ศ.นพ.ประเวศ วะสี เสนอบทความพิเศษ กสทช.
กับระบบการสื่อสารที่พาชาติออกจากวิกฤต วิกฤตใหญ่ประเทศไทยไม่ได้มีแต่มหา
อุทกภัย แต่เป็นวิกฤตใหญ่ที่วิกฤตทุกเรื่องมาบรรจบกัน ทั้งวิกฤตเศรษฐกิจ
วิกฤตสังคม วิกฤตสิ่งแวดล้อม และวิกฤตการเมืองการปกครอง
วิกฤตเหล่านี้ยากและซับซ้อน
เกินความเข้าใจของสังคมไทย
สังคมใดสังคมหนึ่งจะรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของประเทศไว้ได้ต้องมีปัญญาพอ
เพียง ถ้าปัญญาไม่พอเพียงก็จะสูญเสียบูรณภาพและดุลยภาพ ทำให้เจ็บป่วย วิกฤต
และล่มสลาย วิกฤตใหญ่ประเทศไทยขนาดนี้ไม่มีใครคนใดคนหนึ่ง
หรือฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งจะแก้ไขได้
นอกจากคนไทยทั้งหมดต้องร่วมกันสร้างจิตสำนึกใหม่ และปัญญาโดยรวมให้พอเพียง
หากยังเล่นเกมอำนาจกันต่อไปประเทศไทยจะล่มสลายแน่นอน
นพ. ประเวศ วะสี (ภาพจาก Thai Reform)
การจะสร้างจิตสำนึกใหม่และปัญญาอย่างกว้างขวางและรวดเร็วทันการไม่มีวิธี
อื่น นอกจากระบบการสื่อสารที่ดี ฉะนั้น พันธกิจอันศักดิ์สิทธิ์ ของ กสทช.
คือเสริมสร้างระบบการสื่อสารที่ดีให้ทันกาล ไม่มีใครอื่นจะทำได้ดีเท่า
กสทช. กสทช.จึงไม่ควรพลาดพันธกิจที่สำคัญทางประวัติศาสตร์ในช่วงเวลาเช่นนี้
กสทช. ควรใช้ปัญญาเป็นเครื่องมือ ไม่ใช่ใช้แต่อำนาจ
อำนาจอาจยวลใจ แต่คับแคบและได้ผลน้อย ฝรั่งเองพูดมานานแล้วว่า
“อำนาจได้ผลน้อยลงๆ ” (Power is less and less effective)
ต้องใช้ปัญญาเพราะแสงสว่างเสมอปัญญาไม่มี(นัตถิ ปัญญา สมาอาภา)
ต้องไม่ติดแต่ในรูปแบบแต่ถือสาระเป็นตัวตั้ง กสทช.
ต้องไม่อยู่ตามลำพังตัวเองเพราะจะตีบตัน
แต่ต้องเปิดพื้นที่ทางสังคมและพื้นที่ทางปัญญาอย่างกว้างขวาง
ให้สังคมเข้ามาร่วมกับ กสทช.
ในการเสริมสร้างระบบการสื่อสารที่พาชาติออกจากวิกฤต
โดยคำนึงถึง “สามเหลี่ยมเขยื้อนภูเขา” อันประกอบด้วย (๑) อำนาจรัฐ (๒)
อำนาจความรู้ (๓) อำนาจทางสังคม กสทช. คืออำนาจรัฐ
ซึ่งควรคำนึงถึงองค์ประกอบอีก ๒ ประการให้เข้ามาบรรจบกันด้วย
ข้อเสนอ ๑๕ ประการในการพัฒนาการสื่อสารเพื่อพาชาติออกจากวิกฤต
(๑) สื่อสารเพื่อสร้างเป้าหมายร่วมของชาติ ว่าเป้าหมายร่วมของชาติคือ
การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุล ระหว่างคนกับคนและระหว่างคนกับสิ่งแวดล้อม
ความสมดุลจะทำให้เกิดความเป็นปรกติ ความผาสุก และความยั่งยืน
เราไม่เคยมีเป้าหมายเช่นนี้ การพัฒนาจึงไม่ยั่งยืน
(๒) สื่อสารเพื่อสร้างจิตสำนึกใหม่
จิตสำนึกเก่าเป็นจิตสำนึกที่เล็กและคับแคบ ที่มุ่งประโยชน์ตนอย่างแยกส่วน
ทำให้การอยู่ร่วมกันอย่างสมดุลเป็นไปไม่ได้ คนไทยต้องมีจิตสำนึกใหม่
ซึ่งเป็นจิตสำนึกใหญ่ที่เห็นคนทั้งหมดและธรรมชาติทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียวกัน
ซึ่งจะช่วยให้การพัฒนาอย่างสมดุลเป็นไปได้
(๓) สื่อสารเพื่อการเปลี่ยนแปลงสังคมไทย
จากสังคมใช้อำนาจให้เป็นสังคมใช้ความรู้และเหตุผล
สังคมใช้อำนาจไม่สนใจข้อมูลหลักฐานและเหตุผล เป็นสังคมที่เหะหะ
คาดเดาว่าอย่างนั้นมั้งอย่างนี้มั้ง เช่น “คงไม่เป็นไรมั้ง”
“คงไม่เป็นกับเราหรอก” “แล้วแต่ดวง” เชื่อง่ายถูกชักจูงง่ายด้วยการโฆษณา
ทำให้เป็นสังคมที่มีสมรรถนะต่ำ
รวมทั้งสมรรถนะในระบบการเมืองอย่างที่เราเห็น
สังคมปัจจุบันมีความซับซ้อนและยากสุดประมาณ สังคมด้อยสมรรถนะจะหายนะ
การสื่อสารต้องเป็นเครื่องมือเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมไปสู่วัฒนธรรมแห่งการใช้
ความรู้และเหตุผล
(๔) สื่อสารเพื่อสร้างวิจารณญาณ ท่ามกลางการใช้คลื่นการสื่อสารตลอด ๒๔
ชั่วโมง เพื่อการโฆษณาเพื่อบริโภคนิยมและผลประโยชน์ทางการเมือง
การขาดวิจารณญาณของสังคมว่าอะไรเชื่อได้อะไรเชื่อไม่ได้
อะไรมีประโยชน์หรือโทษอย่างใด นำไปสู่ความเสียหายร้ายแรงทั้งทางเศรษฐกิจ
สังคม สิ่งแวดล้อมและการเมือง
การสื่อสารที่ดีควรสร้างความสามารถในการวิเคราะห์ข่าวให้แก่ประชาชน
อย่างกว้างขวาง ในการศึกษาทุกชั้นเรียนควรมีชั่วโมงวิเคราะห์ข่าวทุกวัน
ว่าข่าวที่นักเรียนและผู้ปกครองได้รับในแต่ละวันมีอะไรที่เชื่อได้อะไรที่
เชื่อไม่ได้ อะไรมีประโยชน์หรือโทษอย่างใด
ถ้าการสื่อสารร่วมมือกับระบบการศึกษาเพื่อการวิเคราะห์ข่าว
จะเป็นคุณต่อการสร้างสมรรถนะทางวิจารณญาณให้สังคมไทยเป็นอย่างยิ่ง
(๕) การติดตามประเมินคุณภาพของสื่อ (Media monitor)
ควรมีระบบที่สนับสนุนให้คณะนิเทศศาสตร์ในมหาวิทยาลัยต่าง ๆ
ร่วมกันทำranking
สื่อหากคณะนิเทศศาสตร์มีหลักสูตรให้นิสิตนักศึกษาร่วมประเมินคุณภาพสื่อ
นอกจากจะช่วยให้สื่อปรับปรุงคุณภาพของตนแล้ว
ยังจะเป็นการสร้างนักการสื่อสารในอนาคตให้มีคุณภาพอย่างดีที่สุดด้วย
(๖) สื่อ “สาร” ที่เป็นความรู้ ทุกวันนี้ ช่องทางสื่อสารมีมาก
แต่สารที่เป็นประโยชน์ยังมีน้อย ควรกระตุ้นให้มหาวิทยาลัยสร้าง
“ศูนย์ความรู้” (Knowledge Center)
เพื่อรวบรวมตรวจสอบความรู้ที่แม่นยำมีประโยชน์อยู่ในรูปที่น่าบริโภค
แล้วเชื่อมโยง “สาร” ที่เป็นความรู้จริงนี้เข้ากับช่องทางการสื่อสาร
จะช่วยสร้างสังคมความรู้ได้อย่างมหาศาล
ควรมีการส่งเสริมให้เกิดสำนักข่าวอิสระที่เน้นคุณภาพของข่าว
ให้ข่าวคุณภาพขยายพื้นที่หรือเข้าแทนที่ข่าวขยะให้มากขึ้นเรื่อย ๆ
(๗) สร้างนักสื่อสารสร้างสรรค์ หากผู้ทำงานในระบบการสื่อสาร
จะเป็นนักข่าวก็ดี ผู้ดำเนินรายการก็ดี นักเขียนก็ดี บรรณาธิการข่าวที่ดี
นิยมความรู้ มีความรู้ในตัว แสวงหาความรู้ ตรวจสอบความแม่นยำของข่าวสาร
และสื่อสารเก่ง ประเทศไทยจะเปลี่ยน ขณะนี้หาเป็นเช่นนั้นไม่
ควรมีการสร้างนักสื่อสารสร้างสรรค์จำนวนมากอย่างเป็นระบบโดยรวดเร็ว
(๘) สื่อสารสร้างสรรค์ด้วยนวนิยายละคร ภาพยนต์
ผลกระทบต่อวิธีคิดและจิตสำนึกของสังคมอย่างกว้างขวาง
เกิดได้ยากจากบทความทางวิชาการ แต่เกิดจากการสื่อสารด้วยนวนิยาย ละคร
หนังสารคดี ภาพยนตร์ ที่สนุกและมีสาระ ควรมีการสนับสนุนการเขียนนวนิยาย
การทำละคร ทำหนังสารคดี ภาพยนตร์และศิลปะอื่น ๆ ที่เข้าถึงคนจำนวนมาก
(๙) สื่อสารเพื่อการศึกษา ถ้านักเรียนได้พบครูดีชีวิตจะเปลี่ยน
แต่เป็นไปไม่ได้ ที่นักเรียนทุกคนจะมีโอกาสพบครูดี ในระบบการศึกษาแบบเดิม
แต่เป็นไปได้ด้วยเทคโนโลยีการสื่อสารสมัยใหม่
ควรมีการแสวงหาครูที่สอนเก่งในทุกวิชา
และมีระบบการถ่ายทอดการสอนของครูสอนเก่งไปสู่ห้องเรียนทั่วประเทศ
ซึ่งจะพัฒนาทั้งนักเรียนและครูไปพร้อมกัน
ภาพจาก กสทช
(๑๐) สื่อสารเพื่อปฏิวัติประชาธิปไตย
การพัฒนาประชาธิปไตยของเราเป็นไปช้ามาก ในเวลา ๗๙ ปี
ยังไม่เกิดประชาธิปไตยอัตถประโยชน์ ยังมีความห่าม ดิบ หยาบคาย โกงกิน
รุนแรงจนเกือบจะเกิดมิคสัญญีกลียุค เพราะสนใจแต่รูปแบบมากกว่าสาระ
การสื่อสารสามารถสร้างสรรค์ประชาธิปไตยได้โดยรวดเร็ว เช่น
- การมีเครือข่ายวิยุชุมชนที่ครอบคลุมทุกพื้นที่และให้ประชาชนเป็นผู้สื่อ
สารเข้ามาโดยโทรศัพท์มือถือ วันหนึ่งๆ
ประชาชนจะสื่อสารเข้ามาหลายแสนหรือเป็นล้านครั้ง
อาจจะร้องทุกข์เรื่องเจ้าหน้าที่ของรัฐทำไม่ดีบ้าง ร้องเรียนบ้าง
ออกความเห็นในเรื่องต่างๆ บ้าง ฯลฯ
มีระบบรวบรวมสังเคราะห์การสื่อสารของประชาชนเป็นหมวดเป็นหมู่เป็นเรื่องเป็น
ราว และนำไปใช้งานอย่างสอดคล้อง เช่น การปรับปรุงงานของเจ้าหน้าที่ของรัฐ
นำเรื่องดีๆ ไปขยายผล นำข้อเสนอทางนโยบายไปสู่ผู้ปฏิบัติ ฯลฯ
โดยวิธีนี้ประชาชนทั้งประเทศจะมีส่วนร่วมโดยตรงในการปกครองตนเอง
และพัฒนาประเทศ เป็นประชาธิปไตยโดยสาระ
- โทรทัศน์ทุกช่องจัดให้มีรายการประชาเสวนา (Citizen Dialogue)
เป็นประจำสังคมไทยใช้ความเห็นมากกว่าความรู้
จึงขาดความเห็นพ้องในเรื่องนโยบายสำคัญๆ ของประเทศ
เพราะร้อยคนก็เห็นร้อยอย่าง ความเห็นที่แตกต่างนำไปสู่ความขัดแย้ง
ความแตกแยก และความรุนแรง แต่ความรู้ที่เป็นความจริงทำให้เห็นตรงกันได้
กระบวนการที่เรียกว่าประชาเสวนานั้นคือ กระบวนการที่นำฝ่ายต่าง ๆ
มาพูดคุยกัน เริ่มต้นอาจจะใช้ความเห็น
แต่การเติมข้อมูลข่าวสารเข้ามาสู่วงสนทนาเป็นระยะๆ
เมื่อผู้เสวนาได้รับข้อมูลข่าวสาร ความเห็นก็เปลี่ยนไป
และในที่สุดนำไปสู่ฉันทามติได้
ประชาเสวนาเป็นกระบวนการประชาธิปไตยโดยสาระและสร้างสรรค์
ถ้าสถานีโทรทัศน์ทุกช่องจัดให้มีประชาเสวนาเป็นประจำ
จะลดความขัดแย้งในสังคม
และนำไปสู่การพัฒนานโยบายที่มีฐานอยู่ในข้อเท็จจริงเป็นประชาธิปไตยอัต
ถประโยชน์ หรือประชาธิปไตยโดยสาระ
(๑๑) สื่อสารเพื่อปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ
โครงสร้างอำนาจที่รวมศูนย์ของประเทศไทยก่อให้เกิดความเหลื่อมล้ำมาก
คอร์รัปชั่นสูงความขัดแย้งและความรุนแรง
ความด้อยสมรรถนะของภาครัฐในการจัดการเรื่องต่าง ๆ
รวมทั้งจัดการป้องกันแก้ไขภัยพิบัติ เช่น มหาอุทกภัย
โครงสร้างอำนาจเช่นนี้จะนำหายนะมาสู่ประเทศไทยมากขึ้น ๆ
จำเป็นต้องมีการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจ (ดูเอกสารของคณะกรรมการปฏิรูป)
การปฏิรูปโครงสร้างอำนาจที่สำคัญคือ การให้
- ชุมชนจัดการตนเอง
- ท้องถิ่นจัดการตนเอง
- จังหวัดจัดการตนเอง
- กลุ่มจังหวัดจัดการตนเอง
การกระจายอำนาจไปให้พื้นที่ที่มีสมรรถนะในการจัดการตนเองได้
จะทำให้ประเทศไทยมีประชาธิปไตยที่แท้จริงและพ้นวิกฤตได้
ระบบการสื่อสารทั้งปวงควรจะส่งเสริมสนับสนุนการปฏิรูปโครงสร้างอำนาจของ
ประเทศ
(๑๒) มหาวิทยาลัยกับการพาชาติออกจากวิกฤต เรามีมหาวิทยาลัยกว่า ๑๐๐ แห่ง
มีคณาจารย์ นักวิชาการ นิสิตนักศึกษารวมกันหลายแสนคน
จึงเป็นขุมกำลังทางปัญญาของประเทศ
แต่ที่ไม่เป็นพลังทางปัญญาเพราะมหาวิทยาลัยเอา “วิชา”เป็นตัวตั้ง
ไม่ได้เอาความจริงของสังคมเป็นตัวตั้ง ในมหาอุทกภัย ๒๕๕๔
มหาวิทยาลัยหลายแห่งได้มีบทบาทในการใช้ความรู้และเทคโนโลยีเพื่อสังคม
และตระหนักรู้ว่าการเอาสังคมเป็นตัวตั้งทำให้มหาวิทยาลัยได้ใช้ศักยภาพของตน
ให้เป็นประโยชน์ได้อย่างไร
มหาวิทยาลัยสามารถมีบทบาทอย่างสำคัญในข้อเสนอทั้ง ๑๑ ข้อข้างต้น
กสทช.ควรถือว่ามหาวิทยาลัยเป็นภาคีในการพาชาติออกจากวิกฤต
(๑๓) สถานีโทรทัศน์กับการพาชาติออกจากวิกฤต
ในขณะที่หนังสือพิมพ์กำลังประสบความยากลำบากทางเศรษฐกิจ
จนบางฉบับต้องปิดกิจการ
บางฉบับก็ขายตัวหมดสภาพการเป็นหนังสือพิมพ์สื่อที่มีพลังมากที่สุดคือสถานี
โทรทัศน์ สถานีโทรทัศน์จึงสามารถทำการสร้างสรรค์ได้ทั้ง ๑๒ ข้อข้างต้น
กสทช. ควรหาทางสร้างแรงจูงใจให้สถานีโทรทัศน์มีบทบาทในการพาชาติออกจากวิกฤต
(๑๔) การสื่อสารกับการพัฒนายุทธศาสตร์ชาติ
การที่ประเทศไทยจะธำรงบูรณภาพและดุลยภาพในตัวเองและกับโลกอันเชื่อมโยงอย่าง
ซับซ้อนเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว จำเป็นต้องมีปัญญาพอเพียง
โครงสร้างที่เป็นทางการขณะนี้ไม่สามารถสร้างปัญญาให้พอต่อการใช้งานได้
คนไทยที่มีศักยภาพควรรวมตัวกันเป็นกลุ่ม ๆ เพื่อศึกษาเรื่องที่สำคัญ ๆ เช่น
ความสามารถในการแข่งขันของประเทศ ความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและสันติภาพ
ภัยพิบัติ ระบบการสื่อสาร ระบบการศึกษา การฏิรูปโครงสร้างอำนาจ ฯลฯ
อาจเรียกเรื่องเหล่านี้รวมๆ กันว่ายุทธศาสตร์ชาติ
เราต้องมีความรู้จริงในเรื่องต่าง ๆ แล้วนำมาสื่อสารให้รู้ทั่ว
เพื่อให้สามารถมีเอกภาพในการดำเนินยุทธศาสตร์ชาติในเรื่องต่าง ๆ
ระบบการสื่อสารควรกระตุ้นให้คนไทยรวมตัวกันศึกษาเรื่องที่สำคัญต่าง ๆ
และสื่อสารให้เป็นพลังทางสังคมและพลังทางปัญญา
ของชาติอย่างพอเพียงที่จะรักษาบูรณภาพและดุลยภาพของประเทศไว้ได้
ไม่หลุดเข้าไปสู่ความหายนะ
(๑๕) ภาคสังคม และภาควิชาการควรร่วมมือกับกสทช.
สังคมไทยต้องเป็นสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน กสทช.
เป็นองค์กรของรัฐที่เกิดขึ้นตามกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ มาตรา ๔๗
ที่บัญญัติว่า
“คลื่นความถี่ที่ใช้ในการส่งวิทยุกระจายเสียง
วิทยุโทรทัศน์ และโทรคมนาคม
เป็นทรัพยากรสื่อสารของชาติเพื่อประโยชน์สาธารณะ”ให้มีองค์กรของรัฐที่เป็น
อิสระทำหน้าที่จัดสรรคลื่นความถี่…และกำกับการประกอบกิจการ …
การดำเนินการตามวรรคสองต้องคำนึงถึงประโยชน์สูงสุดของประชาชนในระดับชาติและระดับท้องถิ่น”
รัฐธรรมนูญบัญญัติให้การใช้คลื่นความถี่ให้เป็นประโยชน์สูงสุดของประชาชน
นี่เป็นเจตนารมณ์อันสูงสุดของรัฐธรรมนูญและถ้าทำตามเจตนารมณ์นี้ชาติจะออก
จากวิกฤตได้จริง ในยามที่ประเทศไทยวิกฤตสุด ๆ เช่นนี้
จึงไม่ควรมีคนไทยหัวใจมนุษย์คนใด
ทำให้เบี่ยงเบนไปจากเจตนารมณ์อันสูงสุดของรัฐธรรมนูญ
ภาคสังคมและภาควิชาการ ซึ่งรวมถึงชุมชนท้องถิ่นและภาคธุรกิจ
ควรจะร่วมกับ กสทช.
เพื่อทำให้ระบบการสื่อสารเป็นพลังที่พาชาติออกจากวิกฤตได้จริง
กรุงเทพธุรกิจ