บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

ควันหลง “อภัยโทษ” สู่โจทย์ “นิติราษฎร์”

วีรพัฒน์ ปริยวงศ์

นักกฎหมายอิสระ facebook.com/verapat.pariyawong
พวกเราอย่ายอมให้คำแถลงของ พล.ต.อ ประชา พรหมนอก ที่ยืนยันว่า “คุณทักษิณ” ไม่เข้าข่ายผู้ที่จะได้รับการอภัยโทษ (ตามร่างพระราชกฤษฎีกาที่เป็นข่าว) ทำให้พวกเราสบายใจแล้วกลับไปเครียดกับน้ำท่วมเอาเสียง่ายๆ
แต่ขอให้พวกเรากลับมาทบทวนแบบน้ำนิ่งไหลลึกว่า “กระแสข่าว” การอภัยโทษ และ “กระแสตอบรับ” ที่ผ่านมานั้นได้ทำให้เราเห็น “ควันหลงเรื้อรัง” อะไรในสังคมไทยที่น่าเป็นห่วงยิ่งไปกว่าปัญหาของคนที่รักหรือไม่รัก “คุณทักษิณ” เสียด้วยซ้ำ ?

1. ควันหลงถึงผู้ตื่นตระหนก: ท่านไว้ใจรัฐบาลนามสกุลชินวัตรได้นานแค่ไหน ?


ในบทความนี้ ผู้เขียนไม่ติดใจจะตัดสินว่าคุณยิ่งลักษณ์มีเจตนาจะช่วยพี่ชายตนเองหรือไม่ อย่างไร แต่ผู้เขียนต้องการจะสื่อสารไปยังผู้ที่ตื่นตระหนกเพราะเชื่อว่าคุณยิ่ง ลักษณ์มีเจตนาจะช่วยพี่ชายตนเองโดยแน่ แล้วถามต่อว่า การะแสข่าว “การอภัยโทษ” เพียงไม่กี่วันก่อนได้เกิดขึ้นอย่างฉับพลันและน่าตื่นตระหนกเพียงนี้ แล้วอะไรจะเป็นหลักประกันว่า รัฐบาลชุดนี้ หรือรัฐบาลหลังการปลดปล่อยบ้าน 111 ชุดหน้าจะไม่พยายามดำเนินการ ทำนองนี้อีก ?
อย่าลืมว่านอกจากกฎหมายจะเปิดช่องให้การ “อภัยโทษ” ทำตามวาระโอกาสได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องผ่านสภาแล้ว รัฐบาลยังมีเครื่องมืออื่น เช่น การ “นิรโทษกรรม” กล่าวคือ ไม่ใช่แค่ให้อภัยธรรมดา แต่ถึงกับลบล้างความผิดจนไร้โทษ หรือหากจะแยบยลกว่านั้น ก็อาจใช้วิธี “ชะลอการลงโทษ” (reprieve) หรือ หรือลด-เปลี่ยนโทษ (commute) เช่น แทนที่จะให้จำคุกก็นำตัวมากักขังในบ้านแทน (house arrest/home confinement) ก็เป็นได้
คำถาม คือ ประชาชนฝ่ายที่ตื่นตระหนกกับการช่วยเหลือคุณทักษิณนั้น จะเล่นบทบาทได้แต่เพียงผู้ตามเก็บหมากที่เดินโดยนักการเมืองและต้องมาทนลุ้น ระทึกกับกระแสข่าวเป็นระยะต่อไปเช่นนี้ หรือจะมีวิธีการรวมพลังกับฝ่ายที่ไม่ตื่นตระหนกเพื่อจัดการให้เหตุนี้คลี่ คลายไปได้ (นอกไปจากการชุมนุมที่ยืดเยื้อหรือการอาศัยอำนาจนอกระบบ) หรือไม่ ?
หนึ่งในวิธีที่เป็นไปได้นั้น อาจต้องลองนึกย้อนไปถึงข้อเสนอนิติราษฎร์ หากเรานำข้อเสนอดังกล่าวมาปรับปรุงให้ประชาชนเป็น “ฝ่ายรุก” ผ่านกระบวนการเจรจาต่อรองก่อนทำประชามติแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยกระทำอย่างเปิดเผยและทุกภาคส่วนมีส่วนร่วมได้เพื่อออกแบบวิธีล้างคำ พิพากษาเก่าแล้วนำคุณทักษิณและผู้อื่นกลับเข้าสู่กระบวนการศาลใหม่ในยามปกติ โดยต้องมีขั้นตอนเชื่อมโยงที่รัดกุมชัดเจนและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย (ผู้เขียนไม่ได้เจาะจงไปที่ศาล แต่กำลังพูดถึงกระบวนการเชื่อมโยงจากการล้างคดีเก่าไปสู่การเริ่มต้นคดีใหม่ มิใช่ล้างแล้วปล่อยไว้ลอยๆ ถึงเวลา ปปช. ไม่ฟ้อง อัยการไม่ฟ้อง ทุกอย่างเงียบไป ความรุนแรงก็อาจกลับมาอีก)
หากทำได้เช่นนี้ จะเข้าท่ากว่าการปล่อยให้ประชาชนเป็น “ฝ่ายรับ” เก็บหมากการเมืองหรือไม่ ?
ผู้เขียนเคยเตือนไปแล้ว และก็จะเตือนอีกครั้งว่า หากท่านไม่พอใจกับข้อเสนอนิติราษฎร์เพียงเพราะท่านไม่พอใจคุณทักษิณ ก็ขอท่านทบทวนให้ดีว่า “คุณทักษิณในแบบที่ท่านไม่พอใจ” มีเครื่องมืออื่นที่ดีและสะดวกทางยิ่งกว่าข้อเสนอนิติราษฎร์อีกมากจริงหรือ ไม่ ?

2. ควันหลงถึงขบวนการนิติราษฎร์: ท่านพร้อมจะสร้างพันธมิตรทางความคิดของท่านมากแค่ไหน ?


ขบวนการนิติราษฎร์ก็เช่นกัน ผู้เขียนเคยเตือนไปแล้ว และก็จะเตือนอีกครั้งว่า ผู้ที่พร้อมจะร่วมอุดมการณ์ล้มล้างลัทธิรัฐประหารพร้อมกับท่านนั้นมีอยู่มาก แต่เขาเหล่านั้นอาจจะไม่อยากร่วมเป็นแรงสนับสนุนท่านเลยหากวิธีการนำเสนอและ สื่อสารของท่านยังคงแข็งทื่อ และกวาดมองว่าผู้ที่ไม่เห็นด้วยกับข้อเสนอของท่านในทันทีต้องเป็นผู้สมยอม ลัทธิรัฐประหารในทันใด ในโลกนิติศาสตร์ปัจจุบันที่ก้าวพ้นยุคของหลักการทฤษฎีในหมู่ผู้ปกครองนี้ ท่านไม่อาจยึดมั่นแต่เพียง “กฎหมายที่ควรจะเป็น” เท่านั้น แต่ต้องเข้าใจใน “มนุษย์ที่เป็นอยู่” เช่นกัน
ขบวนการนิติราษฎร์อาจเริ่มขยายพันธมิตรจากภายในสถาบันเก่าแก่ที่ภูมิใจใน เสรีภาพทางวิชาการของท่าน หากท่านทำให้เพื่อนผู้ทรงปัญญารู้สึกมีส่วนร่วมและได้รับอัธยาศัยทางวิชาการ ที่ตอบรับกับสภาพความคาดหวังของเขาหล่านั้นไม่ได้ สถาบันของท่านก็จะไม่ต่างอะไรไปกับสถาบันเก่าแก่อีกแห่งที่ภูมิใจในความเป็น น้องพี่ที่กลมเกลียวแต่เกรงใจกันจนไม่ค่อยได้พบเห็นนวัตกรรมทางความคิดอะไร ได้สะดวกนัก
ผู้เขียนขอเป็นกำลังใจให้ขบวนการนิติราษฎร์ได้พัฒนาปรับปรุงข้อเสนอที่ ไม่เพียงสะท้อนหลักการทางกฎหมาย แต่ยังสอดคล้องกับจิตวิทยาทางการเมืองอย่างแหลมคมและแยบยล โดยเฉพาะในประเด็นจุดเชื่อมโยงระหว่างการล้มล้างคดีเก่าและการเริ่มต้น กระบวนการใหม่ให้มีการเชื่อมโยงที่รัดกุมและเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เพื่อรวมพลัง “ฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหารตราบใดที่ทักษิณรับผิด” เข้ากับ “ฝ่ายที่ไม่เอารัฐประหารไม่ว่าทักษิณจะต้องรับผิดหรือไม่” และเชื้อเชิญ “ฝ่ายที่เชื่อว่ายังไงทักษิณก็ไม่ผิด” เพราะหากคุณทักษิณบริสุทธิ์แล้วจะมีเหตุใดต้องกลัวศาลพิจารณาคดีใหม่
ไม่แน่ว่าขบวนการนิติราษฎร์อาจนำไปสู่การรวมกลุ่มอำนาจในสังคมไทยเข้าด้วยกันอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นมาก่อนก็เป็นได้!

3. ควันหลงถึงครูบาอาจารย์สื่อสารมวลชน: จรรยาบรรณว่าด้วยแหล่งข่าวอยู่ที่ใด ?


“การแสข่าวอภัยโทษ” เริ่มต้นมาจาก “แหล่งข่าว” ที่ไม่เปิดเผย เคราะห์ดีที่เหตุการณ์ดูจะคลี่คลายหลังมีการแถลงข้อแคลงใจจนมีการยุติการ เคลื่อนไหวชุมนุม ซึ่งหากรายละเอียดเป็นจริงมาแต่ต้นเหตุใดรัฐบาลจึงไม่อธิบายให้ชัดมาแต่แรก ? และแหล่งข่าวที่ว่านี้คือใคร ? สำนักข่าวใดได้ข่าวนี้มาแต่แรก? มีการตรวจสอบและรายงานระดับความน่าเชื่อถืออย่างไร ? แหล่งข่าวนี้สมควรจะได้สอบถามความจริงได้จาก พล.ต.อ ประชา พรหมนอก แต่แรกหรือไม่ ? หากสุดท้ายรัฐบาลอธิบายไม่ทันจนเกิดการปะทะวุ่นวายในยามวิกฤตเช่นนี้ สื่อหรือผู้ใดจะเป็นผู้รับผิดชอบ ?
หากสื่อมวลชนผู้มีจรรยาบรรณตอบคำถามเหล่านี้ไม่ได้ ประชาชนก็อย่าได้แต่รอ ขอให้ท่านได้ใช้ช่องทางที่กฎหมายให้อำนาจท่านไว้ ไม่ว่าจะเป็นการขอข้อมูลเกี่ยวกับการประชุม ครม. ลับที่เป็นข่าว โดยอาศัยช่องทางตาม “พระราชบัญญัติข้อมูลข่าวสารของราชการ พ.ศ. 2540” เพื่อให้มีการเปิดเผยข้อมูลข่าวสาร อีกวิธีคือการเรียกร้องกดดันให้ผู้แทนของท่านในสภาได้ใช้อำนาจตาม “พระราชบัญญัติคำสั่งเรียกของคณะกรรมาธิการของสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา พ.ศ. 2554” เพื่อเรียกบุคคลที่เกี่ยวข้องมาให้ข้อมูลว่าข้อเท็จจริงเรื่องนี้ที่มาที่ไป เป็นอย่างไร หรือเป็นเพียงการสร้างกระแสผ่านสื่อมวลชนอันเป็นการซ้ำเติมความกังวลให้กับ พี่น้องประชาชนที่ลำบากในยามน้ำท่วมเช่นนี้ ?
หวังว่าเพดานทางปัญญาของสื่อมวลชนไทยจะไม่จบที่การ “ตีข่าวหักมุม” หรือ “วิเคราห์ทางที่หินถูกโยน” แต่เพียงนั้น

4. ควันหลงถึงพวกเราทุกคน: คนไทยมีปัญญาเพียงแค่ยกมวลชนตีกันเช่นนั้นหรือ ?

อาการเรื้อรังของสังคมไทยที่ปรากฎชัดจาก “กระแสการอภัยโทษ” นั้นไม่ได้ต่างไปจาก “กระแสประตูระบายน้ำ” ในภาวะวิกฤติอุทกภัย ทั้งสองเหตุการณ์พิสูจน์ว่าในยามที่สังคมไทยมีปัญหานั้น ก็เป็นจริงดังที่ถูกสอนให้เชื่อว่าคนไทยสามัคคีกลมเกลียวเป็นหนึ่งเดียวจริง แต่สามัคคีกลมเกลียวเฉพาะกับ “พวกเดียวกัน” เท่านั้น
แต่สังคมไทยยังไม่คุ้นชินกับการต่อสู้ตามกติกาที่ต้องรอ ผู้เขียนเป็นห่วงอย่างยิ่งกับตรรกะของฝ่ายที่กล่าวว่ารัฐบาลไม่ควรเสนอการ อภัยโทษตามข่าว เพราะจะทำให้ผู้คนแตกแยกออกมาตีราฆ่าฟันกันอีกรอบ ซึ่งเป็นตรรกะที่อันตรายไม่ต่างไปจากการยอมให้บ้านเมืองปกครองโดยกำลังมวลชน เป็นสำคัญ (might is right) หากคิดได้เช่นนี้ ต่อไปการกระทำใดจะถูกต้องชอบธรรมหรือไม่ ก็คงดูแต่เพียงว่าจะมีผู้เคลื่อนไหวปะทะกันหรือไม่ หากมีกำลังปะทะ ก็ไม่ควรทำ กระนั้นหรือ ?
ตรรกะที่ถูกต้อง คือ การถามว่าการกระทำนั้นถูกกฎหมายหรือไม่ และหากเราเชื่อว่าการออกการอภัยโทษตามข่าวเป็นการใช้อำนาจที่ผิดกฎหมาย แต่รัฐบาลยืนยันว่าตนมีอำนาจตามกฎหมาย เราก็ต้องใช้อำนาจทางปัญญาต่อสู้ตามกฎหมาย ไม่ว่าจะคัดค้านโดยสันติ จะเข้าชื่อแก้กฎหมาย หรือสู้คดีในศาล ฯลฯ การชุมนุมกันไม่ควรถูกสันนิษฐานว่าจะต้องเป็นการยกมวลชนตีกัน ส่วนใครที่ใช้วิธีก่อความไม่สงบนอกวิถีแห่งกฎหมาย กฎหมายก็ต้องจัดการโดยเด็ดขาดให้ประจักษ์เป็นปกติ และหากรัฐใช้กำลังเกินควร ก็ต้องหาคนรับผิดชอบตามปกติ จะบอกว่าสิ่งเหล่านี้ยากเกินปัญญาคนไทยนั้น กระนั้นหรือ ?
ตรงกันข้าม หากเรายอมเชื่อว่าการออกการอภัยโทษตามข่าวเป็นการใช้อำนาจที่ “ผิดกฎตามใจฉัน” หรือ “ผิดเกณฑ์ศีลธรรมความดีงามบาปบุญคุณโทษอันเป็นสัจจะของฉัน” และในเมื่อจิตใจและความดีงามของแต่ละคนไม่เหมือนกัน วิธีแก้ปัญหาก็คงวนเวียนอยู่กับวาทกรรมมักง่ายที่ว่า “อย่าทำมันเลย เดี๋ยวคนเขาตีกัน…แต่ถ้ามันยังทำ ฉันก็จะตีมัน”
แม้ผู้เขียนจะไม่อยากให้สังคมไทยกลายเป็นสังคมที่ทนายวิ่งไล่รถพยาบาล แต่ก็สงสัยเหลือเกินว่า คนไทยเรามีปัญญาเพียงพอที่จะไม่หลีกเลี่ยงปัญหาเพียงเพราะข้ออ้างมวลชนปะทะ กันได้หรือไม่หนอ ?
หมายเหตุ: บทความนี้ต่อเนื่องจากบทความของผู้เขียนเรื่อง “รัฐประหาร – ทักษิณ – นิติราษฎร์: ๓ คำเตือนที่คนไทยต้องรู้”
บทสัมภาษณ์ความเห็นทางวิชาการที่เกี่ยวข้อง ชมได้ที่
- รายการคมชัดลึก: http://www.youtube.com/watch?v=Pp25gkDQG1Y
- รายการสถานี Bluesky Channel: http://livestre.am/18ynP
- รายการ ASEAN Newsroom (ภาษาอังกฤษ): http://www.youtube.com/watch?v=kxGQA4-s1hk

จับตา “งบกลาง” รัฐบาลมือเติบ ใช้ง่าย เบิกคล่อง ไม่โปร่งใส

การประชุมสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปี 2555 ช่วงวันที่ 9-10 พ.ย. 2554 ซึ่งเป็นวาระแรกของการพิจารณาวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี2555 ที่กำหนดไว้ 2,380,000 ล้านบาท เพิ่มจากปีที่ผ่านมา 9.7 % หรือ 210,032.5 ล้านบาท
โดยพรรคฝ่ายค้านอภิปรายการจัดทำงบประมาณของรัฐบาล “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในประเด็นความไม่โปรงใสของการจัดสรรงบประมาณ โดยเฉพาะงบกลางที่กำหนดไว้ 420,601.1 ล้านบาท หรือคิดเป็นสัดส่วน 17.7 % งบประมาณรายจ่าย แต่งบกลางในรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่รัฐบาลตั้งงบไว้สูงถึง 120,000 ล้านบาท สำหรับเยียวยาและแก้ปัญหาน้ำท่วม ประเด็นหลักที่ถูกโจมตีมากที่สุดถึงความไม่เหมาะสมและความไม่โปร่งใสในการ ดำเนินการ
เพื่อหลีกเลี่ยงข้อครหาดังกล่าว นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ จึงเสนอว่าในชั้นการพิจารณาของคณะกรรมาธิการวิสามัญฯ ที่คาดว่าจะแล้วเสร็จกลางเดือนธันวาคม 2554 ถึงตอนนั้นรัฐบาลต้องทราบแล้วว่าเงินที่จะบริหารเกี่ยวกับน้ำท่วม มีหน่วยงานใดจะใช้เงินเท่าไร และนำไปทำอะไรบ้าง จึงขอให้คณะกรรมาธิการฯ พิจารณาตัดงบที่จะใช้เรื่องน้ำท่วมจากงบกลาง และขอให้รัฐบาลแปรญัตติเพิ่มกลับมาให้อยู่ในกระทรวงต่างๆ เพื่อยืนยันว่า นายกรัฐมนตรี ไม่รวบอำนาจ และเลี่ยงการตรวจสอบ แต่จะตอบโจทย์ในเรื่องน้ำท่วมอย่างแท้จริง แล้วก็เปิดใจกว้างที่จะให้งบประมาณกลับไปสู่ช่องทางกระบวนการตามปกติ เพื่อยืนยันในเรื่องของความโปร่งใส
ปัญหาความไม่โปรงใสการใช้งบกลางถูกเสียงวิพากษ์วิจารณ์มาตลอดไม่ใช่เฉพาะ รัฐบาลนี้ โดยเริ่มมีการใช้งบกลางเพิ่มขึ้นมากตั้งแต่รัฐบาลยุค “ทักษิณ ขินวัตร” และต่อเนื่องมาตลอด แม้แต่รัฐบาลในยุค “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์เช่นเดียวกัน โดยเฉพาะการประชุมคณะรัฐมนตรีนัดสุดท้าย 3 พ.ค. 2554 ก่อนยุบสภา (มติครม. 3 พ.ค. 2554 , ข่าวครม.มาร์คทิ้งทวนอนุมัติงบกลางแสนล้าน)
สาเหตุที่เป็นเช่นนั้น เพราะงบกลางมีความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการงบประมาณ และทำให้มีความคล่องตัวกว่าการใช้จ่ายงบประมาณปกติ แต่มีปัญหาว่าตรวจสอบได้ยาก ไม่ผ่านกลไกการตรวจสอบจากรัฐสภาเหมือนงบประมาณรายจ่ายของกระทรวงต่างๆ
เนื่องจากการบริหารและเบิกจ่ายงบกลางในแต่ละรายการ ที่ได้รับการจัดสรรวงเงินตามพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีเหมือนราย จ่ายงบประมาณของกระทรวงต่างๆ ทางฝ่ายบริหารสามารถปรับเปลี่ยนและโอนระหว่างรายการได้ตามความเหมาะสมในการบ ริหาร แตกต่างจากงบประมาณของกระทรวงต่างๆ ที่ทำแบบนั้นไม่ได้ นี่คือจุดอ่อนของงบกลาง ถ้าไม่ระมัดระวังอาจทำให้ขาดวินัยการคลังและมีช่องทางการทุจริตได้
จากข้อมูลในอดีตย้อนหลัง 20 ปี พบว่า การจัดสรรงบกลางเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยช่วงก่อนปีงบประมาณ 2545 สัดส่วนเฉลี่ยอยู่ที่ 10 % ของงบประมาณ แต่หลังจากนั้นมีสัดส่วนสูงเพิ่มขึ้นเฉลี่ยกว่า 10 % มาโดยตลอด
เปรียบเทียบงบกลางกับงบประมาณรายจ่ายรวม ย้อนหลัง 20 ปี
เปรียบเทียบงบกลางกับงบประมาณรายจ่ายรวม ย้อนหลัง 20 ปี ที่มา เอกสารงบประมาณตามพรบ.งบประมาณฯ สำนักงบประมาณ
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลวงเงินงบประมาณงบกลางตามเอกสารรายละเอียดประกอบพระราชบัญญัติงบ ประมาณฯ เป็นเพียงข้อมูลเบื้องต้นเท่านั้น แต่การจัดสรรวงเงินจริงตอนสิ้นปีงบประมาณมักจะสูงกว่างบประมาณที่ตั้งไว้ ตามพระราชบัญญัติงบประมาณ
โดยจากงานศึกษาของ สิทธิพร พูลสวัสดิ์ (2551) เรื่อง “การวิเคราะห์ผลกระทบของงบกลางต่อการขยายตัวของผลผลิตและการกระจายรายได้” ซึ่งศึกษาหลักการและแนวทางการบริหารงบกลางของประเทศไทย รวมทั้งความแตกต่างของการจัดสรรงบกลางระหว่างช่วงก่อนและหลังปีงบประมาณ 2546
ผลปรากฏว่า ในอดีตงบกลางมีสัดส่วน 10 % ของงบประมาณ จนกระทั่งปีงบประมาณ พ.ศ. 2545 มีการเพิ่มสัดส่วนงบกลางเป็น 18 % ของงบประมาณ และเพิ่มสูงสุดในปีงบประมาณ 2547 โดยมีสัดส่วนงบกลางสูงถึง 23 % ของงบประมาณ เนื่องจากรัฐบาลเริ่มต้องการความยืดหยุ่นในการบริหารงบประมาณมากขึ้น เพื่อดำเนินโครงการตามนโยบายใหม่ของรัฐบาล นำไปสู่การเพิ่มสัดส่วนงบกลางขึ้นจากเดิมเป็นจำนวนมาก
สัดส่วนงบกลางต่องบประมาณ
สัดส่วนงบกลางต่องบประมาณ ที่มา สิทธิพร พูลสวัสดิ์ (2551)
ทั้งนี้ ในปี 2547 งบประมาณรายจ่ายตามเอกสารประกอบพระราชบัญญัติงบประมาณฯ กำหนดวงเงินจำนวน 1,028,000 ล้านบาท ในส่วนงบกลางจัดสรรวงเงินตามพระราชบัญญัติงบประมาณฯ จำนวน 129,784.7 ล้านบาท แต่ผลการจัดสรรงบประมาณจริงปรากฎว่างบกลางเพิ่มขึ้นเป็น 264,643 ล้านบาท หรือมีสัดส่วนประมาณ 1 ใน 4 ของงบประมาณ
นอกจากนั้น ผลการศึกษาข้อมูลเชิงลึกของ สิทธิพร ยังพบว่าการจัดสรรรายจ่ายงบกลาง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 – 2550 ปรากฏว่า รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ตั้งงบประมาณไว้ไม่เพียงพอ เนื่องมาจากในระหว่างปีงบประมาณมีความจำเป็นเร่งด่วนในการดำเนินโครงการ ตามนโยบายรัฐบาลที่ไม่ได้ตั้งงบประมาณไว้
อาทิ การดำเนินการช่วยเหลือและฟื้นฟูผู้ประสบภัยพิบัติต่างๆ ค่าใช้จ่ายในโครงการหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า การแก้ไขปัญหาผลกระทบจากการระบาดของไข้หวัดนก และการแก้ไขปัญหา 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ซึ่งใช้จ่ายงบประมาณจำนวนมาก และได้มีการโอนรายจ่ายงบกลาง จากรายการอื่นมาเพิ่ม เพื่อให้เพียงพอใช้จ่ายในกรณีฉุกเฉินหรือกรณีจำเป็น ได้ในปีงบประมาณนั้นๆ โดยการอนุมัติของนายกรัฐมนตรี
โดยรายละเอียดข้อมูลเขิงลึกของการศึกษาดังกล่าว มีดังนี้
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2546 ตามพ.ร.บ.งบประมาณฯ ตั้งงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ จำนวน 9,369 ล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรจริง 10,369 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะมีการโอนงบประมาณมาจากรายการเงินเลื่อนขั้น เลื่อนอันดับเงินเดือนและเงินปรับวุฒิข้าราชการ จำนวน 1,000 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2547 ตามพ.ร.บ.งบประมาณฯ ตั้งงบกลาง รายการเงินสำรองร่ายจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ 9,282 ล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรจริง 19,282 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะโอนมาจากรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมศักยภาพการแข่งขันและ การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ และรายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จและบำนาญข้าราชการจำนวน 5,000 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 ตั้งงบกลาง รายการเงินสำรองร่ายจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ 11,600 ล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรจริง 50,600 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะโอนมาจากรายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมศักยภาพการแข่งขันและ การพัฒนาที่ยั่งยืนของประเทศ 5,000 ล้านบาท และรายการเงินเบี้ยหวัด บำเหน็จและบำนาญข้าราชการจำนวน 15,000 ล้านบาท รายการเงินปรับค่าตอบแทนบุคลากรภาครัฐ 2,000 ล้านบาท และได้รับงบประมาณรายจ่ายเพิ่มเติมประจำปีงบประมาณ พ.ศ. 2548 อีก 17,000 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2549 ตั้งงบกลาง รายการเงินสำรองร่ายจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ 13,032 ล้านบาท แต่ได้รับการจัดสรรจริง 36,819 ล้านบาท เพิ่มขึ้นเพราะโอนมาจากรายการค่าใช้จ่ายเพื่อปรับกลยุทธ์และรองรับการ เปลี่ยนแปลง 16,487 ล้านบาท รายการค่าใช้จ่ายในการดำเนินการโครงการตามแผนยุทธศาสตร์กลุ่มจังหวัด 7,000 ล้านบาท และรายการเงินชดเชยค่างานสิ่งก่อสร้าง 300 ล้านบาท
ปีงบประมาณ พ.ศ. 2550 ตั้งงบกลาง รายการเงินสำรองร่ายจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ จำนวน 41,193 ล้านบาท และ ปีงบประมาณ พ.ศ. 2551 ตั้งงบกลาง รายการเงินสำรองร่ายจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นไว้ จำนวน 40,002 ล้านบาท
การจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น
การจัดสรรงบกลาง รายการเงินสำรองจ่่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น ที่มา อ้างจาก สิทธิพร พูลสวัสดิ์ (2551)
การศึกษาของสิทธิพร ยังระบุด้วยว่า การตั้งงบกลาง ประเภทค่าใช้จ่ายตามนโยบายและโครงการพิเศษของรัฐบาลจำนวนมากนั้น ยังขาดรายละเอียดแผนงานหรือโครงการที่ชัดเจน ทำให้ยากแก่การตรวจสอบและไม่สามารถพิจารณาการจัดสรรในภาพรวมได้ทั้งหมด อาจส่งผลให้งบประมาณทั้งหมดกระจุกอยู่เพียงบางมิติเท่านั้น
โดยเฉพาะงบกลางในปี 2547 รายการค่าใช้จ่ายเพื่อการเสริมสร้างศักยภาพการแข่งขันและการพัฒนาที่ยั่งยืน ของประเทศ ที่ตั้งงบตามพระราชบัญญัติงบประมาณฯ สูงถึง 75,500 ล้านบาท และได้รับการจัดสรรจริงจากสำนักงบประมาณ 69,430 ล้านบาท นอกจากนั้น โครงการในรายจ่ายดังกล่าวกลับมีอัตราการเบิกจ่ายในระดับต่ำ ส่วนหนึ่งมีสาเหตุจากการขาดแผนงานและผลผลิตของโครงการที่ชัดเจน รวมทั้งโครงการต่างๆ มีความซ้ำซ้อนกับภารกิจของส่วนราชการตามปกติ
สิทธิพร ยังศึกษาประเด็นเชิงรายละเอียด พบว่า การตั้งงบประมาณรายจ่ายเกี่ยวกับบุคลากรและรายจ่ายตามกฎหมาย ซึ่งกรมบัญชีกลางเป็นผู้รับผิดชอบขอตั้งงบประมาณนั้นในอดีต หน่วยงานดังกล่าวประมาณการจากรายจ่ายจริงของปีงบประมาณที่ผ่านมาแต่เพียง อย่างเดียว ไม่ได้ประมาณการรายจ่ายจากข้อมูลของผู้มีสิทธิที่ใช้อ้างอิงได้
อาทิ จำนวนผู้มีสิทธิ อัตราที่จะเบิกจ่าย เป็นต้น เพื่อเป็นข้อมูลพื้นฐานประกอบการขอตั้งงบประมาณที่เหมาะสมในแต่ละปีซึ่งจะ ช่วยลดปัญหาที่ตั้งงบประมาณไม่เพียงพอ หรือค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นในระหว่างปีงบประมาณที่มิได้ตั้งงบประมาณรองรับ ไว้ โดยการตั้งงบที่ไม่เพียงพอดังกล่าวนี้จะส่งผลต่อการใช้เงินคงคลังจำนวนมาก อันอาจส่งผลกระทบต่อเงินคงคลังของประเทศในที่สุด
นอกจากนั้นบางรายการไม่จำเป็นต้องอยู่ในงบกลาง อาทิ รายจ่ายชำระหนี้กองทุนหมู่บ้านและชุมชนเมือง รวมถึงหลายโครงการในงบกลางตามนโยบายของรัฐมีความซ้ำซ้อนกับภารกิจปกติของ หน่วยงาน และรายจ่ายงบกลางที่เป็นค่าใช้จ่ายตามนโยบายของรัฐบาล บางโครงการอาจไม่คุ้มค่าและเป็นโครงการที่สร้างความนิยมทางการเมือง เช่น ค่าใช้จ่ายในการพัฒนาศักยภาพหมู่บ้านและชุมชนเมือง (SML) ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนาจังหวัดแบบบูรณาการ สำหรับผู้ว่าราชการ
รวมถึงบางโครงการมีความซ้ำซ้อนกับภารกิจปกติของส่วนราชการ อาทิ ค่าใช้จ่ายในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนและความยากจนของประชาชน ค่าใช้จ่ายในการดำเนินโครงการตามแผนยุทธศาสตร์การพัฒนากลุ่มจังหวัด เป็นต้น (ภาคผนวก งบกลางจำแนกตามแผนงาน ระหว่างปีงบประมาณ พ.ศ. 2536-2549)
นอกจากนี้ สิทธิพร ได้เสนอแนะประเด็นเชิงหลักการของงบกลางว่า รัฐบาลควรกำหนดรายการที่อยู่ในงบกลางเฉพาะรายการที่จำเป็น ซึ่งไม่ควรรวมรายการตามนโยบายของรัฐบาลเข้ามาอยู่ในงบกลางนอกจากนั้น รายจ่ายในงบกลางไม่ควรซ้ำซ้อนกับภารกิจของหน่วยงานปกติ แต่ควรเป็นลักษณะภารกิจที่เสริมจากข้อจำกัดที่หน่วยงานปกติยังไม่สามารถ กระทำหรือติดขัดในกฎระเบียบทางการงบประมาณตามปกติ
สำหรับงบกลาง รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น สิทธิพร เสนอแนะว่า ควรจัดสรรให้เฉพาะกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นอย่างเคร่งครัดเพื่อรักษาผลประโยชน์ โดยรวมของประเทศ เนื่องจาก รายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็นที่ได้ดำเนินการไปแล้วในปีงบ ประมาณในอดีต บางรายการไม่ได้มีลักษณะฉุกเฉินหรือจำเป็นอย่างแท้จริงแต่ถูกกำหนดโดยฝ่าย บริหาร ซึ่งทำให้ส่วนราชการต่างๆ ขอใช้วงเงินงบประมาณหรือใช้มติคณะรัฐมนตรี เพื่อขอใช้งบประมาณในส่วนนี้ โดยไม่เหมาะสม ดังนั้นการจัดสรรงบกลางรายการในส่วนนี้ จึงไม่เหมาะสม
สุดท้าย สิทธิพรเสนอแนะว่า ควรมีกระบวนการติดตามและประเมินผลการใช้จ่ายงบกลางรายการต่างๆ เพื่อเป็นการตรวจสอบและเป็นกลไกสะท้อนความโปร่งใสของวิธีการงบประมาณ เนื่องจากในขั้นเริ่มต้นการจัดทำงบประมาณนั้น รัฐสภาเพียงอนุมัติกรอบวงเงินเท่านั้น แต่เมื่อสิ้นปีงบประมาณ ควรรายงานสถานะและผลการประเมินการใช้จ่ายงบกลางที่ได้ใช้จ่ายไป ซึ่งถือเป็นการรับผิดชอบและความโปร่งใสในการบริหารประเทศ
ผลการศึกษาและข้อเสนอแนะของสิทธิพร ชี้ให้เห็นว่ามีความจำเป็นอย่างยิ่งในการทบทวนงบกลางรายการเงินสำรองจ่าย เพื่อกรณีฉุกเฉินและจำเป็นของปี 2555 ที่ตั้งวงเงินไว้สูงถึง 120,000 ล้านบาท เพื่อเยียวยาและแก้ปัญหาน้ำท่วม
นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแจกเงิน 30,000 บาท แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.นครสวรรค์ โดยมีป้ายชื่อผู้ให้คือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยที่เป็นเงินภาษีของประชาชน ที่มาภาพ :http://upload.armuay.com/img/2011-11-10/00-31-03_0.114223.jpg
นาง สาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแจกเงิน 30,000 บาท แก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วม จ.นครสวรรค์ โดยมีป้ายชื่อผู้ให้คือน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยที่เป็นเงินภาษีของประชาชน ที่มาภาพ :http://upload.armuay.com/img/2011-11-10/00-31-03_0.114223.jpg
ทั้งนี้ ความคืบหน้าการพิจารณาของชุดทำงานแก้ปัญหาการเยียวยาน้ำท่วม ที่มีนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน เริ่มวางหลักเกณฑ์การพิจารณาแล้ว โดยแหล่งข่าวกระทรวงการคลังระบุว่า โครงการเยียวยาน้ำท่วมจะแบ่งเป็นภาคสังคม เศรษฐกิจ และคมนาคม
โดยเมื่อวันที่ 18 พ.ย. ที่ผ่านมา นายกิตติรัตน์ ณ ได้มอบให้นายอารีพงษ์ ภู่ชอุ่ม ปลัดกระทรวงการคลังเป็นผู้รับผิดชอบโครงการเยียวยาแก้ปัญหาน้ำท่วมเศรษฐกิจ ประกอบด้วยภาคเกษตร แรงงาน และอุตสาหกรรม ซึ่งมีอีก 7 กระทรวงที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงแรงงาน กระทรวงเกษตรและสหกรณ์การเกษตร กระทรวงอุตสาหกรรม กระทรวงท่องเที่ยวและการกีฬา เป็นต้น โดยด้านเศรษฐกิจได้กรอบวงเงินเบื้องต้น 45,000 ล้านบาท จากวงเงิน 120,000 ล้านบาท ส่วนโครงการเยียวยาน้ำท่วมด้านคมนาคม ผู้รับผิดชอบคือกระทรวงการคมนาคม และด้านสังคมก็ให้กระทรวงที่เกี่ยวข้องรับผิดชอบ
“โครงการที่จะได้รับอนุมัติวงเงินจากงบกลาง 120,000 ล้านบาท ต้องเป็นโครงการเกี่ยวกับการเยียวยาแก้ปัญหาน้ำท่วมเท่านั้น และระยะเวลาโครงการต้องเสร็จภายในเม.ย. 2555 ทั้งนี้มาตรการเยียวยาด้านเศรษฐกิจนั้นปลัดกระทรวงการคลังได้ให้สำนักบริหาร หนี้สาธารณะ (สบน.) ทำหน้าที่เอ็กเซอเรย์ หรือตรวจสอบโครงการเพื่อขอเงินเยียวยา เนื่องจากเห็นว่าสบน.มีประสบการณ์ทำโครงการไทยเข้มแข็งมาเป็นอย่างดี” แหล่งข่าวกระทรวงการคลังกล่าว
ดังนั้น ตามกำหนดการที่กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่างพระราชบัญญัติงบประมาณรายจ่าย ประจำปีงบประมาณ 2555 ซึ่งมีนายกิตติรัตน์ เป็นประธานอีกเช่นกัน คาดการณ์ว่า จะให้สมาชิกเสนอแปรญัตติภายใน 20 พ.ย.นี้ ก็จะมีความชัดเจนเรื่องโครงการและเม็ดเงินที่ต้องใช้ จากนั้นคาดว่าจะมีการนำร่างงบประมาณเข้าสู่การพิจารณาของรัฐสภาวาระ 2 ประมาณวันที่ 4-5 มกราคมปีหน้า
การจัดสรรงบกลางปี 2555 ประวัติศาสตร์จะซ้ำรอยหรือไม่!

ไทยพับลิก้า

จิกแม้วไร้สำนึกปุระชัยหนีโทษ


“เหลิม” ดวลฝีปากนักข่าวเดือด เหลังเจอดักคอ พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ “เพื่อแม้ว” ตะแบงสีข้างอ้างถูกกฎหมายอย่างเดียว  เมินเจอม็อบต้าน แถมท้าอยากต้านก็ต้านไป อ้างไม่เคยแจกร่างอภัยโทษฯ แค่รวบรวมข้อมูลย้อนหลัง อึ้งกิมกี่เจอปุจฉาครม.ทำระคายเคืองฯ ฮึ่มสื่อถามระวังติดคุก จี้ทีวีดาวเทียมออนไลน์ทุกคำพูดหวังมัดตัวคนถาม”ปุ” จิก “แม้ว” ควรเป็นสุภาพบุรุษ ชี้คนหนีคดีถือไม่สำนึก-ไม่ควรอภัยโทษ ด้าน”หมอตุลย์ย”ื่นค้านพ.ร.ฎ.ต่อกฤษฎีกาแล้ว
วานนี้ (17 พ.ย.) ที่รัฐสภา ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงกรณีที่ฝ่ายค้าย จะตั้งกระทู้ถามสดถึงการประชุมลับของคณะรัฐมนตรีท(ครม.) ที่ี่มีการพิจารณาร่างพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ขอพระราชทานอภัยโทษ ที่อาจมีเนื้อหาเอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ว่า ตนพยายามชี้แจงให้มากที่สุด แต่ว่าคงลงรายละเอียดไม่ได้ เพราะหากชี้แจงแล้วสุดท้ายบทสรุปไม่เป็นไปตามที่ตนชี้แจง ก็จะเกิดความเสียหายกับทุกภาคส่วน แต่ขอยืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้ไม่ทำอะไรที่ผิดกฎหมาย และไม่ทำอะไรเพื่อคนๆเดียวโดยเด็ดขาด กรอบกฎหมายเป็นอย่างไร ต้องเป็นไปตามนั้น แนวคิดและนโยบายของแต่ละรัฐบาลนั้น มีความแตกต่างกัน นโยบายของพรรคการเมืองก็แตกต่างกัน อย่างกรณีนโยบายการรับจำนำหรือประกันราคาข้าวก็เห็นแตกต่างกัน
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากพูดเช่นนี้เท่ากับว่าการคืนความเป็นธรรม หรือการพา พ.ต.ท.ทักษิณ กลับบ้าน เป็นนโยบายของรัฐบาลนี้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ขอไม่พูดรายละเอียด เพราะใน พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ได้มีการกำหนดหลักเกณฑ์วิธีการ ไม่ได้กำหนดตัวบุคคล หากมีกฎหมายแล้ว ก็ต้องประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา คงจะพูดก่อนไม่ได้ ขอให้ทุกฝ่ายใจเย็นๆ ส่วนการที่มีการวิจารณ์รัฐบาลกระทำระคายเบื้องพระยุคลบาทนั้น ตนขอไม่แสดงความเห็นเรื่องนี้ เพราะเป็นเรื่องไม่บังควร แต่ยืนยันว่ารัฐบาลทำภายใต้กรอบของกฎหมาย
0 0…เหลิม”อ้างทำถูกกฎหมายทุกขั้นตอน
ต่อข้อถามว่า ก่อนหน้านี้ ร.ต.อ.เฉลิม เคยออกเอกสารเกี่ยวกับขั้นตอนการขอพระราชทานอภัยโทษ ถึงขณะนี้ยังยืนยันขั้นตอนตามเอกสารเดิมหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ตนไม่เคยจัดทำเอกสารดังกล่าว คงเป็นความเข้าใจผิด อย่างไรก็ตามเอกสารดังกล่าว เป็นเพียงการรวบรวม พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯของปี 50 และปี 53มาบอกนักข่าว ไม่ใช่เป็นเอกสารของตน ซึ่งยอมรับว่าหลักการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ของทุกรัฐบาล ล้วนจะแตกต่างกัน เพราะมีแนวคิดที่ไม่เหมือนกัน บางรัฐบาลก ็เขียนกฎเกณฑ์อยู่เหนือกฎหมาย
สำหรับรัฐบาลชุดนี้ได้มีการตั้งคณะกรรมการมากว่า 20 คน ซึ่งไม่ใช่เป็นเรื่องที่รัฐบาลทำเอง เป็นเรื่องที่กระทรวงยุติธรรม เสนอเข้าสู่ที่ประชุมครม. เพื่อดำเนินการต่อ ซึ่งหาก ครม.อนุมัติแล้ว จะส่งไปให้คณะกรรมการกฤษฎีกา พิจารณาความถูกต้องอีกครั้ง หากกฤษฎีกาเห็นว่าไม่ผิดกฎหมาย ก็จะส่งเรื่องเพื่อนำทูลเกล้า ฯ ซึ่งต้องผ่านการพิจารณาขององคมนตรีอีกด้วย
เมื่อถามว่า เมื่อเป็นการเสนอเรื่องโดยกระทรวงยุติธรรม เหตุใดจึงบอกว่าไม่ใช่เรื่องของรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า อะไรก็ตามที่ไม่ผิดกฎหมาย ตนกล้าทำ อย่างไรก็ตามเรื่องนี้ยังไม่แล้วเสร็จ เมื่อถามย้ำว่ามีความกังวลหรือไม่ว่าเรื่องนี้จะกลายเป็นน้ำผึ้งหยดเดียว ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า น้ำผึ้งไม่ได้มีหยดเดียว แต่น้ำผึ้งมีเป็นขวด ตนเชื่อว่าไม่มีเรื่องอะไร พวกที่ไม่เข้าใจ ก็ชี้แจงเมื่อเรื่องเสร็จก็จะเรียบร้อยทั้งหมด ตอนนี้ยังไม่ถึงเวลาที่ต้องเปิดเผย เพราะเรื่องยังไม่แล้วเสร็จ
00…คุยจบดร.กฎหมายจึงรับผิดชอบ
ผู้สื่อข่าวถามถึงกรณีที่ ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ ในฐานะอดีต รมว.ยุติธรรม สมยรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ระบุว่าการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ไม่ถือเป็นความลับ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า นักการเมืองจะเห็นเหมือนกันได้อย่างไร  หากเห็นเหมือนกันตอนเลือกตั้งก็คงได้คะแนนเท่ากันไปแล้ว
เมื่อถามต่อว่า หากประเด็นเรื่องออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ไม่ใช่ความลับ แล้วมีเหตุผลใดท ี่ไม่สามารถเปิดเผยได้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า ถือเป็นเรื่องลับเพราะยังไม่แล้วเสร็จ การจะเป็นความลับหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคณะรัฐมนตรี ไม่มีอะไรพิเศษ บางคนสงสัยว่าเหตุใดตนต้องรับผิดชอบในเรื่องการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ นั้น เป็นเพราะตนจบดอกเตอร์ทางกฎหมาย ส่วนนายยงยุทธ วิชัยดิษฐ รองนายกฯ และ รมว.มหาดไทย ก็ชำนาญด้านรัฐศาสตร์ สำหรับนายกิตติรัตน์ ณ ระนอง รองนายกฯ และ รมว.พาณิชย์ ก็เชี่ยวชาญด้านเศรษฐศาสตร์ ซึ่งครั้งนี้อาจจะไม่ใช่กณรีพิเศษเพียงครั้งเดียว
ผู้สื่อข่าวถามอีกว่า ตามปกติการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ จะมีการแถลงข่าวต่อสื่อมวลชน ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า หากพูดอะไรไปก็เกรงว่าจะกระทบใจนักข่าว ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์(ปชป.)  พิจารณา 311 วาระ ในวันเดียวยังสามารถทำได้ และหากทำเหมือนกันทุกเรื่อง พรรคประชาธิปัตย์คงไม่แพ้เลือกตั้ง และพรรคเพื่อไทย(พท.) คงไม่ได้มาถึง 265 ที่นั่ง
ต่อข้อถามถึงความเป็นห่วงในฐานะคณะรัฐมนตรี ว่าจะเกิดความขัดแย้งในหมู่ประชาชน และมีการออกมาชุมนุมกันอีกครั้ง ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เชื่อว่าคงไม่มี อีกอย่างส่วนตัวไม่เคยมองโลกในแง่ร้าย ในเมื่อรัฐบาลทำตามกฎหมาย ปัญหาก็จะไม่เกิดขึ้น แต่หากเป็นเรื่องที่ทำผิดกฎหมายตนคงไม่เอาด้วย ส่วนการเคลื่อนไหวของนายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำกลุ่มคนรักอุดรที่จะมีการรวบรวมมวลชนนั้น ตนไม่ทราบ และไม่เคยเคลื่อนไหวกับกลุ่มคนเสื้อแดง จึงไม่รู้ว่าเป็นการระดมมวลชนแบบใด
00…ควันออกหูปัดตอบเจอสื่อต้อน
เมื่อถามว่า การถวายคำแนะนำถึงพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ในการรับรองของคณะรัฐมนตรีจะเป็นอย่างไร ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย เมื่อถามย้ำอีกว่า ในส่วนของความเหมาะสมและเหตุผลอ ที่อาจจะทำให้เกิดความขัดแย้งของบ้านเมืองอยู่ในขอบข่าย ที่ต้องนำมาพิจารณาหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ไม่มีอะไรขัดแย้ง ทุกอย่างเป็นไปตามกฎหมาย ส่วนที่มีการเคลื่อนไหวของสังคมออนไลน์ หรือกลุ่มต่างๆ เพื่อต่อต้านนั้น ถือเป็นสิทธิ สามารถทำได้ เพราะรัฐบาลในระบอบประชาธิปไตยต้องรับฟังความเห็นทุกภาคส่วน
เมื่อถามต่อว่า หากมีความมั่นใจว่าเป็นเรื่องที่ทำถูกกฎหมายแล้ว เหตุใดจึงไม่สามารถเปิดเผยได้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า “ยังไม่ถึงเวลาแม่คุณทูนหัว”
ผู้สื่อถามว่า หากทำเช่นนี้มองหรือไม่ว่าจะเป็นการกดดันองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวฯ ว่าจะต้องทำตามในสิ่งที่มีการถวายคำแนะนำ รองนายกฯ กล่าวตอบว่า “ผมไม่ตอบ เพราะหากยืนสัมภาษณ์ต่อไป คุณสมจิตร (นวเครือสุนทร ผู้สื่อข่าวช่อง 7 ซึ่งเป็นผู้ถาม) อาจจะเป็นผู้ที่ติดคุก”
สำหรับกรณีที่มีการวิจารณ์ว่าหลักเกณฑ์ใน พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ที่ออกในสมัย พ.ต.ท.ทักษิณ ก็ยังมีการระบุว่าผู้ที่ได้รับการอภัยโทษ ต้องมาอยู่ในสถานที่คุมขังก่อน นั้น ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เรื่องนี้ตนสามารถตอบได้ซ้ำไปซ้ำมาว่า จะทำได้ต้องอยู่ภายใต้กรอบของกฎหมาย รวมทั้งขอปฏิเสธด้วยว่าเหตุที่ไม่เปิดเผยเรื่องออกมาตอนนี้ ไม่ได้กังวลว่าสังคม จะออกมาต่อต้าน เพราะไม่มีความจริงใดท ี่จะปิดบังเป็นความลับได้ตลอด ส่วนใครจะออกมาต่อต้านก็ขอให้ต้านไป
ผู้สื่อข่าวถามว่า หากเกิดความขัดแย้งขึ้นในช่วงวันมหามงคล คณะรัฐมนตรีจะแสดงความรับผิดชอบหรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวตอบว่า “คุณสมจิตรเป็นนักข่าวมานาน ผมไม่อยากต่อว่า อะไรที่มันเปิดไม่ได้ ผมก็ยังไม่เปิด คุณถามผมไม่จนหรอก คำถามนี้เป็นสิ่งที่ไม่น่าถาม รู้สึกว่าคุณกล้าจริงๆเลย”
เมื่อถามอีกว่า คิดว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะได้กลับมาภายในปีนี้ ตามที่พรรคเพื่อไทยได้เคยหาเสียงไว้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า เป็นสิ่งที่ตนปราศรัยในช่วงเลือกตั้ง ที่เมื่อไปในพื้นที่ที่มีคนรัก พ.ต.ท.ทักษิณ หากไม่พูดถึง จะเป็นไปได้อย่างไร ส่วน พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้กลับมาหรือไม่ ตนไม่ทราบ เพราะว่า พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ยังไม่ออก
0…ฉุนโดนถามความรับผิดชอบหาเสียง
ผู้สื่อข่าวถามย้ำว่า หากพูดเช่นนี้แล้ว ความรับผิดชอบของนักการเมืองอ ในการปราศรัยหาเสียงอยู่ที่ใด ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม หลีกเลี่ยงที่จะตอบคำถาม โดยกล่าวถึงกรณีผู้เสียชีวิต 91 รายจากเหตุการณ์สลายการชุมนุมเมื่อเดือน เม.ย.-พ.ค.53 ในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ โดยอ้างว่า เรื่องนี้ยังไม่มีคนตายเลย เหตุใดจึงพยายาม
ผู้สื่อข่าวถามว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะได้มีโอกาสเข้าร่วมงานฉลองมงคลสมรสของ น.ส.พิณทองทา ชินวัตร บุตรสาวหรือไม่ ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวอย่างมีอารมณ์ว่า “แล้วคุณจะไปพาดพิงอะไรเรื่องครอบครัวคนอื่น ซึ่งผมคงตอบคำถามแทนไม่ได้ มีเคเบิลทีวีช่องไหน ขอให้นำคำพูดของคุณสมจิตรไปออกทุกคำพูดหน่อย”  เมื่อกล่าวจบ ร.ต.อ.เฉลิมได้เดินออกจากวงล้อมสื่อมวลชน โดยกล่าวทิ้งท้ายว่า ตนไม่เคยหนีนักข่าว เพราะเป็นคนชอบพูด แต่ที่ต้องไปวันนี้ เพราะกลัวมีคนติดคุก
ผู้สื่อข่าวรายงานในระหว่างการให้สัมภาษณ์นั้น บรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด และมีการตอบโต้กันไปมาระหว่าง ร.ต.อ.เฉลิม กับผู้สื่อข่าวอยู่ตลอดเวลา โดยเฉพาะคำถามถึงการเอื้อประโยชน์ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ในการออก พ.ร.ฎ.อภัยโทษฯ ครั้งนี้ รวมไปถึงประเด็นที่เกี่ยวกับการใช้พระราชอำนาจ ซึ่ง ร.ต.อ.เฉลิมได้พยายามหลีกเลี่ยง โดยอ้างว่าเป็นเรื่องที่ไม่สมควร และอาจเข้าข่ายการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ รวมไปถึงพยายามตักเตือนผู้สื่อข่าวว่า บางคำถาม มีความไม่เหมาะสม
0…”ปุ” แีคนหนีคดีถือไม่สำนึกไม่ควรอภัยโทษ
ที่รัฐสภา ร.ต.อ.ปุระชัย เปี่ยมสมบูรณ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรครักษ์สันติ กล่าวถึงกรณีทดังกล่าว ว่า ตนยังไม่เห็นรายละเอียด เรื่องนี้ จึงไม่สามารถพูดได้มากนัก แต่ถ้าเป็นการทำเพื่อเป็นบุญกุศลก ็ถือว่าเป็นเรื่องที่ดี กรณีนี้นั้นทาง ครม.สามารถถวายความคิดเห็น โดยไม่ต้องผ่านที่ประชุมสภาฯ แต่ในเรื่องดังกล่าว เป็นประเด็นที่กระทบกับคนหมู่มาก จึงน่าจะมีการเปิดเผยรายละเอียดและชี้แจงต่อประชาชนให้ทราบ และไม่น่าจะเป็นเรื่องที่ต้องปกปิดเป็นความลับแต่อย่างใด
ส่วนกรณีที่ ร.ต.อ.เฉลิม  ระบุว่าไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ เพราะเป็นความลับนั้น ตนไม่ทราบถึงการออกมาให้สัมภาษณ์เช่นนั้นของ ร.ต.อ.เฉลิม แต่ถ้าเรื่องนี้เป็นการทำเพื่อประโยชน์ของส่วนรวม ก็น่าจะมีการเปิดเผยได้ ด้วยหลักการแล้ว ต้องมีการพิจารณาเป็นกรณีๆ ไป หากจะมีการขอพระราชทานอภัยโทษ โดยที่ยังไม่ได้รับโทษ ก็ต้องเป็นการใช้ดุลพินิจ แต่ส่วนตัวคิดว่าเรื่องดังกล่าวต ้องทำแบบโปร่งใส ไม่หลบหนี เพราะหากยังหลบหนีก็ถือว่าไม่สำนึกผิด
“พ.ต.ท.ทักษิณเป็นบุคคลที่จบจากโรงเรียนนายร้อย ก็ควรที่จะเดินตามแบบของสุภาพบุรุษ ส่วนต่อจากนี้สังคมจะมีความขัดแย้งหรือไม่นั้น ผมไม่ทราบ แต่ส่วนตัวผมยึดหลักการว่า ผู้นำต้องเป็นแบบอย่างที่ดี”
00…มช.ชี้ใช้น้ำท่วมกลบกระแสอภัยโทษ
นายเอกมล สายจันทร์ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์และรัฐประศาสนศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เปิดเผยกรณีเดียวกัน  ว่า ถือเป็นความพยายามอย่างต่อเนื่อง ที่พรรคเพื่อไทยพยายามจะช่วยให้พ.ต.ท.ทักษิณ ได้กลับเข้ามาประเทศไทยอีกครั้งหนึ่ง และน่าจะเป็นส่วนหนึ่งของแนวคิดเรื่องการปรองดอง แต่ออกมาจากพรรคเพื่อไทยโดยตรง ไม่ได้มาจากหน่วยงานที่พยายามจะแก้ไขปัญหาเรื่องนี้
ส่วนเรื่องรายละเอียดที่ระบุว่ามีการตัดเนื้อหาของเดิมออก คือผู้ได้รับอภัยโทษจะต้องเป็นโทษที่ไม่เกี่ยวกับคดียาเสพติดและคดีทุจริต คอรัปชั่น และไม่มีการระบุถึงระยะเวลาการเข้ารับโทษ นั้น ตนมองว่าขณะนี้ ข้อมูลยังไม่ขัดเจน เพราะเป็นการประชุมลับ เรื่องที่เราได้รับทราบตอนนี้คนนำมาเผยแพร่ ระบุไว้แบบนั้น แต่หากร่างพ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ เป็นแบบนั้นจริง ก็คงเป็นที่ชัดเจนแล้วว่าเป็นการปรับเงื่อนไขให้เอื้อกับพ.ต.ท.ทักษิณ
“ผมว่าการที่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ไม่ได้เข้าร่วมประชุมครม.ในวันดังกล่าวท ี่มีวาระสำคัญเรื่องนี้ ก็เป็นเรื่องที่น่าผิดสังเกตแล้ว คงเพื่อไม่ให้เป็นการผูกมัดตัวเอง ส่วนการที่เลือกที่จะนำเรื่องร่างพ.ร.ฎ.ขอพระราชทานอภัยโทษ เข้าที่ประชุมครม.ในช่วงนี้ คิดว่าน่าจะอาศัย ช่วงสถานการณ์น้ำท่วมซึ่งประชาชน ชาวบ้าน กำลังได้รับความเดือดร้อน ไม่น่าจะสนใจเรื่องปัญหาการเมืองมากนัก ใช้สถานการณ์น้ำท่วมเป็นการกลบกระแส เพราะรู้ว่าหลายฝ่ายอาจจะไม่เห็นด้วย”
00…หมอตุลย์ยื่นค้านต่อกฤษฎีกา
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อเวลา 10.00 น. วันเดียวกัน นพ.ตุลย์ สิทธิสมวงศ์  ในฐานะผู้ประสานงานเครือข่ายพลเมืองอาสาปกป้องแผ่นดิน พร้อมคณะ ได้เดินทางไปยื่นหนังสือกับเลขาธิการคณะกรรมการกฤษฎีกา ที่สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อ “คัดค้านร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554” โดยมีนางสิรินันท์ ปานเสมศรี ผู้อำนวยการสำนักอำนวยการมารับหนังสือแทน
โดยหนังสือระบุตอนหนึ่งว่า “ตามที่ปรากฏเป็นข่าวทางสื่อมวลชน คณะรัฐมนตรีได้พิจารณาผ่านร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 เนื่องในวโรกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 84 พรรษาของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยมีการแก้ไขสาระสำคัญ ให้แตกต่าง จากพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษครั้งก่อนๆ (พ.ศ.2547 พ.ศ.2549 และพ.ศ.2553) ดังนี้
1.มาตรา 4 เดิมผู้ที่จะได้รับพระราชทานอภัยโทษต้องอยู่ในการควบคุมของทางราชการ แก้ไขเป็น ไม่ต้องถูกคุมขังอยู่ก็ได้รับพระราชทานอภัยโทษได้ 2.มาตรา 6 อาจมีการตัดภายใต้บังคับมาตรา 8 ออก และมาตรา 6 (1) แก้ไขจากเหลือโทษไม่เกิน 1 ปี เป็นเหลือโทษไม่เกิน 2 หรือ 3 ปี 3.บัญชีลักษณะความผิด ท้ายพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ จะมีการแก้ไขตัด (4) ความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปรามการทุจริตออก ทำให้ผู้ต้องโทษ ด้วยความผิดตามกฎหมาย ว่าด้วยการป้องกันการปราบปรามการทุจริต ไม่เข้าข่ายในบังคับของมาตรา 8″
“การแก้ไขทั้ง 3 ประเด็นดังกล่าว จะทำให้นักโทษเด็ดขาดที่กระทำความผิดตามกฎหมายว่าด้วยการป้องกันและปราบปราม การทุจริตที่ต้องโทษจำคุก 2-3 ปี และหลบหนีการคุมขังอยู่จะได้รับการพระราชทานอภัยโทษปล่อยตัว ตามมาตรา 6 ของร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 ซึ่งนักโทษเด็ดขาดทักษิณ ชินวัตร เป็นนักโทษเพียงคนเดียวที่เข้าข่ายดังกล่าว จึงถือว่าเป็นการแก้ไขเพิ่มเติมพระราชกฤษฎีกาฯเพื่อเอื้อประโยชน์ให้กับนัก โทษเด็ดขาดทักษิณ ชินวัตร แต่เพียงผู้เดียว”
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ภายหลังการยื่นหนังสือทีมงานเครือข่ายพลเมืองฯ ได้มีการเชิญชวนให้ประชาชนที่ร่วมเดินทางไปยื่นหนังสือคัดค้าน โดย นพ.ตุลย์ ระบุว่า ในวันพรุ่งนี้ (18 พ.ย.) จะมีการชุมนุมใหญ่ ที่สวนลุมพินี บริเวณลานพระรูปรัชกาลที่ 6 เพื่อคัดค้านการขอรับพระราชทานอภัยโทษ ให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตั้งแต่เวลา 16.00 น.เป็นต้นไป


พิมพ์ไทย
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง