บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2555

พบคนติดSEJEALวงจรปิดบันทึกภาพ

พิมพ์ไทย

“บิ๊กอ๊อด” รับชง ครม.ดึง “เหลิม”คุมงานข่าว บูรณาการร่วมทหาร-ตร.ยอมรับแปลกใจสติ๊กเกอร์โผล่เกลื่อนกรุงชี้เส้นทางเป้าสังหาร ยันไทยไม่หลงทาง เชื่อรัฐเอาจริงทำมือป่วนไม่กล้าเข้าไทย รับแนวโน้มสงครามก่อการร้ายเกิด ย้ำไทยไม่ใช่ศัตรูชาติไหน “รองฯเฉลิม”กร้าวซัด’เอฟเอทีเอฟ’แค่กุนซือจี 7 ไม่ใช่เทวดา เมินแบล็คลิสต์ ด้าน”ปานศิริ”เรียกถกเครียดคดีบึ้มสุขุมวิท 71 พันคนอิหร่าน พุ่งคลี่คลาย “SEJEAL” ขณะที่ได้ภาพผู้ต้องสงสัยนำสติกเกอร์ติด จากกล้องวงจรปิดแล้ว พร้องเร่งหาแหล่งผลิตต้นตอ
วานนี้ (23 ก.พ.) ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 10.35 น. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงานบูรณาการและติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ระเบิด และเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้มีการระ
มัดระวังเอาใจใส่อย่างมาก รวมถึงกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นคมนาคม การท่องเที่ยวฯต้องร่วมกันเอาใจใส่ด้วย ตนจึงเสนอในที่ประชุมครม.ว่าควรมีการบูรณาการการข่าวกัน แทนที่จะให้ต่างฝ่ายต่างทำงานของตัวเองเพื่ออัพเดทการข่าวร่วมกัน ซึ่งตนเห็นว่าร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กำกับดูแล สตช. อยู่แล้วจะได้ประสานข้อมูลกับตำรวจแต่ละ สน.ท้องที่ด้วย ขณะที่ตนกำกับดูแลงานด้านการข่าวของทหาร หากฝ่ายตำรวจและทหาร มา บูรณาการการข่าวร่วมกันจะเป็นผลดี ส่วนการประสานการข่าวกับหน่วยข่าวของต่างประเทศนั้น มีสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ดำเนินการ และจะนำมาแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความคิดไปในแนวทางเดียวกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีการติดสติกเกอร์ SEJEAL ขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนที่มีการไปพูดกันว่าเป็นการติดใน เส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายอะไรต่างๆนั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่จะกระทำการไม่จำเป็นต้องมีการมาชี้นำหรือชี้ทาง ทุกอย่างต้องรู้หมดแล้ว แต่การสร้างสัญ ลักษณ์ชี้ทาง ตนคิดว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยา แต่ก็ต้องตรวจสอบกันว่าใครเป็นคนทำและทำเพื่ออะไร
เมื่อถามว่า ถือว่าฝ่ายไทยหลงทางหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เราไม่ได้หลงทาง แต่กำลังติดตาม ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ ขณะเดียวกัน มันก็มีเพิ่มขึ้น ซึ่งตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ควรตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด เพื่อสำรวจว่าใครเป็นคนมาติดสติกเกอร์ดังกล่าว รวมถึงการที่มีคนไปเขียนภาษาอาหรับในที่ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร
ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางประเทศ มาใช้สถานการณ์ในเมืองไทยให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คงจะมีอะไรเพิ่มเติม ดังนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องติดตามตลอด ตอนนี้เรามีทั้งข้อมูลเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งจากในและต่างประเทศ เห็นได้จากการที่เราให้ข่าวต่อมาเลเซีย จนจับกุมผู้ต้องหาอีกคนที่ หลบหนีไปได้ ซึ่งเมื่อคนร้ายเห็นว่าไทยเอาจริงเอาจังอย่างเข้มข้นในการป้องกัน ต่างชาติก็คงจะไม่กล้าเข้ามาดำเนินการอะไรในประเทศไทย
“ต่อไปนี้เราทิ้งเรื่องงานการข่าวไม่ได้ ต้องมีความเข้มข้นในการระแวดระวัง การตรวจตรา การตรวจเช็กต่างๆ ก็จะต้องทำ การข่าวของต่างประเทศก็มีการส่งมาให้ เราผ่านทางสายข่าวของเรา แต่เมื่อรับข่าวมาแล้วเราพูดอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเราพูดข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเราก็จะเสียมิตร เสียความเป็นเพื่อนกับอีกประเทศหนึ่ง ดังนั้น เมื่อแต่ละประเทศให้ข้อมูลเรามา เราก็ต้องมาประมวลเป็นข่าวของเรา ถ้าเรามีการตรวจตราเข้มแข็ง มีความเข้มงวดในทุกส่วน และเรามีหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้าย ทั้งในส่วนของตำรวจและทหารอยู่ ถ้าเรามีการซักซ้อม มีความตื่นตัวในการติดตามสถานการณ์ ก็คิดว่ามันจะไม่รุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะถ้าต่างชาติรู้ว่าเราเอาจริง เขาก็ไม่มา แต่ถ้าเราหย่อนยานเมื่อไรเขาจะต้องใช้พื้นที่ของประเทศเราเป็นประโยชน์ในการทำงานของเขา เราจึงต้องเข้มงวดเพื่อให้เขารู้ว่าถ้ามาใช้ ประเทศไทยก็จะไม่มีโอกาส อย่างนั้นแล้ว เพราะเราดำเนินการจริงจัง ต้องระมัดระวังอย่างมากและทิ้งไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะแนวโน้มของการต่อสู้ระหว่างประเทศที่ไม่เป็นมิตรกัน มันไม่ใช่เป็น สงครามเย็นอีกแล้วแต่กลายเป็นสงครามการก่อการร้ายในอนาคต เราจึงต้องปรับตัว วิธีการและยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้ทันกับแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น”
อย่างไรก็ตามไทยจะเป็นศัตรูกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ แม้เู้ว่าเขาจะไม่ถูกกัน เราต้องรรักษาความเป็นมิตรกับทั้งสองประเทศเอาไว้ เหมือนอินเดียเกิดเหตุระเบิด ทำให้ทูตอิสราเอลบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมเสียมิตรกับอิหร่าน เพราะเขาต้องการรักษามิตรประเทศไว้ ซึ่งเราก็ต้องรักษาตรงนี้ไว้เหมือนกัน แต่ต้องเข้มงวดเพื่อไม่ให้เขามาใช้พื้นที่ของเราอีกต่อไป
ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือ FATF ขึ้นบัญชีดำประ เทศไทยที่ไม่ออกกฎหมายการฟอกเงิน เพื่อป้องกันการฟอกเงินเพื่อการก่อการร้าย ว่า องค์กรนี้ไม่ได้เป็นองค์กรของสหประชาชาติ(UN) ไม่ได้เป็นของ IMF และไม่ ได้เป็นของธนาคารโลก เป็นเพียงที่ปรึกษาของกลุ่มจี 7 และอยากให้ทุกประเทศ มีกฎหมายจัดการธุรกิจสีเทาและสีดำ และก็ยึดทรัพย์ ซึ่งทางไทยกำลังพิจารณาอยู ่เพราะว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. โดยมีบางมาตรามีอำนาจเหนือศาล ตนจึงให้กลับไปปรับเปลี่ยน จากนั้นได้ส่งกฤษฎีกา และทาง เรายังไม่ได้บอกว่าจะทำหรือไม่
ทั้งนี้ ปปง.มีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อยู่แล้ว ในฐานความผิดการก่อการร้าย แต่จะให้ ปปง.มีอำนาจเหนือศาลไม่ได้ FATF ไม่ใช่เทวดา จะทำตามไม่ได้ ต้องยึดหลัก กฎหมายไทย ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายมารองรับ แต่ต้องอยู่ภายใต้ตามหลักนิติรัฐนิติธรรม ไม่ใช่ทำตาม FATF สั่ง ซึ่งตนไม่สนใจที่ FATF ขึ้นบัญชีดำกับไทย และไม่มีรัฐบาลไหนที่จะปกป้องธุรกิจสีเทาหรือสีดำ จะต้องนำคนผิดมาลงโทษ รวมถึงจะเปิดโอกาสให้นักธุรกิจที่ไม่สบายใจเข้ามาพูดคุยกัน แต่ก็ เกรงว่าหากมีการพูดคุยกันจะถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้
ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ซอยสุขุมวิท 71 ว่า ขณะนี้จะไม่เปิดเผยในรายละเอียด แต่ยืนยันรัฐบาลดูแลสถานการณ์ได้ และจะไม่ทำให้เรา ตกอยู่ในสภาวะข้างใดข้างหนึ่ง เพราะการดำเนินการต้องยึดหลักเกณฑ์ ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยจากตำรวจว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นมีการเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายสากล ขณะนี้ให้ทางตำรวจหยุดพูดแล้ว และยืนยันว่าไม่มีทั้งฝ่ายอิสราเอลและอิหร่านเข้ามาร่วมเป็นพนักงานสอบสวน ทำได้เพียงบอกเบาะแสเท่านั้น
ที่ สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. เดินทางไปยัง สน.คลองตัน เพื่อเรียกประชุมพนักงานสอบสวน ในการติดตามความคืบหน้าคดีเหตุระเบิด ในซอยสุขุมวิท 71 อีกครั้ง หลังจากเมื่อวานนี้ (22 ก.พ.) ได้งดประชุมเนื่องจากให้เวลาฝ่ายสืบสวนติดตามหาพยานหลักฐานที่เริ่มยากขึ้น โดยการประชุมวันนี้นอกจาก เร่งคลี่คลายเรื่องสติกเกอร์ปริศนา ยังมีเรื่องการตามหาผู้ต้องสงสัยรายที่ 6 ที่เริ่มมีเบาะแสแล้วบางส่วนด้วย
รายงานเกี่ยวกับการพบสติกเกอร์ข้อความ “SEJEAL” ซึ่งติดติดที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ริมถนนรัชดาภิเษก ใกล้สี่แยกอโศกมนตรี ริมถนนพระราม 4 เขตคลองเตย และบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยเฉพาะ 2 จุดแรก อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากอาคารโอเชี่ยน ทาวเวอร์ ที่ตั้งสถานทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย นอกจากสติกเกอร์ดัง กล่าวยังพบอักษรคล้ายภาษาอาหรับ เขียนด้วยปากกาเมจิก มีลูกศรชี้บอกทางกำกับไว้ด้วย
ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างการประสานข้อมูลจากบริษัทรับพิมพ์ป้ายและสติกเกอร์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ย่านปทุมวัน เพื่อหาว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์ ผลิตหรือนำมาจากที่ ใด และน่าจะส่งไปใช้ที่ใดบ้าง
นอกจากนี้ ฝ่ายสืบสวนยังได้ภาพผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งขณะติดสติกเกอร์ โดยกล้องวงจรปิดของธนาคารแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท จับภาพไว้ได้ในช่วงเวลาค่ำ ขณะนี้อยู่ ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด รวมถึงวันเวลาบันทึกภาพว่าเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น
ข่าว 40…พบคนติดSEJEAL0…วงจรปิดบันทึกภาพ0…บิ๊กอ๊อดรับสงคราม0…ก่อการร้ายเกิดไทย
โปรย…”บิ๊กอ๊อด” รับชง ครม.ดึง “เหลิม”คุมงานข่าว บูรณาการร่วมทหาร-ตร.ยอมรับแปลกใจสติ๊กเกอร์โผล่เกลื่อนกรุงชี้เส้นทางเป้าสังหาร ยันไทยไม่หลงทาง เชื่อรัฐเอาจริงทำมือป่วนไม่กล้าเข้าไทย รับแนวโน้มสงครามก่อการร้ายเกิด ย้ำไทยไม่ใช่ศัตรูชาติไหน “รองฯเฉลิม”กร้าวซัด’เอฟเอทีเอฟ’แค่กุนซือจี 7 ไม่ใช่เทวดา เมินแบล็คลิสต์ ด้าน”ปานศิริ”เรียกถกเครียดคดีบึ้มสุขุมวิท 71 พันคนอิหร่าน พุ่งคลี่คลาย “SEJEAL” ขณะที่ได้ภาพผู้ต้องสงสัยนำสติกเกอร์ติด จากกล้องวงจรปิดแล้ว พร้องเร่งหาแหล่งผลิตต้นตอ วานนี้ (23 ก.พ.) ที่รัฐสภาเมื่อเวลา 10.35 น. พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรี ด้านความมั่นคง กล่าวถึงกรณีที่คณะรัฐมนตรี (ครม.)มอบหมายให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ เป็นหัวหน้าคณะทำงานบูรณาการและติดตามสถานการณ์บ้านเมือง และการดูแลความปลอดภัยของประชาชนและนักท่องเที่ยวว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี แสดงความเป็นห่วงถึงสถานการณ์ระเบิด และเหตุการณ์ต่างๆที่เกี่ยวข้อง ซึ่งต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง และขอให้มีการระมัดระวังเอาใจใส่อย่างมาก รวมถึงกระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการเดินทางเข้า-ออกของนักท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็นคมนาคม การท่องเที่ยวฯต้องร่วมกันเอาใจใส่ด้วย ตนจึงเสนอในที่ประชุมครม.ว่าควรมีการบูรณาการการข่าวกัน แทนที่จะให้ต่างฝ่ายต่างทำงานของตัวเองเพื่ออัพเดทการข่าวร่วมกัน ซึ่งตนเห็นว่าร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กำกับดูแล สตช. อยู่แล้วจะได้ประสานข้อมูลกับตำรวจแต่ละ สน.ท้องที่ด้วย ขณะที่ตนกำกับดูแลงานด้านการข่าวของทหาร หากฝ่ายตำรวจและทหาร มา บูรณาการการข่าวร่วมกันจะเป็นผลดี ส่วนการประสานการข่าวกับหน่วยข่าวของต่างประเทศนั้น มีสำนักข่าวกรองแห่งชาติ ดำเนินการ และจะนำมาแลกเปลี่ยน เพื่อให้เกิดความคิดไปในแนวทางเดียวกัน ผู้สื่อข่าวถามว่า กรณีที่มีการติดสติกเกอร์ SEJEAL ขยายวงกว้างในหลายพื้นที่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า กำลังตรวจสอบอยู่ ส่วนที่มีการไปพูดกันว่าเป็นการติดใน เส้นทางที่จะนำไปสู่จุดหมายอะไรต่างๆนั้นถือเป็นเรื่องแปลก เพราะคนที่จะกระทำการไม่จำเป็นต้องมีการมาชี้นำหรือชี้ทาง ทุกอย่างต้องรู้หมดแล้ว แต่การสร้างสัญ ลักษณ์ชี้ทาง ตนคิดว่าเป็นเรื่องของจิตวิทยา แต่ก็ต้องตรวจสอบกันว่าใครเป็นคนทำและทำเพื่ออะไร เมื่อถามว่า ถือว่าฝ่ายไทยหลงทางหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า เราไม่ได้หลงทาง แต่กำลังติดตาม ซึ่งขณะนี้เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังสอบสวนอยู่ ขณะเดียวกัน มันก็มีเพิ่มขึ้น ซึ่งตนเห็นว่าเจ้าหน้าที่ควรตรวจสอบจากกล้องวงจรปิด เพื่อสำรวจว่าใครเป็นคนมาติดสติกเกอร์ดังกล่าว รวมถึงการที่มีคนไปเขียนภาษาอาหรับในที่ต่างๆ นั้นเกิดขึ้นได้อย่างไร ผู้สื่อข่าวถามว่า เรื่องนี้ดูเหมือนว่าจะมีบางประเทศ มาใช้สถานการณ์ในเมืองไทยให้เป็นประโยชน์ต่อตัวเองหรือไม่ พล.อ.ยุทธศักดิ์ กล่าวว่า คงจะมีอะไรเพิ่มเติม ดังนั้นเจ้าหน้าที่ก็ต้องติดตามตลอด ตอนนี้เรามีทั้งข้อมูลเข้ามาเพิ่มเติม ทั้งจากในและต่างประเทศ เห็นได้จากการที่เราให้ข่าวต่อมาเลเซีย จนจับกุมผู้ต้องหาอีกคนที่ หลบหนีไปได้ ซึ่งเมื่อคนร้ายเห็นว่าไทยเอาจริงเอาจังอย่างเข้มข้นในการป้องกัน ต่างชาติก็คงจะไม่กล้าเข้ามาดำเนินการอะไรในประเทศไทย “ต่อไปนี้เราทิ้งเรื่องงานการข่าวไม่ได้ ต้องมีความเข้มข้นในการระแวดระวัง การตรวจตรา การตรวจเช็กต่างๆ ก็จะต้องทำ การข่าวของต่างประเทศก็มีการส่งมาให้ เราผ่านทางสายข่าวของเรา แต่เมื่อรับข่าวมาแล้วเราพูดอะไรไม่ได้ เพราะถ้าเราพูดข้างหนึ่ง อีกข้างหนึ่งเราก็จะเสียมิตร เสียความเป็นเพื่อนกับอีกประเทศหนึ่ง ดังนั้น เมื่อแต่ละประเทศให้ข้อมูลเรามา เราก็ต้องมาประมวลเป็นข่าวของเรา ถ้าเรามีการตรวจตราเข้มแข็ง มีความเข้มงวดในทุกส่วน และเรามีหน่วยงานต่อต้านการก่อการร้าย ทั้งในส่วนของตำรวจและทหารอยู่ ถ้าเรามีการซักซ้อม มีความตื่นตัวในการติดตามสถานการณ์ ก็คิดว่ามันจะไม่รุนแรงเพิ่มขึ้น เพราะถ้าต่างชาติรู้ว่าเราเอาจริง เขาก็ไม่มา แต่ถ้าเราหย่อนยานเมื่อไรเขาจะต้องใช้พื้นที่ของประเทศเราเป็นประโยชน์ในการทำงานของเขา เราจึงต้องเข้มงวดเพื่อให้เขารู้ว่าถ้ามาใช้ ประเทศไทยก็จะไม่มีโอกาส อย่างนั้นแล้ว เพราะเราดำเนินการจริงจัง ต้องระมัดระวังอย่างมากและทิ้งไม่ได้อีกต่อไปแล้ว เพราะแนวโน้มของการต่อสู้ระหว่างประเทศที่ไม่เป็นมิตรกัน มันไม่ใช่เป็น สงครามเย็นอีกแล้วแต่กลายเป็นสงครามการก่อการร้ายในอนาคต เราจึงต้องปรับตัว วิธีการและยุทธศาสตร์ ยุทธวิธีให้ทันกับแนวโน้มที่กำลังจะเกิดขึ้น” อย่างไรก็ตามไทยจะเป็นศัตรูกับฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่ได้ แม้เู้ว่าเขาจะไม่ถูกกัน เราต้องรรักษาความเป็นมิตรกับทั้งสองประเทศเอาไว้ เหมือนอินเดียเกิดเหตุระเบิด ทำให้ทูตอิสราเอลบาดเจ็บ แต่เขาก็ไม่ยอมเสียมิตรกับอิหร่าน เพราะเขาต้องการรักษามิตรประเทศไว้ ซึ่งเราก็ต้องรักษาตรงนี้ไว้เหมือนกัน แต่ต้องเข้มงวดเพื่อไม่ให้เขามาใช้พื้นที่ของเราอีกต่อไป ขณะที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ กล่าวถึงกรณีที่คณะทำงานเฉพาะกิจเพื่อการดำเนินมาตรการทางการเงินเกี่ยวกับการฟอกเงิน หรือ FATF ขึ้นบัญชีดำประ เทศไทยที่ไม่ออกกฎหมายการฟอกเงิน เพื่อป้องกันการฟอกเงินเพื่อการก่อการร้าย ว่า องค์กรนี้ไม่ได้เป็นองค์กรของสหประชาชาติ(UN) ไม่ได้เป็นของ IMF และไม่ ได้เป็นของธนาคารโลก เป็นเพียงที่ปรึกษาของกลุ่มจี 7 และอยากให้ทุกประเทศ มีกฎหมายจัดการธุรกิจสีเทาและสีดำ และก็ยึดทรัพย์ ซึ่งทางไทยกำลังพิจารณาอยู ่เพราะว่าคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการฟอกเงิน หรือ ปปง. โดยมีบางมาตรามีอำนาจเหนือศาล ตนจึงให้กลับไปปรับเปลี่ยน จากนั้นได้ส่งกฤษฎีกา และทาง เรายังไม่ได้บอกว่าจะทำหรือไม่ ทั้งนี้ ปปง.มีสิทธิที่จะยึดทรัพย์อยู่แล้ว ในฐานความผิดการก่อการร้าย แต่จะให้ ปปง.มีอำนาจเหนือศาลไม่ได้ FATF ไม่ใช่เทวดา จะทำตามไม่ได้ ต้องยึดหลัก กฎหมายไทย ขณะเดียวกันก็มีความจำเป็นที่จะต้องออกกฎหมายมารองรับ แต่ต้องอยู่ภายใต้ตามหลักนิติรัฐนิติธรรม ไม่ใช่ทำตาม FATF สั่ง ซึ่งตนไม่สนใจที่ FATF ขึ้นบัญชีดำกับไทย และไม่มีรัฐบาลไหนที่จะปกป้องธุรกิจสีเทาหรือสีดำ จะต้องนำคนผิดมาลงโทษ รวมถึงจะเปิดโอกาสให้นักธุรกิจที่ไม่สบายใจเข้ามาพูดคุยกัน แต่ก็ เกรงว่าหากมีการพูดคุยกันจะถูกมองว่าเป็นเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนได้ ร.ต.อ.เฉลิม ยังกล่าวถึงความคืบหน้าเหตุระเบิดที่ซอยสุขุมวิท 71 ว่า ขณะนี้จะไม่เปิดเผยในรายละเอียด แต่ยืนยันรัฐบาลดูแลสถานการณ์ได้ และจะไม่ทำให้เรา ตกอยู่ในสภาวะข้างใดข้างหนึ่ง เพราะการดำเนินการต้องยึดหลักเกณฑ์ ส่วนกรณีที่มีการเปิดเผยจากตำรวจว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นมีการเชื่อมโยงกับการก่อการร้ายสากล ขณะนี้ให้ทางตำรวจหยุดพูดแล้ว และยืนยันว่าไม่มีทั้งฝ่ายอิสราเอลและอิหร่านเข้ามาร่วมเป็นพนักงานสอบสวน ทำได้เพียงบอกเบาะแสเท่านั้น ที่ สน.คลองตัน พล.ต.อ.ปานศิริ ประภาวัต รอง ผบ.ตร. เดินทางไปยัง สน.คลองตัน เพื่อเรียกประชุมพนักงานสอบสวน ในการติดตามความคืบหน้าคดีเหตุระเบิด ในซอยสุขุมวิท 71 อีกครั้ง หลังจากเมื่อวานนี้ (22 ก.พ.) ได้งดประชุมเนื่องจากให้เวลาฝ่ายสืบสวนติดตามหาพยานหลักฐานที่เริ่มยากขึ้น โดยการประชุมวันนี้นอกจาก เร่งคลี่คลายเรื่องสติกเกอร์ปริศนา ยังมีเรื่องการตามหาผู้ต้องสงสัยรายที่ 6 ที่เริ่มมีเบาะแสแล้วบางส่วนด้วย รายงานเกี่ยวกับการพบสติกเกอร์ข้อความ “SEJEAL” ซึ่งติดติดที่ตู้โทรศัพท์สาธารณะ ริมถนนรัชดาภิเษก ใกล้สี่แยกอโศกมนตรี ริมถนนพระราม 4 เขตคลองเตย และบริเวณสามเหลี่ยมดินแดง โดยเฉพาะ 2 จุดแรก อยู่ในรัศมีไม่ไกลจากอาคารโอเชี่ยน ทาวเวอร์ ที่ตั้งสถานทูตอิสราเอล ประจำประเทศไทย นอกจากสติกเกอร์ดัง กล่าวยังพบอักษรคล้ายภาษาอาหรับ เขียนด้วยปากกาเมจิก มีลูกศรชี้บอกทางกำกับไว้ด้วย ทั้งนี้ ฝ่ายสืบสวนอยู่ระหว่างการประสานข้อมูลจากบริษัทรับพิมพ์ป้ายและสติกเกอร์รายใหญ่แห่งหนึ่ง ย่านปทุมวัน เพื่อหาว่ากระดาษที่ใช้พิมพ์ ผลิตหรือนำมาจากที่ ใด และน่าจะส่งไปใช้ที่ใดบ้าง นอกจากนี้ ฝ่ายสืบสวนยังได้ภาพผู้ต้องสงสัยรายหนึ่งขณะติดสติกเกอร์ โดยกล้องวงจรปิดของธนาคารแห่งหนึ่ง ย่านสุขุมวิท จับภาพไว้ได้ในช่วงเวลาค่ำ ขณะนี้อยู่ ระหว่างการตรวจสอบรายละเอียด รวมถึงวันเวลาบันทึกภาพว่าเกิดขึ้นก่อนหรือหลังเหตุระเบิดที่เกิดขึ้น

พท.ใช้เสียงมากลากแก้ รธน.สำเร็จ หลังสองฝ่ายโต้เดือดเลื่อน-ไม่เลื่อน



โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น









..
พท.ใช้เสียงข้างมากลากแก้ รธน.สำเร็จ
หลังฝ่ายค้าน-ส.ว เสนอให้เลื่อนวาระ รอฉบับประชาชน
“นิพิฏฐ์” โวย “ค้อนปลอม” หมกเอกสาร คปก. เสนอให้เลื่อนวาระ
เหตุบรรยากาศบ้านเมืองยังไม่สงบ
อัดรัฐบาลสองมาตรฐานทิ้งร่างประชาชน
แฝงวาระซ่อนเร้นช่วย “นช.แม้ว” กลับบ้าน
ด้าน “เหลิม” โต้เดือดต้องการฉีก รธน.กากเดนเผด็จการ
ยืดอกรับไม่คิดก้าวผ่านนายใหญ่
อึกอักเจอถามรัฐบาลยืนยันได้หรือไม่
จะไม่แก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหา กษัตริย์
“สุนัย” นกรู้รีบขอเป็ดเฉลิมอย่าโต้ตอบฝ่ายค้านหวั่นเข้าเนื้อ

      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า การประชุมรัฐสภา วันนี้ (23 ก.พ.) มีนายสมศักด์ เกียรติสุรนนท์ ประธานรัฐสภา ทำหน้าที่ประธานการประชุม เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญ 3 ฉบับ ประกอบด้วย
1. ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช .... (นายสุนัย จุลพงศธร ส.ส.พรรคเพื่อไทย กับคณะ เป็นผู้เสนอ)
2. ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช ....(นายภราดร ปริศนานันทกุล ส.ส.พรรคชาติไทยพัฒนา กับคณะ เป็นผู้เสนอ) และ
3. ร่างรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย แก้ไขเพิ่มเติม (ฉบับที่...) พุทธศักราช ....(คณะรัฐมนตรี เป็นผู้เสนอ)

เริ่มประชุมเวลา 09.45 น. หลังจากสมาชิกลงชื่อเข้าร่วมประชุม 344 คน เกินกึ่งหนึ่งที่ 324 คน
      
       ก่อนเข้าสู่ระเบียบวาระการประชุม นายสมศักดิ์ได้เปิดโอกาสให้ที่ประชุมรัฐสภาหารือ โดยมี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ หลายคนได้เสนอให้มีการเลื่อนการพิจารณาออกไปก่อนเพื่อรอร่างของประชาชนที่ เสนอเข้ามา 3 ร่างที่ต้องผ่านขั้นตอนการตรวจเช็กรายชื่อ เพื่อให้ประชาชนได้มีส่วนร่วม อีกทั้งควรรับข้อเสนอของคณะกรรมการปฏิรูปกฏหมาย (คปก.) ที่มีนายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ที่เห็นว่ายังไม่ควรเร่งรีบพิจรณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในช่วงนี้เพราะบรรยากาศใน บ้านเมืองยังไม่มีความสงบที่แท้จริง อาจจะเป้นชนวนให้เกิดความขัดแย้งรอบใหม่เกิดขึ้น
      
       นายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลเคยยืนยันว่าจะให้ประชาชนได้มีส่วนร่วมกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญในครั้ง นี้ ทำไมไม่มีการหยิบยกมาหารือด้วย ประกอบกับ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ประกาศตลอดเวลาว่า บรรยากาศของประเทศไม่เอื้ออำนวย ควรยืดเวลาออกไปปลายปีนี้ ตนคิดว่าหากมีการเลื่อนออกไปและนำร่างของประชาชนมาพิจารณาด้วยจะตรงกับเจตนา รมรณ์ที่ประกาศไว้ และเมื่อรัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา
      
       นอกจากนี้ การที่รัฐบาลไม่ยืนยันร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมในที่สาธารณะ ที่ผ่านวาระ 3 ของสภาในสมัยรัฐบาลชุดที่แล้วโดยอ้างว่า คปก.ให้ความเห็นว่าไม่ควรเสนอน่าจะขัดรัฐธรรมนูญ และรอนสิทธิประชาชน แต่มาวันนี้ คปก.ได้มีหนังสือถึงรัฐบาลว่าควรชะลอการพิจารณาร่างรัฐธรรมนูญครั้งนี้ออกไป ทำไมรัฐบาลไม่ฟัง กลับเลือกฟังบางเรื่องที่ได้ประโยชน์ และเลือกไม่ฟังบางเรื่องที่ไม่เป็นประโยชน์ต่อตัวเอง ถือเป็นสองมาตรฐาน
      
       นายนิพิฏฐ์ยังได้ตำหนิการทำหน้าที่ของนายสมศักดิ์ว่า ได้รับเอกสารเสนอให้เลื่อนวาระการพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญออกไปแล้ว แต่ไม่ยอมเกษียณหนังสือเพื่อแจกให้แก่สมาชิกได้ประกอบการพิจารณา ทำให้สมาชิกหลายคนไมได้รับเอกสารดังกล่าว แต่นายสมศักดิ์อ้างว่าตนได้มีคำสั่งด้วยวาจาให้เจ้าหน้าที่สภาฯ นำไปแจกแก่สมาชิกแล้ว
      
       นายชินวรณ์ บุณยเกียรติ ส.ส.นครศรีธรรมราช พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การเปิดกว้างเพื่อนำร่างของประชาชนมาพิจารณาด้วยจะเป็นประโยชน์ต่อรัฐสภา แม้จะเปิดรับฟังความเห็นจากประชาชน แต่ในข้อเท็จจริงเป็นไปตามนั้นหรือไม่ เพราะการแก้ไขมาตรา 291 เพื่อจัดตั้ง ส.ส.ร. จะเชื่อได้อย่างไรว่า ส.ส.ร.จะรับฟังความเห็นประชาชนอย่างทั่วถึง เมื่อเริ่มต้นจิตกุศลที่ดี ขอเรียกร้องให้สมาชิกพิจารณาอีกครั้งว่าจะรอเวลาเอาร่างของประชาชนขึ้นมา พิจารณาหรือไม่
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ได้มี ส.ว.บางส่วนเสนอให้เลื่อนวาระออกไปเช่นกัน เพื่อให้ร่างของประชาชนได้มีโอกาสร่วมพิจารณา หากรีบรัดจะเป็นการละเมิดสิทธิของประชาชน
      
       ขณะที่ ส.ส.จากพรรคเพื่อไทยต่างแสดงความเห็นคัดค้าน และต้องการให้เดินหน้าพิจารณาต่อไปโดยไม่ต้องรอร่างของประชาชน เช่น นายพีรพันธุ์ พาลุสุข ส.ส.พรรคเพื่อไทย กล่าวยืนยันว่าร่าง พ.ร.บ.ชุมนุมสาธารณะนั้นพวกตนเป็นฝ่ายไม่เห็นด้วยต่อกฎหมายนี้ บังเอิญความเห็นตรงกับ คปก.เท่านั้น ส่วนร่างรัฐธรรมนูญฉบับประชาชนต้องใช้เวลาตรวจสอบอีกนานไม่รู้เสร็จเพื่อ ไหร่ แต่ได้พูดคุยกับตัวแทนประชาชนที่เสนอร่างแล้วยืนยันว่าไม่ขัดข้องหากจะไม่ พิจารณาพร้อมกัน จึงควรดำเนินการพิจารณาต่อไปตามระเบียบวาระ
      
       เช่นเดียวกับนายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย กล่าวสนับสนุนว่า หากรัฐสภาเร่งดำเนินการได้เร็วจะยิ่งเป็นประโยชน์ต่อประเทศ เพราะมั่นใจว่าประชาชนที่เสนอร่างจะเห็นชอบด้วย และกรรมาธิการมีอำนาจเชิญตัวแทนประชาชน.มาให้ข้อมูลแสดงความเห็นประกอบ หรือตั้งให้ร่วมเป็นอนุกรรมาธิการ และการแก้ครั้งนี้ไม่ได้แก้ไขในรายมาตรา เพียงแต่ให้ตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาเพื่อมอบหมายให้ไปทำทั้งฉบับ เมื่อถึงเวลาประชาชนทั้งประเทศมีโอกาสแสดงความเห็นได้ว่าจะเอาไม่เอาอะไร ถือว่าสอดคล้องกับเจตนารมณ์ของประชาชนที่เข้าชื่อเสนอด้วย
      
       หลังจากมีการถกเถียงกันร่วมชั่วโมง นพ.ชลน่าน ศรีแก้ว ส.ส.น่าน พรรคเพื่อไทย ได้เสนอญัตติให้เดินตามระเบียบวาระ ขณะที่นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์ ส.ส.พังงา พรรคประชาธิปัตย์ เสนอญัตติให้เลื่อนวาระพิจารณาออกไป และเห็นว่าการที่รัฐบาลเร่งรีบให้พิจารณาครั้งนี้เพราะมีวาระซ่อนเร้น ทำให้ ส.ส.พรรคเพื่อไทยประท้วงให้ถอนคำพูด แต่นายสมศักดิ์เพียงกล่าวเตือนว่าไม่ควรพูดเช่นนี้ ขณะที่นายจุรินทร์ยังยืนยันคำพูดเพราะมีบางคนในรัฐบาลพูดว่าถ้าแก้ไขรัฐ ธรรมนูญแล้วบางอย่างจะกลับมา ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี อภิปรายตอบโต้นายจุรินทร์ว่า ตนเป็นคนระบุว่าบ้านเมืองจะสงบต้องร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง 6 มาตรา ส่วนผลจะออกมาอย่างไร ต้องให้สภาฯ พิจารณา ดังนั้นอย่าตกใจเกินเหตุ ส่วนประเด็นแก้ไขรัฐธรรมนูญรัฐบาลได้รณรงค์มาตั้งแต่ปี 2552 ว่าไม่เอารัฐธรรมนูญที่เป็นกากเดนเผด็จการ ซึ่งประเด็นแก้ไขดังกล่าว แก้ไขมาตรา 291 เปิดทางให้มี ส.ส.ร.จำนวน 99 คนยกร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เสร็จภายใน 180 วันจากนั้นทำประชามติ ซึ่งถือว่าเป็นการทำตามนโยบาย ซึ่งพรรคประชาธิปัตย์จะทุกข์ร้อนอย่างไร ว่าใครจะกลับมา
      
       “ท่านเป็นเทวดาหรือถึงรู้ว่าสถาบันการศึกษาจะส่งใครมา อย่าสร้างความปั่นป่วน จะเล่นการเมืองต้องมีความคิด หากคิดอย่างพวกท่านก็ร่างรัฐธรรมนูญเสร็จเลย แต่ผมเปิดทางให้มี ส.ส.ร. ส่วน ส.ส.ร.จะทำอย่างไรเป็นเรื่องของเขา จะเป็นจะตายกันหรืออย่างไร ผมไม่ก้าวข้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร มันเป็นสิทธิของผม เพราะผมรักและเคารพ ผมพูด ผมแฟร์พอว่าจะยกร่าง พ.ร.บ.ปรองดอง การเมืองเข้าที่เข้าทาง ยกเว้นคนที่สั่งฆ่า 91 ศพ”
      
       ขณะที่ นายจุรินทร์กล่าวตอบโต้ว่า ตนมีหลักฐานจากการให้สัมภาษณ์ในหนังสือพิมพ์ข่าวสด ฉบับวันที่ 16 ก.พ.ว่า หลังจากร่างรัฐธรรมนูญเสร็จแล้วพรรคประชาธิปัตย์จะสูญพันธุ์ และ อดีตนายกฯ จะกลับประเทศไทยอย่างสง่างาม และที่การชี้แจงของ ร.ต.อ.เฉลิม แปลว่าต่อไปนี้รัฐสภาจะเซ็นเช็คเปล่าให้ ส.ส.ร.ทำอย่างไรก็จะยอมรับใช่ไหม หากมีการแก้ที่กระทบต่อสถาบัน ทางรัฐบาลจะเอาใช่หรือไม่ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิมลุกขึ้นตอบโต้ว่า ฝ่ายค้านอ่านไม่หมด เพราะในร่างของรัฐบาลเขียนไว้ชัดเจนว่าห้ามแตะต้องสถาบัน
      
       ด้าน นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ผู้นำฝ่ายค้านในสภาฯ กล่าวแย้งว่า สิ่งที่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวอ้างไม่เป็นความจริง เพราะมีการเขียนตามหลักการเท่านั้นว่าจะเปลี่ยนแปลงการปกครองระบอบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไม่ได้เท่านั้น รัฐบาลยืนยันได้หรือไม่ว่ามีตรงไหนที่ห้ามแก้ไขเกี่ยวกับสถาบันพระมหา กษัตริย์
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า บรรยากาศเริ่มเข้มข้น โดย ร.ต.อ.เฉลิมพยายามที่จะชี้แจงอีกครั้ง แต่ถูกสมาชิกพรรคเพื่อไทย นายสุนัย จุลพงศธร ลุกขึ้นมาขอร้อง พร้อมกับยกมือไหว้ให้ ร.ต.อ.เฉลิมยอมให้กับฝ่ายค้าน ไม่ควรมาทะเลาะกันเพราะเสียเวลา เพื่อให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญเดินหน้าได้
      
       นายอาคม เอ่งฉ้วน ส.ส.กระบี่ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นเรื่องใหญ่ มีประชาชนจับตาดูหลายสิบล้านคน ถ้ารัฐบาลเร่งรีบไปรัฐบาลจะเสียแต้มได้ และอ่านข้อเสนอของนายคณิต ที่ให้เหตุผลควรเลื่อนวาระออกไป เพราะขณะนี้ประเทศยังมีปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองที่มีความรุนแรง ลึกซึ้งและกว้างขวางระหว่างฝ่ายต่างๆ ที่ยังไม่ยุติได้ เมื่อมีหลายคนทั้งท้วงเช่นนี้รัฐบาลก็ควรรับฟังเพราะยังมีปัญหามากมายที่รอ ให้รัฐบาลแก้ไข
      
       อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดให้สมาชิกอภิปรายร่วม 3 ชั่วโมง นายสมศักดิ์ได้ให้ลงมติ ปรากฏว่า สมาชิก 341 ต่อ 181 ไมเห็นด้วยให้เลื่อนวาระออกไป โดยมีผู้งดออกเสียง 21 เสียง
      
       จากนั้นการประชุมเริ่มเข้าวาระการพิจารณาแก้ไขร่างรัฐธรรมนูญ โดยผู้เสนอร่างแต่ละฉบับได้รายงานหลักการและเหตุผลต่อสมาชิกในห้องประชุม

จับโกหก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ว.5 โฟร์ซีชันส์


  by นายตะเกียง ,

จับโกหก “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ว.5 โฟร์ซีชันส์
10 ก.พ. 55  ที่สนามบินสุวรรณภูมิ  
เมื่อเวลา 15.00 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงข้อกล่าวหาของนายเอกยุทธ อัญชัญบุตร ว่า ไม่มีอะไร รายละเอียด ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ได้ชี้แจงไปแล้ว ก็เป็นเรื่องปกติ ไม่มีอะไรจริง ๆ
เมื่อถามว่าตกลงเมื่อวันที่ 8 ก.พ.ที่ผ่านมา นายกรัฐมนตรี ไปประชุมอะไรที่โรงแรมโฟร์ซีซันส์หรือไม่  น.ส.ยิ่ง ลักษณ์ กล่าวว่า ไม่ได้ไปประชุม แต่ในฐานะนายกรัฐมนตรีก็สามารถเจอกับใครก็ได้ ที่สำคัญไปในสถานที่ที่เปิดเผย และไม่ได้เสียหายด้วย
เมื่อถามว่าแต่สิ่งที่นายเอกยุทธออกมาพูด ทำให้เสียหาย จะดำเนินการอะไรหรือไม่ นายกรัฐมนตรี กล่าว่า ดิฉันก็จะอดทนคะ เชื่อว่าผู้ที่ฟังอยู่ก็คงจะพิจารณาเอง เราเองเราเป็นผู้หญิง ก็ยืนยันว่าไม่ทำอะไรเสียหายหรอกค่ะ
----------ผ่านมา 13 วัน------------
23 กุมภาพันธ์ 2555
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา15.27 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์โพสต์ข้อความในเฟซบุ๊คส่วนตัว "Yingluck Shinawatra"  ใจ ความว่า "ขอชี้แจงกรณี การเดินทางไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันที่ 8ก.พ.2555 จากที่มีการโจมตีกล่าวหาดิฉันกรณีการเดินทางไปพบกลุ่มบุคคล ณ โรงแรม โฟร์ซีซั่นส์ เมื่อวันพุธที่ 8 ก.พ.2555 นั้น ดิฉันขอโอกาสชี้แจงข้อเท็จจริงดังนี้
1. ประเด็นต่อข้อกล่าวหาเรื่อง หนีการประชุมสภา ไม่รับผิดชอบต่องานสภาดิฉัน ขอเรียนชี้แจงว่า ดิฉันทราบดีและภูมิใจเสมอที่พี่น้องประชาชนได้ลงคะแนนเสียงเลือกตั้งให้ ดิฉันเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร แต่ด้วยอีกสถานะหนึ่งประชาชนก็ได้ให้ความไว้วางใจภายใต้ระบอบประชาธิปไตยใน ระบบรัฐสภาให้ดิฉันเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย ดังนั้นในแง่ของการทำงานดิฉันถือเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารราชการแผ่นดิน ที่ต้องทำหน้าที่บริหารให้ได้รับประโยชน์สูงสุดตามหลักการของการบริหาร ราชการที่ดี การใดที่เป็นประโยชน์ต่อการบริหารราชการแผ่นดินเป็นเรื่องที่ต้องกระทำ แต่ใช่ว่าจะไม่เคารพสภาผู้แทนราษฎรซึ่งเป็นประกอบด้วยตัวแทนประชาชนเช่น เดียวกับดิฉัน
สำหรับ ข้อกล่าวหาต่อดิฉันว่าหนีการประชุมสภาฯและไม่รับผิดชอบต่องานสภาฯนั้น ไม่เป็นความจริง ดิฉันขอชี้แจงว่าการประชุมสภาฯ เมื่อวันพุธที่ 8 ก.พ.2555 ทราบว่า ในวันดังกล่าวมีวาระรับทราบในเรื่องต่างๆ แต่ไม่มีประเด็นที่นายกรัฐมนตรีต้องเข้าประชุมเพื่อชี้แจงต่อที่ประชุมสภา ผู้แทนราษฎร และในวันดังกล่าว เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจในฐานะนายกรัฐมนตรีที่มีการนัดหมายไว้ก่อนหน้าแล้ว ดิฉันก็ได้เดินทางมาที่อาคารรัฐสภา เพื่อร่วมรับฟังและสอบถามเกี่ยวกับประเด็นที่มีการอภิปรายอยู่ในสภาผู้แทน ราษฎร ทั้งยังได้ลงชื่อในฐานะสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเวลาประมาณ 16.16น. ด้วย

2. ประเด็นต่อข้อกล่าวหาเรื่อง ไม่มาตอบกระทู้ของ ส.ส.รังสิมา รอดรัศมีเมื่อ วันพฤหัสบดีที่ 16 ก.พ.2555เป็น การตั้งกระทู้ถามสดซึ่งในวันดังกล่าว เวลา 11.00 น. ดิฉันอยู่ในระหว่างการปฏิบัติภารกิจในพื้นที่จังหวัดลพบุรี ต่อเนื่องจังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งเป็นพื้นที่ประสบปัญหาอุทกภัย และการปฏิบัติหน้าที่ดังกล่าวมีความต่อเนื่องในการปฏิบัติหน้าที่มาตั้งแต่ วันที่13ก.พ. ดังที่สื่อมวลชนได้ติดตามรายงานอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้น อย่างไรก็ดี เมื่อทราบว่ามีผู้ตั้งกระทู้ถามสดเกี่ยวกับตัวดิฉันในฐานะนายกรัฐมนตรี ดิฉันได้มอบหมายให้ พลเอกยุทธศักดิ์ ศศิประภา รองนายกรัฐมนตรีเป็นผู้ตอบกระทู้ถามสดแทนตัวดิฉัน ซึ่งเป็นสิ่งที่พึงกระทำได้ตามข้อบังคับของสภาฯ
3. ประเด็นต่อข้อกล่าวหาเรื่อง การเดินทางไปโรงแรมโฟร์ซีซั่นส์ เป็นเรื่องส่วนตัว กระทำผิดจริยธรรม และมีเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนดิฉันขอเรียนว่าในวันดังกล่าวดิฉันได้ไปพบกับกลุ่มนักธุรกิจภาคเอกชนจำนวนหลายคนที่ชั้น7 ซึ่งเป็น Executive Club ของ โรงแรมดังกล่าว เป็นสถานที่เปิดเผย และเป็นการเดินทางไปเพื่อการรับฟังสภาพปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเศรษฐกิจและ สถานการณ์บ้านเมือง ทั้งเป็นการรับฟังข้อเสนอแนะและแลกเปลี่ยนความคิดเห็นอันจะเป็นประโยชน์สูง สุดต่อการบริหารราชการแผ่นดิน โดย ในการเดินทางไปครั้งนี้มีผู้พบเห็นเหตุการณ์จำนวนมากไม่ว่าจะเป็นเจ้า หน้าที่ของโรงแรม พนักงานบริการ หรือหน่วยรักษาความปลอดภัย อย่างไรก็ตามด้วยผู้ที่มาพบหารือไม่ต้องการที่จะปรากฏเป็นข่าว กำหนดการนี้จึงไม่มีการแจ้งสื่อมวลชนแต่ประการใด

ใน วันนั้น ไม่มีการพูดจาเรื่องธุรกิจส่วนตัว ไม่มีการพูดถึงการเวนคืนที่ดินเพื่อเป็นที่รับน้ำหรือเป็นพื้นที่น้ำผ่าน ที่เรียกว่า ฟลัดเวย์ (Flood Way) พื้นที่ แก้มลิงและอ่างเก็บน้ำ การชะลอการประเมินราคาที่ดิน หรือเรื่องอื่นเรื่องใดที่จะเป็นการเอื้อประโยชน์ต่อผู้ใดโดยเฉพาะตามที่มี การกล่าวหา
ดิฉัน ใคร่ขอชี้แจงด้วยว่า ที่ดิฉันไม่ได้โต้ตอบข้อกล่าวหาที่ไร้สาระนี้แต่ต้น เพราะดิฉันเห็นว่าเป็นเกมการเมืองซึ่งดิฉันไม่ถนัด ดิฉันอาสาประชาชนมาเพื่อทำงาน และดิฉันเป็นนักบริหารที่เชื่อว่าผลงานจะเป็นบทพิสูจน์ความจริงใจ ทั้งนี้ขอยืนยันอีกครั้งว่า ดิฉันจะไม่ทำการใดๆอันเป็นการหาผลประโยชน์ส่วนตน เอื้อประโยชน์ใครคนใดคนหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทุกอย่างที่ดิฉันทำก็เพื่อความผาสุกที่ยั่งยืนของพี่น้องประชาชนทุกคน
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร  นายกรัฐมนตรี
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง