอาจยวลใจ แต่คับแคบและได้ผลน้อย ฝรั่งเองพูดมานานแล้วว่า “อำนาจได้ผลน้อยลงๆ ” (Power is less and less effective) ต้องใช้ปัญญาเพราะแสงสว่างเสมอปัญญาไม่มี(นัตถิ ปัญญา สมาอาภา) ต้องไม่ติดแต่ในรูปแบบแต่ถือสาระเป็นตัวตั้ง กสทช. ต้องไม่อยู่ตามลำพังตัวเองเพราะจะตีบตัน แต่ต้องเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง ให้สังคมเข้ามาร่วมกับ กสทช. ในการเสริมสร้างระบบการสื่อสารที่พาชาติออกจากวิกฤต
โดยคำนึงถึง “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” อันประกอบด้วย (๑) อำนาจรัฐ (๒) อำนาจความรู้ (๓) อำนาจทางสังคม กสทช. คืออำนาจรัฐ ซึ่งควรคำนึงถึงองค์ประกอบอีก ๒ ประการให้เข้ามาบรรจบกันด้วย

ข้อเสนอ ๑๕ ประการในการพัฒนาการสื่อสารเพื่อพาชาติออกจากวิกฤต

(๑) สื่อสารเพื่อสร้างเป้าหมายร่วมของชาติ ว่าเป้าหมายร่วมของชาติคือ การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม ความสมดุลจะทำให้เกิดความเป็นปรกติ ความผาสุก และความยั่งยืน เราไม่เคยมีเป้าหมายเช่นนี้ การพัฒนาจึงไม่ยั่งยืน
(๒) สื่อสารเพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่ จิตสำนึกเก่าเป็นจิตสำนึกที่เล็กและคับแคบ ที่มุ่งประโยชน์ตนอย่างแยกส่วน ทำให้การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลเป็นไปไม่ได้ คนไทยต้องมีจิตสำนึกใหม่ ซึ่งเป็นจิตสำนึกใหญ่ที่เห็นคนทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาอย่างสมดุลเป็นไปได้
(๓) สื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย จากสังคมใช้อำนาจให้เป็นสังคมใช้ความรู้และเหตุผล สังคมใช้อำนาจไม่สนใจข้อมูลหลักฐานและเหตุผล เป็นสังคมที่เหะหะ คาดเดาว่าอย่างนั้นมั้งอย่างนี้มั้ง เช่น “คงไม่เป็นไรมั้ง” “คงไม่เป็นกับเราหรอก” “แล้วแต่ดวง” เชื่อง่ายถูกชักจูงง่ายด้วยการโฆษณา ทำให้เป็นสังคมที่มีสมรรถนะต่ำ รวมทั้งสมรรถนะในระบบการเมืองอย่างที่เราเห็น สังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนและยากสุดประมาณ สังคมด้อยสมรรถนะจะหายนะ การสื่อสารต้องเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไปสู่วัฒนธรรมแห่งการใช้ ความรู้และเหตุผล

(๔) สื่อสารเพื่อสร้างวิจารณญาณ ท่ามกลางการใช้คลื่นการสื่อสารตลอด ๒๔ ชั่วโมง เพื่อการโฆษณาเพื่อบริโภคนิยมและผลประโยชน์ทางการเมือง การขาดวิจารณญาณของสังคมว่าอะไรเชื่อได้อะไรเชื่อไม่ได้ อะไรมีประโยชน์หรือโทษอย่างใด นำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงทั้งทางเศรษฐกิจ สังคม สิ่งแวดล้อมและการเมือง
การสื่อสารที่ดีควรสร้างความสามารถในการวิเคราะห์ข่าวให้แก่ประชาชน อย่างกว้างขวาง ในการศึกษาทุกชั้นเรียนควรมีชั่วโมงวิเคราะห์ข่าวทุกวัน ว่าข่าวที่นักเรียนและผู้ปกครองได้รับในแต่ละวันมีอะไรที่เชื่อได้อะไรที่ เชื่อไม่ได้ อะไรมีประโยชน์หรือโทษอย่างใด ถ้าการสื่อสารร่วมมือกับระบบการศึกษาเพื่อการวิเคราะห์ข่าว จะเป็นคุณต่อการสร้างสมรรถนะทางวิจารณญาณให้สังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง
(๕) การติดตามประเมินคุณภาพของสื่อ (Media monitor) ควรมีระบบที่สนับสนุนให้คณะนิเทศศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ ร่วมกันทำranking สื่อหากคณะนิเทศศาสตร์มีหลักสูตรให้นิสิตนักศึกษาร่วมประเมินคุณภาพสื่อ นอกจากจะช่วยให้สื่อปรับปรุงคุณภาพของตนแล้ว ยังจะเป็นการสร้างนักการสื่อสารในอนาคตให้มีคุณภาพอย่างดีที่สุดด้วย
(๖) สื่อ “สาร” ที่เป็นความรู้ ทุกวันนี้ ช่องทางสื่อสารมีมาก แต่สารที่เป็นประโยชน์ยังมีน้อย ควรกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยสร้าง “ศูนย์ความรู้” (Knowledge Center) เพื่อรวบรวมตรวจสอบความรู้ที่แม่นยำมีประโยชน์อยู่ในรูปที่น่าบริโภค แล้วเชื่อมโยง “สาร” ที่เป็นความรู้จริงนี้เข้ากับช่องทางการสื่อสาร จะช่วยสร้างสังคมความรู้ได้อย่างมหาศาล ควรมีการส่งเสริมให้เกิดสำนักข่าวอิสระที่เน้นคุณภาพของข่าว ให้ข่าวคุณภาพขยายพื้นที่หรือเข้าแทนที่ข่าวขยะให้มากขึ้นเรื่อย ๆ
(๗) สร้างนักสื่อสารสร้างสรรค์ หากผู้ทำงานในระบบการสื่อสาร จะเป็นนักข่าวก็ดี ผู้ดำเนินรายการก็ดี นักเขียนก็ดี บรรณาธิการข่าวที่ดี นิยมความรู้ มีความรู้ในตัว แสวงหาความรู้ ตรวจสอบความแม่นยำของข่าวสาร และสื่อสารเก่ง ประเทศไทยจะเปลี่ยน ขณะนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่ ควรมีการสร้างนักสื่อสารสร้างสรรค์จำนวนมากอย่างเป็นระบบโดยรวดเร็ว
(๘) สื่อสารสร้างสรรค์ด้วยนวนิยายละคร ภาพยนต์ ผลกระทบต่อวิธีคิดและจิตสำนึกของสังคมอย่างกว้างขวาง เกิดได้ยากจากบทความทางวิชาการ แต่เกิดจากการสื่อสารด้วยนวนิยาย ละคร หนังสารคดี ภาพยนตร์ ที่สนุกและมีสาระ ควรมีการสนับสนุนการเขียนนวนิยาย การทำละคร ทำหนังสารคดี ภาพยนตร์และศิลปะอื่น ๆ ที่เข้าถึงคนจำนวนมาก
(๙) สื่อสารเพื่อการศึกษา ถ้านักเรียนได้พบครูดีชีวิตจะเปลี่ยน แต่เป็นไปไม่ได้ ที่นักเรียนทุกคนจะมีโอกาสพบครูดี ในระบบการศึกษาแบบเดิม แต่เป็นไปได้ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่ ควรมีการแสวงหาครูที่สอนเก่งในทุกวิชา และมีระบบการถ่ายทอดการสอนของครูสอนเก่งไปสู่ห้องเรียนทั่วประเทศ ซึ่งจะพัฒนาทั้งนักเรียนและครูไปพร้อมกัน
ภาพจาก กสทช
(๑๐) สื่อสารเพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย การพัฒนาประชาธิปไตยของเราเป็นไปช้ามาก ในเวลา ๗๙ ปี ยังไม่เกิดประชาธิปไตยอัตถประโยชน์ ยังมีความห่าม ดิบ หยาบคาย โกงกิน รุนแรงจนเกือบจะเกิดมิคสัญญีกลียุค เพราะสนใจแต่รูปแบบมากกว่าสาระ การสื่อสารสามารถสร้างสรรค์ประชาธิปไตยได้โดยรวดเร็ว เช่น
  • การมีเครือข่ายวิยุชุมชนที่ครอบคลุมทุกพื้นที่และให้ประชาชนเป็นผู้สื่อ สารเข้ามาโดยโทรศัพท์มือถือ วันหนึ่งๆ ประชาชนจะสื่อสารเข้ามาหลายแสนหรือเป็นล้านครั้ง อาจจะร้องทุกข์เรื่องเจ้าหน้าที่ของรัฐทำไม่ดีบ้าง ร้องเรียนบ้าง ออกความเห็นในเรื่องต่างๆ บ้าง ฯลฯ มีระบบรวบรวมสังเคราะห์การสื่อสารของประชาชนเป็นหมวดเป็นหมู่เป็นเรื่องเป็น ราว และนำไปใช้งานอย่างสอดคล้อง เช่น การปรับปรุงงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ นำเรื่องดีๆ ไปขยายผล นำข้อเสนอทางนโยบายไปสู่ผู้ปฏิบัติ ฯลฯ โดยวิธีนี้ประชาชนทั้งประเทศจะมีส่วนร่วมโดยตรงในการปกครองตนเอง และพัฒนาประเทศ เป็นประชาธิปไตยโดยสาระ
  • โทรทัศน์ทุกช่องจัดให้มีรายการประชาเสวนา (Citizen Dialogue) เป็นประจำสังคมไทยใช้ความเห็นมากกว่าความรู้ จึงขาดความเห็นพ้องในเรื่องนโยบายสำคัญๆ ของประเทศ เพราะร้อยคนก็เห็นร้อยอย่าง ความเห็นที่แตกต่างนำไปสู่ความขัดแย้ง ความแตกแยก และความรุนแรง แต่ความรู้ที่เป็นความจริงทำให้เห็นตรงกันได้ กระบวนการที่เรียกว่าประชาเสวนานั้นคือ กระบวนการที่นำฝ่ายต่าง ๆ มาพูดคุยกัน เริ่มต้นอาจจะใช้ความเห็น แต่การเติมข้อมูลข่าวสารเข้ามาสู่วงสนทนาเป็นระยะๆ เมื่อผู้เสวนาได้รับข้อมูลข่าวสาร ความเห็นก็เปลี่ยนไป และในที่สุดนำไปสู่ฉันทามติได้  ประชาเสวนาเป็นกระบวนการประชาธิปไตยโดยสาระและสร้างสรรค์ ถ้าสถานีโทรทัศน์ทุกช่องจัดให้มีประชาเสวนาเป็นประจำ จะลดความขัดแย้งในสังคม และนำไปสู่การพัฒนานโยบายที่มีฐานอยู่ในข้อเท็จจริงเป็นประชาธิปไตยอัต ถประโยชน์ หรือประชาธิปไตยโดยสาระ
(๑๑) สื่อสารเพื่อปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ โครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์ของประเทศไทยก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำมาก คอร์รัปชั่นสูงความขัดแย้งและความรุนแรง ความด้อยสมรรถนะของภาครัฐในการจัดการเรื่องต่าง ๆ รวมทั้งจัดการป้องกันแก้ไขภัยพิบัติ เช่น มหาอุทกภัย โครงสร้างอำนาจเช่นนี้จะนำหายนะมาสู่ประเทศไทยมากขึ้น ๆ จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ (ดูเอกสารของคณะกรรมการปฏิรูป) การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจที่สำคัญคือ การให้
  • ชุมชนจัดการตนเอง
  • ท้องถิ่นจัดการตนเอง
  • จังหวัดจัดการตนเอง
  • กลุ่มจังหวัดจัดการตนเอง
การกระจายอำนาจไปให้พื้นที่ที่มีสมรรถนะในการจัดการตนเองได้ จะทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงและพ้นวิกฤตได้ ระบบการสื่อสารทั้งปวงควรจะส่งเสริมสนับสนุนการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของ ประเทศ
(๑๒) มหาวิทยาลัยกับการพาชาติออกจากวิกฤต เรามีมหาวิทยาลัยกว่า ๑๐๐ แห่ง มีคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษารวมกันหลายแสนคน จึงเป็นขุมกำลังทางปัญญาของประเทศ แต่ที่ไม่เป็นพลังทางปัญญาเพราะมหาวิทยาลัยเอา “วิชา”เป็นตัวตั้ง ไม่ได้เอาความจริงของสังคมเป็นตัวตั้ง ในมหาอุทกภัย ๒๕๕๔ มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้มีบทบาทในการใช้ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสังคม และตระหนักรู้ว่าการเอาสังคมเป็นตัวตั้งทำให้มหาวิทยาลัยได้ใช้ศักยภาพของตน ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร มหาวิทยาลัยสามารถมีบทบาทอย่างสำคัญในข้อเสนอทั้ง ๑๑ ข้อข้างต้น กสทช.ควรถือว่ามหาวิทยาลัยเป็นภาคีในการพาชาติออกจากวิกฤต
(๑๓) สถานีโทรทัศน์กับการพาชาติออกจากวิกฤต ในขณะที่หนังสือพิมพ์กำลังประสบความยากลำบากทางเศรษฐกิจ จนบางฉบับต้องปิดกิจการ บางฉบับก็ขายตัวหมดสภาพการเป็นหนังสือพิมพ์สื่อที่มีพลังมากที่สุดคือสถานี โทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์จึงสามารถทำการสร้างสรรค์ได้ทั้ง ๑๒ ข้อข้างต้น กสทช. ควรหาทางสร้างแรงจูงใจให้สถานีโทรทัศน์มีบทบาทในการพาชาติออกจากวิกฤต
(๑๔) การสื่อสารกับการพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ การที่ประเทศไทยจะธำรงบูรณภาพและดุลยภาพในตัวเองและกับโลกอันเชื่อมโยงอย่าง ซับซ้อนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมีปัญญาพอเพียง โครงสร้างที่เป็นทางการขณะนี้ไม่สามารถสร้างปัญญาให้พอต่อการใช้งานได้ คนไทยที่มีศักยภาพควรรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อศึกษาเรื่องที่สำคัญ ๆ เช่น ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสันติภาพ ภัยพิบัติ ระบบการสื่อสาร ระบบการศึกษา การฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ฯลฯ อาจเรียกเรื่องเหล่านี้รวมๆ กันว่ายุทธศาสตร์ชาติ เราต้องมีความรู้จริงในเรื่องต่าง ๆ แล้วนำมาสื่อสารให้รู้ทั่ว เพื่อให้สามารถมีเอกภาพในการดำเนินยุทธศาสตร์ชาติในเรื่องต่าง ๆ ระบบการสื่อสารควรกระตุ้นให้คนไทยรวมตัวกันศึกษาเรื่องที่สำคัญต่าง ๆ และสื่อสารให้เป็นพลังทางสังคมและพลังทางปัญญา ของชาติอย่างพอเพียงที่จะรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของประเทศไว้ได้ ไม่หลุดเข้าไปสู่ความหายนะ
(๑๕) ภาคสังคม และภาควิชาการควรร่วมมือกับกสทช. สังคมไทยต้องเป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน กสทช. เป็นองค์กรของรัฐที่เกิดขึ้นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๗ ที่บัญญัติว่า
 “คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ”ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็น อิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่…และกำกับการประกอบกิจการ …
การดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น”
รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การใช้คลื่นความถี่ให้เป็นประโยชน์สูงสุดของประชาชน นี่เป็นเจตนารมณ์อันสูงสุดของรัฐธรรมนูญและถ้าทำตามเจตนารมณ์นี้ชาติจะออก จากวิกฤตได้จริง ในยามที่ประเทศไทยวิกฤตสุด ๆ เช่นนี้ จึงไม่ควรมีคนไทยหัวใจมนุษย์คนใด ทำให้เบี่ยงเบนไปจากเจตนารมณ์อันสูงสุดของรัฐธรรมนูญ
ภาคสังคมและภาควิชาการ ซึ่งรวมถึงชุมชนท้องถิ่นและภาคธุรกิจ ควรจะร่วมกับ กสทช. เพื่อทำให้ระบบการสื่อสารเป็นพลังที่พาชาติออกจากวิกฤตได้จริง
กรุงเทพธุรกิจ
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง