บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คลังเตรียมหลักทรัพย์ไว้ไถ่โบอิ้งแล้วหากแพ้คดี พิเชียรยุยึดรถเบ๊นซ์-บีเอ็มที่ส่งมาขายในไทยแก้เผ็ด

จุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด -อัยการสูงสุด และกระทรวงการคลัง ได้จัดเตรียมหลักทรัพย์ไว้แล้วหากแพ้คดี

จุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด เผย ศาลนัดสืบพยาน คดียึดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ในเดือน สิงหาคมนี้

สำนักข่าวINN ร ายงานว่า นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมานี้ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเครื่องบินบอิ้ง 737 ถูกอายัดที่ประเทศเยอรมนี ว่า ศาลแลนด์ชุท (Landshut) ประเทศเยอรมนี จะมีการนับสืบพยานในช่วงเดือน ส.ค. นี้ ซึ่งอัยการสูงสุด ย้ำว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เสร็จสิ้น ในการนำเครื่องบินลำดังกล่าวกลับ

ส่วนข่าวการอายัดเตรียมเครื่องบินลำที่ 2 หากเกิดขึ้นจริง จะต้องดำเนินการตอบโต้ เนื่องจากเครื่องบินลำที่ 2 ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศแต่อย่างใด

ส่วนกรณีคดีที่บริษัท วอลเตอร์ บาว ยื่นฟ้องรัฐบาลไทย และขอให้ศาลบังคับคดีนั้น ทางไทยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลนิวยอร์กไปแล้วเมื่อวานนี้ และจะมีการนัดสืบพยานในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ทางอัยการสูงสุด และกระทรวงการคลัง ได้จัดเตรียมหลักทรัพย์ไว้แล้วหากแพ้คดี และจะมีการฟ้องกลับบริษัท วอลเตอร์ บาว อย่างแน่นอน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด

นอกจากนี้ กรณีที่ทางการเยอรมัน ได้มีการถอนคำสั่งห้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าประเทศนั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบกับคดี เนื่องจากเป็นสิทธิของแต่ละประเทศในการให้บุคคลใดเข้าออกก็ได้

น้ำพระทัยสมเด็จพระบรมฯทรงห่วงความรู้สึกคนไทย

ก่อนหน้านี้เมื่อ 22 กรกฎาคม นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้าการถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะ โบอิ้ง 737 ว่า "สมเด็จพระบรมฯทรงห่วงความรู้สึกของคนไทย อยากให้คนไทยเข้าใจว่าพระองค์ท่าน ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎการบิน ทรงทำถูกต้องทุกอย่าง พระองค์ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับคดี รัฐบาลไทยพร้อมที่จะเอาเงินวางเพื่อจะนำเครื่องบินออกมาเพื่อถวายพระองค์ ท่านทรงใช้งาน แต่พระองค์ท่านมีพระราชวินิจฉัยว่าไม่ต้องวางเงินประกัน พระองค์ท่านไม่ประสงค์ให้นำเงินของรัฐบาลไทยไปวาง ทั้งนี้จากการรายงานข่าวของASTVผู้จัดการ

สถานทูตเยอรมันแถลงคดีสิ้นสุดแล้วไทยควรจ่ายหนี้

ในวันที่ 22 กรกฎาคม สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์กรณีโบอิง 737 บอกคำตัดสินของศาลเป็นอันสิ้นสุด และจะไม่มีการสืบพยานใด ๆ อีกที่จะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินดังกล่าว วอนไทยชำระเงินที่ค้าง เพื่อคงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจากรายงานข่าวของINN

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ยืนยันคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สั่งให้ประเทศไทยจ่ายค่าชด เชยจำนวน 36 ล้านยูโร และแสดงความคาดหวังให้ประเทศไทยชำระเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมัน และจากประเทศอื่น ๆ ในประเทศไทยอีกครั้ง และจะส่งสัญญาณทางบวกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน-ไทยต่อไปด้วย

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระบวนการตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่นิวยอร์ก เป็นไปเพื่อร้องขอคำตัดสินว่า การบังคับคดีในเรื่องนี้ สามารถกระทำในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการสืบพยานใดเพิ่มเติมอีก ที่จะทำให้ประเทศไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำตัดสินได้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลเมืองลานด์ชูต ใกล้เมืองมิวนิค ได้มีคำตัดสินให้ถอนอายัดเครื่องบินโบอิง 737 โดยมีเงื่อนไขคือ ทางการไทยต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันธนาคารมูลค่า 20 ล้านยูโร แต่รัฐบาลไทยได้ประกาศว่าจะไม่นำเงินประกันไปแลกกับการนำเครื่องบินออกมาจาก สภาพการถูกอายัด การสืบพยานที่ศาลประจำรัฐเมืองลานด์ชูต จะมีขึ้นอีกครั้งประมาณสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม และยังคาดการณ์ไม่ได้ว่ากระบวนการพิจารณาทั้งหลายจะสิ้นสุดเมื่อไร

โบอิง 737 ถูกอายัด หลังจากคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ตัดสินเมื่อกลางปี 2552 ว่า รัฐบาลไทยต้องจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้กับบริษัท วอลเตอร์ บาว ซึ่งคำตัดสินถือเป็นสิ้นสุด

ไทยโต้คดียังไม่สิ้นสุด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันคดีความระหว่างบริษัทวอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ยังไม่สิ้นสุดตามที่สถานทูตเยอรมนีออกแถลงการณ์ และรัฐบาลเยอรมนีไม่ได้ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรื่องของคดีหลัก ไม่ใช่การอายัดเครื่องบิน และในส่วนของรัฐบาลไทยยังอยู่ในการต่อสู้ทางคดีที่จะมีการยื่นอุทธรณ์คำสั่ง อนุญาโตตุลาการ ที่นครนิวยอร์ก วันที่ 29 กรกฎาคมนี้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือชี้แจงไปที่รัฐบาลเยอรมนีแล้ว และยืนยันเมื่อคดีสิ้นสุด รัฐบาลไทยพร้อมรับผิดชอบ แต่จะมีการบีบรัฐบาลไทย ในช่วงนี้ไม่ได้

ทั้งนี้ เห็นว่าการดำเนินการของรัฐบาลเยอรมนีมาจากการติดตามข้อมูลจากเอกชน ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไปใช้จ่ายเงิน โดยมีการติดต่อปลายทาง และต่อรองให้ประนีประนอม ชดใช้เงิน ก่อนมีคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่มีการเสนอลดดอกเบี้ยให้เป็นการแลก เปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะดำเนินการฟ้องร้องกับเอกชนรายนี้ โดยจะเปิดเผยรายละเอียดหลังอัยการสูงสุดเข้าพบในวันพรุ่งนี้

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น ถึงเหตุผลที่เยอรมนีจะดำเนินการกับไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และไม่ทราบกระแสข่าวเยอรมนีอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าประเทศได้ รวมถึงที่จะเดินทางมาที่ลาวในช่วงปลายปีนี้ด้วย

บัวแก้วออกแถลงการณ์ ซัดกลับรัฐบาลเยอรมันอย่าพาดพิง 'ราชพาหนะ'

กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านทางเว็บไซต์ ต่อเอกสารแถลงข่าวของสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย โดยมีเนื้อหาใจความว่า ตามที่สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยได้ออกเอกสารแถลงข่าวเมื่อวัน ที่ 22 ก.ค. 2554 เรียกร้องให้รัฐบาลไทย รีบดำเนินการชำระค่าเสียหายให้แก่บริษัทวอลเตอร์ บาว โดยมีข้อความพาดพิงถึงการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ของสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นั้น กระทรวงการต่างประเทศ ขอแถลงเป็นการย้ำอีกครั้งว่า กรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทวอลเตอร์ บาวเป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับผู้ลงทุนเอกชน ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบในนามของรัฐบาลไทย โดยกรณีพิพาทนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องแต่ประการใดกับสมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลภายนอก ไม่ใช่คู่พิพาทในกรณีดังกล่าว และเช่นเดียวกัน รัฐบาลเยอรมนีก็ไม่ใช่คู่กรณี

กระทรวงการต่างประเทศขอแถลงด้วยว่า ฝ่ายไทยได้แจ้งข้อเท็จจริงข้างต้นให้แก่รัฐบาลเยอรมนีแล้วในทุกระดับตั้งแต่ ต้น ซึ่งรัฐบาลเยอรมนีก็น่าจะตระหนักดีถึงข้อเท็จจริงนี้ และด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงรู้สึกผิดหวังต่อท่าทีและการดำเนินการของรัฐบาล เยอรมนี ดังเอกสารแถลงข่าวล่าสุดของสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ซึ่งยังคงพาดพิงถึงการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิ ราชฯ สยามมกุฎ ราชกุมาร โดยใช่เหตุ และโดยมิบังควร กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาและดำรงไว้ซึ่งพระ เกียรติยศของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม มกุฎราชกุมาร รวมทั้งกำลังดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ เรื่องเกี่ยวกับการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ยุติลงอย่างรวดเร็วและเป็น ธรรม

พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ปลุกกระแสรักชาติให้ไทยยึดทรัพย์สินเยอรมันโต้ตอบ



นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ผู้ดำเนินรายการวิทยุและโทรทัศน์ ได้กล่าวทางรายการวิทยุFM92.25เมื่อวันศุกร์ว่า การที่สถานทูตเยอรมันออกมาเร่งให้ไทยใช้หนี้บริษัทเอกชนเยอรมันเป็นการกระทำ ที่ผิด เพราะเป็นเรื่องคดีระหว่างเอกชนกับเอกชน ทางการเยอรมันทำผิดมารยาท หากตนเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีจะเรียกทูตมาตำหนิแล้วเนรเทศ

"ผมขอถามกลับไปว่า หากเป็นแบบนี้เยอรมันทำถูกหรือ เครื่องบินเป็นของสมเด็จพระบรมฯเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทยซักหน่อย แล้วเยอรมันมายึดไว้เพื่อขัดหนี้ หากทางการไทยจะเอาคืนบ้างด้วยการยึดทรัพย์สินของเอกชนเยอรมันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเบ๊นซ์ รถบีเอ็มดับบลิว หรือเคมีภัณฑ์ของบริษัทไบเออร์ที่ส่งมาขายในเมืองไทย เราก็ยึดมั่ง โดยเราบอกว่าขอยึดบ้างจะได้ไหมหละ เพราะเยอมันทำไม่ถูกกับเราก่อน เอาไหมแบบนี้"นายพิเชียรกล่าว

เปิดไม้ตายพรรคเพื่อไทย ส่องแผนลับ-ล่อ-รุก′คู่แค้น′ !!

จาก เว็บเสื้อแดง

เบื้อง หน้าชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย (พท.) นับตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ 265 เสียง เตรียมจัดองค์ทรงเครื่องรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

แต่เบื้องหลังการได้มาซึ่งชัยชนะ พท. ต้องระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับ "คู่แค้นการเมือง"

เพราะรู้ว่าต้องแข่งขันกับ "ขั้วตรงข้าม" ที่ยึดครองอำนาจรัฐไว้ในมือ

เพราะเชื่อว่า "มือที่มองไม่เห็น" วางแผนสกัดกั้น พท. ทุกรูปแบบ

เพราะ ตระหนักว่า "กฎหมาย" ถูกใช้เป็น "เครื่องประหัตประหาร" เครือข่ายทักษิณมาหลายรอบ โดยบางคนวิคราะห์ไปถึงขั้นว่าอาจมีการรัฐประหารทางกฎหมาย?

เป็นผลให้ พท. อยู่ในภาวะ "ประมาทไม่ได้" ต้องวางแผนอุดช่องโหว่-ปิดช่องว่าง ทันทีที่มีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา

โดยกลุ่ม ที่ต่อสู้-ประกาศชิงอำนาจรัฐให้ พท. อย่างเปิดเผยคือ "กลุ่มคนเสื้อแดง" มี "ภารกิจหลัก" ในการช่วยหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.ของ พท. ส่วน "ภารกิจรอง" คือการเฝ้าระวังตามหน่วยเลือกตั้งต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเล่นตุกติก

ดั่งคำประกาศของ "นางธิดา ถาวรเศรษฐ" รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ต้องการให้ "คนเสื้อแดง" ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง โดยใช้ "กล้อง" จากอุปกรณ์สื่อสารเป็น "อาวุธลับ" คอยบันทึกภาพเหตุการณ์ผิดปกติ

นอก จากนี้ "วอร์รูม" คณะกรรมการยุทธศาสตร์ของ พท. ที่มีสมาชิกบ้านเลขที่ 111+109 นำโดย "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" เป็นตัวหลัก ยังจัดตั้งหน่วย "ผู้สังเกตการณ์" เข้าไปแฝงตัวในจุดเลือกตั้งสำคัญๆ ที่ประเมินแล้วว่าจะมีการต่อสู้อย่างเข้มข้น

มีรายงานว่า 2 สัปดาห์ก่อนหย่อนบัตร ได้มีการเรียกประชุม "คณะผู้สังเกตการณ์" เพื่อกำชับให้คอยสอดส่องการกระทำผิดกติกา-สกัดการโกงของ "ฝ่ายตรงข้าม"

โดยจะเข้าประกบแบบประชิดตัว "ฝ่ายตรงข้าม" แต่ไม่ทิ้งพิรุธให้จับผิดได้

กระนั้น การจะนำเครื่องมือสื่อสารมาบันทึกภาพเก็บไว้ก็เกรงว่าจะโจ่งแจ้งเกินไป "วอร์รูม พท." จึงแจก "ปากกาวิเศษ" ซึ่งติดตั้ง "กล้อง" สามารถบันทึกคลิปวิดีโอได้ให้ "ผู้สังเกตการณ์" ปฏิบัติภารกิจจับผิด

ทำให้หลายเรื่องร้องเรียนที่ผู้สมัคร พท. ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหลักฐานภาพเคลื่อนไหวชัดเจน

ส่วน มาตรการป้องกันตัวเอง "วอร์รูม พท." ได้จัดตั้งทีม "นักกฎหมาย" และ "นักบัญชี" คอยให้คำปรึกษาผู้สมัครเป็นรายบุคคล เพื่อลดพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการโดน กกต.แจกใบเหลือง-ใบแดง

ถือเป็นการเตรียมการของ พท.ที่ต้องต่อสู้กับ "ฝ่ายตรงข้าม" และต่อสู้กับ "กรรมการ" ซึ่งถือเป็นผู้ชี้ชะตาคนสำคัญ

แว่วมาว่าในงานเลี้ยง ส.ส.พท. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา พรรคได้ "เบิก-จ่าย" ค่าตอบแทนให้ทีม "ผู้สังเกตการณ์" ไปแล้ว

โดย "หลักฐาน" ที่ "ผู้สังเกตการณ์" สามารถบันทึกได้ จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของ "วอร์รูมกฎหมาย" ซึ่งประชุมหารือกันเกือบทุกวัน โดยมี "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" "จาตุรนต์ ฉายแสง" "ชูศักดิ์ ศิรินิล" เป็นตัวหลัก เพื่อเตรียมข้อมูลหลักฐานและแนวทางในการต่อสู้คดี

หากพบ "ผู้สมัคร พท." ถูกร้องคัดค้านการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง "วอร์รูมกฎหมาย" ก็จะป้อน "หลักฐานอีกชุด" ให้ กกต. เพื่อบลั๊ฟกลับข้อมูลจาก "ฝ่ายตรงข้าม" ทันที

แม้ กกต.จะเร่งประกาศรับรอง ส.ส.ให้ครบร้อยละ 95 ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สามารถเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกให้ได้ภายใน 30 วันนับจากวันเลือกตั้ง เพื่อสรรหาประธานสภา ตามด้วยโหวตเลือกนายกฯ แต่ "บิ๊ก พท." ก็ยังหวั่นอยู่ว่าอาจมีรายการรับรองไปก่อน สอยทีหลัง

จึงมีคำสั่งให้ "สายสืบเพื่อไทย" เกาะติดการทำงานของ กกต. และเช็กความเคลื่อนไหวของ "พรรคคู่แค้น" ตลอดเวลา

ขณะเดียวกัน "ผู้มีบารมีเหนือพรรค" ยังประกาศเชือด "คนการเมืองแปรพักตร์" ทุกราย ไม่เว้นกระทั่ง "ส.ต. (สอบตก)"

โดย มีรายงานว่า ส.ส.อีสานได้ยื่น "หลักฐานเด็ด" ต่อ กกต. เพื่อลาก "อดีตรัฐมนตรี" มารับโทษในคดีซื้อเสียง โดยหมายให้ถูกตัดสิทธิการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตผลจาก "ปากกาวิเศษ" จากฝีมือ "ผู้สังเกตการณ์"

ทั้งหมดเกิดขึ้นจากบทเรียนราคาแพงของพรรคพลังประชาชน (พปช.) ซึ่งถูกยุบพรรคด้วยหาข้อทุจริตการเลือกตั้ง

"ทักษิณกับพรรคพวก" จึงเตรียมพร้อมป้องกันตัวเอง เปลี่ยนบทจาก "รับ" เป็น "รุก" ผ่านการวางแผนลับอย่างเป็นระบบ

และไม่ลืมขุดหลุม "ล่อ" คู่แค้นให้ถูกฝังกลบทางการเมือง!!!

อำนาจ (Management Knowledge)



มีการกล่าวว่า สิ่งที่จะสะท้อนความเป็นตัวตนได้ชัดเจนที่สุดก็คือการมีอำนาจ มนุษย์เรามีความสามารถในการควบคุมตนเอง ดังนั้นในยามปกติจะไม่มีใครรู้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไร จนกว่าเขาผู้นั้นจะมีอำนาจ เรื่องนี้แม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างลินคอล์นก็เคยคิดไว้เช่นกัน…

นิยามของอำนาจ
อำนาจ เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่มีอยู่ โดยปกติทุกๆคนมีอำนาจที่จะควบคุมตนเอง แต่ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมผู้อื่น ยกเว้นเสียแต่ว่าผู้อื่นนั้นจะยินยอม (ให้ถูกควบคุม) การยินยอมให้ถูกควบคุม เรียกว่าการมีอำนาจเหนือ โดยอำนาจเหล่านี้เป็นสิ่งสมมติว่ามีอยู่ หากเป็นอำนาจที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ก็จะมีพลังอย่างมาก แต่หากอำนาจเหนือดังกล่าวไม่ได้เป็นที่ยอมรับหรือต้องการ ก็จะเกิดการต่อต้าน

เมื่อพอเข้าใจความหมายของอำนาจแล้ว ที่นี้เราลองมาทำความเข้าใจกระบวนการเกิดของอำนาจ เพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยหลายปัจจัย แต่เมื่อนำมาสรุป เราสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1 อำนาจโดยธรรมชาติ 2 อำนาจโดยการกำหนด

1 อำนาจโดยธรรมชาติ
อำนาจประเภทนี้เป็นอำนาจที่ คนทุกๆคนมี ซึ่งเป็นอำนาจพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถกำหนดและควมคุมตนเองได้ อำนาจที่มาจากประเพณีปฏิบัติก็อยู่ในข้อนี้ด้วยเช่นกัน เช่น ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว บิดามารดามีอำนาจเหนือในการควบคุมบุตร ครูและอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการที่บุคคลหนึ่งให้การยอมรับนับถือ เขาจึงถูกอำนาจเหนือของบุคคลซึ่งให้การยอมรับนับถือนั้นควบคุมตัวของเขาเอง โดยปกติมักจะเป็นผู้ที่ให้การอุปการะ ผู้เลี้ยงดู ผู้ที่ช่วยชีวิต ผู้ซึ่งเป็นที่รัก ผู้ซึ่งมีชื่อเสียง ผู้ซึ่งมีฐานะ เป็นต้น

2 อำนาจโดยการกำหนด
อำนาจ ประเภทนี้เป็นอำนาจที่เกิดจากการกำหนดให้มีขึ้น ส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ซึ่งกำหนดให้ต้องปฏิบัติตาม และเชื่อฟัง หากมีการละเมิดก็อาจถูกลงโทษ จำกัดสิทธิและเสรีภาพ เหตุผลที่ต้องกำหนดให้มีอำนาจประเภทนี้ ก็เพื่อสร้างความ เป็นระเบียบเรียบร้อยกับคนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้สามารถนำอำนาจมาใช้บังคับได้โดยทันที และรวดเร็วกว่าการใช้อำนาจโดยธรรมชาติ ดังนั้นเราจะเห็นว่าการปกครองประเทศในปัจจุบัน ถือเป็นอำนาจโดยการกำหนดแทบทั้งสิ้น

การเมืองการปกครองที่แตกต่างกัน
การ บริหารตนเอง การบริหารครอบครัว การบริหารคณะบุคคล การบริหารบริษัท และการบริหารประเทศ มีกรอบความคิดบางอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทันทีที่ “คนมีอำนาจ” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากอำนาจโดยธรรมชาติ หรืออำนาจโดยการกำหนด ย่อมทำให้คนๆเดิมต้องการขยายกรอบความคิดของตนเองใหม่ เช่น คนที่เคยบริหารตนเองและครอบครัว เมื่อตนเริ่มเข้ามาบริหารประเทศ จะนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองและบุคคลในครอบครัวเพียงอย่างเดียวมิได้ แต่จะต้องมองและพิจารณาถึงผลประโยชน์ของ “คนทั้งประเทศ” เพราะฉะนั้นแม้ว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจเหนือในประเภทที่ 2 ไม่ได้ขยายกรอบความคิดของตนเอง ทันทีที่ต้องเปลี่ยนแปลงการบริหารจากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่ง ก็มักจะถูกการต่อต้านจากคนจำนวนมากด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นเรา จึงไม่สามารถตัดสินคนด้วยระยะเวลาเพียงชั่วครั้งชั่วคราวได้ จนกว่าจะให้ระยะเวลาเพื่อให้ผู้ที่มีอำนาจขยายกรอบความคิดของตนเองใหม่ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง แทนที่การยึดติดกับผลประโยชน์ของตนเอง หรือเพียงบุคคลบางกลุ่มของตนเท่านั้น…

Nobody plan to fail but they fail because they don’t plan.
กุศล บัวใหญ่

เหตุใด “เถ้าแก่ดูไบ” จึงเชื่อมั่นอย่างมากมายผลักดันโครงการ “อัครฉ้อฉล”ถมทะเล

เหตุใด “เถ้าแก่ดูไบ” จึงเชื่อมั่นอย่างมากมายผลักดันโครงการ “อัครฉ้อฉล”ถมทะเล อย่างไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้ !!!???

Posted by โลกทรรศน์2010 ,


ใน บรรดาโครงการเพ้อฝัน แถมมีนัยยะแห่งความพร้อมที่จะฉ้อฉลได้ของพรรคเพื่อไทย ที่นำเสนอก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งมาจนถึงวันนี้ ไม่มีโครงการใดอีกแล้ว ที่จะมีความเคลือบแคลงที่ส่อว่าจะมีการยัดไส้ เพื่อเล่นแร่แปรธาตุหากินกับโครงการขนาดใหญ่ได้เท่ากับ

โครงการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ อีกแล้ว
หลายฝ่ายคงพูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปมากพอสมควรแล้ว แต่ผู้เขียนอยากตั้งข้อสังเกตให้ทุกคนช่วยกันคิดให้จงหนักว่า
เหตุใด เถ้าแก่จอมวางแผนแห่งดูไบ จึงกล้าเสนอโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้เข้ามาเป็น Masterpiece ของพรรคตนที่หวังสร้างชื่อประดับเกียรติยศให้คนจดจำไปอีกนาน

ทั้ง ที่..รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านเพื่อหาซื้อทรายพิเศษทื่ใช้เพื่อถมพื้นที่ประมาณ 4 พันล้านคิวมาเพื่อถมพื้นที่ถึง 2 แสนไร่ หรือ 300 ตร.กม. คิดเป็นระยะทางยาวถึง 30 ก.ม. ให้เกิดพื้นที่ที่ยื่นออกไปสู่ทะเลยาวถึง 10 ก.ม.
ว่ากันว่าต่อให้เอาทรายทั่วประเทศมากองไว้ก็ไม่พอเพียงเพื่อโครงการนี้เพียงโครงการเดียว  ก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ก็คงต้องซื้อทรายจากเพื่อนบ้านเพื่อมาถมแผ่นดินบ้านเรา นั่นแหละ...ช่องทางแห่งการฉ้อฉลเปิดทางให้อีกแล้ว
ซึ่ง หากคิดเป็นปริมาณเงินที่ต้องถมไปให้กับโครงการนี้ เพื่อให้เกิดเกียรติยศแก่พรรคตัวเอง จะต้องใช้เงินมากกว่างบประมาณประเทศต่อ 1 ปีอย่างแน่นอน เพราะจะต้องสร้างอสังหาริมทรัพย์สารพัดรูปแบบที่จะดูดเงินต่างประเทศมา ต่อยอดในโครงการ อัครฉ้อฉล นี้
ทั้ง ที่...รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องพบกับแรงต่อต้านจากการเมืองในสภา ประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านคุณภาพ ที่เพิ่งอกหักจากการตกสวรรค์ไม่ได้เป็นรัฐบาล ย่อมจะมีแรงกดดันที่จะต้องจ้องจับผิดทุกฝีก้าวรัฐบาล ปูแดง อย่างแน่นอน หรือจากสว.ฝ่ายที่ไม่เอา นช.ทักษิณ หรือฝ่ายพันธมิตร ที่พร้อมจะรุมถล่มอย่างแน่นอน ยังไม่ได้พูดถึงองค์กรอิสระสารพัด นับแต่ ปปช. ที่จะต้องจ้องโครงการนี้ตาเป็นมันอย่างแน่นอน
ส่วนการเมืองนอกสภานั้น พันธมิตรที่กำลังรวบรวมสรรพกำลังอีกครั้ง จ้องจับตาดูทุกก้าวเดินของ โคลนนิ่ง นช.ทักษิณ ว่าจะตกหลุม ก็พร้อมจะกรีฑาทัพถล่มโครงการนี้ให้ราบเรียบคามืออยู่แล้ว เพราะเห็นความตะกระตะกราม ตั้งแต้อ้อนออก และยิ่งมาเล่นกับเงินมากมายมหาศาลเช่นนี้ด้วยแล้ว
จะมีเหลือหรือ....!!!
และทั้งที่...รู้ทั้งรู้ว่า จะต้องเจอกับกองทัพ NGO นักต่อต้านเพื่อสิ่งแวดล้อมทั้งระดับประเทศ ระดับโลกที่จะต้องเลาะเนื้อ เถือหนัง เถ้าแก่ และสมุนให้เหลือแต่กระดูกแน่นอน ถ้ากล้าขับเคลื่อนโครงการนี้

ถ้าหากจะให้ตอบเองว่า เหตุใด เถ้าแก่จอมวางแผนแห่งดูไบ ถึงได้อาจหาญนำเสนอโครงการนี้  ผู้ เขียนก็คงต้องตอบว่า เพราะ นช.ทักษิณได้มองการณ์ไกลไว้ดีพอสมควรแล้วว่า การฟื้นคืนกลับมาครั้งนี้ แม้ว่าตัวเองจะยังมีชนักขนาดใหญ่ติดหลังอยู่ก็จริง แต่การอาศัย น้องปูแดง เป็นหนังหน้าไฟให้กลับมายืนหยัดอีกรอบหนึ่งนี้ ผนวกกับมวลชนคนเสื้อแดงที่ได้สร้างฐานมวลชนไว้อย่างแน่นหนายิ่งขึ้น (จากการปล่อยปละละเลยของรัฐบาลปชป.นั่นแหละ) ขณะที่การเมืองนอกสภาอย่างพันธมิตรก็อ่อนแรงไปอย่างมาก
ดังนั้นถึงแม้ว่า รัฐบาล ปูแดง อาจจะไม่หยัดยืนเป็นรัฐบาลไปได้ยาวนานถึงปีก็ตาม แต่เมื่อการเมืองอยู่ในกำมือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เข้าทางของตน การค่อยๆส่งสัญญาณให้มีการนิรโทษกรรมคนรอบข้าง บรรดาเหล่าเสื้อแดงก็คงจะตามมา
ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น อาจจะไม่จำเป็นต้องพูดถึงการนิรโทษกรรมให้กับ เถ้าแก่แห่งแดนไกลก็ได้
และ เมื่อสมาชิกแห่งบ้านเลขที่ 111 กลับคืนสู่สถานภาพ แม้ว่าหลายคนอาจจะแปรพักตร์ไปอยู่กับพรรคอื่นก็ตาม แต่ก็เชื่อมั่นว่าจำนวนไม่น้อยก็จะต้องภักดีกับ เถ้าแก่จอมวางแผนแห่งดูไบตามเดิม นั่นหมายถึงความมั่นคงแห่งรัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การสนับสนุนจากคนเสื้อแดง จะยังไปได้อีกนานพอสมควร
ด้วยความเชื่อมั่นดังว่านี้เองที่ทำให้ นช.ทักษิณจึงกล้าขับเคลื่อนโครงการ อัครฉ้อฉล นี้ออกมา แม้ว่าจะมีขวากหนามอย่างมหาศาลเพียงใดก็ตาม
พูดง่ายๆ ได้เวลา... ถึงเวลา...ที่จะกลับมาอยู่เบื้องหลังแห่งการ “Sa- Wha- Parm” ครั้งใหญ่อีกแล้วครับท่าน

ศาลไฟเขียวเลิกจ้างพร้อมปรับ15ล้านผู้นำม็อบหยุดเดินรถไฟ




ศาลแรงงานให้รฟท.เลิกจ้างสาวิทย์ อดีตแกนนำพธม.รุ่น2พร้อมให้ปรับ15ล้าน

ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เลิกจ้าง "สาวิทย์ แก้วหวาน" ปธ.สหภาพฯ กับพวกรวม 7 คน กรณีเป็นหัวโจกอ้างเหตุรถไฟตกรางที่เขาเต่าเมื่อปี 52 นำ พนง.สไตรก์หยุดเดินรถไฟ พร้อมสั่งให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย รฟท. 15 ล้าน...

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 28 ก.ค. ที่ศาลแรงงานกลาง ถนนพระราม 4 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นโจทก์ฟ้องนายภิญโญ เรือนเพชร นายบรรจง บุญเนตร์ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ตำแหน่งประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย นายธารา แสวงธรรม นายเหลี่ยม โมกงาน นายสุพิเชฐ สุวรรณชาตรี และนายอรุณ ดีรักชาติ เป็นจำเลยที่ 1-7 ขณะที่จำเลยอื่นมีตำแหน่งเป็นกรรมการสหภาพฯ ฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ม.23(2) และ ม.33

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในการหาทางปรองดองและระงับข้อขัดแย้งในรัฐ วิสาหกิจ และกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลา โดยจำเลยทั้ง 7 กับพวกร่วมกันยุยง ชักชวนให้พนักงานขับรถและพนักงานช่างเครื่องของโจทก์ทั่วประเทศ รวมทั้งโรงรถจักรหาดใหญ่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ขับขบวนรถไฟเพื่อขนส่งผู้ โดยสารและสินค้า และไม่ยินยอมให้โจทก์นำหัวรถจักรออกใช้งาน โดยอ้างว่าหัวรถจักรของโจทก์ชำรุดไม่ปลอดภัยแก่พนักงานขับรถและพนักงานช่าง เครื่องที่จะใช้ลากจูงขบวนรถไฟและบรรทุกสินค้าอันเป็นความเท็จ เป็นเหตุให้พนักงานขับรถและพนักงานช่างเครื่องของโจทก์หลงเชื่อ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่มาใช้บริการและทำให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย

นอกจากนี้จำเลยกับพวกยังร่วมกันปราศรัย ณ ที่ทำการสำนักงานใหญ่ เพื่อขับไล่และเรียกร้องให้รัฐบาลปลดผู้ว่าการรถไฟฯ อันเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ขัดต่อข้อบังคับของโจทก์ ซึ่งถือเป็นความผิดชัดแจ้ง โจทก์สามารถลงโทษไล่จำเลยทั้ง 7 ออกโดยไม่ต้องมีการสอบสวน และยังเป็นการทำผิดกฎหมายอาญา จึงขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้ง 7 โดยให้ไล่ออกจากงานและให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

ศาลวินิจฉัยแล้วรับฟังได้ว่า กรณีสืบเนื่องจากขบวนรถด่วนของโจทก์ตกรางที่สถานีเขาเต่า จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 52 สหภาพฯรถไฟ โดยกรรมการสหภาพฯ มีความเห็นว่าเหตุที่ขบวนรถด่วนดังกล่าวตกรางเนื่องจากอุปกรณ์ระบบเดดแมนและ ระบบวิจิแลนซ์ในหัวรถจักรชำรุดใช้การไม่ได้ จำเลยทั้ง 7 จึงร่วมกันรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานให้ตรวจสอบอุปกรณ์ ดังกล่าว แต่เป็นเหตุให้พนักงานขับรถและพนักงานช่างเครื่องบางคนไม่ยอมนำหัวรถจักรไป นำขบวน ทำให้โจทก์ไม่มีรถไฟออกรับส่งผู้โดยสารและสินค้า

ต่อมาศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้สหภาพฯกับพวกขัดขวาง และให้มีการเดินขบวนรถไฟตามปกติ โจทก์จึงนำหัวรถจักรไปนำขบวนได้ ปรากฏว่าแม้หัวรถจักรที่มีอุปกรณ์ดังกล่าวชำรุดเสียหายยังสามารถนำไปทำขบวน ได้เพราะเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม มิใช่อุปกรณ์หลักที่มีความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินรถ และปรากฏว่าไม่เคยเกิดอุบัติเหตุตามที่จำเลยทั้ง 7 กล่าวอ้าง การที่จำเลยทั้ง 7 รณรงค์เรื่องความปลอดภัยของพนักงานขับรถและช่างเครื่อง จนเป็นเหตุให้พนักงานของโจทก์บางคนหยุดปฏิบัติหน้าที่นำรถไฟออกให้บริการ ประชาชน โดยเฉพาะการเดินรถใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นการยุยงชักชวนให้พนักงานขับรถและช่างเครื่องและพนักงานอื่นของโจทก์ หยุดการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการจงใจทำให้โจทก์ผู้เป็นนายจ้างได้รับความเสียหายและเป็นการละทิ้ง หน้าที่ในขณะที่กำลังปฏิบัติอยู่ตามข้อบังคับของโจทก์ กรณีมีเหตุที่ศาลแรงงานกลางจะอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้ง 7 ตาม พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจฯ ม.24(2) พิพากษาว่าอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้ง 7 และให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 15 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

นายสาวิทย์ กล่าวหลังศาลมีคำพิพากษาว่า จะดำเนินการยื่นอุธรณ์ต่อศาลภายในเวลา 15 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่งต่อไป

สหภาพรถไฟฯ ออกแถลงการณ์จะสู้คดีถึงที่สุด จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการรถไฟ

ขณะที่ในเว็บไซต์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ "จุดยืนในการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน และคนงานรถไฟ" โดยมีรายละเอียดดังนี้

คำแถลงสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย
เรื่อง จุดยืนในการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน และคนงานรถไฟ

จากกรณีที่ขบวนรถด่วนที่ 84 เกิดอุบัติเหตุตกรางที่สถานีเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2552 เป็นเหตุให้มีผู้โดยสารเสียชีวิต 7 ราย และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) เห็นว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของอุปกรณ์บนรถจักร จึงได้มีการรณรงค์ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ประสงค์ต้องการให้การรถไฟฯปรับปรุง ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ รถจักรและรถพ่วง รวมทั้งระบบป้องกันพนักงานขับรถหมดสติ (Vigilance) ก่อนที่จะนำรถจักรออกไปทำขบวนทุกครั้ง ซึ่งกรณีนี้ สร.รฟท.ได้ยื่นข้อเรียกร้อง และได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กับการรถไฟฯอย่างชัดเจนไว้แล้ว และให้สมาชิกถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ จากการรณรงค์ดังกล่าวเป็นเหตุให้การรถไฟฯมีคำสั่งลงโทษกรรมการสหภาพฯสาขา หาดใหญ่จำนวน 6 คนโดยไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม และเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง ขออนุญาตเลิกจ้างกรรมการบริหาร สร.รฟท.จำนวน 7 คน (คดีหมายเลขดำที่ 6977/2552,7002/2552 และ 7140/2552)

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 เวลา 13.30 น. ศาลแรงงานกลางได้มีคำพิพากษาว่า อนุญาตให้การรถไฟฯเลิกจ้างกรรมการ สร.รฟท.ทั้ง 7 คน และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินสิบห้าล้านบาท จาก คำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง ทาง สร.รฟท.ขอน้อมรับในคำตัดสินของศาล ทั้งนี้เราจะยืนหยัดต่อสู้ตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงแต่ประการใดทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม คดียังไม่ถึงที่สุด สร.รฟท.ขอให้พี่น้องมวลสมาชิก และคนงานรถไฟทุกท่าน จงอย่าได้หวั่นไหวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องร่วมมือกันยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับสหภาพแรงงาน เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟ

จึงแถลงมาให้ทราบโดยทั่วกัน

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย

อริสมันต์โชว์รูปถ่ายล่าสุดเผื่อให้ธาริตไว้ดูต่างหน้า ตัวเป็นๆค่อยมาปลายปีอธิบดีDSIคงเป็นคนใหม่แล้ว


                                อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เปิดเผยภาพถ่ายล่าสุดของเขา ลงในเฟซบุ๊ค

                                       โดยภาพถ่ายระบุวันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ไม่ปรากฎสถานที่แน่ชัด 


นางระพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยาของ “กี้ร์-อริสมันต์” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ว่า การเข้ามอบตัวของนายอริสมันต์ นั้นคาดว่าจะเดินทางเข้ามอบตัวปลายปี 2554 โดยต้องรอให้รัฐบาลใหม่พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลและทำงานแก้ปัญหาปากท้อง ประชาชนไปก่อนค่อยว่ากัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายอริสมันต์ยังคงอาศัยอยู่กับญาติสนิทในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง และยืนยันว่านายอริสมันต์ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายตามที่ถูกกล่าวหา

ก่อนหน้านี้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีที่มีข่าวว่า นายอริสมันต์ ผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย จะเดินทางติดต่อขอเข้ามอบตัวกับทางดีเอสไอ ว่า ยืนยันในเรื่องดังกล่าว ยังไม่มีการติดต่อเข้ามอบตัวจาก นายอริสมันต์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนขของผู้ต้องหาที่เป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) รายอื่นๆ ทางดีเอสไอ กำหนดวันนัดเข้ารับทราบข้อกล่าวหา คดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ (คดีล้มเจ้า) ในวันที่ 17 ส.ค. ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มีผู้ทำเรื่องขอเลื่อนนัด

ล่าสุดเฟซบุ๊คของนายอริสมันต์ได้วิจารณ์กกต.กรณีแขวนจตุพรว่า กกต.รับงานมาจากพวกอำมาตย์ให้ปล​่อย ส.ส. พรรคประชาธิปัติย์ทุกคน แม้กระทั้งนายสุเทพ ที่ได้กล่าวปราศรัยใส่ร้ายพรรคเพื่อไทย"ว่าเผาบ้านเผาเมือง" ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งผิดกฏหมายเลือกตั้งมาตรา ๕๓ อย่างชัดเจน เป็นการกระทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในคะแนน เป็นการทำลายชื่อเสียงของพรรคเพ​ื่อไทย ด้วยความจงใจ คนอย่างนี้ทำทุกอย่างได้ เพื่อเอาชนะโดยไม่สนผิดชอบชั่วด​ี แต่ กกต. ดันรับรองให้เป็น ส.ส. เพราะเชื้อชั่วพวกเดียวกัน

นี่คืออำนาจนอกระบบที่สามารถสังได้ จะให้ใครเป็น ส.ส. ไม่เป็น ส.ส. ก็ได้ เพราะต้องการที่จะบอกกับแนวร่วมฮาร์ดคอร์ ไม่มีความเป็นธรรมให้นักสู้ ไม่มีความปราณีต่อนักต่อสู้ผู้เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หมดเวลาอำมาตย์เผด็จการแล้ว องค์กรอิสระที่เป็นเชื้อชั่วของอำมาตย์ต้องออกไป พี่น้องแดงยอมให้มันขังจตุพรมานานแล้ว อำนาจชั่วควรต้องหมดเสียที พลังแดงต้องออกแรงอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง