บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 4 เมษายน พ.ศ. 2555

“อมร จันทรสมบูรณ์” ฉะนักกฎหมายไทยนั่งดูละครการเมือง ลืมหน้าที่ตนเอง


ผู้เชี่ยวชาญ กม.มหาชน ค้านข้อเสนอลบล้างผลพวงการปฏิวัติ ชี้เป็นการช่วยเหลือผู้กระทำผิด ตอก ส.พระปกเกล้า บอกไม่ชัดให้ล้มการตรวจสอบ คตส.เพราะอะไร


วันที่ 4 เมษายน ศ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ อดีตเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา และผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายมหาชน ปาฐกถา เรื่อง "ผลไม้มีพิษ มาจากต้นไม้ที่มีพิษจริงหรือไม่" ในงานเสวนาวิชาการ ครั้งที่ 2 "การปรองดองvs.การปฏิรูปประเทศไทย" ของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์ ณ ห้องประชุมชั้น 5 อาคารบุญชนะ อัตถากร สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ โดยกล่าวตอนหนึ่งว่า การที่นักการเมืองบางพรรค มีความต้องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 โดยอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญที่มาจากการปฏิวัติ รัฐประหาร ไม่ใช่วิธีการที่เป็นประชาธิปไตย

"การให้นำรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 กลับมาใช้บังคับ ขณะที่กลุ่มอาจารย์กฎหมายจากคณะนิติศาสตร์ ของมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง แสดงความเห็นในทางเดียวกันว่า รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 ไม่เป็นประชาธิปไตย และมาจากการปฏิวัติของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ในปี 2549 และชักชวนให้คนไทยช่วยกันล้มล้าง ผลพวงทั้งหลายที่มาจากการปฏิวัติ รัฐประหารทั้งหมดนั้นเปรียบเสมือนความคิดที่ว่า "ผลไม้มีพิษ มาจากต้นไม้ที่มีพิษ"

ศ.ดร.อมร กล่าวต่อว่า ในส่วนการแถลงข่าวผลการวิจัยของสถาบันพระปกเกล้า เรื่อง การสร้างความปรองดองแห่งชาติ ในส่วนข้อเสนอให้มีการนิรโทษกรรม และให้เพิกถอนผลทางกฎหมาย ที่ดำเนินการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ทั้งหมด แล้วดำเนินการใหม่ตามกระบวนการยุติธรรมปกตินั้น สถาบันพระปกเกล้านำเสนอโดยไม่ได้กล่าวถึงเหตุผล

"สถาบันพระปกเกล้าไม่ได้ชี้แจงเหตุผลว่า เพราะเหตุใด จึงเสนอให้มีการล้มล้างผลทางกฎหมายที่ดำเนินการโดย คตส.ทั้งหมด อีกทั้งไม่ได้บอกว่า การล้มล้างผลทางกฎหมายดังกล่าว เป็นเพราะ คตส.เป็นองค์กรที่แต่งตั้งหรือมาจากผู้กระทำการปฏิวัติ รัฐประหาร อีกทั้ง การดำเนินคดีในศาลยุติธรรมจากผลการสอบสวนและตรวจสอบโดย คตส.ได้ทำให้ประชาชนทั่วไปขาดความเชื่อถือ เชื่อมั่นในกระบวนการยุติธรรม และขั้นตอนใดของ คตส." ศ.ดร.อมร กล่าว และว่า เช่นเดียวกับที่นักการเมืองอาวุโสบางท่าน แนะนำให้เลิกแล้วต่อกัน ซึ่งเป็นการนิรโทษกรรมแบบบูรณาการ ด้วยเห็นว่าเผด็จการรัฐประหาร เป็นต้นเหตุของความผิดทั้งสิ้น

"ผมไม่สามารถเห็นด้วยกับคำกล่าวที่เปรียบเทียบว่า การปฏิวัติ รัฐประหาร เสมือนต้นไม่ที่มีพิษ และออกลูกเป็นผลที่มีพิษ เพราะเป็นคำกล่าวที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง เนื่องจาก "คน" ไม่ใช่ "ต้นไม้" หน้าที่ของนักกฎหมาย หรือนักวิชาการที่มีต่อสังคม คือ ให้ความจริงต่อสังคม ทั้งนี้ การปฏิวัติ รัฐประหารเป็นการกระทำของคน ที่ไม่ใช่ต้นไม้ ซึ่งจะเกิดผลอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับตัวผู้กระทำ ว่าเป็นคนดีหรือไม่ดี ซึ่งหากเป็นคนดี การกระทำดังกล่าวก็จะเป็นประโยชน์แก่ส่วนรวม ดังนั้น การลบล้างผลพวงจากการปฏิวัติจึงเป็นการช่วยเหลือผู้ที่กระทำผิด"

ศ.ดร.อมร กล่าวอีกว่า แม้ว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับ ปี 2550 เป็นผลงานของคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ ตามรัฐธรรมนูญปี 2549 แต่ก็ยังปรากฏว่ารัฐธรรมนูญ ฉบับดังกล่าวยังคงใช้ "ระบบสถาบันการเมือง" ที่เป็นระบบเผด็จการ โดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบรัฐสภา ซึ่งเป็นต้นเหตุที่ทำให้การบริหารประเทศเสื่อมทรามลง และเต็มไปด้วยการทุจริตคอร์รัปชั่น อันเป็นสาเหตุของการปฏิวัติ

"รัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2550 กับรัฐธรรมนูญ ฉบับปี 2540 มีความเหมือนกัน คือ เป็นฉบับที่บัญญัติให้พรรคการเมืองนายทุน เป็นสถาบันการเมืองที่มีอำนาจสูงสุดของประเทศ มีอำนาจควบคุมทั้งรัฐบาล สภาผู้แทนราษฎร กำหนดตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งข้าราชการประจำ กำหนดเสียงข้างมากในการลงมติสภาฯ กำหนดการเสนอกฎหมาย แต่สิ่งที่แปลกของประเทศไทย คือ อาจารย์กฎหมายและนักวิชาการของไทย "มองไม่เห็น" อำนาจของพรรคการเมืองนายทุน" ศ.ดร.อมร กล่าว และว่า อาจารย์และนักกฎหมายกลุ่มดังกล่าว มองดูการบริหารประเทศของเราเหมือนกับ กำลังดู "ละคร" บนเวที ซึ่งก็ยอมรับและสนุกสนานไปกับบทละคร โดยลืมหน้าที่ของตนเอง ที่ต้องบอกให้คนไทยเห็นความจริง

"ความจริงที่ว่า คือ ละครบนเวทีนั้น มี "ผู้กำกับการแสดง" อยู่เบื้องหลัง และเป็นผู้กำหนดบทให้แก่นายกรัฐมนตรี รัฐบาลและสมาชิกสภาผู้แทนฯ ซึ่งผู้กำกับการแสดงที่อยู่เบื้องหลังละครทางการเมืองนี้ ก็คือนายทุนเจ้าของพรรคการเมืองที่จ่ายค่าจ้างและแบ่งผลประโยชน์ให้บรรดาตัวละครที่แสดงให้เราดูอยู่บนเวที"

ศ.ดร.อมร กล่าวถึงปัญหาการเมืองของประเทศไทยว่า เป็นปัญหาของระบบสถาบันการเมืองที่เกิดมาจาก "ระบบเด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน ในระบบที่รัฐสภา" ประเทศเดียวในโลก ที่ไม่ใช่ปัญหาจากการเผด็จการโดยการปฏิวัติ รัฐประหาร ประเทศไทยจึงเป็นประเทศที่ "ไม่มีอนาคต" ถ้าไม่ยกเลิก "ระบบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน"

ในส่วนการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เพื่อการปฏิรูปการเมือง ศ.ดร.อมร กล่าวว่า ไม่ใช่เรื่องที่สมาชิกสภาจะมาถกเถียงกันว่าจำนวนสมาชิก ของ ส.ส.ร.จะมีจำนวน 99 คน หรือ 200 คน หรือเป็นเรื่องที่จะมาตั้งปัญหาถามกันว่า การเลือกสมาชิก ส.ส.ร.ดูต้องตราเป็นพระราชบัญญัติหรือไม่ สำหรับการเลือกตั้งกำหนดตัวบุคคลที่จะเป็น ส.ส.ร.ได้ เหมือนกับการเลือกตั้งทั่วไป แต่ประเทศไทยคงไม่มีนักการเมืองที่มาจากการเลือกตั้งที่เหมือนกับประธานาธิบดี Woodrow Wlson ของสหรัฐอเมริกา

"มองๆ ไปก็เห็นแต่คนธรรมดา ที่สนใจการแต่งตัว และชอบการร้องเพลง ประเทศไทยคงไม่มี statesman ซึ่งผมไม่ขอแปลว่ารัฐบุรุษ แต่จะหมายถึงผู้ที่มีความรู้ เสียสละและที่สำคัญ ต้องเป็นผู้บังเอิญมีอำนาจหรือบุญบารมีพอที่จะทำการปฏิรูปการเมืองให้คนไทย หากยังทำเช่นที่กล่าวไม่ได้ ประเทศไทยอย่าเพิ่งไปคิดถึงการแก้ปัญหาใน 4 จังหวัดภาคใต้ หรือปัญหาการเสียดินแดนให้กับประเทศเพื่อนบ้าน เพราะหากยังแก้ระบบการบริหารประเทศของตัวเราเองไม่ได้ ก็คงแก้ปัญหาภายนอกไม่ได้"


ดร.พิชาย ฉะสมยอมให้โจรนำเรือไปปล้นประเทศ

ขณะที่รศ.ดร.พิชาย กล่าวว่า อาจจะมีความจริงที่ถูกซ้อนเร้นในท่าทีดังกล่าว ซึ่งตนรู้สึกผิดหวังในท่าทีของสถาบันพระปกเกล้าที่ยืนยันรายงานฉบับดังกล่าว และไม่กล้าประกาศจุดยืนถอนรายงาน

"ทำไมไร้เดียงสา ถึงขั้นที่ไม่รู้ว่า รัฐบาลจะไม่กระทำการอย่างที่ท่านได้นำเสนอ ทั้งที่ก็มีสัญญาณเตือนอยู่ก่อนแล้วว่ารายงานฉบับดังกล่าวได้หลุดมือจากสถาบันพระปกเกล้าไปเรียบร้อยแล้ว ซึ่งบ่งชัดว่า รัฐบาลจะนำผลการศึกษาไปเป็นบันไดในการนำไปสู่เป้าหมายที่ตั้งไว้ตั้งแรก คือ การนิรโทษกรรม" รศ.ดร.พิชาย กล่าว และว่า อาจเป็นไปได้ว่าสถาบันฯ รับมาทำการวิจัย เนื่องจากเกรงใจ เพราะรู้จักกัน แต่ไม่แยกแยะความสัมพันธ์ส่วนตัวกับปัญหาบ้านเมือง นี่เป็นปมปัญหาหลักของนักวิชาการไทย

รศ.ดร.พิชาย กล่าวต่อว่า แม้ว่า ศ.ดร.บวรศักดิ์ อุวรรณโณ ได้พยายามแก้ตัวว่า ในงานวิจัยฉบับสมบูรณ์ได้พูดถึงเรื่องคอร์รัปชั่นอยู่ แต่ในบทสรุปสำหรับผู้บริหารกลับไม่พูดถึงเรื่องคอร์รัปชั่นเลย อีกทั้ง มีการวิเคราะห์ปัญหาแบบใช้ภาษาที่เกรงอกเกรงใจ ข้อเสนอฉบับนี้จึงไม่ได้แก้ปัญหาที่สาเหตุ วิเคราะห์ไม่ครบถ้วน และเป็นการเมืองของสิ่งที่ไม่ปรากฏ มองแต่พื้นผิว ไม่ตั้งคำถามว่าอะไรที่ยังไม่ปรากฏ

"4 ข้อเสนอระยะสั้นและ 2 ข้อเสนอระยะยาว ในบทสรุปผู้บริหาร ไม่ได้ระบุชัดว่าจะต้องทำข้อใดก่อน เป็นการเสนอรวมๆ ไป ส่วนข้อเสนอนิรโทษกรรม เพิกถอนงานของ คตส.กลับไปใช้กระบวนการยุติธรรมปกติ หรือสร้างกติกาใหม่ ก็ล้วนไม่ได้ตอบโจทย์ที่ตัวเองวิเคราะห์ สิ่งที่เสนอเป็นความรู้สึกกว่า 50% ของการนำเสนอ ไม่ได้เสนอภายใต้ข้อเสนอที่เป็นกลาง มีการชี้นำ ควรจะเสนอการพูดคุยในเรื่องที่เป็นสาเหตุของความขัดแย้ง ฉะนั้น ข้อเสนอนิรโทษกรรม หรือยกเลิก คตส.จึงมีความโน้มเอียงชัดเจนว่าทางสถาบันฯ เห็นใจทักษิณ และเสื้อแดง"

รศ.ดร.พิชาย กล่าวย้ำว่า ข้อเสนอของสถาบันพระปกเกล้า จะไม่นำไปสู่การปรองดอง แต่จะนำไปสู่ความขัดแย้ง แตกแยกในรอบใหม่ เมื่อทราบดังนี้แล้ว หากยังไว้วางใจรัฐสภาที่นำโดยพรรคเพื่อไทยว่าจะไม่ใช่รายงานของตน ก็ถือว่าใช้ไม่ได้ เป็นการสมยอมให้โจรนำเรือที่ตนเองสร้างไว้ ไปปล้นประเทศไทย ตอนนี้อย่ารอ ต้องประกาศถอนผลให้ชัด เพื่อไม่ให้ถูกใช้เป็นเครื่องมืออีก

งานวิจัยทั้งขัดแย้งและตัดตอน ลงไม่ถึงรากเหง้า

ด้านนายจุมพล กล่าวว่า รายงานของสถาบันฯ เป็นการนำเสนอความขัดแย้งแบบตัดตอน ไม่ชี้ชัดถึงรากเหง้าของความขัดแย้งว่าปมดังกล่าว เกิดจากนักการเมืองหรือผลประโยชน์ของประเทศชาติ แตะเพียงรายละเอียดบางประเด็น ทั้งนี้ การจะปรองดองหรือปฏิรูปประเทศไทยจะต้องทำทั้งประเทศ ไม่ใช่บางส่วนหรือบางกลุ่ม ซึ่งทำไมได้อย่างแน่นอน






แทน ราศนา


ศจ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ให้ความกระจ่างอย่างที่สุดถึงสถานะการณ์การเมืองประเทศไทย จากการจัดเสวนาของกลุ่มสยามประชาภิวัฒน์แบบฟันธงว่า ปัญหาของประเทศไทยทุกวันนี้อยู่ที่ “ความไม่มีมาตรฐานของบรรดาอาจารย์ทางกฎหมายและรัฐศาสตร์”

ท่านกล่าวว่า “การ จะรู้ว่าคุณภาพนักกฎหมายให้อ่านจากความที่ควรปรากฏแต่ไม่ปรากฏ ..และ..ต้องดูสิ่งที่นักกฎหมายเหล่านั้นควรเขียนแต่ไม่ได้เขียน แล้วต้องตั้งคำถามว่า..ทำไมพวกเขาไม่เขียนสิ่งที่ควรเขียน”

ประโยค หลังนี้จำเพาะเจาะจงไปที่ผลการวิจัยปรองดองของสถาบันพระปกเกล้าฯที่มีความ เคลือบแคลงจากสังคมว่าจะนำไปเพื่อรับใช้ทุนเผด็จการโดยตรง

ท่านเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในแวดวงกฎหมายที่มีลูกศิษย์ลูกหาเต็มบ้านเต็มเมือง เป็นผู้หลักผู้ใหญ่ท่านเดียวก็ว่าได้ที่กล้าประกาศว่า

“เผด็จการทหารนั้นสิ้นสุดยุคของมันไปแล้วตั้งแต่ เดือนกันยายน พ.ศ. ๒๕๓๕”

และที่ดำเนินมาตลอดช่วงครึ่งหลังของประชาธิปไตยในประเทศไทยนั้นเป็น “เผด็จการโดยทุน” ไม่ใช่ “ระบอบประชาธิปไตย”แบบที่คนบางกลุ่มเพรียกหาอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน ท่านกล่าวว่า นอกจากประชาชนไทยยังไม่ได้รับรู้แล้ว ก็ยังถูกหลอกถึงสองด้าน โดยยกตัวอย่างว่า ภาวะเช่นนี้เคยเกิดขึ้นกับประชาธิปไตยแบบอเมริกาตั้งแต่เมื่อร้อยปีเศษมา แล้ว นั่นคือราว ค.ศ. ๑๘๕๐ เป็นต้นมา เรียกได้ว่าเป็นยุค “คลั่งประชาธิปไตย”(คำ ของผู้เขียน)ของอเมริกันชน จนกระทั่งนักการเมือง ผู้มีอิทธิพลทั้งทางเศรษฐกิจการเงินคอร์รัปชั่นกันอย่างมโหฬารติดต่อยืด เยื้อกันยาวนานถึง ๓๐ ปี ประธานาธิบดีเจมส์ การ์ฟิลด์ ถูกลอบสังหารเพราะความคิดที่จะปราบปรามคอร์รัปชั่นในปี ค.ศ.๑๘๘๑

ท้ายที่สุด สหรัฐอเมริกาก็นำตัวเองออกจากยุคของการ “คลั่งประชาธิปไตย”หรือ “ยุคของเผด็จการโดยทุน”มา ได้ โดยอาศัย STATESMAN ซึ่งท่านไม่เรียกว่า “รัฐบุรุษ” ในที่นี้จะขอเรียกง่ายๆว่าเป็น “บุรุษแห่งรัฐ” บุรษแห่งรัฐของอเมริกาที่มาจากการเลือกตั้งชื่อวูดโรว์ วินสัน ประธานาธิบดีคนที่ ๒๘ ซึ่งบัญชรนี้ได้เคยนำวาทกรรมของท่านมานำเสนอและเป็นบางตอนของหน้งสือวิกฤติ ที่ไม่บอกกล่าว( THE UNTOLD CRISIS) ฝรั่งเศสแตกต่างออกไปเพราะ STATESMAN ที่ลุกขึ้นมากอบกู้ประชาธิปไตยจากทุนเผด็จการนั้น ชื่อ ชาร์ล เดอ โกล มาจากการทำรัฐประหาร ส่วนเยอรมันในยุคเดียวกันประชาชนลุ่มหลงกับคำว่าประชาธิปไตยจนประเทศล่มสลาย ในที่สุด



ประเทศอุตสาหกรรมที่ยิ่งใหญ่ประเทศ หนึ่งถูกควบคุมโดยระบบเครดิต การพัฒนาและการเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจทั้งหมดของประเทศนี้ถูกควบคุมอยู่ในมือ ของคนส่วนน้อยอย่างสิ้นเชิง พวกเราได้ตกอยู่ภายใต้การปกครองอันสุดจะเลอะเทอะ คือ-ตกอยู่ในการควบคุมอย่างเบ็ดเสร็จที่สุดในโลก รัฐบาลไม่มีความเห็นที่เป็นอิสระได้อีก ไม่มีอำนาจในการออกกฎหมายได้อีกไม่เหมือนกับรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งของ ประชาชนส่วนใหญ่ แต่เป็นรัฐบาลที่อยู่ภายใต้ความเห็นและแรงบีบของคนที่มีอำนาจควบคุมจำนวน น้อยนิดเหล่านั้น ผู้คนในอุตสาหกรรมในการค้าขายจำนวนมากของประเทศนี้ล้วนเกรงกลัวบางสิ่งบาง อย่าง เขารู้ว่าอำนาจที่มองไม่เห็นชนิดนี้มีการจัดตั้งกันขนาดไหน ลี้ลับขนาดไหน ไปได้ทุกที่ขนาดไหน รวมหัวกันขนาดไหน เบ็ดเสร็จทุกๆด้านขนาดไหน กระทั่งพวกเขาไม่กล้าวิพากษ์วิจารณ์อำนาจชนิดนี้อย่างเปิดเผย

วูดโรว์ วินสัน ประธานาธิบดีสหรัฐอเมริกาคนที่ ๒๘

นี่หมายความว่า การพัฒนาประชาธิปไตย ความเข้าใจความหมายของประชาธิปไตยของคนในประเทศเรากำลังเดินย้ำซ้ำรอยเดิม ของประเทศสหรัฐอเมริกาเมื่อหนึ่งร้อยปีเศษที่ผ่านมา เป็นประชาธิปไตยที่ถูกควบคุมโดยอิทธิพลของทุนที่เต็มไปด้วยความฉ้อฉล ซึ่งไม่เคยมีคณาจารย์ทางกฎหมายและรัฐศาสตร์คนใดให้ความกระจ่างกับเรามาก่อนหน้านี้

ข้อเสนอของท่านเป็นข้อนำเสนอสองข้อเล็กๆจาก ปัญหาใหญ่ที่หมักหมมมานมนานในระบบการเมืองและพรรคการเมืองของประเทศไทย แต่หากได้รับปฏิบัติจริงก็จะส่งผลสะเทือนที่ใหญ่หลวงได้ นั่นก็คือหนึ่ง- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องเป็นอิสระได้โดยไม่ต้องสังกัดพรรคการเมือง และสอง- สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรจะต้องสามารถปฏิบัติหน้าที่ได้โดยจิตสำนึกของการเป็น ตัวแทนปวงชนโดยปราศจากการควบคุมหรือการชี้นำจากผู้ใด

เชื่อ ว่าข้อเสนอด้งกล่าวจะไม่มีทางเกิดขึ้นได้ภายใต้เงื่อนไขของระบบการเมืองแบบ ปัจจุบัน โดยเฉพาะในยุคของเผด็จการทุนนิยมที่เข้าครอบงำการเมืองไทยอย่างเบ็ดเสร็จไป แล้วตามที่ ศจ.ดร.อมร จันทรสมบูรณ์ท่านได้แบ่งยุคเอาไว้

สำหรับ บัญชรความคิดตรงนี้ ยังใคร่ตอกย้ำภาพที่หลอกหลอนของประชาธิปไตยแบบนายทุนเอาไว้ด้วยว่า นอกจากระบอบการเมืองจะมีเอาไว้เพื่อรับใช้ทุนเผด็จการแล้ว มันยังได้กลายเป็นค่ายกลที่มีวังวนอันซับซ้อนสามารถลากจูงพลังฝ่ายที่ ต้องการเปลี่ยนแปลงสังคมเข้าไปติดกับอย่างถอนตัวไม่ขึ้น ในขณะที่ผลประโยชน์ทางเศรษฐกิจกำลังถูกจัดสรรกันอย่างคึกโครมในยุคเรือง อำนาจของทุน.







เสรีภาพสื่อมวลชนกับความอดทนของรัฐบาล


แก้วสรร อติโพธิ

วันสองวันนี้มีข่าวแพร่ไปทั่วในหน้าหนังสือพิมพ์หลายฉบับว่า เนื่องในคราวที่ นายกฯยิ่งลักษณ์ เดินทางไปเขมรเพื่อร่วมประชุมอาเซียนครั้งที่ 20 นี้ โทรทัศน์ช่อง 7 ได้เวียนมารับงานเป็นแม่ข่ายของ "ทีวีพูล" เมืองไทยพอดี จึงได้คัดนักข่าวเตรียมไว้เพื่อการนี้แล้ว คือ คุณสมจิตต์ นวเครือสุนทร กับผู้ช่วย แต่ต่อมาก็มีผู้ใหญ่ในรัฐบาลโทรศัพท์มาขอให้ บก.ข่าวช่อง 7 เปลี่ยนตัวนักข่าว แต่ บก.ก็ไม่ยินยอม จนในที่สุดช่อง 7 ก็ได้รับแจ้ง จากกระทรวงต่างประเทศ ว่าทางเขมรไม่อาจรับนักข่าวได้อีกเนื่องจากเต็มโควตาแล้ว
คุณสมจิตต์นี้ตามประวัติก็ถูกพวกเสื้อแดงหมายหัวไว้แล้ว เพราะสัมภาษณ์แบบรุกฆาต นายกฯหลายครั้ง ครั้นมาคราวนี้จึงถูกกันออกไปจากงานอาเซียนในที่สุด ซึ่งเมื่อฝ่ายสื่อมวลชนรุกตั้งคำถามถึงเหตุผล โฆษกประจำตัวนายกฯ ก็ให้คำอธิบายออกมาว่า คุณสมจิตต์ มักจะมีเป้าหมายแอบแฝงในการตั้งคำถาม ที่ไม่ให้เกียรตินายกฯ มีความลำเอียงอย่างออกนอกหน้า รวมถึงไม่ทำการบ้านมาดีพอ พอโดนใส่เข้าอย่างนี้ คุณสมจิตต์ก็ได้ออกมาชี้แจง ตอบโต้ ตอกกลับไปแล้ว เช่นที่ทราบกัน
จุดยืนของทั้งสองฝ่ายเช่นที่กล่าวมา ได้จุดให้เกิดแง่มุมความคิดที่น่าสนใจไม่น้อยว่า เส้นแบ่งระหว่างเสรีภาพของสื่อมวลชนกับความอดทนของรัฐบาลนั้นมีหรือไม่ และอยู่ที่ตรงไหน ซึ่งก็มีคำตอบที่ผมจะขอนำเสนอในทำนอง ปุจฉา-วิสัชนา ไปโดยลำดับ ดังนี้
ถาม นักข่าวที่ลำเอียงถือฝักฝ่าย มุ่งตั้งคำถามไล่ต้อนเป้าหมายให้จนมุม ในหัวสมองนั้นก็กลับไม่ทำการบ้าน ไม่มีข้อมูลหรือความรู้ดีพอนั้น อาจารย์ว่ามีจริงไหม
ตอบ มีได้ทุกลักษณะล่ะครับ เรื่องถือฝักฝ่ายชอบหรือไม่ชอบใครนี่ห้ามกันไม่ได้อยู่แล้ว เรื่องไล่ต้อนจะให้จนมุมให้ได้นี่มีถนัดอยู่ไม่กี่คน มันขึ้นอยู่กับฝีมือและข้อมูล ความคิด ความรู้ เป็นสำคัญ ถ้าไม่มีฐานความรู้อยู่ในสมองมันก็ต้อนใครจริงๆไม่ได้ หรือมีฐานความรู้แต่ขาดฝีมือซักไม่เป็น ต้อนไม่เป็น มันก็ไร้ความหมายอีกเหมือนกัน ที่ โฆษก นายกฯ อัดคุณสมจิตต์ ออกมาทางเฟสบุ๊ค อย่างนี้ ถือว่าหนักมาก
ถาม แต่มันก็เป็นเสรีภาพเป็นตัวตนของนักข่าวเขาไม่ใช่หรือครับ นายกฯไม่ใช่เจ้านาย ไม่ใช่บรรณาธิการของนักข่าวเลย แล้วมาแยแสกับนักข่าวประเภทนั้นประเภทนี้ทำไม
ตอบ คุณเห็นว่า นายกฯ มีหน้าที่ต้องอดทนกับนักข่าวอย่างนั้นใช่ไหม? นักข่าวมีเสรีภาพจะต้อนนายกฯยังไงก็ได้ อย่างนั้นหรือ? คุณมีเหตุผลอะไรมาบอกให้เขาต้องอดทนให้ได้
ถาม มันมีวิธีเลี่ยง วิธีตอบ วิธีโต้ นักข่าวอยู่มากมายนะครับ อาจารย์ไม่เห็นว่าเป็นภาระงานในหน้าที่ ที่คนเป็นนายกฯต้องยอมรับและเรียนรู้หรอกหรือ อย่าลืมว่ารัฐธรรมนูญกำหนดห้ามไม่ให้ นักการเมืองใช้อำนาจแทรกแซงสื่อมวลชนนะครับ
ตอบ ผมเห็นด้วยกับคุณ แต่คุณต้องตอบให้ได้ว่า อะไรคือฐานของ “หน้าที่อดทน” ที่คุณว่า
ถาม แล้วอาจารย์ว่าหน้าที่นี้มันมาจากไหน ถ้าไม่ใช่เสรีภาพของสื่อมวลชน
ตอบ ผมไม่เชื่อในเสรีภาพสื่อ เสรีภาพสื่อในตัวมันเองไม่มีค่าน่านับถืออะไร เพราะที่แท้จริงนั้นมันมีคำตอบสุดท้ายอยู่ที่ สิทธิรับรู้ข้อมูลข่าวสารและแสดงความคิดเห็นของปวงชนชาวไทย สิทธิตัวนี้เท่านั้นที่นายกรัฐมนตรีทุกคนจะต้องยอมรับโดยไม่มีเงื่อนไข และต้องให้เสรีภาพแก่การสื่อสารของมวลชนในสังคม เพราะนายกฯ คือผู้มารับงานชิ้นหนึ่งไปทำตามอาณัติของประชาชนเท่านั้น จะมาปิดหูปิดตาชาวบ้านได้ยังไง
ถาม ผู้สื่อข่าวจะปากเสีย ก้าวร้าว อย่างไร รัฐบาลก็ต้องทน?
ตอบ ประชาชนคือคนตัดสิน นายกฯหรือใครในรัฐบาลไม่มีสิทธิมาเลือกแทนประชาชนว่า เขาควรจะฟังนักข่าวคนไหน หรือสไตล์อะไร การยอมรับให้รัฐบาลเซ็นเซอร์ข่าว หรือนักข่าว ได้อย่างนี้ นี่คือการละเมิดสิทธิปวงชนไม่ใช่ละเมิดเสรีภาพนักข่าวอย่างที่พูดๆกัน
ถาม โฆษกนายกฯ ไม่มีสิทธิวิพากษ์นักข่าวบ้างหรือครับ
ตอบ มีแน่นอนอยู่แล้ว ตรงนั้นมันไม่ผิดหรอกครับ มันผิดแต่แรกแล้ว ผิดตรงที่มีใครในรัฐบาลไปโทรบอกช่อง 7 ให้เปลี่ยนตัวคุณสมจิตต์ไม่ให้ไปทำข่าวที่เขมร ตรงนี้ต่างหากที่ความผิดสำเร็จไปแล้ว เพราะเป็นการล่วงสิทธิ์ประชาชน ไปเลือกแทนประชาชนเองแล้วว่า ควรจะฟังนักข่าวคนไหน
ถาม ถ้าเช่นนั้น...งานนี้ก็ถือเป็นการกระทำที่ขัดรัฐธรรมนูญ เลยสิครับ
ตอบ เซ็นเซอร์คนนี่แสบกว่าเซ็นเซอร์ข่าวมากมายนัก ขัดรัฐธรรมนูญชัดเลยครับรัฐธรรมนูญไม่ได้บังคับแต่เฉพาะการออกกฎหมาย หรือ คำสั่งการทางปกครองเท่านั้นนะคุณ
ถาม แล้วจะเอาเรื่องไปฟ้องศาลไหนให้จัดการได้ล่ะครับ ในเมื่อเป็นแค่โทรศัพท์บอกกล่าวให้เปลี่ยนตัวนักข่าวเท่านั้นอย่างนี้
ตอบ แม้กรณีนี้จะไม่ใช่คดีรัฐธรรมนูญหรือคดีปกครองตามกฎหมายก็ตาม แต่แค่นี้เราก็ล่าชื่อกล่าวหาขอถอดถอนรัฐมนตรีต่อวุฒิสภาได้แล้วครับ ฝ่ายค้านจะอภิปรายไม่ไว้วางใจด้วยก็ได้ การจงใจฝ่าฝืนรัฐธรรมนูญนี่ถูกจัดการทางการเมืองก็ได้ ไม่จำเป็นว่ามีอะไรก็ต้องไปฟ้องศาลเสียหมดทุกเรื่อง
ถาม ถ้ารัฐบาลสั่ง ปตท.ถอนโฆษณาในหนังสือพิมพ์ ที่ชอบด่ารัฐบาล อย่างนี้ใช้รัฐธรรมนูญจัดการได้ไหม
ตอบ ถ้าคุณสามารถพิสูจน์ได้อย่างนั้นจริงๆ ก็ถอดถอนได้แน่นอนครับ
ถาม นี่ขนาดมีเลือกตั้งแล้ว แล้วยังเป็นเผด็จการอย่างนี้ได้อย่างไรกัน ไม่รู้จักรับฟัง หรืออดทนกันบ้างเลยหรืออย่างไร
ตอบ ก็พรรคเพื่อไทยเขาได้ที่นั่ง สส.เกินครึ่ง ไม่ใช่หรือ
ถาม การชนะเลือกตั้งมันกลายเป็นใบอนุญาตให้เผด็จการตั้งแต่เมื่อไหร่
ตอบ ถามจริงๆ คุณมีเมียแล้วหรือยังไม่ทราบครับ
ถาม มีแล้วครับ นี่ถามทำไมกันนี่
ตอบ “มี” เมีย...ที่คุณว่ามานี่...ดูจากอะไร
ถาม ก็กินอยู่ด้วยกันทุกวัน จดทะเบียนสมรสด้วย แล้วจะบอกว่าไม่มีเมียได้อย่างไรกัน
ตอบ “เมีย” นี่แปลว่าเพื่อนคู่ทุกข์คู่ยาก คู่คิด...ถามจริงๆ แล้วเมียคุณเป็น”เมีย”อย่างนี้จริงๆ ไหม
ถาม จริงๆ เธอทำตัวเป็น “แม่”ผมมาก กว่าครับ
ตอบ ประชาธิปไตยก็เหมือนกันล่ะคุณเอ๋ย “มี”ประชาธิปไตย คือมีแต่เลือกตั้งมีแต่รัฐธรรมนูญเท่านั้น มันก็หาได้ทำให้เราเป็นประชาธิปไตยได้เสมอไปไม่ยังมีปัจจัยอื่นอีกมากที่จะร่วมเป็นตัวกำหนดด้วย “มี” เลือกตั้งแล้วจึงอาจไม่ “เป็น”ประชาธิปไตยก็ได้
“เผด็จการเสียงข้างมาก” จึงมีอยู่จริง...และอาจเกิดขึ้นตำตาเราในทุกวันนี้แล้วก็เป็นได้....ดูให้ดีๆ


สยามรัฐ
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง