บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2555

หนี้กองทุนฟื้นฟูฯ และร่าง พ.ร.ก. เจ้าปัญหา


จากกรณีที่เว็บ ไซต์ www.bangkokbiznews.com หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจได้เผยแพร่ ร่างพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ปรับปรุงการบริหารหนี้เงินกู้

เพื่อ ช่วยเหลือกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน พ.ศ. .... ในวันที่ 4 มกราคมที่ผ่านมานั้น ได้ก่อให้เกิดเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งได้เกิดข้อครหาขึ้นว่า รัฐบาลกำลังวางแผน “ปล้น” คลังหลวงของแบงก์ชาติ

สาเหตุที่มาของข้อครหานี้คงมาจากมาตรา 7(3) ในร่าง พ.ร.ก. ดังกล่าว ซึ่งเขียนข้อความประหนึ่งให้อำนาจกระทรวงการคลังในการดึงเอาเงินหรือ สินทรัพย์ต่างๆของธนาคารแห่งประเทศไทยออกมาใช้เพื่อชำระหนี้เงินกู้จำนวน 1.14 ล้านล้านบาทของกองทุนฟื้นฟูฯ

ผมคิดว่าหากเราจะทำความเข้าใจกับประเด็นความขัดแย้งนี้ได้อย่างลึก ซึ้งถ่องแท้ เราจำเป็นต้องทราบก่อนว่าหนี้ก้อนโตจำนวน 1.14 ล้านล้านบาท นี้มีที่มาอย่างไร ใครเป็นคนทำให้เกิดหนี้จำนวนมหาศาลขนาดนี้ได้

ผมจะพาผู้อ่านย้อนกลับไปในปี 2540 กลับไปสู่ช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจในเดือนกรกฎาคมกันเลยครับ

ในช่วงก่อนที่จะเกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ได้เริ่มมีสัญญาณฟองสบู่ใกล้แตกปรากฏขึ้นเป็นระยะ เริ่มต้นจากการที่สถาบันการเงินประสบปัญหาสภาพคล่องอย่างหนัก จนสั่นคลอนความเชื่อมั่นในระบบการเงิน ในวันที่ 27 เดือนมิถุนายน 2540 นั้นเอง ทางการได้สั่งระงับการดำเนินกิจการของบริษัทเงินทุนจำนวน 16 แห่งเป็นระยะเวลา 30 วัน

ต่อมาในวันที่ 29 มิถุนายน พลเอกชวลิต ยงใจยุทธ นายกรัฐมนตรีในขณะนั้น ได้แถลงยืนยันผ่านทางโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจ ซึ่งมีใจความสำคัญสองประการคือ หนึ่ง จะไม่มีบริษัทเงินทุนใดๆ ถูกสั่งให้หยุดดำเนินกิจการนอกเหนือไปจาก 16 บริษัทดังกล่าว และ สอง รัฐบาลจะรับประกันผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ทั้งในประเทศและนอกประเทศของบริษัท เงินทุนทุกแห่งที่ไม่ได้ถูกสั่งให้หยุดดำเนินการ

การประกาศลดค่าเงินในเดือนกรกฏาคม 2540 ทำให้สถาบันการเงินต่างๆที่มีหนี้ต่างประเทศจำนวนมาก ต้องมีภาระการชำระคืนที่เพิ่มขึ้นในทันที ซึ่งได้ก่อให้เกิดวิกฤติความเชื่อมั่นต่อระบบการเงินของไทยอย่างหลีกเลี่ยง ไม่ได้

รัฐบาลของพลเอก ชวลิต จึงได้มีมติตามข้อเสนอของกระทรวงการคลังให้กองทุนฟื้นฟูฯดำเนินการประกัน เงินฝากให้กับผู้ฝากเงินและรับประกันหนี้ของเจ้าหนี้ของสถาบันการเงินด้วย โดยมาตรการนี้เป็นที่รู้จักกันในชื่อ มาตรการ 5 สิงหาคม 2540

โดยในแถลงการณ์ร่วมของกระทรวงการคลังและธปท ในวันที่ 5 สิงหาคม 2540 นั้น ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า

“ในการรับประกันเงินฝากและหนี้สินของบริษัทเงินทุน ที่สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้ รัฐบาลจะให้กองทุนพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงินเป็นผู้ดำเนินการ รับประกัน โดยแยกบัญชีต่างหากจากการดำเนินการด้านอื่นของกองทุนฟื้นฟูฯ และรัฐบาลจะรับผิดชอบภาระจากการรับประกันนี้”

สถาบันการเงินที่เข้าข่ายได้รับการประกันจากรัฐบาลนั้นได้แก่ ธนาคารพาณิชย์ไทย 15 แห่ง สาขาธนาคารพาณิชย์ต่างประเทศ 19 แห่ง บริษัทเงินทุนและบริษัทเงินทุนหลักทรัพย์ 33 แห่ง และบริษัทเครดิตฟองซิเอร์อีก 12 แห่ง ซึ่งทั้งหมดนี้คือสถาบันการเงินที่ไม่ได้มีคำสั่งให้ระงับกิจการในเวลานั้น นั่นเอง

จะเห็นได้ว่ากองทุนฟื้นฟูฯ ต้องรับบทหนัก ในฐานะที่ให้การรับประกันความเสียหายที่จะเกิดกับผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของ สถาบันการเงินที่ยังดำเนินการอยู่ในเวลานั้น ซึ่งหมายความว่าหากสถาบันการเงินนั้นๆ ต้องปิดกิจการลง กองทุนฟื้นฟูฯ จะรับภาระจ่ายคืนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มจำนวน

กองทุนฟื้นฟูฯ มิได้มีสินทรัพย์มากมายแต่อย่างใด เงินของกองทุนฟื้นฟูฯ นี้มีที่มาหลักๆ ก็จากเงินที่ธนาคารแห่งประเทศไทยจัดสรรให้ (ซึ่งก็เป็นการจัดสรรให้เป็นคราวๆ ไป) และเงินที่สถาบันการเงินนำส่ง โดยคิดเป็นสัดส่วนของยอดเงินฝาก (หรือเงินกู้ยืม แล้วแต่กรณี) ดังนั้นเพื่อให้กองทุนฟื้นฟูฯ สามารถหาแหล่งเงินทุนมาเจือจุนการรับประกันนั้น กองทุนฟื้นฟูฯ จึงต้องทำการกู้ยืมหรืออกพันธบัตร โดยมีรัฐบาลเป็นผู้ให้การค้ำประกัน

อย่างไรก็ดี ปัญหาการขาดแคลนสภาพคล่องของสถาบันการเงินหาได้บรรเทาลงไม่ ในเดือนสิงหาคมปีนั้น ทางการได้ประกาศปิดบริษัทเงินทุนและเงินทุนหลักทรัพย์เป็นการชั่วคราวเพิ่ม อีก 42 บริษัท รวมเป็นบริษัทเงินทุนและเงินทุนหลักทรัพย์ที่ถูกปิดกิจการทั้งสิ้น 56 บริษัท

จากคำมั่นสัญญาที่จะให้ความคุ้มครองกับสถาบันการเงินที่ยังไม่ถูกปิด ของ พลเอกชวลิต เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน นั้น บัดนี้ได้กลายเป็นภาระอันหนักอึ้งของกองทุนฟื้นฟูฯ เพราะต้องหาเงินมาชดเชยความเสียหายให้กับผู้ฝากเงินและเจ้าหนี้ของสถาบันการ เงินที่ถูกสั่งปิดกิจการทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเต็มจำนวน

จากรายงานของคณะกรรมการศึกษาและเสนอแนะมาตรการเพิ่มประสิทธิภาพการ บริหารจัดการระบบการเงินของประเทศ (หรือ ศปร.1) ระบุว่านับแต่เดือนสิงหาคม 2540 ที่ได้มีการประกาศปิดบริษัทเงินทุนและเงินทุนหลักทรัพย์ทั้งสิ้น 56 แห่ง เมื่อถึงปลายปี 2540 กองทุนฟื้นฟูฯ ได้ให้เงินช่วยเหลือสถาบันการเงินไปกว่า 7แสนล้านบาท

เงินจำนวนมหาศาลนี้กองทุนฟื้นฟูฯ ได้มาจากการออกพันธบัตรระยะสั้น ขายให้กับสถาบันการเงินขนาดใหญ่ที่มีสภาพคล่องส่วนเกิน เพื่อมาปล่อยกู้ให้กับสถาบันการเงินที่ประสบปัญหาการขาดสภาพคล่อง อย่างไรก็ดี กองทุนฟื้นฟูฯกลับต้องจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรในอัตราที่สูงมาก เพื่อแลกกับการพยุงสถานะของระบบการเงิน อัตราดอกเบี้ยพันธบัตรที่กองทุนฟื้นฟูต้องจ่ายนั้นในบางช่วงสูงถึงร้อยละ 24 ต่อปี วิธีการดำเนินการเช่นนี้ สร้างภาระที่พอกพูนยิ่งขึ้น จนกองทุนฟื้นฟูฯมีเงินกองทุนติดลบ และทำให้ไม่อยู่ในฐานะที่จะเข้าไปช่วยเหลือสถาบันการเงินอื่นๆได้ ซ้ำร้ายยิ่งไปกว่านั้นการกู้ยืมผ่านพันธบัตรของกองทุนฯ ทำให้การจัดสรรสภาพคล่องในตลาดเงินเกิดความบิดเบือนตามไปด้วย

ด้วยเหตุนี้ ในปี 2541 รัฐบาลของ นายชวน หลีกภัย จึงออกพระราชกำหนดให้อำนาจกระทรวงการคลังออกพันธบัตรกู้เงิน เพื่อชดเชยความเสียหายให้กับกองทุนฟื้นฟูฯ เป็นจำนวน 500,000 ล้านบาท หรือที่เรียกว่าพันธบัตร FIDF 1 โดยกำหนดให้ธนาคารแห่งประเทศไทยต้องนำส่งเงินเข้ามาใช้หนี้ที่เป็นเงินต้น ประมาณ 90% ของกำไรสุทธิของ ธปท. โดยคาดว่าจะชำระหนี้หมดภายในระยะเวลา 30 ปี ส่วนภาระดอกเบี้ยที่เกิดขึ้นจากการออกพันธบัตรนั้น กระทรวงการคลังจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง

ฐานะการเงินของกองทุนฟื้นฟูฯ ก็ยังไม่ดีขึ้น เพราะสินทรัพย์ที่มีล้วนแต่เป็นสินทรัพย์ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ ทำให้รัฐบาลในเวลาต่อมาต้องออกพันธบัตร FIDF 2 (ในปี 2543) และ FIDF 3 (ในปี 2545) ในวงเงิน 112,000 ล้านบาท และ 780,000 ล้านบาท ตามลำดับ

เมื่อนำเงินกู้ทั้งหมดมารวมเข้าเป็นกองเดียว มูลหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯมีมูลค่ารวมเท่ากับ 1.4 ล้านล้านบาท

มาถึงวันนี้หนี้ก้อนดังกล่าว ได้ถูกชำระเงินต้นไปบ้างแล้ว ซึ่งทำให้ยอดคงค้างมีมูลค่าเท่ากับ 1.14 ล้านล้านบาท นับจากปีที่ออก FIDF 3 มาถึงวันนี้ก็เป็นเวลาร่วมสิบปีแล้ว มูลหนี้ได้ลดลงไปเพียง 2.6แสนล้านบาท คิดเฉลี่ยต่อปีจะได้ว่า เงินต้นได้รับการชำระในจำนวน 2.6หมื่นล้านบาทต่อปี

เงินต้นที่ได้รับการชำระไปเพียงเล็กน้อยนี้ได้สร้างภาระต่อกระทรวง การคลังตามไปด้วย เพราะต้องจัดงบประมาณประจำปีไว้เพื่อจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตร ภาระนี้ได้สร้างข้อจำกัดทางด้านการคลังต่อรัฐบาลปัจจุบันที่ต้องอาศัยงบ ประมาณแผ่นดินจำนวนมหาศาลเพื่อดำเนินการโครงการตามที่หาเสียงไว้ และโครงการฟื้นฟูประเทศภายหลังมหาอุทกภัยในปี 2554

นี่จึงเป็นสาเหตุให้รัฐบาลต้องเร่งออกพระราชกำหนดเพื่อโอนภาระการ ชำระดอกเบี้ยพันธบัตร FIDF รุ่นต่างๆ ไปให้กับธนาคารแห่งประเทศไทย โดยใน พ.ร.ก.ดังกล่าวได้ระบุให้กองทุนฟื้นฟูฯ (ซึ่งในทางปฏิบัติ ก็คือ ธนาคารแห่งประเทศไทย) เป็นผู้รับผิดชอบการชำระคืนเงินต้นและดอกเบี้ยของพันธบัตร FIDF ทั้ง 3 รุ่น โดยในมาตรา 5 ของร่าง พ.ร.ก.ฉบับนี้กำหนดให้กระทรวงการคลังจัดตั้งบัญชีสะสมเพื่อการชำระคืนเงิน กู้ชดใช้ความเสียหายของกองทุนฟื้นฟูฯ ขึ้น โดย ธปท.จะต้องนำส่งเงินหรือสินทรัพย์ ต่อไปนี้เข้าในบัญชีสะสมในแต่ละปี อันได้แก่ หนึ่ง ผลกำไรของ ธปท. ในแต่ละปีจะต้องถูกนำส่งเข้าบัญชีเพื่อนำไปชำระคืนต้นเงินกู้และดอกเบี้ยใน อัตราไม่ต่ำกว่าร้อยละ 90 สอง สินทรัพย์คงเหลือในบัญชีผลประโยชน์ประจำปีจะถูกโอนเข้าบัญชีสะสมนี้ แทนที่จะนำส่งเข้าบัญชีสำรองพิเศษตามพระราชบัญญัติเงินตรา(มาตรา33) สาม เงินหรือสินทรัพย์ใดๆ ของธนาคารแห่งประเทศไทย ตามที่คณะรัฐมนตรีกำหนด (ซึ่งเป็นมาตรา 7(3) ในร่าง พ.ร.ก. นั่นเอง) และ สี่ ให้กองทุนฟื้นฟูฯ นำส่งเงินที่เรียกเก็บจากสถาบันการเงินเข้าบัญชีสะสมนี้

จะเห็นได้ว่า ร่าง พ.ร.ก. ฉบับนี้ได้แปลงหนี้กองทุนฟื้นฟูฯ จากหนี้สาธารณะให้กลายเป็นภาระที่แบงก์ชาติ และสถาบันการเงินต้องช่วยกันแบกรับแทน สถาบันการเงินนั้นต้องจ่ายเงินเข้ากองทุนฟื้นฟูฯ ซึ่งไม่ต่างจากการจ่ายภาษีให้กับรัฐบาล กรณีนี้อาจพอจะเข้าใจได้ หากมองว่าสถาบันการเงินคือผู้ได้รับประโยชน์จากการก่อหนี้ของกองทุนฟื้นฟูฯ ในช่วงที่เกิดวิกฤติเศรษฐกิจปี 2540 ดังนั้นจึงสมควรต้องแบ่งเบาภาระหนี้ส่วนนี้บ้าง

แต่สำหรับธนาคารแห่งประเทศไทยนั้นแตกต่างออกไป การที่ธนาคารกลางรับชำระคืนหนี้สาธารณะนั้น จะกระทำได้ก็ด้วยการพิมพ์ธนบัตรใหม่ขึ้นมาเพียงสถานเดียว เราทราบกันดีว่าวิธีการ Monetize public debt หรือพิมพ์เงินเพื่อชำระหนี้สาธารณะนี้ไม่เพียงก่อให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อตามมา เท่านั้น แต่ยังสะท้อนถึงธนาคารกลางที่ถูกครอบงำโดยรัฐบาลหรือกระทรวงการคลังอีกด้วย ประเด็นหลังนี้สร้างความเสียหายที่รุนแรงต่อการดำเนินนโยบายการเงินมาก เพราะจะทำให้นโยบายการเงินไร้ประสิทธิภาพ จนไม่สามารถรักษาเสถียรภาพทางเศรษฐกิจได้อีกต่อไป

ผมเชื่อว่าเราคงไม่อยากเห็นสถาบันที่มีความเป็นกลางและเป็นอิสระ อย่างธนาคารแห่งประเทศไทยต้องตกอยู่สภาพเช่นนั้นนะครับ ท่ามกลางกระแสเศรษฐกิจโลกที่มีความผันผวนสูง เรายังต้องการนโยบายการเงินที่มีประสิทธิภาพอยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งในยุคสมัยที่นักการเมืองไม่สามารถเป็นที่พึ่งพาได้

สับขาหลอกเพื่อเลิกม.309?


สับขาหลอกเพื่อเลิกม.309? : ขยายปมร้อน โดย ศรุติ ศรุตา
นับว่าเป็นยุทธวิธีอันชาญฉลาดอย่างหาตัวจับยากจริงๆ หากว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คิดได้อย่างบทสรุปของฝ่ายความมั่นคงในกรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญ

วิธีการ "สับขาหลอก" สร้างความสับสนให้แก่ทุกฝ่าย โดยเฉพาะฝ่ายที่คัดค้านได้แต่นั่งงงเป็นไก่ตาแตก เพราะตามไม่ทันเกม จับทางไม่ถูกว่า จะไปทางไหน

เพราะมีทั้งข้อเสนอจาก ส.ส.เสื้อแดง จาก นปช. และจาก คอ.นธ.

เป้าหมายของการแก้ไขรัฐธรรมนูญนั้น หากว่า จะให้เป็นไปอย่างเนียนๆ และเพื่อให้ พ.ต.ท.ทักษิณ พ้นจากมลทินทั้งหมดก็ต้องมุ่งไปที่การยกเลิก มาตรา 309

มาตรา 309 บัญญัติว่า “บรรดาการใดๆ ที่ได้รับรองไว้ในรัฐธรรมนูญเเห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับชั่วคราว) พุทธศักราช 2549 ว่าเป็นการชอบด้วยกฎหมายเเละรัฐธรรมนูญ รวมทั้งการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกับกรณีดังกล่าวไม่ว่าก่อนหรือหลังวันประกาศใช้รัฐธรรมนูญนี้ ให้ถือว่าการนั้นเเละการกระทำนั้นชอบด้วยรัฐธรรมนูญนี้”

"บรรดาการใดๆ" นั่นก็ย่อมต้องหมายรวมไปถึง การตั้ง คตส.ขึ้นมาตรวจสอบทรัพย์สินของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอาไว้ด้วย

หากรัฐธรรมนูญใหม่ออกมาโดยไม่มีมาตรา 309 ก็อาจจะต้องตีความว่า คดีความที คตส.ทำไป ทั้งคดีที่ศาลมีคำพิพากษาแล้วอย่างคดีที่ดินรัชดา และคดียึดทรัพย์ นั้น เข้าข่ายที่จะต้องยกเลิกไปด้วยหรือไม่ หากว่า เป็นการปฏิบัติที่ไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ

แต่ประเด็นที่ซีเรียสก็คือการยึดทรัพย์

เพราะในรัฐธรรมนูญระบุไว้ชัดเจนว่า ผู้ต้องคดียึดทรัพย์ไม่สามารถดำรงตำแหน่งทางการเมืองได้ และก็คงไม่มีใครกล้าลักไก่แก้ไขมาตรานี้เป็นแน่

ดังนั้นจึงเป็นการบ้านข้อใหญ่ที่จะต้องสะสางเพื่ออนาคตข้างหน้าหากว่าจำเป็นต้องเข้ามาเป็นผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองอีกครั้งจะได้ต้องมีเรื่องกวนใจ

ส่วนเงินที่ถูกยึดไปจะได้คืนหรือไม่ ไม่ใช่เรื่องใหญ่

แผนถัดมาก็คือ ทำอย่างไรไม่ให้ "ฝ่ายตรงกันข้าม" อยู่ในฐานะที่ขี่คอเป็นภัยคุกคามทั้งในด้านการเมืองและด้านอื่นๆ

"ฝ่ายตรงกันข้าม" ที่ว่าอาจแยกออกได้

1.กลุ่มอนุรักษนิยม อันประกอบไปด้วย อำมาตย์ และกองทัพ

2.กลุ่มพรรคการเมืองและกลุ่มพลังมวลชน

สำหรับกลุ่มพลังมวลชนนั้นประกอบด้วย "กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย" "กลุ่มสมัชชาประชาชน" ที่มี พล.ร.อ.บรรณวิทย์ เก่งเรียน เป็นประธาน ไชยวัฒน์ สินสุวงศ์ เป็นเลขาฯ และมี น.ต.ประสงค์ สุ่นศิริ เป็นที่ปรึกษา "กลุ่มเสื้อหลากสี" ที่มี นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์ เป็นแกนนำ และสุดท้ายคือ "กลุ่มสยามสามัคคี"

2-3 กลุ่มท้ายๆ ไม่มีอะไรน่าห่วง เพราะวิเคราะห์แล้วว่า เป็นของพรรคประชาธิปัตย์ หรือใกล้ชิดกับคนในพรรค การเคลื่อนไหวจึงเน้นไปที่ชัยชนะของพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งตรงนี้ พ.ต.ท.ทักษิณ มั่นใจว่าถึงอย่างไร พรรคเพื่อไทยก็ชนะเลือกตั้ง

ปัญหาคือ 2 กลุ่มแรกนั่นแหละ !

เพราะที่ผ่านมามักเคลื่อนไหวในลักษณะเฉี่ยวไปเฉี่ยวมา บางครั้งถึงกับปลุกเร้ากองทัพ ถามหาความจงรักภักดี ซึ่งการเคลื่อนไหวในลักษณะนี้ทำให้เกิดความเสี่ยง เพราะไม่รู้ว่าเมื่อใด เรื่องไหนจะ "จุดติด" ทุกเรื่องต้องเน้นความละเอียดโดยเฉพาะประเด็นความขัดแย้งกับกัมพูชา ยิ่งต้องดูกันเป็นพิเศษ

เพราะหากเกิดการปะทะกันอีกครั้ง โอกาสที่เพียรสร้างจนชนะการเลือกตั้งและใกล้ถึงวันกลับบ้านก็คงจะปิดตายลงอย่างถาวร

เพราะทหารยุค พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็น ผบ.ทบ. ไม่เหมือนกับยุค "ขิงแก่" หรือยุค พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน อดีตประธาน คมช. ที่แม้จะยึดอำนาจ แต่ก็เร่งปล่อยทิ้งพ้นตัว แล้วก็กลายเป็น ขว้างงูไม่พ้นคอ

ถึงแม้ว่าจะยังมีมวลชนคนเสื้อแดงยืนเคียงข้าง แต่ต่างก็รู้ดีว่า เมื่อถึงเวลาเชยชมชัยชนะกระสุนเสบียงที่เตรียมไว้ก็ไม่พอ แถมยังต้องไปทำตามเงื่อนไขที่ตกลงกันไว้แต่แรกอีกด้วย การใช้มวลชนจึงไม่อาจพร่ำเพรื่อ และต้องคิดถึงผลข้างเคียงให้มากเข้าไว้

หาไม่แล้วโอกาสที่จะลุกขึ้นมาได้ก็คงไม่มี ขณะที่คดีความที่ค้างคาอยู่ก็คงจะเดินหน้าไปอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับการหาช่องทางบังคับคดีเพื่อสกัดพ.ต.ท.ทักษิณ อย่างเด็ดขาด

ถึงจะรีบ ก็ต้องเป็นการรีบอย่างระมัดระวังและมีชั้นเชิง

ซึ่งเมื่อดูบทบาทของ "บิ๊กอ๊อด" พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา รมว.กลาโหมแล้ว ก็พอจะเข้าตาคนไกลบ้านอยู่บ้าง โดยเฉพาะกำหนดนัดลงเรือจักรีนฤเบศร ที่เตรียมการแสดง "การสวนสนามทางน้ำ" ขณะที่ กองทัพอากาศก็เตรียม "แอร์โชว์" แสดงแสนยานุภาพด้วยเครื่องบินรบอันทันสมัย

"อีเวนท์" หรืองานพิเศษๆ เจอกับทหารเช่นนี้ ส่งผลต่อภาพลักษณ์ของ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโดยตรง เพราะภาพที่ออกไปนั้น ยิ่งลักษณ์ ก็ไม่ต่างกับ "หงส์" ที่อยู่เหนือขุนทัพทั้งหลาย

ถ้าภาพโกอินเตอร์เผยแพร่ออกนอกประเทศ ยิ่งลักษณ์ จากที่ถูกตั้งฉายา "นายกฯ นกแก้ว" ก็จะกลายเป็น "หญิงเหล็กแห่งเอเชีย"ไปแค่ชั่วข้ามคืน

บทสรุปที่ว่าคือ ที่มาของการปล่อยให้มีความหลากหลายในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อหยั่งกระแสได้แล้วค่อยเลือกฟันธง เพราะเมื่อกำหนดให้มี ส.ส.ร.แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากที่จะกำหนดเนื้อหาของรัฐธรรมนูญ

ฉลาด รอบด้าน มองไกล จนน่าเสียดายจริงๆ ที่ไม่มีโอกาสเข้ามาบริหารประเทศ เพราะต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี

แจงเหตุผล ทำไมไทยต้องมีกฎหมายต้านทรมาน

ที่มา : TCIJ

‘พูนสุข พูนสุขเจริญ’ เจ้าหน้าที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม แจงกรณีร่วมกับองค์กรภาคประชาชนร่าง พ.ร.บ.ป้องกันและต่อต้านการทรมาน อธิบายทำไมไทยต้องออกกฎหมายต้านทรมานตามอนุสัญญาแห่งสหประชาชาติ


ก่อนสิ้นปี 2554 มีความเคลื่อนไหวสำคัญอีกอย่างหนึ่งในกลุ่มองค์กรภาคประชาสังคมที่ทำงานเกี่ยวกับพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ นั่นคือการร่างร่างพระราชบัญญัติ (พ.ร.บ.) ป้องกันและต่อต้านการทรมาน พ.ศ. ... โดยมูลนิธิผสานวัฒนธรรม ร่วมกับเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) เป็นเจ้าภาพหลักที่เคลื่อนไหวควบคู่ไปพร้อมกับหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องในการร่างแก้ไขกฎหมาย เพื่อให้มีการป้องกันและแก้ไขปัญหาการซ้อมทรมานด้วยเช่นกัน

แน่นอนว่า ร่างกฎหมายฉบับนี้มีเป้าหมายอยู่ที่ปัญหาการซ้อมทรมานในพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งที่ผ่านมามีการร้องเรียนจากคนในพื้นที่ว่า ถูกเจ้าหน้าที่รัฐทำร้ายร่างกายเพื่อให้รับสารภาพระหว่างถูกควบคุมตัวในช่วงก่อนหน้านี้

นางสาวพูนสุข พูนสุขเจริญ เจ้าหน้าที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม หนึ่งในทีมงานที่เป็นผู้ขับเคลื่อนเรื่องนี้ อธิบายเหตุผลที่ประเทศไทยต้องมีกฎหมายต่อต้านการทรมานว่า ประเทศไทยได้ลงนามเป็นภาคีอนุสัญญาต่อต้านการทรมานและการปฏิบัติหรือการลงโทษอื่นที่โหดร้ายไร้ มนุษยธรรม หรือที่ย่ำยีศักดิ์ศรี หรือเรียกสั้นๆ ว่าอนุสัญญา CAT แห่งสหประชาชาติ ตั้งแต่ปลายปี พ.ศ.2551 ทำให้ประเทศมีพันธกรณีจำเป็นต้องออกกฎหมายตามอนุสัญญาฯ ดังกล่าว แต่ประเทศไทยยังไม่มีกฎหมายลูกเกี่ยวกับการเอาผิดเจ้าหน้าที่รัฐที่กระทำการทรมานผู้ต้องขังเพื่อให้ได้ซึ่งข้อมูล

ขณะเดียวกัน กรมคุ้มครองสิทธิและเสรีภาพ กระทรวงยุติธรรม กำลังร่างกฎหมายลูกเกี่ยวกับการซ้อมทรมานในส่วนของภาครัฐ โดยมีแนวโน้มว่าจะมีการร่างแก้ไขประมวลกฎหมายอาญา และร่างแก้ไขประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา โดยการเพิ่มบางมาตราเข้าไป เช่น นิยามการซ้อมทรมานและเพิ่มฐานความผิดในเรื่องของการทรมาน ฉะนั้นภาครัฐจะยังใช้กลไกเดิมอยู่

นางสาวพูนสุข กล่าวด้วยว่า เครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน เตรียมที่จะเสนอกลไกใหม่ออกมา เพราะเห็นว่า กลไกเดิมไม่เอื้อต่อการลดการทรมานได้ โดยเสนอให้มีคณะกรรมการเฉพาะ 2 คณะ ได้แก่ คณะกรรมการสืบสวนสอบสวน และคณะกรรมการเยียวยา เพื่อให้การทำงานประเด็นการซ้อมทรมาน สามารถหาผู้กระทำผิดได้ ซึ่งต่างจากกลไกเดิมที่ผู้ถูกซ้อมทรมาน ต้องหาหลักฐานมายืนยันว่าถูกซ้อมจริง แทนที่ควรจะเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ที่จะพิสูจน์ว่า ไม่ได้ซ้อมทรมานผู้ถูกควบคุมตัว

ที่ผ่านมามีตัวอย่างผู้ถูกควบคุมตัว ในฐานะผู้ต้องสงสัยคดีความมั่นคงใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ร้องเรียนต่อองค์กรอิสระว่า ถูกซ้อมทรมานเพื่อให้รับสารภาพในระหว่างการถูกควบคุมตัว ซึ่งแทนที่จะมีกลไกตรวจสอบสืบสวน สอบสวนตามข้อเท็จจริง เพื่อพิสูจน์ว่ามีการซ้อมทรมานจริงหรือไม่ กลับถูกเจ้าหน้าที่ฟ้องร้องข้อหาแจ้งความเท็จ ทำให้ชาวบ้านไม่กล้าที่จะร้องเรียนเพื่อเอาผิดต่อเจ้าหน้าที่

“คดีนักศึกษายะลาถูกซ้อมทรมานเป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า ไม่สามารถเอาผิดทางอาญาเจ้าหน้าที่กระทำผิดได้ เพราะไม่สามารถระบุตัวบุคคลที่กระทำการซ้อมทรมานนักศึกษา จึงทำให้สามารถฟ้องร้องได้แค่ในส่วนของทำร้ายร่างกายอย่างเดียว” นางสาวพูนสุขกล่าว

เจ้าหน้าที่มูลนิธิผสานวัฒนธรรม กล่าวด้วยว่า ขณะนี้เครือข่ายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน นำโดยเครือข่ายนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (HRLA) สมาคมสิทธิเสรีภาพของประชาชน (สสส.) มูลนิธิผสานวัฒนธรรม (CRCF) ได้พยายามให้มีการแก้ไขจุดอ่อนดังกล่าว โดยจะเสนอร่างพระราชบัญญัติป้องกันและต่อต้านการทรมาน พ.ศ. ... ซึ่งเป็นกฎหมายที่ภาคประชาชนเสนอ แต่ต้องมีเสียงสนับสนุน 10,000 รายชื่อ ตามที่รัฐธรรมนูญกำหนด

“ร่างกฎหมายฉบับนี้ จะถูกเสนอพร้อมๆ กับร่างกฎหมายของภาครัฐ ซึ่งจะเป็นโอกาสในการถกเถียงแลกเปลี่ยนกันในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร เพื่อหาจุดร่วมที่ดีที่สุดของกฎหมายดังกล่าว แต่ก็มีเสียงที่ไม่เห็นด้วยจากภาครัฐ โดยให้เหตุผลว่า เป็นการตั้งคณะทำงานที่ซ้ำซ้อนและสิ้นเปลืองงบประมาณ” นางสาวพูนสุขให้ข้อมูล

นางสาวพูนสุข กล่าวว่า ขณะนี้เครือข่ายองค์กรด้านสิทธิมนุษยชน เตรียมประสานงานกับองค์กรในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อดำเนินการรวบรวมรายชื่อประชาชนในพื้นที่ที่ต้องการมีส่วนร่วมในการร่วมเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว ให้ได้ 10,000 รายชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวต่อประธานสภาผู้แทนราษฎร

สำหรับประชาชนที่ต้องการมีส่วนร่วมเสนอร่างกฎหมายดังกล่าว สามารถติดตามข่าวสารได้ทางเว็บไซต์ www.naksit.org หรือข่าวประชาสัมพันธ์จากองค์กรภาคีในพื้นที่ ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการประสานงาน โดยคุณสมบัติประชาชนที่สามารถมาร่วมเสนอร่างกฎหมายต้องเป็นผู้ที่มีสิทธิเลือกตั้ง และได้ใช้สิทธิในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมาด้วย ส่วนหลักฐานประกอบคือสำเนาบัตรประชาชนและสำเนาทะเบียนบ้าน พร้อมกรอกข้อมูลยินยอมด้วย เพื่อให้แน่ชัดว่าเป็นความยินยอมจากประชาชนจริง แต่ถ้ายังไม่พร้อมจะให้ชื่อแก่เครือข่าย ก็สามารถมีส่วนร่วมในทางอื่นได้ เช่น การรณรงค์ต่อต้านการซ้อมทรมาน เป็นต้น


รายงานโดย: อารีด้า สาเม๊าะ โรงเรียนนักข่าวชายแดนใต้ ศูนย์เฝ้าระวังสถานการณ์ภาคใต้ (DSJ)



รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง