ท่าน
รองนายกและรมว คลังฯ
ทำไมต้องเร่งรัดให้กระทรวงการคลังขายหุ้นให้กับกองทุนวายุภักษ์ให้เสร็จสิ้น
ในปีนี้ ในเมื่อ ปตท ก็มีกำไรสุทธิมากกว่า รัฐวิสาหกิจอื่น หากรวบรวมกัน 10
อันดับแล้วจะพบว่า ปตท เข้ามาอันดับแรก
รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 10 อันดับต้นๆมีอะไรบ้าง ข้อมูลของกระทรวงการคลัง อัพเดท 31ธ.ค.2553 มีดังนี้ครับ
1.บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน ) กำไรสุทธิ 83,087.72 ล้านบาท
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย กำไรสุทธิ 37,355.13 ล้านบาท
3. ธนาคารออมสิน กำไรสุทธิ 19,399.73 ล้านบาท
4. บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน ) กำไรสุทธิ 15,397.94 ล้านบาท
5. บมจ.ธนาคารกรุงไทย กำไรสุทธิ 14,913.24 ล้านบาท
6. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค กำไรสุทธิ 14,762.89 ล้านบาท
7. การไฟฟ้านครหลวง กำไรสุทธิ 8,680.22 ล้านบาท
8. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กำไรสุทธิ 8,012.27 ล้านบาท
9. บริษัท ทีโอที จำกัด ( มหาชน ) กำไรสุทธิ 7,765.31 ล้านบาท
10.ธนาคารอาคารสงเคราะห์ กำไรสุทธิ 6,354.11 ล้านบาท
ซึ่งรวม 10 ลำดับแล้วจะมีมูลค่าถึง 215,728.57 ล้านบาท หากเทียบจากรายได้ของ ปตท แล้ว มีมูลค่าถึง 38.5% เลยทีเดียว
เมื่อเราดูรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรสูงสุด 10 อันดับแรกแล้ว เราหันมาดูบ้างว่ารัฐวิสาหกิจที่ มีผลขาดทุนสูงสุด 10 อันดับแรกบ้าง
1.การรถไฟแห่งประเทศไทย ขาดทุนสุทธิ 7,584.03 ล้านบาท
2.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ ขาดทุนสุทธิ 4,972.58 ล้านบาท
3.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย ขาดทุนสุทธิ 862.88 ล้านบาท
4.องค์การสวนสัตว์ ขาดทุนสุทธิ 167.96 ล้านบาท
5.การกีฬาแห่งประเทศไทย ขาดทุนสุทธิ 87.64 ล้านบาท
6.องค์การตลาดเพื่อการเกษตร ขาดทุนสุทธิ 74.12 ล้านบาท
7.องค์การคลังสินค้า ขาดทุนสุทธิ 68.91 ล้านบาท
8.องค์การสวนพฤกษศาสตร์ ขาดทุนสุทธิ 36.85 ล้านบาท
9.องค์การสะพานปลา ขาดทุนสุทธิ 11.69 ล้านบาท
10.บริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด ขาดทุนสุทธิ 5.33 ล้านบาท
รวมทั้ง 10 ลำดับมีมูลค่าขาดทุนสุทธิ 13,871 97 ล้านบาท
ซึ่ง
แต่ละรัฐวิสาหกิจล้วนแต่มีหนี้สาธารณะกันทั้งนั้น
หากเรามามองหนี้สาธารณะคงค้าง อัพเดทเดือน กันยายน 2554 จำนวน 4,269,026.84
ล้านบาท คิดเป็น 40.22% ของ GDP ที่กระทรวงการคลังประกาศใว้แบ่งออกเป็น
1.หนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3,010,317.68 ล้านบาท ร้อยละ 28.36 ของGDP
2.หนี้สาธารณะที่เป็นของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,072,101.07 ล้านบาท ร้อยละ 10.10 ของGDP
3.หนี้สาธารณะที่เป็นของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน 155,624.44 ล้านบาท ร้อยละ 1.47 ของGDP
4.หนี้สาธารณะที่เป็นของกองทุนฟื้นฟูฯ 30,983.65 ล้านบาท ร้อยละ 0.29 ของGDP
หมายเหตุประมาณ GDP ปี 2554 เท่ากับ 10,840.50 พันล้านบาท
คำให้สัมภาษณ์ของนายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) บางส่วนดังนี้
“แนวทางดังกล่าวจะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะให้ลง
โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 4 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 41%
ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งการปลดหนี้ของ ปตท.และการบินไทย
จะทำให้หมดภาระหนี้รวม 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10% ของจีดีพี
อย่างไรก็ตาม
หนี้สาธารณะในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นหนี้จากรัฐวิสาหกิจค่อนข้างมาก
ส่วนรัฐบาลกลางก่อหนี้เพียง 1% ของจีดีพีเท่านั้น
หากปลดภาระหนี้ดังกล่าวได้
จะทำให้รัฐบาลสามารถกู้เงินเพื่อมาพัฒนาประเทศไทยได้มากขึ้น”
หากเรามองข้อมูลของกระทรวงการคลังและพบว่าหนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ 4
ล้านล้านหรือประมาณ 41% ของGDP จริง
และหนี้สาธารณะของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน มีอยู่ประมาณ 10%
จริง แต่ที่พูดมาไม่จริง ก็คือ รัฐบาลกลางก่อหนี้เพียง 1% ของ GDP
ซึ่ง
จากข้อมูลกระทรวงการคลังพบว่า หนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3,010,317.68
ล้านบาท ร้อยละ 28.36 ของGDP ซึ่งไม่ใช่ 1% ของ GDP แต่อย่างใด
จึงเป็นที่น่าสังเกตุว่า
ในเมื่อหนี้สาธารณะของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินซึงมีอยู่มากมาย
คิดเป็นร้อยละ 10.10%ของGDPของประเทศ ซึ่งในจำนวนนั้นมีทั้ง ปตท การบินไทย
การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และอื่นๆ
ทำไมกระทรวงการคลังไม่คิดจะขายหุ้นในส่วนรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนอยู่ขณะนี้
ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่จะให้เอกชนเข้ามาบริหารได้อย่างเต็มที่และเป็น
การเปิดให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรีขึ้น
แต่ว่าทำไมถึงคิด เอา บริษัท ปตท.จำกัด ( มหาชน ) ซึ่งมีกำไรสุทธิ
อันดับหนึ่งของรัฐวิสหกิจทั้งหมด มาขายเพื่อให้หลุดพ้นจาก
รัฐวิสาหกิจด้วย อ่านแล้วน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจของทุกคน ครับ
ขอบคุณภาพอินเตอร์เน็ตและขอ้มูลจาก
http://www.mof.go.th
by
ณสยาม
Source - ไทยโพสต์
โดย มีชัย ฤชุพันธุ์
มีเสียงพูดกันถี่ขึ้นถึงประ
มวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่เรียกกันติด ปากว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" บางคนก็บอกว่าต้องยกเลิกเพราะไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง ขัดต่อรัฐธรรมนูญบ้าง เป็นการขัดขวางต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบ้าง
บ้างก็ว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเติมเสียใหม่ เพราะโทษที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินไป น่าจะไม่ชอบด้วยหลักสิทธิมนุษยชน
ความคิดเห็นที่แตกต่างหรือการคิดปรับปรุงกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงนั้น ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละบุคคลที่จะคิดได้ ถกเถียงกันได้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครผิดหรือใครถูก
แต่ก่อนที่จะเฮโลกันเห็นด้วย หรือคัดค้าน หรือถกเถียงกัน ควรรู้เสียให้ตรงกันก่อนว่ากฎหมายในเรื่องนี้มีว่าอย่างไรบ้าง
เผื่อใครที่มีอำนาจ อยากจะยกเลิก หรือแก้ไขเพิ่มเติม จะได้ทำได้ถูกและหาเหตุผลชี้แจงให้คนทั่วไปเข้าใจได้
เพราะขึ้นชื่อว่า "กฎหมาย" เมื่อล้าสมัย หรือไม่เหมาะสมกับสังคม หรือขัดต่อความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ ก็สมควรยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขได้เสมอ
การกระทำความผิดตามมาตรา 112 นั้น คนชอบเรียกกันว่าเป็นความผิดฐาน "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ซึ่งทำให้เข้าใจไขว้เขวไปว่า เป็นความผิดที่หาความชัดเจนและ แน่นอนไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่า "พระบรมเดชานุภาพ" นั้นกว้างไกลเพียงใด ขึ้นอยู่กับใจของคนว่าใครจะมีความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์มากน้อยเพียงใด คนที่มีความจงรัก ภักดีอย่างเหลือล้น ก็อาจกล่าวหาคนที่จงรักภักดีอย่างธรรม ดาได้ สุดแต่ใครจะหยิบยกขึ้นมาใช้เป็นข้อกล่าวหาเชือดเฉือนใคร และในที่สุดก็เลยกลายเป็นอาวุธทางการเมือง
ถ้ากฎหมายมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ ก็สมควรยกเลิกหรือแก้ไขเสียใหม่โดยเร็ว
แล้วกฎหมายเป็นอย่างนั้นจริงหรือ?มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา มีความดังนี้ "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี"
แท้ที่จริงแล้ว การกระทำอันจะเป็นความผิดตามมาตรา
นี้ มีอยู่ 3 อย่าง คือ หมิ่นประมาทอย่างหนึ่ง ดูหมิ่นอีกอย่างหนึ่ง
และแสดงความอาฆาตมาดร้าย อีกอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรให้ต้องยุ่งยากเกี่ยวกับ "พระบรมเดชานุภาพ" ทั้งสิ้น ซึ่งการ กระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่ทำกับพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของประเทศเลย แม้ทำกับคนธรรมดาก็อาจเป็นความกระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่ทำกับพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของประเทศเลย แม้ทำกับคนธรรมดาก็อาจเป็นความผิดได้เช่นเดียวกัน
การที่มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นนั้น มิได้หมายความว่าจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ เพราะสิทธินั้นมาควบคู่กับหน้าที่ คือในการใช้สิทธิ ก็ต้องคำนึงถึงหน้าที่ที่จะต้องเคารพถึงสิทธิของคนอื่นด้วย
อยู่ๆ ใครจะลุกขึ้นใส่ร้ายใคร หรือดูหมิ่นใคร หรืออาฆาตมาดร้ายใคร แล้วอ้างว่าเป็นการใช้เสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นได้เสียเมื่อไหร่กัน
ตัวอย่างเช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหรือออกแถลงการณ์ว่า ที่ตนสอบตก เพราะอาจารย์ที่สอนวิชานั้น เรียกไปบอกให้จ่ายเงิน มิฉะนั้นจะให้สอบตก เมื่อตนไม่จ่าย อาจารย์คนนั้นจึงให้ตนสอบตก ซึ่งไม่เป็นความจริง ก็อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้ หรือลูกศิษย์ไปยืนชี้หน้าด่าอธิการบดีว่า "มึง! ไอ้หน้าเลือด จะขึ้นค่าหน่วยกิตกันไปถึงไหน เห็นใจกูบ้างซีวะ" ก็อาจเข้าข่ายการดูหมิ่นซึ่งหน้า หรือถือไม้คมแฝกไปยืนดักพบอาจารย์ พอพบหน้าก็ยกไม้ขึ้นชี้หน้าพร้อมกับตะคอกว่า มึงไอ้ตัวดี ลองมึงให้คะแนนกูน้อยกว่าคนอื่น กูจะเอาเลือดมึงออกมาล้างตีนให้ดู ถ้าไม่ผิดฐานใดฐานหนึ่งเสียก่อน ก็คงได้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย
อาจารย์หรือนักวิชาการทั้งหลายคงไม่ลงความเห็นว่า พฤติการณ์ของนักศึกษานั้นเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นที่สุจริต ที่สมควรได้รับการคุ้มครอง
มีนักวิชาการบางคนอ้างว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท คุ้มครอง
มีนักวิชาการบางคนอ้างว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท มีอยู่แล้วในประมวลกฎหมายอาญาสำหรับคนทั่วไป ทำไมจึงต้องมีการบัญญัติความผิดขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์อีก ทำให้ไม่เสมอภาค และน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ข้อคิดเห็นอย่างนี้แหละที่สมควรจะต้องทำความเข้าใจกันถ้าคนเสนอความคิดเห็นเป็นนักรัฐศาสตร์ นักกิจกรรม หรือนักอะไรต่ออะไร ที่ไม่ใช่นักกฎหมาย ก็ยังพอทำเนา เพราะต่างคนต่างไม่รู้กฎหมาย การแสดงความคิดเห็นก็อาจเป็นไปโดยสุจริตใจตามที่ฟังๆ เขามา หรือตามความอยาก หรือความต้องการของแต่ละคนซึ่งย่อมแตกต่างกันไปตามพื้นฐานหรือปูมหลังของแต่ละคน แต่ถ้าเป็นนักกฎหมาย ก็น่าสงสัยว่าขาดความรู้จริงๆ หรือพยายามปกปิดความจริงไม่ให้ประชาชนรู้
เพราะตามกฎหมายอาญาของไทยนั้น ไม่ได้ปกป้องคุ้ม ครองเป็นพิเศษเฉพาะพระมหากษัตริย์ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 112 เท่านั้น หากแต่ได้ปกป้องคุ้มครองบุคคลอื่นๆ ไว้ในมาตราอื่นๆ ด้วยดังจะเห็นได้จากมาตราต่างๆ ดังต่อไปนี้
มาตรา 133 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แปลว่า พระราชา พระราชินี คู่สมรส หรือประธานาธิบดีของประเทศไหนๆ ในโลก ไม่ว่าจะมีสัมพันธไมตรีกับเราหรือไม่ ก็ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ
ใครจะเที่ยวได้ใส่ร้าย ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย ไม่ได้ และไม่ว่าจะไปแอบด่าเขาในเว็บไซต์ หรือยืนตะโกนด่าเขาหน้าสถานทูต ก็เป็นความผิดตามกฎหมายไทยเหมือนกัน
จะด่าโอบามา หรือภรรยาของโอบามา หรือด่ากัดดาฟี ก็อาจมีความผิดตามกฎหมายไทยได้เท่าๆ กัน
มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แม้แต่บรรดาทูตทั้งหลายที่ได้รับแต่งตั้งให้มาประจำอยู่ในประเทศไทย ไกลบ้านไกลเมืองของเขา เมื่อมาอยู่ในประเทศไทยก็ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษจากกฎหมายไทยเช่นกัน
นอกจากชาวต่างชาติแล้ว คนไทยด้วยกันในฐานะต่างๆ กัน ก็ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ ดังจะเห็นได้จากมาตราต่างๆ ดังต่อไปนี้มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 198 ผู้ใดหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษาในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล ต้องระวางโทษจำคุกตั้ง แต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับมาตรา 136 นั้น อย่าไปนึกว่าเขียนสั้นๆ เพียงเท่า นั้นแล้วจะไม่มีความหมายอะไร เพราะผลแห่งการคุ้มครองนั้นกว้างขวางนัก กล่าวคือคุ้มครองตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พล ตำรวจ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. เพราะในการทำหน้า ที่ของบุคคลเหล่านั้น เป็นการทำหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานทั้งนั้น การคุ้มครองจึงขยายวงออกไปถึงเรื่องการ "ดูหมิ่น" ไม่ ใช่เรื่องการ "หมิ่นประมาท" เหมือนคนธรรมดา
จากบทบัญญัติของประมวลกฎหมายอาญาของไทย จึงเห็นได้ว่าได้ให้ความคุ้มครองแก่บุคคลที่มีฐานะต่างๆ กันเป็นพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้คุ้มครองแต่เฉพาะพระมหากษัตริย์ไทยเท่านั้น
สำหรับพระมหากษัตริย์ของไทย ที่มีบทบัญญัติคุ้มครองเป็นพิเศษ ก็เพราะพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหนึ่งในรัฐ ธรรมนูญ และเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองในระบอบประ ชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 8 ว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้"
สำหรับมาตรา 8 ดังกล่าวนี้ เห็นจะต้องบอกไว้เสียก่อนว่า ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ เพราะตั้งแต่ปี 2475 ที่ประเทศ ไทยมีรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกเป็นต้นมา ก็มีบทบัญญัติอย่าง เดียวกันนี้มาทุกฉบับ ตลอดระยะเวลา 79 ปีที่ผ่านมา บทบัญ ญัติในเรื่องนี้มีถ้อยคำที่แตก
ต่างกันเพียงคำเดียวคือ ความขึ้นต้นที่ว่า "องค์พระมหากษัตริย์ ทรง
ดำรงอยู่ในฐานะ..." นั้น แต่ เดิมไม่มีคำว่า "ทรง" เพิ่งจะมามีในรัฐธรรมนูญ
ปี 2534 เป็น ต้นมา ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไป ส่วนถ้อยคำอื่นๆ นั้นเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
ถ้าไม่บอกไว้ให้ละเอียด เดี๋ยวจะมีคนหาว่าเพิ่งจะมาเขียนในรัฐธรรมนูญปี 2550
เมื่อรัฐธรรมนูญรับรองฐานะของพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในที่เคารพสักการะ จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีบทกฎหมายกำหนดว่า คนทั่วไปจะต้องทำอย่างไร ซึ่งกฎหมายก็มิได้กำหนดให้ต้องทำอะไรมากไปกว่า "การไม่ไป หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงการอาฆาตมาดร้าย"
กฎหมายอาญามาตรา 112 จึงมีขึ้นด้วยประการฉะนี้ และเป็นการบัญญัติที่สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญของไทยแล้ว
อันการกระทำทั้ง 3 อย่างดังกล่าวสำหรับคนไทยโดยทั่วไปนั้น อย่าว่าแต่จะทำองค์พระมหากษัตริย์เลย แม้แต่ครูบาอาจารย์ ไม่ว่าครูบาอาจารย์นั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดีอย่างไร เราก็ไม่ทำเช่นนั้น มิใช่หรือ?
และถ้าเรานึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันที่ผูกพันคนไทยไว้ด้วยกัน ก็อาจตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อมีถึง 3 สถาบัน เหตุใดจึงมีกฎหมายคุ้มครองแต่เฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย์
ความสงสัยเช่นว่านี้น่าจะเข้าใจได้ เพราะเวลาที่มีคนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มักจะพูดถึงแต่การเฉพาะมาตรา 112 ที่คุ้มครองพระมหากษัตริย์เท่านั้น
แท้ที่จริงแล้วกฎหมายอาญาคุ้มครองทั้ง 3 สถาบันไว้เป็นการเฉพาะเช่นเดียวกัน
ในเรื่องชาติ ซึ่งมีธงไตรรงค์เป็นสัญลักษณ์ กฎหมายอาญาก็บัญญัติคุ้มครองไว้ในมาตรา 118 ว่า "ผู้ใดกระทำการ
ในเรื่องชาติ ซึ่งมีธงไตรรงค์เป็นสัญลักษณ์ กฎหมายอาญาก็บัญญัติคุ้มครองไว้ในมาตรา 118 ว่า "ผู้ใดกระทำการใดๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
และไม่เพียงแต่คุ้มครองชาติไทยเท่านั้น แม้แต่ชาติอื่นที่มีสัมพันธไมตรีกับไทย ก็คุ้มครองด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติมาตรา 135 ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำการใดต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใด อันมีความหมายถึงรัฐต่างประเทศซึ่งมีสัมพันธไมตรี เพื่อเหยียดหยามรัฐ นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท
ในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนา ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติไว้ในมาตรา 206 ว่า "ผู้ใดกระทำด้วยประการใดแก่วัตถุหรือสถานที่อันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการ เหยียดหยามศาสนา นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" ซึ่งถ้าอ่านให้ดีก็จะเห็นได้ว่า การคุ้มครองศาสนานั้นไม่ได้คุ้มครองแต่เฉพาะศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาที่ถือกันว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทยเท่านั้น หากแต่ได้เผื่อแผ่ไปถึงศาสนาทุกศาสนาที่แต่ละคนเคารพนับถือด้วย
รวมความว่า ประมวลกฎหมายอาญา ได้ให้ความคุ้มครองทั้ง 3 สถาบันไว้เป็นพิเศษ และไม่เพียงแต่คุ้มครองสถาบันที่เป็นของไทยเท่านั้น แต่ได้คุ้มครองไปถึงสถาบันของประเทศทั้งหลายด้วย
บางคนอ้างว่า มาตรา 112 กำหนดให้เป็นความผิดอาญาแผ่นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวเหมือนอย่างการหมิ่นประมาทคนธรรมดาทั่วไป เป็นผลให้ใครๆ ก็สามารถกล่าวหาเพื่อให้ตำรวจเริ่มต้นคดีได้ ซึ่งก็จริงอยู่
แต่บทบัญญัติของกฎหมายที่ให้ความคุ้มครองผู้นำของรัฐ ทูตานุทูต เจ้าพนักงาน และศาล รวมทั้งการคุ้มครองชาติและศาสนา ก็ล้วนแต่ถือว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดินเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเรื่องการทำผิดต่อสถาบัน ต่อผู้มีตำแหน่งแห่งที่ มิใช่เรื่องส่วนบุคคลของแต่ละคน
ใจคอจะให้พระมหากษัตริย์มาเที่ยวได้ร้องทุกข์กล่าวโทษคนด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อท่านมีแต่ความเมตตาและความรักให้กับประชาชน
ถ้าทำเช่นนั้นจะไม่ขัดต่อหลักการของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประมุขของชาติดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะดอกหรือ
บางคนอ้างว่ากฎหมายเช่นนี้ ทำให้ขัดต่อหลักเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ คนที่พูดเช่นนั้นอาจแยกไม่ออกระหว่างการแสดงความคิดเห็นกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย
คำพูดบางอย่างบางลักษณะพูดกับคนหนึ่งอาจไม่มีความผิดอะไร
ไม่เกิดความรู้สึกอะไร ทั้งต่อคนที่พูดด้วย และคนที่ได้ยินได้ฟัง
แต่คำพูดเดียวกัน เหมือนกัน ถ้าพูดกับอีกคนหนึ่ง ก็อาจเป็นเรื่องได้
และสังคมคงรับไม่ได้ เช่น
พอพบหน้าเพื่อนที่ไม่ได้พบกันมา 2-3 วันก็ตะโกนขึ้นว่า "ไอ้ห่า มึงหายหัวไปไหนวะ กูนึกว่ามึงตายโหงตายห่าไปแล้ว" เพื่อนก็คงเดินยิ้มเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้วชวนกันไปเที่ยวต่อ คนผ่านไปผ่านมาได้ยินเข้า ก็ไม่รู้สึกอะไรเพื่อนก็คงเดินยิ้มเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้วชวนกันไปเที่ยวต่อ คนผ่านไปผ่านมาได้ยินเข้า ก็ไม่รู้สึกอะไร
แต่ถ้าอาจารย์เดินเข้ามาในห้องเรียน หลังจากที่ป่วยไม่ได้มาสอน 2-3 วัน แล้วมีนักศึกษาตะโกนขึ้นว่า "ไอ้ห่า มึงหายหัวไปไหนวะ กูนึกว่ามึงตายโหงตายห่าไปแล้ว" ประโยคเดียวกันเหมือนกันทุกตัวอักษร อาจารย์คงไม่เดินเข้าไปลูบ หน้าลูบหลังแล้วชวนไปเลี้ยงข้าว คนภายนอกได้ยินเข้าคง ไม่มีใครสรรเสริญมหาวิทยาลัยแห่งนั้นว่าช่างมีสิทธิและเสรี ภาพดีแท้
สำหรับที่บางคนวิจารณ์ว่าโทษที่กำหนดไว้สูงเกินไป และยิ่งไปนำคดีที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่ศาลตัดสินจำคุกคนทำผิดถึง 60 ปี ก็ยิ่งดูสมจริงสมจัง
แม้โทษที่กฎหมายกำหนดไว้จะค่อนข้างสูง คือ อาจจำคุกได้ถึง 15 ปี แต่ดูเหมือนศาลยังไม่เคยลงโทษสูงเต็มอัตรา แต่ที่โทษรวมในคดีนั้นดูสูงนัก ก็เพราะเป็นการกระทำความผิดหลายกระทง และยังกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 อีกด้วย
คนที่เรียนกฎหมายย่อมรับรู้กันอยู่ทั่วไปว่า ในการกระ ทำความผิดนั้น ถ้ากระทำความผิดหลายครั้ง แต่ละครั้งย่อมถือเป็นการกระทำความผิดเบ็ดเสร็จในตัว ที่เรียกกันว่ากระทงความผิด ซึ่งศาลจะลงโทษไปทุกกระทง
ผู้จัดการธนาคาร ยักยอกเงินของธนาคารไปครั้งเดียว 100 ล้านบาท ถ้าไม่ได้กระทำความผิดอย่างอื่นด้วย ศาลก็ลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี แต่พนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อ
ยักยอกเงินของร้านไปทุกๆ วัน วันละ 1,000 บาท รวมยักยอกไป 30 วัน
จึงถูกจับได้ ได้เงินไป 30,000 บาท อัยการก็คงต้องฟ้องเป็น 30 กระทง
ถ้าศาลปรานีลงโทษเพียงกระทงละ 1 ปี เมื่อรวมแล้วก็จะถูกลงโทษ 30 ปี
นักสิทธิมนุษยชนคงร้องลั่นว่า ไม่เป็นธรรม แต่อาจารย์สอนกฎหมายจะเสนอใ