บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2554

"เรือดำน้ำ" ความหวังทัพเรือไทย

กลายเป็นประเด็น “ยืดเยื้อ” สำหรับโครงการจัดซื้อ “เรือดำน้ำ” มือสองรุ่น U 206 A จากประเทศเยอรมนีของกองทัพเรือที่ต้องการจัดซื้อจัดหามาโดยตลอด แม้ทุกฝ่ายจะเห็นด้วยกับความจำเป็นในการจัดซื้อเรือดำน้ำ แต่จนแล้วจนรอด โครงการจัดซื้อดำน้ำมือสองเยอรมนีก็ยังไม่นำเข้าสู่ที่ประชุม ครม.เสียที ขณะนี้โครงการยังคงค้างคาอยู่ที่สำนักงบประมาณกลาโหมที่กำลังศึกษาราย ละเอียดความคุ้มค่า หลังที่ทางทัพเรือมีการปรับลดวงเงินจาก 7,591 พันล้านบาท เหลือ 6,995 พันล้านบาท ท่ามกลางกระแสข่าวว่า มีความพยายามผลักดันโครงการซื้อเรือดำน้ำ “มือหนึ่ง” ของ “เกาหลีใต้” รุ่น U 209 เข้ามาแทนที่ “เรือเก่า” เยอรมนี

วันนี้ “บ้านเมือง” ได้มีโอกาสไปนั่งพูดคุยกับ “ผู้ใช้เรือดำน้ำโดยตรง” พล.ร.ต.สุริยะ พรสุริยะ ผบ.กองเรือดำน้ำ ถึงความจำเป็นที่ต้องมีการเร่งจัดซื้อเรือดำน้ำโดยเร็ว และเหตุผลว่า ทำไมต้องเป็นมือสองของเยอรมนีเท่านั้น!!!

ความจำเป็นที่กองทัพเรือต่อกรณีการจัดซื้อเรือดำน้ำ

ความ จริงกองทัพเรือต้องการจัดหาเรือดำน้ำมานานแล้ว เราเคยมีเรือดำน้ำชุดแรกเข้าประจำการเมื่อปี 2480 โดยเราใช้เรือดำน้ำมาถึงปี 2494 ต้องปลดระวางเพราะญี่ปุ่นแพ้สงครามโลกจึงไม่สามารถจัดหาอะไหล่ให้เราได้ จากนั้นเราพยายามจัดหาเรือดำน้ำมาตลอด แต่มีปัญหาสารพัด เรื่องสำคัญคือ งบประมาณ เพราะค่าใช้จ่ายสูง โดยเรือดำน้ำเป็นอาวุธที่มีอานุภาพร้ายแรง เป็นอาวุธลับที่เรามองไม่เห็น ตรวจจับยาก มีอาวุธที่เด็ดขาด เมื่อประเทศเพื่อนบ้านมีหมด ทั้งสิงคโปร์ มาเลเซีย และล่าสุดคือ เวียดนาม จากเดิมที่เราอาจยังไม่ค่อยเดือดร้อนเท่าไร แต่เมื่อประเทศเพื่อนบ้านมีหมด เราก็เดือดร้อน ภัยคุกคามกับความตั้งใจปัจจุบันอาจยังไม่มี ประเทศเพื่อนบ้านอาจยังเป็นมิตรเพราะยังไม่มีเงื่อนไขร้ายแรงที่จะนำไปสู่ การทะเลาะเบาะแว้งกัน แต่เขามีขีดความสามารถ ซึ่งขีดความสามารถของเรือดำน้ำไม่ใช่วันนี้ กว่าเราจะสร้างขีดความสามารถเรือดำน้ำได้ต้องใช้เวลา 6-9 ปี เมื่อประเทศเพื่อนบ้านมีเรือดำน้ำแล้วจึงเป็นความจำเป็นเร่งด่วน      

ทำไมต้องเป็นเรือดำน้ำมือสองของเยอรมนี

เมื่อ ปี 2553 เราเสนอความต้องการงบประมาณจัดหาเรือดำน้ำ 2-3 ลำ โดยเสนองบประมาณไป 4.8 หมื่นล้านบาทผูกพันงบประมาณ 10 ปี โดยหน่วยงานต่างๆ ที่เกี่ยวข้องต่างเห็นว่า เรือดำน้ำจำเป็นแต่งบประมาณสูงมาก และภาระผูกพันยาว จึงเสนอให้กองทัพเรือกลับมาทบทวนใหม่ เมื่อกองทัพเรือกลับมาทบทวน เป็นจังหวะเดียวกับที่ทางกลาโหมเยอรมนีจะปรับลดงบประมาณ จึงจะยุบกองเรือดำน้ำแบบ 206 A จำนวน 6 ลำ โดย 4 ลำยังใช้งานได้อยู่ แต่อีก 2 ลำเขาปลดระวางไปก่อนหน้านั้น ซึ่งเขาเห็นว่าเราสนใจจะจัดหาเรือดำน้ำ เขาจึงเสนอโครงการนี้ให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงของเรา เมื่อพิจารณาเรือดำน้ำของเขา พบว่า เป็นเรือดำน้ำที่ออกแบบมาเพื่อใช้สำหรับกลางทะเลบอลติกเอาไว้รบกับสหภาพ โซเวียตในยุคนั้น เป็นเรือที่ออกแบบสำหรับน้ำตื้น ซึ่งทะเลบอลติกมีลักษณะท้องทะเล ระดับน้ำใกล้เคียงกับประเทศไทย และโครงการนี้เป็นการโอนกองเรือของเขามาให้เราทั้งหมด ทั้งระบบเครื่องฝึกจำลอง อะไหล่ อาวุธ ตอร์ปิโด รวมทั้งการสนับสนุน และการปรับปรุงทั้งหมด ดังนั้นเราจะมีขีดความสามารถเรือดำน้ำได้ในเวลาแค่ 2 ปี อีกทั้งยังเป็นตัวเร่งให้เราทัดเทียมกับประเทศเพื่อนบ้านได้ในเวลาอันรวด เร็ว

โครงการนี้เราพิจารณาความคุ้มค่าแล้ว แต่เป็นโครงการแรกที่มีการตรวจสอบอย่างที่ไม่เคยมีการตรวจสอบมาก่อน ตั้งแต่สมัย พล.อ.ประวิตร ที่นำเรื่องเข้าสภากลาโหม แต่เผอิญเป็นจังหวะที่มีการยุบสภาจึงให้ทางเราไปเจรจากับเยอรมนีให้เขายืด เวลาออกไป ซึ่งเขาเข้าใจสถานการณ์การเมืองของเราจึงขยายเวลาให้จนถึง 30 ก.ย. เมื่อเขาตกลงขยายเวลา เราจึงปรับโครงการต่างๆ เสนอขึ้นไปยังกระทรวงกลาโหม ซึ่งมีการตั้งกระบวนการในการตรวจสอบศึกษาเพิ่มขึ้นมาอีก ซึ่งจากการชี้แจง คณะกรรมการทั้งหมดสนับสนุนโครงการนี้ ยกเว้น พล.ร.อ.ประเสริฐ บุญทรง ประธานคณะกรรมการศึกษาโครงการ เห็นว่า ให้ทบทวนเรื่องความคุ้มค่า จากนั้นก็มีสำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน (สตง.) ทำหนังสือขอให้ไปชี้แจงความคุ้มค่า ความโปร่งใส เราก็ส่งทีมงานไปชี้แจง ซึ่งเคลียร์หมดทุกประเด็น จนกระทั่งหมดข้อสงสัย ขณะนี้เรื่องก็ยังอยู่ที่ รมว.กลาโหม ยังไม่ได้นำเข้า ครม. ขณะนี้เราเจรจากับเยอรมนีขอยืดเวลาออกไปเป็นกลางเดือน พ.ย. ซึ่งเขาตอบรับอย่างไม่เป็นทางการ ขณะนี้รอดูว่า รมว.กลาโหมจะเสนอเข้า ครม.หรือไม่ เพราะเราได้ไปชี้แจงกับเลขาฯ นายกฯ แล้ว ซึ่ง รมว.กลาโหมอาจจะต้องระมัดระวังมาก เพราะโครงการนี้มีการวิพากษ์วิจารณ์กันพอสมควรว่าเป็นเรือเก่า กลัวว่าเมื่อซื้อมาจะใช้การไม่ได้

มองว่าโครงการนี้ติดขัดปัญหาอะไรจึงยังไม่ถูกนำเข้า ครม.

ไม่ เข้าใจเหมือนกัน แต่สิ่งที่พูดกันมาก คือ เป็นเรือเก่าทำให้อาจมีปัญหา ภาระการซ่อมบำรุง ปัญหาความปลอดภัย ซึ่งเราชี้แจงแล้วว่า แม้เรือจะอายุมากแล้ว แต่ตัวเรือเป็นเหล็กพิเศษ มีส่วนผสมของโครเมียมกับนิกเกิล คล้ายสเตนเลสที่ไม่เป็นสนิม ทำให้ตัวเรือไม่มีหมดอายุ เพราะไม่ผุ ไม่กร่อน แต่มาตรฐานทางอุตสาหกรรมของอังกฤษบอกว่า เหล็กชนิดนี้มีอายุใช้ได้ไม่น้อยกว่า 75 ปี ตอนนี้ใช้งานมาแล้ว 30 กว่าปี ซึ่งเหล็กทั่วไปมีอายุใช้งาน 30 ปี ถ้าเป็นเหล็กของทางเอเชีย เช่นจีนก็จะมีอายุต่ำกว่านั้น ประมาณ 20 กว่าปี เรือนี้เป็นมาตรฐานของเยอรมนี นี่คือโอกาสทางทหาร ถ้าเราไม่รีบคว้ามันก็จะพลาดไป แล้วเราจะต้องไปเสียเงินเยอะ

มองเรือดำน้ำประเทศอื่นหรือไม่ หากโครงการนี้ไม่ผ่าน

เรา ศึกษามาโดยตลอด หากเป็นประเทศอื่นต้องเป็นเรือใหม่ ถ้าไม่ได้เรือชุดนี้ก็คงอีกนานมากๆ ที่เราจะมีเรือใหม่ได้ ซึ่งเรือดำน้ำใหม่อย่างของเกาหลีที่เขาเสนอมาลำละ 1.4 หมื่นล้านบาท เป็นตัวเรืออย่างเดียวที่ไม่มีอาวุธ หรืออะไรเลย แต่โครงการเรือดำน้ำ 206 A จากเยอรมนีมาพร้อมกับอะไหล่ที่เยอรมนีสะสมเอาไว้เพื่อรักษาความพร้อมทาง ยุทธการของเรือไปจนถึงปี 2015 ซึ่งหากเรานำมาใช้อาจใช้ได้ถึงปี 2020 เพราะการใช้งานของเราไม่ตรากตรำเท่ากับทางยุโรป โครงการเรือดำน้ำนี้ถือเป็นโครงการที่สมบูรณ์แบบที่สุด และเหมาะกับอ่าวไทยที่สุด

ถ้าเลยวันที่เยอรมนีกำหนด คือวันที่ 15 พ.ย.โครงการนี้สิ้นสุดใช่หรือไม่

สิ่ง ที่เราเจรจากับทางเยอรมนีให้ยืดเวลาถึง พ.ย.เพื่อจะได้ไม่มีข้ออ้าง แต่ดึงยังไงก็คงเลทไปไม่ได้มากกว่านี้ แต่เราเชื่อว่าจะไปได้ ซึ่งเราได้ให้เหตุผลว่า ขณะนี้เรากำลังวุ่นวายกับเรื่องน้ำท่วมจึงขอเลื่อนเวลากับเขา ซึ่งเขาก็เข้าใจ เราแจ้งกับฝ่ายเขาว่า เราต้องการจริงๆ แต่เขาก็คงไม่สามารถรอได้แบบไม่มีที่สิ้นสุด คิดว่าน่าจะเป็นครั้งสุดท้าย เราไม่มีหน้าที่จะไปบากหน้าขอเขาอีกแล้ว

กระแสข่าวว่า กลาโหมต้องการเรือดำน้ำเกาหลี ได้ศึกษาข้อดีข้อเสียเทียบกับของเยอรมนีอย่างไร

เรือ ดำน้ำของเกาหลีเขาต่อเรือดำน้ำ 209 ได้ลิขสิทธิ์จากเยอรมนี ตัวเรือเชื่อว่าคงไม่มีปัญหาอะไร แต่ระบบอุปกรณ์ข้างในอาจจะใช้อย่างของเยอรมนีไม่ได้ ถ้าดูจริงๆ เรือใหม่จริง แต่เป็นเทคโนโลยีเก่า ถ้าเราจะเริ่มต้นรุ่น 209 ที่ราคา 1.4 หมื่นล้านบาท แต่หากเราเพิ่มอีก 2-3 พันล้านบาท เราจะได้เรือดำน้ำใหม่จากแม่แบบเยอรมนีเอง แถมเป็นเรือรุ่นใหม่ด้วย ถ้าเทียบกันจริงๆ ในทางเทคนิค เกาหลีเป็นรองแน่นอน เพราะเขารับเทคโนโลยีมาจากเยอรมนี และไม่ใช่เจ้าของเทคโนโลยีโดยตรง ปัจจุบันเรือดำน้ำแบ่งออกเป็น 3 เกรด คือ 1.เกรดยุโรป คือ เยอรมนี ฝรั่งเศส สวีเดน ซึ่งเป็น 3 ผู้ผลิตรายหลักที่จัดอยู่ในแถวหน้า 2.เกรดยุโรปตะวันออก อาทิ รัสเซีย และ 3.เกรดเอเชีย คือ เกาหลี จีน ทั้งนี้เกาหลีมาแตะเรื่องเรือดำน้ำไม่ถึง 10 ปี ขณะที่เยอรมนีเป็นเจ้าแห่งเรือดำน้ำ

หากกองทัพเรือยังไม่ได้เรือดำน้ำจะส่งผลอย่างไรต่อความมั่นคง

หาก ยังไม่ได้ เราคงต้องศึกษาต่อไปจนกว่าจะได้ เราคงต้องพยายามต่อไป ขณะนี้กองทัพเรือได้ปรับปรุงขีดความสามารถในการปราบเรือดำน้ำจากเรือผิวน้ำ หรือเฮลิคอปเตอร์ แต่ยังไม่สมบูรณ์ เพราะไม่สามารถการันตีได้ว่าเราปราบเรือดำน้ำได้ เนื่องจากเรือดำน้ำตรวจจับได้ยาก เมื่อประเทศเพื่อนบ้านมีเรือดำน้ำ เราต้องกลัวไว้ก่อน กองทัพเรือทั่วโลกทุกประเทศ ถ้าเขามีปัจจัยงบประมาณเพียงพอ เขาจะดิ้นรนขวนขวายมีเรือดำน้ำ ขนาดประเทศยากจนแถบทวีปอเมริกาใต้ก็มีเรือดำน้ำมานานแล้ว เพราะเรือดำน้ำเป็นอาวุธที่ทำให้ประเทศที่มีกำลังด้อยกว่าสามารถเทียบชั้น ประเทศที่เหนือกว่าได้ นี่คืออาวุธที่จะทำให้คนอ่อนแอกว่าสามารถทำให้คนที่เข้มแข็งกว่าต้องระวัง ตัว บางคนบอกว่า เราไม่มีเรือดำน้ำมา 60 ปีแล้ว เราก็ยังอยู่ได้ ก็ไม่มีต่อไป ใช่ เราอยู่ได้ แต่เราอยู่บนความเสี่ยง อยู่บนความรู้สึกต่ำต้อยกว่าประเทศรอบบ้าน ในทางเรือเราเคยเป็นหนึ่งในอาเซียน สิงคโปร์ มาเลเซียเคยมาขอฝึกกับเรา แต่เดี๋ยวนี้เราต้องไปเรียนกับเขาแทน เป็นความรู้สึกว่า หน้าตาความภาคภูมิใจเกียรติภูมิของชาติถดถอยลง แต่เรือดำน้ำเป็นเรื่องคอขาดบาดตาย เราจำเป็นต้องมี

นี่คือเสียง สะท้อนจากใจของผู้ที่ใช้ “เรือดำน้ำ” โดยตรง ที่ พล.ร.ต.สุริยะ อธิบายถึงความจำเป็นของการจัดซื้อเรือดำน้ำ และเหตุผลที่เลือกเรือดำน้ำจากเยอรมนีประเทศที่เป็นแถวหน้าของโลก ด้วยเหตุผลของกองทัพเรือเพื่อต้องการไว้ปกป้องผลประโยชน์อ่าวไทยที่มีมูลค่า หลายล้านๆ บาท หรืออาจประเมินค่าไม่ได้ด้วยซ้ำ นี่คือความต้องการจาก “ผู้ใช้” ที่ขณะนี้ยังคงรอความหวังจาก “ผู้ซื้อ” ว่าจะเล็งเห็นประโยชน์และความจำเป็นของ “เรือดำน้ำ” อย่างที่กองทัพเรือเล็งเห็น

รุ่งอรุณ ลภาสวัสดิ์นันท์

“ทักษิณ vs รัฐประหาร”การเมืองไทยกำลังแปลงร่างเป็นระบอบทักษิณใหม่


ปลักความคิด ทักษิณ vs รัฐประหาร
แก้วสรร อติโพธิ
ระยะนี้กระแสป่าวร้องป้องปรามรัฐประหารในอนาคต โจมตีรัฐประหารในอดีต กำลังกระหึ่มไปพร้อมๆกับกระแสการกลับมาของคุณทักษิณ ผมเองก็รับฟังเขาไปและโผล่ออกมาร่วมวงเฉพาะที่เกี่ยวกับการทำงานของ คตส.ในคดีคอร์รัปชั่นของรัฐบาลคุณทักษิณเท่านั้น แล้วก็เฝ้าดูว่าหลังจากบุกเบิกสร้างกระแสกันมาอย่างนี้แล้ว คุณทักษิณเขาจะลุยล้มคดีต่างๆเพื่อกลับเข้าประเทศได้หรือไม่อย่างไร เมื่อใด
มาวันนี้ได้อ่านคอลัมน์หนังสือพิมพ์หัวขาวสมองสีแดง พยายามนำเสนอให้รับเป็นทางเลือกว่า คอร์รัปชั่นกับรัฐประหารใครเลวกว่ากัน ถ้ามีนักการเมืองคอร์รัปชั่นแล้วทำไมถึงต้องยอมให้เขารัฐประหารด้วย มันใช่ทางออกแน่หรือ ฯลฯ
การนำเสนอขีดวงความคิดอุ๊บอิ๊บให้เห็นเป็นทางเลือกเช่นนี้ ผมเห็นว่าเลอะมากและไปกันใหญ่แล้ว รัฐประหารนั้นเป็นปัญหาจริงที่ต้องขบคิดจริงอย่าเพิ่งเบื่อหน่าย แต่การเอาแต่พูดเอาแต่ใส่สีตีไข่เรื่องรัฐประหารอยู่ทุกวันนั้นต่างหากที่น่าเบื่อเป็นที่สุดและพาความคิดไปไหนไม่ได้เลย ดังจะขอท้วงติงในทำนองปุจฉา-วิสัชนา ไปโดยลำดับดังนี้
กระแสรัฐประหาร ?
ถาม ตู่ จตุพร คอยประกาศทุกสองอาทิตย์ว่า ปัจจุบันมีการส้องสุมจะก่อรัฐประหารในปลายปีนี้ ล่าสุดนี่เติมรายละเอียดว่ามีการส่งกองกำลังไปฝึกที่อิสราเอลเลยทีเดียว
ตอบ หมอนี่มีแต่ข่าวใส่ไข่ตลอด เห็นเคยบอกว่า คตส.ได้สินบนคดียึดทรัพย์หลายพันล้านบาท ผมก็ไม่ได้สักทีมีแต่เจ้าหนี้มาเยี่ยมเยียนจนทุกวันนี้ ผมเข้าใจว่าที่แกนนำแดงเขาต้องกระพือกระแสรัฐประหารไปเรื่อยๆนี่ ก็ เพราะเขาต้องเลี้ยงมวลชนให้พลุ่งพล่านมีฤทธิ์ได้ทุกเวลา เหมือนเลี้ยงลูกกรอก ซึ่งก็ต้องปลุกด้วยความเกลียดชังหมู่และเคลื่อนไหวหมู่ที่กระเพื่อมอยู่ตลอดเวลา รัฐประหารและขุนศึกจึงเป็นขาประจำที่ต้องพร่ำด่ากันไปเป็นระยะ
ถาม พวกเสื้อแดงชนะเลือกตั้งแล้ว ได้เป็นขุนนางแล้ว แล้วทำไมไม่ช่วยกันทำงานให้ดีๆ อย่าให้มีปัญหา ทำได้อย่างนี้ใครมันจะมีเงื่อนไขก่อปฏิวัติรัฐประหารได้
ตอบ เห็นด้วยครับ…รัฐบาลควรมุ่งทำงานเดินไปข้างหน้า น้ำกำลังท่วมประเทศ หนี้กำลังท่วมโลกตะวันตก สองเรื่องนี่ประเทศไทยก็โดนหลายเด้งแล้วครับ ถ้ารัฐบาลปูทำไม่ไหวไปไม่เป็น พรรค เพื่อไทยก็เปลี่ยนนายกฯ ใหม่ไปเลยหาคนที่พูดปากเปล่าจากสมองของตนเองได้ เป็นผู้นำได้แล้วให้เขาเลือกรัฐมนตรีของเขาเองก็น่าจะดีกว่านี้ อย่าไปมัวสร้างกระแสปฏิวัติเพื่อแบ่งข้างผู้คนแล้วป่าวหมู่อยู่อีกเลย
คอร์รัปชั่นเมื่อใดก็ต้องรัฐประหารเมื่อนั้น ?
ถาม ถ้ารัฐบาลทักษิณไม่มีปัญหาคอร์รัปชั่น จะเกิดรัฐประหาร ๑๙ กันยา หรือไม่
ตอบ รัฐประหารครั้งนั้น กระทำโดยอาศัยเงื่อนไขที่ลึกและกว้างกว่าคอรัปชั่นมากมีหลายปัจจัยที่ประกอบกันเข้ามาจนเห็นเป็นทางตันของการเมืองไทยที่เกิดจาก ระบอบทักษิณได้ ดังนี้
1. ลักษณะการลุกลามของคอร์รัปชั่นที่ร้ายแรงและเรื้อรัง
2. ความล่มสลายโดยสิ้นเชิงของระบบตรวจสอบ
3. ทางตันจากการยุบสภาเลือกตั้งใหม่แล้วไม่ได้สภาผู้แทน
4.เกิดการลุกฮือของประชาชนหลายฝ่าย มีแนวโน้มความรุนแรงชัดเจน
ทั้งหมดนี้คงไม่ต้องแจกแจงให้ซ้ำซากอีกว่ามีความเป็นมาและรายละเอียดอย่างไร การสรุปว่า รัฐประหาร ๑๙ กันยา เกิดขึ้นเพราะต้องการปราบคอร์รัปชั่นจึงไม่เป็นความจริง
รัฐประหารครั้งนั้นเกิดขึ้นเพราะสังคมไทยพบทางตัน และ คมช.เชื่อว่าการรัฐประหารจะพาประเทศพ้นทางตันนี้ไปได้ คอร์รัปชั่นเป็นเพียงสาเหตุหนึ่งให้เกิดการลุกฮือของประชาชน ซึ่งถ้าระบบตรวจสอบทำงานได้ หรือทักษิณไม่หาทางออกทางการเมืองด้วยการยุบสภาฟอกผิดตนเอง ทางตันนี้ก็จะไม่เกิด
ถาม ถ้า คมช.ไม่ทำรัฐประหาร อะไรจะเกิดขึ้น
ตอบ ตรงจุดนี้หลายท่านกล่าวว่าไม่ควรถาม เพราะอะไรจะเกิดขึ้นก็ไม่มีทางที่ใคร ทราบได้ แต่โดยระบอบประชาธิปไตยนั้นประชาชนจะเป็นคนตัดสิน และ เรียนรู้ได้เองเพราะเป็นรัฎฐาธิปัตย์ ทหารเข้ามาแทรกแซงก็แก้อะไรไม่ได้ ไม่ควรเสือกเข้ามาอีก
ถาม อาจารย์เห็นด้วยหรือไม่ ?
ตอบ คำประกาศว่า ประชาชนเป็นรัฎฐาธิปัตย์นี่ฟังดูก็โก้ดี แต่ถ้ากลไกทุกอย่างทั้งราชการประจำและการเมืองมันทำงานไม่ได้แล้ว รัฎฐาธิปัตย์ก็ถูกฆ่าหรือฆ่ากันเองเท่านั้น
ถาม ทางตันทางการเมืองอย่างนี้ จะเกิดขึ้นอีกได้ไหม
ตอบ ผมเป็นห่วงอยู่สองจุด จุดแรกคือปัญหาเศรษฐกิจตกต่ำที่อาจเกิดขึ้นในไม่ช้านี้ กับความขัดแย้งในท้องถนนที่จะเกิดจากการผลักดันกฎหมายช่วยคดีคุณทักษิณ ทั้งสองจุดนี้มันเกิดการลุกฮือและการปะทะได้เสมอ โอกาสที่จะสุ่มเสี่ยงรัฐประหารมีสูงมาก
ถาม ถ้าสุ่มเสี่ยงรัฐประหารแล้วอะไรจะเกิดขึ้น ?
ตอบ ก็ต้องมีการต่อต้าน แล้วตามด้วยเผด็จการเบ็ดเสร็จ จะเผด็จการโดยฝ่ายรัฐประหารก็ได้หรือโดยฝ่ายต่อต้านก็ได้ เพราะไม่ว่าใครชนะก็ต้องอยู่ต่อไปด้วยระบอบเผด็จการเบ็ดเสร็จเท่านั้น
ถ้าถลำไปถึงจุดนั้น ประชาชนจะเป็นรัฎฐาธิปัตย์ได้เมื่อใด หรือจะเป็นแค่ราษฎรอยู่ติดประเทศที่มีอนาคตดักดานอย่างไนจีเรียหรือฟิลิปปินส์เท่านั้น..ผมก็ไม่ทราบได้
การเมืองใหม่ ?
ถาม เราจะหนีชะตากรรมที่ว่านั้นได้หรือไม่?
ตอบ มันไม่มีอนาคตใดนอนรอเราอยู่แล้วหรอกครับ ทุกอย่างยังอยู่ที่ปัจจุบันว่าจะก้าวข้ามข้อขัดแย้งที่ไร้อนาคตอย่างนี้ไปได้อย่างไร ทุกวันนี้ลมมันแรงก็จริงอยู่ แต่ถ้าเราเล่นลมเป็น ปรับใบเป็น เรือใบมันก็พาเราเดินทางไปยังจุดหมายได้นะคุณ คุณดูให้ดีๆจะเห็นว่ายังมีคนอิสระเหลืออยู่อีกมาก
ถาม ก็เห็นเป็นพวกทักษิณไปแล้วตั้ง ๑๕ ล้านคนไม่ใช่หรือ?
ตอบ นั่นเป็นคะแนนเลือกตั้ง ไม่ใช่จำนวนสาวก คนที่เลือกเพื่อไทยโดยไม่ใช่พวกเสื้อแดงมีมากมายนัก คนเสื้อแดงที่ไม่ใช่สาวกทักษิณหรือไม่ใช่ทาสของแกนนำ ที่ไปรวมตัวกันก็เพียงเพราะความคับข้องใจร่วมกันนั้น ก็ยังมีเต็มไปหมด ส่วนพวกที่ไม่เลือกเพื่อไทยเองก็ไม่ใช่คนที่เกลียดทักษิณจนพร่ำเรียกหาการปฏิวัติรัฐประหารแต่อย่างใด
อิสระชนเหล่านี้จึงยังมีอยู่เต็มประเทศ ถ้าสามารถพากันก้าวข้ามจากบ่วงความคิดหยุมหยิม หรือถ้อยคำโก้ๆแต่กลวงๆตลอดจนของขวัญประชานิยมนานาไปได้ ไปให้ถึงการปฏิรูปบ้านเมืองที่แท้จริง ผมว่าบ้านเมืองก็หลุดปลักไปได้นะครับ
ถาม ปฏิรูปอะไรครับ
ตอบ ก็ปฏิรูปการปกครองให้พ้นจากโครงสร้างและวัฒนธรรมแบบอุปถัมภ์อำนาจนิยม ปฏิรูปการทำมาหากินให้ผู้คนสร้างกำลังการผลิตที่เข้มแข็งของตนเองขึ้นมาได้จริงๆ ไม่ ใช่ตกปลักอยู่ในเศรษฐกิจพาณิชย์นิยมใหม่ ที่เอาแต่เก็งกำไรซื้อมาขายไปทำให้คนส่วนใหญ่ต้องขายแรงงานในโรงงานหรือท้อง ไร่ท้องนาอย่างไร้อนาคตเช่นทุกวันนี้
ถาม นี่คือทิศทางการเมืองใหม่ใช่ไหม ?
ตอบ ครับเป็นการเมืองใหม่เพื่อเศรษฐกิจใหม่และสังคมใหม่ของบ้านเมือง ที่ทุกภาคส่วนทุกพรรค ทุกสี ปรับตัวปรับความคิดเดินมาทางนี้ได้ทั้งสิ้น
ก้าวให้พ้นปลักคิดทักษิณ VS รัฐประหารได้แล้ว..ปัญหาแท้จริงของบ้านเมืองกำลังรอความคิดรอความสำนึกของเราอยู่…


การเมืองไทยกำลังแปลงร่างเป็นระบอบทักษิณใหม่
แก้วสรร อติโพธิ ๑๘ กันยา ๒๕๕๔
ทักษิณได้เรียนรู้แล้ว วางแผนแล้วและกำลังทุ่มเทจะกลับมาใหม่ เมื่อมอง
ทักษิณให้ไกลและลึกจะพบว่ารัฐบาล”ปู” เป็นเพียงรัฐบาลเฉพาะกาลรับงานจัดตั้งผู้คนปูทางให้ทักษิณกลับมาเท่านั้น ซึ่งการกลับมาครั้งนี้ในทางสังคมจิตวิทยาการเมืองจะยังผลเป็นเช่นการรัฐประหารที่ราบคาบมาก จากนั้นกระแสนี้ก็จะนำไปสู่การรื้อรัฐธรรมนูญสถาปนาระบอบทักษิณ(รวมศูนย์) ที่เบ็ดเสร็จมั่นคงในที่สุด
ระยะจัดตั้ง
๑. ฟูมฟักขบวนการเสื้อแดง ( ๒๕๕๒ – )
๒. ชนะเลือกตั้งตอบแทนรากหญ้าดึงชนชั้นกลางเป็นแนวร่วม(กรกฎา๕๔ )
๓.ส่งคนยึดราชการสำคัญ ( สิงหา – ตุลา ๒๕๕๔ )
ระยะรัฐประหาร
๔.ตราพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษในวโรกาสครบ ๗ รอบ
ในหลวง ( ธันวา ๒๕๕๔ )
๕.ทักษิณกลับมาถูกกักขังและได้รับอภัยโทษ ( พฤศจิกา ๒๕๕๔ )
ระยะสถาปนาระบบรองรับระบอบ
๖.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ : เนื้อหาและกระบวนการ (กันยา๕๔- มิถุนา ๕๕)
๗.รัฐธรรมนูญใหม่..เลือกตั้งใหม่..ระบอบทักษิณใหม่(สิงหา ๒๕๕๕)
ฐานคิดของบทวิเคราะห์นี้
แผนการกลับสู่อำนาจของทักษิณ
ทักษิณได้คิดและวางแผนและลงมือตามแผนแล้วด้วยว่า ต้องกลับมาครองอำนาจให้ได้เร็วที่สุด และมั่นคงที่สุด โดยมีขั้นตอนสำคัญคือ
๑.ชนะเลือกตั้งด้วยมวลชนแดง+เงิน+สินบนประชานิยมสุดขั้ว
๒.ให้รัฐบาลปูทำหน้าที่พาทักษิณกลับบ้านในช่วงพระราชทานอภัย
โทษ ๕ ธันวาคม พร้อมฉวยโอกาสกำราบกลุ่มขัดขวางให้ราบคาบ
๓.สร้างกระบวนการสถาปนารัฐธรรมนูญใหม่ มี ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน
ร่วมกับนักวิชาการที่สำคัญตัวว่าหัวก้าวหน้าอีกจำนวนหนึ่งทำงานออกแบบและเผยแพร่ความคิด จาก นั้นเข้าสวมบทบาทเป็นแกน สสร. แล้วจบด้วยประชามติทั้งประเทศที่ต้องจุดพลุ “ ประชาธิปไตย”กันสุดเหวี่ยง ราวกับวันชาติสหรัฐเลยทีเดียว
๔. เลือกตั้งใหม่ได้ระบอบทักษิณใหม่
ความเปลี่ยนแปลงทางสังคมวิทยาการเมือง
โดยครรลองความเปลี่ยนแปลงข้างต้น แม้ตัวระบบตามรัฐธรรมนูญจะยังดูเป็นระบบผู้แทนอยู่ก็ตาม แต่ตัวความคิดและความเคลื่อนไหวในระบอบการปกครองใหม่จะบิดเบือนไปจากระบอบประชาธิปไตยโดยสิ้นเชิง การกลับมาของทักษิณในธันวา ๕๔ จะมีค่าไม่ต่างจากการรัฐประหาร ทุกสถาบันทั้งสูงต่ำจะชะงักงัน และสยบยอม เปิดทางโล่งต่อการรื้อรัฐธรรมนูญใหม่ในกลางปี ๒๕๕๕
โครงสร้างรัฐธรรมนูญใหม่จะมีเพียงสภาเดียว องค์กรอิสระจะถูกยกเลิกหรือลดอำนาจและถือกำเนิดโดยคัดสรรของสภาผู้แทน สำหรับ อำนาจตุลาการนั้นตุลาการตำแหน่งสูงและคณะกรรมการตุลาการ จะถูกกลืนให้แต่งตั้งโดยความเห็นชอบของสภา อำนาจฝ่ายบริหารจะมีมากขึ้นทั้งอำนาจปรับกระทรวงทบวงกรม โยกย้ายข้าราชการระดับสูงได้โดยลำพัง จนเป็นเสมือนระบบกึ่งประธานาธิบดี
ในส่วนความเคลื่อนไหวนั้น ขบวนการคนเสื้อแดงจะขยายตัวอย่างรวดเร็ว ใช้เครือข่ายเข้ายึดกุมการปกครองท้องถิ่นระดับต่างๆ อย่างไม่หยุดหย่อน สถานีวิทยุชุมชนเสื้อแดงจะถูกพัฒนาเป็นโครงข่ายสื่อสารของขบวนการมวลชนแดงครอบคลุมทั้งประเทศและเจาะลึกได้ทุกพื้นที่ สำนัก ข่าวแดงผลิตสื่อล้างสมองต่างๆ จะลงหลักปักฐานทั้งสื่อเคเบิ้ลทีวี จานดาวเทียม และรายการวิทยุชุมชนแดงด้วยความเคลื่อนไหวแบบสองขาร้อยปากอย่างนี้ ในที่สุดแล้วการเลือกตั้งต่างๆก็จะเป็นเพียงพิธีกรรม รองรับอำนาจของมวลชนเสื้อแดงเท่านั้น
นอกจากระบบและความเคลื่อนไหวแล้ว ในส่วนความคิดนั้น แนวคิดในเชิงอุปถัมภ์อำนาจนิยมจะต้องถูกทำนุบำรุงอย่างเต็มพิกัด ทักษิณ คือความหวังที่พึ่งได้สำหรับทุกคน ใครขวางทักษิณคือคนที่ขวางอนาคตของชาติ ลูกปืนคือเครื่องมือหลักในการแก้ปัญหา ๓ จังหวัดและปัญหายาเสพติด เอ็นจีโอและนักวิชาการคือคนเพ้อเจ้อ อนาคตทุกคนมีทักษิณดูแลอยู่แล้ว พบทักษิณได้ทุกเวลาทุกที่ในสื่อรอบตัวทุกชนิด
ระยะจัดตั้ง
ขั้นตอนสำคัญในการกลับมาของระบอบทักษิณก็คือ การจัดตั้งยึดฐานกำลังทั้งในระบบและนอกระบบการปกครอง ให้พร้อมต่อการยึดอำนาจกำราบเสี้ยนหนามให้จงได้ ซึ่งก็มีสามขั้นตอนย่อยคือ
๑. ฟูมฟักขบวนการคนเสื้อแดง ( ๒๕๕๐ – ปัจจุบัน)
ระบอบทักษิณเดิมมีโครงข่ายอุปถัมภ์ในชุมชนต่างๆอยู่แล้ว ยังขาดแต่
วาทะกรรมแห่งความเกลียดชัง,นักจัดตั้ง,ความเคลื่อนไหวรวมหมู่,ทุนรอน และสื่อล้างสมองที่สมบูรณ์เท่านั้น ซึ่งบรรดานายหน้าค้าอำนาจของชุมชนต่างๆ และซ้ายเก่าทั้งปวง ก็ได้เข้ารับงานพัฒนามวลชนเสื้อแดงอย่างถึงรากถึงโคนมาตลอด
จนใช้งานเปล่งศักยภาพได้สูงสุด นำชัยชนะในสนามเลือกตั้งมาให้ทักษิณได้อย่างเด็ดขาดในการเลือกตั้งที่ผ่านมานี้
ขบวนการเสื้อแดงจะต้องพัฒนาขยายตัวรุกเข้ายึดอำนาจในระบบต่อไป ทั้ง กองทุนหมู่บ้าน,อบต.และเทศบาลต่างๆ สำหรับ การใช้กำลังนั้น คนเสื้อแดงส่วนหนึ่งจะถูกจัดตั้งแทรกซึมเข้าไปอยู่ในระบบอาสาสมัครต่างๆของ ภาครัฐ ไม่เว้นแม้แต่ระบบลูกจ้างป่าอนุรักษ์ ทั้งหมดนี้ต้องพร้อมที่จะลุกขึ้นมาเป็นทหารบ้านจับปืนต่อสู้กับกองทัพได้เสมอ โดยมิต้องพูดถึงกองกำลังอันธพาลที่พร้อมจะรังควานเป้าหมายได้ทุกเมื่ออยู่แล้ว
การแทรกคนเสื้อแดงเข้าไปถือปืนของรัฐนี้เห็นได้ทั้งในกระทรวงมหาดไทย และกระทรวงทรัพยากร โดยมุมมองเช่นนี้การแต่งตั้งแกนนำเสื้อแดงเข้าไปมีตำแหน่งในกระทรวงต่างๆส่วนหนึ่ง จึงมิอาจมองอย่างตื้นเขินเห็นเป็นเพียงการให้รางวัลเท่านั้น เพราะถ้าเข้าใจถึงแผนการเข้ายึดฐานที่ตั้งต่างๆในอำนาจรัฐแล้วก็จะเห็นได้ในทันทีว่า นี่คือส่วนหนึ่งของขบวนการแปลงร่างการเมืองการปกครองไทยนั่นเอง
๒.ชนะเลือกตั้ง ขายนโยบายประชานิยมสุดลิ่มทิ่มประตู (กรกฎา ๒๕๕๔ )
ระบอบทักษิณชนะเลือกตั้งปี ๕๔ ด้วยการตลาดประชานิยมที่ต้องตาต้องใจ ด้วยฐานมวลชนที่คึกคักในหลายพื้นที่ และการจัดการที่แม่นยำ
ข้อที่น่าสังเกตในการเลือกตั้งครั้งนี้ ก็คือสินค้าประชานิยมที่ทักษิณคิดและโฆษณาขึ้นมาอย่างสุดลิ่มทิ่มประตู คลุมเป้าหมายทุกชนชั้นทุกวัย โดยไม่คำนึงเลยว่าจะทำได้หรือไม่ในระยะยาว ขอแต่เพียงให้ได้ใจ ได้คะแนนได้อำนาจก่อนก็เป็นอันเพียงพอ ซึ่งก็ทำให้คู่แข่งทั้งหลายและนักวิชาการทั้งปวงงงงันกันเป็นอันมาก ว่าจะเป็นการหลอกลวงผู้บริโภคหรือไม่ ซึ่งแม้จนปัจจุบันนี้ก็ยังพากันไล่ล่าคาดคั้นกันอยู่ทุกวัน
การไล่ล่าคาดคั้นเช่นที่ว่านี้นับเป็นความหลงผิดอย่างยิ่ง เพราะรัฐบาลยิ่งลักษณ์ถูกวางแผนให้เป็นรัฐบาลเฉพาะกิจทำหน้าที่พาทักษิณกลับบ้านภายใน ๑ ปีเท่านั้น ไม่มีทั้งเวลาและหน้าที่ต้องทำให้นโยบายที่สัญญาไว้เป็นจริงแต่อย่างใด
๓.ส่งคนยึดราชการสำคัญ ( สิงหา – ตุลา ๒๕๕๔ )
ราชการสำคัญในที่นี้คือราชการที่จำต้องใช้เพื่อเป็นฐานในการกลับมาของทักษิณ เริ่มจากที่ต้องใช้งานโดยตรงคือตำรวจและราชทัณฑ์ กองกำลังที่ต้องใช้เสริมหรือแทรกแซงหรือก่อกวนฝ่ายตรงข้ามทั้ง อาสามหาดไทย และลูกจ้างหน่วยอนุรักษ์ป่า จากนั้นจึงเป็นฐานรอบนอกคือสื่อของรัฐทั้งหมด
ระยะรัฐประหาร
๔.เตรียมพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษครบ ๗ รอบในหลวง (ตุลา ๕๔)
การอภัยโทษเป็นการทั่วไป โดยพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ
เนื่องในวโรกาสเฉลิมพระชนมพรรษา ครบ ๗ รอบ ใน ๕ ธันวา ๒๕๕๔ นี้ หากถือแบบอย่างตามพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษปีก่อนๆ ก็จะมีบทบัญญัติอภัยโทษด้วยเหตุสูงอายุของผู้ต้องขังที่อายุเกิน ๖๐ ปีและเหลือโทษจำคุกไม่เกิน ๓ ปีอย่างแน่นอน คง เหลือแต่ปัญหาว่าจะวางเงื่อนไขให้ต้องเคยต้องโทษมาก่อนหรือไม่ซึ่งตัวอย่าง ในพระราชกฤษฎีกาปี ๕๐ จะกำหนดว่าต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสาม มาในปีล่าสุดคือปี ๕๓ ก็ผ่อนคลายเลิกเงื่อนไขนี้ไป
เชื่อได้ว่ารัฐบาลยิ่งลักษณ์จะต้องพยายามให้กฤษฎีกาปี ๕๔ ยืนหลักการไม่มีเงื่อนไขเช่นปี ๕๓ อย่างแน่นอน จากนั้นจึงให้ทักษิณกลับมามอบตัวรับฟังคำพิพากษาให้ศาลออกหมายขัง แล้ว ถูกคุมขังในโรงเรียนพลตำรวจบางเขน สักระยะหนึ่งประมาณ๒ อาทิตย์ ( สถานทีนี้ รัฐมนตรียุติธรรม พลตำรวจเอกประชา พรหมนอกได้เร่งประกาศเป็นเรือนจำไปเรียบร้อยแล้ว ) จากนั้นเมื่อประกาศพระราชกฤษฎีกาแล้ว ทักษิณก็จะพ้นการคุมขังประมาณวันที่ ๑๐ ธันวาคม ไปในที่สุด
แผนการนี้เชื่อได้เกินครึ่งแล้วว่าเป็นแผนจริงของทักษิณ เพราะมิใช่การขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการเฉพาะรายเหมือนฎีกาแดง ๓ ล้าน เป็นเรื่องที่ยอมเข้ามาถูกคุมขังให้ได้จังหวะจนได้พระมหากรุณาธิคุณเช่นเดียวกับนักโทษอื่นๆ ทำให้ลบภาพสองมาตรฐานออกไปได้ และยังได้อ้างพระมหากรุณาธิคุณปิดปากฝ่ายต่อต้านอีกด้วย
๕.การกลับมาถูกขังและการพ้นโทษของทักษิณ (พฤศจิกา๕๔)
ประเมินได้ว่าช่วงพฤศจิกายน ๕๔ นี้ ทักษิณจะสามารถสร้างภาพในระดับสากลให้เห็นเป็นสัญลักษณ์ของสันติภาพและความร่วมมือ มีแรงหนุนจากธุรกิจน้ำมันระดับโลกอย่างแน่นหนา ภายในประเทศเองนั้นรัฐบาลยิ่งลักษณ์ก็พยายามลากเข็นนโยบายหลักให้เห็นลวกๆไประยะหนึ่งแล้ว ทั้งการลดราคาน้ำมันและจำนำข้าว
การกลับมาของทักษิณในพฤศจิกานี้ จึงมีความพร้อมในทางการเมืองอยู่มาก คงเหลือแต่ด่านในทางกฎหมายเท่านั้นว่าจะฟันฝ่าต่อไปอีกได้หรือไม่ เพราะมีคดีความที่ฟ้องศาลแล้ว เป็นจำเลยแล้ว และรอดำเนินคดีอยู่หลายคดีด้วยกัน (ดูผนวก ๑) ซึ่งต่อปัญหาคดีเหล่านี้ฝ่ายทักษิณ ก็จะต้องฟันฝ่าต่อไป โดย
๑. ต้องเดินหน้าใช้ สส.เพื่อไทย และ สว.แดงในสภาแก้ไขกฎหมายรัฐธรรมนูญในนามของการปฏิรูปหลักนิติธรรมแห่งชาติ ตรากฎหมายนิรโทษกรรม หรือเพิกถอนการดำเนินคดีทั้งปวงให้สิ้นสุดไปให้ได้
๒. ระหว่างนี้ต้องไม่ยอมให้ศาลในคดีที่เหลือใช้อำนาจคุมขังทักษิณ โดยการปฏิเสธไม่ให้ประกันตัวเป็นอันขาด
หากผ่านด่านข้อ ๒ ไปได้ ทักษิณก็จะพ้นที่คุมขัง พ้นโทษคดีที่ดินรัชฎา
ในนามของการพระราชทานอภัยโทษ แล้วเดินหน้าร่างรัฐธรรมนูญใหม่สถาปนาระบอบใหม่ โดยไม่มีใครมีกำลังเผยอหน้าเป็นเสี้ยนหนามได้อีกต่อไป ทั้งในและนอกระบบ จนสามารถกล่าวได้ว่าการพ้นโทษในธันวาคมนี้ มีผลเทียบได้ไม่ต่างจากการรัฐประหารแต่อย่างใดเลย
ด่านข้อ ๒ นี้ ลูกบอลจะตกอยู่ที่ กระบวนการยุติธรรมว่า จะสามารถตั้งหลักเริ่มดำเนินคดีที่เหลือกับทักษิณได้หรือไม่เมื่อใด และที่สำคัญจะให้ประกันตัวหรือไม่ ซึ่งหากไปถึงวันพิจารณาเปิดคดี นำตัวจำเลยทักษิณไปศาลพร้อมคำขอประกันเมื่อใด มวลชนแม่ยกแดงจะต้องแห่แหนไปล้อมศาลอย่างแน่นอน โอกาสประทะซึ่งหน้าระหว่างนิติรัฐกับกำลังมวลชน ก็จะพุ่งขึ้นสู่จุดสูงสุดโดยพลัน
การเกิดเหตุการณ์ชุลมุนทางอำนาจเหมือนกรณี ๖ ตุลาคมจะเป็นไปได้สูงยิ่ง
ระยะสถาปนาระบบเพื่อรองรับระบอบทักษิณ(รวมศูนย์)
๖.ร่างรัฐธรรมนูญใหม่ : เนื้อหาและกระบวนการ (กันยา ๕๔- สิงหา ๕๕)
โฟกัสของรัฐธรรมนูญใหม่จะอยู่ที่การปรับระบบตรวจสอบเสียใหม่ แล้วจึงตราบทเฉพาะกาลย้อนหลังไปมีผลลบล้างการเอาโทษทั้งปวงที่กระทำต่อทักษิณไว้ ทั้งในระดับ คตส.,ปปช.,และศาลฎีกาอีกชั้นหนึ่ง ซึ่งขณะนี้ทักษิณก็เดินหมากให้รัฐบาลตั้งคณะกรรมการพิเศษ ชื่อ คอ.นธ. มี นายอุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธานทำการศึกษาและประชาสัมพันธ์สร้างกรอบคิดฝังลงไปในสังคมเป็นการปูทางไว้ก่อนแล้ว
จนในราวเดือน มีนา ๕๕ กระบวนการเลือก สสร.ก็จะเริ่มขึ้น โดยต้องมีพิมพ์เขียวเตรียมไว้ก่อนแล้วอย่างแน่นอน ซึ่งนอกเหนือจากแนวทางที่ได้จาก คอ.นธ.แล้ว ก็น่าจะล่วงเข้ามามีบทบัญญัติยกเลิกวุฒิสภาด้วยอีกส่วนหนึ่ง
ในส่วนกระบวนการนั้นก็แน่นอนว่าต้องมีการประชาสัมพันธ์ถ่ายทอดการร่างรัฐธรรมนูญใหม่เป็นการใหญ่ แล้วนำไปสู่การลงประชามติขอความเห็นจากประชาชน แล้วนำมาขอมติรับรองจากรัฐสภาอีกชั้นหนึ่ง
น่าเชื่อว่าร่างรัฐธรรมนุญใหม่นี้ จะถูกปรุงแต่งแสดงตัวเป็นประชาธิปไตยอย่างสุดแรงเกิดทั้ง การยกเลิกวุฒิสภา, จำกัดอำนาจองค์กรอิสระทั้งปวง,การให้สภาผู้แทนรับรอง กต.หรือตุลาการระดับสูง หรือองค์กรอิสระ, การนำระบบลูกขุนมาใช้ในศาลไทยฯ เป็นต้น
ทั้งหมดนี้ ในปัจจุบันต้องมีแนวทางและเจ้าของความคิดซุ่มร่างวางแนวไว้แล้วทั้งสิ้น และในไม่ช้าผู้สมคบทางวิชาการเหล่านี้จะปรากฏตัวให้เห็นเป็นตัวเป็นๆอยู่ใน คน.อธ.อย่างแน่นอน
๗.รัฐธรรมนูญใหม่..เลือกตั้งใหม่..ระบอบทักษิณใหม่ ( สิงหา ๕๕)
ประเมิน ได้ว่ากระบวนการร่างรัฐธรรมนูญใหม่นี้จะต้องถูกเร่งรัดอย่างยิ่ง ดังจะเห็นได้จากการเร่งปล่อยกระแสความคิดเรื่องหลักนิติธรรมแห่งชาติโดยกลไก คอ.นธ.มาตั้งแต่เดือนที่สองของรัฐบาล แล้วต้องตามด้วยการสร้างเวทีสาธารณะกระพือความเห็นตามเป็นระลอกไปตลอด จนไม่ต้องเสียเวลาทำความคิดในสังคมให้มากมายในช่วงร่างรัฐธรรมนูญอีกต่อไป กรณีจึงเป็นไปได้ว่าน่าจะได้รัฐธรรมนูญใหม่ในราวเดือนมิถุนายน ๒๕๕๕ แล้วอีก ๒ เดือนต่อมาก็จะได้นายกรัฐมนตรีใหม่ชื่อทักษิณ ชินวัตร
การปกครองนับแต่นั้นจะเป็นระบอบทักษิณใหม่ มีฐานมวลชนเสื้อแดงเกลื่อนอยู่ในชุมชนทุกแห่ง นายหน้าหรือแกนนำจะแทรกอยุ่ใน อบต.และเทศบาลต่างๆ ข้าราชการที่สวามิภักดิ์จะถูกแต่งตั้งมาดูแลพื้นที่ทั้งปวง สส.จะลดความหมายลงเป็นอันมาก นายกฯทักษิณ จะมีอำนาจบริหารเข้มแข็งเหนือสภา เหนือพรรค แผ่อำนาจส่งคณะผู้นำยึดกระทรวงกรมต่างๆ โดยไม่ต้องยึดเสียงในสภาไม่ต้องคอยเอาใจให้ สส.ขาใหญ่เป็นรัฐมนตรี เพราะ สส.ทุกคน ได้เป็น สส.เพราะอำนาจพรรคและมวลชนแดง จึงไม่มีซุ้มมีมุ้งให้ต่อรองอะไรได้อีกแล้ว
ในระบอบข้างต้น การตรวจสอบจะไม่มีความหมาย เพราะระบอบทักษิณยึดช่องทางสื่อสารมวลชนทุกระดับทุกชนิดไว้อย่างเบ็ดเสร็จแล้ว องค์กรอิสระจะเหลือแต่สังขารทางกฎหมายเล็กๆน้อยๆเท่านั้น ความเคลื่อนไหวภาคประชาชนจะเงียบสงัดถูกนักเลงเสื้อแดงหรือลูกจ้างอุทยานกำราบเป็นระยะ เอ็นจีโอจะสยบยอมรอขอเงินอุดหนุนเข้ากองทุนต่างๆจากระบอบเป็นหลัก
สำหรับด้านความคิดนั้น ภาพความเป็นท่านผู้นำของทักษิณ จะถูกสร้างเสริมเข้าสู่จุดสูงสุด ไม่มีอะไรที่พึ่งพาท่านผู้นำไม่ได้ ไม่มีอะไรที่ท่านไม่รู้ ไม่คิด ไม่เห็น ไม่มีอะไรที่ท่านลังเลหรือรีรอหรืออ่อนแอ ไม่มีใครที่มีแสงในตนเองแล้วประชันแสงกับท่านได้ อย่าฝ่าฝืน อย่าขัดขวางท่านผู้นำ แม้แต่จะคิดก็ผิดแล้วตายไปครึ่งตัวแล้ว
สังเขปสำคัญในบทวิเคราะห์นี้
๑. เชื่อหรือไม่ว่าทักษิณต้องรีบกลับเร็วที่สุด
๒. เชื่อหรือไม่ว่า การอภัยโทษตามพระราชกฤษฎีกา ๕ ธันวา ๕๔
เป็นแนวทางที่ดีที่สุดสำหรับทักษิณ
๓.ถ้าเชื่อ…ก็ต้องเห็นต่อไปว่าเขาลงมือจัดตั้งแล้ว เตรียมตำรวจ,
เตรียมราชทัณฑ์,เตรียมที่คุมขังชั้นดี,เตรียมร่างกฎหมายอภัยโทษแล้ว
๓. เห็นการสร้างภาพเพื่อการยอมรับทั้งในและนอกประเทศเพื่อ
ความ พร้อมในการยึดอำนาจคืนของเขาไหม? ทำไมฮุนเซ็นถึงเลือกที่จะรางวัล”ผู้นำสันติภาพ”ให้ทักษิณ? ทำไมนายกฯปู ถึงรีบสร้างความมั่นใจให้บริษัทน้ำมันเชพรอน? ทำไมปูถึงได้เป็นนายกฯ ทำไมนายปึ๊งถึงได้เป็นรัฐมนตรีต่างประเทศทั้งที่ไม่มีความเหมาะสม อะไรกันแน่คืองานแท้จริงของคนพวกนี้?
๔. ถ้าเชื่อถ้าเห็น ดังเช่นที่กล่าวมาก็ต้องปรับกล้องที่ใช้เสียใหม่
ให้เป็นกล้องดาวเทียม จนสามารถเห็นภาพรวมของแผนเชิงยุทธศาสตร์ของระบอบทักษิณใหม่ได้ ซึ่งโดยธรรมชาติของแผนแบบ Strategic นั้นแผนทุกแผนจะต้องเดินไปพร้อมกัน จนบรรลุผ่านขั้นตอนหลักร่วมกันเป็นระยะไปคล้ายการหมุนของเข็มนาฬิกา กล่าวคือ
แผนหลักมี ได้สี่แผนคือ๑แผนมวลชนเสื้อแดง,๒แผนการเมืองและเลือกตั้ง,๓แผนสร้างภาพครอบ งำความคิด,๔แผนร่างรธน.-นิรโทษกรรม ทั้งสี่แผนนี้ต้องเดินไปพร้อมกันตลอด ตามขั้นตอนหลักสามระยะคือ ระยะจัดตั้ง ,อภัยโทษ และสถาปนาระบอบ ดังแผนผังต่อไปนี้
ตัวอย่างการพัฒนาแผน
ตามแผนผังนี้ ณ กาลเวลาหนึ่งแผน ๑-๔ จะเดินแผนไปตลอด เช่น ณ.กันยา ๕๔ แม้จะอยู่ในขั้นตอนหลักของการจัดตั้งก็ตาม แต่ก็มีการเดินแผนเพื่ออภัยโทษและสถาปนาระบอบแล้ว หาได้ได้อำนาจไป คิดไป ทำไปวันๆ วางแผนเป็นท่อนๆไปแต่อย่างใดไม่ กล่าวคือ
แผน๑ แผนมวลชนแดง ต้องปลุกให้พร้อมต่อไป เช่นจัดชุมนุม ๑๙กันยาเป็นต้น
แผน๒ แผนการเมือง เป็นรัฐบาลแล้วเข้ายึด สตช.และ ราชทัณฑ์ เตรียมอภัยโทษ
แผน๓ แผนสร้างภาพ เปิดญี่ปุ่นให้ผู้นำเข้า, ผู้นำกอดฮุนเซ็นได้ภาพนำสันติภาพ ,
จับมือเชฟรอนได้พันธมิตรยักษ์
แผน ๔ แผนสถาปนาระบอบใหม่ ใช้อำนาจรัฐบาลตั้ง คอ.นธ.เพื่อลงมือปูความคิด
“นิติธรรมแห่งชาติ”แล้วหล่อลื่นด้วยเครือข่าย“นิติราษฎร์”ในนิติธรรมศาสตร์

สรรพกำลังที่พร้อมแล้วในช่วงรัฐบาลปูแดง
ผนวก ๑ คดีความของทักษิณ
หนทางกลับบ้านโดยไม่ติดคุกของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
บทความไทยโพสต์ ๙ กันยา แก้วสรร อติโพธิ
นับแต่เกิดรัฐบาลนายกฯปู ขึ้นมา ในชั้นแรกต่างก็เข้าใจและเฝ้าดูกันว่ารัฐบาลจะใช้เสียงข้างมากในสภาหาทางตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้คุณทักษิณอย่างไรและเมื่อใด ผ่านไปสักพักก็มีการให้ข่าวว่าไม่ใช่เรื่องเร่งด่วนรอไปถึงกลางปีหน้าค่อยว่ากัน กระแสไต่ถามก็เบาลงไป แต่แล้วก็กลับมีกระแสผลักดันให้มีการพระราชทานอภัยโทษขึ้นมาแทน ขานรับขึ้นมาเป็นทอดๆจนปัจจุบัน
หนทางกลับบ้านโดยไม่ต้องติดคุกของคุณทักษิณนี้ จึงเป็นปัญหาของจริงและมีด่านทางกฎหมายที่ซับซ้อนอยู่มากควรที่จะสะสางภาพรวมให้เห็นกันชัดเจนเสียก่อน ดังต่อไปนี้
คดีคอรัปชั่นของคุณทักษิณ
ปัจจุบันมีคดีคอรัปชั่นของคุณทักษิณ ที่ไปถึงศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของนักการเมืองแล้ว สองกลุ่มคือ
คดีฝ่าฝืนกฎหมายเข้าซื้อที่ดินของรัฐ คดีนี้เป็นคดีที่ไม่มีการพิสูจน์ว่าคุณทักษิณทุจริตหรือไม่ แต่เป็นผิดตรงที่ฝ่าฝืนข้อห้ามมิให้รัฐมนตรีหรือคู่สมรสเข้าเป็นคู่สัญญากับหน่วยงานของรัฐเท่านั้น ซึ่งเมื่อคุณหญิงพจมานไปซื้อที่ดินถนนรัชฎา โดยคุณทักษิณให้ความยินยอม ศาลฎีกาจึงพิพากษาลงโทษ จำคุก ๒ ปีแต่คุณทักษิณก็บินหนีคดีไปเสียก่อน
คดีนี้ถ้าใช้วิธีนิรโทษกรรมก็จะยุติไปพร้อมคดีอื่นๆ แต่ถ้าใช้แนวทางอภัยโทษเช่นที่ก่อกระแสกันอยู่ในทุกวันนี้ คุณทักษิณก็จะพ้นไปแต่เฉพาะคดีที่ดินรัชฎาฯนี้เท่านั้น แต่จะถูกคดีหนีอำนาจคุมขังของศาล ( จำคุก ๓ ปี ) กับกลุ่มคดีชินคอร์ปลากขึ้นศาลไปตลอด ดังมีรายละเอียดต่อไปนี้
คดีชินคอร์ป คดีกลุ่มนี้เริ่มจากการขึ้นเป็นนายกฯโดยซุกหุ้นสัมปทานชินคอร์ป ไว้ในชื่อลูกและพี่น้องก่อน จากนั้นจึงมีการใช้อำนาจเอื้อประโยชน์ธุรกิจชินคอร์ปโดยมิชอบ ทำให้เกิดเป็นคดีขึ้นหลายคดีมาก กล่าวคือ
๑. คดียึดทรัพย์ คดี นี้ศาลฎีกาตัดสินเด็ดขาดไปแล้วสองประการว่า มีการซุกหุ้นจริงมีมาตรการเอื้อประโยชน์โดยมิชอบจริง จากนั้นจึงให้ยึดประโยชน์ทีมิควรได้ เป็นเงิน ๔.๖ หมื่นล้านบาท
๒. คดีขึ้นเป็นนายกฯโดยคงถือหุ้นสัมปทาน คดีนี้มี ๒ กระทง กระทงละ ๓ ปี ฟ้องเป็นคดีแล้วแต่พักไว้รอได้ตัวจำเลยก่อน หนทางต่อสู้คดีไม่มีเลย เพราะศาลในคดียึดทรัพย์ตัดสินยุติเด็ดขาดไปแล้วว่าซุกหุ้นจริง
๓. คดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินเป็นเท็จ คือแจ้งบัญชีทรัพย์สินโดยไม่บอกว่าตนเองยังเป็นเจ้าของหุ้นชินคอร์ปฯ มี ๗ กระทง กระทงละ ๒ปีมีขาดอายุความ ๕ ปี ไปบ้างแล้ว คดีอยู่ในศาลแล้ว หนทางต่อสู้คดีไม่มีเลย เพราะศาลในคดียึดทรัพย์ตัดสินยุติเด็ดขาดไปแล้วว่าซุกหุ้นจริง
๔. คดีปฏิบัติหน้าที่โดยทุจริต ในบรรดามาตรการเอื้อประโยชน์โดยมิชอบ ๕ มาตรการนั้น พบหลักฐานว่าคุณทักษิณมีส่วนสั่งการ ๒ คดี คือคดีให้พม่ากู้เงินเอ๊กซ์ซิมแบงค์ กับคดีแปลงค่าสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต คุณทักษิณฯจึงถูกฟ้องเป็นจำเลยฐานทุจริตไว้แล้ว ทั้งสองคดี เป็นคดีที่สู้ได้ยากเช่นกันเพราะศาลตัดสินเด็ดขาดในคดียึดทรัพย์ไว้แล้วว่า มาตรการนี้ไม่ถูกต้องและประโยชน์ตกแก่คุณทักษิณ คุณทักษิณเหลือประตูต่อสู้แต่เพียงประเด็นข้อเท็จจริงว่าตนไม่รู้เรื่องด้วยเท่านั้น
โดยภาพรวมของคดีชินคอร์ปเหล่านี้ เมื่อศาลตัดสินคดียึดทรัพย์ไปแล้ว ข้อ เท็จจริงสำคัญๆ ก็ยุติเด็ดขาดไปเกือบหมด ทำให้การสู้คดีที่เหลือลำบากมากๆ ครั้นจะดึงจะหน่วงคดีก็ลำบากเพราะฟ้องคาอยู่ในศาลหมดแล้วทุกคดี ถ้าต้องโดนทุกคดีก็ติดคุกรวมกันได้สูงสุดถึง ๔๐ ปีเลยทีเดียว
การแนะให้คุณทักษิณกลับมาสู้คดีจึงเป็นเรื่องที่คนนอกพูดได้ แต่ในจุดยืนของคุณทักษิณแล้วเป็นเรื่องที่เสี่ยงมากจริงๆ
หนทางอภัยโทษคดีที่ดินรัชฎาฯ
เฉพาะคดีที่ดินรัชฎาฯที่ตัดสินจำคุกไปสองปีแล้วนั้น เป็น คดีที่ตัดสินไปแล้วพร้อมจะบังคับโทษจับตัวไปเข้าคุกได้ในทันทีเลย หนทางที่จะจัดการให้พ้นโทษไปโดยลำพังเฉพาะคดีนี้ก็คือการได้รับพระราช ทานอภัยโทษ ซึ่งก็มีอยู่สองช่องทางคือ
๑. ขอพระราชทานอภัยโทษเป็นการเฉพาะราย แนวทางนี้มีการรวมชื่อคนเสื้อแดงถวายฎีกาไว้แล้วกว่า ๓ ล้านคน แต่ยังมีปัญหาเสียดทานอยู่เป็นอันมากว่า ไม่เคยมีรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีใดเลยกล้าถวายความเห็นให้คนหนีคดีได้รับพระราชทานอภัยโทษได้
๒. ได้ รับพระราชทานอภัยโทษในวาระมหามงคลเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ในวาระเวียนบรรจบครบวันเฉลิมพระชนมพรรษา และครบ ๗ รอบที่จะถึง ในวันที้ ๕ ธันวาคมศกนี้ ก็ชัดเจนแน่นอนว่าจะต้องมีการพระราชทานอภัยโทษเป็นการทั่วไป ซึ่งก็จะมีช่องทางให้คุณทักษิณได้รับพระมหากรุณาธิคุณพระราชทานอภัยโทษร่วมกับผู้ต้องโทษอื่นๆด้วยดังนี้
๒.๑) การพระราชทานอภัยโทษตามวาระมหามงคลนี้ จะตราเป็นกฏเกณฑ์ทั่วไปไม่ระบุชื่อบุคคล มีทั้งเกณฑ์เจ็บป่วย,สูงอายุ,ความประพฤติดี ผู้ ต้องขังใดเข้าเกณฑ์นี้ก็จะได้อภัยโทษไปตามเกณฑ์ เกณฑ์เหล่านี้จะกำหนดโดยพระราชกฤษฎีกาที่กรมราชทัณฑ์ เสนอให้รัฐมนตรีกระทรวงยุติธรรมเสนอ คณะรัฐมนตรีให้ความเห็นชอบแล้วนายกรัฐมนตรีนำขึ้นกราบบังคมทูลอีกชั้นหนึ่ง
๒.๒) เฉพาะเกณฑ์ที่อาจเป็นประโยชน์ต่อคุณทักษิณได้ก็คือ เกณฑ์ผู้ต้องขังสูงอายุเกิน ๖๐ ปีและเหลือโทษไม่เกิน ๓ ปี เกณฑ์ นี้เมื่อคราวอภัยโทษปี ๕๐ จะมีเงื่อนไขว่าต้องรับโทษมาแล้วไม่น้อยกว่าหนึ่งในสามต่อมาเมื่ออภัยโทษใน ปี ๕๓ นักโทษสูงวัยมีมากรัฐบาลจึงเลิกเงื่อนไขนี้ไป มาในปี ๕๔ นี้ รัฐบาลปูจึงมีอิสระที่จะเลือกถือตามเกณฑ์ปี ๕๐ หรือ ปี ๕๓ ก็ได้แล้วแต่จะเห็นควร
๒.๓) ในกรณีที่รัฐบาลปูวางเกณฑ์อภัยโทษตามปี ๕๓ ว่า ใครอายุเกิน ๖๐ ปี มีโทษเหลือไม่เกิน ๓ ปี ก็อภัยโทษให้หมดนั้น โอกาสที่คุณทักษิณจะกลับประเทศมามอบตัวแล้วยอมติดคุกสักระยะหนึ่ง จากนั้นจึงพ้นโทษหลัง ๕ ธันวาคม ตามเกณฑ์ในกฎหมายจึงมีอยู่สูงมาก เพราะเป็นเกณฑ์ทั่วไปมิได้อภัยให้ใครโดยเฉพาะ คุณทักษิณไม่จำเป็นต้องอาศัยฎีกาแดง นายกฯปู ก็ไม่จำเป็นต้องถวายความเห็นช่วยพี่ชายแต่อย่างใด จึงนับเป็นช่องทางที่ดีมาก
๒.๔) อย่างไรก็ตาม..ปัญหาแท้จริงในการได้อภัยโทษโดยทั่วไปด้วยเหตุสูงอายุตามแนวทางที่กล่าวมา จะ อยู่ที่การตีความพระราชกฤษฎีกาว่าถ้าผู้ต้องคำพิพากษาลงโทษอย่างคุณทักษิณ หนีคดีไป ๒ ปี แล้วคอยหาโอกาสย่องมาติดคุกสัก ๑-๒ อาทิตย์ แล้วก็ได้อภัยโทษไปง่ายๆ พร้อมกับคนอื่นที่เขายอมติดคุกด้วยดีอย่างนี้ จะยอมกันได้หรือไม่
ต่อปัญหานี้ในระบบกฎหมายอภัยโทษ ก็จะมีคณะกรรมการคอยวินิจฉัยปัญหาเฉพาะกรณีอยู่ ถ้าตระกูลชินวัตรสามารถยึดกุมตำแหน่งอธิบดีกรมราชทัณฑ์ได้อีกตำแหน่งหนึ่ง กรณีก็คงหมดปัญหาไปได้ โอกาสที่คุณทักษิณจะพ้นโทษจำคุก ๒ ปี ในคดีที่ดินรัชฎาฯนี้จึงมองอยู่เห็นๆ ไม่น่ามีปัญหาทางกฎหมายเท่าใดนักหากยึดไว้ได้ทั้งตำแหน่ง ผบ.ตร.และอธิบดีกรมราชทัณฑ์
จุดแตกหักที่แท้จริง
แม้”ชินวัตร”จะสามารถเดินเกมส์อภัยโทษคุณทักษิณในคดีที่ดินรัชฎาได้ดังแนวทางที่กล่าวมาก็ตาม แต่ในทางกฎหมายแล้วเมื่อคุณทักษิณยอมเข้ามาอยู่ในการคุมขังของกฎหมายไทยนั้น อำนาจควบคุมตัวของคดีอื่นๆที่คาศาลอยู่ก็จะวิ่งมาอายัดตัวคุณทักษิณ มิให้ออกไปสู่อิสรภาพได้ดังที่คิด ซึ่งตรงนี้ก็จะเป็นอำนาจหน้าที่ของพนักงานอัยการและศาลที่จะพิจารณาว่า คนหนีคดีเช่นนี้ควรจะให้เสรีภาพในระหว่างการพิจารณาคดีอื่นๆต่อไปอีกหรือไม่
ใน ทางปฏิบัตินั้น ก็เป็นหน้าที่ของพนักงานอัยการที่จะแทรกเข้ามาขออายัดตัวคุณทักษิณฯไว้มิให้ ได้รับการปล่อยตัวเช่นเดียวกับผู้ต้องโทษอื่นๆ แล้วขอให้ศาลพิจารณาว่าควรจะให้ประกันตัวในคดีใหม่ที่เหลือหรือไม่ ซึ่งโดยประวัติการหนีคดีของจำเลยเช่นนี้ โอกาสที่ศาลจะให้ประกันตัวก็น่าจะมีน้อยมากทีเดียว
หากได้คิดตามฉากที่กล่าวมาให้ถึงที่สุดแล้ว ก็ได้ภาพชัดเจนว่าเมื่อคุณทักษิณยอมกลับมาติดคุกอยู่ระยะสั้นๆนั้น มวลชนแม่ยกทั้งปวงจะต้องถูกปลุกและโลดเร่าเข้ามาห้อมล้อมสถานคุมขังเป็นการใหญ่ ครั้นเมื่อถึงวันที่ศาลจะต้องพิจารณาอายัดตัวคุณทักษิณไว้สำหรับการดำเนินคดีอื่นแล้ว ตรงจุดนั้นการเมืองและกฎหมาย คือม๊อบแดงและกระบวนการยุติธรรมจะต้องประทะกันตรงๆ และแตกหักอย่างแน่นอน
ขอจงช่วยกันหวังว่า….”ฉาก”ที่ผมได้วาดมานี้จะไม่เป็นจริง…เพราะถ้าไปถึงจุดแตกหักเช่นที่กล่าวแล้ว สังคมไทยคงสิ้น”ยาง”ที่จะอยู่ด้วยกัน..ต้องแปลกแยกกันเช่นก้อนกรวดที่เผอิญมากองอยู่ ณ ตำแหน่งเดียวกันเท่านั้น
สังคมกองก้อนกรวดอย่างนี้นี่หรือ…คืออนาคตที่เราไม่มีทางหลีกเลี่ยงให้พ้นไปได้ ?
…………………

บทความแปล: สงครามไฮเทคเพื่อพิทักษ์สถาบันเก่าแก่จากคำดูหมิ่น


ที่มา ประชาไท

โท มัส ฟูลเลอร์ ผู้สื่อข่าวหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ พาผู้อ่านเข้าไปดูเบื้องหลัง “วอร์รูม” ที่ใช้บัญชาการในการจัดการ “เว็บหมิ่น” ของประเทศไทย ในบทความแปล “สงครามไฮเทคเพื่อพิทักษ์สถาบันเก่าแก่จากคำดูหมิ่น”
ห้องอันปราศจาก หน้าต่างแม้แต่บานเดียวแห่งนั้นตั้งอยู่ ณ สุดทางเดินอันสว่างไปด้วยไฟจากหลอดนีออกและซับซ้อนราวกับเขาวงกตภายในศูนย์ ราชการขนาดยักษ์แห่งหนึ่ง ภายในห้อง ผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์หลายชีวิตกำลังนั่งไล่ล่าหารูปภาพ บทความ ข้อความในเฟซบุค และสิ่งใดก็ตามในโลกอินเตอร์เน็ตที่อาจมีเนื้อหาดูหมิ่นพระบาทสมเด็จพระเจ้า อยู่หัวรัชกาลที่ 9 และพระบรมวงศานุวงศ์
ผู้เชี่ยวชาญเหล่านี้เป็น ส่วนหนึ่งขององค์การที่มีชื่อว่า สำนักงานป้องกันและปราบปรามการกระทำผิดทางเทคโนโลยีสารสนเทศ ซึ่งรัฐบาลชุดใหม่ที่เพิ่งได้ขึ้นสู่อำนาจเมื่อเดือนกรกฎาคมที่ผ่านมา เลือกที่จะเรียกหน่วยงานนี้อย่างสั้นๆว่า “วอร์รูม” และ “วอร์รูม” แห่งนี้เองคือศูนย์บัญชาการแห่งปฏิบัติการขนานใหญ่และเฉียบขาดอันมีจุดมุ่ง หมายเพื่อขจัดข้อความดูหมิ่นองค์พระมหากษัตริย์ให้หมดสิ้นจากโลกอินเตอร์ เน็ต
หน่วยราชการยืนยันว่าจะขยายผลการดำเนินงานของปฏิบัติการล้อม ปราบทาง อินเตอร์เน็ตครั้งนี้ต่อไปให้เข้มข้นยิ่งขึ้นเรื่อยๆ โดยการปฏิบัติงานนั้นดำเนินการโดยทีมผู้เชี่ยวชาญทางคอมพิวเตอร์จำนวน 10 นายเหล่านี้ ภายใต้การบังคับการของนายสุรชัย นิลแสง ปัจจุบันดำรงตำแหน่ง “สารวัตรไซเบอร์”
“เรามุ่งมั่นต่อหน้าที่ของเราตรงนี้ เพราะเรารักและเทิดทูนบูชาสถาบันพระมหากษัตริย์” นายสุรชัยกล่าวระหว่างการให้สัมภาษณ์เป็นเวลาสองชั่วโมง นายสุรชัยและผู้ปฏิบัติหน้าที่คนอื่นๆยังได้พานักข่าวไปชมส่วนต่างๆใน “วอร์รูม” รวมทั้งบริเวณสำหรับเก็บคอมพิวเตอร์ซึ่งทางหน่วยงานได้ยึดมาจากผู้ต้องสงสัย ที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำการดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ และนี่ถือเป็นครั้งแรกที่มีผู้สื่อข่าวเข้ามาเยี่ยมชมในศูนย์ปฏิบัติการแห่ง นี้
ไม่มีการอนุญาตให้บันทึกภาพแต่อย่างใด
การเยี่ยมชมครั้ง นี้ได้แสดงให้เห็นระดับความใหญ่โตของศึกออนไลน์ระหว่าง รัฐบาลไทยและบรรดาผู้คิดต่างในประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ และก็ได้แสดงถึงความคลุมเครือของมาตรฐานที่ใช้กำหนดว่า ข้อความหรือการกระทำใดบ้างที่ถือได้ว่าเป็นการดูหมิ่นสถาบันฯกันแน่ ตามที่มีผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับปฏิบัติการดังกล่าวในประเทศไทยได้แสดงความเห็น ว่า การไล่ล่าความผิดในข้อหาหมิ่นพระบรมเดชานุภาพเช่นนี้กำลังละเมิดสิทธิของ พลเมือง
รัฐบาลในหลายประเทศ โดยเฉพาะในจีนและสิงคโปร์ ต่างก็พยายามควบคุมข้อมูลในอินเตอร์เน็ตเช่นกัน แต่ไม่มีที่ใดที่มีการควบคุมอินเตอร์อย่างออกนอกหน้าและตะบี้ตะบันแบบใน ประเทศไทย
ทีมผู้เชี่ยวชาญในวอร์รูมแห่งนี้ได้ปิดกั้นเว็บเพจเป็น จำนวนถึง 70,000 เพจในเวลาเพียง 4 ปี โดยส่วนใหญ่ – หรือประมาณ 60,000 เพจ – ถูกบล็อกด้วยข้อหาดูหมิ่นสถาบันพระมหากษัตริย์ ตามที่เปิดเผยโดยนายสุรชัย (เว็บเพจอื่นๆส่วนมากถูกบล็อกคด้วยข้อหาอนาจาร)
นาย สุรชัยยังได้อธิบายด้วยว่า ทุกครั้งที่จะมีการบล็อกหน้าเว็บ หน่วยงานของเขาจะต้องขอคำสั่งจากศาลก่อนเสมอ และศาลก็ไม่เคยปฏิเสธที่จะออกคำสั่งในการบล็อกเว็บเหล่านี้เลยแม้แต่ครั้ง เดียว
เนื่องจากการอภิปรายประเด็นเกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์ยัง เป็นสิ่ง ต้องห้ามในประเทศไทย และเป็นเรื่องที่คุยกันได้แต่ในระดับหลบๆซ่อนๆ จึงเป็นเรื่องยากที่จะเข้าใจว่าจุดประสงค์ของข้อความโจมตีพระบรมวงศานุวงศ์ เหล่านั้นคืออะไรกันแน่ ไม่เคยมีการประท้วงในที่สาธารณะต่อองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเลยตลอด เวลา 60 ปีที่พระองค์ทรงครองราชย์ แม้แต่ผู้ประท้วงต่อต้านอำนาจในสังคมที่แข็งกร้าวที่สุดก็ยังไม่เรียกตนเอง ว่าเป็นผู้นิยมสาธารณรัฐ
อย่างไรก็ตาม อินเตอร์เน็ต ก็ได้กลายเป็นแนวปราการที่ป้องกันการดูหมิ่นเหยียดหยามสถาบัน ที่กำลังเผชิญหน้ากับการไร้ความยำเกรงและการออกนอกกรอบของคนที่เกิดมาในยุค สมัยของเฟซบุ๊ก
ประชาชนไทยหลายคนอาจจะมีความเกรงกลัวมากเกินกว่าจะ กบฏต่อปูชนียวาทกรรม หลักนี้ในที่สาธารณะ แต่พวกเขาสามารถเลือกที่จะแสดงข้อความจาบจ้วงต่อสถาบันมหาพระมหากษัตริย์ อย่างไม่คะนามือได้ในโลกอินเตอร์เน็ต โดยอาศัยความนิรนามของอินเตอร์เน็ตนั่นเอง
สุรชัยกล่าวว่า จำนวนเว็บไซต์ที่มีเนื้อหาหมิ่นสถาบัน เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจนหลังการรัฐประหารในเดือนกันยายน พ.ศ. 2549 การรัฐประหารดังกล่าวก่อให้เกิดความแตกแยกในสังคมไทยอย่างชัดเจน และยังเป็นจุกำเนิดของคนเสื้อแดง ที่มีจุดยืนต่อต้านการแทรกแซงของทหารในการเมือง และสนับสนุนอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร
สำหรับบุคคลภายนอกสังคมไทยแล้ว ประเทศไทยดูเป็นประเทศที่รักสนุกและไม่เข้มงวด เป็นประเทศที่นิติรัฐสามารถเอนอ่อนได้ดังต้นอ้อในสายลม แต่สถาบันพระมหากษัตริย์ – หรือเรียกสั้นๆโดยคนไทยว่า “สถาบัน” – กลับเป็นเสาหินตั้งตระหง่านอยู่เหนือนิสัยใจคอแบบ “อะไรก็ได้” ของสังคมไทย คนไทยหลายคนกลายเป็นขึงขังขึ้นมาทันทีในเรื่องการพิทักษ์ไว้ซึ่งพระบารมี แห่งองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
หลายคนกังวลใจต่อพระพลานามัยของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยพระองค์จะทรงมีพระชนมายุถึง 84 พรรษาในเดือนธันวาคมที่จะมาถึงนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทรงประทับ ณ โรงพยาบาลศิริราชมาเป็นเวลาสองปีติดต่อกันแล้ว และพระองค์ก็เสด็จออกสู่โลกภายนอกให้สาธารณชนได้เห็นน้อยลง
กฏหมาย หมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามารถให้โทษจำคุกได้ถึง 15 ปีต่อผู้ที่ “หมิ่นประมาท ดูหมิ่น หรือแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์ พระราชินี รัชทายาท หรือผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์” นอกจากนี้ พระราชบัญญัติการกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ซึ่งออกในปี 2550 โดยรัฐบาลที่แต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารอีกต่อหนึ่ง ก็คาดโทษจำคุกอีก 5 ปีสำหรับการเผยแพร่ข้อมูลข่าวสาร “โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิด ความตื่นตระหนกแก่ประชาชน”
นายสุรชัยเผยว่าบางกรณีก็ตัดสินได้ง่าย ว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพแน่นอน เช่น เขาไม่เคยลังเลที่จะบล๊อกเว็บเพจใดก็ตามที่มีรูปเท้าวางอยู่เหนือพระเศียร ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว อันถือว่าเป็นการดูหมิ่นรุนแรงในวัฒนธรรมไทย นายสุรชัยยังอธิบายเพิ่มเติมว่า การใช้สรรพนามที่ไม่เหมาะสมนำหน้าพระนามขององค์พระเจ้าอยู่หัวก็ถือเป็นความ ผิดที่เห็นได้ชัดเช่นกัน นับว่าเป็นความซ่อนเงื่อนหนึ่งของภาษาไทยที่ไม่อาจแปลให้เข้าใจได้ (สำหรับผู้ที่ไม่คุ้นเคยกับภาษาไทย)
อย่างไรก็ตาม การไล่ล่าการหมิ่นพระบรมเดชนุภาพก็ซับซ้อนได้มากกว่านั้น “พวกนี้ชอบโพสต์คำเปรียบเปรยน่ะ” นายสุรชัยกล่าวเกี่ยวกับผู้ต้องสงสัยที่กระทำการหมิ่น “พวกเขามีรหัสลับใช้กันเอง”
รัฐบาลได้เพิ่มงบประมาณวอร์รูมแห่งนี้ แล้ว และในเร็วๆนี้จะมีการเพิ่มระดับผู้ปฏิบัติงานจนสามารถดำเนินการได้ตลอด 24 ชั่วโมง ผู้เชี่ยวชาญในวอร์รูมเปิดเผยว่า ข้อความหมิ่นพระบรมเดชานุภาพส่วนใหญ่โพสต์กันในเวลาหลังเที่ยงคืนและช่วง เวลาไม่กี่ชั่วโมงก่อนรุ่งสาง
อย่างไรก็ตาม ปฏิบัติการปราบปรามข้อความหมิ่นฯเหล่านี้ได้ทำให้ประชาชนหลายคนในประเทศไทย วิตกกังวล ซึ่งพวกเขามองว่าการกระทำเช่นนี้ไม่ต่างจากการล่าแม่มด นอกจากนี้ยังมีบรรดานักเขียน นักวิชาการ และศิลปินกลุ่มต่างๆที่ชี้ว่า กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพสามารถถูกใช้เป็นเครื่องมืออย่างผิดๆได้
ใน เดือนสิงหาคมที่ผ่านมา คณาจารย์ทั้งไทยและต่างชาติจำนวน 112 คนได้ยื่นจดหมายเปิดผนึกที่มีเนื้อหาชี้แจงว่า การกวาดล้างทางอินเตอร์เน็ตที่กำลังดำรงอยู่เป็นภัยต่อ “อนาคตประชาธิปไตยในประเทศไทย” แก่นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร
หนังสือ พิมพ์บางกอกโพสต์ ใช้พื้นที่บทบรรณาธิการเมื่อเร็วๆ นี้แสดงความเห็นว่า พ.ร.บ. การกระทำผิดทางคอมพิวเตอร์ กำลังถูกใช้อย่างไร้การควบคุมและพิจารณา โดยวิจารณ์ไว้ว่า พ.ร.บ. ดังกล่าวได้ถูกใช้เป็นเครื่องมือปิดหรือบล๊อกเว็บไซต์นับหมื่นๆเว็บโดย ปราศจากหลักฐานที่ชี้ชัดถึงการกระทำผิด และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลยที่เว็บไซต์เหล่านั้นทั้งหมดจะทำผิดข้อหาหมิ่นพระ บรมเดชานุภาพจริง
มีกรณีหนึ่งที่ได้รับความสนใจมากเป็นพิเศษ จิรนุช เปรมชัยพร ผู้ดูแลเว็บไซต์ “ประชาไท” ได้ถูกดำเนินคดีเนื่องมาจากบางข้อความที่โพสต์ในเว็บไซต์แห่งนั้นมีเนื้อหา ที่ถูกกล่าวหาว่าหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ จีรนุช อธิบายตนเองต่อศาลว่า ในวันหนึ่งๆนั้นเธอต้องอ่านข้อความจำนวนเป็นพันๆ ที่โพสต์ในเว็บไซต์และจัดการลบข้อความที่มีลักษณะหมิ่นฯเมื่อเธอพบเจอเข้า อย่างไรก็ตาม ฝ่ายผู้ฟ้องร้องกลับบอกว่า จีรนุชลบความเห็นเหล่านั้นไม่เร็วพอ
การพิจารณาคดีครั้งนี้ได้รับ ความสนใจจากบริษัทที่ทำธุรกิจในโลกอินเตอร์ เน็ตยักษ์ใหญ่ของโลกอย่างGoogle, Yahoo และ Ebay ล่าสุด Asia Internet Coalition อันเป็นสมาคมร่วมของอุตสาหกรรมธุรกิจในอินเตอร์เน็ตซึ่งก่อตั้งร่วมกันโดย บริษัทเหล่านั้น ได้ออกแถลงการณ์เมื่อเดือนที่แล้วว่า การบังคับใช้กฏหมายของ พรบ. คอมพิวเตอร์ดังกล่าว อาจจะส่งผลให้บริษัทที่ให้บริการทางอินเตอร์เน็ตปฏิเสธที่จะทำธุรกิจใน ประเทศไทยได้
“เมื่อมีการนำเอาสื่อกลางของการใช้อินเตอร์เน็ตมารับ ความผิดชอบแทนผู้ใช้ อินเตอร์เน็ตเช่นนี้ กรณี (จีรนุช) อาจถือได้ว่าเป็นการตั้งตัวอย่าง (การดำเนินคดี) ที่อันตรายและสามารถมีผลต่อเศรษฐกิจระยะยาวของประเทศ” สมาคมกล่าวไว้ในแถลงการณ์
ภายในวอร์รูม ผู้เชี่ยวชาญกล่าวว่าพวกเขากำลังถูกกดดันจากทุกฝ่าย สำนักงานของพวกเขาได้รับการร้องเรียนทางอีเมลล์ประมาณ 20-100 ฉบับต่อวัน อีเมลล์เหล่านั้นแบ่งฝ่ายกันดังเช่นสังคมไทย บ้างก็สนับสนุน บ้างก็ต่อต้านปฏิบัติการของวอร์รูม
ผู้สนับสนุนสถาบันพระมหากษัตริย์ บางกลุ่มก็มีจุดยืนที่สุดโต่ง เมื่อต้นปีที่ผ่านมานี้ นางฟ้างาย คำอโศก สตรีผู้หนึ่งจากประเทศไทยภาคเหนือ ได้ล่ารายชื่อจำนวน 130,000 รายชื่อเพื่อสนับสนุนให้ยกเลิกระบอบประชาธิปไตยในปัจจุบันของประเทศไทย และแทนที่ด้วยรัฐบาลอันประกอบด้วย “ความดีและคุณธรรม” ที่พระราชทานโดยพระมหากษัตริย์แทน
ฟ้างาย เปี่ยมไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกเมื่อพูดคุยเกี่ยวกับการรณรงค์ครั้งนี้ของเธอ “เราได้เห็นว่าในหลวงท่านทรงเสียสละเพื่อชาวเรา” เธอกล่าวในการสัมภาษณ์ “เรามีความรักในจิตวิญญาณของเราแด่พระองค์ท่าน พระองค์ทรงเป็นเหมือนเทพองค์หนึ่ง”
อย่างไรก็ตาม ในอีกฟากหนึ่งคือการขานตอบกฏหมายอันจำกัดสิทธินี้ด้วยการเสียดสี ศูนย์รับเรื่องร้องเรียนการกระทำผิดทางอินเตอร์เน็ต 24 ชั่วโมงที่ก่อตั้งโดยรัฐบาลในปี 2552 ได้รับการโทรเข้ามาร้องเรียนหลายสิบครั้งต่อวัน
แต่ปรากฏว่าการโทรเหล่านี้หลายครั้งก็ไม่ได้จริงจังแต่อย่างใด
“90% ที่โทรเข้ามาคือโทรมาแกล้งเล่น” ณัฐ พยงค์ศรี ผู้เชี่ยวชาญคอมพิวเตอร์คนหนึ่งในห้องกล่าวกับผู้สื่อข่าว
นาย สุรชัย ผู้ทำหน้าที่เป็นหัวหน้าของทีมในวอร์รูม เปิดเผยว่าเขาต้องถามหาคำชี้แนะจากผู้บังคับบัญชาอีกต่อหนึ่งเสมอๆ โดยนายสุรชัยใช้โปรแกรมชื่อว่า “แมงมุม” ที่สร้างขึ้นมาสำหรับการนี้โดยเฉพาะในการท่องไปตามโลกอินเตอร์เน็ตและแจ้ง ให้ทราบถึงเนื้อหาที่อาจเข้าข่ายดูหมิ่นเบื้องสูง จากนั้น เขาจึงปรึกษากับหน่วยทหารพิเศษที่ประจำการ ณ พระราชฐานของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เพื่อพิจารณาความร้ายแรงของแต่ละเนื้อหา
“เมื่อผู้บังคับบัญชาเหล่านี้พิจารณาแล้วตัดสินใจให้บล็อก เราก็ต้องทำการบล็อกตามคำสั่ง” นายสุรชัยกล่าว
ตรง บริเวณทางเข้าวอร์รูมแห่งนี้ นายสุรชัยได้นำเอารูปเคารพที่แกะสลักไม้เป็นรูปนักรบจีนโบราณมาตั้งไว้ รูปเคารพนั้นทำท่ากวัดแกว่งง้าวเป็นอาวุธ
รูปเคารพดังกล่าวคือ กวนอู เทพอันเป็นตัวละครหนึ่งในวรรณคดีจีน “สามก๊ก” เสมือนเป็นเครื่องแสดงออกถึงความตั้งใจที่จะปกปักรักษาไว้ซึ่งสถาบันพระมหา กษัตริย์ของนายสุรชัย เขาอธิบายว่า กวนอู คือเทพแห่งความซื่อตรงและซื่อสัตย์ และยังเป็นสัญลักษณ์ของนักรบที่ห้อมล้อมไปด้วยสังคมอันแตกแยกอีกด้วย
“หลายคนปฏิเสธที่จะมารับหน้าที่ตรงนี้” นายสุรชัยกล่าว “ไม่ว่าจะถูกหรือผิด คนที่โดนว่าทั้งขึ้นทั้งล่องก็คือพวกเราอยู่ดี”
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง