บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

การเลือกตั้งในอนาคต โดย ดร.ไก่

  • เห็นหลายพรรคเริ่มนำเสนอนโยบายขายฝันกันใหญ่ ผมว่าจะมีก็แต่บ้านเราเนี่ยมั้งครับ ที่พรรคการเมืองนำเสนอนโยบายเหมือนขายขนมกัน พุ่งตรงไปที่กลุ่มเป้าหมาย ด้วยการ "ให้" เป็นตัวนำตัวทำคะแนน

    ทว่าจริงๆแล้ว พรรคการเมืองเขาควรจัดทำนโยบายกันเช่นไร? ควรมีกรอบ มีขีดจำกัด และจำต้องรับผิดชอบต่ิอสิ่งที่ได้นำเสนอนี้ไหม?
    ถ้า ผมเปลี่ยนได้ ผมจะบังคับให้พรรคการเมือง จะต้องจัดทำนโยบายหาเสียงของตน ให้อยู่ในกรอบ และให้สอดรับกับ "แนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ" ซึ่งบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญตั้งแต่ฉบับปี2540และ2550นี้
  •   ‎"แนวนโยบายพื้ยฐานแห่งรัฐ" จริงๆแล้วก็คือ การขีดเส้นให้ฝ่ายบริหารหรือฝ่ายการเมืองได้ดำเนินการพฒนาบ้านเมืองตามแนว ทางที่ว่าไว้ แต่ก็แปลกที่ผ่านมาฝ่ายการเมืองไม่เคยหยิบจับหรือทำตามหมวดนี้เลย เช่นนี้แล้วเมื่อเส้นที่ขีดไว้ แต่กลับไม่มีใครเห็น ใครใส่ใจ ต้นเหตุของการบริหารชาติบ้านเมืองอย่างมั่วซั้ว จะเกิดขึ้นได้ด้วยการผ่านการเลือกตั้งมาด้วยนโยบายที่มั่วซั้วนี้เช่นกัน


  • เคยอ่านเจอคำพูดของนายพล..คนนึง ของสหรัฐ กล่าวเตือน พลเมืองของเขาว่า ผู้มาหาเสียงสามารถพูด อะไรได้เรื่อยเปื่อย แม้แต่ จะสร้างสะพาน ข้ามน้ำ ในที่ที่ไม่มี แหล่งน้ำ สร้างถนน บนทุ่งหญ้าที่สัตว์อาศัย อยู่ ก็ยังได้ แต่หลังจากเลือกมาแล้ว ก็เป็น เรื่อง ของ ปชช ที่จะต้อง มาคิดกันเอง ว่า เลือก คนพวกนี้มาได้อย่างไร ....


  • เช่นนี้แล้ว สิ่งที่เราจะได้เห็นกันในช่
    วงการรณรงค์หาเสียงนี้ (หากมีการเปลี่ยนแปลง)ก็คือ
    1.นโยบายหาจะต้องชอบด้วยกฎหมาย อยู่ในกรอบของการพัฒนาชาติบ้านเมือง ภายใต้บทบัญญัติแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
  • 2.เรา จะได้เห็นรายชื่อส.ส.บัญชีรายชื่อทั้งหมด ผนวกกับรายชื่อของว่าที่ ผู้นำประเทศและคณะรัฐมนตรีเงาไม่ต่ำกว่า 18 ตำแหน่ง จากพรรคการเมืองแต่ละพรรคกันล่วงหน้า (ห้ามแก้ห้ามเปลี่ยนกันภายหลัง)
  • 3.ว่าที่คณะรัฐมนตรีนี้ จะต้องมีคุณสมบัติไม่น้อยไปกว่าที่ กพ.กำหนดไว้สำหรับตำแหน่งผู้บริหารสูงสุด สำหรับหน่วยงานที่ตนกำกับดูแลอยู่ และ
    4.จำนวน ของส.สบัญชีรายชื่อ ที่แต่ละพรรคจะได้นั้น (หากคะแนนถึงเกณฑ์)จะมีจำนวนที่เท่าๆกัน โดยไม่เกิน2/3ของจำนวน300คน อีก1/3จะเป็นส.ส.ที่สรรหา จากทุกสาขาอาชีพของภาคประชาชน เข้าร่วมกันทำหน้าที่ในสภานิติบัญญัติ เช่นนี้แล้วตัวแปรที่สำคัญ ว่าใครจะได้นั่งเก้าอี้ฝ่ายบริหาร จะมีส.สสรรหา เป็นตัวแปรที่สำคัญสุดในการให้การสนับสนุน
  • และ ที่สำคัญก็คือ พรรคเล็กพรรคน้อยจะหายหมด จะเหลือก็แต่พรรคใหญ่ในอดีต2พรรค ที่จะรับเอาพวกเดียวกับตนเข้าไว้ เช่นนี้แล้วจะเปิดทางให้มีพรรคการเมืองน้ำใหม่ขึ้นมาอีก1พรรค เพื่อมาต่อกรกับพรรคเก่า หากพรรคกมม.ใจเย็นๆ สร้างพรรคให้เป็นปึกแผ่น ให้สามารถมีและทำตามข้อกำหนดใหม่นี้ได้ โอกาสที่จะเป็นทางเลือกใหม่ ที่โดดเด่นย่อมเป็นไปได้ และหากผนวกกับอีก100เสียงจากภาคประชาชน ที่รออยู่ในสภาแล้ว การเมืองในอนาคตจะเปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ในเมื่อเราล้มเราโยนการเมืองเก่านั้นทิ้งไม่ได้ เส้นทางนี้ก็จะเปิดโอกาสให้มี การเมืองน้ำดีเข้ามาได้ "แบบในระบบ" และจะมีวัฒนธรรมทางการเมืองที่ดี เป็นตัวค้ำชูให้ประชาชนได้มองเห็นและสนับสนุน นะครับ

อย่าให้คะแนนของเราถูกนักการเมืองเอาไปอ้างเพื่อทำร้ายประเทศชาติ โดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์



 นักการเมืองพวกหนึ่งเผาบ้านเผาเมือง อีกพวกหนึ่งปล่อยให้โจรเผาบ้านเผาเมืองแล้วยังสนับสนุนให้ประกันตัวคนเผาบ้านเผาเมือง
     
       พวกหนึ่งโกงชาติโกงแผ่นดินรวบอำนาจเป็นของคนในครอบครัว อีกพวกหนึ่งก็แบ่งสัมปทานให้พวกพ้องโกงชาติโกงแผ่นดิน
     
       พวกหนึ่งขายชาติยกแผ่นดินไทยให้เป็นของกัมพูชา อีกพวกหนึ่งก็ปล่อยให้กัมพูชายึดครองแผ่นดินไทยและทำร้ายคนไทย
     
       พวกไหนมาเป็นรัฐบาลเข้ามาก็ลุแก่อำนาจจนมีประชาชนต้องออกมาชุมนุมเหมือนกัน
     
       ทำไมคะแนนเสียงของเราต้องลงให้กับคนเหล่านี้มาทำร้ายและทำบาปให้กับประเทศชาติ !?
     
       เพราะระบบที่ล้มเหลว ไม่มีใครเป็นคนดีจริงให้เลือก และทำให้นักการเมืองในระบบที่มีอยู่มีเพียงแค่ 2 ประเภทเท่านั้น คือ
     
       1. เป็นคนเลวชั่วช้าโกงบ้านกินเมือง
     
       2. เหมือนเป็นคนดีแต่ร่วมมือและยกมือให้คนเลวปกครองบ้านเมือง (ซึ่งก็เลวเหมือนกัน)
     
       ตัวอย่างที่เป็นจริงและเห็นชัดที่สุด คือ โพลสำรวจออกมาในการอภิปรายไม่ไว้วางใจรัฐมนตรีคนใดมากที่สุด รัฐมนตรีคนนั้นกลับได้รับคะแนนเสียงไว้วางใจในสภาผู้แทนราษฎรมากที่สุด (ทั้งจากนักการเมืองที่ชั่วและนักการเมืองที่ประชาชนคิดว่าดี)
     
       นั่นหมายความว่านักการเมืองที่โกงชาติกินเมืองมากที่สุดก็จะเป็นคนรวยที่สุดที่จะหาเงินมาสนับสนุนพรรคการเมืองจึงควบคุมเสียงในสภาผู้แทนราษฎรได้ ดังนั้นคนโกงชาติกินเมืองจึงไม่เคยถูกปรับออกจากคณะรัฐมนตรี
     
       เพราะนักการเมืองส่วนใหญ่ที่เข้าในสภานั้นต่างซื้อเสียงกันอย่างมโหฬารแต่คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) สามารถจับทุจริตเลือกตั้งเพียงแค่ไม่กี่คดี ในขณะเดียวกัน คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริต (ปปช.) มีคดีท่วมท้น จนคนที่ถูกจับทุจริตได้มีน้อยมาก นักการเมืองจึงย่ามใจและเหิมเกริมมากขึ้นทุกวัน
     
       ส่วนวาทกรรมที่ในช่วงแรกออกมาว่าไม่เลือกเราเขามาแน่ ดูเหมือนจะเป็นกระสุนด้านในการจะต่อต้านกระแสที่ประชาชนจะไม่เลือกใคร จนในช่วงหลังๆนักการเมืองฝ่ายรัฐบาล นักวิชาการ และสื่อมวลชนฝ่ายรัฐบาลพยายามที่จะประดิษฐ์วาทกรรมใหม่ล่าสุดว่า
     
        “เลือกคนเลวน้อย ดีกว่าเลือกคนเลวมาก”
     
       นี่คือวาทกรรมที่ถือว่าจนมุมแล้วในทางการเมืองว่านักการเมืองเลวทั้งหมด และเป็นวาทกรรมที่มีเจตนาข่มขืนสิทธิ์ของประชาชนให้ไปเลือกตัวเองทั้งๆที่ยอมรับว่าเป็นคนเลว
     
       หลักการที่ถูกต้องในการเลือกตั้งก็คือ
     
        “เลือกคนดีให้มาปกครองบ้านเมือง และป้องกันมิให้คนไม่ดีมีอำนาจ”
     
       ไม่ใช่เลือกคนกลุ่มหนึ่งที่เลวน้อยกว่าคนอีกกลุ่มหนึ่ง เพราะไม่ว่าเลวมากหรือเลวน้อยก็คือเลวเหมือนกัน เพราะคนเลวต่างไปทำบาปและทำร้ายประเทศชาติเหมือนกัน ทำให้ประชาชนต้องเดือดร้อนเหมือนกัน เพียงแต่คนที่เลวเหล่านั้นต่างก็กล่าวหาฝ่ายตรงกันข้ามว่าเลวกว่าพวกตัวเองกันทั้งสิ้น
     
       อุปมาอุปมัยเหมือน มีอาหารอยู่ 2 จาน จานหนึ่งเป็น “ยาพิษ” อีกจานหนึ่งเป็น “เชื้อโรค” บอกว่าประชาธิปไตยต้องเลือกกินเชื้อโรคเพราะเลวน้อยกว่ายาพิษ ผู้ไปใช้สิทธิ์โหวตโน หรือ กากบาท X ลงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน คือคนประเภทที่ขอเลือกไม่กินจานไหนเลยไม่ว่ายาพิษ หรือ เชื้อโรค แล้วเอาจานไปล้างหรือเปลี่ยนจานใหม่ แล้วไปทำอาหารจานใหม่ที่อร่อย สะอาด และเป็นประโยชน์ต่อร่างกาย
     
       นักการเมืองเลวทรามต่ำช้าหากไม่มีความชอบธรรม แม้ว่าจะชนะเลือกตั้งได้เสียงข้างมาก
       ในสภาผู้แทนราษฎรก็ตาม ก็ไม่สามารถอยู่ได้เพราะประชาชนก็จะต้องออกมาชุมนุมประท้วงขับไล่อยู่ดี ดังนั้นการที่ประชาชนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งและกากบาท X ไม่เลือกใครมากๆ จะเป็นแรงกกดดันในการควบคุมพฤติกรรมของนักการเมืองได้อย่างแน่นอน
     
       ถ้ารู้ว่านักการเมืองเลว และระบบการเมืองที่เอื้อแต่นักการเมืองเลวแล้ว การหย่อนบัตรเลือกใครก็คือความพ่ายแพ้ยอมจำนนต่อระบบ ที่จะทำให้หมดโอกาสปฏิรูปการเมือง
     
       เพราะการหย่อนบัตรเลือกใครนั้น แสดงว่าเป็น “คะแนนที่ยอมจำนนต่อระบบที่เป็นอยู่” ผลก็คือคะแนนของเราจะถูกนำไปอ้างจากรัฐบาลในการทำร้ายและทำบาปให้กับประเทศ แต่หากคะแนนของเราอยู่ในเสียงข้างน้อย นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลจะอ้างว่าเสียงที่แพ้ต้องยอมจำนนให้รัฐบาลทำร้ายประเทศไทยอย่างไรก็ได้ ทำให้เราหมดโอกาสที่จะไปปฏิรูปการเมือง
     
       แต่ถ้าเราไปใช้สิทธิ์ โหวตโน หรือ กากบาท X ลงในช่องไม่ประสงค์จะลงคะแนน ก็คือ “การสงวนสิทธิ์คะแนนเสียงของประชาชน” ที่ไม่ยอมจำนนกับระบบ นักการเมืองฝ่ายรัฐบาลที่ชนะการเลือกตั้งแล้วจะไปทำร้ายประเทศชาติก็ถือว่าคะแนนเหล่านั้นไม่ได้มาจากเรา นักการเมืองฝ่ายค้านที่แพ้ในระบบก็ไม่ได้มาจากเราเช่นกัน ดังนั้นเสียงที่ไม่หย่อนบัตรเลือกใครจึงมีคุณค่าตลอดเวลาเพราะยังไม่ให้นักการเมืองฝ่ายไหนเลย เมื่อเป็นเสียงที่ไม่ยอมจำนนต่อระบบจึงเป็นเสียงที่มีสิทธิ์เรียกร้องให้เกิดการเปลี่ยนแปลงและการปฏิรูปทางการเมืองเพื่อยุติปัญหาความขัดแย้งทางการเมืองในรอบหลายปีที่ผ่านมา
     
       ดังนั้นคนไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง แต่กากบาท X ไม่เลือกใคร ได้มากกว่าที่คุณคิด คือ
     
       1. ได้กับคนที่หย่อนบัตรแล้ว โหวตโน หรือ กากบาท ในช่อง “ไม่ประสงค์ลงคะแนน” ว่า
       คะแนนเสียงของเราไม่ถูกนำไปอ้างโดยนักการเมืองเพื่อไปทำร้ายและทำบาปประเทศชาติ
     
       2. คะแนนโหวตโน หรือ ไม่เลือกใคร คือการส่งสัญญาณให้โอกาสนักการเมือง
       ต้องยอมให้มีการปฏิรูปการเมือง เพื่อให้คะแนนที่ไม่เลือกใครสามารถกลับเข้าสู่ระบบได้ คะแนนที่ไม่เลือกใครจึงเป็นทั้งแรงกดดันและแรงจูงใจในเวลาเดียวกันในการควบคุมพฤติกรรมนักการเมืองในระบบที่ล้มเหลว คะแนนเหล่านี้หากมีการรวมตัวกันก็จะเข้าชื่อกันแก้ไขกฎหมายเพื่อการปฏิรูปประเทศได้ หรือเป็นแรงสนับสนุนให้องค์กรที่ศึกษาเรื่องการปฏิรูปการเมืองสามารถเดินหน้าเปลี่ยนแปลงระบบให้ดีขึ้นได้ และเป็นแรงกดดันให้นักการเมืองต้องปฏิรูปการเมืองได้
     
       พระราชบัญญัติประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรและการ
       ได้มาซึ่งสมาชิกวุฒิสภา พ.ศ. 2550 ระบุไว้ว่า
     
       มาตรา 67 การลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในช่องทำเครื่องหมายของหมายเลขผู้สมัครหรือพรรคการเมืองในบัตรเลือกตั้ง และในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายกากบาทในช่องทำเครื่องหมายไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกตั้งในบัตรเลือกตั้ง
     
       และการที่กฎหมายประกอบการเลือกตั้งบัญญัติสิทธิของประชาชนเอาไว้ตามมาตรา 67 ดังนั้น จึงชี้ช่องให้เห็นว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้อง “จำนน” ต่อนักการเมือง แต่ยังมีช่องทาง โหวตโน หรือการกาช่องไม่เลือกใคร เป็น “สิทธิอันชอบธรรมของประชาชน” ในระบอบประชาธิปไตย
     
       นอกจากนั้นมาตรา 72 ของรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2550 บัญญัติไว้ว่า บุคคล “มีหน้าที่ไปใช้สิทธิเลือกตั้ง” บุคคลซึ่งไปใช้สิทธิหรือไม่ไปใช้สิทธิโดยไม่แจ้งเหตุอันควรที่ทำให้ไม่ไปใช้สิทธิได้ย่อมได้รับสิทธิตามที่กฎหมายกำหนด
     
       เพื่อรักษาสิทธิ์ของเราอย่ายอมจำนนกับนักการเมือง ทุกคนต้องออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง! แต่กากบาท X ลงในช่องไม่ประสงค์จะเลือกใคร (Vote No) แล้วใช้พลังนี้มาร่วมกันปฏิรูปการเมือง เพื่อสร้างระบบที่ดีกว่านี้เพื่อเอาคนดีมาทำงานให้ชาติบ้านเมือง

ศึกต่างชาติชิงแผ่นดินไทย โดย โสภณ องการณ์

   เครียดกันมานาน สาหัสกับปัญหาสารพัดบนแผ่นดินไทย เป็นผลงานของนักการเมืองกังฉินขายชาติ ข้าราชการไร้จิตสำนึก ละเว้นหน้าที่ความรับผิดชอบ ชาวบ้านส่วนหนึ่งห่วงการทำมาหากิน คิดแต่ว่า “บ้านเมืองไม่ใช่ของกูคนเดียว”
      
       เหมือนใครหว่า เคยพร่ำบนจอทีวีเช้าวันอาทิตย์! “ช่างแม่ม..ประเทศไทย” นั่นไง! มีทัศนคติแบบนี้ สังคมไทยจึงเสื่อมโทรม ไกล้เคียงสภาพอยุธยาแตก! นับตั้งแต่ตั้งกรุงรัตนโกสินทร์ เมืองไทยเข้าสู่ยุคใหม่ พัฒนาเชิงด้อยๆ ติดกับในกระแสทุนนิยม พร้อมกับการเมืองน้ำเน่าเข้มข้น เป็นปุ๋ยอย่างดีสำหรับบ่มเพาะนักการเมืองกังฉินสืบทอดโคตรเหง้าความชั่วร้าย ผ่านทายาทอสุรหลายรุ่น
      
       แผ่นดินไทยเป็นเหมือนคอกม้าอารี ใครทำอะไรตามใจคือไทยแท้ ฝรั่งเรียกว่า “ประเทศไม่เป็นไร” อาจเป็นเพราะใช้แนวคิดแบบปล่อยวางเช่นนี้ ทำให้พวกต่างด้าว ท้าวต่างแดนได้ใจ เข้ามาทำมาหากินทุกระดับ ตั้งแต่ขอทาน พ่อค้า ข้าราชการ จนถึงผู้นำประเทศ! ฮือฮาเรื่องคนต่างด้าวเป็นผู้นำรัฐบาลไทย
      
       ยุคนี้ยังมีประเด็นคนต่างชาติเป็นนายกฯ สร้างมิติ ปัญหาพิสดาร ทำให้คนไทยหัวร่อมิออก ร่ำไห้มิได้ นั่งกลอกตา ส่ายหัว มองไม่เห็นอนาคต!
      
       มีคนตั้งข้อสงสัยว่าทำไม “มาร์ค โพเดียมเลี่ยมทอง” ไม่แสดงออกให้เห็นความรักชาติไทยอย่างเข้มข้น ขาดแนวคิด ค่านิยม อุปนิสัยแบบไทยๆ
      
       ไม่ซึ้งคำว่า “ลูกผู้ชาย” และ “คนใจนักเลง” หรือ “คนใจถึง” เพราะใช้ชีวิตในหอพัก มีกฎระเบียบเข้มงวด ขาดประสบการณ์ทดสอบความเป็นนักสู้! ไม่เคยท้า หรือไม่รับคำท้าใคร ไปชกต่อยหน้าส้วมหลังโรงเรียนเหมือนเด็กไทย อ๊ะป่าว!
      
       เด็กไทยเรียนรู้ศิลปะมวยไทยแบบเร่งรัดจากมวยวัดเพราะ “ใจถึง” ไม่ยอมให้ใครหยามน้ำหน้าว่าแหย “หน้าตัวเมีย” อุ๊บส์!! คำนี้ต้องห้าม แม่ยกจะกรี๊ดๆ!
      
       ถูกสรุปว่าเพราะความรู้สึกเป็นไทยจาง ไทยไม่ใช่แผ่นดินเกิด พบปะชาวชนบทออกท่าทางเคอะเขิน ผูกผ้าขาวม้ายังดูตลก! แต่มั่นใจถ้าได้ใส่เสื้อสีขาวแขนยาว กางเกงสแล็คสีดำ! ชุดเดียวใช้ลุยน้ำ ดูปัญหาภัยแล้ง ยืนบนโพเดียม ฮ่า!
      
       เติบโตในสังคมไร้เพื่อนคนไทย จึงแฝงแนวคิดฝรั่ง! เมื่อได้แหวนทองเหลืองยายเนียมยังร้องกรี๊ด! เห่อมั่กๆ! ใช้เป็นช่องทางตีกินคะแนนการเมืองได้สบาย
      
       เมื่อไร้วิญญาณนักสู้ นักลุยแบบคนไทยใจถึงพึ่งได้ เจอฮุนเซน ผู้นำเขมรทำตัวเป็นนักเลงถ่อย กุ๊ยบ้านนอกตะคอกใส่ ย่อมขวัญหนีดีฝ่อตามประสาเด็กหอพัก
      
       ทำไมรักชาติไทยน้อยจัง? แอบเก็บสัญชาติอังกฤษเผื่อไว้กรณีภัยมาหรือจ๊ะ? นั่นเป็นคำถามที่ทั่นตอบอ้อมแอ้ม หลังจากโดน “ตู่แดง” ไล่บี้จนมุมในสภาฯ
      
       ทำไมเวลาไปไหน เจอพวกเสื้อแดง ชอบซ่อนลูกตาดำ? นี่เป็นอีกคำถาม!
      
       อีกไม่กี่วัน หลังจากประกาศยุบสภาฯ จะได้ตำแหน่งรักษาการนายกฯ เตรียมเข้าสู่มหกรรมเลือกตั้ง นักเสนอขายตัวให้ชาวบ้านจะทุ่มเงินแข่งกันซื้อเสียง มีแผ่นดินไทยเป็นเดิมพัน! ถ้านำพรรคแพ้ ศึกซื้อเสียง จะเป็นอดีตนายกฯ ทันที!
      
       สถานการณ์อาจเลวร้ายถึงขั้นต้องควบตำแหน่งอดีตหัวหน้าพรรค! ยิ่งถ้า ไทยเสียดินแดนให้เขมรต่ำดำดิน ฮุนเซนหัวร่อเอิ๊กอ๊าก ชนะเด็กศิษย์เก่าอีตั้นและอ๊อกฟอร์ด มีหวังโดนคนไทยขับไล่ให้ไปหาโพเดียมในอังกฤษ แผ่นดินเกิดแน่ๆ
      
       ช่วงนี้เผชิญกระแสรณรงค์ “ไม่เลือกใคร” ก็เลยปิ๊งแนวคิดใหม่! “อย่าโหวตโนให้เสียของ เลือกพรรคเลวน้อยที่สุดก็แล้วกันนะจ๊ะ” ฮ่า! เป็นฝ่ายค้าน เลวน้อย เพราะไม่มีโอกาสได้โกงคำโต หลังจาก 2 ปี ทำให้ “ทักษิณ” คนหนีคุกดูดีขึ้นเยอะ
      
       ผลงานประชุม ครม. กับพรรคร่วมรับประทานวันสุดท้าย ใช้เวลา 15 ชั่วโมง แบ่งสันปันส่วนงบประมาณ เงินภาษีชาวบ้าน 1 แสนล้านบาท เอาไปเขมือบ
      
       วันเดียวกันสภาฯ มีปัญหาไม่ครบองค์ประชุมจนถึงนัดสุดท้าย ก่อนตกงาน! ขี้เกียจสันหลังยาวแบบนี้ จะผลาญเงินหมื่นล้านบาทสร้างสภาฯ ใหม่ ตั้งระหว่าง “บางกระบือ” กับ “ซ่องกะหรี่ท่าเขียวไข่กา” หาพระแสงด้ามหักทำไม
      
       จากนี้ไปคนไทยเจ้าของแผ่นดินจะได้รู้เห็นความเข้มข้นของศึกชิงแผ่นดินไทยโดย คนต่างชาติ เปิดศึก 3 ฝ่าย! ไม่ว่าฝ่ายใดชนะ คนไทยมีแต่เสียกับเสีย
      
       ฝ่ายแรกยังกุมอำนาจ ขาสั่นยังแสร้งมั่นใจ! ถูกมองว่าเป็นคนอังกฤษ ใช้อภิสิทธิ์ตั้งบังเกอร์หน้าบ้าน รักษาความปลอดภัยให้ครอบครัว! สวมหัวโขนแบบใหม่ทำด้วยถุงยางอนามัย! เป็นผู้นำกลุ่มร่วมรับประทานนิยมหัวคิว 30 เปอร์เซ็นต์
      
       ฝ่ายท้าชิงเป็นชาวมอนเตเนโกร นำขบวนการเสื้อแดงและพรรคเพื่อคนหนีคุกเมืองไทย โฟนอินถี่ยิบ สัญญาลมๆ แล้งๆ หลอกชาวบ้านในศึกแข่งกันซื้อเสียง! เคยปลุกระดมเสื้อแดง เสื้อดำ ฆ่าทหาร ปล้นร้านค้า เผาบ้าน เผาเมือง 2 รอบ!
      
       ทั้ง 2 ฝ่ายมีกลุ่มร่วมรับประทาน เตรียมย้ายค่าย หักหลังร่วมขบวนกังฉิน!
      
       ฝ่ายที่ 3 เป็นเขมรฮุนเซน มีผลประโยชน์แฝงเร้นกับอีก 2 ก๊วน! หลายชาติมหาอำนาจหนุนหลัง! ตีกิน ฆ่าทหาร ชาวบ้านไทย หวังฮุบแผ่นดินแนวชายแดน เดิมพันคือบ่อน้ำมัน ก๊าซธรรมชาติในอ่าวไทย! มีแนวร่วมเป็นเทือก
      
       ฮุนเซนเป็นนักสู้แนวหมาบ้ากัดไม่ปล่อย งับคนอังกฤษได้ก็ลากไปขย้ำที่ยูเอ็น อาเซียน อินโดนีเซีย! ฝังเขี้ยวจมลากไปขึ้นศาลโลก จากนั้นกะฝังให้จมบ้อง
      
       ใครจะชนะศึก ระหว่างอังกฤษ-มอนเตเนโกร-เขมร! พระเจ้าช่วยกล้วยทอดประเทศไทยด้วย! แต่คนไทยมีทางเลือกเดียวคือ “ไม่เลือกใคร” จริงๆ นิ! อิอิอิ!!!

vote no โดย ช.ช้าง

หลังจากนายกรัฐมนตรี อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ประกาศยุบสภาล่วงหน้าก็ถือว่าเข้าสู่โหมดรอเลือกตั้งกันทันที ในห้วงที่ทุกพรรคการเมือง ต่างเตรียมตัวสู้ศึกเลือกตั้งกันอย่างคึกคัก ทั้งการย้ายพรรค การตั้งพรรคการเมืองใหม่ การประกาศจับขั้วทางการเมือง เพื่อผนึกกำลังเป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาล แต่ในขณะเดียวกันก็มีความเคลื่อนไหวสอดรับกับเทศกาลหาเสียง แบบคู่ขนาดด้วยการออกมาจุดประเด็น ?โหวตโน? เพื่อเป็นทางเลือกให้กับประชนที่เบื่อหน่ายการเมืองน้ำเน่า มีแต่โกงกิน

แม้ ว่าเบื้องลึก เบื้องหลัง ของการออกมาการรณรงค์ โหวตโน จะถูกจุดประเด็นมาจากการเคลื่อนไหวของกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่ยังหาข้อสรุปไม่ลงตัวกับพรรคการเมืองใหม่ ว่าจะส่งผู้สมัครลงสู้ศึกเลือกตั้งเที่ยวนี้หรือไม่ แต่ประเด็นนี้ก็ถูกจุดติด และส่งผลกระทบต่อพรรคประชาธิปัตย์ และพรรคเพื่อไทยทันที

นั่นเป็นเพราะว่า ประเด็น โหวตโน ถือเป็นอำนาจอีกอย่างหนึ่งในมือของประชาชน ที่ไม่ต้องการ การเมืองน้ำเน่า และไม่ผิดระบอบประชาธิปไตย เพราะประชาชนก็ไปใช้สิทธิ์เลือกตั้งตามหน้าที่ของพลเมืองที่ดี เพียงแต่ใช้สิทธิ์กาช่อง "ไม่เลือกใคร" หรือ พรรคการเมืองได พรรคการเมืองหนึ่งเท่านั้น ที่ไม่ประสงค์ให้ เสือ สิงห์ กระทิงแรด ปลาไหล ห้อยโหน เข้ามารุ้มทึ้งประเทศไทยในยามที่เกิดวิกฤติรอบด้าน

หาก สำรวจอารมณ์ของประชาชนยามนี้ ต้องยอมรับว่า มีจำนวนไม่น้อยรู้สึกเบื่อหน่ายกับการเมือง และมีความตั้งใจจะโหวตโนจริง เพื่อทำให้เกิดสูญากาศทางการเมือง และเข้าเงื่อนไขรัฐธรรมนูญมาตรา 7 ขอนายกรัฐมนตรีพระราชทานเพื่อเข้ามาแก้ไขกฎต่างๆให้ภาคประชาชนได้มีแสงสว่าง ทางการเมืองให้การเมืองเป็นการเมืองที่ทำเพื่อประโยชน์ของคนในชาติอย่างแท้ จริง

ดังนั้นการ โหวตโน จึงเป็นวิถีประชาธิปไตยที่สามารถยอมรับได้ ตามกติกาทางการเมือง ภายใต้รัฐธรรมนูญมาตรา69
นับ จากนี้เราจะเริ่มเห็นทั้งพรรคประชาธิปัตย์ และ พรรคเพื่อไทย จะงัดทุกกลยุทธ์ขึ้นมาต่อสู้ กับฝ่ายที่ออกมารณรงค์ โหวตโน เพื่อไม่ให้ถูกตบหน้าทางการเมืองของเหล่าบรรดานักเลือกตั้งรวมถึงปกป้องช่อง ทางหารายได้อย่างเป็นกอบเป็นกำของพรรคพวกตน สุดท้ายแล้วผลจะออกมาอย่างไรก็ขึ้นอยู่กับ ประชาชนอย่เราเท่านั้นที่จะเป็นผู้กำหนดการเมืองให้กับประเทศไทยของเรา

รู้สึกอย่างไรกันบ้างครับ สำหรับแนวทาง vote no แปลกใจกันมั้ยครับ แนวทางที่พันธมิตรเสนอออกมา ตอนแรกก็สับสน no vote กับ vote no ก็คงสับสันกันเยอะจึงมีการออกมาพูดถึงประเด็นนี้จนเข้าใจกัน no vote คือไม่ไปเลือกเลย นอนหลับทับสิทธิ์ แต่ vote. no คือไปใช้สิทธิ์แต่ไม่เลือกใครเลย ผมก็ไม่รู้เหตุผลอะไรของเค้ากันหรอก ผมแค่อยากไปใช้อำนาจที่มีทำอะไรให้นักการเมืองเดิมๆ รู้ไปเลยว่า " กุไม่เอาพวกเมิงแล้ว "

        ผมให้เต็มร้อยเลยครับ กับแนวทางนี้ เพราะ ยอมรับตามตรง ตัวเลือกที่มีให้เลือกนี่ ทำใจไม่ได้ ที่ผ่านมาต้องเลือกอีกฝ่ายเพื่อกันอีกฝ่าย และคนส่วนมากยังไม่ได้มองแนวเดียวกันจึงต้องเลือกอีกฝ่ายเพื่อค้านอีกฝ่าย แบบจำยอม แต่ตอนนี้โอกาสมาแล้ว ผมเชื่อว่า ทุกคนไม่ว่าเชียร์ข้างใดพรรคใด ก็คงรู้สึกเบื่อในใจ เพราะทำอะไรไม่ได้ ต้องรอมีคนคิดเหมือนกันเยอะๆถึงจะกล้ากัน ทั้งๆที่คิดเหมือนกันแท้ๆ แต่ไม่มีศูนย์กลางความรู้สึกของผมทางการเมืองปัจจุบันนี้นะ เหมือนเราโดนหลอกโดยละครที่แสดงนำโดยนักการเมือง เดี๋ยวทะเลาะกันแทบจะฆ่ากันตาย ด่ากันแบบ ไม่อาจอยู่ร่วมโลก บทจะดี ก็ชมกันแทบจะลอยละล่อง ขนาดกรณีเดียวกันสมัยก่อนมันด่าสมัยนี้ยังชมกันซะได้ ผมจึงรู้สึกเราเนี่ยถูกหลอกครับ เพราะ ใจพวกนี้เค้าคิดแค่ ภาคการเมือง กับ ภาคประชาชน สังเกตง่ายๆ ถ้ามีกรณีอะไรที่อีกฝ่ายทำไม่ถูก เกลียดกันให้ตายก็ไม่กล้าเอาออกมาให้ประชาชนรู้ มันก็ต้องกันไว้ให้เผื่อ พรรคมันได้เป็นรัฐบาล มันก็โกงมั่ง เราจึงต้องรู้ตัว ลองร่วมกันดูซักที เอาภาคประชาชนของเราเนี่ย ไปสู้กับพวกมัน เอาให้สิ้นซาก ไม่งั้นประเทศเราวอดวายแน่ ถามจริงๆ ในใจลึกๆแล้ว เรารู้มั้ยว่า นักการเมืองทุจริต รู้ เรารู้ และก็รู้ด้วยว่า มันก็โกงทุกพรรค ความขัดแย้งของพวกเราก็มาจากพวกนี้ เราทะเลาะกันเองมั้ย ไม่เลย มันก็แค่เอาให้เราหลง ให้เราขัดกันเอง มันก็พลัดกันโกง แล้ว เราได้อะไร มีแต่เสียกับเสีย แล้วพอถึงเวลาที่เรามีอำนาจเราจะเอาอำนาจเราไปเลือกพวกนี้มาสร้างปัญหาให้ เราทำไม ผมว่าครั้งนี้เหมาะที่สุดแล้วทีเราจะไปใช้อำนาจเราตัดสินพวกนี้โดยพร้อม เพรียงกัน ผมไม่รู้หรอกนะว่า โหวต โน แล้วจะมีผลอะไรตามมา จะมีอะไรเปลี่ยนแปลง แต่ต้องยอมรับ เพราะช่องทางอื่นๆ เราได้ลองกันมาหมดแล้ว ปฏิวัติก็แล้ว เลือกข้างนั้น ข้างนี้ก็แล้ว ส่วนไอ้เล็กๆไม่ต้องนับ มันย้ายไปได้หมดขอให้ได้เข้าไปโกง การ vote no จึงเป็นทางเลือกสุดท้ายของพวกเราแล้วล่ะครับ

        ไหนๆก็ไหน ร่วมลองกันซักที อย่าไปกลัวอะไร ยังไงมันก็คงไม่มีอะไรที่มันเลวร้ายกว่าปัจจุบันนี้อยู่แล้ว การไม่ลองก็ได้แบบ เดิมๆ ปัญหาเดิมๆ ลองไปลุ้นให้มันรู้ไป มีแต่ได้กับเสมอตัว น่าลองจะตายไปครับ !!



มาทำความรู้จักกับ No Vote [ โนโหวต ] และ Vote No [ โหวตโน ] ตามแบบที่ผมเข้าใจกันหน่อยครับ

เห็นหลายๆคนโจมตี กระแสโหวตโน ที่กำลังมาแรงขณะนี้ ว่ามันทำลายระบอบประชาธิปไตย ผมก็งงว่า มันทำลายประชาธิปไตยตรงไหน ก็เลยไปสังเกตการใช้คำของคนที่ออกมาโจมตี เค้าไปใช้คำว่า โนโหวต ซะงั้น ก็เลยกลัวว่าไปๆมาๆจะออกมาเป็น โหวตโน ทำลายระบอบประชาธิปไตย เดี๋ยวจะยุ่งใหญ่

โนโหวต คือ การไม่ไปใช้สิทธิ์ หรือนอนหลับทับสิทธิ์นั่นเองซึ่ง การไม่ไปใช้สิทธิ์ย่อมทำลายระบอบประชาธิปไตยอยู่แล้ว เพราะระบอบประชาธิปไตยกำหนดให้หน้าที่ของพลเมืองคือ ไปเลือกตั้ง เลือกคนดีเข้าสภา เป็นหน้าที่หลักของประชาชน จึงผิดเพราะเราไม่ไปทำตามหน้าที่ของเรา แต่

โหวตโน นี่คือการทำหน้าที่อย่างถูกต้องอย่างครบถ้วนสมบูรณ์ที่สุด คือเราทำตามหน้าที่ออกไปใช้สิทธิ์เลือกตั้ง และ ที่เรากาช่องไม่เลือกใครก็ยิ่งเป็นการทำหน้าที่อย่างสมบูรณ์ เพราะ ต้องเลือกคนดีเข้าสภา ในเมื่อมันไม่มี ก็ไม่เลือกใคร ซึ่งถ้ายิ่งเรารู้ว่าไม่ดีแล้วไปเลือกเข้าไป ก็ยิ่งผิดและเป็นการทำลายระบอบ ประชาธิปไตยอย่างชัดเจน

ส่วนการรณรงค์ให้คน โหวตโน ก็เป็นสิทธิ์อันชอบธรรมที่สามารถทำได้ มันก็เหมือนพรรคการเมืองหาเสียงให้มาเลือกตนนั่นล่ะครับ แตกต่างกันตรงไหน

ฉะนั้น ใครก็ตามที่อยู่ภายใต้ระบอบประชาธิปไตยจึงต้องรู้จักหน้าที่ของตน ห้ามทำผิดหลัก ถึงเวลาให้ไปใช้สิทธิ์เราก็ต้องทำตามอย่างเคร่งครัด แล้วพอมองตัวเลือกที่มีให้เราเลือก หากเราคิดว่าไม่มีคนดีที่ตั้งใจทำเพื่อประเทศและประชาชนจริงๆและจริงใจ เราก็ โหวตโน ครับ เพื่อไม่ให้ผิดหลักของระบอบประชาธิปไตย อันเป็นการทำตามกฎที่ถูกต้องทุกอย่างของพลเมืองที่ดี ก็เท่านั้นครับ

ทำไม? โหวตโน ถึงเป็นหนทางเดียวที่จะเปลี่ยนการเมืองไทย
ก็เพราะการออกกฎแก้กฎไม่ได้ช่วยอะไรให้ดีขึ้น มันก็ยังอยู่ในระบบเดิมๆที่อำนาจอยู่กับนักการเมือง ปัญหาทั้งหมดไม่ได้อยู่ที่กฎ ส่วนใหญ่ปัญหาอยู่ที่คน คนที่เข้าใจจุดอ่อนของระบบเก่าเป็นอย่างดีจึงสามารถทุจริตคอรัปชั่นได้มาก มายโดยเอาผิดไม่ได้ ตอนนี้เราทำอะไรไม่ได้เพราะไม่มีอำนาจมากพอที่จะเข้าไปกำหนดระบบใหม่ จะกดดันอะไรก็ไม่ได้ ผู้มีผลประโยชน์และมีอำนาจในการเมืองระบบนี้คงไม่ยอมง่ายๆ เราจึงต้องโหวตโน ซึ่งเป็นหนทางเดียวที่จะทำให้อำนาจนักการเมืองหมดลงโดยประชาชนอย่างชอบธรรม ที่สุด แล้วเพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ เราจึงต้องมอบอำนาจคืนให้พระมหากษัตริย์หลังจากโหวตโนสำเร็จ เพื่อให้พระองค์ทรงแต่งตั้งคนดีเข้ามาบริหารชั่วคราวเฉพาะที่จำเป็นพร้อม ทั้งสั่งการนำเอาระบบ TQM [ ตัวอย่างจากหลายๆประเทศประสบความสำเร็จกับระบบนี้ ] ที่มีประสิทธิภาพ เข้าไปควบคุมการเมืองไทย หลังจากนั้นการเลือกตั้งก็จะเกิดขึ้นหลังจากการปฏิรูปเสร็จสมบูรณ์

ระบบนี้ จะควบคุมการเมืองให้เป็นระบบระเบียบมากขึ้น นักการเมืองไม่ว่าใครจะถูกควบคุมด้วยระบบใหม่นี้ การเมืองไทยก็จะมีคุณภาพตลอดไปไม่บัดซบเหมือนทุกวันนี้

เราไม่มีทางอื่นที่ดีกว่าการโหวตโน ฉะนั้นการเมืองจะเปลี่ยนแปลงได้เร็วแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับอำนาจของพวกเราทุกคน ที่มีในมือ ช่วยกันรณรงค์โหวตโนให้เกิดผลสำเร็จเร็วที่สุด ดีกว่าฉุดกันเองเพราะกลัวว่าไม่สำเร็จโดยที่ไม่มีหนทางที่ดีกว่านี้มาเสนอทด แทน




รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง