บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

รายละเอียดคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ 7 ต่อ 1 ให้”ตู่ จตุพร”พ้นส.ส.



ที่สำนักงานศาลรัฐธรรมนูญ องค์คณะตุลาการศาลรัฐธรรมนูญที่มีนายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ เป็นประธาน ได้ออกนั่งบัลลังก์ อ่านคำวินิจฉัยในคดีที่ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งความเห็นของคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ที่ ขอให้ศาลวินิจฉัยความเป็นสมาชิกภาพของนายจตุพร พรหมพันธุ์ ส.ส.แบบบัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย (พท.) สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 106 (4) ประกอบมาตรา101 (3) หรือไม่

บรรยากาศโดยรอบสำนักงานศาลรัฐธรรมนูญตั้งแต่ช่วงเช้าวันที่ 18 พฤษภาคม ปรากฏว่ามีบรรดากลุ่มคนเสื้อแดงประมาณ 100 คนเดินทางมาคอยให้กำลังใจกับนายจตุพร ท่ามกลางการจัดกำลังดูแลความเรียบร้อย 1 กองร้อย

นายอุดมศักดิ์ นิติมนตรี อ่านคำวินิจฉัยระบุว่า มีประเด็นที่ต้องพิจารณาก่อนวินิจฉัยในข้อเท็จจริงว่ากกต.ไม่มีอำนาจที่จะวินิจฉัยการสิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของนายจตุพรได้อีก เนื่องจากกกต.ได้รับสมัครและประกาศรับรองให้นายจตุพรเป็นส.ส.แล้ว ตามที่นายจตุพรร้องหรือไม่

เห็นว่าการดำเนินการของกกต.ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งส.ส.และการได้มาซึ่งส.ว.มาตรา40 ประกอบมาตรา 45 ที่กำหนดให้กกต.ดำเนินการยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อเพิกถอนรายชื่อผู้ที่ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครส.ส.บัญชีรายชื่อนั้นเป็นขั้นตอนก่อนการเลือกตั้ง

แต่คำร้องที่กกต.ขอให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยนั้นเป็นการขอให้ตรวจสอบคุณสมบัติส.ส.สิ้นสุดลงเฉพาะตัวหรือไม่ ซึ่งเป็นอำนาจที่ศาลรัฐธรรมนูญจะวินิจฉัย ซึ่งก่อนการเลือกตั้งหากกกต.พบว่ามีการขาดคุณสมบัติของผู้สมัคร โดยดำเนินการตามอำนาจไปแล้ว แต่ต่อมาภายหลังพบว่า ส.ส.คนใดมีเหตุที่สมาชิกภาพสิ้นสุดลงกกต.ก็มีอำนาจที่จะส่งเรื่องให้ประธานสภาฯ ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยได้ ข้ออ้างของนายจตุพรจึงฟังไม่ขึ้น

ส่วนสมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของนายจตุพรสิ้นสุดลงหรือไม่ จากข้อเท็จจริงตามคำร้องและการแก้ข้อกล่าวหาของผู้ถูกร้องรับฟังได้ว่า นายจตุพรได้รับการเลือกตั้งเป็นส.ส.เมื่อวันที่ 23 ธ.ค.50 และสมัครเข้าเป็นสมาชิกของพรรคเพื่อไทย เมื่อวันที่ 13 ธ.ค.51 ต่อมาถูกฟ้องดำเนินคดีอาญาฐานก่อการร้าย ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราว ซึ่งภายหลังเมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภาในปี 2554 และมีการกำหนดวันเลือกตั้งวันที่ 3 ก.ค. 54 ศาลได้ถอนประกัน นายจตุพรจึงถูกควบคุมตัวอยู่ที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพ ตั้งแต่วันที่ 12 พ.ค.54 เป็นต้นมา

ต่อมา กกต.เปิดรับสมัครส.ส.บัญชีรายชื่อซึ่งพรรคเพื่อไทย ได้ยื่นบัญชีรายชื่อผู้สมัครที่มีชื่อนายจตุพร เป็นผู้สมัครอยู่ในลำดับที่ 8 เมื่อวันที่ 19 พ.ค. 54 และก่อนการเลือกตั้ง 3 ก.ค.นายจตุพรได้ยื่นคำร้องของอนุญาตปล่อยตัวชั่วคราวหลายครั้ง แต่ศาลไม่อนุญาต จนวันที่ 3 ก.ค. นายจตุพรจึงไมได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง และได้ทำหนังสือแจ้งเหตุอันไมได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง ยื่นต่อผอ.สำนักงานเขตวังทองหลางที่พิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุผลเพียงพอ

หลังการเลือกตั้งกกต.ได้ประกาศรับรองผลให้นายจตุพรเป็นส.ส.ในวันที่ 1 ส.ค. 54 พร้อมมีมติให้สำนักงานกกต.ดำเนินการสืบสวนสอบสวนคุณสมบัติการเป็นส.ส.ของนายจตุพร ซึ่งกกต.ได้มีมติเสียงข้างมากในเวลาต่อมาให้ยื่นคำร้องต่อประธานสภาฯเพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่า สมาชิกภาพการเป็นส.ส.ของนายจตุพรสิ้นสุดลงหรือไม่

คดีมีประเด็นต้องพิจารณาว่านายจตุพรเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ไปใช้สิทธิหรือไม่ เห็นว่าในมาตรา100(3) ระบุว่า ผู้ต้องคุมขังโดยหมายของศาลไม่ให้เป็นบุคคลที่มีสิทธิเลือกตั้ง ซึ่งนายจตุพรถูกดำเนินคดีอาญาฐานก่อการร้าย ได้รับการปล่อยตัวชั่วคราวระหว่างการพิจารณา แต่เมื่อมีพระราชกฤษฎีกายุบสภา ศาลเพิกถอนสัญญาประกัน และนายจตุพรถูกควบคุมตัวไว้ใน เรือนจำ จึงเห็นได้ว่านายจตุพรเป็นบุคคลต้องห้ามไม่ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 100(3)

นายนุรักษ์ กล่าวว่า มีประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปว่า นายจตุพรเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งซึ่งเป็นลักษณะต้องห้ามของบุคคลที่มิให้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองหรือไม่ และเป็นเหตุให้นายจตุพรพ้นจากการเป็นส.ส.หรือไม่ เห็นว่าหากพิจารณา พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง มาตรา 8 ,19 และ 20 แล้วมีเจตนาว่าผู้ที่จะเป็นสมาชิกพรรคการเมืองต้องมีสัญชาติไทยไม่ว่าด้วยวิธีใดก็ตามที่กฎหมายกำหนด และต้องเป็นบุคคลที่ไม่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ

เมื่อพิจารณารัฐธรรมนูญมาตรา 100 ได้กำหนดลักษณะบุคคลที่มิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งไว้ 4 ลักษณะ ภิกษุ สามเณร ผู้มีสติฟั่นเฟือน ผู้ที่อยู่ระหว่างเพิกถอนสิทธิเลือกตั้ง และบุคคลที่ถูกจับกุมคุมขังโดยหมายของศาลหรือโดยคำสั่งที่ชอบด้วยกฎหมาย บุคคลเหล่านี้เป็นบุคคลที่ต้องห้ามไม่ให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งในวันเลือกตั้ง โดยบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิในวันเลือกตั้งเป็นบทบัญญัติที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ปี 2492

ส่วนกฎหมายที่เกี่ยวกับพรรคการเมืองนั้น เริ่มมีบัญญัติในปี 2498 เป็นฉบับแรก ซึ่งก็ใช้เรื่อยมาและมีอีกหลายฉบับ เช่น 2511 2517 2524 สำหรับบทบัญญัติที่เกี่ยวกับพรรคการเมือง จะบัญญัติบุคคลที่จะสามารถสมัครเข้าพรรคการเมืองได้ โดยบุคคลต้องห้าม จะระบุไว้เพียง ภิกษุ สามเณร นักบวช แต่เมื่อมีการตราพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2541 และ 2550 มีการบัญญัติลักษณะต้องห้ามไม่ให้เป็นสมาชิกพรรคไว้ในแนวทางเดียวกัน

โดยเฉพาะ ฉบับปี 2550 มาตรา 8 เป็นการเขียนข้อความให้ล้อตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 100 คือบุคคลที่ต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งแตกต่างกับพ.ร.บ.พรรคการเมืองในอดีตที่ผ่านมา โดยเป็นการบัญญัติให้ครอบคลุมถึงลักษณะต้องห้ามทั้ง 4 ลักษณะ รวมถึงต้องถูกคุมขังโดยหมายของศาล ซึ่งมีจุดประสงค์เพื่อให้บุคคลที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองปฏิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย และระเบียบวินัยของพรรคการเมือง

การถูกคุมขังระหว่างการพิจารณาของศาล โดยไม่ได้รับอนุญาตให้ปล่อยตัวชั่วคราว แสดงให้เห็นว่าเป็นการกระทำผิดที่มีความรุนแรง และมีเหตุให้ศาลไม่อนุญาตปล่อยตัวชั่วคราว อันเป็นวัตถุประสงค์ของการกำหนดลักษณะต้องห้ามดังกล่าว นอกจากนี้ผู้ที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองและมีลักษณะต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ ย่อมเป็นปฏิปักษ์ต่อการปฏิบัติหน้าที่ของการเป็นสมาชิกพรรคการเมือง โดยเฉพาะการใช้สิทธิเลือกตั้ง ซึ่งเป็นหน้าที่สำคัญกว่าบุคคลทั่วไป ที่ไม่ได้เป็นสมาชิกพรรคการเมือง

ดังนั้นเมื่อผู้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองไมได้ปฎิบัติตนอยู่ในกรอบของกฎหมาย จนถูกดำเนินคดี และต้องถูกคุมขังโดยหมายของศาล โดยไม่ได้อนุญาตให้ปล่อยตัวในวันเลือกตั้ง ทำให้เป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามมาตรา 100 ( 3) ย่อมจะเป็นลักษณะต้องห้ามการเป็นสมาชิกพรรคตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 มาตรา 20 ประกอบมาตรา 19 และ มาตรา 8 เมื่อพิจารณามาตรา 20 ของพ.ร.บ.ดังกล่าวแล้ว บุคคลที่จะสมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมือง นอกจากต้องไม่มีคุณสมบัติต้องห้ามในขณะที่สมัครเป็นสมาชิกพรรคการเมืองแล้ว จะต้องไม่มีลักษณะต้องห้ามตลอดเวลาที่เป็นสมาชิกพรรคการเมืองด้วย

หากผู้ใดมีลักษณะต้องห้ามเกิดขึ้นภายหลัง ย่อมมีผลให้สมาชิกภาพของผู้นั้นสิ้นสุดลง ดังนั้นเมื่อนายจตุพร เป็นบุคคลต้องคุมขังอยู่โดยหมายของศาล จึงเป็นบุคคลต้องห้ามมิให้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญมาตรา 100 ( 3) อันเป็นบุคคลต้องห้ามเป็นสมาชิกพรรคการเมือง ตามพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 มาตรา 19 วรรคหนึ่ง ประกอบมาตรา 8 วรรคหนึ่ง ส่งผลให้สมาชิกภาพการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของนายจตุพรสิ้นสุดลงตามมาตรา 20 วรรคหนึ่ง ( 3)

มีประเด็นต้องวินิจฉัยต่อไปว่า การสิ้นสุดสมาชิกภาพสมาชิกพรรคของนายจตุพร ทำให้สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นส.ส.ตามมาตรา 106 ( 4) หรือไม่

รัฐธรรมนูญมาตรา 101(3) บัญญัติให้บุคคลผู้มีคุณสมบัติสามารถลงสมัครรับเลือกตั้งส.ส.ได้ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่งติดต่อกันไม่น้อยกว่า 90 วันนับถึงวันเลือกตั้ง เว้นแต่กรณีการยุบสภาให้ต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองติดต่อกันไม่น้อยกว่า 30 วันนับถึงวันเลือกตั้ง

และมาตรา 106 (4) ที่บัญญัติว่าสมาชิกภาพส.ส.สิ้นสุดลงเมื่อขาดคุณสมบัติตามาตรา 101(3) แล้วเห็นว่า การที่รัฐธรรมนูญกำหนดให้เป็นสมาชิกพรรคการเมืองเป็นผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้งส.ส. และกำหนดการระยะเวลาการเป็นสมาชิกพรรคก่อนการเลือกตั้งเพื่อให้สมาชิกพรรคการเมืองมีระเบียบวินัย ยึดมั่น เจตนารมณ์ทางการเมือง และดำเนินกิจกรรมทางการเมืองตลอดไป ให้พรรคการเมืองเป็นเสาหลักของปกครองระบอบประชาธิปไตย อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข คุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองจึงไม่เพียงต้องมีอยู่ในวันสมัครรับเลือกตั้งเท่านั้น แต่ต้องมีอยู่ตลอดเวลาของการเป็นส.ส.

ส่วนการถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาลฯ แม้รัฐธรรมนูญมาตรา 102(3) จะไม่กำหนดให้เป็นลักษณะต้องห้ามไม่ให้สมัครรับเลือกตั้งแต่การสมัครรับเลือกตั้งเป็นส.ส. กับการใช้สิทธิเลือกตั้ง เป็นกระบวนการที่เกิดขึ้นก่อนและหลัง ต่างเวลากัน แม้ว่าบุคคลที่ถูกคุมขังโดยหมายของศาลมีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง อันไม่เป็นลักษณะต้องห้าม แต่การพิจารณาการสิ้นสุดสมาชิกภาพส.ส. เป็นคนละกรณีกัน หากในวันเลือกตั้งบุคคลดังกล่าวถูกคุมขังอยู่ย่อมถือว่า เป็นบุคคลที่มีลักษณะต้องห้ามไม่ให้ใช้สิทธิเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ

และเมื่อพิจารณาตามคุณสมบัติของส.ส. ซึ่งต้องเป็นสมาชิกพรรคคาการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง อันเป็นคุณสมบัติของผู้มีสิทธิสมัครรับเลือกตั้ง ส.ส. ตามมาตรา 101(3) ประกอบกับรัฐธรรมนูญ มาตรา 106(4) ที่บัญญัติให้สมาชิกภาพของส.ส.สิ้นสุดลง เมื่อขาดคุณสมบัติตามมาตรา 101 แล้วเห็นว่าคุณสมบัติของบุคคลที่จะสมัครส.ส.ซึ่งต้องเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดพรรคการเมืองหนึ่ง มิใช่ต้องมีอยู่เฉพาะวันสมัคร แต่ต้องมีอยู่ตลอดระยะเวลาการเป็นส.ส. เมื่อขาดคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองใดก็จะส่งผลให้สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นส.ส.

สำหรับการพิจารณาเกี่ยวกับความเป็นสมาชิกพรรคการเมืองนั้นเห็นว่า บทบัญญัติรัฐธรรมนูญจะบัญญัติหลักเกณฑ์สำคัญที่เกี่ยวกับการปกครองประเทศ ส่วนรายละเอียดสำคัญที่จะช่วยขยายบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญให้มีความครบถ้วนยิ่งขึ้นนั้น รัฐธรรมนูญบัญญัติให้ กำหนดไว้ในพระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญ ซึ่งรายละเอียดเกี่ยวกับพรรคการเมืองนั้น บัญญัติให้ตราขึ้น เป็นพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมือง 2550 ซึ่งเมื่อพิจารณาเกี่ยวกับคุณสมบัติการเป็นสมาชิกพรรคการเมืองตามพ.ร.บ.ดังกล่าว ในเรื่องที่เกี่ยวกับคุณสมบัติและลักษณะต้องห้าม การสิ้นสุดสมาชิกภาพของสมาชิกพรรคการเมืองจะบัญญัติไว้ในมาตรา 8 ,19 และ 20

อีกทั้งรัฐธรรมนูญมาตรา 106 เป็นการวางหลักเกณฑ์กว้าง ๆ ในการที่ส.ส.ต้องสิ้นสุดสมาชิกภาพแต่การวินิจฉัยว่าสมาชิกภาพส.ส.สิ้นหรือไม่ ต้องเป็นไปตามพระราชบัญญัตินั้น ๆ เช่นเรื่องสัญชาติ ก็ต้องเป็นไปตามพ.ร.บ.สัญชาติ เพราะรายละเอียดต่าง ๆ ไม่ได้กำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญ จึงจำเป็นต้องนำกฎหมายอื่น มาประกอบการวินิจฉัยเพื่อให้การบังคับใช้กฎหมายเป็นไปตามเจตนารมณ์อย่างแท้จริง มิใช่เป็นการนำกฎหมายที่ต่ำกว่าหรือมีบทบัญญัติที่ขัดแย้งในกรณีที่สิ้นสุดสมาชิกภาพการเป็นส.ส.มาขยายหรือตีความให้เป็นโทษตามที่นายจตุพรยกขึ้นอ้างแต่อย่างใด และไม่ใช่การกำหนดเหตุขึ้นใหม่

ดังนั้นเมื่อการเป็นสมาชิกพรรคเพื่อไทยของนายจตุพร สิ้นสุดลง ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 101(3) จึงทำให้สมาชิกภาพส.ส.ของนายจตุพรสิ้นสุดตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 ( 4) ศาลรัฐธรรมนูญจึงวินิจฉัยด้วยเสียงข้างมาก 7 ต่อ 1 เสียง ว่าสมาชิกภาพ ส.ส.ของนายจตุพร สิ้นสุดลงตามรัฐธรรมนูญมาตรา 106 (4) ประกอบมาตรา 101 ( 3) นับแต่วันที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ก่อนที่ตุลาการเริ่มอ่านคำวินิจฉัย นายวสันต์ สร้อยพิสุทธิ์ ประธานศาลรัฐธรรมนูญได้แจ้งกับนายจตุพรว่า นายจรัญ ภักดีธนากุล ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญได้ขอถอนตัวจากคดีนี้ เนื่องจากภรรยาของนายจรัญ มีคดีฟ้องร้องกับนายจตุพรอยู่ จึงมีตุลาการนั่งบัลลังก์อ่านคำวินิจฉัยเพียง8 คน แต่โดยระหว่างที่นายอุดมศักดิ์ อ่านคำวินิจฉัยอยู่นั้นก็ได้มีเสียงสัญญาณเตือนภัย (ไฟไหม้) ดังขึ้นประมาณ 10 วินาทีก็เงียบ ส่งผลให้การอ่านคำวินิจฉัยหยุดลงไปช่วงขณะหนึ่ง

แต่นายอุดมศักดิ์ กล่าวว่า “ขออ่านต่ออะไรจะเกิดก็ค่อยว่ากัน” ทำให้การอ่านดำเนินต่อไปจนจบ ขณะที่เจ้าหน้าที่ก็เร่งตรวจสอบว่าเกิดจากสาเหตุขัดข้องของสวิทช์ไฟในลิฟสปาร์คขึ้น จึงตามเจ้าหน้าที่ฝ่ายอาคารมาซ่อม

สำหรับตุลาการเสียงข้างน้อย 1 เสียง คือนายชัช ชลวร ที่เห็นว่า กรณีดังกล่าวนั้น เห็นว่าการสิ้นสุดของส.ส.จะต้องเป็นไปตามรัฐธรรมนูญเท่านั้น ซึ่งเป็นกฎหมายเฉพาะไม่สามารถเอากฎหมายอื่นที่มีศักดิ์ต่ำกว่ามาประกอบการพิจารณาได้

อีกทั้งเมื่อกกต.พิจารณารับรองผลไปแล้วก็ถือว่ามีผลถูกต้องสมบูรณ์ไปแล้ว กกต.ก็ไม่มีอำนาจวิจิฉัยชี้ขาดในประเด็นดังกล่าวแล้ว อีกทั้งเห็นว่า ที่กกต.ส่งมานี้เพื่อให้ศาลรัฐธรรมนูญพิจารณาตีความในข้อสงสัยของกกต.เองซึ่งห็นว่าทำไม่ได้

APEC NEWS



รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง