Posted by อินทรีย์ภูเขา ,
พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ อ้าง หมอมุก กระโดดใส่กระโปรงหน้าเอง ปัดขับรถชน
หลังจากเกิดเหตุการณ์กรณีที่ พ.ต.พญ. หทัยพร อิ่มวิทยา หรือ หมอมุก แพทย์ประจำ รพ.พระมงกุฎ ถูกรถยนต์คันหนึ่งขับพุ่งชน บริเวณหน้าบ้านและเป็นคลินิกของหมอมุก จนอาการสาหัสนั้น
ล่า สุด รายงานข่าวแจ้งว่า เมื่อเวลา 11.00 น.ที่ สน.พญาไท พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ภู่กลั่น ผอ.กองกลางสำนักปลัดบัญชีทหาร กองบัญชาการกองทัพไทย ได้เข้ามอบตัวกับพนักงานสอบสวนแล้ว พร้อมมีนายทหารพระธรรมนูญ ร่วมรับฟังการสอบปากคำ
ทั้ง นี้ เบื้องต้น พ.อ.ศักดิ์สิทธิ์ ปฏิเสธว่าไม่ได้เป็นผู้ขับชน โดยยอมรับว่า วันเวลาที่เกิดเหตุ ตนเอง ภรรยา ลูกสาว และเพื่อนลูกสาว ได้เข้าไปทานอาหารที่ร้านเสนาวิลล่า บริเวณที่เกิดเหตุจริง ซึ่งหลังจากที่รับประทานอาหารเสร็จแล้วก็ออกมาที่รถ เพื่อจะเดินทางกลับ แต่เมื่อถึงรถยนต์ก็ถูกรถของ หมอมุก จอดขวางอยู่ ทำให้ไม่สามารถขยับรถได้ เนื่องจากรถไม่ได้ใส่เกียร์ว่างไว้ ทำให้ลูกสาวโมโห ไปเขียนบนกระจกรถว่า จอดรถไม่มีมารยาท ต่อมา หมอมุก เดินออกมา จึงมีการโต้เถียงกันเล็กน้อยเรื่องการจอดรถ
หลังจากนั้น ตนจึงโทรไปที่ 191 เพื่อให้มาเคลียร์เหตุการณ์แต่โทรไม่ติดโดยเมื่อ หมอมุก ขยับรถแล้ว ตนจึงนำรถออกมา แต่หมอมุกได้ทุบรถของตน ตนจึงถ่ายทะเบียนรถหมอมุกไว้ หมอมุก ขวางรถไว้ เมื่อตนจะขยับรถออก หมอมุกกระโดดขึ้นมาบนฝากระโปรงรถ พร้อมกับเกาะที่ปัดน้ำฝนและดึงติดมือไป ตนจึงตกใจและหยุดรถทันที พร้อมถอยหลังทำให้หมอมุกตกลงจากรถ ซึ่งไม่ได้มีเจตนาจะไปชนซ้ำ
อย่างไรก็ตาม หลังจากการสอบปากคำแล้ว พนักงานสอบสวน ได้ปล่อยตัวผู้ต้องหาโดยไม่ต้องประกันเนื่องจากว่า ผู้ต้องหาติดต่อขอเข้ามอบตัวเอง
ขอบคุณภาพจาก ครอบครัวข่าว 3
อินทรีย์ภูเขา ,
วันอังคารที่ 21 มิถุนายน พ.ศ. 2554
เปิดคลิป ทักษิณคิดประเทศไทยหายนะ ที่นักศึกษาไปแจกแล้วโดนจับ...ถามว่าทักษิณแจ้งความหรือใครเป็นเจ้าทุกข์
Posted by Canไทเมือง ,
รวบ 6 น.ศ. ม.ราม แจกซีดี-แผ่นพับ "ทักษิณล้มเจ้า" ดิสเครดิตเพื่อไทย สารภาพรับค่าจ้างวันละ 500 บาท
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 18:56:41 น.
เมื่อ วันที่ 20 มิถุนายน พ.ต.ท.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว สว.สส.สน.บุปผาราม กรุงเทพมหานคร ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีกลุ่มวัยรุ่นเดินแจกเอกสารและแผ่นซีดี เนื้อหาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ย่านถนนลาดหญ้า แขวงและเขตคลองสาน ไปตรวจสอบพบและควบคุมตัวไว้ได้ 6 คน ประกอบด้วย นายวุฒิชัย สอนทอง อายุ 27 ปี นายอภินันท์ เยือนเทพ อายุ 22 ปี นายภูมิพิพัฒน์ แก้วทอง อายุ 22 ปี นายอาวุธ อินทร์ชุนจิต อายุ 25 ปี นายเนตินันท์ คุนัญญานนท์ อายุ 22 ปี และ น.ส.สุกัญญา จันดอก อายุ 20 ปี พร้อมรถตู้ 3 คัน ทะเบียน ฮด 3464 กรุงเทพมหานคร 8778 กรุงเทพมหานคร และ 9314 นนทบุรี หนังสือพิมพ์ทำนองหมิ่นสถาบัน มีรูป พ.ต.ท.ทักษิณ รวม 8,000 ฉบับ แผ่นซีดี "ทักษิณคิด ประเทศไทยหายนะ" กว่า 12,000 แผ่น ปืนลูกซอง 1 กระบอก และกระสุน 1 นัด จึงควบคุมตัวมาสอบสวนต่อที่ สน.บุปผาราม
สอบ สวนเบื้องต้นทั้งหมดสารภาพว่า เป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีเพื่อนชวนให้มาทำงาน ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นอะไร เมื่อมาทำงานจึงทราบว่าเป็นเอกสารดังกล่าว แต่รับเงินมาแล้วจึงต้องเลยตามเลย เบื้องต้นทราบว่ามีการจ้างกันมาเป็นทอด นอกจากนี้ ยังมีผู้กระทำผิดอีกส่วนหนึ่งขับรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน ฮก 7578 กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลางจำนวนหนึ่งหลบหนีไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวมาสอบสวนต่อที่สน.บุปผาราม โดยมี พ.ต.อ.จีรศักดิ์ ขำคง รอง ผบก.น.8 และ พ.ต.อ.สมโภชน์ ทัศนา ผกก.สน.บุปผาราม ร่วมสอบปากคำ
พ.ต.อ.สมโภชน์ ทัศนา ผกก.สน.บุปผาราม กล่าวว่า จากการตรวจสอบเนื้อหาหนังสือพิมพ์เป็นการโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องล้มเจ้า และเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ส่วนในซีดีมีลักษณะคล้ายกัน ใช้วิธีตัดต่อจากข่าวโทรทัศน์ สำหรับคดีนี้เป็นความผิดทางการเมือง จึงตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งจะทำการสอบสวนผู้ต้องหาอย่างละเอียด ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
รวบ 6 น.ศ. ม.ราม แจกซีดี-แผ่นพับ "ทักษิณล้มเจ้า" ดิสเครดิตเพื่อไทย สารภาพรับค่าจ้างวันละ 500 บาท
วันที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554 เวลา 18:56:41 น.
เมื่อ วันที่ 20 มิถุนายน พ.ต.ท.ปราโมทย์ จันทร์บุญแก้ว สว.สส.สน.บุปผาราม กรุงเทพมหานคร ได้รับแจ้งจากชาวบ้านว่ามีกลุ่มวัยรุ่นเดินแจกเอกสารและแผ่นซีดี เนื้อหาโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ที่ย่านถนนลาดหญ้า แขวงและเขตคลองสาน ไปตรวจสอบพบและควบคุมตัวไว้ได้ 6 คน ประกอบด้วย นายวุฒิชัย สอนทอง อายุ 27 ปี นายอภินันท์ เยือนเทพ อายุ 22 ปี นายภูมิพิพัฒน์ แก้วทอง อายุ 22 ปี นายอาวุธ อินทร์ชุนจิต อายุ 25 ปี นายเนตินันท์ คุนัญญานนท์ อายุ 22 ปี และ น.ส.สุกัญญา จันดอก อายุ 20 ปี พร้อมรถตู้ 3 คัน ทะเบียน ฮด 3464 กรุงเทพมหานคร 8778 กรุงเทพมหานคร และ 9314 นนทบุรี หนังสือพิมพ์ทำนองหมิ่นสถาบัน มีรูป พ.ต.ท.ทักษิณ รวม 8,000 ฉบับ แผ่นซีดี "ทักษิณคิด ประเทศไทยหายนะ" กว่า 12,000 แผ่น ปืนลูกซอง 1 กระบอก และกระสุน 1 นัด จึงควบคุมตัวมาสอบสวนต่อที่ สน.บุปผาราม
สอบ สวนเบื้องต้นทั้งหมดสารภาพว่า เป็นนักศึกษาคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง มีเพื่อนชวนให้มาทำงาน ได้ค่าจ้างวันละ 500 บาท ตอนแรกไม่ทราบว่าเป็นอะไร เมื่อมาทำงานจึงทราบว่าเป็นเอกสารดังกล่าว แต่รับเงินมาแล้วจึงต้องเลยตามเลย เบื้องต้นทราบว่ามีการจ้างกันมาเป็นทอด นอกจากนี้ ยังมีผู้กระทำผิดอีกส่วนหนึ่งขับรถตู้ยี่ห้อโตโยต้า ทะเบียน ฮก 7578 กรุงเทพมหานคร พร้อมของกลางจำนวนหนึ่งหลบหนีไป จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงควบคุมตัวมาสอบสวนต่อที่สน.บุปผาราม โดยมี พ.ต.อ.จีรศักดิ์ ขำคง รอง ผบก.น.8 และ พ.ต.อ.สมโภชน์ ทัศนา ผกก.สน.บุปผาราม ร่วมสอบปากคำ
พ.ต.อ.สมโภชน์ ทัศนา ผกก.สน.บุปผาราม กล่าวว่า จากการตรวจสอบเนื้อหาหนังสือพิมพ์เป็นการโจมตี พ.ต.ท.ทักษิณเรื่องล้มเจ้า และเรื่องเผาบ้านเผาเมือง ส่วนในซีดีมีลักษณะคล้ายกัน ใช้วิธีตัดต่อจากข่าวโทรทัศน์ สำหรับคดีนี้เป็นความผิดทางการเมือง จึงตั้งคณะกรรมการ 2 ชุดตามคำสั่งสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งจะทำการสอบสวนผู้ต้องหาอย่างละเอียด ก่อนเสนอผู้บังคับบัญชาเพื่อดำเนินคดีตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป
13 ปีที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะเลือกตั้ง ..ผมไม่อยากโทษนักการเมืองแล้ว
Posted by indexthai ,
.
13 ปีที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะเลือกตั้ง แต่.. ก็ได้เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้ชนะเลือกตั้งถึง 2 รัฐบาล คือรัฐบาลชวน 2 และรัฐบาลอภิสิทธิ์
ประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะ คะแนนมาที่ 1 และได้จัดตั้งรัฐบาลชวน 1 ในปี 2535 นายชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกคนที่ 20 ของประเทศไทย ระหว่าง 23 กันยายน 2535 - 12 กรกฎาคม 2538
รัฐบาล ชวน 1 เป็นผู้นำระบบ Maintenance margin และ Forced sell มาใช้ในตลาดหุ้นในเดือนตุลาคม 2536 ทำให้กองทุนโลกลากตลาดหุ้นไทยไปสูงสุดที่ต้นปี 2537 แล้วเทขายรุนแรง ทำให้เกิดการบังคับขายหุ้นของนักลงทุนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
หุ้นตกแรง ทำให้เกิดความเสียหายทั้งประเทศ ได้แก่
1) ทำให้ค่าเงินเสียหาย
2) ทำให้ทุนสำรองลดลง
3) ทำให้สภาพคล่องของระบบลดลง และเสียหาย
4) ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น (เพราะสภาพคล่องเสียหาย)
5) ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น (เพราะค่าเงินเสียหาย อ่อนค่า)
6) ทำให้ภาคการเงิน และภาคการผลิตจริงล้มลง และล้มละลาย
7) ทำให้เกิดภาวะหนี้เสีย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
8) ทำให้คนตกงานมาก
9) ทำให้ต้องเข้าไอเอ็มเอฟ
10) ทำให้ระบบยากจนลง
ซึ่ง ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจในรัฐบาลต่อๆมา กระทั้งมีการลอยค่าเงินบาท และเข้าโครงการ ไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2 ในรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงมาก สภาพคล่องเสียหายหนัก ภาคการผลิตจริงและภาคการเงินเสียหายทั้งระบบ คนตกงานมาก ประมาณว่าทุกวันนี้ 1 ใน 3 สินทรัพย์ของประเทศ ตกไปเป็นของต่างชาติ
มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ของรัฐบาลชวน 1 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2538
การ เลือกตั้งสมัยต่อมา ในปี 2538 พรรคชาติพัฒนาได้ส.ส.มากที่สุด ได้นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 – 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาของนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539
การ เลือกตั้งครั้งต่อมา พรรคความหวังใหม่มีสมาชิกสภาผู้แทนได้เลือกตั้งมากที่สุด ได้จัดตั้งรัฐบาล ได้พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540
ความ เบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชวน 1 มาถึงทางตันในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ สภาพคล่องเสียหายอย่างหนัก แม้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูจะเข้าไปช่วยเหลือสภาพคล่อง ก็เอาไม่อยู่ ต้องลอยค่าเงินบาท และเข้าโครงการไอเอ็มเอฟครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เข้าควบคุมธนาคารบีบีซี และประกาศยุติการดำเนินกิจการของ 16+40 ไฟแนนซ์
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธต้องรับผิดชอบ ลาออก ที่นำพาประเทศเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ
รัฐบาล ชวน 2 มาโดยมี ส.ส. งูเห่าจากพรรคประชากรไทยเข้าร่วม ทำให้สามารถตั้งรัฐบาลชวน 2 ได้ และประกาศว่าจะอยู่ไม่ครบเทอม และลาออกก่อนรัฐบาลครบวาระ 2 สัปดาห์ เป็นรัฐบาลรักษาการ จัดการเลือกตั้งทั่วไป
พรรคไทยรักไทยได้ เสียงข้างมาก ได้จัดตั้งรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 4 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
การ เลือกตั้งทั่วไป เมื่อปี พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2
ถูกคมช.ทำรัฐประหาร รัฐบาลทักษิณตกจากอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
รวมช่วงเวลาอยู่ในตำแหน่งระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 – 19 กันยายน พ.ศ. 2549
เป็น ที่มาของรัฐบาลคมช. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รัฐธรรมนูญปี 2550 มาแทนรัฐธรรมนูญปี 2540 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์อยู่ในตำแหน่งระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 – 29 มกราคม พ.ศ. 2551
การ เลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา พลังประชาชนที่มีนายนายสมัคร สุนทรเวชเป็นหัวหน้าพรรค ได้คะแนนสูงสุด แต่ไม่พอที่จะตั้งรัฐบาลได้ ได้ร่วมกับพรรคอื่นๆอีก 5 พรรค จัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ความสิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรีของสมัคร เนื่องจากรับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” จึงทำให้สมัครสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลง และให้รักษาการนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551 – 9 กันยายน พ.ศ. 2551
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 17 กันยายน 2551 ได้รับการเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26
ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์สิ้นสุดลง อันเนื่องจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ จากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช (ประชาพรรคชาติไทย จากพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย โดยมีมติให้ยุบพรรคในเวลาต่อมา)
การ มาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย (พรรคที่สืบทอดต่อจากพรรคพลังประชาชน) จากพรรคชาติไทยพัฒนานำโดยสนั่น ขจรประศาสน์ (พรรคที่สืบทอดต่อจากพรรคชาติไทย) และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และกลุ่ม "เพื่อนเนวิน" อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน ทำให้ให้พรรคประชาธิปัตย์มีเสียงข้างมากในสภา สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ชนะการโหวตการเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยมีประชา พรหมนอกเป็นคู่แข่ง
หากนับตั้งแต่มีการ เลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2538 ถึงการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายในปี 2551 ช่วงเวลา 13 ปี ประชาธิปัตย์ไม่เคยได้รับชัยชนะมีคะแนนส.ส.มาเป็นที่ 1
เชื่อว่าการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ประชาธิปัคย์ก็ไม่น่าจะมีคะแนนมาเป็นที่ 1 อีก
อาจจะมีคะแนนพรรคใดพรรคหนึ่ง แข่งคู่กันมากับคะแนนโหวตโนได้
ประเทศไทยเสียหาย และเสื่อมมากกว่าที่คิด พรรคการเมืองใดมาก็ไม่ต่างกัน จะมาโดยการเลือกตั้ง หรือมาโดยการปฏิวัติ ก็ไม่ต่างกัน
ตอนนี้ผู้เขียนไม่อยากตำหนินักการเมืองแล้ว ขอให้พิจารณาที่ระบอบดีกว่า เพราะระบอบการเมืองไม่เหมาะสม ทำให้ได้นักการเมืองไม่เหมาะสม ทำให้นักการเมืองบริหารจัดการประเทศได้ไม่เหมาะสม ถ้าได้ระบอบการเมืองที่เหมาะสม ก็จะทำให้ได้นักการเมืองที่เหมาะสม ทำให้นักการเมืองบริหารจัดการประเทศได้เหมาะสม
ระบอบประชาธิปไตยวิถีทุน เป็นระบบอบประชาธิปไตยวิถีบาป ที่ก่อความเดือดร้อน ทุกข์เข็ญ ลำเค็ญ ให้ประเทศชาติประชาชนทุกวันนี้
ระบอบประชาธิปไตยวิถีพุทธ เป็นระบบอบประชาธิปไตยวิถีบุญ จะเปลี่ยนแปลง นำความเจริญ สงบ ร่มเย็น มาสู่ประเทศชาติประชาชนได้
การเมืองทางเลือก ยุตินักการเมืองน้ำเน่า ยุติความแตกกันของคนในประเทศ http://t.co/IkrWL4m
.
.
13 ปีที่ผ่านมาประชาธิปัตย์ไม่เคยชนะเลือกตั้ง แต่.. ก็ได้เป็นรัฐบาลที่ไม่ได้ชนะเลือกตั้งถึง 2 รัฐบาล คือรัฐบาลชวน 2 และรัฐบาลอภิสิทธิ์
ประชาธิปัตย์ได้รับชัยชนะ คะแนนมาที่ 1 และได้จัดตั้งรัฐบาลชวน 1 ในปี 2535 นายชวน หลีกภัย ได้เป็นนายกคนที่ 20 ของประเทศไทย ระหว่าง 23 กันยายน 2535 - 12 กรกฎาคม 2538
รัฐบาล ชวน 1 เป็นผู้นำระบบ Maintenance margin และ Forced sell มาใช้ในตลาดหุ้นในเดือนตุลาคม 2536 ทำให้กองทุนโลกลากตลาดหุ้นไทยไปสูงสุดที่ต้นปี 2537 แล้วเทขายรุนแรง ทำให้เกิดการบังคับขายหุ้นของนักลงทุนท้องถิ่นอย่างต่อเนื่อง
หุ้นตกแรง ทำให้เกิดความเสียหายทั้งประเทศ ได้แก่
1) ทำให้ค่าเงินเสียหาย
2) ทำให้ทุนสำรองลดลง
3) ทำให้สภาพคล่องของระบบลดลง และเสียหาย
4) ทำให้อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้น (เพราะสภาพคล่องเสียหาย)
5) ทำให้เงินเฟ้อสูงขึ้น (เพราะค่าเงินเสียหาย อ่อนค่า)
6) ทำให้ภาคการเงิน และภาคการผลิตจริงล้มลง และล้มละลาย
7) ทำให้เกิดภาวะหนี้เสีย หนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้
8) ทำให้คนตกงานมาก
9) ทำให้ต้องเข้าไอเอ็มเอฟ
10) ทำให้ระบบยากจนลง
ซึ่ง ส่งผลให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจในรัฐบาลต่อๆมา กระทั้งมีการลอยค่าเงินบาท และเข้าโครงการ ไอเอ็มเอฟเป็นครั้งที่ 2 ในรัฐบาลพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ เงินเฟ้อเพิ่มขึ้นสูงมาก สภาพคล่องเสียหายหนัก ภาคการผลิตจริงและภาคการเงินเสียหายทั้งระบบ คนตกงานมาก ประมาณว่าทุกวันนี้ 1 ใน 3 สินทรัพย์ของประเทศ ตกไปเป็นของต่างชาติ
มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาผู้แทนราษฎร ของรัฐบาลชวน 1 เมื่อวันที่ 19 พฤษภาคม 2538
การ เลือกตั้งสมัยต่อมา ในปี 2538 พรรคชาติพัฒนาได้ส.ส.มากที่สุด ได้นายบรรหาร ศิลปอาชา เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 21 ระหว่างวันที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2538 – 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539
มีพระราชกฤษฎีกายุบสภาของนายบรรหาร ศิลปอาชา เมื่อวันที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2539
การ เลือกตั้งครั้งต่อมา พรรคความหวังใหม่มีสมาชิกสภาผู้แทนได้เลือกตั้งมากที่สุด ได้จัดตั้งรัฐบาล ได้พลเอก ชวลิต ยงใจยุทธหัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 22 ระหว่างวันที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2539 – 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2540
ความ เบี่ยงเบนที่เกิดขึ้นในรัฐบาลชวน 1 มาถึงทางตันในรัฐบาลพลเอกชวลิต ยงใจยุทธ สภาพคล่องเสียหายอย่างหนัก แม้กองทุนเพื่อการฟื้นฟูจะเข้าไปช่วยเหลือสภาพคล่อง ก็เอาไม่อยู่ ต้องลอยค่าเงินบาท และเข้าโครงการไอเอ็มเอฟครั้งที่ 2 เมื่อวันที่ 2 กรกฎาคม 2540 เข้าควบคุมธนาคารบีบีซี และประกาศยุติการดำเนินกิจการของ 16+40 ไฟแนนซ์
พลเอกชวลิต ยงใจยุทธต้องรับผิดชอบ ลาออก ที่นำพาประเทศเข้าโครงการไอเอ็มเอฟ
รัฐบาล ชวน 2 มาโดยมี ส.ส. งูเห่าจากพรรคประชากรไทยเข้าร่วม ทำให้สามารถตั้งรัฐบาลชวน 2 ได้ และประกาศว่าจะอยู่ไม่ครบเทอม และลาออกก่อนรัฐบาลครบวาระ 2 สัปดาห์ เป็นรัฐบาลรักษาการ จัดการเลือกตั้งทั่วไป
พรรคไทยรักไทยได้ เสียงข้างมาก ได้จัดตั้งรัฐบาล พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี และดำรงตำแหน่งจนครบวาระ 4 ปี เป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ที่ดำรงตำแหน่งจนครบวาระ เป็นคนแรกในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
การ เลือกตั้งทั่วไป เมื่อปี พ.ศ. 2548 พรรคไทยรักไทยได้คะแนนเสียงสูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ พ.ต.ท.ดร.ทักษิณ ชินวัตร เข้าดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีสมัยที่ 2
ถูกคมช.ทำรัฐประหาร รัฐบาลทักษิณตกจากอำนาจเมื่อวันที่ 19 กันยายน 2549
รวมช่วงเวลาอยู่ในตำแหน่งระหว่างวันที่ 17 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2544 – 19 กันยายน พ.ศ. 2549
เป็น ที่มาของรัฐบาลคมช. พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้รัฐธรรมนูญปี 2550 มาแทนรัฐธรรมนูญปี 2540 พลเอก สุรยุทธ์ จุลานนท์อยู่ในตำแหน่งระหว่าง 1 ตุลาคม พ.ศ. 2549 – 29 มกราคม พ.ศ. 2551
การ เลือกตั้งทั่วไปในเวลาต่อมา พลังประชาชนที่มีนายนายสมัคร สุนทรเวชเป็นหัวหน้าพรรค ได้คะแนนสูงสุด แต่ไม่พอที่จะตั้งรัฐบาลได้ ได้ร่วมกับพรรคอื่นๆอีก 5 พรรค จัดตั้งรัฐบาล โดยมีนายสมัคร สุนทรเวชเป็นนายกรัฐมนตรีคนที่ 26
ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย ความสิ้นสุดการเป็นนายกรัฐมนตรีของสมัคร เนื่องจากรับเป็นพิธีกรกิตติมศักดิ์ ของรายการ “ชิมไปบ่นไป” และ “ยกโขยง 6 โมงเช้า” จึงทำให้สมัครสิ้นสุดความเป็นนายกรัฐมนตรีลง และให้รักษาการนายกรัฐมนตรี จนกว่าจะได้นายกรัฐมนตรีคนใหม่ ช่วงเวลาการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี คือวันที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2551 – 9 กันยายน พ.ศ. 2551
นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ 17 กันยายน 2551 ได้รับการเลือกจากสภาผู้แทนราษฎรให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 26
ตำแหน่ง นายกรัฐมนตรีของนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์สิ้นสุดลง อันเนื่องจากพรรคพลังประชาชนถูกยุบ จากกรณีทุจริตการเลือกตั้งของนายยงยุทธ ติยะไพรัช (ประชาพรรคชาติไทย จากพรรคมัชฌิมาธิปไตย ก็ถูกศาลรัฐธรรมนูญอ่านคำวินิจฉัย โดยมีมติให้ยุบพรรคในเวลาต่อมา)
การ มาของรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ได้ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย (พรรคที่สืบทอดต่อจากพรรคพลังประชาชน) จากพรรคชาติไทยพัฒนานำโดยสนั่น ขจรประศาสน์ (พรรคที่สืบทอดต่อจากพรรคชาติไทย) และพรรคมัชฌิมาธิปไตย และกลุ่ม "เพื่อนเนวิน" อดีตสมาชิกพรรคพลังประชาชน ทำให้ให้พรรคประชาธิปัตย์มีเสียงข้างมากในสภา สามารถเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลได้ ชนะการโหวตการเป็นนายกรัฐมนตรีในวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2551 โดยมีประชา พรหมนอกเป็นคู่แข่ง
หากนับตั้งแต่มีการ เลือกตั้ง ตั้งแต่ปี 2538 ถึงการเลือกตั้งครั้งสุดท้ายในปี 2551 ช่วงเวลา 13 ปี ประชาธิปัตย์ไม่เคยได้รับชัยชนะมีคะแนนส.ส.มาเป็นที่ 1
เชื่อว่าการลงคะแนนเลือกตั้งทั่วไป วันที่ 3 กรกฎาคม 2554 ประชาธิปัคย์ก็ไม่น่าจะมีคะแนนมาเป็นที่ 1 อีก
อาจจะมีคะแนนพรรคใดพรรคหนึ่ง แข่งคู่กันมากับคะแนนโหวตโนได้
ประเทศไทยเสียหาย และเสื่อมมากกว่าที่คิด พรรคการเมืองใดมาก็ไม่ต่างกัน จะมาโดยการเลือกตั้ง หรือมาโดยการปฏิวัติ ก็ไม่ต่างกัน
ตอนนี้ผู้เขียนไม่อยากตำหนินักการเมืองแล้ว ขอให้พิจารณาที่ระบอบดีกว่า เพราะระบอบการเมืองไม่เหมาะสม ทำให้ได้นักการเมืองไม่เหมาะสม ทำให้นักการเมืองบริหารจัดการประเทศได้ไม่เหมาะสม ถ้าได้ระบอบการเมืองที่เหมาะสม ก็จะทำให้ได้นักการเมืองที่เหมาะสม ทำให้นักการเมืองบริหารจัดการประเทศได้เหมาะสม
ระบอบประชาธิปไตยวิถีทุน เป็นระบบอบประชาธิปไตยวิถีบาป ที่ก่อความเดือดร้อน ทุกข์เข็ญ ลำเค็ญ ให้ประเทศชาติประชาชนทุกวันนี้
ระบอบประชาธิปไตยวิถีพุทธ เป็นระบบอบประชาธิปไตยวิถีบุญ จะเปลี่ยนแปลง นำความเจริญ สงบ ร่มเย็น มาสู่ประเทศชาติประชาชนได้
การเมืองทางเลือก ยุตินักการเมืองน้ำเน่า ยุติความแตกกันของคนในประเทศ http://t.co/IkrWL4m
.
ตำนานคนเสื้อแดง
ถึงคุณสามวาที่เคารพ
คนเสื้อแดงมีมานานแสนนานแล้ว แต่เหมือนไฟสุมขอน มิได้ลุกโพลงอย่างที่เห็นใน พ.ศ.นี้ หมายความว่าเดิมที่ยังไม่มีคนเสื้อเหลือง ไม่มีมือตบ ก็ยังไม่มีคนใส่เสื้อแดงและไม่มีตีนตบ
คนเสื้อแดงไม่ใช่บูชาทักษิณเป็นเทพเจ้า เพียงแต่เป็นแนวร่วมกันเท่านั้น แม้กระทั่งเหตุ
ความ ไม่สงบในภาคใต้ ที่ไม่เอาทักษิณอยู่แล้ว แต่หากจะเหมาเอาว่าเป็นเสื้อแดงก็ไม่ผิดนัก เพราะล้วนแต่เป็นกลุ่มคนที่ไม่พอใจ, ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือถูกเบียดเบียนรังแกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่มีพลัง ไม่มีใครเป็นปากเสียงให้ อดทนอยู่อย่างถูกเอารัดเอาเปรียบ และเหมือนไม่เคยมีคุณค่าในสายตาของผู้มีอำนาจ
แต่เมื่อเกิดแกนนำที่เข้มแข็ง เขาจึงรวมตัวกันได้ ทั้งที่แสดงออกโดยเปิดเผยและที่ไม่
แสดงออก พลังของคนเสื้อแดงจึงมีมหาศาล เหนียวแน่นมั่นคง มากกว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองอย่าง
เทียบกันไม่ติด เพราะกลุ่มคนเสื้อเหลืองเกิดได้ด้วยการปลุกระดม ด้วยข้อมูลที่จริงบ้างเท็จบ้าง
เกิดเป็นกระแสเหมือนลมที่พัดผ่านไปชั่วขณะ แต่เสื้อแดงนั้นเหมือนคลื่นในทะเล ที่หนุนต่อเนื่อง
ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเป็นพวกอมทุกข์ ที่เมื่อเกิดแรงกดดันมากๆ เข้า อาจเป็นคลื่นธรรมดาๆ ไปจน
ขนาดสึนามิได้ทุกเมื่อ
ฮัจญีสุหลง โต๊ะมีนา, เตียง ศิริขันธุ์, จำลอง ดาวเรือง, ถวิล อุดล, ทองเปลว ชลภูมิ ที่ขอ
ยก ว่าเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง ถูกอำนาจมืดปลิดชีวิตเหมือนไม่ใช่เป็นคน ชีวิตที่บริสุทธิ์อีกเท่าไหร่ที่ถูดยัดถังแดง ถูกหิ้วด้วยวิธีการที่ไม่ได้มองเห็นว่าเขาเป็นมนุษย์ ชาวนาที่จนมาเจ็ดชั่วโคตร เพราะถูกเอาเปรียบจากนายทุน รวมหัวกับขุนศึกขุนนาง
เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยหลังการเปลี่ยนจากราชาธิปไตยแล้ว ไม่เคยมีคำว่าประชาธิปไตยเลย มีแต่คณาธิปไตยอันมีองค์ประกอบคือ นายทุน ขุนนาง ขุนศึก ร่วมกันเวียนเทียนใช้อำนาจมืดกับประชาชนจนโงหัวไม่ขึ้น
แม้กระทั่งปัจจุบัน ผู้มีอำนาจปกครองก็ยังเป็นคนกลุ่มเดิม แต่วิชาแก่กล้ามากกว่า เพราะมีเครื่องมือเป็นนักวิชาการ นักกฎหมายเก่งๆ และ....ฯลฯ....ร่วมมือกันแสวงหาความร่ำรวยจากการช่วงชิงทรัพยากรจากคนส่วน ใหญ่ ประเทศไทยวันนี้จึงไม่มีที่ยืนของร้านโชห่วย ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว แม้กระทั่งร้านขายปลีกของคนเจ้าของพื้นที่
น้ำถูกสำรองไว้ให้ อุตสาหกรรมของนายทุน จนชาวบ้านไม่มีจะใช้ ถนนหนทางสร้างขึ้นจากภาษีของคนทั้งประเทศ เพื่อถวายนายทุนที่บีโอไอสนับสนุนได้ใช้อย่างสะดวกสบาย ก๊าซธรรมชาติถูกสูบมาใช้เพื่อสนองความต้องการของนายทุน ดินน้ำอากาศที่อุดมด้วยสารพิษ คือสิ่งที่ประชาชนได้เป็นของขวัญ นอกเหนือจากค่าแรงที่พอซื้ออาหารใส่กระเพาะอย่างจำกัด
นี่คือสภาพของประเทศไทย ที่ถูกปกครองด้วยอำนาจมืด (เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี)
คนเสื้อแดง (อธิบายแล้วว่าใครบ้าง) ก็คือพวกโดนกดขี่จนทนไม่ไหวแล้ว
หลายคนที่เป็นนักวิชาการ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นใหญ่เป็นโต ท่านลืมภาพสะเทือนใจในอดีตหมดแล้วหรือ นักศึกษาหญิงถูกจับถอดเสื้อเหลือแต่ยกทรง การกระทำที่เลวกว่าสัตว์ป่าที่กระทำต่อมนุษย์ นายตำรวจใหญ่ยืนสูบบุหรี่ ขณะที่มือขวาลั่นกระสุนอย่างมันมือ พวกท่านต้องโดดหนีลงเจ้าพระยาเข้าป่าหัวซุกหัวซุน หากท่านไม่ลืมท่านต้องรู้พิษสงของอำนาจมืด และต้องต่อต้านอย่าให้เกิดซ้ำรอยแก่ลูกหลาน
วันนี้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญอัปลักษณ์ใช้ มีกฎหมายที่เขียนโดยนายทุน เพื่อนายทุน ผมไม่มีความหวังอะไรว่าประเทศนี้จะดีกว่านี้ เพราะขนาดชนชั้นหัวกะทิของประเทศก็พากันเห็นดีเห็นงามตามกันหมด
หากเปรียบเทียบประเทศไทยทุกมิติในวันนี้ กับเมื่อหนึ่งร้อยปีเศษที่ผ่านมา ในจินตนาการ
ของ ผมอยากเป็นข้าแผ่นดินขององค์พระมหากษัตริย์ ดีกว่าอยู่ภายใต้อำนาจรัฐที่อยู่ในมือของชนชั้นปกครอง ในยุคที่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอมเช่นปัจจุบัน ซึ่งนับวันยิ่งนำพาประเทศชาติไปในทางเสื่อม
ยิ่งในช่วงหลังการรัฐประหาร ครั้งล่าสุด ประเทศไทยเป็นตัวตลกในเวทีโลก ไม่มีใครจริงใจหรือมองอย่างยกย่องนับถือ นอกจากคบไว้กอบโกยประโยชน์ เพราะเห็นว่ามีชนชั้นปกครองที่โง่ อ่อนแอ ไม่รักประเทศชาติและประชาชน เป็นปรสิตที่สร้างความทรุดโทรมแก่ชาติ ยากแก่การกำจัด
แต่ยังโชคดีที่ประเทศไทยมีสถาบันที่สง่างาม เป็นที่สรรเสริญของคนทั่วโลก นั่นคือสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงสร้างคุณความดีไว้ เป็นเกียรติยศของชาติมาเป็นร้อยปี
ถ้าไม่ให้อำนาจที่แท้จริงแก่ประชาชน ก็ถวายพระราชอำนาจคืนพระมหากษัตริย์ดีกว่า บ้านเมืองอาจสงบและเจริญก้าวหน้ากว่านี้
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ศรีธัญญา ณ สวนปรุง
ตอบ คุณศรีธัญญาฯ
ต้อง ยอมรับว่าคุณเป็นคนเสื้อแดงตัวจริงเสียงจริง ที่สามารถเล่าถึงที่มาของคนเสื้อแดงตั้งแต่ยุคอดีตถึงปัจจุบัน แต่คนเสื้อแดงที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าจะคิดเหมือนคุณหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่เพิ่งมาใส่เสื้อแดงตามอย่างคนเสื้อเหลือง
โลกร้อนหรือคนเลว
เรียน คุณสามวา สองศอก ที่นับถือ
ผม ได้อ่าน "จดหมายถึงนาย" ที่คุณเปลว สีเงิน นำลงในไทยโพสต์แล้ว เห็นด้วยจริงๆ ว่า ประเทศไทย เป็นเช่นนั้น น่าห่วงจริงๆ มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเล็กน้อยดังนี้
ประเทศไทยวิกฤติสุดๆ เกี่ยวกับทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ เวลานี้ถือว่าประเทศไทยไม่มีป่าแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่ รัฐบาลใหม่ จะต้องรีบเร่งแก้ไขและปรับปรุง และการบริหารกฎหมายเหล่านั้นให้รวมเป็นหนึ่งเดียว โดยมอบหมายให้หน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพียงรายเดียว ไม่ใช่กระจัดกระจายกันเช่นทุกวันนี้ โดยรวมทบวง กระทรวง กรมต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นหน่วยเดียว ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน เมื่อมีปัญหาก็ให้หน่วยงานนั้นแก้ไขได้ทันที ไม่ต้องสอบถามหน่วยนั้นหน่วยนี้ให้เสียเวลา
เวลานี้ประเทศไทยฝนตกแม้ไม่ มีพายุน้ำก็ท่วม ที่เป็นเช่นนี้เพราะป่าไม้ถูกทำลายเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ อันได้แก่ ยางพาราและปาล์ม เริ่มรุนแรงที่สุดในสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่ทำการเปิดป่าเพื่อปลูกยางพารา 3 ล้านไร่ทั่วทุกภาค โดยเฉพาะทางเหนือและอีสาน โดยไม่มีการวิจัยว่าต้นยางให้ยางเท่าไร อายุการกรีดนั้นเป็นอย่างไร
ต่างกับทางภาคใต้ซึ่งมีภูมิอากาศต่างกัน อย่างไร คงไม่เป็นแบบการส่งเสริมการปลูกมะม่วงหิมพานต์ในสมัยบิ๊กจิ๋ว ผมดูทีวีแล้วเห็นว่ามีภูเขาหัวโล้นทั่วประเทศ ป่าธรรมชาติแทบไม่มี เมื่อฝนตกก็ไม่มีป่าซับน้ำก็จะไหลลงอย่างเร็วและชะหน้าดินลงมาด้วย ทำให้น้ำท่วมและดินถล่มแบบตั้งตัวไม่ทัน อย่าไปโทษโลกร้อนแต่อย่างเดียวเลย ที่สำคัญคือผู้ที่ทำลายบุกรุกป่า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่กลับเป็นนายทุนของนักการเมือง และบริวารร่วมด้วยข้าราชการ อันได้แก่ เจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ พนักงานที่ดิน ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพนักงานป่าไม้
ผมเคยอยู่ต่างจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานป่าไม้ ขนาดประจำอำเภอยังร่ำรวยไม่ใช่เล่นที่สดๆ ร้อนๆ การรุกป่าที่ราชบุรี ผู้รุกก็คือญาติของรัฐมนตรีคนหนึ่งในกระทรวงศึกษาฯ นั่นเอง ขอให้รัฐบาลใหม่เลิกคิดเอาเงินเป็นตัวตั้ง นำเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินดีกว่า
เวลานี้การลงทุนทางอุตสาหกรรมต่างๆ เกินพอแล้ว สร้างมลภาวะ และทุกอุตสาหกรรมมากมาย ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านมากสุดๆ นำคนต่างชาติเข้ามาอาศัยในประเทศเป็นจำนวนมาก ตัวเลขที่แท้จริงไม่ทราบแต่คิดว่าไม่ต่ำกว่าสามล้าน โดยเฉพาะที่สมุทรสาครแห่งเดียวมีชาวพม่าเป็นแสน ถึงขนาดมีโรงหนังสำหรับชาวพม่า
ประเทศไทยไม่ได้มีเนื้อที่กว้าง ขวางอย่างอเมริกา ที่จะอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาเท่าไรก็ได้ ความจริงกรรมการการส่งเสริมการลงทุนควรยุบเสีย รายได้จากการลงทุนตัวเลขสดสวย แต่จริงๆ แล้วตัวเลขที่เข้ารัฐจากการเก็บภาษี ได้ไม่มากเท่ากับที่รัฐต้องจัดการกับสิ่งแวดล้อม และการรักษาพยาบาลที่มีผลกระทบกับประชาชน
ประชาชนได้แค่เศษเงินที่เป็น ค่าจ้างแรงงานเท่านั้น เงินส่วนใหญ่นำไปสู่ประเทศแม่ของเจ้าของอุตสาหกรรมเหล่านั้น กับตกอยู่ในกระเป๋าของนายทุนไทยที่เป็นผู้ร่วมงานเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น บุหรี่นายทุนผู้นำเข้าและผู้ผลิตได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ รัฐได้ภาษีเล็กน้อยไม่คุ้มกับการที่รัฐต้องใช้จ่าย ในการรักษาพยาบาลสิงห์อมควันทั้งหลาย
ขอให้รัฐบาลใหม่คิดให้รอบคอบทุกๆ ด้าน ในการส่งเสริมการลงทุนด้วย ดูอย่างอีลิทการ์ด ซึ่งทักษิณเริ่มต้นไว้ล้มไม่เป็นท่า เสียหายเป็นจำนวนมากไม่มีใครรับผิดชอบ ผู้ที่รับผิดชอบที่แท้จริงก็คือประชาชนผู้เสียภาษีให้รัฐใช้ถลุงนั้นเอง เศร้า!
ด้วยความนับถืออย่างสูง
ส.ประทับแก้ว
ตอบ คุณ ส.ประทับแก้ว
ปี นี้ทั่วโลกต่างก็ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างนี้ วิกฤติโลกร้อนจึงต้องตกเป็นจำเลย แต่คุณก็มีอีกมุมมองที่ไม่โทษเฉพาะวิกฤติโลกร้อน แต่โทษคนไทยที่ตัดไม้ทำลายป่าจนเสียสมดุลธรรมชาติ
หลังเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ถ้าพรรคไหนได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ก็อย่าลืมเอาเรื่องนี้ไปพิจารณา
สามวา สองศอก
ไทยโพสต์
คนเสื้อแดงมีมานานแสนนานแล้ว แต่เหมือนไฟสุมขอน มิได้ลุกโพลงอย่างที่เห็นใน พ.ศ.นี้ หมายความว่าเดิมที่ยังไม่มีคนเสื้อเหลือง ไม่มีมือตบ ก็ยังไม่มีคนใส่เสื้อแดงและไม่มีตีนตบ
คนเสื้อแดงไม่ใช่บูชาทักษิณเป็นเทพเจ้า เพียงแต่เป็นแนวร่วมกันเท่านั้น แม้กระทั่งเหตุ
ความ ไม่สงบในภาคใต้ ที่ไม่เอาทักษิณอยู่แล้ว แต่หากจะเหมาเอาว่าเป็นเสื้อแดงก็ไม่ผิดนัก เพราะล้วนแต่เป็นกลุ่มคนที่ไม่พอใจ, ไม่ได้รับความเป็นธรรม หรือถูกเบียดเบียนรังแกจากเจ้าหน้าที่ของรัฐ ซึ่งเขาเหล่านั้นไม่มีพลัง ไม่มีใครเป็นปากเสียงให้ อดทนอยู่อย่างถูกเอารัดเอาเปรียบ และเหมือนไม่เคยมีคุณค่าในสายตาของผู้มีอำนาจ
แต่เมื่อเกิดแกนนำที่เข้มแข็ง เขาจึงรวมตัวกันได้ ทั้งที่แสดงออกโดยเปิดเผยและที่ไม่
แสดงออก พลังของคนเสื้อแดงจึงมีมหาศาล เหนียวแน่นมั่นคง มากกว่ากลุ่มคนเสื้อเหลืองอย่าง
เทียบกันไม่ติด เพราะกลุ่มคนเสื้อเหลืองเกิดได้ด้วยการปลุกระดม ด้วยข้อมูลที่จริงบ้างเท็จบ้าง
เกิดเป็นกระแสเหมือนลมที่พัดผ่านไปชั่วขณะ แต่เสื้อแดงนั้นเหมือนคลื่นในทะเล ที่หนุนต่อเนื่อง
ไม่มีที่สิ้นสุด เพราะเป็นพวกอมทุกข์ ที่เมื่อเกิดแรงกดดันมากๆ เข้า อาจเป็นคลื่นธรรมดาๆ ไปจน
ขนาดสึนามิได้ทุกเมื่อ
ฮัจญีสุหลง โต๊ะมีนา, เตียง ศิริขันธุ์, จำลอง ดาวเรือง, ถวิล อุดล, ทองเปลว ชลภูมิ ที่ขอ
ยก ว่าเป็นตัวแทนของประชาชนอย่างแท้จริง ถูกอำนาจมืดปลิดชีวิตเหมือนไม่ใช่เป็นคน ชีวิตที่บริสุทธิ์อีกเท่าไหร่ที่ถูดยัดถังแดง ถูกหิ้วด้วยวิธีการที่ไม่ได้มองเห็นว่าเขาเป็นมนุษย์ ชาวนาที่จนมาเจ็ดชั่วโคตร เพราะถูกเอาเปรียบจากนายทุน รวมหัวกับขุนศึกขุนนาง
เป็นตัวอย่างชี้ให้เห็นว่า สังคมไทยหลังการเปลี่ยนจากราชาธิปไตยแล้ว ไม่เคยมีคำว่าประชาธิปไตยเลย มีแต่คณาธิปไตยอันมีองค์ประกอบคือ นายทุน ขุนนาง ขุนศึก ร่วมกันเวียนเทียนใช้อำนาจมืดกับประชาชนจนโงหัวไม่ขึ้น
แม้กระทั่งปัจจุบัน ผู้มีอำนาจปกครองก็ยังเป็นคนกลุ่มเดิม แต่วิชาแก่กล้ามากกว่า เพราะมีเครื่องมือเป็นนักวิชาการ นักกฎหมายเก่งๆ และ....ฯลฯ....ร่วมมือกันแสวงหาความร่ำรวยจากการช่วงชิงทรัพยากรจากคนส่วน ใหญ่ ประเทศไทยวันนี้จึงไม่มีที่ยืนของร้านโชห่วย ยี่ปั๊ว ซาปั๊ว แม้กระทั่งร้านขายปลีกของคนเจ้าของพื้นที่
น้ำถูกสำรองไว้ให้ อุตสาหกรรมของนายทุน จนชาวบ้านไม่มีจะใช้ ถนนหนทางสร้างขึ้นจากภาษีของคนทั้งประเทศ เพื่อถวายนายทุนที่บีโอไอสนับสนุนได้ใช้อย่างสะดวกสบาย ก๊าซธรรมชาติถูกสูบมาใช้เพื่อสนองความต้องการของนายทุน ดินน้ำอากาศที่อุดมด้วยสารพิษ คือสิ่งที่ประชาชนได้เป็นของขวัญ นอกเหนือจากค่าแรงที่พอซื้ออาหารใส่กระเพาะอย่างจำกัด
นี่คือสภาพของประเทศไทย ที่ถูกปกครองด้วยอำนาจมืด (เพราะไม่รู้ว่าจะเรียกว่าอะไรดี)
คนเสื้อแดง (อธิบายแล้วว่าใครบ้าง) ก็คือพวกโดนกดขี่จนทนไม่ไหวแล้ว
หลายคนที่เป็นนักวิชาการ เป็นครูบาอาจารย์ เป็นใหญ่เป็นโต ท่านลืมภาพสะเทือนใจในอดีตหมดแล้วหรือ นักศึกษาหญิงถูกจับถอดเสื้อเหลือแต่ยกทรง การกระทำที่เลวกว่าสัตว์ป่าที่กระทำต่อมนุษย์ นายตำรวจใหญ่ยืนสูบบุหรี่ ขณะที่มือขวาลั่นกระสุนอย่างมันมือ พวกท่านต้องโดดหนีลงเจ้าพระยาเข้าป่าหัวซุกหัวซุน หากท่านไม่ลืมท่านต้องรู้พิษสงของอำนาจมืด และต้องต่อต้านอย่าให้เกิดซ้ำรอยแก่ลูกหลาน
วันนี้ประเทศไทยมีรัฐธรรมนูญอัปลักษณ์ใช้ มีกฎหมายที่เขียนโดยนายทุน เพื่อนายทุน ผมไม่มีความหวังอะไรว่าประเทศนี้จะดีกว่านี้ เพราะขนาดชนชั้นหัวกะทิของประเทศก็พากันเห็นดีเห็นงามตามกันหมด
หากเปรียบเทียบประเทศไทยทุกมิติในวันนี้ กับเมื่อหนึ่งร้อยปีเศษที่ผ่านมา ในจินตนาการ
ของ ผมอยากเป็นข้าแผ่นดินขององค์พระมหากษัตริย์ ดีกว่าอยู่ภายใต้อำนาจรัฐที่อยู่ในมือของชนชั้นปกครอง ในยุคที่เป็นประชาธิปไตยจอมปลอมเช่นปัจจุบัน ซึ่งนับวันยิ่งนำพาประเทศชาติไปในทางเสื่อม
ยิ่งในช่วงหลังการรัฐประหาร ครั้งล่าสุด ประเทศไทยเป็นตัวตลกในเวทีโลก ไม่มีใครจริงใจหรือมองอย่างยกย่องนับถือ นอกจากคบไว้กอบโกยประโยชน์ เพราะเห็นว่ามีชนชั้นปกครองที่โง่ อ่อนแอ ไม่รักประเทศชาติและประชาชน เป็นปรสิตที่สร้างความทรุดโทรมแก่ชาติ ยากแก่การกำจัด
แต่ยังโชคดีที่ประเทศไทยมีสถาบันที่สง่างาม เป็นที่สรรเสริญของคนทั่วโลก นั่นคือสถาบันพระมหากษัตริย์ที่ทรงสร้างคุณความดีไว้ เป็นเกียรติยศของชาติมาเป็นร้อยปี
ถ้าไม่ให้อำนาจที่แท้จริงแก่ประชาชน ก็ถวายพระราชอำนาจคืนพระมหากษัตริย์ดีกว่า บ้านเมืองอาจสงบและเจริญก้าวหน้ากว่านี้
ด้วยความเคารพอย่างสูง
ศรีธัญญา ณ สวนปรุง
ตอบ คุณศรีธัญญาฯ
ต้อง ยอมรับว่าคุณเป็นคนเสื้อแดงตัวจริงเสียงจริง ที่สามารถเล่าถึงที่มาของคนเสื้อแดงตั้งแต่ยุคอดีตถึงปัจจุบัน แต่คนเสื้อแดงที่เห็นอยู่ทุกวันนี้ ผมไม่แน่ใจว่าจะคิดเหมือนคุณหรือเปล่า เพราะส่วนใหญ่เพิ่งมาใส่เสื้อแดงตามอย่างคนเสื้อเหลือง
โลกร้อนหรือคนเลว
เรียน คุณสามวา สองศอก ที่นับถือ
ผม ได้อ่าน "จดหมายถึงนาย" ที่คุณเปลว สีเงิน นำลงในไทยโพสต์แล้ว เห็นด้วยจริงๆ ว่า ประเทศไทย เป็นเช่นนั้น น่าห่วงจริงๆ มีข้อคิดเห็นเพิ่มเติมเล็กน้อยดังนี้
ประเทศไทยวิกฤติสุดๆ เกี่ยวกับทรัพยากรที่ดินและป่าไม้ เวลานี้ถือว่าประเทศไทยไม่มีป่าแล้วก็ได้ ถึงเวลาแล้วที่ รัฐบาลใหม่ จะต้องรีบเร่งแก้ไขและปรับปรุง และการบริหารกฎหมายเหล่านั้นให้รวมเป็นหนึ่งเดียว โดยมอบหมายให้หน่วยงาน และเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบเพียงรายเดียว ไม่ใช่กระจัดกระจายกันเช่นทุกวันนี้ โดยรวมทบวง กระทรวง กรมต่างๆ เข้าด้วยกันเป็นหน่วยเดียว ใช้กฎหมายฉบับเดียวกัน เมื่อมีปัญหาก็ให้หน่วยงานนั้นแก้ไขได้ทันที ไม่ต้องสอบถามหน่วยนั้นหน่วยนี้ให้เสียเวลา
เวลานี้ประเทศไทยฝนตกแม้ไม่ มีพายุน้ำก็ท่วม ที่เป็นเช่นนี้เพราะป่าไม้ถูกทำลายเพื่อปลูกพืชเศรษฐกิจ อันได้แก่ ยางพาราและปาล์ม เริ่มรุนแรงที่สุดในสมัยรัฐบาลทักษิณ ที่ทำการเปิดป่าเพื่อปลูกยางพารา 3 ล้านไร่ทั่วทุกภาค โดยเฉพาะทางเหนือและอีสาน โดยไม่มีการวิจัยว่าต้นยางให้ยางเท่าไร อายุการกรีดนั้นเป็นอย่างไร
ต่างกับทางภาคใต้ซึ่งมีภูมิอากาศต่างกัน อย่างไร คงไม่เป็นแบบการส่งเสริมการปลูกมะม่วงหิมพานต์ในสมัยบิ๊กจิ๋ว ผมดูทีวีแล้วเห็นว่ามีภูเขาหัวโล้นทั่วประเทศ ป่าธรรมชาติแทบไม่มี เมื่อฝนตกก็ไม่มีป่าซับน้ำก็จะไหลลงอย่างเร็วและชะหน้าดินลงมาด้วย ทำให้น้ำท่วมและดินถล่มแบบตั้งตัวไม่ทัน อย่าไปโทษโลกร้อนแต่อย่างเดียวเลย ที่สำคัญคือผู้ที่ทำลายบุกรุกป่า ก็ไม่ใช่ใครที่ไหน แต่กลับเป็นนายทุนของนักการเมือง และบริวารร่วมด้วยข้าราชการ อันได้แก่ เจ้าหน้าที่ทั้งทหาร ตำรวจ พนักงานที่ดิน ข้าราชการที่เกี่ยวข้อง โดยเฉพาะพนักงานป่าไม้
ผมเคยอยู่ต่างจังหวัด เจ้าพนักงานที่ดิน เจ้าพนักงานป่าไม้ ขนาดประจำอำเภอยังร่ำรวยไม่ใช่เล่นที่สดๆ ร้อนๆ การรุกป่าที่ราชบุรี ผู้รุกก็คือญาติของรัฐมนตรีคนหนึ่งในกระทรวงศึกษาฯ นั่นเอง ขอให้รัฐบาลใหม่เลิกคิดเอาเงินเป็นตัวตั้ง นำเศรษฐกิจพอเพียงมาดำเนินดีกว่า
เวลานี้การลงทุนทางอุตสาหกรรมต่างๆ เกินพอแล้ว สร้างมลภาวะ และทุกอุตสาหกรรมมากมาย ทำความเดือดร้อนให้ชาวบ้านมากสุดๆ นำคนต่างชาติเข้ามาอาศัยในประเทศเป็นจำนวนมาก ตัวเลขที่แท้จริงไม่ทราบแต่คิดว่าไม่ต่ำกว่าสามล้าน โดยเฉพาะที่สมุทรสาครแห่งเดียวมีชาวพม่าเป็นแสน ถึงขนาดมีโรงหนังสำหรับชาวพม่า
ประเทศไทยไม่ได้มีเนื้อที่กว้าง ขวางอย่างอเมริกา ที่จะอนุญาตให้นำคนต่างด้าวเข้ามาเท่าไรก็ได้ ความจริงกรรมการการส่งเสริมการลงทุนควรยุบเสีย รายได้จากการลงทุนตัวเลขสดสวย แต่จริงๆ แล้วตัวเลขที่เข้ารัฐจากการเก็บภาษี ได้ไม่มากเท่ากับที่รัฐต้องจัดการกับสิ่งแวดล้อม และการรักษาพยาบาลที่มีผลกระทบกับประชาชน
ประชาชนได้แค่เศษเงินที่เป็น ค่าจ้างแรงงานเท่านั้น เงินส่วนใหญ่นำไปสู่ประเทศแม่ของเจ้าของอุตสาหกรรมเหล่านั้น กับตกอยู่ในกระเป๋าของนายทุนไทยที่เป็นผู้ร่วมงานเท่านั้น ยกตัวอย่างเช่น บุหรี่นายทุนผู้นำเข้าและผู้ผลิตได้กำไรเป็นกอบเป็นกำ รัฐได้ภาษีเล็กน้อยไม่คุ้มกับการที่รัฐต้องใช้จ่าย ในการรักษาพยาบาลสิงห์อมควันทั้งหลาย
ขอให้รัฐบาลใหม่คิดให้รอบคอบทุกๆ ด้าน ในการส่งเสริมการลงทุนด้วย ดูอย่างอีลิทการ์ด ซึ่งทักษิณเริ่มต้นไว้ล้มไม่เป็นท่า เสียหายเป็นจำนวนมากไม่มีใครรับผิดชอบ ผู้ที่รับผิดชอบที่แท้จริงก็คือประชาชนผู้เสียภาษีให้รัฐใช้ถลุงนั้นเอง เศร้า!
ด้วยความนับถืออย่างสูง
ส.ประทับแก้ว
ตอบ คุณ ส.ประทับแก้ว
ปี นี้ทั่วโลกต่างก็ประสบกับภัยพิบัติทางธรรมชาติ ซึ่งไม่เคยเกิดขึ้นพร้อมๆ กันอย่างนี้ วิกฤติโลกร้อนจึงต้องตกเป็นจำเลย แต่คุณก็มีอีกมุมมองที่ไม่โทษเฉพาะวิกฤติโลกร้อน แต่โทษคนไทยที่ตัดไม้ทำลายป่าจนเสียสมดุลธรรมชาติ
หลังเลือกตั้งวันที่ 3 กรกฎาคมนี้ ถ้าพรรคไหนได้เข้ามาจัดตั้งรัฐบาล ก็อย่าลืมเอาเรื่องนี้ไปพิจารณา
สามวา สองศอก
ไทยโพสต์
ไม่ "โหวตโน" เขามาแน่ ( จะหยุดทักษิณ ทำไม? ต้องเลือก ปชป. ทางนี้ง่ายกว่าเยอะ )
“พันธมิตรฯ” ยืนยันโหวตโนมีผลทางกฎหมาย “ปานเทพ” ยกบทความเลขานุการศาลฎีกาแผนกคดีอาญานักการเมืองประกอบ ชี้ช่องจำนวน ส.ส.ที่ชนะเลือกตั้งมีไม่ถึง 95% เปิดประชุมสภาไม่ได้ เลือกพรรคตรงข้าม “เผาไทย” เสียของยิ่งกว่า แย้มแค่ชนะให้ได้ 26 เขต ถึงจะหยุดระบอบทักษิณ-การเมืองที่ทุจริต “จำลอง” ยันไม่ได้อคติ-เกลียดการเลือกตั้ง แต่ต้องหาวิธีแก้ ด้าน “ประพันธ์” ฉะนักการเมืองใช้นักกฎหมาย-นักวิชาการให้ข้อมูลบิดเบือน
(20 มิ.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงยุทธศาสตร์ในการรณรงค์ให้ประชาชนลงคะแนนในช่องไม่ ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน โดยนายปานเทพได้กล่าวถึงบทความในหัวข้อ ผลทางนิตินัยของบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน (VOTE NO) เขียนโดยนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ซึ่งได้นำไปเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ
โดยชี้ให้เห็นว่า การที่ประชาชนโหวตโนในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผลทางกฎหมาย ซึ่งในบทความนายอนุรักษ์ได้ให้ความเห็นว่า หากมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนมากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่ง ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดจำนวนมากๆ หรือแม้แต่คะแนนของจำนวนบัตรเลือกตั้งที่โหวตโน รวมกับคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนในอันดับรองลงไป มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุด ก็อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะได้
ทั้งนี้ เพราะเสียงข้างมากของประชาชนหรือผู้ที่ได้รับคะแนนรองลงมานั้นไม่ใช่ตัวแทน เสียงข้างมากของประชาชนในตัว ขัดต่อหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ส. และ ส.ว.ปี 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในมาตรา 89 เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต ให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้ รับการเลือกตั้ง ดังนั้น ถ้ามีคะแนนโหวตโนมากนั้น นายอนุรักษ์มองว่าเป็นคะแนนที่อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะในท้าย ที่สุด
นายปานเทพกล่าวว่า จากบทความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คะแนนช่องที่มีคนเคยพูดว่า การกากบาทลงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนไม่มีความหมายทางกฎหมายนั้น ปรากฏว่ามีความหมายทางกฎหมายแล้ว จากประเด็นดังกล่าวภาคประชาชนได้ตรวจสอบไปยังกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 93 วรรคท้าย ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งวรรคที่ 7 บอกว่า ในกรณีที่มีเหตุการณ์ใดๆ ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใดมีจำนวน ส.ส.ไม่ถึง 500 คน แต่มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ให้ถือว่าสมาชิกจำนวนนั้นประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎร และต้องดำเนินการให้มี ส.ส.ครบตามจำนวนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญภายใน 180 วัน และให้อยู่ในตำแหน่งได้เท่าที่จะมีอายุของ ส.ส.ที่เหลืออยู่
“นั่นหมายความว่า การเลือกตั้งนั้นถ้ามีจำนวน ส.ส.ไม่ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ถ้ามีคะแนนโหวตโนที่ชนะเขตเลือกตั้งถึง 26 เขตเมื่อไหร่ ก็จะไม่มีการเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ การประชุมสภาก็จะไม่เกิดขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ก็จะยังไม่เกิดขึ้น ยิ่งภาคประชาชนเข้ามาสู่การโหวตโนกันมากถึง 26 เขต และแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนก็ยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมแล้ว ก็หมายถึงว่าการเลือก ตั้งก็จะทำให้เกิดการประชุมสภาไม่ได้เช่นเเดียวกัน” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ที่ผลโพลออกมาล่าสุดว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะอย่างขาดลอย และจะทำให้มีการจัดตั้งรัฐบาล แล้วเข้ามาใช้มือในสภาเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคนอื่นๆ นั้น พันธมิตรฯ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการชุมนุมในการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ขอเพียงแค่ชนะเขตเลือกตั้งเพียงแค่ 26 เขตเท่านั้นก็จะหยุดการกลับมาของระบอบทักษิณได้ การดำเนินการครั้งนี้เราจะเห็นว่า ถ้าประชาชนยังไม่ตัดสินใจเพราะว่ากลัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา หรือกลัวการนิรโทษกรรมนั้น การเลือกตั้งพรรคการเมืองใดที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยนั้น ผลโพลสรุปแล้วว่าไม่สามารถจะชนะพรรคเพื่อไทยได้เลย
ดังนั้น คงเหลือแต่วิธีการเดียวเท่านั้นก็คือ ลงคะแนนไม่เลือกใคร ให้ได้มากกว่า 26 เขตเลือกตั้ง นำไปสู่การเรียกร้องในการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ และหยุดระบอบการเมืองที่ทุจริตเลือกตั้งครั้งมโหฬาร มีการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นจำนวนมาก มีการใช้ผู้ทรงอิทธิพลไปยิงหัวคะแนน ขว้างระเบิด ทุบป้าย ทำลายสถานที่ในการรณรงค์ของภาคประชาชน โดยที่ กกต. และเจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่เป็นการเลือกตั้งที่ราวกับเป็นระบบบ้านป่าเมืองเถื่อน ไร้ขื่อแป ใช้กระสุน ปืน และนักเลงอันธพาลในการได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง เราจะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ล้มเหลวและไม่เป็นประชาธิปไตย จึงมีทางเดียวคือต้องหยุดการกลับมาของการเมืองที่ฉ้อฉลเหล่านี้ให้ได้ 26 เขตเท่านั้น มีผลต่อการหยุดยั้งการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลครั้งนี้
ด้าน พล.ต.จำลองกล่าวว่า นายอนุรักษ์เป็นผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมายและมีความห่วงใยบ้านเมือง จะเห็นได้ว่าตอนที่มีข่าวว่านายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ สองคนไทยที่ถูกจับกุมและจำคุกอยู่ในกัมพูชานั้น นายอนุรักษ์ได้ไปค้นสนธิสัญญาระหว่างประเทศของไทยกับกัมพูชาที่ได้ลงนามไป เรียบร้อยแล้วว่าสามารถโอนผู้ที่เป็นนักโทษกลับมายังประเทศไทยได้ แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ได้ทำ คราวนี้มาถึงการเลือกตั้ง นายอนุรักษ์ก็เห็นแล้วว่าบ้านเมืองไปไม่ได้ จึงพิจารณาข้อกฎหมายต่างๆ แล้วมายืนยันให้พวกเราทราบ
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายฝ่ายพันธมิตรฯ ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ยืนยันว่าการลงคะแนนโหวตโนสามารถมีผลทางกฎหมาย เมื่อนายอนุรักษ์ได้ออกมายืนยันอีกทีก็มั่นใจว่ามีผลอย่างแน่นอน ดังนั้น ใครก็ตามที่กลัวว่าจะมีการนิรโทษกรรมคนที่ทำผิด แล้วถูกศาลตัดสินจำคุกแล้วให้พ้นโทษ และคนอื่นๆ รวมทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดอะไรให้พ้นโทษ ก็คงจะแก้ได้ด้วยการมาร่วมกันลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ซึ่งจากเหตุการณ์ความรุนแรงถึงขั้นยิงหัวคะแนนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องหาวิธีแก้ โดยไม่ได้อคติหรือเกลียดการเลือกตั้ง
ส่วน นายประพันธ์กล่าวว่า การเลือกตั้งถือเป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ที่จะไปมอบให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดให้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใช้อำนาจแทนประชาชน ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ทั้งนี้ การที่ประชาชนไปหย่อนบัตรเลือกตั้งใช้สิทธิ ก็เป็นการมอบอำนาจของตัวเองให้แก่ผู้แทนผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายเลือกตั้งได้บัญญัติไว้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าในกฎหมายเลือกตั้งที่บัญญัติว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้รับการเลือกตั้งต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 และศาลได้ตัดสินว่าเป็นโมฆะ และมีหลายเขตที่ผู้สมัครแพ้ให้คนที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน ก็ไม่สามารถเป็น ส.ส.ได้ เพราะไม่ได้รับมอบอำนาจอธิปไตยจากประชาชน เมื่อมีการบัญญัติมาตรา 88 แล้วก็มีการบัญญัติมาตรา 89 ซึ่งถือว่าภายใต้การบังคับมาตรา 88 ซึ่งผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนอกจากจะต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นๆ แล้ว ต้องได้รับคะแนนมากกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ ขณะเดียวกัน ต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน ด้วย
“ผลของการเลือกตั้งที่ที่มีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนโหวตโนจำนวนมาก มันมีผลในทางกฎหมาย สามารถที่จะหยุดยั้ง ส.ส.หรือพรรคการเมืองที่ตัวเองไม่ชอบ ให้เข้ามามีอำนาจได้ด้วย ขณะนี้คนก็อาจจะวิตกว่า พ.ต.ท.ทักษิณและระบอบทักษิณจะฟื้นขึ้นมา ภาคประชาชนหวาดวิตกและเกรงว่าทักษิณจะฟื้นระบอบขึ้นมา ก็ไม่ต้องไปประท้วง ไปชุมนุมอะไรเลย เพียงแต่เดินเข้าคูหาแล้วไปกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้มากๆ ก็จะสามารถหยุดไม่ให้ระบอบทักษิณฟื้นกลับมาได้ เพราะไม่สามารถที่จะเปิดสภาและดำเนินการไปได้ โดยที่ไม่ต้องไปชุมนุมหรือก่อความเคลื่อนไหวที่ประชาชนจะต้องออกแรงออก กำลัง” นายประพันธ์กล่าว
โฆษกคณะกรรมการปกป้องราชอาณาจักรไทยยังกล่าวว่า นายอนุรักษ์ได้ชี้ให้เห็นถึงการโหวตโนว่า หากมีจำนวนมาก เมื่อรวมกับคะแนนของผู้ที่ไม่เลือกบุคคลผู้นั้นร่วมกัน จะมากกว่าคะแนนของผู้ที่ได้คะแนน การจะไปรับรองบุคคลผู้นั้นเป็นผู้แทนก็ไม่มีผลทางกฎหมายด้วยเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนโหวตโนมากๆ และมีประชาชนที่ไม่เลือกพรรคใดพรรคหนึ่งมากๆ มารวมกันจะมีผลทำให้การเลือกตั้งมีโอกาสเป็นโมฆะได้มากกว่า เพราะคำวินิจฉัยของศาลที่เคยวินิจฉัยเรื่องการหันหีบบัตร ประเด็นนั้นมีความสำคัญน้อยกว่าคะแนนผู้ที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนมากกว่าผู้ ที่ได้คะแนน ซึ่งประเด็นนี้ถ้ามีผู้ร้อง ศาลจะให้น้ำหนักเรื่องสาระสำคัญ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าเรื่องการหันหีบบัตร
อย่างไรก็ตาม การโหวตโนที่มีจำนวนมาก เป็นการสะท้อนอำนาจอธิปไตยของประชาชนในการไม่เลือกคนหนึ่งคนใดหรือระบอบการ เมืองนั้นๆ ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งจำต้องเคารพและวินิจฉัยไปตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญซึ่งเห็นว่าอำนาจอธิปไตยของประชาชนเป็นอำนาจสูงสุด ผลในทางกฎหมายของการไม่ประสงค์ลงคะแนนที่มีคนอ้างว่าไม่มีผลทางกฎหมายเป็น เพราะนักการเมืองรู้อยู่แล้วว่าถ้าโหวตโนมากๆ จะมีผลทางกฎหมายเช่นนี้ และเกรงว่าประชาชนจะโหวตโนมากๆ จึงมีความพยายามให้นักกฎหมายและนักวิชาการให้ข้อมูลบิดเบือนประชาชน แต่บัดนี้ทั้งนักกฎหมายและทีมทนายความมีความเห็นตรงกันในทางกฎหมายว่า มาตรา 89 ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 88 ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่การเลือกตั้งเป็นแบบนี้ เนื่องจากมีการรณรงค์โหวตโน และคนมีความเข้าใจกฎหมายมากขึ้น
(20 มิ.ย.) ที่บ้านพระอาทิตย์ พล.ต.จำลอง ศรีเมือง แกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย พร้อมด้วยนายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรฯ และนายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย ได้ร่วมกันแถลงข่าวถึงยุทธศาสตร์ในการรณรงค์ให้ประชาชนลงคะแนนในช่องไม่ ประสงค์ลงคะแนน หรือโหวตโน โดยนายปานเทพได้กล่าวถึงบทความในหัวข้อ ผลทางนิตินัยของบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน (VOTE NO) เขียนโดยนายอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา ซึ่งได้นำไปเผยแพร่ผ่านหนังสือพิมพ์ฉบับต่างๆ
โดยชี้ให้เห็นว่า การที่ประชาชนโหวตโนในการเลือกตั้งครั้งนี้มีผลทางกฎหมาย ซึ่งในบทความนายอนุรักษ์ได้ให้ความเห็นว่า หากมีจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนมากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่ง ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดจำนวนมากๆ หรือแม้แต่คะแนนของจำนวนบัตรเลือกตั้งที่โหวตโน รวมกับคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนในอันดับรองลงไป มากกว่าคะแนนของผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุด ก็อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะได้
ทั้งนี้ เพราะเสียงข้างมากของประชาชนหรือผู้ที่ได้รับคะแนนรองลงมานั้นไม่ใช่ตัวแทน เสียงข้างมากของประชาชนในตัว ขัดต่อหลักการพื้นฐานของการปกครองในระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข เนื่องจากกฎหมายว่าด้วยการได้มาซึ่ง ส.ส. และ ส.ว.ปี 2550 ซึ่งเป็นกฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญในมาตรา 89 เขียนไว้อย่างชัดเจนว่า ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้ง ส.ส.แบบแบ่งเขต ให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้ รับการเลือกตั้ง ดังนั้น ถ้ามีคะแนนโหวตโนมากนั้น นายอนุรักษ์มองว่าเป็นคะแนนที่อาจทำให้การเลือกตั้งครั้งนั้นเป็นโมฆะในท้าย ที่สุด
นายปานเทพกล่าวว่า จากบทความดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า คะแนนช่องที่มีคนเคยพูดว่า การกากบาทลงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนนไม่มีความหมายทางกฎหมายนั้น ปรากฏว่ามีความหมายทางกฎหมายแล้ว จากประเด็นดังกล่าวภาคประชาชนได้ตรวจสอบไปยังกฎหมายรัฐธรรมนูญ ซึ่งได้บัญญัติไว้ในมาตรา 93 วรรคท้าย ไว้อย่างน่าสนใจ ซึ่งวรรคที่ 7 บอกว่า ในกรณีที่มีเหตุการณ์ใดๆ ทำให้การเลือกตั้งทั่วไปครั้งใดมีจำนวน ส.ส.ไม่ถึง 500 คน แต่มีจำนวนไม่น้อยกว่าร้อยละ 95 ของจำนวน ส.ส.ทั้งหมด ให้ถือว่าสมาชิกจำนวนนั้นประกอบเป็นสภาผู้แทนราษฎร และต้องดำเนินการให้มี ส.ส.ครบตามจำนวนที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญภายใน 180 วัน และให้อยู่ในตำแหน่งได้เท่าที่จะมีอายุของ ส.ส.ที่เหลืออยู่
“นั่นหมายความว่า การเลือกตั้งนั้นถ้ามีจำนวน ส.ส.ไม่ครบ 95 เปอร์เซ็นต์ เปิดประชุมสภาผู้แทนราษฎรไม่ได้ ถ้ามีคะแนนโหวตโนที่ชนะเขตเลือกตั้งถึง 26 เขตเมื่อไหร่ ก็จะไม่มีการเปิดการประชุมสภาผู้แทนราษฎรได้ การประชุมสภาก็จะไม่เกิดขึ้น การจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่ก็จะยังไม่เกิดขึ้น ยิ่งภาคประชาชนเข้ามาสู่การโหวตโนกันมากถึง 26 เขต และแม้จะมีการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนก็ยังยืนยันเจตนารมณ์เดิมแล้ว ก็หมายถึงว่าการเลือก ตั้งก็จะทำให้เกิดการประชุมสภาไม่ได้เช่นเเดียวกัน” นายปานเทพกล่าว
โฆษกพันธมิตรฯ กล่าวอีกว่า ที่ผลโพลออกมาล่าสุดว่าพรรคเพื่อไทยจะชนะอย่างขาดลอย และจะทำให้มีการจัดตั้งรัฐบาล แล้วเข้ามาใช้มือในสภาเพื่อออกกฎหมายนิรโทษกรรมให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และคนอื่นๆ นั้น พันธมิตรฯ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้วิธีการชุมนุมในการต่อต้าน พ.ต.ท.ทักษิณแต่เพียงอย่างเดียวแล้ว ขอเพียงแค่ชนะเขตเลือกตั้งเพียงแค่ 26 เขตเท่านั้นก็จะหยุดการกลับมาของระบอบทักษิณได้ การดำเนินการครั้งนี้เราจะเห็นว่า ถ้าประชาชนยังไม่ตัดสินใจเพราะว่ากลัว พ.ต.ท.ทักษิณกลับมา หรือกลัวการนิรโทษกรรมนั้น การเลือกตั้งพรรคการเมืองใดที่อยู่ตรงกันข้ามกับพรรคเพื่อไทยนั้น ผลโพลสรุปแล้วว่าไม่สามารถจะชนะพรรคเพื่อไทยได้เลย
ดังนั้น คงเหลือแต่วิธีการเดียวเท่านั้นก็คือ ลงคะแนนไม่เลือกใคร ให้ได้มากกว่า 26 เขตเลือกตั้ง นำไปสู่การเรียกร้องในการปฏิรูปการเมืองครั้งใหญ่ และหยุดระบอบการเมืองที่ทุจริตเลือกตั้งครั้งมโหฬาร มีการซื้อสิทธิขายเสียงเป็นจำนวนมาก มีการใช้ผู้ทรงอิทธิพลไปยิงหัวคะแนน ขว้างระเบิด ทุบป้าย ทำลายสถานที่ในการรณรงค์ของภาคประชาชน โดยที่ กกต. และเจ้าหน้าที่รัฐทำอะไรไม่ได้ ซึ่งไม่ใช่การเลือกตั้งตามระบอบประชาธิปไตยแล้ว แต่เป็นการเลือกตั้งที่ราวกับเป็นระบบบ้านป่าเมืองเถื่อน ไร้ขื่อแป ใช้กระสุน ปืน และนักเลงอันธพาลในการได้รับชัยชนะการเลือกตั้ง เราจะเห็นว่าการเลือกตั้งครั้งนี้ล้มเหลวและไม่เป็นประชาธิปไตย จึงมีทางเดียวคือต้องหยุดการกลับมาของการเมืองที่ฉ้อฉลเหล่านี้ให้ได้ 26 เขตเท่านั้น มีผลต่อการหยุดยั้งการเลือกตั้งที่ฉ้อฉลครั้งนี้
ด้าน พล.ต.จำลองกล่าวว่า นายอนุรักษ์เป็นผู้ที่มีความรู้ทางกฎหมายและมีความห่วงใยบ้านเมือง จะเห็นได้ว่าตอนที่มีข่าวว่านายวีระ สมความคิด และ น.ส.ราตรี พิพัฒนาไพบูรณ์ สองคนไทยที่ถูกจับกุมและจำคุกอยู่ในกัมพูชานั้น นายอนุรักษ์ได้ไปค้นสนธิสัญญาระหว่างประเทศของไทยกับกัมพูชาที่ได้ลงนามไป เรียบร้อยแล้วว่าสามารถโอนผู้ที่เป็นนักโทษกลับมายังประเทศไทยได้ แต่รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ก็ไม่ได้ทำ คราวนี้มาถึงการเลือกตั้ง นายอนุรักษ์ก็เห็นแล้วว่าบ้านเมืองไปไม่ได้ จึงพิจารณาข้อกฎหมายต่างๆ แล้วมายืนยันให้พวกเราทราบ
ทั้งนี้ ก่อนหน้านี้นายสุวัตร อภัยภักดิ์ ทนายฝ่ายพันธมิตรฯ ได้ชี้แจงเรื่องนี้ไปครั้งหนึ่งแล้ว ยืนยันว่าการลงคะแนนโหวตโนสามารถมีผลทางกฎหมาย เมื่อนายอนุรักษ์ได้ออกมายืนยันอีกทีก็มั่นใจว่ามีผลอย่างแน่นอน ดังนั้น ใครก็ตามที่กลัวว่าจะมีการนิรโทษกรรมคนที่ทำผิด แล้วถูกศาลตัดสินจำคุกแล้วให้พ้นโทษ และคนอื่นๆ รวมทั้งฝ่ายพันธมิตรฯ ซึ่งยืนยันว่าไม่ได้ทำผิดอะไรให้พ้นโทษ ก็คงจะแก้ได้ด้วยการมาร่วมกันลงคะแนนในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน ซึ่งจากเหตุการณ์ความรุนแรงถึงขั้นยิงหัวคะแนนอย่างต่อเนื่อง เมื่อเป็นเช่นนี้ก็ต้องหาวิธีแก้ โดยไม่ได้อคติหรือเกลียดการเลือกตั้ง
ส่วน นายประพันธ์กล่าวว่า การเลือกตั้งถือเป็นส่วนหนึ่งของการใช้อำนาจอธิปไตยของประชาชน ที่จะไปมอบให้แก่ผู้หนึ่งผู้ใดให้ได้รับเลือกตั้งเข้ามาใช้อำนาจแทนประชาชน ผู้ใช้สิทธิเลือกตั้งทั้งประเทศ เป็นไปตามรัฐธรรมนูญมาตรา 3 ว่า อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชนชาวไทย ทั้งนี้ การที่ประชาชนไปหย่อนบัตรเลือกตั้งใช้สิทธิ ก็เป็นการมอบอำนาจของตัวเองให้แก่ผู้แทนผ่านระบบการเลือกตั้ง ซึ่งกฎหมายเลือกตั้งได้บัญญัติไว้สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ เป็นที่ทราบกันดีว่าในกฎหมายเลือกตั้งที่บัญญัติว่า ผู้สมัครรับเลือกตั้งที่จะได้รับการเลือกตั้งต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นๆ ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในการเลือกตั้งเมื่อวันที่ 2 เมษายน 2549 และศาลได้ตัดสินว่าเป็นโมฆะ และมีหลายเขตที่ผู้สมัครแพ้ให้คนที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน ก็ไม่สามารถเป็น ส.ส.ได้ เพราะไม่ได้รับมอบอำนาจอธิปไตยจากประชาชน เมื่อมีการบัญญัติมาตรา 88 แล้วก็มีการบัญญัติมาตรา 89 ซึ่งถือว่าภายใต้การบังคับมาตรา 88 ซึ่งผู้ที่ได้รับการเลือกตั้งนอกจากจะต้องได้รับคะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตนั้นๆ แล้ว ต้องได้รับคะแนนมากกว่าผู้สมัครคนอื่นๆ ขณะเดียวกัน ต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์ลงคะแนน ด้วย
“ผลของการเลือกตั้งที่ที่มีผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนนโหวตโนจำนวนมาก มันมีผลในทางกฎหมาย สามารถที่จะหยุดยั้ง ส.ส.หรือพรรคการเมืองที่ตัวเองไม่ชอบ ให้เข้ามามีอำนาจได้ด้วย ขณะนี้คนก็อาจจะวิตกว่า พ.ต.ท.ทักษิณและระบอบทักษิณจะฟื้นขึ้นมา ภาคประชาชนหวาดวิตกและเกรงว่าทักษิณจะฟื้นระบอบขึ้นมา ก็ไม่ต้องไปประท้วง ไปชุมนุมอะไรเลย เพียงแต่เดินเข้าคูหาแล้วไปกาในช่องไม่ประสงค์ลงคะแนนให้มากๆ ก็จะสามารถหยุดไม่ให้ระบอบทักษิณฟื้นกลับมาได้ เพราะไม่สามารถที่จะเปิดสภาและดำเนินการไปได้ โดยที่ไม่ต้องไปชุมนุมหรือก่อความเคลื่อนไหวที่ประชาชนจะต้องออกแรงออก กำลัง” นายประพันธ์กล่าว
โฆษกคณะกรรมการปกป้องราชอาณาจักรไทยยังกล่าวว่า นายอนุรักษ์ได้ชี้ให้เห็นถึงการโหวตโนว่า หากมีจำนวนมาก เมื่อรวมกับคะแนนของผู้ที่ไม่เลือกบุคคลผู้นั้นร่วมกัน จะมากกว่าคะแนนของผู้ที่ได้คะแนน การจะไปรับรองบุคคลผู้นั้นเป็นผู้แทนก็ไม่มีผลทางกฎหมายด้วยเหมือนกัน เมื่อเป็นเช่นนี้ประชาชนโหวตโนมากๆ และมีประชาชนที่ไม่เลือกพรรคใดพรรคหนึ่งมากๆ มารวมกันจะมีผลทำให้การเลือกตั้งมีโอกาสเป็นโมฆะได้มากกว่า เพราะคำวินิจฉัยของศาลที่เคยวินิจฉัยเรื่องการหันหีบบัตร ประเด็นนั้นมีความสำคัญน้อยกว่าคะแนนผู้ที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนมากกว่าผู้ ที่ได้คะแนน ซึ่งประเด็นนี้ถ้ามีผู้ร้อง ศาลจะให้น้ำหนักเรื่องสาระสำคัญ ซึ่งมีน้ำหนักมากกว่าเรื่องการหันหีบบัตร
อย่างไรก็ตาม การโหวตโนที่มีจำนวนมาก เป็นการสะท้อนอำนาจอธิปไตยของประชาชนในการไม่เลือกคนหนึ่งคนใดหรือระบอบการ เมืองนั้นๆ ซึ่งเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญและกฎหมายเลือกตั้งจำต้องเคารพและวินิจฉัยไปตาม เจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญซึ่งเห็นว่าอำนาจอธิปไตยของประชาชนเป็นอำนาจสูงสุด ผลในทางกฎหมายของการไม่ประสงค์ลงคะแนนที่มีคนอ้างว่าไม่มีผลทางกฎหมายเป็น เพราะนักการเมืองรู้อยู่แล้วว่าถ้าโหวตโนมากๆ จะมีผลทางกฎหมายเช่นนี้ และเกรงว่าประชาชนจะโหวตโนมากๆ จึงมีความพยายามให้นักกฎหมายและนักวิชาการให้ข้อมูลบิดเบือนประชาชน แต่บัดนี้ทั้งนักกฎหมายและทีมทนายความมีความเห็นตรงกันในทางกฎหมายว่า มาตรา 89 ต้องอยู่ภายใต้บังคับมาตรา 88 ซึ่งจะเป็นครั้งแรกที่การเลือกตั้งเป็นแบบนี้ เนื่องจากมีการรณรงค์โหวตโน และคนมีความเข้าใจกฎหมายมากขึ้น
"ประพันธ์" คาด "โหวโน" มีผลต่อส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เช่นเดียวกับแบ่งเขต
"ประพันธ์" ชี้วันนี้ "โหวตโน" สมบูรณ์แบบที่สุดในการหยุดยั้ง "ระบอบทักษิณ - นักการเมืองชั่ว" แจงมีผลทั้งทาง "การเมือง - กฎหมาย - รัฐศาสตร์" ที่ใครจะมาโจมตีให้เสียหายไม่ได้อีกแล้ว คาดคะแนนไม่ประสงค์เลือกใครมีผลต่อส.ส.ปาร์ตี้ลิสต์เช่นเดียวกับแบบแบ่งเขต แต่ "อนุรักษ์" ยังไม่ได้พูดถึง ลั่นจะตัดทิ้งไม่ได้ ไม่เช่นนั้นจะขัดต่อเจตนารมณ์ของรธน.และการเลือกตั้ง
วันนี้ (20 มิ.ย.) เวลาประมาณ 21.30 น. นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวปราศรัยบนเวที "รวมพลังปกป้องแผ่นดิน" ว่า น่าเห็นใจ และเข้าใจ คนที่เชียร์ ประชาธิปัตย์ อย่างเช่น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ท่านก็หาเหตุผลมาว่าทำไมต้องเลือกประชาธิปัตย์ นั่นก็เป็นมุมมองของท่าน เราก็เคารพแต่เราไม่เห็นด้วย ซึ่งเราหวังว่าด้วยการที่ท่านเป็นปราชญ์ก็น่าจะเคารพความคิดเห็นของประชาชน ด้วย ว่าประชาชนได้สัมผัสนักการเมืองเหล่านั้นมาหมดแล้ว จึงมาถึงคำตอบว่าไม่มีนักการเมืองคนไหนฝากความหวังไว้ได้
ส่วนอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หมดสภาพความเป็นนักวิชาการไปแล้ว เลือกที่จะเชียร์นายอภิสิทธิ์แบบไม่ลืมหูลืมตา หาอิสระทางความคิดแบบในอดีตไม่ได้แล้ว อาจารย์ก็เลยต้องเสียคนไปในช่วงปลายของชีวิตแบบน่าเสียดาย
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์เขียนในเฟซบุ๊กว่าตัวเองดีอย่างนั้นอย่างนี้ ประชาชนรู้สึกแสลงใจที่ไปกอดกับนายเนวิน บอกด้วยว่าเลือกพรรคมาร่วมรัฐบาลเพราะไม่มีตัวเลือก พูดเอาดีเข้าตัวสุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นเพื่อนมันเลยสักคน แล้วยังออกมาเถียงเรื่องเด็กๆ ว่าไม่ได้ดีแต่พูด อย่างเรื่องเบี้ยยังชีพ เรียนฟรี ก็ได้ทำแล้ว แต่กฎเหล็ก 9 ข้อ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้ทำหรือไม่ นี่คือนิสัยของเขา ตนรู้นิสัยหมอนี่มานานแล้ว ว่าคนๆนี้เป็นได้แค่โฆษกรัฐบาลเท่านั้น ชอบเถียงเรื่องเล็กเรื่องน้อย
"แผนการไปเอาเขามาร่วมรัฐบาล อภิสิทธิ์รับรู้มาแต่ต้น เพราะนายสุเทพรายงานทุกขั้นตอนในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ตนรู้ เรื่องอะไรที่สุเทพไปทำ จะรายงานอภิสิทธิ์ทุกเรื่อง เรื่องไปกอดเนวินก็ทำด้วยความเต็มใจ สมัครใจ แต่วันนี้ทะลึ่งมาเขียนแบบนี้ คนแบบนี้คบได้หรือถึงไม่มีใครคบ เห็นแก่ตัว กินในที่ลับแต่พอมีเรื่องฉาวโฉ่โยนให้คนอื่นหมดเลย ทำตัวเป็นคุณชายสะอาด พูดเพื่อหาเสียงกับคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ เพื่อให้เห็นใจ ไม่มีหลักการอะไรเลย ทุกเรื่องทำด้วยตัวคุณเอง วันนี้แก้ตัวไม่ได้ นี่คือสภาพปัญหาของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าโหวตโนเสียของ วันนี้รู้แล้วเลือกคุณต่างหากที่เสียของ พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย" นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า พูดถึงบทความท่านอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา คือว่าหัวใจสำคัญของมันคือ ท่านชี้ให้เห็นประเด็นข้อกฎหมาย 2 มาตรา คือมาตรา 88 และมาตรา 89 ของพรบ.เลือกตั้ง ที่ผ่านมาเราเข้าใจมาตรา 88 มาตราเดียว กรณีที่มีผู้สมัครคนเดียวลงในเขตเลือกตั้งนั้นๆในการเลือกตั้งส.ส.เขต คนเดียวที่ได้รับเลือกตั้งนั้นต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง และต้องไม่น้อยกว่าคะแนนของผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน นั่นคือต่อให้ถึงร้อยละ 20 แต่น้อยกว่าโหวตโนก็ไม่ได้ ต้องเลือกใหม่ แต่ปรากฎว่าคราวนี้ไม่มีเขตไหนเลยที่มีการส่งพรรคเดียว คนเดียว
กรณีที่มีการแข่งขันแบบนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์นี้เช่นเดียวกัน คือมาตรา 89 จะต้องอยู่ภายใต้มาตรา 88 เช่นเดียวกัน เพราะกฎหมายเขียนว่ามาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้ รับการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลากซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขต เลือกตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
นายประพันธ์ กล่าวว่า ทีนี้ทำไมเขาเขียนว่าภายใต้บังคับมาตรา 88 นั่นก็หมายความว่า ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคนเดียว ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
สรุปแล้วเมื่ออ่าน 2 มาตรานี้รวมกัน คนที่จะได้เป็นผู้แทนราษฎรต้องมีองค์ประกอบ 3 ข้อ
1.ได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น
2.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
แล 3.ต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดกว่าทุกคนเมื่อรวมคะแนนแล้วในเขตเลือกตั้งนั้น
แต่ต่อให้ได้มากสุด แต่ได้ไม่ถึงร้อยละ 20 หรือไม่มากกว่าไม่ประสงค์ลงคะแนน ก็ไม่ได้เป็นผู้แทนฯ นี่คือประเด็นของบทความชิ้นนี้
จึงเป็นการตอบคำถามว่าการไปกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน มีผลทางนิตินัยหรือทางกฎหมายตามมาตรา 88 -89 เพราะฉะนั้นถ้าหากมีเขตเลือกตั้งแบบนี้มากกว่า 25 เขต ก็จะไปโยงรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 ว่าสภาผู้แทนจะเปิดประชุมสภาได้ต้องมีจำนวนส.ส.ที่ผ่านการับรองแล้วไม่น้อย กว่าร้อยละ 95 ร้อยละ 95 จาก 500 คน ก็คือ 475 คน ถึงจะเปิดประชุมได้
ทีนี้ถ้ามี 26 คน ยังไม่สามารถรับรองผลการเลือกตั้งได้ สภาก็เปิดประชุมไม่ได้ เลือกนายกฯ ไม่ได้ เลือกประธานสภาไม่ได้ ก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ในเขตที่ไม่ผ่านเกณฑ์ก็ต้องเลือกตั้งใหม่จนกว่าจะผ่านเกณฑ์ที่ว่านี้
"การโหวตโนนี้หยุดยั้งระบอบทักษิณได้ เมื่อเรามองว่าทักษิณกำลังจะกลับมา โดยเชิดยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกฯ ก็จะไม่สามารถประชุมได้ ไม่สามารถเลือกนายกฯได้ พลังโหวตโนก็เป็นการหยุดยั้งระบอบทักษิณไปในตัว นี่ไงไม่เสียของ แต่เลือกประชาธิปัตย์เสียของ เขาตั้งรัฐบาลฉลุยเลย ไม่สามารถเอาอะไรไปขวางเขาได้เลย" นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ทีนี้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ท่านอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ยังไม่ได้พูดถึง แต่ก็อาจมีผลเช่นกัน เพราะแบบเขตยังเอาคะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนนมารวมด้วย ตนขอเสนอมุมใหม่ว่าปาร์ตี้ลิสต์จะต้องเอาคะแนนคนไปใช้สิทธิ์ทั้งหมด ไม่ว่าเลือกพรรคไหนก็ตาม และคะแนนไม่ประสงค์เลือกพรรคใดมารวมด้วย เพราะเป็นการไปใช้สิทธิ์ของประชาชน แล้วค่อยหารด้วยจำนวน ส.ส. เพื่อคิดสูตรว่าจำนวนส.ส. 1 คนต่อ 1 ที่ ควรจะเฉลี่ยต่อคะแนนเสียงกี่แสนคะแนน จะเอาโหวตโนทิ้งไปไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ คะแนนโหวตโนก็มีความหมาย เพราะเป็นคะแนนของประชาชนที่ไปใช้สิทธิ์เอามาตัดทิ้งไม่เอามาหารไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้ง ที่ว่าผู้ได้รับเลือกตั้งต้องได้รับฉันทานุมัติจากผู้ไปใช้สิทธิ์ แต่นั่นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ที่ท่านยังไม่ได้พูดถึง
เมื่อโหวตโนเป็นอย่างนี้ เปิดสภาไม่ได้ มีผู้สื่อข่าวถามตนว่า ถ้าอย่างนั้นบ้านเมืองก็วิกฤติสิ ตนก็ตอบไปว่าต้องทำความเข้าใจวิกฤติชาติก่อน ว่าเกิดจากนักการเมืองชั่ว นักการเมืองโกง ไม่ใช่เกิดจากการที่ประชาชนไม่ไปเลือกนักการเมืองเลว และในเมื่อนักการเมืองชั่วเป็นต้นตอวิกฤติบ้านเมือง นักข่าวควรไปถามเขาว่าทำอย่างไรถึงจะชนะใจประชาชนที่ไม่เลือกพวกเขา
ถ้าไม่สามารถเปิดสภาได้ ไม่ใช่ความผิดประชาชน หรือจะให้ประชาชนหยวนๆเลือกตั้งให้เขาเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำประเทศอย่างไรก็ได้ อย่างนั้นหรือถึงจะเป็นพลเมืองที่ดี ประชาชนที่ดีต้องรู้จักใช้สิทธิ์ของเราให้มีอำนาจต่อรองบังคับให้นักการ เมืองยอมรับแนวทางที่มีประโยชน์ต่อชาติบ้านมืองเสียก่อนถึงจะยอมเลือก ประโยชน์ก็เกิดกับประชาชน และบ้านเมือง เรากำลังทำให้นักการเมืองเลิกพฤติกรรมชั่วๆย่อมเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย
ถ้าโหวตโนเยอะๆ สามารถบังคับพรรคการเมืองให้ยอมรับแนวทางปฏิรูปชาติบ้านเมืองด้วย เราถึงจะยอมรับการเลือกตั้งครั้งที่2-3 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ พวกเราคือตัวกลั่นกรองเพื่อประโยชน์ชาติ
นายประพันธ์ กล่าวว่า การไม่ประสงค์ลงคะแนนนั้น มีผลทั้งทางการเมือง กฎหมาย และรัฐศาสตร์ ที่ใครจะมาโจมตีให้เสียหายไม่ได้แล้ว บัดนี้ความคิดเชิงยุทธศาสตร์เรื่องไม่ประสงค์ลงคะแนนนั้นมีความสมบูรณ์สุด ที่จะทำให้บ้านเมืองรอดจากเงื้อมมือนักการเมืองเลว ขอบคุณท่านอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ที่จุดประกายไฟและแสงสว่างทางปัญญาให้ประชาชน อย่างน้อยสังคมจะได้นำไปถกเถียงได้ตกผลึกว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญทุกประการ
วันนี้ (20 มิ.ย.) เวลาประมาณ 21.30 น. นายประพันธ์ คูณมี โฆษกคณะกรรมการป้องกันราชอาณาจักรไทย กล่าวปราศรัยบนเวที "รวมพลังปกป้องแผ่นดิน" ว่า น่าเห็นใจ และเข้าใจ คนที่เชียร์ ประชาธิปัตย์ อย่างเช่น พล.ต.อ.วสิษฐ เดชกุญชร ท่านก็หาเหตุผลมาว่าทำไมต้องเลือกประชาธิปัตย์ นั่นก็เป็นมุมมองของท่าน เราก็เคารพแต่เราไม่เห็นด้วย ซึ่งเราหวังว่าด้วยการที่ท่านเป็นปราชญ์ก็น่าจะเคารพความคิดเห็นของประชาชน ด้วย ว่าประชาชนได้สัมผัสนักการเมืองเหล่านั้นมาหมดแล้ว จึงมาถึงคำตอบว่าไม่มีนักการเมืองคนไหนฝากความหวังไว้ได้
ส่วนอาจารย์เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง หมดสภาพความเป็นนักวิชาการไปแล้ว เลือกที่จะเชียร์นายอภิสิทธิ์แบบไม่ลืมหูลืมตา หาอิสระทางความคิดแบบในอดีตไม่ได้แล้ว อาจารย์ก็เลยต้องเสียคนไปในช่วงปลายของชีวิตแบบน่าเสียดาย
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า นายอภิสิทธิ์เขียนในเฟซบุ๊กว่าตัวเองดีอย่างนั้นอย่างนี้ ประชาชนรู้สึกแสลงใจที่ไปกอดกับนายเนวิน บอกด้วยว่าเลือกพรรคมาร่วมรัฐบาลเพราะไม่มีตัวเลือก พูดเอาดีเข้าตัวสุดท้ายก็ไม่มีใครเป็นเพื่อนมันเลยสักคน แล้วยังออกมาเถียงเรื่องเด็กๆ ว่าไม่ได้ดีแต่พูด อย่างเรื่องเบี้ยยังชีพ เรียนฟรี ก็ได้ทำแล้ว แต่กฎเหล็ก 9 ข้อ ซึ่งเป็นเรื่องใหญ่ๆ ได้ทำหรือไม่ นี่คือนิสัยของเขา ตนรู้นิสัยหมอนี่มานานแล้ว ว่าคนๆนี้เป็นได้แค่โฆษกรัฐบาลเท่านั้น ชอบเถียงเรื่องเล็กเรื่องน้อย
"แผนการไปเอาเขามาร่วมรัฐบาล อภิสิทธิ์รับรู้มาแต่ต้น เพราะนายสุเทพรายงานทุกขั้นตอนในการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร ตนรู้ เรื่องอะไรที่สุเทพไปทำ จะรายงานอภิสิทธิ์ทุกเรื่อง เรื่องไปกอดเนวินก็ทำด้วยความเต็มใจ สมัครใจ แต่วันนี้ทะลึ่งมาเขียนแบบนี้ คนแบบนี้คบได้หรือถึงไม่มีใครคบ เห็นแก่ตัว กินในที่ลับแต่พอมีเรื่องฉาวโฉ่โยนให้คนอื่นหมดเลย ทำตัวเป็นคุณชายสะอาด พูดเพื่อหาเสียงกับคนชั้นกลางในกรุงเทพฯ เพื่อให้เห็นใจ ไม่มีหลักการอะไรเลย ทุกเรื่องทำด้วยตัวคุณเอง วันนี้แก้ตัวไม่ได้ นี่คือสภาพปัญหาของบ้านเมืองที่เกิดขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่บอกว่าโหวตโนเสียของ วันนี้รู้แล้วเลือกคุณต่างหากที่เสียของ พึ่งพาอะไรไม่ได้เลย" นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวต่ออีกว่า พูดถึงบทความท่านอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล เลขานุการแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในศาลฎีกา คือว่าหัวใจสำคัญของมันคือ ท่านชี้ให้เห็นประเด็นข้อกฎหมาย 2 มาตรา คือมาตรา 88 และมาตรา 89 ของพรบ.เลือกตั้ง ที่ผ่านมาเราเข้าใจมาตรา 88 มาตราเดียว กรณีที่มีผู้สมัครคนเดียวลงในเขตเลือกตั้งนั้นๆในการเลือกตั้งส.ส.เขต คนเดียวที่ได้รับเลือกตั้งนั้นต้องได้คะแนนไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของผู้ที่มีสิทธิ์เลือกตั้ง และต้องไม่น้อยกว่าคะแนนของผู้ไม่ประสงค์ลงคะแนน นั่นคือต่อให้ถึงร้อยละ 20 แต่น้อยกว่าโหวตโนก็ไม่ได้ ต้องเลือกใหม่ แต่ปรากฎว่าคราวนี้ไม่มีเขตไหนเลยที่มีการส่งพรรคเดียว คนเดียว
กรณีที่มีการแข่งขันแบบนี้ก็ต้องอยู่ภายใต้หลักเกณฑ์นี้เช่นเดียวกัน คือมาตรา 89 จะต้องอยู่ภายใต้มาตรา 88 เช่นเดียวกัน เพราะกฎหมายเขียนว่ามาตรา 89 ภายใต้บังคับมาตรา 88 ในการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้ง ให้ผู้สมัครซึ่งได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดในเขตเลือกตั้งนั้นเป็นผู้ได้ รับการเลือกตั้ง ในกรณีที่มีผู้ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดเท่ากันหลายคน ให้ใช้วิธีการจับสลากซึ่งต้องกระทำต่อหน้าคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขต เลือกตั้งตามวิธีการที่คณะกรรมการการเลือกตั้งกำหนด
นายประพันธ์ กล่าวว่า ทีนี้ทำไมเขาเขียนว่าภายใต้บังคับมาตรา 88 นั่นก็หมายความว่า ในเขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งคนเดียว ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
สรุปแล้วเมื่ออ่าน 2 มาตรานี้รวมกัน คนที่จะได้เป็นผู้แทนราษฎรต้องมีองค์ประกอบ 3 ข้อ
1.ได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ 20 ของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น
2.ได้รับคะแนนเลือกตั้งมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง
แล 3.ต้องได้รับคะแนนเลือกตั้งมากที่สุดกว่าทุกคนเมื่อรวมคะแนนแล้วในเขตเลือกตั้งนั้น
แต่ต่อให้ได้มากสุด แต่ได้ไม่ถึงร้อยละ 20 หรือไม่มากกว่าไม่ประสงค์ลงคะแนน ก็ไม่ได้เป็นผู้แทนฯ นี่คือประเด็นของบทความชิ้นนี้
จึงเป็นการตอบคำถามว่าการไปกาช่องไม่ประสงค์ลงคะแนน มีผลทางนิตินัยหรือทางกฎหมายตามมาตรา 88 -89 เพราะฉะนั้นถ้าหากมีเขตเลือกตั้งแบบนี้มากกว่า 25 เขต ก็จะไปโยงรัฐธรรมนูญ มาตรา 93 ว่าสภาผู้แทนจะเปิดประชุมสภาได้ต้องมีจำนวนส.ส.ที่ผ่านการับรองแล้วไม่น้อย กว่าร้อยละ 95 ร้อยละ 95 จาก 500 คน ก็คือ 475 คน ถึงจะเปิดประชุมได้
ทีนี้ถ้ามี 26 คน ยังไม่สามารถรับรองผลการเลือกตั้งได้ สภาก็เปิดประชุมไม่ได้ เลือกนายกฯ ไม่ได้ เลือกประธานสภาไม่ได้ ก็จัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ในเขตที่ไม่ผ่านเกณฑ์ก็ต้องเลือกตั้งใหม่จนกว่าจะผ่านเกณฑ์ที่ว่านี้
"การโหวตโนนี้หยุดยั้งระบอบทักษิณได้ เมื่อเรามองว่าทักษิณกำลังจะกลับมา โดยเชิดยิ่งลักษณ์มาเป็นนายกฯ ก็จะไม่สามารถประชุมได้ ไม่สามารถเลือกนายกฯได้ พลังโหวตโนก็เป็นการหยุดยั้งระบอบทักษิณไปในตัว นี่ไงไม่เสียของ แต่เลือกประชาธิปัตย์เสียของ เขาตั้งรัฐบาลฉลุยเลย ไม่สามารถเอาอะไรไปขวางเขาได้เลย" นายประพันธ์ กล่าว
นายประพันธ์ กล่าวอีกว่า ทีนี้คะแนนปาร์ตี้ลิสต์ ท่านอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ยังไม่ได้พูดถึง แต่ก็อาจมีผลเช่นกัน เพราะแบบเขตยังเอาคะแนนไม่ประสงค์ลงคะแนนมารวมด้วย ตนขอเสนอมุมใหม่ว่าปาร์ตี้ลิสต์จะต้องเอาคะแนนคนไปใช้สิทธิ์ทั้งหมด ไม่ว่าเลือกพรรคไหนก็ตาม และคะแนนไม่ประสงค์เลือกพรรคใดมารวมด้วย เพราะเป็นการไปใช้สิทธิ์ของประชาชน แล้วค่อยหารด้วยจำนวน ส.ส. เพื่อคิดสูตรว่าจำนวนส.ส. 1 คนต่อ 1 ที่ ควรจะเฉลี่ยต่อคะแนนเสียงกี่แสนคะแนน จะเอาโหวตโนทิ้งไปไม่ได้ เมื่อเป็นอย่างนี้ คะแนนโหวตโนก็มีความหมาย เพราะเป็นคะแนนของประชาชนที่ไปใช้สิทธิ์เอามาตัดทิ้งไม่เอามาหารไม่ได้ ถ้าเป็นอย่างนั้นขัดเจตนารมณ์รัฐธรรมนูญ และการเลือกตั้ง ที่ว่าผู้ได้รับเลือกตั้งต้องได้รับฉันทานุมัติจากผู้ไปใช้สิทธิ์ แต่นั่นเป็นอีกกรณีหนึ่ง ที่ท่านยังไม่ได้พูดถึง
เมื่อโหวตโนเป็นอย่างนี้ เปิดสภาไม่ได้ มีผู้สื่อข่าวถามตนว่า ถ้าอย่างนั้นบ้านเมืองก็วิกฤติสิ ตนก็ตอบไปว่าต้องทำความเข้าใจวิกฤติชาติก่อน ว่าเกิดจากนักการเมืองชั่ว นักการเมืองโกง ไม่ใช่เกิดจากการที่ประชาชนไม่ไปเลือกนักการเมืองเลว และในเมื่อนักการเมืองชั่วเป็นต้นตอวิกฤติบ้านเมือง นักข่าวควรไปถามเขาว่าทำอย่างไรถึงจะชนะใจประชาชนที่ไม่เลือกพวกเขา
ถ้าไม่สามารถเปิดสภาได้ ไม่ใช่ความผิดประชาชน หรือจะให้ประชาชนหยวนๆเลือกตั้งให้เขาเข้าไปปู้ยี่ปู้ยำประเทศอย่างไรก็ได้ อย่างนั้นหรือถึงจะเป็นพลเมืองที่ดี ประชาชนที่ดีต้องรู้จักใช้สิทธิ์ของเราให้มีอำนาจต่อรองบังคับให้นักการ เมืองยอมรับแนวทางที่มีประโยชน์ต่อชาติบ้านมืองเสียก่อนถึงจะยอมเลือก ประโยชน์ก็เกิดกับประชาชน และบ้านเมือง เรากำลังทำให้นักการเมืองเลิกพฤติกรรมชั่วๆย่อมเป็นผลดีต่อระบอบประชาธิปไตย
ถ้าโหวตโนเยอะๆ สามารถบังคับพรรคการเมืองให้ยอมรับแนวทางปฏิรูปชาติบ้านเมืองด้วย เราถึงจะยอมรับการเลือกตั้งครั้งที่2-3 เพื่อให้ผ่านเกณฑ์ พวกเราคือตัวกลั่นกรองเพื่อประโยชน์ชาติ
นายประพันธ์ กล่าวว่า การไม่ประสงค์ลงคะแนนนั้น มีผลทั้งทางการเมือง กฎหมาย และรัฐศาสตร์ ที่ใครจะมาโจมตีให้เสียหายไม่ได้แล้ว บัดนี้ความคิดเชิงยุทธศาสตร์เรื่องไม่ประสงค์ลงคะแนนนั้นมีความสมบูรณ์สุด ที่จะทำให้บ้านเมืองรอดจากเงื้อมมือนักการเมืองเลว ขอบคุณท่านอนุรักษ์ สง่าอารีย์กูล ที่จุดประกายไฟและแสงสว่างทางปัญญาให้ประชาชน อย่างน้อยสังคมจะได้นำไปถกเถียงได้ตกผลึกว่า สิ่งที่เราทำอยู่นี้เป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญทุกประการ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน