บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2554

ปฏิบัติการอุ้มยิ่งลักษณ์

Share
ก่อนที่วิกฤติน้ำจะลามไปถึง "น้องสาว" ที่ชื่อนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทั้งด้วยเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากฝ่ายต่างๆ ที่มีต่การแก้ไขปัญหาของรัฐบาล
     จึงย่อมเป็นหน้าที่ของ "พี่ชายที่แสนดี" อย่าง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ต้องเปิดหน้า "ออกโรง" เปลี่ยนบทจาก "ผู้กำกับ" มาสู่ "นักแสดงนำ" แทนกระทันหัน !!
     เพราะไม่เช่นนั้นแล้ววิกฤติน้ำอาจกระทบต่อ "เสถียรภาพ" ของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 1" ไปโดยปริยาย ทั้งที่เพิ่งเข้ามาบริหารประเทศได้เพียงเดือนเศษเท่านั้น
     และหากเสถียรภาพของรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ 1" ได้รับการกระทบกระเทือน มีอันต้องซวนเซ เพราะไม่สามารถ "กู้" ภัยพิบัติจากน้ำท่วมไปได้ตลอดรอดฝั่งอย่างจริงจังแล้ว
     แน่นอนว่า "ความหวัง" ทั้งหลายทั้งปวงของ พ.ต.ท.ทักษิณ ย่อมมีอันพังทลายลงไปต่อหน้าต่อตาด้วยเช่นกัน !

     การเปิดมุมมองและ "ตัวตน" ของ พ.ต.ท.ทักษิณ จากดูไบผ่านสื่อไทยฉบับหนึ่งล่าสุด เพื่อเสนอแนะสิ่งที่ อดีตนายกฯทักษิณ เชื่อว่าน่าจะเป็น "ประโยชน์"ต่อบ้านเกิดของเขาเองในยามที่ทุกอย่างกำลังเดินหน้าเข้าสู่ภาวะคับขัน เนื่องจากวิกฤติน้ำท่วมครั้งใหญ่ ณ เวลานี้
     ประเด็นที่พ.ต.ท.ทักษิณ เปิดปมเอาไว้คือการเสนอความคิดที่ว่า ไทยต้องเตรียมหามาตรการรองรับ ฟื้นฟูหลังน้ำท่วม โดยต้องหาเงินให้ได้อย่างน้อย "1 แสนล้านบาท" โดยไม่จำเป็นต้อง "กู้"  พร้อมทั้งระบุว่ารัฐบาลมี "แหล่งทุน" เตรียมจัดหาเอาไว้แล้ว และยังเชื่อว่าที่จะนำมาใช้นั้นต้องเกินแสนล้านบาทอย่างแน่นอน 
     "ดังนั้นที่เราฝันไว้ในอดีตว่า เราอยากจะแก้ไขปัญหาน้ำอย่างบูรณาการ ก็ถึงเวลาที่ต้องทำกันจริงจังเสียทีและต้องทำอย่างเร็วด้วย ไม่งั้นเจอทุกปี เอาเงินตรงนั้นมาผ่อนส่งสร้างระบบป้องกันดีกว่า ไม่ใช่น้ำท่วมอย่างเดียว น้ำแล้งด้วย" (พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯให้สัมภาษณ์ บางกอกโพสต์ จากประเทศดูไบ)
     อย่างไรก็ดี หากจับความเคลื่อนไหวในฝ่ายการเมืองที่มีต่อสถานการณ์น้ำท่วมใหญ่รอบนี้แล้ว จะเห็นได้ว่า แม้นายกฯยิ่งลักษณ์ ที่ดูจะให้ความสำคัญและทุ่มเทกับการแก้ไขวิกฤติครั้งนี้มากเท่าใดก็ตาม แต่ยังดูเหมือนว่า "ไม่เพียงพอ" ต่อการดึงความเชื่อมั่นคืนกลับมาจากประชาชน เหมือนที่ผ่านมาได้แต่อย่างใด
     ขณะที่ "น้องสาว" กำลังเผชิญหน้ากับสารพัด "คำถาม" และยืนอยู่บน "ความคาดหวัง" ของประชาชนนั้น แน่นอนว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับ "แรงกดดัน" อยู่ไม่น้อย ด้วยเหตุนี้จะด้วยความจงใจหรือเจตนาดีของพี่ชาย ที่ชื่อพ.ต.ท.ทักษิณ หรือไม่ก็ตาม
     จึงได้มีความเคลื่อนไหวจากบรรดากุนซือ ทั้งสมาชิกบ้านเลขที่ 111+109 และแกนนำคนเสื้อแดง ต่างพากันแวะเวียนไปที่ ศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) กันอย่างคึกคัก
     เช่นเดียวกันกับแกนนำคนเสื้อแดง อย่าง ขวัญชัย ไพรพนา ซึ่งเวลาละบทบาทจากการระดมพลพรรคเสื้อแดงเข้ามาชุมนุมในกทม.แต่เลือกที่จะหอบข้างของและเงินบริจาคมาร่วมช่วยเหลือพี่น้องประชาชนที่ศูนย์ศปภ. วานนี้ ( 11 ต.ค.) ที่ดอนเมืองแทน
     การดำเนินบทบาทเช่นนี้ของเครือข่ายระบบทักษิณ นั้นแน่นอนว่าพวกเขาย่อมได้รับเสียงตอบรับที่เป็น "บวก"  ไปอย่างไม่ต้องสงสัย
     ท่ามกลางวิกฤติที่พี่น้องคนไทยกำลังเผชิญหน้ากับภัยธรรมชาติอย่างหนักหนาสาหัสเช่นนี้ หากนักการเมืองฝ่ายใด คนใด ยังไม่เปลี่ยนบทบาทการแสดงให้เหมาะสมสอดคล้อง เพื่อตอบสนองกับความต้องการที่แท้จริงของประชาชน ผลลัพท์ที่จะได้รับกลับไป ย่อมไม่ใช่เรื่องที่ดีและสวยงามนัก
     อย่างไรก็ดีการเคลื่อนไหวของฟากรัฐบาล -แกนนำคนเสื้อแดงและพ.ต.ท.ทักษิณ ที่กำลังมุ่งเน้นเรื่องของการทำงานมากกว่าการเล่นเกมการเมืองนั้น อาจทำให้เสียงเรียกร้องจากพรรคประชาธิปัตย์และสว.บางกลุ่ม บางส่วนที่พยายามจะเสนอให้รัฐบาลใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉินเพื่อรับมือกับอุทกภัยครั้งนี้ มีอันต้องจางหาย และเบาลงไปในที่สุดด้วยหรือไม่ ?
     และหากท้ายที่สุดแล้วรัฐบาลเลือกที่จะไม่นำพ.ร.ก.ฉุกเฉิน มาเป็น "เครื่องมือ" เพื่อบริหารจัดการและรับมือกับภัยธรรมชาติ ครั้งใหญ่ครั้งนี้จริงๆแล้ว จะมีผลต่อการทำงานมากน้อยแค่ไหน หรือไม่
     เนื่องจากในการประเมินกันจากฝ่ายที่ออกมาเสนอแนะให้รัฐบาลหยิบเครื่องมือดังกล่าวมาใช้นั้น เพื่อหวังที่จะให้รัฐบาล "เปิดทาง" ให้กับหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีส่วนสำคัญในการทำงานอย่างกองทัพ นั้นเป็นเพราะหวังผล อย่างใดอย่างหนึ่งหรือไม่
     เพราะหากมีการใช้พ.ร.ก.ฉบับดังกล่าวจริงๆแล้ว สิ่งจะเกิดขึ้นตามมาคือการที่ "อำนาจ" ในการสั่งการและ "งบประมาณ" จะถูกกระจายไปสู่ฝ่ายต่างๆ ให้เกิดความคล่องตัวมากกว่าที่เป็นอยู่ โดยเฉพาะว่ากันว่ากองทัพคือหน่วยงานสำคัญที่จะเกิดความคล่องตัวสูงสุดนั่นเอง !
                                                                                                                                                         ทีมข่าวคิดลึก.สยามรัฐ
 
 
 
 
 

แดก!หัวคิวกว่า 600 ล.


“คอรัปเตอร์ปะดาบ”-ปัญหา″ รถตู้มาเฟีย” ในสังกัดนักการเมืองสีน้ำเงินที่สร้างปัญหาให้กับวินรถตู้ถูกกฎหมายในห้วง ที่เวลาที่ผ่านมา เปรียบเสมือนปมเน่า…ปมฉาว ที่กระทรวงคมนาคม “เกียร์ว่าง” กับปัญหาดังกล่าวมานาน โดยเฉพาะโครงการจัดระเบียบรถตู้โดยสารถูกกฎหมาย ใน “รัฐบาลอภิสิทธิ์” ที่มี “โสภณ ซารัมย์” รมว.คมนาคม
นั่งคุมบังเหียน รมว.คมนาคม !?
ประมาณว่าต้องการจัดระเบียบรถตู้เพื่อล้าง “มาเฟีย” นั้น มันกลายเป็นนโยบาย “โจรในคราบใส่สูทผูกไท้” หรือมหาโจร ที่สุมหัวหาแดกกับมาเฟียรถตู้อย่างเป็นระบบและเป็นขบวนการ โดยเฉพาะเรื่องการซื้อ “ป้ายเหลือง” กันในราคาหลายแสนบาท ซึ่งไม่ใช่หลักหมื่น
หรือให้กันฟรีๆ !!
อย่างที่หลายคนคิด !?
“คอรัปเตอร์” บอกได้คำเดียวว่า เรื่องนี้มันมีมูลจริง ในการ “สวาปาม” กันเป็นขบวนการ กินหัวคิวค่าดำเนินการขอป้ายเหลือง นอกจากนักการเมืองจะเช็ดปากกันแพล็บๆ ร่วมกับอิทธิพลมาเฟียแล้ว คนของ “กรมการขนส่งทางบก” บางส่วนอย่าบอกว่าไม่ทราบนะ เพราะเรื่องนี้ “เผือกร้อน”
เกินกว่าจะหมกเม็ดอีกต่อไปแล้ว ??
เพราะโครงการนี้แทนที่จะช่วยคนหาเช้ากินค่ำ กลับกลายเป็นโครงการหาแดกร่วมกันระหว่างโจรในคราบ “นักการเมืองกับมาเฟียรถตู้” โดยเฉพาะวินสาย ต.”แก๊งดิ่งนรก” ที่มีเลขาฯ ชื่อ “เล็ก ขี้เรื้อน” ทำนาบนหลังคนมานาน จนคนหาเช้ากินค่ำในแวดวงรถตู้กร่นสาปแช่ง
ทั้งเช้า สาย บ่าย ค่ำ !!
“คอรัปเตอร์” คงต้องบอกว่า หากย้อนกลับไปดูข่าวคราวเมื่อช่วงเดือน ต.ค.ปี 52 “เจ๊เกียว” สุจินดา เชิดชัย ในฐานะนายกสมาคมรถยนต์โดยสาร รถร่วม บขส. นำผู้ประกอบการรถร่วม บขส. รวมถึงผู้ให้บริการรถสาธารณะที่ถูกต้องตามกฎหมายจำนวนหลายร้อยคนไปปิดประตู ทางเข้าพรรคประชาธิปัตย์ ร้องขอพบ “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น
เพื่อขอให้สั่งระงับ !?
การขึ้นทะเบียนรถตู้ผิดกฎหมายของกระทรวงคมนาคม จากทางพรรคภูมิใจไทย ที่จะมีการจัดขึ้นทะเบียนที่เมืองทองธานี เนื่องจากจะทำให้ผู้ประกอบการที่ถูกกฎหมายได้รับผลกระทบ เพราะจะมีการวิ่งทับสัมปทาน ที่สำคัญมันกลายเป็นประเด็น “เผือกร้อน” ในครั้งนั้น จนถึงวันนี้
ถึงกระแสข่าวการเรียกเก็บเงิน !!
ค่าจดทะเบียนรถตู้ถูกกฎหมายดังกล่าว รายละ 50,000 บาท จำนวน 6,000 กว่าคัน คิดเป็นเงินผลประโยชน์ กว่า 600 ล้านบาท แล้วเงินจำนวนมหาศาลดังกล่าวไปอยู่ในกระเป๋าใครกันบ้าง แบ่งเค้กกันอย่างไร ???
แล้วไอ้ที่ “แก๊งดิ่งนรก” และ “เล็ก ขี้เรื้อน” อ้างกับ” คนหาเช้ากินค่ำ″ ว่าเก็บให้ “นาย”
หรือให้ “ผู้ใหญ่” นั้น
คือใครกัน ??
ทั้งๆ ที่จริงๆ แล้วค่าใช้จ่ายในการขอ “ป้ายเหลือง” นั้นอยู่ที่ 20,000 บาทแค่นั้นเอง ซึ่งกรมการขนส่งทางบกน่าจะรู้ แต่กลับใส่เกียร์ว่าง ไม่รู้ ไม่เห็น แกล้งมึน เป็นเวลาเกือบ 2 ปี  “คอรัปเตอร์” บอกตามตรง เป็นใครก็ต้องแกล้งมึน เพราะในห้วงเวลานั้น “นักการเมืองสีน้ำเงิน” เค้ามาแรงแซงโค้ง
จนใหญ่คับบ้านคับเมือง !!
แต่วันนี้ “รัฐบาลพรรคเพื่อไทย” เป็นแกนนำรัฐบาล โดยมี “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” นั่งคุมบังเหียนนายกรัฐมนตรี จะแกล้งทำมึนตรวจสอบเรื่องนี้อีกหรือไม่ ถ้าบอกว่า ไม่รู้ ไม่ทราบ ไม่มีข้อมูล ก็คงต้องไปกระโดดน้ำที่กำลังท่วมอยู่ เพื่อล้าง “ความโง่” ออกบ้างก็ดี เพราะผู้ประกอบการรถตู้เค้ารู้กันดีว่า
ใครสวาปามหัวคิวป้ายเหลือง ??
รถตู้ถูกกฎหมายกว่า 600 ล้านบาท…!!!
คอรัปเตอร์
***************************

คลังปรับนโยบาย รถคันแรกเป็นเรือลำแรก

โดย ผู้จัดกวน
       กรุงเทพฯ – เปลี่ยนเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ “ธีระชัย” บิ๊กใหญ่กระทรวงการคลังสั่งด่วนจี๋เกรงประชาชนไม่มีพาหนะรับมือน้ำท่วม ปรับนโยบายใหม่จาก “รถคันแรก” เป็น “เรือลำแรก” ภายใน 24 ชั่วโมง มั่นใจมั้กมากชาวบ้านชอบใจแน่
       
        ไม่ว่าจะออกนโยบายอะไรก็ทำเพื่อไทยทั้งสิ้นสำหรับรัฐบาลที่มีทักษิณคิด ยิ่งเลอะ เอ้ย ยิ่งลักษณ์ทำ ล่าสุดกระทรวงการคลัง โดยนายธีระชัย รัฐมนตรีว่าการ ได้ใช้มันสมองระดับท่านอ๋องเรียกซือแป๋สั่งให้แก้ไขนโยบาย “รถคันแรก” ที่ก่อนหน้านี้เป็นที่ฮือฮาหลั่นล้าของประชาชนสุดๆ ถึงกับบางคนพูดตรงกันว่าถ้าเป็นไปได้จะรวมตัวกันไปประนมมือไหว้เจ้าของความ คิดถึงหัวบันไดบ้าน เพราะใครต่อใครก็อยากมีรถขับเป็นของตัวเองทั้งนั้น ประเทศไทยมีมาไม่รู้กี่รัฐบาล เพิ่งจะมีรัฐบาลปูแดงเท่านั้นที่สามารถบันดาลให้ แม้นโยบายจะคืนภาษีไม่เท่ากัน แต่ก็ยังถือว่าถูกใจชาวบ้านอย่างหาประมาณมิได้
      
        แต่ฝันยังไม่ทันเป็นจริง นโยบายรถคันแรกก็มีอันต้องปรับเปลี่ยนอย่างกะทันหัน เมื่อนายธีระชัย แถลงข่าวอย่างเป็นทางการเมื่อวานนี้ตอนสี่โมงเช้า ว่ากระทรวงการคลังได้หารือและขออนุมัติจาก น.ส.ยิ่งลักษณ์ ในฐานะนายกรัฐมนตรีเป็นที่เรียบร้อย จึงขอแจ้งให้สื่อกระจายข่าวไปยังประชาชนคนไทยทุกเพศวัยทราบว่า เนื่องจากขณะนี้ประเทศไทยประสบปัญหาน้ำท่วมในหลายจังหวัด ได้รับความเดือดร้อนอย่างแสนสาหัสเพราะสัญจรไปไหนมาไหนไม่ได้ แม้ทางการจะช่วยเหลือเยียวยาแก้ไขแต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จแบบร้อย เปอร์เซ็นต์ ดังนั้นเพื่อให้เข้ากับสถานการณ์ในช่วงนี้ กระทรวงการคลังมีความคิดใหม่ ให้เปลี่ยนนโยบายจากรถคันแรกไปเป็นเรือลำแรกแทน ทั้งนี้เพราะเล็งเห็นว่าถ้ายังขืนดันทุรังเป็นนโยบายรถคันแรก แม้แต่แจกฟรียังอาจมีเสียงด่าอันเนื่องมาจากขับไปไหนไม่ได้ รอให้ปลามาว่ายเล่นอย่างเดียว สู้เปลี่ยนเป็นเรือ อาจจะเป็นเรือท้องแบน เรืออีแต๋น เอ้ย! เรือพาย เรือเร็ว เรือยนต์ เชื่อว่าคนจะใช้ประโยชน์จริงได้ดีกว่า คาดว่าอู่ที่กระทรวงการคลังติดต่อไปน่าจะส่งมอบเรือลำแรกได้อย่างช้าไม่เกิน สิ้นปีนี้อย่างแน่นอน
      
        “ผมสั่งการให้ปรับแปลงแก้ไขนโยบายรถคันแรกเป็นเรือลำแรกไปแล้ว ตอนนี้ทุกอู่กำลังเร่งระดมต่อเรือกันจ้าละหวั่น ใครมีความต้องการโบกมือ ฉายไฟมาได้ทันที แต่เรือยังไม่ได้รับตอนนี้นะครับเพราะคาดว่ายอดสั่งจองทะลุ 10 ล้านลำเป็นอย่างต่ำ คงแค่ได้จองไว้ แต่จะได้มีเรือลำแรกเป็นของตัวเองแน่ๆ ภายในสิ้นปีนี้ เรื่องภาษีไว้ค่อยคุยกันทีหลัง ตอนนี้เสี่ยแม้วยังไม่สั่งผมกับคุณปูพูดอะไรออกไปไม่ได้ อดใจรอนิดนึง” นายธีระชัยกล่าวราวกระซิบ
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง