บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2555

ทำไมต้องเป็น ปตท. ???

   
   ท่าน รองนายกและรมว คลังฯ ทำไมต้องเร่งรัดให้กระทรวงการคลังขายหุ้นให้กับกองทุนวายุภักษ์ให้เสร็จสิ้น ในปีนี้ ในเมื่อ ปตท ก็มีกำไรสุทธิมากกว่า รัฐวิสาหกิจอื่น หากรวบรวมกัน 10 อันดับแล้วจะพบว่า ปตท เข้ามาอันดับแรก
รัฐวิสาหกิจที่มีกำไรสุทธิสูงสุด 10 อันดับต้นๆมีอะไรบ้าง ข้อมูลของกระทรวงการคลัง อัพเดท 31ธ.ค.2553 มีดังนี้ครับ
1.บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน ) กำไรสุทธิ 83,087.72 ล้านบาท
2. การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทย  กำไรสุทธิ 37,355.13 ล้านบาท
3. ธนาคารออมสิน  กำไรสุทธิ 19,399.73 ล้านบาท
4. บริษัท การบินไทย จำกัด ( มหาชน )  กำไรสุทธิ 15,397.94 ล้านบาท
5. บมจ.ธนาคารกรุงไทย  กำไรสุทธิ 14,913.24 ล้านบาท
6. การไฟฟ้าส่วนภูมิภาค  กำไรสุทธิ 14,762.89 ล้านบาท
7. การไฟฟ้านครหลวง  กำไรสุทธิ 8,680.22 ล้านบาท
8. ธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร  กำไรสุทธิ 8,012.27 ล้านบาท
9. บริษัท ทีโอที จำกัด ( มหาชน )  กำไรสุทธิ 7,765.31 ล้านบาท
10.ธนาคารอาคารสงเคราะห์  กำไรสุทธิ 6,354.11 ล้านบาท
  ซึ่งรวม 10 ลำดับแล้วจะมีมูลค่าถึง 215,728.57 ล้านบาท หากเทียบจากรายได้ของ ปตท แล้ว มีมูลค่าถึง 38.5% เลยทีเดียว
  เมื่อเราดูรัฐวิสาหกิจที่มีกำไรสูงสุด 10 อันดับแรกแล้ว เราหันมาดูบ้างว่ารัฐวิสาหกิจที่ มีผลขาดทุนสูงสุด 10 อันดับแรกบ้าง
1.การรถไฟแห่งประเทศไทย   ขาดทุนสุทธิ 7,584.03 ล้านบาท
2.องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ   ขาดทุนสุทธิ 4,972.58 ล้านบาท
3.การรถไฟฟ้าขนส่งมวลชนแห่งประเทศไทย   ขาดทุนสุทธิ 862.88 ล้านบาท
4.องค์การสวนสัตว์   ขาดทุนสุทธิ 167.96 ล้านบาท
5.การกีฬาแห่งประเทศไทย   ขาดทุนสุทธิ 87.64 ล้านบาท
6.องค์การตลาดเพื่อการเกษตร   ขาดทุนสุทธิ 74.12 ล้านบาท
7.องค์การคลังสินค้า   ขาดทุนสุทธิ 68.91 ล้านบาท
8.องค์การสวนพฤกษศาสตร์  ขาดทุนสุทธิ 36.85 ล้านบาท
9.องค์การสะพานปลา   ขาดทุนสุทธิ 11.69 ล้านบาท
10.บริษัท ส่งเสริมธุรกิจเกษตรกรไทย จำกัด   ขาดทุนสุทธิ 5.33 ล้านบาท
รวมทั้ง 10 ลำดับมีมูลค่าขาดทุนสุทธิ 13,871 97 ล้านบาท

ซึ่ง แต่ละรัฐวิสาหกิจล้วนแต่มีหนี้สาธารณะกันทั้งนั้น หากเรามามองหนี้สาธารณะคงค้าง อัพเดทเดือน กันยายน 2554 จำนวน 4,269,026.84 ล้านบาท คิดเป็น 40.22% ของ GDP ที่กระทรวงการคลังประกาศใว้แบ่งออกเป็น
1.หนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3,010,317.68 ล้านบาท ร้อยละ 28.36 ของGDP
2.หนี้สาธารณะที่เป็นของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน 1,072,101.07 ล้านบาท ร้อยละ 10.10 ของGDP
3.หนี้สาธารณะที่เป็นของรัฐวิสาหกิจที่เป็นสถาบันการเงิน 155,624.44 ล้านบาท ร้อยละ 1.47 ของGDP
4.หนี้สาธารณะที่เป็นของกองทุนฟื้นฟูฯ 30,983.65 ล้านบาท ร้อยละ 0.29 ของGDP
หมายเหตุประมาณ GDP ปี 2554  เท่ากับ 10,840.50 พันล้านบาท
คำให้สัมภาษณ์ของนายวีระพงษ์ รามางกูร ประธานคณะกรรมการยุทธศาสตร์เพื่อการฟื้นฟูและสร้างอนาคตประเทศ (กยอ.) บางส่วนดังนี้
     “แนวทางดังกล่าวจะช่วยลดภาระหนี้สาธารณะให้ลง โดยปัจจุบันหนี้สาธารณะอยู่ที่ 4 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 41% ของผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (จีดีพี) ซึ่งการปลดหนี้ของ ปตท.และการบินไทย จะทำให้หมดภาระหนี้รวม 1 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 10% ของจีดีพี อย่างไรก็ตาม หนี้สาธารณะในปัจจุบันส่วนใหญ่เป็นหนี้จากรัฐวิสาหกิจค่อนข้างมาก  ส่วนรัฐบาลกลางก่อหนี้เพียง 1% ของจีดีพีเท่านั้น หากปลดภาระหนี้ดังกล่าวได้ จะทำให้รัฐบาลสามารถกู้เงินเพื่อมาพัฒนาประเทศไทยได้มากขึ้น” 
    หากเรามองข้อมูลของกระทรวงการคลังและพบว่าหนี้สาธารณะของประเทศอยู่ที่ 4 ล้านล้านหรือประมาณ 41% ของGDP จริง และหนี้สาธารณะของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงิน มีอยู่ประมาณ 10% จริง แต่ที่พูดมาไม่จริง ก็คือ รัฐบาลกลางก่อหนี้เพียง 1% ของ GDP
   ซึ่ง จากข้อมูลกระทรวงการคลังพบว่า  หนี้สาธารณะที่รัฐบาลกู้โดยตรง 3,010,317.68 ล้านบาท ร้อยละ 28.36 ของGDP  ซึ่งไม่ใช่ 1% ของ GDP แต่อย่างใด 
   จึงเป็นที่น่าสังเกตุว่า   ในเมื่อหนี้สาธารณะของรัฐวิสาหกิจที่ไม่เป็นสถาบันการเงินซึงมีอยู่มากมาย คิดเป็นร้อยละ 10.10%ของGDPของประเทศ ซึ่งในจำนวนนั้นมีทั้ง ปตท การบินไทย  การรถไฟแห่งประเทศไทย องค์การขนส่งมวลชนกรุงเทพ และอื่นๆ
  ทำไมกระทรวงการคลังไม่คิดจะขายหุ้นในส่วนรัฐวิสาหกิจที่ขาดทุนอยู่ขณะนี้ ซึ่งน่าจะเป็นแนวทางที่ดีที่จะให้เอกชนเข้ามาบริหารได้อย่างเต็มที่และเป็น การเปิดให้มีการแข่งขันกันอย่างเสรีขึ้น
   แต่ว่าทำไมถึงคิด เอา บริษัท ปตท.จำกัด ( มหาชน ) ซึ่งมีกำไรสุทธิ อันดับหนึ่งของรัฐวิสหกิจทั้งหมด มาขายเพื่อให้หลุดพ้นจาก รัฐวิสาหกิจด้วย อ่านแล้วน่าจะมีคำตอบอยู่ในใจของทุกคน ครับ 
 
ขอบคุณภาพอินเตอร์เน็ตและขอ้มูลจาก   http://www.mof.go.th


  by ณสยาม
  

ปัญหาการแก้ไขมาตรา 112 ของกฎหมายอาญา



Source - ไทยโพสต์
โดย มีชัย ฤชุพันธุ์

มีเสียงพูดกันถี่ขึ้นถึงประ

มวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือที่เรียกกันติด ปากว่า "กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" บางคนก็บอกว่าต้องยกเลิกเพราะไม่เป็นประชาธิปไตยบ้าง ขัดต่อรัฐธรรมนูญบ้าง เป็นการขัดขวางต่อเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นบ้าง
บ้างก็ว่าสมควรแก้ไขเพิ่มเต
ิมเสียใหม่ เพราะโทษที่กำหนดไว้นั้นสูงเกินไป น่าจะไม่ชอบด้วยหลักสิทธิมนุษยชน
ความคิดเห็นที่แตกต่างหรือก
ารคิดปรับปรุงกฎหมายทั้งหลายทั้งปวงนั้น ย่อมเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละบุคคลที่จะคิดได้ ถกเถียงกันได้ ไม่มีใครสามารถบอกได้ว่าใครผิดหรือใครถูก
แต่ก่อนที่จะเฮโลกันเห็นด้ว
ย หรือคัดค้าน หรือถกเถียงกัน ควรรู้เสียให้ตรงกันก่อนว่ากฎหมายในเรื่องนี้มีว่าอย่างไรบ้าง
เผื่อใครที่มีอำนาจ อยากจะยกเลิก หรือแก้ไขเพิ่มเติม จะได้ทำได้ถูกและหาเหตุผลชี
้แจงให้คนทั่วไปเข้าใจได้
เพราะขึ้นชื่อว่า "กฎหมาย" เมื่อล้าสมัย หรือไม่เหมาะสมกับสังคม หรือขัดต่อความรู้สึกของคนส
่วนใหญ่ ก็สมควรยกเลิกหรือปรับปรุงแก้ไขได้เสมอ
การกระทำความผิดตามมาตรา 112 นั้น คนชอบเรียกกันว่าเป็นความผิ
ดฐาน "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ซึ่งทำให้เข้าใจไขว้เขวไปว่า เป็นความผิดที่หาความชัดเจนและ แน่นอนไม่ได้ เพราะไม่รู้ว่า "พระบรมเดชานุภาพ" นั้นกว้างไกลเพียงใด ขึ้นอยู่กับใจของคนว่าใครจะมีความจงรักภักดีต่อ สถาบันพระมหากษัตริย์มากน้อยเพียงใด คนที่มีความจงรัก ภักดีอย่างเหลือล้น ก็อาจกล่าวหาคนที่จงรักภักดีอย่างธรรม ดาได้ สุดแต่ใครจะหยิบยกขึ้นมาใช้เป็นข้อกล่าวหาเชือดเฉือนใคร และในที่สุดก็เลยกลายเป็นอาวุธทางการเมือง
ถ้ากฎหมายมันเป็นอย่างนั้นจ
ริงๆ ก็สมควรยกเลิกหรือแก้ไขเสียใหม่โดยเร็ว
แล้วกฎหมายเป็นอย่างนั้นจริ
งหรือ?มาตรา 112 ของประมวลกฎหมายอาญา มีความดังนี้ "ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่สามปีถึงสิบห้าปี"
แท้ที่จริงแล้ว การกระทำอันจะเป็นความผิดตา
มมาตรา นี้ มีอยู่ 3 อย่าง คือ หมิ่นประมาทอย่างหนึ่ง ดูหมิ่นอีกอย่างหนึ่ง และแสดงความอาฆาตมาดร้าย อีกอย่างหนึ่ง ไม่มีอะไรให้ต้องยุ่งยากเกี่ยวกับ "พระบรมเดชานุภาพ" ทั้งสิ้น ซึ่งการ กระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่ทำกับพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของประเทศเลย แม้ทำกับคนธรรมดาก็อาจเป็นความกระทำทั้ง 3 อย่างนั้น อย่าว่าแต่ทำกับพระมหากษัตริย์ซึ่งเป็นประมุขของประเทศเลย แม้ทำกับคนธรรมดาก็อาจเป็นความผิดได้เช่นเดียวกัน
การที่มนุษย์มีสิทธิเสรีภาพ
ขั้นพื้นฐานในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นนั้น มิได้หมายความว่าจะพูดหรือแสดงความคิดเห็นอย่างไรก็ได้ เพราะสิทธินั้นมาควบคู่กับหน้าที่ คือในการใช้สิทธิ ก็ต้องคำนึงถึงหน้าที่ที่จะต้องเคารพถึงสิทธิของคนอื่นด้วย
อยู่ๆ ใครจะลุกขึ้นใส่ร้ายใคร หรือดูหมิ่นใคร หรืออาฆาตมาดร้ายใคร แล้วอ้างว่าเป็นการใช้เสรีภ
าพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นได้เสียเมื่อไหร่กัน
ตัวอย่างเช่น นักศึกษามหาวิทยาลัยแห่งหนึ
่ง ตั้งโต๊ะแถลงข่าวต่อสื่อมวลชนหรือออกแถลงการณ์ว่า ที่ตนสอบตก เพราะอาจารย์ที่สอนวิชานั้น เรียกไปบอกให้จ่ายเงิน มิฉะนั้นจะให้สอบตก เมื่อตนไม่จ่าย อาจารย์คนนั้นจึงให้ตนสอบตก ซึ่งไม่เป็นความจริง ก็อาจเข้าข่ายหมิ่นประมาทได้ หรือลูกศิษย์ไปยืนชี้หน้าด่าอธิการบดีว่า "มึง! ไอ้หน้าเลือด จะขึ้นค่าหน่วยกิตกันไปถึงไหน เห็นใจกูบ้างซีวะ" ก็อาจเข้าข่ายการดูหมิ่นซึ่งหน้า หรือถือไม้คมแฝกไปยืนดักพบอาจารย์ พอพบหน้าก็ยกไม้ขึ้นชี้หน้าพร้อมกับตะคอกว่า มึงไอ้ตัวดี ลองมึงให้คะแนนกูน้อยกว่าคนอื่น กูจะเอาเลือดมึงออกมาล้างตีนให้ดู ถ้าไม่ผิดฐานใดฐานหนึ่งเสียก่อน ก็คงได้ถูกไล่ออกจากมหาวิทยาลัย
อาจารย์หรือนักวิชาการทั้งห
ลายคงไม่ลงความเห็นว่า พฤติการณ์ของนักศึกษานั้นเป็นการใช้สิทธิและเสรีภาพในการพูดหรือการแสดงความคิดเห็นที่สุจริต ที่สมควรได้รับการคุ้มครอง
มีนักวิชาการบางคนอ้างว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท คุ้มครอง
มีนักวิชาการบางคนอ้างว่า ความผิดฐานหมิ่นประมาท มีอยู่แล้วในประมวลกฎหมายอา
ญาสำหรับคนทั่วไป ทำไมจึงต้องมีการบัญญัติความผิดขึ้นเป็นการเฉพาะสำหรับพระมหากษัตริย์อีก ทำให้ไม่เสมอภาค และน่าจะขัดต่อรัฐธรรมนูญ
ข้อคิดเห็นอย่างนี้แหละที่ส
มควรจะต้องทำความเข้าใจกันถ้าคนเสนอความคิดเห็นเป็นนักรัฐศาสตร์ นักกิจกรรม หรือนักอะไรต่ออะไร ที่ไม่ใช่นักกฎหมาย ก็ยังพอทำเนา เพราะต่างคนต่างไม่รู้กฎหมาย การแสดงความคิดเห็นก็อาจเป็นไปโดยสุจริตใจตามที่ฟังๆ เขามา หรือตามความอยาก หรือความต้องการของแต่ละคนซึ่งย่อมแตกต่างกันไปตามพื้นฐานหรือปูมหลังของแต่ละคน แต่ถ้าเป็นนักกฎหมาย ก็น่าสงสัยว่าขาดความรู้จริงๆ หรือพยายามปกปิดความจริงไม่ให้ประชาชนรู้
เพราะตามกฎหมายอาญาของไทยนั
้น ไม่ได้ปกป้องคุ้ม ครองเป็นพิเศษเฉพาะพระมหากษัตริย์ดังที่ระบุไว้ในมาตรา 112 เท่านั้น หากแต่ได้ปกป้องคุ้มครองบุคคลอื่นๆ ไว้ในมาตราอื่นๆ ด้วยดังจะเห็นได้จากมาตราต่างๆ ดังต่อไปนี้
มาตรา 133 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่นหรือแสดงความอาฆาตมา
ดร้ายราชาธิบดี ราชินี ราชสามี รัชทายาท หรือประมุขแห่งรัฐต่างประเทศ ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แปลว่า พระราชา พระราชินี คู่สมรส หรือประธานาธิบดีของประเทศไ
หนๆ ในโลก ไม่ว่าจะมีสัมพันธไมตรีกับเราหรือไม่ ก็ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษ
ใครจะเที่ยวได้ใส่ร้าย ดูหมิ่นหรืออาฆาตมาดร้าย ไม่ได้ และไม่ว่าจะไปแอบด่าเขาในเว
็บไซต์ หรือยืนตะโกนด่าเขาหน้าสถานทูต ก็เป็นความผิดตามกฎหมายไทยเหมือนกัน
จะด่าโอบามา หรือภรรยาของโอบามา หรือด่ากัดดาฟี ก็อาจมีความผิดตามกฎหมายไทย
ได้เท่าๆ กัน
มาตรา 134 ผู้ใดหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายผู
้แทนรัฐต่างประเทศซึ่งได้รับแต่งตั้งให้มาสู่พระราชสำนัก ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หกเดือนถึงห้าปี หรือปรับตั้งแต่หนึ่งพันบาทถึงหนึ่งหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
แม้แต่บรรดาทูตทั้งหลายที่ไ
ด้รับแต่งตั้งให้มาประจำอยู่ในประเทศไทย ไกลบ้านไกลเมืองของเขา เมื่อมาอยู่ในประเทศไทยก็ได้รับความคุ้มครองเป็นพิเศษจากกฎหมายไทยเช่นกัน
นอกจากชาวต่างชาติแล้ว คนไทยด้วยกันในฐานะต่างๆ กัน ก็ได้รับความคุ้มครองเป็นพิ
เศษ ดังจะเห็นได้จากมาตราต่างๆ ดังต่อไปนี้มาตรา 136 ผู้ใดดูหมิ่นเจ้าพนักงานซึ่งกระทำการตามหน้าที่ หรือเพราะได้กระทำการตามหน้าที่ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองพันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
มาตรา 198 ผู้ใดหมิ่นศาลหรือผู้พิพากษ
าในการพิจารณาหรือพิพากษาคดี หรือกระทำการขัดขวางการพิจารณาหรือพิพากษาของศาล ต้องระวางโทษจำคุกตั้ง แต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
สำหรับมาตรา 136 นั้น อย่าไปนึกว่าเขียนสั้นๆ เพียงเท่า นั้นแล้วจะไม่มีความหมายอะไ
ร เพราะผลแห่งการคุ้มครองนั้นกว้างขวางนัก กล่าวคือคุ้มครองตั้งแต่กำนัน ผู้ใหญ่บ้าน พล ตำรวจ ไปจนถึงนายกรัฐมนตรี ส.ส. ส.ว. เพราะในการทำหน้า ที่ของบุคคลเหล่านั้น เป็นการทำหน้าที่ในฐานะเจ้าพนักงานทั้งนั้น การคุ้มครองจึงขยายวงออกไปถึงเรื่องการ "ดูหมิ่น" ไม่ ใช่เรื่องการ "หมิ่นประมาท" เหมือนคนธรรมดา
จากบทบัญญัติของประมวลกฎหมา
ยอาญาของไทย จึงเห็นได้ว่าได้ให้ความคุ้มครองแก่บุคคลที่มีฐานะต่างๆ กันเป็นพิเศษกว่าคนธรรมดาทั่วไป ไม่ได้คุ้มครองแต่เฉพาะพระมหากษัตริย์ไทยเท่านั้น
สำหรับพระมหากษัตริย์ของไทย
ที่มีบทบัญญัติคุ้มครองเป็นพิเศษ ก็เพราะพระมหากษัตริย์เป็นสถาบันหนึ่งในรัฐ ธรรมนูญ และเป็นส่วนหนึ่งของการปกครองในระบอบประ ชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขรัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ในมาตรา 8 ว่า "องค์พระมหากษัตริย์ทรงดำรงอยู่ในฐานะ อันเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดจะละเมิดมิได้"
สำหรับมาตรา 8 ดังกล่าวนี้ เห็นจะต้องบอกไว้เสียก่อนว่
า ไม่ใช่บทบัญญัติใหม่ เพราะตั้งแต่ปี 2475 ที่ประเทศ ไทยมีรัฐธรรมนูญถาวรฉบับแรกเป็นต้นมา ก็มีบทบัญญัติอย่าง เดียวกันนี้มาทุกฉบับ ตลอดระยะเวลา 79 ปีที่ผ่านมา บทบัญ ญัติในเรื่องนี้มีถ้อยคำที่แตก ต่างกันเพียงคำเดียวคือ ความขึ้นต้นที่ว่า "องค์พระมหากษัตริย์ ทรง ดำรงอยู่ในฐานะ..." นั้น แต่ เดิมไม่มีคำว่า "ทรง" เพิ่งจะมามีในรัฐธรรมนูญ ปี 2534 เป็น ต้นมา ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้ความหมายเปลี่ยนแปลงไป ส่วนถ้อยคำอื่นๆ นั้นเหมือนกันทุกกระเบียดนิ้ว
ถ้าไม่บอกไว้ให้ละเอียด เดี๋ยวจะมีคนหาว่าเพิ่งจะมา
เขียนในรัฐธรรมนูญปี 2550
เมื่อรัฐธรรมนูญรับรองฐานะข
องพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในที่เคารพสักการะ จึงจำเป็นอยู่เองที่จะต้องมีบทกฎหมายกำหนดว่า คนทั่วไปจะต้องทำอย่างไร ซึ่งกฎหมายก็มิได้กำหนดให้ต้องทำอะไรมากไปกว่า "การไม่ไป หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงการอาฆาตมาดร้าย"
กฎหมายอาญามาตรา 112 จึงมีขึ้นด้วยประการฉะนี้ และเป็นการบัญญัติที่สอดคล้
องกับรัฐธรรมนูญของไทยแล้ว
อันการกระทำทั้ง 3 อย่างดังกล่าวสำหรับคนไทยโด
ยทั่วไปนั้น อย่าว่าแต่จะทำองค์พระมหากษัตริย์เลย แม้แต่ครูบาอาจารย์ ไม่ว่าครูบาอาจารย์นั้นจะเป็นคนดีหรือไม่ดีอย่างไร เราก็ไม่ทำเช่นนั้น มิใช่หรือ?
และถ้าเรานึกถึงชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ อันเป็นสถาบันที่ผูกพันคนไท
ยไว้ด้วยกัน ก็อาจตั้งข้อสงสัยว่า ในเมื่อมีถึง 3 สถาบัน เหตุใดจึงมีกฎหมายคุ้มครองแต่เฉพาะสถาบันพระมหากษัตริย
ความสงสัยเช่นว่านี้น่าจะเข
้าใจได้ เพราะเวลาที่มีคนหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด มักจะพูดถึงแต่การเฉพาะมาตรา 112 ที่คุ้มครองพระมหากษัตริย์เท่านั้น
แท้ที่จริงแล้วกฎหมายอาญาคุ
้มครองทั้ง 3 สถาบันไว้เป็นการเฉพาะเช่นเดียวกัน
ในเรื่องชาติ ซึ่งมีธงไตรรงค์เป็นสัญลักษ
ณ์ กฎหมายอาญาก็บัญญัติคุ้มครองไว้ในมาตรา 118 ว่า "ผู้ใดกระทำการ
ในเรื่องชาติ ซึ่งมีธงไตรรงค์เป็นสัญลักษ
ณ์ กฎหมายอาญาก็บัญญัติคุ้มครองไว้ในมาตรา 118 ว่า "ผู้ใดกระทำการใดๆ ต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใดอันมีความหมายถึงรัฐ เพื่อเหยียดหยามประเทศชาติ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ"
และไม่เพียงแต่คุ้มครองชาติ
ไทยเท่านั้น แม้แต่ชาติอื่นที่มีสัมพันธไมตรีกับไทย ก็คุ้มครองด้วยเช่นกัน ดังจะเห็นได้จากบทบัญญัติมาตรา 135 ซึ่งบัญญัติว่า "ผู้ใดกระทำการใดต่อธงหรือเครื่องหมายอื่นใด อันมีความหมายถึงรัฐต่างประเทศซึ่งมีสัมพันธไมตรี เพื่อเหยียดหยามรัฐ นั้น ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสองปี หรือปรับไม่เกินสี่พันบาท
ในส่วนที่เกี่ยวกับศาสนา ประมวลกฎหมายอาญาก็บัญญัติไ
ว้ในมาตรา 206 ว่า "ผู้ใดกระทำด้วยประการใดแก่วัตถุหรือสถานที่อันเป็นที่เคารพในทางศาสนาของหมู่ชนใด อันเป็นการ เหยียดหยามศาสนา นั้น ต้องระวางโทษจำคุกตั้งแต่หนึ่งปีถึงเจ็ดปี หรือปรับตั้งแต่สองพันบาทถึงหนึ่งหมื่นสี่พันบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ" ซึ่งถ้าอ่านให้ดีก็จะเห็นได้ว่า การคุ้มครองศาสนานั้นไม่ได้คุ้มครองแต่เฉพาะศาสนาพุทธอันเป็นศาสนาที่ถือกันว่าเป็นศาสนาประจำชาติไทยเท่านั้น หากแต่ได้เผื่อแผ่ไปถึงศาสนาทุกศาสนาที่แต่ละคนเคารพนับถือด้วย
รวมความว่า ประมวลกฎหมายอาญา ได้ให้ความคุ้มครองทั้ง 3 สถาบันไว้เป็นพิเศษ และไม่เพียงแต่คุ้มครองสถาบ
ันที่เป็นของไทยเท่านั้น แต่ได้คุ้มครองไปถึงสถาบันของประเทศทั้งหลายด้วย
บางคนอ้างว่า มาตรา 112 กำหนดให้เป็นความผิดอาญาแผ่
นดิน ไม่ใช่ความผิดต่อส่วนตัวเหมือนอย่างการหมิ่นประมาทคนธรรมดาทั่วไป เป็นผลให้ใครๆ ก็สามารถกล่าวหาเพื่อให้ตำรวจเริ่มต้นคดีได้ ซึ่งก็จริงอยู่
แต่บทบัญญัติของกฎหมายที่ให
้ความคุ้มครองผู้นำของรัฐ ทูตานุทูต เจ้าพนักงาน และศาล รวมทั้งการคุ้มครองชาติและศาสนา ก็ล้วนแต่ถือว่าเป็นความผิดอาญาแผ่นดินเช่นเดียวกัน เพราะเป็นเรื่องการทำผิดต่อสถาบัน ต่อผู้มีตำแหน่งแห่งที่ มิใช่เรื่องส่วนบุคคลของแต่ละคน
ใจคอจะให้พระมหากษัตริย์มาเ
ที่ยวได้ร้องทุกข์กล่าวโทษคนด้วยตนเองอย่างนั้นหรือ? ในเมื่อท่านมีแต่ความเมตตาและความรักให้กับประชาชน
ถ้าทำเช่นนั้นจะไม่ขัดต่อหล
ักการของรัฐธรรมนูญที่กำหนดให้ประมุขของชาติดำรงอยู่ในฐานะอันเป็นที่เคารพสักการะดอกหรือ
บางคนอ้างว่ากฎหมายเช่นนี้ ทำให้ขัดต่อหลักเสรีภาพในกา
รแสดงความคิดเห็นหรือวิพากษ์วิจารณ์ คนที่พูดเช่นนั้นอาจแยกไม่ออกระหว่างการแสดงความคิดเห็นกับการหมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรืออาฆาตมาดร้าย
คำพูดบางอย่างบางลักษณะพูดก
ับคนหนึ่งอาจไม่มีความผิดอะไร ไม่เกิดความรู้สึกอะไร ทั้งต่อคนที่พูดด้วย และคนที่ได้ยินได้ฟัง แต่คำพูดเดียวกัน เหมือนกัน ถ้าพูดกับอีกคนหนึ่ง ก็อาจเป็นเรื่องได้ และสังคมคงรับไม่ได้ เช่น
พอพบหน้าเพื่อนที่ไม่ได้พบก
ันมา 2-3 วันก็ตะโกนขึ้นว่า "ไอ้ห่า มึงหายหัวไปไหนวะ กูนึกว่ามึงตายโหงตายห่าไปแล้ว" เพื่อนก็คงเดินยิ้มเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้วชวนกันไปเที่ยวต่อ คนผ่านไปผ่านมาได้ยินเข้า ก็ไม่รู้สึกอะไรเพื่อนก็คงเดินยิ้มเข้ามากอดรัดฟัดเหวี่ยงแล้วชวนกันไปเที่ยวต่อ คนผ่านไปผ่านมาได้ยินเข้า ก็ไม่รู้สึกอะไร
แต่ถ้าอาจารย์เดินเข้ามาในห
้องเรียน หลังจากที่ป่วยไม่ได้มาสอน 2-3 วัน แล้วมีนักศึกษาตะโกนขึ้นว่า "ไอ้ห่า มึงหายหัวไปไหนวะ กูนึกว่ามึงตายโหงตายห่าไปแล้ว" ประโยคเดียวกันเหมือนกันทุกตัวอักษร อาจารย์คงไม่เดินเข้าไปลูบ หน้าลูบหลังแล้วชวนไปเลี้ยงข้าว คนภายนอกได้ยินเข้าคง ไม่มีใครสรรเสริญมหาวิทยาลัยแห่งนั้นว่าช่างมีสิทธิและเสรี ภาพดีแท้
สำหรับที่บางคนวิจารณ์ว่าโท
ษที่กำหนดไว้สูงเกินไป และยิ่งไปนำคดีที่เกิดขึ้นเมื่อเร็วๆ นี้ที่ศาลตัดสินจำคุกคนทำผิดถึง 60 ปี ก็ยิ่งดูสมจริงสมจัง
แม้โทษที่กฎหมายกำหนดไว้จะค
่อนข้างสูง คือ อาจจำคุกได้ถึง 15 ปี แต่ดูเหมือนศาลยังไม่เคยลงโทษสูงเต็มอัตรา แต่ที่โทษรวมในคดีนั้นดูสูงนัก ก็เพราะเป็นการกระทำความผิดหลายกระทง และยังกระทำความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 อีกด้วย
คนที่เรียนกฎหมายย่อมรับรู้
กันอยู่ทั่วไปว่า ในการกระ ทำความผิดนั้น ถ้ากระทำความผิดหลายครั้ง แต่ละครั้งย่อมถือเป็นการกระทำความผิดเบ็ดเสร็จในตัว ที่เรียกกันว่ากระทงความผิด ซึ่งศาลจะลงโทษไปทุกกระทง
ผู้จัดการธนาคาร ยักยอกเงินของธนาคารไปครั้ง
เดียว 100 ล้านบาท ถ้าไม่ได้กระทำความผิดอย่างอื่นด้วย ศาลก็ลงโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี แต่พนักงานขายของในร้านสะดวกซื้อ ยักยอกเงินของร้านไปทุกๆ วัน วันละ 1,000 บาท รวมยักยอกไป 30 วัน จึงถูกจับได้ ได้เงินไป 30,000 บาท อัยการก็คงต้องฟ้องเป็น 30 กระทง ถ้าศาลปรานีลงโทษเพียงกระทงละ 1 ปี เมื่อรวมแล้วก็จะถูกลงโทษ 30 ปี
นักสิทธิมนุษยชนคงร้องลั่นว
่า ไม่เป็นธรรม แต่อาจารย์สอนกฎหมายจะเสนอให้แก้ไขให้เกิดความเป็นธรรมในทัศนะของนักสิทธิมนุษยชนไหม?
โทษตามกฎหมายอาญานั้น บางครั้งก็ถูกเพิ่มขึ้นตามค
วามรู้สึกหนักเบาของสังคมในขณะหนึ่งๆ เช่น เมื่อมีคนขโมยพระพุทธรูปเอาไปขายฝรั่งกันมากขึ้น ก็มีการแก้ไขกฎหมายอาญาว่าด้วยความผิดฐานลักทรัพย์ เพื่อเพิ่มโทษการขโมยพระพุทธรูปในวัด ให้มีโทษจำคุกตั้งแต่ 5 ปี ถึง 15 ปี โทษปรับอีกต่างหาก โทษที่กำหนดนั้นสูงกว่าการทำให้คนตายโดยเจตนาด้วยซ้ำไป (การทำให้คนตายโดยไม่เจตนามีโทษจำคุกตั้งแต่ 3 ปี ถึง 15 ปี) ในขณะที่ความผิดฐานลักทรัพย์ธรรมดาๆ มีโทษจำคุกเพียงไม่เกิน 3 ปี
ขอย้ำอีกครั้งว่า ความเห็นในเรื่องการแก้ไข ปรับปรุง เปลี่ยนแปลง หรือแก้ไขกฎหมายนั้น ไม่ใช่เรื่องแปลกหรือผิดแต่
อย่างใด เมื่อโลกเปลี่ยนแปลงไป สังคมเปลี่ยนแปลงไป ความรู้สึกนึกคิด หรือความจำเป็น ความต้องการของผู้คนในสังคมเปลี่ยนแปลงไป ย่อมเป็นปัจจัยที่จะริเริ่มเปลี่ยนแปลงแก้ไขกฎหมายให้สอดคล้องกับความต้องการหรือวิวัฒนาการของโลกหรือสังคมได้เสมอ แต่คนที่เสนอแนะหรือเรียกร้องให้เปลี่ยนแปลงจะต้องบอกความจริงให้ประชาชนทราบอย่างครบถ้วนว่ากฎหมายมีอยู่อย่างไร
ที่สำคัญต้องไม่นำเอาความรู
้สึกของประเทศอื่นมาเป็นมาตรฐาน เพราะแต่ละประเทศย่อมมีประเพณี วัฒนธรรม
ที่สำคัญต้องไม่นำเอาความรู
้สึกของประเทศอื่นมาเป็นมาตรฐาน เพราะแต่ละประเทศย่อมมีประเพณี วัฒนธรรม หรือความอ่อนไหว แตกต่างกันไป
คนไทยที่ผิวคล้ำหรือดำเป็นต
อตะโก ถูกเรียกว่า "ไอ้ดำ" หรือ "ไอ้มืด" อาจจะฉุนอยู่บ้างแต่ก็เท่านั้นเอง แต่ใครไปเรียก คนอเมริกันเชื้อชาติแอฟริกันว่า "ไอ้มืด" หรือ "นิโกร" คนอเมริกันยอมกันได้ที่ไหน จะต้องขึ้นศาลกันกี่ศาลก็เอากันจนถึงที่สุด ยิ่งถ้าใครขืนไปเรียกประธานาธิบดีของเขาอย่างนั้น คงเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย อาจถูกไล่ล่าเสียยิ่งกว่าบินลาดิน
ใครไปด่าพ่อแม่ของคนอเมริกั
น คนอเมริกันอาจไม่รู้สึกอะไร หรือบางทีก็อาจผสมโรงพลอยด่าไปด้วย แต่ใครมาด่าพ่อแม่ของคนไทย คงได้เจ็บตัวกันไปข้างหนึ่ง
ความรู้สึกของสังคมหนึ่งจึง
ไม่อาจนำมาใช้เป็นเครื่องวัดมาตรฐานสำหรับอีกสังคมหนึ่งได้
ใครที่คิดหรือรณรงค์เพื่อให
้มีการแก้ไขมาตรา 112 ควรจะได้อธิบายให้ประชาชนเข้าใจได้ว่า ในเมื่อกฎหมายปัจจุบันให้ความคุ้มครองสถาบันหลักทั้ง 3 สถาบัน คือ ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ทั้งยังให้ความคุ้มครองแก่เจ้าหน้าที่ของรัฐ อื่นๆ ที่กระทำการตามหน้าที่ ทำไมจึงสมควรยกเลิกการคุ้ม ครองแต่เฉพาะพระมหากษัตริย์ โดยไม่พูดถึงหรือแตะต้อง การคุ้มครองสถาบันผู้นำสูงสุดของต่างประเทศ เจ้าหน้าที่อื่นของรัฐ ชาติ และศาสนา ที่กฎหมายไทยให้ความคุ้มครองอยู่
ทำไมสถาบันอื่นๆ ยังสมควรได้รับการคุ้มครองเ
ป็นพิเศษ
ทำไมจึงจะยกเลิกแต่เฉพาะการ
คุ้มครองสถาบันพระมหากษัตริย์ ซึ่งรัฐธรรมนูญบัญญัติรับรองว่าเป็นที่เคารพสักการะ ผู้ใดละเมิดมิได้ เหตุผลคืออะไร
หรือตั้งใจจะยกเลิกการคุ้มค
รองเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะเป็นชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือเจ้าพนักงาน ก็ไม่ต้องมีกฎหมายคุ้มครองกันเป็นพิเศษ ก็พูดมาเสียให้ชัด
เพื่อประชาชนจะได้เข้าใจได้
ถูก และแสดงความเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยได้อย่างถูกต้อง !!--จบ--
 

ไทยเซ็งถูกจัดเสี่ยงก่อการร้าย-อันดับ12ของโลก


สถาบันจัดอันดับเมืองผู้ดี ทำไทยวุ่นอีก ‘เมเปิ้ลครอฟท์’ จัดอันดับไทยเสี่ยงก่อการร้ายอันดับ 12 ของโลก อันดับ 1 ของเอเชีย จาก 197 ประเทศทั่วโลก ขณะที่ ‘โซมาเลีย-ปากีสถาน-อิรัก’ อยู่ในอันดับต้นๆ ระบุประเมินโดยรวมจากเหตุการณ์ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย ‘ปณิธาน วัฒนายากร’ ชี้ ผลการจัดอันดับยังไม่สะท้อนภาพรวมทั้งประเทศ แนะ ‘นักลงทุน’ วิเคราะห์ข้อมูลด้านอื่นๆ ด้วย
โดย เหมือนแพร ศรีสุวรรณ ศูนย์ข่าว TCIJ
ทันทีที่มีการประกาศแจ้งเตือนนักท่องเที่ยวสหรัฐฯ ผ่านทางเว็บไซต์ของสถานทูตอเมริกา เมื่อวันที่ 13 ม.ค.ที่ผ่านมา ให้เฝ้าระวังการก่อการร้ายในแหล่งท่องเที่ยวจุดสำคัญๆของกรุงเทพมหานคร โดยนางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทย กอปรกับเจ้าหน้าที่ตำรวจจับกุมนายอาทริส ฮุสเซน ชาวสวีเดน พร้อมปุ๋ยเคมีที่ใช้ในการผลิตวัตถุระเบิดที่โกดัง ในจ.สมุทรสาคร โดยเจ้าหน้าที่ตั้งข้อกล่าวหาว่า มีส่วนพัวพันกับการก่อการร้ายของกลุ่มเฮชบอลเลาะห์  ทำให้ประเทศไทยถูกจับตาจากนานาชาติเกี่ยวกับประเด็นการก่อการร้ายทันที
อย่างไรก็ตามก่อนหน้าในช่วงเดือนสิงหาคม 2554 ทางเว็บไซต์ http://maplecroft.com ประเทศ อังกฤษได้จัดทำดัชนีความเสี่ยงจากการก่อการร้าย (Terrorist Risk Index-TRI) ในฐานะผู้ให้บริการข้อมูลกับนักลงทุนในการตัดสินใจ เกี่ยวกับความเสี่ยงในด้านต่าง ๆ ในประเทศเศรษฐกิจเกิดใหม่ โดยสำรวจจาก 197 ประเทศ โดยประมวลผลจากข้อมูลด้านความรุนแรงและความถี่ของการก่อการร้ายในแต่ละ ประเทศนับตั้งแต่วันที่ 1 เมษายน 2553 ถึงวันที่ 31 มีนาคม 2554  พบว่า ไทยมีความเสี่ยงจากการก่อการร้ายอยู่ในอันดับที่ 12 ของโลก เป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ในปี 2553 ไทยติดอันดับ 7  ซึ่งทีอาร์ไอ ระบุถึงสาเหตุของเหตุการณ์การก่อการร้ายส่วนใหญ่เกิดขึ้นในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
นายปณิธาน วัฒนายากร นักวิชาการด้านความมั่นคง คณะรัฐศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย  กล่าวว่า ดัชนีความเสี่ยงการก่อการร้ายส่วนใหญ่จะเป็นเหตุการณ์ภาพรวมทั้งหมดของ ประเทศ ไม่ได้แบ่งพื้นที่ หรือภูมิภาคที่ชัดเจน แต่ในกรณีที่สถาบันเมเปิ้ลครอฟท์ (Maplecroft) จัดทำดัชนีความเสี่ยงจากการก่อการร้าย โดยจัดอันดับให้ไทยเป็นอับดับ 1 ของภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยนับจากเหตุการณ์ความไม่สงบใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้มาเป็นเกณฑ์ในการจัดอันดับถือว่ายังไม่สะท้อนภาพรวมของ ทั้งประเทศ การจัดอันดับแบบนี้ยังไม่สะท้อนภาพความเป็นจริงของประเทศเท่าไหร่นัก
นายปณิธานกล่าวว่า การจัดอันดับเป็นภาพรวมของความสูญเสียในภาคใต้เป็นหลัก ต้องยอมรับว่าสูง 3,000 กว่าคน แต่หากเทียบกับดัชนีความเสี่ยงจากการก่อการร้ายกับประเทศโซมาเลียหรือ ประเทศซูดาน เรื่องการค้าการลงทุนยังไม่มีความพร้อมหากเทียบกับประเทศไทย ซึ่งจะเห็นได้ว่าความเสี่ยงต่อการก่อการร้ายมีการจำกัดพื้นที่ และต้องพิจารณาเรื่องอื่นๆด้วย  หรือแม้แต่การพิจารณาเปรียบเทียบความเสี่ยงกับประเทศบูรุนดี ประเทศซูดาน  และประเทศอิหร่าน ถือว่าศักยภาพทางเศรษฐกิจไทยสูงกว่ามาก แต่ไทยถูกจัดอันดับในเรื่องของความเสี่ยง เป็นต้น ดังนั้นการใช้ดัชนีดังกล่าวต้องพิจารณาถึงวิธีการสำรวจ และวิเคราะห์ ขอให้ใช้ดัชนีอย่างถูกต้อง รวมถึงดัชนีด้านอื่นๆ  ถ้าจะทำธุรกิจในภาคใต้ต้องระมัดระวังมาก ขณะเดียวกันต้องทราบว่าเหตุการณ์ความไม่สงบภาคใต้ไม่ได้กระทบต่อภาพรวมของ ประเทศ หรือภูมิภาคอื่นๆ  
นายปณิธานกล่าวด้วยว่า นอกจากนี้ความเสี่ยงต่อการลงทุนหากพิจารณาแล้วจะมีประเด็นอื่นๆที่เกี่ยว ข้อง อาทิ ประเด็นความขัดแย้งทางการเมือง  นอกจากนี้การบริหารสถานการณ์น้ำท่วมที่ไม่มีประสิทธิภาพก็อาจจะเป็นประเด็น ที่ทำให้ถูกจัดอันดับอยู่ในความเสียงต่อการลงทุนด้วยก็ได้
เมื่อถามว่า ดัชนีความเสี่ยงที่หน่วยงานดังกล่าวจัดทำ นักลงทุนต้องพิจารณาเป็นพิเศษเชื่อถือได้หรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า  ควรต้องรู้ว่าเป็นภาพรวมเฉลี่ยของพื้นที่ใดพื้นที่หนึ่งโดยเฉพาะในพื้นที่ ภาคใต้มากกว่าพื้นที่อื่นๆ เหมือนในสหรัฐฯ ที่มีความเสี่ยงต่อการถูกจี้ ปล้นในรัฐนิวยอร์ก จะมากกว่าความเสี่ยงต่อการถูกจี้ ปล้นในรัฐไอโอวา หรือรัฐอิลินอยด์  เป็นต้น หากบอกว่าเสี่ยงมันก็ไม่ตรงกับความเป็นจริงเสมอไป
เมื่อถามว่า การออกแจ้งเตือนของสหรัฐฯ ทำให้นักลงทุนหวาดวิตกต่อเหตุการณ์ในไทยหรือไม่ นายปณิธานกล่าวว่า คงต้องติดตาม เฝ้าระวังสถานการณ์มากขึ้น

รายงานของสถาบันเมเปิ้ลครอฟท์ (Maplecroft) ปี 2554 ระบุว่า จำนวนการก่อการร้ายในรอบปีที่ผ่านมาเพิ่มขึ้น  15 % ประเทศที่เสี่ยงต่อการก่อการร้ายมากที่สุดคือ ประเทศโซมาเลีย อันดับสองคือปากีสถาน อันดับสาม ประเทศอิรัก อันดับสี่ ประเทศอัฟกานิสถาน  และอันดับ 5 ประเทศซูดานใต้ ซึ่งติดอันดับเป็นปีแรกจากจำนวนกลุ่มผู้ก่อการร้าย จำนวนเหตุร้าย และจำนวนคนที่เสียชีวิตที่เพิ่มสูงขึ้น
ขณะที่ประเทศในโลกตะวันตกที่ถูกระบุว่า มีความเสี่ยงต่อภัยก่อการร้ายมากที่สุดในปีนี้ คือ กรีซ ซึ่งอยู่ในอันดับที่ 27 ของโลก ตามมาด้วยสหราชอาณาจักรในอันดับที่ 38 และสหรัฐอเมริกาในอันดับที่ 61 ขณะที่นอร์เวย์ ซึ่งมีเหตุระเบิดในกรุงออสโล และการยิงสังหารหมู่บนเกาะอูโทย่าที่มีผู้เสียชีวิตรวม 76 ศพ ถูกจัดอยู่อันดับที่ 112
สำหรับผู้เสียชีวิตจากเหตุก่อการร้ายในประเทศ 4 อันดับแรก รวมกันถึง 13,492 ราย คิดเป็นร้อยละ 75 จากผู้เสียชีวิตจากการก่อการร้ายทั่วโลก โดยในโซมาเลียมีผู้เสียชีวิต 1,385 คน,ปากีสถาน 2,163 คน อิรัก 3,456 คน และอัฟกานิสถาน 3,423  คน  อย่างไรก็ตามจำนวนการก่อการร้ายเพิ่มขึ้นเป็น 11,954 ครั้งในรอบ 1ปี แต่เมื่อเทียบกับปี 2553จำนวนผู้เสียชีวิตกลับลดลง  โดยในปี 2553 มีผู้เสียชีวิต 14,478 คน ขณะที่ปี 2554มีผู้เสียชีวิต 13,492 คน
สำหรับประเทศไทยมีความเสี่ยงจากการก่อการร้ายเป็น อันดับที่ 12 ของโลก และเป็นอันดับที่ 1 ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ขณะที่ในปี 2553ไทยติดอันดับ 7 โดยเหตุร้ายส่วนใหญ่เกิดขึ้นบริเวณ 3จังหวัดชายแดนภาคใต้

 
ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง

แผนเหลี่ยมกินรวบประเทศไทย

โสภณ องค์การณ์
       ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์
      
       เสร็จสมอารมณ์หมายของในการปรับคณะรัฐมนตรีของนารีหน้าขาวน้องสาวหน้า เหลี่ยมร้าย ตามแผนยึดครองอำนาจแผ่นดินไทย ผ่องถ่ายทรัพย์สินของประเทศเป็นของเครือข่ายครอบครัว ญาติโกโหติกา ทาสน้ำเงิน ผีโม่แป้ง
      
        นารีหน้าขาวจ้อหน้าซื่อตาใสว่าตัดสินใจเลือกผู้มาร่วมงานด้วยตัว เอง ไม่มีใครมาชี้แนะ แต่พี่เหลี่ยมร้ายประกาศศักดาในฮ่องกงว่าใครควรได้นั่งเก้าอี้ ยังกำชับว่าถ้า 6 เดือนไม่เห็นผลงาน ก็จะถูกเด้งเหมือนชุดแรก
      
        เป็นการแหลซึ่งหน้าขาวๆ ยกระดับการไร้ราคา ความน่าเชื่อถือ!

      
        แผนกินรวบประเทศไทยรอบใหม่อยู่บนฐานของการประสานกับหลายฝ่าย ทั้งเครือข่ายขายชาติในไทย ฝรั่งมังค่า ผมสีทอง ทนายยิวหิวเงินหน้าเลือด เผด็จการทหารพม่า เขมรต่ำฮุนเซน กะว่าจะไม่ให้พลาดซ้ำสอง!
      
        การปรับ ครม. คือการดำเนินยุทธศาสตร์ เคลื่อนขบวนทัพเพื่อกินเมืองนั่นเอง เป็นศึกชิงอำนาจเหนือแหล่งทรัพยากรธรรมชาติในไทย พม่า และกัมพูชา โดยมีเครือข่ายเหลี่ยมร้ายทุ่มทุน สรรพกำลังเพื่อกอบโกยเต็มที่
      
       ยังมุ่งกวาดเงินในท้องคลัง จ้องหาโอกาสกู้เงินมาแบ่งสันปันส่วนผ่านโครงการต่างๆ โดยอ้างว่าเป็นการป้องกันผสมเยียวยาสำหรับปัญหาน้ำท่วม
      
       ขบวนการเหลี่ยมร้ายจึงพร้อม วางกำลังไว้ทุกจุด ทั้งตำรวจ อัยการ ข้าราชการ หน่วยงานรัฐวิสาหกิจสำคัญ มีนักเศรษฐศาสตร์ผีโม่แป้ง และนักวิชาการขายตัวขายชาติร่วมขบวนการขับเคลื่อนเขย่าโครงสร้างประเทศ
      
       มีกองกำลังติดอาวุธ ชนเผ่าเสื้อแดงเป็นมวลชนต้านอำนาจกองทัพ โดยมีรางวัลให้แล้วเป็นตัวอย่างสำหรับสู้เพื่อเหลี่ยม บาดเจ็บล้มตายก็รวยได้!
      
       เป้าหมายหลักคือการล้มล้างสถาบันพระมหากษัตริย์ การคุมเงินโดยหวังยึดอำนาจในธนาคารแห่งประเทศไทย การจัดการพลังงานของประเทศ
      
       ทุกวันนี้ยังเหลือสถาบันกษัตริย์ และธนาคารแห่งประเทศไทย ซึ่งขบวนการเหลี่ยมร้ายยังครอบงำไม่ได้ ยังมีกองทัพเป็นกำแพงขวาง แต่นั่นไม่ใช่เรื่องต้องเร่งจัดการ เหลี่ยมร้ายเพียงหวังคุมเชิงอำนาจกับกองทัพเท่านั้น
      
       การส่ง พล อ.อ. กำพล สุวรรณทัต เพื่อนซี้จากเตรียมทหารรุ่น 10 มานั่งเก้าอี้รัฐมนตรีกลาโหม ส่งเสียงฮึ่มๆ ว่าจะรื้อ พ.ร.บ. กลาโหม เป็นเพียงการสับขาหลอก ให้ทหารออกอาการหวงอำนาจ จะได้ฟ้องชาวโลกให้ระวังรัฐประหาร
      
       ทำให้ต่างฝ่ายเกร็ง ทหารก็เฝ้ามองการเคลื่อนไหว ขณะเดียวกันก็ระวังว่าจะมีความพยายามแก้ พ.ร.บ. กลาโหมให้นักการเมืองยุ่มย่ามกับการโยกย้ายทหารหรือไม่ เมื่อคุมเชิงกันอยู่ ขบวนการเหลี่ยมร้ายก็เดินหน้าตีกินคำโตต่อไป
      
       อย่างน้อยเหลี่ยมร้ายมีเวลาถึงเดือนเมษายน หรือเดือนตุลาคมโน่น! ตราบใดที่กองทัพไม่เป็นอุปสรรคต่อการเดินหน้าเสริมฐานอำนาจการเมือง เหลี่ยมร้ายไม่เดือดร้อน ยังรอได้ เพราะรัฐบาลมีโอกาสอยู่ครบเทอม 4 ปี
      
       แต่ประชาชนผู้รักชาติ หวงแหนทรัพยากรแผ่นดินจะยอมทนได้หรือ?
      
       การปรับ ครม. ครั้งนี้ทำให้รัฐไทยอยู่ในความเสี่ยงต่อการตกอยู่ภายไต้การยึดครองของขบวน การเหลี่ยมร้าย มีเครือข่ายต่างชาติหนุนหลัง เพราะไทยมีทรัพยากรอุดมสมบูรณ์ทั้งอาหาร แหล่งน้ำมัน เป็นเดิมพันมูลค่ามหาศาล
      
       ฝ่ายกองทัพอึดอัด เมื่อนารีหน้าขาวเป็นผู้นำรัฐบาล ยอมโอนอ่อนผ่อนตาม หว่านยิ้ม แจกคำหวาน เยี่ยมเยียนหน่วยทหาร ไม่อหังการเหมือนพี่เหลี่ยมร้าย ใช้ความสวยฉาบฉวยฉาบทา ทำให้กองทัพต้องหยุดนิ่ง
      
       ชายชาติทหาร เมื่อต้องรักษาภาพของความเป็นสุภาพบุรุษ มักเสียรู้ เสียท่าสตรีมีมารยามากกว่าห้าร้อยเล่มเกวียนในประวัติศาสตร์ โจโฉเสียท่านางเสียวเกี้ยวเพราะทนคำเว้าวอนให้ดื่มน้ำชาจนกระแสลมเปลี่ยน
      
        ความงามของเฮเลน เป็นผลให้เมืองทรอยล่ม! หวังว่าแม่ทัพนายกองของไทยได้เรียนรู้ประวัติศาสตร์ ปรับยุทธศาสตร์รับการรุกคืบหน้าหลายแนวพร้อมๆ กันโดยขบวนการเหลี่ยมร้าย เร่งประเมินสรรพกำลังโดยด่วน
      
        และต้องไม่ลืมว่าการตั้งรับดีที่สุด คือการรุกกลับเหลี่ยม! ทหารทุกรุ่นคงเรียนตำรายุทธศาสตร์จากเล่มเดียวกัน สำคัญแต่ว่าใครจะสามารถปรับแนวคิด ยุทธศาสตร์ให้เข้ากับสถานการณ์เพื่อได้ประโยชน์สูงสุด
      
       เป้าหมายสำคัญคือผลประโยชน์สุขของบ้านเมือง ประชาชนโดยรวม ไม่ใช่เหยื่อประชานิยม 15 ล้านคนจากการซื้อเสียงโดยขบวนการเหลี่ยมเท่านั้น
      
       ขบวนการเหลี่ยมร้ายอาจถือแต้มต่อในช่วงนี้ สับขาหลอกเรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม พ.ร.บ. กลาโหม แก้กฎหมายหมิ่นสถาบัน! ประเด็นเหล่านี้ยังไม่สำเร็จ แต่ได้ตีกินด้านเศรษฐกิจไปมหาศาล ทั้งโอนถ่ายหนี้เน่าให้แบ็งค์ชาติ ได้โอกาสกู้เงิน การคุมหน่วยงานเหมือนพิมพ์ธนบัตรได้เอง
      
       ทั้งเงินและอำนาจคืออาวุธใช้จัดการอุปสรรคและฝ่ายต่อต้าน ด้วยการหว่านเงินซื้อ หรือกำจัดโดยวิธีการต่างๆ ใช้กฎหมายและขบวนการไต้ดิน
      
       เมื่อเหลี่ยมร้ายเร่งเดินหน้า ย่อมมีกระแสต้าน แม้ยังดูแผ่วเบา ก็พร้อมจะเป็นปัญหาใหญ่ให้ขบวนการเหลี่ยมร้าย ถ้าต้องการเสี่ยงขั้นแตกหักจนเกิดมิคสัญญี นั่นเท่ากับว่าโอกาสตีกินผลประโยชน์ต่อไปจะสะดุดด้วย
      
       นารีหน้าขาวยังเป็นฉากหน้า ปิดบังการขับเคลื่อนเดินหน้าของการยึดกุมอำนาจและผลประโยชน์แบบเบ็ดเสร็จ เมื่อยังไม่มีอุปสรรคขวางกั้น ความยโสลำพองในอำนาจ การแก่งแย่งผลประโยชน์ย่อมนำไปสู่ความขัดแย้ง
      
       อาชญากรรม และผลกรรมสร้างต่อแผ่นดินศักดิ์สิทธิ มักจบไม่สวย! เหลี่ยมร้ายได้รับบทเรียนเจ็บปวดซ้ำซาก ยังไม่เข็ด ขนญาติพี่น้องมาเดินซ้ำรอย คงนึกว่าจะรอดปลอดภัยพร้อมรางวัลใหญ่จากการปล้นชาติ
      
       คนไทยอดทนได้นานก็จริง! แต่ไม่ตลอดไป งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกรา โอกาสทองของเหลี่ยมร้ายย่อมต้องมีวันสิ้นสุด! สำคัญเพียงแต่ว่าจะมีคนไทยผู้รักชาติต่อต้านทันการ ไม่ให้ขบวนการเหลี่ยมร้ายพาชาติล่มจมหรือไม่
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง