บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ปรากฏการณ์"กบฏแตงโม" บทเรียน"ประยุทธ์" ศึกชิง กห. และวาทะ"กูไม่กลัวมึง"























 ผลการเลือกตั้ง 3 กรกฎาคม 2554 ได้ถูกจารึกในประวัติศาสตร์ของกองทัพไปแล้วว่า ได้เกิดการก่อกบฏทหารประชาธิปไตย เมื่อ "นายสั่งไม่ได้"

ในมุมหนึ่งก็เป็นผลดีต่อการพัฒนาประชาธิปไตยของไทย ความคิดอิสระทางการเมืองของประชาชนในเครื่องแบบทหารที่ปลดแอกตัวเองออกจากการเป็น "หัวสี่เหลี่ยม"


แต่ในอีกมุมหนึ่ง ก็น่าเป็นห่วงในระบบการสั่งการควบคุมบังคับบัญชาทางทหาร ที่ไม่ใช่แค่ไม่ทำตามคำสั่ง แต่ยังทำสวนทางกับคำสั่งอีกด้วย

พร้อมๆ กันนั้นก็เป็น "บทเรียน" บทสำคัญของผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะคนที่เป็นผู้บัญชาการทหารบก หรือ ผบ.ทบ. จะได้รู้ว่า ความศักดิ์สิทธิ์ ความขลังของเก้าอี้แห่งอำนาจตัวนี้ ได้เปลี่ยนไปแล้ว

โดยเฉพาะกับบิ๊กตู่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ที่ต้อง "เสียเซ้ลฟ์" เสียความมั่นใจในตัวเองไปมากโข และต้องมานั่งคิดทบทวนแล้วว่า เกิดความผิดพลาดอะไรขึ้น


เพราะขนาดส่งสัญญาณควรเลือกใคร ช่วยพรรคไหน ไม่เลือกพรรคใด แต่ผลออกมาตรงกันข้าม แล้วถ้าจะสั่งให้เอารถถัง ถือปืนออกไปปฏิวัติ ทหารจะทำตามทั้งหมดหรือไม่

ต้องยอมรับว่าบทบาทของ พล.อ.ประยุทธ์ ก่อนการเลือกตั้งนั้นชัดเจนในการสกัดกั้นพรรคเพื่อไทย นอกเหนือจากจุดยืนที่ต่อต้านสีแดงเดิม


ทุกคำพูดทุกความคิดและความเคลื่อนไหวของ จอมพล ผู้นำกองทัพบก นั้นอยู่ในสายตาของทหารทุกนาย ไม่ว่าจะนายพล นายพัน นายร้อย ชั้นประทวน หรือแม้แต่พลทหาร ที่รู้ดีว่า ผบ.ทบ. ต้องการอะไร

แม้ในยุคนี้ จะมาสั่งกันตรงๆ ว่าให้เลือกเบอร์ไหน พรรคใดไม่ได้เพราะกลัวถูกถ่ายคลิป แต่ก็มีการกระซิบ และเกลี้ยกล่อมพูดอ้อมๆ ให้คิดเอง โดยเฉพาะการเอาซีดีภาพเหตุการณ์เสื้อแดงเผาเมือง มาฉายให้ทหารเกณฑ์และกำลังพลในแต่ละหน่วยดูทุกวัน รวมทั้งนักเรียนทหารทุกเหล่าทุกหน่วย


แต่ผลออกมา พรรคเพื่อไทยก็ยังชนะเกินครึ่ง ได้ ส.ส. มาถึง 265 เสียง ที่ยิ่งทำให้ผู้นำกองทัพเจ็บใจก็ที่เขตดุสิต ที่ถือเป็นเขตทหาร มีหน่วยทหารมากมาย แต่ก็กลับเลือก ลีลาวดี วัชโรบล พรรคเพื่อไทย แม้จะชนะ จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี พรรคประชาธิปัตย์ แค่ 700 กว่าคะแนน แต่ก็ถือว่า เลือกตั้งครั้งนี้ได้เกิด 2 ปรากฏการณ์พร้อมกันคือ


หนึ่ง ปรากฏการณ์ "กูไม่กลัวมึง" เสมือนว่า พวกเขาไม่กลัวผู้บังคับบัญชา แม้รู้ว่าอาจต้องถูกลงโทษอย่างใดอย่าง

หนึ่ง ต่อให้มีการเปลี่ยนการนับคะแนน มานับหน้าหน่วย แล้วมีทหารมาเดินจดยอด รายงาน "นาย" ก็ตาม

สิ่งที่ ผบ.หน่วย แต่ละหน่วย ชี้แจงต่อบิ๊กๆ จนถึง ผบ.ทบ. ก็คือ เราไม่สามารถบังคับความคิดทางการเมืองของทหารได้ ทหารในเครื่องแบบยังคงมีวินัย เลือกตาม "นาย" อยู่บ้าง แต่ครอบครัวลูกเมียทหารนั้นเสื้อแดงเป็นส่วนใหญ่

แต่แน่นอน ผบ.หน่วย ก็ต้องถูก "เอ็ด" เป็นธรรมดา เพราะจะให้ไปลงโทษก็คงไม่ได้

สอง คือ ปรากฏการณ์ "กบฏแตงโม" คือ ทหารจำนวนไม่น้อย ที่ไม่แค่ไม่เลือกตามนายสั่ง แต่กลับเลือกพรรคเพื่อไทย สวนคำสั่งสกัดเลยด้วยซ้ำ จึงถือว่าบรรดาทหารแตงโมทั้งที่เปิดเผยตัว และแอบแฝงหลบในกันมานานนั้น ได้เผยตัวออกมาในรูปผลการเลือกตั้งด้วยการก่อกบฏขึ้นมาแล้ว


แต่ทว่า ปรากฏการณ์แตงโมกบฏนี้ หาใช่เพราะพวกเขารัก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร หรือคลั่งไคล้ความงามขาวของปู ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หรือกระแสนายกฯ หญิงไม่ แต่เพราะพวกเขานึกถึง "ตัวเอง" มากกว่า "สถาบันกองทัพ" ที่ส่วนหนึ่งอาจเพราะการวางตัวของผู้นำกองทัพ ที่อาจทำให้เสื่อมศรัทธา


อีกสาเหตุหนึ่งคือ ทหารจำนวนไม่น้อยที่เป็นลูกน้องเก่าของนายทหารสายทักษิณ สายสีแดง ที่ต้องการล้มขั้วอำนาจแห่งอำมาตย์ เพื่อที่จะให้ "นาย" ของพวกเขา ได้กลับมามีอำนาจ พวกเขาจะได้เลื่อนยศเลื่อนตำแหน่งบ้าง


ประกอบกับการที่อำนาจในกองทัพ อยู่ในมือกลุ่มอำนาจเดียวมาตลอดตั้งแต่ปฏิวัติเรื่อยมา เฉพาะบูรพาพยัคฆ์ ทหารเสือราชินี และวงศ์เทวัญบางส่วนเท่านั้นที่ได้อยู่ในศูนย์กลางและคุมอำนาจ จึงเป็นการผลักไสให้ทหารอาชีพที่ไม่มีขั้ว ไม่เลือกข้าง ต้องแอบเป็นแตงโม


ไม่นับทหารที่เปิดรับสื่อในหลายรูปแบบ ก็ทำให้คิดนอกกรอบ จนนำไปสู่การก่อกบฏนั่นเอง

เมื่อพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้ง แบบที่ทหารไม่สามารถ "ออกอาวุธ" หรือเคลื่อนไหวอะไรตามแผนเดิมได้เลยนั้น ในเมื่อประชาชนส่วนใหญ่ต้องการแบบนี้ ทุกสายตาจึงจับจ้องมาที่ พล.อ.ประยุทธ์ ว่าจะมีชะตากรรมอย่างไร กองทัพจะเป็นอย่างไร


รมว.กลาโหม จะเป็นดัชนีชี้วัดว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะเอาอย่างไรกับ พล.อ.ประยุทธ์ และกองทัพ
ด้วยจำนวน ส.ส. มากมาย ทำให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ต้องง้อบิ๊กป้อม พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ พี่ใหญ่ของบูรพาพยัคฆ์ มาเป็น รมว.กลาโหม อีกแล้ว ฝ่าย พล.อ.ประวิตร เอง ถึงกับลั่นว่า "ไม่อยากเป็น เสียศักดิ์ศรี" ไม่ได้อยากจะมาเป็น เพราะกลัวเสียภาพพจน์


แต่ด้วยความเป็นห่วง พล.อ.ประยุทธ์ และทายาทอำนาจในกองทัพ รวมทั้งหวั่นน้องๆ จะถูกเช็กบิล ทั้งการปราบเสื้อแดง การจัดซื้อรถเกราะยูเครน เรือเหาะ จีที 200 จึงทำให้ พล.อ.ประวิตร จึงต้องเปิดการเจรจาต่อรอง

จึงไม่แปลกที่จะมีชื่อทั้ง เวสปอยเตอร์ พล.อ.บุญสร้าง เนียมประดิษฐ์ อดีต ผบ.สส. เพื่อนรัก ตท.6 ของ พล.อ.ประวิตร เป็นแคนดิเดต รมว.กลาโหม และอดีต ผบ.ทบ. และ ผบ.ทร. หลายคน

และบิ๊กป๊อก พล.อ.อนุพงษ์ เผ่าจินดา อดีต ผบ.ทบ. และเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ เอง เพราะแม้จะเป็นแกนนำปฏิวัติล้มทักษิณ แต่ความสัมพันธ์ลึกซึ้ง ตั้งแต่ช่วยทักษิณกลับประเทศครั้งก่อน และบทบาทแสนดีในยุค นายสมัคร สุนทรเวช และ นายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ เป็นนายกรัฐมนตรี ควบ รมว.กลาโหม นั้น ก็ร่ำลือกันว่า มีการจูบปากกันแล้ว

ลำพัง พล.อ.อนุพงษ์ นั้น ไม่อยากเล่นการเมือง แต่เพราะห่วงน้อง ห่วงกองทัพ และหวั่นจะถูกตรวจสอบโครงการต่างๆ จึงอาจต้องตัดสินใจ

ไม่แค่นั้น ยังมีชื่อของบิ๊กหมง พล.อ.มงคล อัมพรพิสิฏฐ์ อดีต ผบ.สส. ลูกป๋าคนโปรด ซึ่งมีความใกล้ชิดกับ
พ.ต.ท.ทักษิณ อย่างมาก และพยายามกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ มาให้ตลอด จนป๋าเปรมสั่งให้เลิกพยายาม

แต่ พล.อ.มงคล ปฏิเสธเพราะเขามีโอกาสที่จะได้เป็นหลายครั้ง แต่เขาไม่ต้องการเล่นการเมือง แต่ครั้งนี้ เสธ.หนั่น พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ เป็นผู้เสนอ เพราะต้องการให้เป็น รมว.กลาโหม ปรองดองกับทุกฝ่าย ทั้งบ้านสี่เสาฯ และทุกขั้วในกองทัพ

แต่เชื่อกันว่า พล.อ.มงคล ไม่ได้ไฟเขียวแน่

ถ้าสังเกตให้ดี พ.ต.ท.ทักษิณ กำลัง "เล่นเกม" อะไรบางอย่างกับกองทัพ เพราะเดิมเขาต้องการให้เพื่อน ตท.10 เป็น รมว.กลาโหม ทั้ง พล.อ.สุรพล เผื่อนอัยกา อดีตเลขาฯ สมช. บิ๊กติ๊ด พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ ผบ.ทร. เป็น รมว.กลาโหม แต่เจ้าตัวไม่ต้องการ แค่ฝากโครงการเรือดำน้ำไว้เท่านั้น. หรือ บิ๊กตุ้ย พล.อ.ทรงกิตติ จักกาบาตร์ ผบ.สส. ที่จะเกษียณกันยายนนี้ ก็เป็นตัวเลือกหนึ่ง แต่เขาก็ปฏิเสธมาแล้ว


จนมีข่าวการทาบทามบิ๊กอุ๊ พล.ร.อ.สถิรพันธุ์ เกยานนท์ อดีต ผบ.ทร. ที่แม้จะเคยร่วมในทีม คมช. ปฏิวัติ แต่ก็ด้วยความจำใจ เพราะส่วนตัวเขาสนิทสนมกับคุณหญิงอ้อ พจมาน ชินวัตร และเป็นขาประจำบ้านจันทร์ส่องหล้า อย่างมาก เพราะ พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่อยากได้ทหารบก เป็น รมว.กลาโหม จะเอาทหารเรือหรือทหารอากาศ นั่นเอง

จนมาพิจารณาทหารในพรรค ทั้งบิ๊กเปีย พ.อ.อภิวันท์ วิริยะชัย (ตท.8) เพราะเคยเป็นอาจารย์ ร.ร.เสธ.ทบ. บิ๊กอ๊อด พล.อ.ยุทธศักดิ์ ศศิประภา อดีต รมช.กลาโหมและปลัดกลาโหม ที่มีความใกล้ชิดกับ พล.อ.ดาว์พงษ์ และทุกขั้วในกองทัพ รวมทั้ง พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี มีผลงานมากมาย ในการช่วยพรรคในศึกเลือกตั้ง ที่อาจได้เป็นรองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง


รวมทั้ง พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี อดีต ผบ.อย. เพื่อนซี้ ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ทุ่มเททำเพื่อเขาตลอด จนพิสูจน์ว่าเป็นเพื่อนแท้ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยบอกก่อนเลือกตั้งว่า "เมธ. เป็น รมว.กลาโหม ได้ไหม" จึงทำให้เขามีชื่อเป็นเต็งหนึ่งในพรรค


มีความหวาดหวั่นกันว่า ในที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ อาจย้อนเกล็ดทหารด้วยการให้ ปู ยิ่งลักษณ์ เป็นทั้งนายกฯ ควบ รมว.กลาโหม สร้างประวัติศาสตร์เป็นทั้งนายกฯ หญิงคนแรกและ รมว.กลาโหมหญิงคนแรก ที่คงทำให้กองทัพกระเพื่อมไม่น้อย เพราะถือว่า "ทั้งแสบ ทั้งหยาม" กันเลย ที่ผู้นำกองทัพ โดยเฉพาะ พล.อ.ประยุทธ์ จะต้องมายืนตะเบ๊ะ ผู้หญิง แถมนามสกุล ชินวัตร อีกด้วย ไม่ใช่แค่ในฐานะผู้นำประเทศ แต่ยังเป็นผู้บังคับบัญชา
เพราะนายสมัคร และนายสมชาย ก็ยังต้องควบ รมว.กลาโหม มาแล้ว ยิ่งในยามที่ทหารในพรรคและนอกพรรค มีการแย่งชิงต่อรองกันเช่นนี้

แต่คนที่น่าเห็นใจ คือ พล.อ.ประยุทธ์ ที่ทุกสายตาจ้องเขม็ง เขาทำหน้าที่อย่างเต็มที่ แต่วันนี้กระแสประชาชน ทำให้ทุกคนพร้อมที่จะเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนสี


แม้พรรคเพื่อไทย ประกาศจะไม่แก้แค้นกองทัพ ไม่โยกย้าย พล.อ.ประยุทธ์ ก็ตาม แต่มีความเคลื่อนไหวจาก "พวกเดียวกันเอง" ที่จะกดดันให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ทุบโต๊ะ ให้เด้ง ผบ.ทบ. อย่างคึกคัก


โดยเฉพาะชื่อของ บิ๊กต่าย พล.อ.ภุชงค์ รัตนวรรณ ผบ.สถาบันวิชาการป้องกันประเทศ (ผบ.สปท.) อดีต ผบ.นสศ. ที่มาแรง ที่ไม่ใช่เพราะเขาเป็นเพื่อน ตท.10 ของ พ.ต.ท.ทักษิณ หรือเป็นการคืนความชอบธรรมที่เขาเคยถูก บิ๊กบัง พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ตอนเป็น ผบ.ทบ. เตะโด่งออกจาก ทบ. ทั้งๆ ที่จ่อขึ้นห้าเสือ ทบ. เท่านั้น
แต่เพราะ พล.อ.ภุชงค์ เป็นน้องเลิฟของ บิ๊กแอ้ด พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ องคมนตรี


ตอนนี้ พล.อ.ประยุทธ์ อาจบอบช้ำ เสียหาย และเป็นแม่ทัพที่แพ้สงคราม ในศึกเลือกตั้งครั้งนี้ แถมสะบักสะบอม จนต้องเปลี่ยนม้ากลางศึก อย่าลืมว่าโดยสถานะทหารเสือราชินีแถวหน้า การเป็น ผบ.ทบ. ของ พล.อ.ประยุทธ์ ก็เป็น "ก้าง" ขวางอำนาจของบางกลุ่ม ที่ไม่อาจ "แอบอ้างสถาบัน" ได้อีก เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ รับใช้ใกล้ชิดอยู่แล้ว


ขณะที่แรงดันจากในพรรคเพื่อไทย ที่อยากให้เปลี่ยน ผบ.ทบ. ก็ยังหนุนบิ๊กเล็ก พล.อ.ทนงศักดิ์ อภิรักษ์โยธิน (ตท.11) อดีตแม่ทัพภาคที่ 3 ที่เป็นน้องเขยของ ส.ส.เพื่อไทย จ.พะเยา ที่มีอายุราชการถึงปี 2556 ขึ้นเป็น ผบ.ทบ.

แต่ยังเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณ จะยอมปรองดอง ทั้งในการเลือก รมว.กลาโหม และจะไม่แก้แค้นล้างบางกองทัพ ไม่โยกย้าย พล.อ.ประยุทธ์ ที่เกษียณปี 2557 พ้นเก้าอี้ ผบ.ทบ. แต่ต้องมีการสกัดแผนการสร้าง "แผงอำนาจ ตท.12" ด้วยการไม่ให้ บิ๊กเจี๊ยบ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาปกรณ์ เสธ.ทหาร ขึ้นเป็น ผบ.สส. แต่อาจดัน พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ รอง ผบ.สส. ที่มีสัมพันธ์กับเพื่อไทย ขึ้นเป็น ผบ.สส. ขัดตาทัพไว้ก่อน 1 ปี


เช่นเดียวกับที่ บิ๊กโอ๋ พล.ร.อ.ยุทธนา ฟักผลงาม แกนนำ ตท.12 ที่จะขึ้นเป็น ผบ.ทร. คนใหม่ ก็จะแผ่วลง ขณะที่บิ๊กหรุ่น พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์ ตท.13 นายทหารเรือสุขุม อัธยาศัยดี เป็นที่ยอมรับ กลายเป็นเต็งหนึ่ง


ส่วน ผบ.สส. ก็อาจเป็น บิ๊กต่าย พล.อ.ภุชงค์ ที่หากผิดหวังจากการเป็น ผบ.ทบ. เพื่อสกัด พล.อ.ธนะศักดิ์
ในส่วนของ ทบ. พล.อ.ประยุทธ์ เตรียมทำโผโยกย้ายทหารปลายปีไว้แล้ว โดยดึงบิ๊กหนุ่ย พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ เพื่อนรัก ตท.12 ขยับจาก เสธ.ทบ. ขึ้นเป็น รอง ผบ.ทบ. ครองอัตราจอมพล


ที่น่าจับตามองคือ มีการวางทายาทอำนาจว่าที่ ผบ.ทบ. ในอนาคต เพราะล้วนเกษียณปี 2558 คือ บิ๊กบี้ พล.ท.ศิริชัย ดิษฐกุล (ตท.13) รอง เสธ.ทบ. น้องรักของ บิ๊กป้อม ขึ้นเป็น เสธ.ทบ. บิ๊กโด่ง พล.ท.อุดมเดช สีตบุตร (ตท.14) แม่ทัพภาคที่ 1 ทหารเสือราชินี ขึ้นเป็น ผช.ผบ.ทบ.


ที่ฮือฮาคือ พล.อ.ประยุทธ์ ดึง บิ๊กแป๊ะ พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก (ตท.14) ผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษจาก บก.ทัพไทย ที่มีผลงานจากเรื่องการแก้ปัญหาไทย-กัมพูชา และมรดกโลก ข้ามมาเสียบเป็น ผช.ผบ.ทบ. เพื่อหมายให้ดูแลปัญหากัมพูชาโดยเฉพาะ


แต่แน่นอน การมีรัฐบาลใหม่ เปลี่ยนขั้วอำนาจ รมว.กลาโหม คนใหม่ ก็ต้องเข้ามาดูแลเรื่องความยุติธรรม
ที่คาดว่า พล.อ.ทนงศักดิ์ ถ้าไม่ได้เป็น ผบ.ทบ. ก็จะได้ขึ้นจากผู้ทรงคุณวุฒิพิเศษ ทบ. เป็นประธานที่ปรึกษา ทบ. ครองอัตราจอมพล แต่รัฐบาลเพื่อไทย ก็อาจจะเข้าเป็น ห้าเสือ ทบ. ตามที่ พล.อ.ประยุทธ์ เคยให้สัญญาไว้ ที่สำคัญ อาจเสียบเป็น รอง ผบ.ทบ. หายใจรดต้นคอ พล.อ.ประยุทธ์ ให้หนาวๆ ร้อนๆ


เพราะแม้พรรคเพื่อไทย จะไม่เด้ง พล.อ.ประยุทธ์ พ้นเก้าอี้ ผบ.ทบ. ในครั้งนี้ แต่โยกย้ายปลายปีหน้า ก็ไม่แน่



แต่ที่ต้องจับตาคือ อนาคตของ พล.อ.ดาว์พงษ์ จอมกระชับพื้นที่ ที่ในสายตาทหารสายเพื่อไทย มองว่าเขาเป็นผู้อยู่เบื้องหลัง พล.อ.ประยุทธ์ ทุกอย่าง อีกทั้งเป็นผู้ตั้งกองบัญชาการ สกัดกั้นเพื่อไทยในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ที่เขาอาจจะเป็นประธานที่ปรึกษา ทบ. ไม่ได้เป็น รอง ผบ.ทบ. แต่ถึงเวลานั้น พล.อ.ประยุทธ์ เพื่อนรัก จะยอมหรือไม่ หากไม่สามารถปกป้องหรือต่อรองเพื่อเพื่อนรักได้


แม้จะไม่แทรกแซง ไม่แก้แค้น แต่หากกลั่นแกล้ง เหยียดหยามกันในเรื่องต่างๆ ไม่ให้เกียรติ พาดพิงสถาบัน และหยาม "นาย" เริ่มมีเสียงนายทหารคนสำคัญหลายคนลั่นออกมาแล้วว่า "กูไม่กลัวมึง"


เช่นเดียวกัน ทักษิณ และทหารในพรรคเพื่อไทย ก็บอกว่า "กูไม่กลัวมึง" เหมือนกัน

ผลวิจัยผู้ตรวจฯ ตอกหน้าศธ. เรียนฟรีไม่จริง

ผลวิจัยผู้ตรวจฯ ตอกหน้าศธ. เรียนฟรีไม่จริง

Pic_184935
"ศรีราชา" ผู้ตรวจการแผ่นดินเผยผลวิจัยเพื่อประเมินผลงานชี้ชัด ศธ.จัดเรียนฟรี 15 ปีไม่จริง-ไม่มีคุณภาพ แถมขัดรัฐธรรมนูญ ม.49 เสนอปรับแก้เป็น 9 ปีเหมาะสมกว่า แถมค้านนโยบายเพื่อไทยขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาท หวั่นกระทบภาพส่งออก-ธุรกิจ...

เมื่อวันที่ 8 ก.ค. นายศรีราชา เจริญพานิช ผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า ตามที่สำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน (สผผ.) ได้มีการทำวิจัยเพื่อประเมินผลงานการดำเนินการในเรื่องนโยบายเรียนฟรี 15 ปี อย่างมีคุณภาพ เนื่องจากพบว่าในการดำเนินงานตามโครงการนี้ ไม่มีคุณภาพ ทั้งยังเป็นการดำเนินงานที่ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 49 ที่ระบุว่าบุคคลย่อมมีสิทธิเสมอกันในการเข้ารับการศึกษาขั้นพื้นฐานไม่น้อย กว่า 12 ปี ที่รัฐจัดให้อย่างทั่วถึงและมีคุณภาพโดยไม่เก็บค่าใช้จ่าย แต่สิ่งที่กระทรวงศึกษาธิการดำเนินการอยู่ต้องยอมรับว่าในความเป็นจริงก็ยัง มีการเก็บค่าใช้จ่ายกันอยู่ ตนจึงมีแนวคิดว่าหากจะมีการปรับแก้รัฐธรรมนูญในมาตราดังกล่าว เป็นไม่น้อยกว่า 9 ปี จะดีกว่าหรือไม่ เพราะมีโอกาสที่จะทำได้จริงมากกว่า และจะเป็นการจัดการศึกษาที่ฟรีจริงๆ

นายศรีราชา กล่าวต่อว่า โดยอำนาจหน้าที่ของตนสามารถยื่นเสนอต่อรัฐสภาให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญได้ ตนยืนยันว่าที่วิจัยในเรื่องนี้ไม่ได้มีอคติกับกระทรวงศึกษาธิการ แต่มีความเป็นห่วงประเทศ ที่การเมืองประชานิยมจะเข้ามาทำลายการศึกษาของชาติหรือไม่

ขณะที่นาง อุทุมพร จามรมาน ที่ปรึกษาผู้ตรวจการแผ่นดิน กล่าวว่า งานวิจัยดังกล่าวจะแล้วเสร็จในเดือน ต.ค.นี้ และจะสรุปเสนอต่อรัฐบาล โดยขณะนี้จะต้องมีการทำวิจัยต่อถึงนโยบายในลักษณะเดียวกันของแต่ละประเทศ รวมถึงการประเมินการทำงานของกระทรวงศึกษาธิการในเรื่องนี้ และความเป็นไปได้ที่จะมีการเสนอแก้รัฐธรรมนูญในมาตรา 49 ด้วย

ผู้ สื่อข่าวรายงานต่อว่า นายศรีราชา ยังได้กล่าวถึงกรณีที่พรรคเพื่ี่อไทยเตรียมเดินหน้าโครงการเพิ่มค่าแรงขั้น ต่ำเป็น 300 บาท ว่า ส่วนตัวแล้วไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ เพราะเป็นจำนวนเงินที่มากเกินไป และที่สำคัญจะเกิดปัญหาต่อสินค้าที่จะส่งออกแน่นอน เพราะการส่งออกสินค้าบางชนิดจะต้องมีการทำสัญญากันล่วงหน้าหลายเดือน หากผู้ประกอบการบางรายมีการตกลงสัญญาราคาไว้แล้ว และมีการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำย่อมทำให้สินค้ามีราคาสูงขึ้นไปด้วย อาจจะส่งผลให้ผู้ที่สั่งซื้อยกเลิกการสั่งซื้อไป

"ผมเห็นด้วยกับข้อ เสนอของทางภาคเอกชนที่ระบุว่าควรจะมีการหารืออย่างละเอียดก่อน ไม่ใช่อยู่ๆ ก็ขึ้นค่าแรงให้ แบบไม่มีที่มาที่ไป เพราะการขึ้นค่าแรงย่อมจะส่งผลให้ค่าใช้จ่ายในด้านต่างๆสูงขึ้นด้วยแน่นอน นโยบายประชานิยมเมื่อประกาศไปแล้วควรเป็นเรื่องที่จะต้องทำได้ ไม่ใช่พอประกาศออกไปแล้วไม่สามารถทำได้ มีเงินไม่พอ แค่พูดนั้นง่าย แต่ทำยาก การจะชูนโยบายอะไรก็ควรมองถึงความเป็นไปได้ ไม่ใช่พูดออกไปเพราะความคะนอง" นายศรีราชากล่าว และว่า ในเรื่องเกี่ยวกับอัตราค่าจ้างนั้นทางสำนักงานผู้ตรวจการแผ่นดิน กำลังเตรียมที่จะทำวิจัยถึงอัตราค่าจ้างที่เหมาะสมของแต่ละอาชีพเพื่อเป็น ข้อมูลเสนอไปยังรัฐบาลต่อไป.

"ดร.เกษียร เตชะพีระ" ปาฐกถาวิพากษ์การเมือง เผยระเบิด 3 ลูกที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องเจอ


วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:19:39 น.




เมื่อเวลา 13.45 น.วันที่ 8 ก.ค.ที่ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ รศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ "บ้านเมืองเรื่องของเรา" วิพากษ์สังคมและการเมืองไทย พร้อมวิพากษ์แนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยรศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ กล่าวว่า ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงทั้งในหมู่ชนชั้นนำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง จนเลยไปสู่การเป็นกลุ่มชนชั้นนำที่มาจากการเลือกตั้ง ซึ่งไม่ได้เป็นครั้งแรกที่สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลง สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 2 ครั้งคือ ในปีพ.ศ. 2475 และช่วง 14 ตุลา พ.ศ. 2516 ที่มีการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ โดยมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเก่า คือทหาร และข้าราชการ กับกลุ่มใหม่คือ ชนชั้นกลาง และกลุ่มนายทุนหัวเมืองต่างจังหวัด

พลังการเปลี่ยนแปลงจากชนชั้นนำไปสู่คนส่วนใหญ่ จนมวลชนยกขบวนเข้าสู่การเมืองในขนาดใหญ่ ส่วนที่เรากำลังพบตอนนี้คือ มวลชนทางการเมืองระดับชาติ 2 ขบวน คือกลุ่มเสื้อเหลือง และแดงที่ไม่ได้จัดตั้งโดยระบบราชการ ถือได้ว่าเป็นความใหม่ ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีทหาร หรือข้าราชการแต่โดยพื้นฐานนี่คือขบวนการที่เกิดเอง ดังนั้น จึงเพิ่มความรู้สึกไม่มั่นคงให้กับราชการที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคง

ดร.เกษียร กล่าวต่อว่า ในด้านความเปลี่ยนแปลงในระบอบเศรษฐกิจ การก่อตัวของนโยบายจากการพัฒนาที่ชี้นำโดย "เทคโนแครต" ไปเป็นโยบายการกระจายความมั่งคั่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังทางการเมือง  แต่ทุกวันนี้ภาพนี้หายไป กลายเป็นภาพในห้องที่เป็นตัวแทนกลุ่ม ธุรกิจกับทีมที่ปรึกษาทำหน้าที่หาสมดุลที่รับได้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวม และส่วนธุรกิจ โดยเทคโนแครตคอยแนะอยู่ข้างห้อง ส่วนบรรดาส.ส.ตัวแทน หรือม็อบ กดดันภายนอก เป็นนโยบายที่วางบนการกดดันของการเมือง

ดังนั้น สภาพมันเปลี่ยนแปลงไป ในแง่กลับกันมีความเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจแวดล้อมทางเศรษฐกิขระหว่างประเทศ ที่ทำให้เป็นแบบนี้คือ ระเบียบเศรษฐกิจโลกที่ไม่สมดุล อย่างที่นักประวัติศาตร์เศรษฐกิจในฮาร์วาร์ดเรียกว่า "ชีนเมริกา" (Chimerica) คือการที่อเมริกานำเข้า จีนส่งออก อเมริกาในเข้าทุน จีนส่งออกทุน มันไม่สามารถธำรงได้อีกต่อไป เพราะวิกฤติศรัทธา ความตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลก

ตัวเลขการส่งออกของหลายๆประเทศเริ่มเทเป็นส่วนหนึ่งของการส่งออกของ จีน ในภาวะที่จีนปรับตัวถอนตัวความสัมพันธ์แบบ "ชีนเมริกา" ซึ่งไทยก็ยากที่จะพึ่งการส่งออก เลยต้องปรับตัว จึงเป็นเบื้องหลังของการปรับตัวของพรรคการเมืองที่บอกว่าประชาชนต้องเพิ่ม รายได้ ส่วนหนึ่งเองก็ต้องหาเสียง และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นการปรับตัวจากสภาพเศรษฐกิจโลก

ทั้งนี้ ปัญหาความเสี่ยงต่างๆเกิดจากวิธีการที่ฝ่ายต่างๆใช้ และผลักดัน ต่อต้านไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยวิธีการที่ใช้คือ 1. ดึงมวลชนเข้าร่วมการเมืองขนานใหญ่ เพราะ พลังเก่าที่ต้องการรักษาระเบียบเก่า พบว่าลำพังตัวเองรักษาไม่อยู่จึงดึงมวลชนเข้ามา คำตอบคือ "กลุ่มเสื้อเหลือง" ส่วนกลุ่มชนชั้นนำใหม่ก็พบเช่นเดียวกัน ดังนั้น เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ดึงมวลชนเข้าร่วม คำตอบคือ "เสื้อแดง" ดังนั้นจึงเป็นการเมืองที่ชนชั้นนำกรุยทางให้มวลชนเข้ามา

2. พลังการเมืองที่ขัดแย้งระหว่างกลุ่มเก่าและใหม่ใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญ โดยพลังเก่าพยายามรักษาระเบียบเก่า และพบว่ากติกาอาจช่วยรักษาไม่ได้ จึงฉีกรัฐธรรมนูญ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง พบว่า หากสู้ในกรอบก็ไม่สามารถสู้ได้จึงใช้วิธีการนอกรธน. อันเป็นที่มาอย่างเรื่อง รัฐประหาร, ตุลาการธิปไตย ,ก่อจลาจล, ยึดทำเนียบ, ยึดสนามบิน, ยึดย่านธุรกิจกลางเมือง ซึ่งจำเป็นในการต่อสู้ของแต่ละฝ่าย

3. ดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาพัวพันกับการเมือง การดึงสถาบันเข้าไปอยู่ในแห่งที่ที่ไม่สมควร ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ที่ตั้งคือการตั้งอยู่กับรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย ที่เดียวกัน ข้างเดียวกัน  ขณะที่การต่อสู้ที่ผ่านมามีการดึงเอาไปใช้เพื่อทำร้ายคู่ต่อสู้ สนับสนุนความชอบธรรมของตัวเองซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของระบบ โดยผลเชิงปฏิบัติของปัญหานี้ ก็คือ ตัวเลขของคดีที่ผิดม. 112 ระหว่างปี 2535-2547 มีไม่ถึง 10 คดี แต่หลังจากนั้นมีปีละร้อยกว่าคดี

การดึงมวลชนเข้าร่วมโดยที่ไม่สามารถคุมได้ ใช้วิธีการนอกรธน. ทำให้หลายปีที่่ผ่านมาไม่จบ อำนาจนิยมในรัฐบาล และอนาธิปไตยในท้องถนนใช้กฎหมายพิเศษนานาประการเพื่อคุมให้ได้ พอฝั่งนึงกลับข้างขึ้นเป็นรัฐบาลก็อำนาจนิยม ฝั่งนึงกลับข้างอยู่บนถนนก็เป็นอนาธิปไตย มันไม่มีทางไป จนกว่าจะปลีกตัวออกจากวงจรนี้

การปลีกตัว ที่เราต้องการคือ "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยใหม่ในยุคการเมืองมวลชน" หมายความว่า วัฒนธรรมไทยที่หยั่งลึกในใจจนไม่อาจฉีกทำลายได้ (นิยามโดยอ.นิธิ เอียวศรีวงศ์) ในสภาพการเมืองที่เปลี่ยนไปเราต้องการรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อทำให้รัฐและการ เมืองมวลชนมีความศิวิไลซ์ ไม่สามารถทำวิธีอะไรก็ได้เพื่อชนะ

ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องอยู่กับการเมืองระดับใหญ่ โดยมีสิ่งสำคัญคือ 1. ถือความขัดแย้งเป็นปกติวิสัยของสังคมไทย ความ ขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติกับความสามัคคี ที่ต้องเริ่มความคิดแบบนี้เพราะ หากคิดว่าความขัดแย้งผิดก็จะจัดการความขัดแย้งในแบบสิ่งที่เราไม่ชอบ อย่างที่เราบี้สิว จนสิวแตก เป็นรอยปรุ ซึ่งหลังจากช่วง มีนา-เมษา "เราสิวแตก"

2. ปฏิเสธเป้าหมายสุดขั้วทางการเมืองเช่น เอาสงครามครั้งสุดท้าย เอานายกฯพระราชทาน มันไปไกลเกินไป ขัดแย้งกับโครงสร้างประวัติศาสตร์และอำนาจในทางการเมือง ผลคือการโดดเดี่ยว ไล่มิตร เพิ่มศัตรู ไปไกลสุดโต่ง การเมืองแบบสุดโต่งทำร้ายสิ่งดีงาม ในนามสิ่งดีงามหากไปอย่างสุดโต่งแล้วจะทำลายสิ่งอื่นๆเช่น ต่อต้านคอร์รัปชั่นจึงทำลายประชาธิปไตย

สุดท้ายคือ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ซึ่งยากมากที่จะเคารพสิ่งที่อยู่ตรงข้าม แต่นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ที่น่าเศร้าคือ พออยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่เห็นเขาเป็นคน เขาตายก็ไม่แคร์ ไม่เสียใจ

สรุปโดยรวม ปัญหาที่รออยู่คือ คุณทักษิณบอกว่ายิ่งลักษณ์เป็นโคลนนิ่ง เราอาจเริ่มรู้จักรัฐบาลโคลนได้หากถ้ากลับไปทบทวนคุณทักษิณ ในแง่การเมืองระหว่างประเทศได้เดินนโยบายที่เป็นแฟชั่น คือ นโยบายเศรษฐกิจใหม่ ปรับตัวเรื่องรัฐกับการเมืองในระบอบปชต. จึงกลายเป็นเสรีนิยมใหม่ทางสังคม คือ รู้ว่าตลาดไม่ชอบธรรมพอจึงต้องขยายกว้าง เมื่อรู้ว่าต้องการแรงของประชาชน ก็มีแนวโน้มเป็นเรื่องสัญญาประชาคมในแบบประชานิยม

ในแง่กลับกัน ก็เป็นประโยชน์ต่อประชาชน โยนห่วงชูชีพเพื่อชวนมวลชนสู่ตลาดด้วยประชานิยม อีกทางนึงคือกลุ่มทุนที่เป็นพวกพ้อง ซึ่งโลกาภิวัฒน์ของทักษิณเป็นเรื่องการเอียงไปทางกลุ่มทุนฝั่งตน ดังนั้น หากยิ่งลักษณ์โคลนมาก็ต้องเจอต้าน จากฝั่งขวา จากรัฐ และรัฐประชาชาตินิยมหรืออำมาตย์ รวมถึงพลังฝ่ายซ้ายตลาดเสรี (มักเป็นนักเศรษฐศาสตร์) และฝ่ายซ้ายภาคประชาชน

ตราบใดที่โคลนมา ตราบนั้นก็จะเผชิญการคัดค้านดังกล่าว ในการนี้จะมีทางแพร่งที่ยิ่งลักษณ์ต้องเจอคือ ทาง แพร่งระหว่างประชาธิปไตยกับหลักนิติธรรม หรือทางแพร่งจากอาญาสิทธิ์จากการเลือกตั้ง กับ การจำกัดอำนาจรัฐให้อยู่ในกรอบที่ไม่ล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญของบุคคลและเสียง ข้างน้อย โดยมีตุลาการอิสระคุมเส้น กล่าวง่ายๆคือเป็นหลักนิติรัฐ ซึ่งต้องการจำกัดอำนาจรัฐไม่ให้ยุ่มย่ามกับเสียงข้างน้อย โดยตรงนี้คือจุดปัญหาที่ผ่านมา และจะรวมศูนย์อยู่ในรูปแบบปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นระเบิดลูกที่ 1

แพร่งที่ 2 คือ ผลประโยชน์ส่วนตน กับส่วนรวม ซึ่งจะแสดงออกรวมศูนย์ในรูปธรรมปัญหาการทวงคืนทรัพย์สินเป็นระเบิดลูกที่ 2

แพร่งที่ 3 คือ ความจำเป็น สองด้านที่ต้องการรอมชอมกับชนชั้นเก่า และการตอบสนองความต้องการของคนเสื้อแดง  ถ้าทำได้รัฐบาลโคลนแม้วก็อยากรอมชอมและเอาใจแดงด้วย แต่ถ้าต้องเลือกทางใด คงง่ายกว่าที่จะโน้มไปรอมชอมกับกลุ่มเก่ามากกว่าเอาใจแดง ทักษิณคงหยิบยื่นสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องหลักให้กับมวลชนแดง อย่างการยกย่อง สดุดี, ให้ตำแหน่งรัฐมนตรีแก่แกนนำ เปิดโอกาสให้ไต่สวนอย่างยาวนาน แพร่งนี้จะแสดงชัดในเรื่องปัญหาความจริง ความยุติธรรมและความรับผิดชอบต่อกรณี 91 ศพ เป็นระเบิดลูกที่ 3 

สำหรับการปรองดอง ที่สำคัญที่สุดคือ การปรองดองกับประชาธิปไตย แปลว่า ให้มีจุดเริ่มต้นคือ "ประชาธิปไตยเป็นจุดยืนที่ไม่หายไปไหน" หากการปรองดองเกิดปัญหาก็ขอให้แก้ไขในระบอบนี้ 

สุดท้ายคือ เรื่องยิ่งลักษณ์ การปรองดองที่สำคัญคือการปรองดองกับความยุติธรรม นิติธรรม ต้องไม่ใช้อำนาจเกินเลย ต้องไม่กลายเป็นประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยมสมัยคุณทักษิณ เพราะ ประชาธิปไตยอำนาจนิยม คือตัวการที่ขับดันคนไปหาทางออกด้วยการรัฐประหาร

"สำหรับผู้รักประชาธิปไตยทุกคน เป็นความจริงว่าคนบางกลุ่มไม่รักประชาธิปไตย เรียกร้องรัฐประหารไม่ขาดปาก วิธีการที่จะพ้นฐานนี้คือ อย่าทำให้พวกเขากลายเป็นวีรชน ถ้าคุณรังแก ข่มเหง ลิดรอนสิทธิเขา เขากลายเป็นวีรชน วิธีการปรองดองกับพวกเขา พูดอย่างเป็นผู้รักประชาธิปไตยควรทำ ก็คือทำให้เขาเป็นตัวตลกดีกว่า"

“อ.ปราโมทย์” ชี้เลือกตั้งคราวนี้ส่อโมฆะ เหตุผิดกฎหมายเกือบทุกอย่าง


“อ.ปราโมทย์” ชี้เลือกตั้งคราวนี้ส่อโมฆะ เหตุผิดกฎหมายเกือบทุกอย่าง ทั้งคุณสมบัติผู้สมัคร ป้ายหาเสียงสัญญาว่าจะให้ การประกาศใช้เงิน พร้อมแฉ “อเมริกา” ตัวแสบหนุนเงินเว็บหมิ่นสถาบันฯ แถมแทรกแซงการเมืองไทย ปูทาง “แม้ว” มีอำนาจ หวังโกยผลประโยชน์ทางพลังงาน หวั่นเหตุการณ์รุนแรงคราวหน้าจะนองเลือดมากกว่าเดิม เนื่องจากพื้นฐานความขัดแย้งสูงขึ้น
      
       เวลาประมาณ 20.30 น. วันที่ 7 ก.ค. อ.ปราโมทย์ นาครทรรพ นักวิชาการอิสระ ได้ร่วมรายการ “คนเคาะข่าว” ทางเอเอสทีวี
      
       โดย อ.ปราโมทย์ กล่าวว่า การเลือกตั้งครั้งนี้ผิดกฎหมายเกือบทุกอย่าง ยกตัวอย่างมีผู้แทนและกรรมการบริหารของพรรคไปขึ้นเวทีเผาบ้านเผาเมือง ซึ่ง กกต. (คณะกรรมการการเลือกตั้ง) มีหน้าที่ควบคุมพรรคให้ดำเนินการให้สอดคล้องในความเป็นประชาธิปไตย จะต้องเรียกหัวพน้าพรรคไปวันรุ่งขึ้นเลย ว่าลูกพรรคทำแบบนี้ไม่ได้ ต้องเลิกทันที  ไม่ใช่แต่ทหาร หรือรัฐบาล ไม่ตัดไฟแต่หัวลม ซึ่งคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนก็บอกแล้วว่าการชุมนุมเสื้อแดง ไม่ใช่การเดินขบวนที่จะได้รับความคุ้มครองที่จะอ้างสิทธิประชาธิปไตยได้
      
       ฉะนั้น ถ้า กกต.ทำหน้าที่พรรคเพื่อไทยยุบไปนานแล้ว รวมทั้งอ่านกฎหมายแย่กว่านักเรียนนิติศาสตร์ปี 1 อย่างข้อบังคับระบุว่าถ้าลูกพรรคถูกคุมขังโดยคำสั่งศาล ไม่ได้บอกว่าต้องถูกโทษจำคุกถึงที่สุดโดยคำพิพากษาศาล ก็หมดสมาชิกภาพ ดังนั้น กรณีนายจตุพร พรหมพันธุ์ ก็เช่นกัน แต่นี่เป็นการทำผิดของ กกต.
      
       อีกทั้งการเลือกตั้งครั้งนี้ผิดกฎหมายตั้งแต่การรับสมัคร การประกาศใช้เงิน การเขียนป้ายสัญญาว่าจะให้ ซึ่งทุกพรรคต้องถูกยุบหมด การที่กกต.ถูกสันนิษฐานกว่ากลัว ไม่มีสติปัญญาคุมอนุกรรมการ ถึงแม้มีเสียงเรียกร้องให้ทำ ซึ่งทางกฎหมายเมื่อมีหลักฐานอันเชื่อได้ ไม่จำเป็นต้องมีหลักฐานแบบฟ้องศาล ก็เป็นเหตุวินิจฉัยยุบพรรคได้แล้ว ที่มันมั่วอยู่นี้เพราะผู้คนรวมทั้ง กกต. และกองทัพ ไม่ดูแลจนเกิดหมู่บ้านแดงแล้วก็ทำการเลือกตั้ง มันจะเป็นประชาธิปไตยได้หรือ ต่างประเทศก็แทรกแซง ซึ่งสิ่งเหล่านี้ที่จะนำไปสู่การเลือกตั้งเป็นโมฆะ
      
       อย่างวันที่ 27 มิ.ย. ทูตอเมริกันเชิญ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ไปพบ และออกข่าวทั่วประเทศเชิงว่าสหรัฐฯ เชียร์พรรคเพื่อไทย เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม ไม่รู้จักกาลเทศะ ไม่รู้จักวัฒนธรรมไทย เป็นการแทรกแซงการเมืองไทยโดยตรง อย่างนี้ต้องตบหน้าและไล่กลับประเทศ
      
       “แต่ว่ามันไม่ใช่การกระทำของทูตอย่างเดียว มันมีเอกสารที่ตอบโต้วิกิลีกส์ มีบทความว่าแท้ที่จริงเงินที่สนับสนุนเว็บไซต์ที่จาบจ้วงพระบาทสมเด็จพระ เจ้าอยู่หัว ที่สนับสนุนฝ่ายแดง เอามาจากเงินเสียภาษีของชาวอเมริกันทั้งสิ้น ผ่านองค์กรซึ่งตั้งมาโดยสภาคองเกรส คือ Endowment for Democracy ซึ่งสนับสนุนเว็บไซต์ประชาไท และเว็บไซต์ลูกข่าย ซึ่งทราบดีว่าเว็บนี้มีเนื้อหาจาบจ้วง
      
       นอกจากนี้ ข่าวรอยเตอร์ก็เสนอว่าแม้กระทั่งหมู่บ้านเสื้อแดงก็มาจากเงินของอเมริกัน รวมทั้งการประชุมที่กระทรวงต่างประเทศที่อเมริกา เมื่อวันที่ 28 มิ.ย.54 ประชุมโดยผู้เชี่ยวชาญ และผู้มีตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลอเมริกา ก็มีการพูดจาบจ้วงพระเจ้าแผ่นดินว่าทรงพระชราแล้ว นายทักษิณเป็นคนที่เราต้องทำงานด้วย เพราะพูดจาได้ด้วยง่าย หวังว่าจะได้รัฐบาลนี้ และไทยควรเคารพผลเลือกตั้ง และมีข้อความไม่สมควรด้วย เช่นประชาธิปัตย์ไม่ได้เรื่อง” อ.ปราโมทย์กล่าว
       
      
       จากนั้นผู้ดำเนินรายการถามว่า เรื่องชายแดนไทย-กัมพูชาจะเป็นเหตุให้รัฐบาลชุดนี้เผชิญหน้ากับประชาชนหรือ ไม่ อ.ปราโมทย์กล่าวว่า เป็นไปได้สูง เพราะรัฐบาลชุดนี้พัวพันกับกัมพูชา ซึ่งก็อยู่ในแผนที่ของผลประโยชน์พลังงาน ซึ่งมีหนังสือพิมพ์ต่างประเทศเขียนแล้วว่าการเลือกตั้งไทยครั้งนี้เป็นการ ยื่นหมูยื่นแมวให้โกบอลลิสต์กรุ๊ปของทักษิณและบุช ซึ่งก็เสนอเกินจริงไปหน่อย แต่ก็มีความจริงที่ว่าการที่กลุ่มทุนนิยม อภิมหาทุนพลังงานที่สามารถใช้รัฐบาลต่างๆเป็นเครื่องมือได้ พวกนี้ก็เห็นว่าฮุนเซนอยู่ และทักษิณมีอำนาจ จะสามารถหากินน้ำมันในอ่าวไทย แร่ในภาคอีสาน รวมถึงพลังงานในภาคใต้ ถ้าเขาไม่ได้ก็จะพยายามทำให้ไม่สงบเพื่อจะเข้ามามีส่วนให้ได้
      
       เขามองว่านายทักษิณและนายฮุนเซนมีสัมพันธ์อันดีมากกว่าประชาธิปัตย์ รัฐบาลก็จะโอนอ่อนให้ฮุนเซน ปัญหาคือพันธมิตรฯ จะยอมหรือ ถ้าไม่ยอมก็ปะทะรัฐบาลด้วยกับเขมรด้วย ทหารมีปัญหาคือรัฐบาลจะครอบงำได้หรือไม่ ล้วนแต่เป็นคำถาม ซึ่งไม่มีใครตอบได้ แต่หลักๆมีแนวโน้มว่าผลประโยชน์ทุนนิยมข้ามชาติ จะเหนือกว่าประโยชน์ชาติไทยและกัมพูชา ซึ่งเกิดความขัดแย้ง และแก้ยากกว่ายกที่ผ่านมาเพราะแก้ไม่เด็ดขาดในครั้งที่ผ่านมา เพราะประชาธิปัตย์อาจมีคนที่กินสินบน เลยพูดไม่ออกเกิดความคาราคาซัง
      
       อ.ปราโมทย์กล่าวอีกว่า รัฐบาลนี้ ปัญหานายวีระน่าจะดีขึ้นเพื่อเอาหน้า แต่ทุกอย่างชั่วคราวหมด  ปัจจัยแทรกแซงต่างชาติ บวกกับทุนนิยมข้ามชาติ จะทำให้ประเทศไทยสั่นสะเทือนตลอด ความสามารถทางการเมืองที่จะแก้ไข สร้างความราบรื่นคงเป็นไปได้ยาก  พรรคการเมืองก็มีหลายมุ้ง แย่งอำนาจ แย่งตำแหน่ง ก็จะสู้กัน รัฐบาลถึงเสียงท่วมท้นก็ไม่มีเสถียรภาพ แก้ปัญหาต่างๆ ยาก อาจนองเลือดยิ่งกว่าเดิม เพราะพื้นฐานความขัดแย้งสูงขึ้น ทำง่ายขึ้น การคมนาคมสะดวก การพัฒนาอาวุธทำให้ราคาถูก และหาง่าย แรงงานต่างประเทศที่เข้ามาอยู่บางส่วนก็มีสมรรถภาพในการก่อการร้าย เราสู้ยาก ถ้าหากมีก่อวินาศกรรม เมืองไทยไม่มีทางรับมือได้ เพราะไม่ได้เตรียม ที่ผ่านมาต่างฝ่ายยังด้อยฝีมือแต่ตอนนี้เรียนรู้มากขึ้นแล้ว
      
       วิธีป้องกันเหตุร้าย ขอแนะนำว่าต้องทำตามกฎหมายให้มากสุด ให้รู้ว่าทุกคนอยู่ภายใต้กฎหมาย โอกาสรัฐประหารมีเพราะทหารกลัวเสียอำนาจ แต่ถ้าทหารรักประเทศจริงไม่ควรยึดอำนาจแบบเดิม แต่ควรสนับสนุนให้ทุกคนทำตามกฎหมาย และยืนหยัดในการรักษาความสงบเรียบร้อยของสังคม
      
       “แต่จะใจถึงหรือเปล่าไม่ทราบ ใครกล้าหาญตอนนี้เป็นโอกาสช่วยบ้านเมือง ถ้ายอมรับกฎหมายและให้ กกต.เดินไปตามกฎหมาย  ถ้า กกต.กลัว ติดสินบน ทหารเฉยชา โอกาสนองเลือด สูญเสียความเป็นเมืองไทย แม้แต่สถาบันฯ ก็จะเร็วกว่าที่คิด และนำไปสู่มิคสัญญีเร็วด้วย ซึ่งน่าเสียดายเมืองไทยไม่น่าไปสู่สิ่งเหล่านี้เพราะคนเห็นแก่ตัว” อ.ปราโมทย์กล่าว 
      
      

ถ้าไม่คิดจะหมิ่นเบื้องสูง...จะกลัวทำไมกับกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (แก้ไขมาตรา 112)


  by สายลมที่ผ่านมา , ผู้อ่าน : 460 , 15:27:51 น.  

"สำหรับ ปัญหาเกี่ยวกับความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ และความผิดฐานหมิ่นประมาท ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี สำหรับการแสดงความคิดเห็นถือเป็นการดูหมิ่นเบื้องสูง น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า
ควรจะมีการสะสางให้เสร็จสิ้น ตนก็ไม่อยากให้ประชาชนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยเกินไป และไม่ต้องการให้คนไทยใช้กฎหมายนี้ในทางที่ผิด" (จาก Blogger Canไทเมือง :: http://www.oknation.net/blog/canthai/2011/07/07/entry-8)
อ่าน แล้วก็งงกับความคิดของว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ที่คิดจะสะสางปัญหาเกี่ยวกับกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามที่ได้ให้สัมภาษณ์ กับ The Independent ของสหราชอาณาจักร และหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับอื่น ๆ
ทั้ง ๆ ที่ประกาศป่าว ๆ ในตอนหาเสืยงเพื่อให้ได้เสียงโหวตในการเป็นสมาชิกผู้แทนราษฏรว่า "จงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์" อันหมายถึง องค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และพระบรมวงศานุวงศ์ แต่มาวันนี้ กลับคิดจะ "สะสาง" กฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ (แก้ไขมาตรา 112) อันเป็นกฏหมายที่ใช้ในการปกป้องพระเกียรติไม่ให้ใครต่อใครมาทำให้เสียหายมัวหมองเสียแล้ว 
อยากย้อนถามกลับไปยังผู้รู้ทุกท่านหน่อยค่ะว่า "หากไม่ทำผิด" แล้วจะกลัวทำไมกับกฏหมาย ไม่ว่าจะเป็นกฏหมายใด ๆ ก็ตาม ไม่มีเหตุผลอันใดเลยที่จะต้องไปเกรงกลัว  หากไม่มีคนที่จะทำผิดบ่อย ๆ เหตุใด จึงต้องกลัว ประชาชนจะใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยเกินไป
ยิ่งที่ให้สัมภาษณ์ว่า "ไม่ต้องการให้คนไทยใช้กฎหมายนี้ในทางที่ผิด" นั่นยิ่งไม่มีเหตุผลอย่างยิ่ง หากเจ้าหน้าที่รัฐ โดยกระทรวงที่มีหน้าที่ในการปฏิบัติตามกฏหมาย บังคับใช้กฏหมาย อย่างกระทรวงมหาไทย มีความรู้เท่าทันและวิเคราะห์ได้ ยิ่งไม่เห็นต้องเกรงกลัวว่า "คนไทยจะใช้กฏหมายนี้ในทางที่ผิด" และส่วนตัวดิฉันเองก็เชื่อว่า "คนไทยทุกคนที่มีหัวใจเป็นคนไทย" ก็จะไม่ใช้กฏหมายนี้ในทางที่ผิดอย่างแน่นอน
โดยเฉพาะเมื่อกระทรวงที่ทำหน้าที่ตัดสินความผิดเกี่ยวกับคดี "หมิ่นพระบรมเดชานุภาพ" ซึ่งจะควบคุมการทำงานของเจ้าหน้าที่ตำรวจ ในการฟ้องร้องและวินิจฉัยคดีดังกล่าวอย่าง "กระทรวงยุติธรรม" แล้วด้วย ยิ่งไม่มีความน่ากลัวใด ๆ เลย นอกเสียจากว่า ฯพณฯ ท่านจะไม่ไว้ใจการทำงานของกระทรวงต่าง ๆ ในคณะรัฐบาลตัวเอง จึงต้องทำการ "สะสาง" ให้รู้แล้วรู้รอดไป (เอออ จะว่าไปดูทรงแล้วก็น่าหวั่นใจเหมือนกันแฮะ !!!)
หรือ สิ่งที่ประกาศไปตอนหาเสียงจะเอาเป็นนิยายอะไรไม่ได้เหมือนกับนโยบายหลายหลาย ที่งัดเอามาใช้ในการหาเสียง ที่เมื่อได้รับคะแนนเสียงมาแล้ว ก็มีเงื่อนไขปลีกย่อยมากมายจนเอาสาระใด ๆ ไม่ได้
โฆษณาชวน เชื่อยังมี สคป. บังคับให้กำกับคำเตือน ถึงจะตัวเล็กจนแทบต้องใช้แว่นขยาย แต่นโยบายชวนเชื่อของหลากหลายพรรคการเมือง กลับไม่มีหน่วยงานใด ๆ กำกับดูแล ไม่มีแม้นแต่ คำเตือนตัวเท่ามดให้ได้สังเกตุกัน..
ย้ำ อีกครั้ง "ถ้าไม่คิดจะหมิ่นเบื้องสูง...แล้วจะกลัวไปใยกับกฏหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ " จนถึงกลับต้องเข้าไป "สะสาง" หละค่ะเจ้านายยยยยยย !!!

"ณัฐวุฒิ" เจาะข่าวเด่น ช่อง 3 กรณีเสื้อแดงแตก

สุนัยร่อนจม.เปิดผนึกส.ส.เพื่อไทย:หยุดแย่งเก้าอี้รมต. เร่งฉลองศรัทธาเสียงสวรรค์ที่ตกอยู่ในอันตราย




เนื้อแท้แห่งชัยชนะ 3 ก.ค. จึงเป็นภาพลวงตาที่เราทุกคนต้องตระหนักถึงความเป็นจริง โดยเฉพาะส.ส.ของพรรคจะต้องผนึกกำลังฉลองศรัทธาแห่งเสียงสวรรค์ ด้วยการใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ แก้ปัญหาปากท้องความทุกข์ยากของประชาชน,ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนที่เสีย ชีวิตและบาดเจ็บจากการเรียกร้องประชาธิปไตย ปิดกั้นการขยายตัวของรากเหง้าเผด็จการ

โดย ดร.สุนัย จุลพงศธร
8 กรกฎาคม 2554

หมายเหตุไทยอีนิวส์:ส.ส.ดร.สุนัย จุลพงศธร ทำจดหมายเปิดผนึก ถึงเพื่อนสมาชิกพรรคเพื่อไทย และส.ส.พรรคเพื่อไทยทุกคน เราเห็นว่ามีเนื้อหาที่สอดคล้องกับความเรียกร้องต้องการของมวลชนเสื้อแดง และผู้ต่อสู้ดิ้นรนเพื่อประชาธิปไตยที่แท้จริง จึงได้นำมาเผยแพร่ในวงกว้าง



จดหมายเปิดผนึกของ ส.ส.สุนัย จุลพงศธร

เรื่อง ภาพลวงตาแห่งชัยชนะและต้องมองการเมืองให้ยาวไกล


ชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทยเมื่อ 3 กรกฎาคม 2554 เนื้อแท้เป็นชัยชนะที่ประชาชนส่วนใหญ่ไม่อาจทนได้ต่อไปกับรากเหง้าแห่งระบอบ เผด็จการ

ที่สมคบกับกลุ่มการเมือง และพรรคการเมืองตัวแทนที่กระทำการยึดอำนาจล้มระบอบประชาธิปไตย ฉีกรัฐธรรมนูญ 2540 ที่ประชาชนร่วมกันร่างขึ้น เป็นฉบับแรก โดยใช้อำนาจเผด็จการเชิงโครงสร้างทั้งศาล ทหาร ตำรวจ และองค์กรอิสระ ทุบทำลายรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยชอบถึง 3 รัฐบาลภายใต้การควบคุมของกกต.ที่ตั้งโดยพวกเขา ติดต่อกันภายใน 5 ปี ด้วยวิธีการที่ป่าเถื่อนที่สุดที่นานาอารยะประเทศไม่อาจยอมรับได้ ตั้งแต่ขับรถถังยึดสภา ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน และฆ่าประชาชนอย่างโหดร้ายกลางกรุงเทพมหานคร

คะแนนเสียงของมหาชนจึงเป็นเสียงสวรรค์ที่เรียกร้องความเป็นธรรมทางการเมือง และทางกฎหมายด้วยการใช้มาตรฐานเดียวกัน โดยรวมศูนย์ความเห็นอกเห็นใจอยู่ที่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรในฐานะสัญลักษณ์ของเหยื่ออธรรมทางการเมือง

แต่ความเป็นจริงระบอบเสียงสวรรค์นี้กำลังอยู่ในภาวะอันตรายที่สุดเพราะระบอบ เผด็จการยังทำใจไม่ได้ และพร้อมจะสร้างสถานการณ์ให้ปั่นป่วนและลุกขึ้นมาใช้อาวุธโค่นล้มระบอบเสียง สวรรค์นี้เช่นอดีตที่เคยทำมาแล้ว

เนื้อแท้แห่งชัยชนะ 3 ก.ค. จึงเป็นภาพลวงตาที่เราทุกคนต้องตระหนักถึงความเป็นจริงนี้ โดยเฉพาะสส.ของพรรคจะต้องผนึกกำลังฉลองศรัทธาแห่งเสียงสวรรค์ ด้วยการใช้อำนาจที่ประชาชนมอบให้ แก้ปัญหาปากท้องความทุกข์ยากของประชาชน,ให้ความเป็นธรรมแก่ประชาชนที่เสีย ชีวิตและบาดเจ็บจากการเรียกร้องประชาธิปไตย และเร่งสร้างความปรองดองให้ได้โดยเร็วเพื่อให้ประชาชนมีศรัทธาต่อระบอบ ประชาธิปไตย และปิดกั้นการขยายตัวของรากเหง้าเผด็จการ ,

นี้คือภารกิจหลักของ สส.ในรอยต่อที่อันตราย,มิใช่การแสดงตัวโอ้อวดความสามารถและแย่งตำแหน่ง รัฐมนตรี,ขอให้สส.ทั้งหลายควรสำนึกถึงความจริงในเวลานี้ว่า โดยส่วนตัวของท่าน,ท่านไม่อาจจะก้าวข้ามป้อมปราการแห่งอำนาจเผด็จการและเงิน ตรามาหาศาลของอดีตพรรคร่วมรัฐบาลได้ หากขาดซึ่งกระแสแห่งศรัทธาของมหาชนในตัวพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นธงนำ

กระผมรู้ถึงความเหน็ดเหนื่อยของท่าน สส.เพื่อไทยทุกคนที่ต่อสู้ร่วมกันมา แต่ขอให้ทุกคนมองการเมืองให้ยาวไกล อย่ามองแต่ผลประโยชน์เฉพาะหน้า และขอให้เชื่อมั่นในผู้นำคนสำคัญของพรรคฯที่ไม่ทอดทิ้งเรา และมีศักยภาพที่จะเลือกสรรบุคลากรที่เหมาะสมขึ้นมาเป็นรัฐมนตรีแก้วิกฤติการ เมืองที่รออยู่

ขอให้ท่าน สส.ระลึกถึงอยู่เสมอเถิดว่า,เรา (นักการเมือง) ไม่อาจจะหลอกใช้หน้าหนังสือพิมพ์ และหน้าจอโทรทัศน์ เพื่ออวดอ้างความสามารถของตัวเองและพลังกลุ่มสส.ของตนได้ โปรดช่วยกันสนับสนุนให้สื่อสารมวลชนใช้พื้นที่สื่อของเขาเพื่อสร้างสรรค์ ประชาธิปไตย และการปรองดองจะดีกว่ าโปรดอย่าไปแย่งใช้พื้นที่หน้าสื่อของเขาเพื่อสร้างข่าวที่บั่นทอนจิตใจ ประชาชนเลย

ขอให้ประชาชนเชื่อมั่นว่าสส.ของพรรคเพื่อไทยส่วนใหญ่ยึดมั่นในแนวทางประชาชน และพร้อมจะต่อสู้เคียงข้างกับท่านเพื่อให้สังคมไทยกลับคืนสู่ความเป็นธรรม

จงสามัคคีกัน เชื่อมั่นในศูนย์การนำพรรคฯ และเชื่อมั่นในผู้นำพรรคฯคนสำคัญที่ กกต.ไม่ให้เอ่ยชื่อ

ส.ส.สุนัย จุลพงศธร

ดีใจจัง...หนูมีบัตร!

 หากยังจำกันได้ เมื่อเราอายุ 15 ปีบริบูรณ์ ในช่วงเวลานั้นไม่ว่าใครก็ต้องตื่นเต้นกับการที่จะได้มีโอกาสไปถ่ายรูปทำ บัตรประชาชนของตัวเองเป็นครั้งแรก
แต่ในวัน 10 ก.ค.2554 ที่จะมาถึงนี้นั้น ได้กลายเป็นอีก 1 วันแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของประเทศเลยก็ว่าได้ เพราะเป็นการเปลี่ยนกฎหมายเดิมที่มีมาช้านานอย่างการกำหนดให้คนไทยที่มีอายุ 15 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปมาทำบัตรประชาชนใบแรก เปลี่ยนมาเป็นการกำหนดให้คนไทยเริ่มทำบัตรประชาชนใบแรกตั้งแต่อายุ 7 ขวบแทน
 ตามข้อกำหนดของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ที่ระบุว่า  "บัตรประจำตัวประชาชน" เป็นเอกสารที่ทางราชการออกให้บุคคลที่มีสัญชาติไทย เพื่อพิสูจน์ทราบและยืนยันตัวบุคคล เป็นหลักฐานชิ้นแรกที่จะนำไปสู่การมีสิทธิรับบริการต่างๆ ของภาครัฐและเอกชน เช่น สิทธิในการรักษาพยาบาล เป็นต้น
ตามพระราชบัญญัติบัตรประจำตัว ประชาชน (ฉบับที่ 3) พ.ศ.2546 ที่จะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 10 กรกฎาคม 2554 มีสาระสำคัญ คือ การกำหนดอายุของบุคคลสัญชาติไทยที่จะต้องมีบัตร คือ ให้ผู้มีอายุครบ 7 ปีบริบูรณ์จะต้องยื่นคำขอมีบัตรภายใน 60 วัน (กรณีผู้มีอายุระหว่าง 7 ปีบริบูรณ์จนถึงก่อนครบ 15 ปีบริบูรณ์ ให้ยื่นขอมีบัตรภายใน 1 ปี นับจากวันที่ 10 กรกฎาคม 2554 หรือหากมีความจำเป็น รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยจะขอขยายเวลาออกไปได้ การกำหนดให้บัตรมีอายุ 8 ปี การกำหนดบุคคลที่มีหน้าที่ยื่นคำร้องขอมีบัตร ขอมีบัตรใหม่ หรือเปลี่ยนบัตร ของผู้ที่อายุไม่ถึง 15 ปีบริบูรณ์ เป็นหน้าที่ของบิดา มารดา ผู้ปกครอง หรือบุคคลซึ่งรับดูแล เป็นผู้ยื่นคำขอ แต่ไม่ตัดสิทธิบุคคลที่จะยื่นคำขอด้วยตนเอง
ในการกำหนดโทษการยื่นคำขอมี บัตรเกินกำหนด กรณีขอมีบัตรครั้งแรก ได้สัญชาติไทย ต่ออายุบัตร บัตรหาย ชำรุด เปลี่ยนชื่อตัว-ชื่อสกุล ไม่ยื่นขอมีบัตรภายใน 60 วัน จะมีโทษปรับไม่เกิน 100 บาท และกรณีผู้ถือบัตรไม่มีบัตรแสดงเมื่อพนักงานตรวจบัตรขอตรวจ ผู้ถือบัตรที่มีอายุตั้งแต่ 15 ปีขึ้นไปจะต้องระวางโทษปรับไม่เกิน 200 บาท รวมทั้งกำหนดอัตราค่าธรรมเนียม กรณีทำบัตรผู้ได้รับการยกเว้น ไม่เสียค่าธรรมเนียม, ทำบัตรหาย ชำรุด แก้ไขชื่อตัว-ชื่อสกุล 100 บาท, ออกใบแทน 10 บาท และขอตรวจคัดสำเนา 10 บาท
เราได้รายละเอียดภาพที่ ชัดเจนจากสำนักบริหารการทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย โดยคุณจักรี ชื่นอุระ ผู้อำนวยการสำนักบริหารทะเบียน กรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ได้เปิดเผยรายละเอียดการเปลี่ยนแปลงเกี่ยวกับระบบทะเบียนราษฎรครั้งประวัติ ศาสตร์ของไทยว่า ที่มาในการทำบัตรประชาชนให้เด็กมีจุดประสงค์เพื่อให้เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 15 ปี ได้ทำบัตรทอง 30 บาท รักษาทุกโรค ที่เริ่มใช้มาตั้งแต่ปี 2546 เป็นต้นมา ซึ่งปัญหาการใช้บัตรทองในขณะนั้นคือ คือ เด็กทำบัตรหาย บัตรหมดอายุ รวมทั้งการทำบัตรเหล่านั้นไม่มีรูปยืนยันเพื่อแสดงความเป็นเจ้าของสิทธิ์ เหมือนบัตรประชาชน ต่อมาจึงได้มีการผลักดันให้กระทรวงมหาดไทยเสนอให้ทำบัตรประจำตัวประชาชนให้ แก่เด็กที่มีอายุตั้งแต่ 7 ปีบริบูรณ์ขึ้นไป เพื่อให้สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ ซึ่งการทำบัตรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากแต่อย่างใด เพราะฐานข้อมูลตรงนี้ก็มีระบบจัดเก็บข้อมูลตั้งแต่เกิดอยู่แล้ว
 ในช่วง เวลาราวปี 2546 หลังจากที่ได้มีการส่งเรื่องเข้าสภาแล้ว ก็เกิดเหตุการณ์ยุบสภาเกิดขึ้นเสียก่อน จนกระทั่งในรัฐบาลชุดล่าสุดนี้ การนำเรื่องการทำบัตรประชาชนให้คนตั้งแต่อายุ 7 ขวบขึ้นไป ก็ได้รับการอนุมัติจากการประชุม ครม.ครั้งสุดท้าย ให้กฎหมายนี้ถูกประกาศในพระราชกิจจานุเบกษา ในวันที่ 11 พ.ค.54 รวมทั้งสามารถบังคับใช้ได้ในทันทีในวันที่ 10 ก.ค.54 ซึ่งจากการที่ปีนี้เป็นปีแรกที่เริ่มต้นการใช้กฎหมายนี้ ทำให้มีเด็กอายุ 7-14 ปี จำนวน 8 ล้านคน กลายเป็นกลุ่มคนกลุ่มแรกที่อยู่ในช่วงที่ต้องดำเนินการทำบัตรประชาชนใบแรก
 “บัตร ประจำตัวประชาชนที่เด็กต้องทำนั้นก็แบบเดียวกับบัตรของผู้ใหญ่ ไม่มีสิ่งใดแตกต่างกันเลย นอกจากคำนำหน้าที่เป็น ด.ช. หรือ ด.ญ. เท่านั้น ในด้านประโยชน์ ก็จะสะดวกในการใช้แสดงตนเข้ารักษาพยาบาลกับทางรัฐฟรี โดยไม่ต้องพกสูจิบัตรหรือทะเบียนบ้านมาแสดง การขอสิทธิประโยชน์ที่อาจจะเกิดขึ้นในอนาคต อย่างการแสดงสิทธิ์การขอรับแท็บเลตกับทางรัฐบาล ที่บอกว่าจะแจกฟรีให้เด็ก รวมถึงการป้องกันปัญหาการสวมสิทธิ์จากเด็กต่างด้าว เพราะในวันนี้พวกเด็กๆ เขาไม่มีบัตรอะไรที่มีรูปถ่ายไว้แสดงตนที่เป็นทางการ คงจะดีกว่าถ้าจะมีบัตรสักใบที่เป็นการแสดงตัวเขา ส่วนการทำบัตรนั้นก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่เอกสารครบ ทำครั้งเดียวก็ใช้ได้ยาวถึง 8 ปีเลย”
ส่วนปัญหาหน้าตาของเด็กที่อาจจะ อยู่ในช่วงที่กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว รูปอาจจะเปลี่ยนไม่ตรงกับตัวจริงมากนัก ผู้อำนวยการสำนักบริหารทะเบียน ตอบข้อข้องใจนี้ว่า ตรงนี้เรามีการทำฐานข้อมูลในแบบเดียวกับผู้ใหญ่ ที่ไม่เพียงแต่มีการถ่ายภาพ แต่จะให้ลงบันทึกลายนิ้วมือ นิ้วโป้ง นิ้วชี้ ทั้งซ้ายและขวา ณ จุดนี้จะสามารถยืนยันตัวตนคนคนนั้นได้
"คนเราแม้ใบ หน้าจะเปลี่ยนแปลงไป แต่ลายนิ้วมือเราจะไม่เปลี่ยนแปลง รวมทั้งปัญหาในด้านวุฒิภาวะในการเก็บรักษาบัตรของเด็กๆ ที่หลายฝ่ายมองกันว่ายังมีไม่มากพอที่จะเก็บรักษาได้ จุดนี้หากเกิดสูญหายขึ้นมาก็เพียงแค่ไปทำบัตรใหม่ที่จุดรับบริการเท่านั้น เอง"
 ผอ.สำนักบริหารทะเบียน ยังบอกต่อด้วยว่า การมาทำบัตรครั้งแรกที่ต้องมีการถ่ายรูป ประกอบกับการยืนยันตัวบุคคลที่ต้องใช้สูจิบัตร โดยในการที่ต้องยืนยันตัวบุคคลได้ดีที่สุดนอกจากใช้เอกสารสูจิบัตรแล้ว จึงต้องอาศัยตัวบุคคล ไม่ว่าจะเป็นผู้ปกครอง ครู อาจารย์ มาให้การรับรอง ฉะนั้นการที่จะนำเด็กมาทำบัตรประชาชนได้ดีที่สุด คือ การมาทำบัตรเป็นหมู่คณะกับทางโรงเรียน เพราะครูประจำชั้นจะสามารถเป็นคนรับรองได้ดีที่สุดว่าเด็กคนไหนชื่ออะไร อีกทั้งเด็กที่อยู่ในกลุ่มที่ต้องทำบัตรกว่า 100 เปอร์เซ็นต์นั้น เป็นเด็กที่อยู่ในระหว่างการศึกษากับทางโรงเรียน
 ด้วยสาเหตุนี้ ในช่วงแรก กรมการปกครองจึงได้ประสานไปยังจังหวัด แล้วจึงให้ทางจังหวัดประสานต่อไปยังอำเภอ เพื่อให้ทางอำเภอได้ประสานต่อไปยังโรงเรียนที่อยู่ในพื้นที่ของโรงเรียนนั้น เพื่อให้ทางโรงเรียนได้จัดส่งนักเรียนพร้อมทั้งใบสูจิบัตรของนักเรียนแต่ละ คนและครูประจำชั้นในการยื่นยันตัวบุคคลมาทำบัตรประจำตัวประชาชนในวันเสาร์ ซึ่งจะเป็นการสะดวกในการทำบัตร และสะดวกในการจัดระเบียบของเด็กในการเข้ารับบริการ เพื่อหลีกเลี่ยงการทำบัตรที่จะต้องปะปนกับผู้ใหญ่ในวันและเวลาราชการ นอกจากนี้ ในช่วงต่อไปยังได้จัดให้มีชุดเคลื่อนที่หรือชุดโมบายลงพื้นที่ไปทำบัตร ประชาชนให้กับนักเรียนโดยตรงถึงโรงเรียน
 “ตรงจุดนี้อยากจะแจ้งผู้ปกครอง ให้ทราบโดยทั่วกันด้วยว่า ในการทำบัตรไม่ต้องรีบแห่กันไปทำ นอกเสียจากว่ามีเรื่องเร่งด่วนจริงๆ ก็สามารถไปทำบัตรที่อำเภอได้วันและเวลาปกติเช่นเดียวกับผู้ใหญ่ แต่นอกเหนือจากนี้ ทางเราจะอำนวยความสะดวกให้ โดยจะเป็นฝ่ายประสานงานไปทางจังหวัด อำเภอ และโรงเรียนในการกำหนดวันให้เด็กเข้ามาทำบัตร หรือจัดชุดโมบายลงพื้นที่ไปทำบัตรด้วยตัวเอง”
ส่วนศักยภาพในการทำบัตร ของเครื่องทำบัตรที่มีอยู่ของแต่ละอำเภอจะอยู่ที่ 100 ใบ ต่อ 1 วัน ต่อ 1 เครื่อง ในกรณีนี้ ในบางอำเภอหรือบางเขตที่ใหญ่ ก็จะมีเครื่องทำบัตรมากกว่า 1 เครื่อง โดยหากเปรียบเทียบการทำบัตรให้เด็กเฉพาะวันเสาร์ในโรงเรียนทั่วประเทศ ซึ่งขณะนี้มีหน่วยงานทั้งเขต อำเภอ และเทศบาลที่มีจุดรับทำบัตรทั้งประเทศจำนวน 1,078 แห่ง อัตราการทำบัตรแห่งละ 100 ใบ ใน 1 วันจะอยู่ที่ราวๆ 100,000 ใบ หรือปีละ 5 ล้านใบ ในกรณีนี้ยังไม่รวมบางพื้นที่ที่มีเครื่องทำบัตรมากกว่า 1 เครื่อง และชุดโมบายที่จะลงพื้นที่ไปทำบัตรให้ถึงโรงเรียนในวันปกติ
 การเตรียม ตัวและความพร้อมอื่นๆ กรมการปกครองเองก็ได้แจ้งให้ทุกจุดทำบัตรทั่วประเทศได้ปรับแก้อุปกรณ์การทำ บัตร เพื่อรองรับการเข้ามาทำบัตรของเด็กๆ ไม่ว่าจะเป็นการปรับฉากหลังจาก 100-195 ซม. มาเป็น 50-195 ซม. ปรับขาตั้งกล้องจากที่เป็นแบบสั้นวางบนโต๊ะ ก็เปลี่ยนมาเป็นแบบขายาวที่ใช้วางบนโต๊ะ รวมทั้งในด้านความพร้อมของจำนวนบัตร ขณะนี้มีบัตรอยู่ในการกักเก็บพร้อมใช้งานทันทีแล้วจำนวน 10 ล้านใบ พร้อมทั้งกำลังทยอยมาอีก 26 ล้านใบ ฉะนั้นมั่นใจได้ว่าเด็กจะได้รับบัตรที่มีคุณภาพดีครบถ้วนทุกคน และไม่ต้องมาคอยพกบัตรเหลืองอย่างแน่นอน
 มาดูความเห็นของน้องๆ หนูๆ และผู้ปกครองกันบ้าง จากการที่เด็กๆ จะได้มีโอกาสทำบัตรประชาชนใบแรก เริ่มที่ น้องโปลิส-ด.ช.เอกสิทธิ์ สงศรีอินทร์ อายุ 7 ปี นักเรียนชั้น ป.2 โรงเรียนผ่องสุวรรณวิทยา บอกว่า ตอนนี้มีแต่บัตรนักเรียน ก็อยากมีบัตรประชาชนบ้างจะได้เหมือนผู้ใหญ่ ถ้ามีจริงๆ ก็ต้องฝากแม่ไว้ เพราะกลัวจะทำบัตรหาย เคยทำกระเป๋าตังค์หายแล้ว แต่ถ้าจำเป็นต้องเอาบัตรประชาชนติดตัวไปด้วยก็ต้องเก็บไว้ให้ดีๆ  
 ขณะ ที่คุณแม่น้องโปลิส พรทิพย์ สงศรีอินทร์ แสดงความเห็นต่อการทำบัตรประจำตัวประชาชนของเด็กที่อายุครบ 7 ปีขึ้นไปว่า จะเป็นประโยชน์สำหรับพ่อแม่ผู้ปกครองถ้าลูกหลานมีบัตรประชาชน สะดวกเวลาแสดงสิทธิรับบริการต่างๆ ของเด็ก ไม่ต้องถือสูจิบัตรมาให้ยุ่งยาก เวลาพาน้องขึ้นเครื่องบินก็ใช้บัตรนี้แสดงตัว หรือกรณีเด็กพลัดหลง ถ้ามีบัตรติดตัวอยู่จะช่วยให้ส่งคืนพ่อแม่ได้เร็วขึ้น เพราะมีชื่อ-นามสกุล ที่อยู่ ก็ตั้งใจจะพาน้องโปลิสลูกชายไปทำบัตรในวันอาทิตย์ที่ 10 กรกฎาคมนี้ ที่โรงเรียนวัดสุวรรณบำรุงราชวราราม อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี เพราะทราบว่าจะมีหน่วยบริการจัดทำบัตรเคลื่อนที่มาให้บริการทำบัตร    
 น้อง บิ๊ว-ด.ญ.นันทิกานต์ บุญนาด อายุ 13 ปี นักเรียนชั้น ม.1 โรงเรียนเตรียมอุดมศึกษาพัฒนาการลำลูกกา บอกว่า ดีใจที่จะได้ทำบัตรประชาชนเป็นครั้งแรก แล้วจะมีรูปตัวเองอยู่บนบัตรด้วย คิดว่าบัตรนี้เด็กจะใช้ประโยชน์ได้ เป็นบัตรแสดงเวลาไปติดต่อราชการ แต่ถ้ามีบัตรแล้วคงฝากผู้ปกครองดูแล ส่วนใหญ่เด็กจะมีแต่บัตรนักเรียนที่โรงเรียนออกให้
 เรียกได้ว่าพอกฎหมาย นี้ออกมา ทำให้คนไทยทั้งประเทศต้องเปลี่ยนความเข้าใจทั้งหมดเสียใหม่เลยในการทำบัตร ประชาชนใบแรก แต่พอเปลี่ยนแล้วจะดีหรือไม่ดีก็คงต้องปล่อยให้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์ต่อไป แต่ที่แน่ก็คือ ในปีนี้ เด็กไทยตั้งแต่อายุ 7 ขวบขึ้นไปจะมีบัตรประจำตัวประชาชนใบแรกกันแล้ว...  ////////////////////////////////////////////////////////////////////////////////
 ล้อมกรอบ
                                       ทำบัตรได้ที่ไหน?
การ เตรียมการทำบัตรประชาชนให้เด็ก กรมการปกครองอำนวยความสะดวกและแบ่งเบาภาระด้านเวลาและค่าใช้จ่ายของประชาชน ดังนี้ ในการทำบัตรประชาชนของน้องๆ ที่อยู่ในช่วงอายุ 7-14 ปี กรมการปกครองได้จัดทำโครงการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดทำบัตรประจำตัวประชาชน เพื่อรองรับกลุ่มบุคคลที่ต้องมีบัตรตามกฎหมายบัตรประจำตัวประชาชนฉบับใหม่ ด้วยการให้บริการเชิงรุก โดยสำนักบริหารการทะเบียน ศูนย์บริหารการทะเบียนภาค 9 แห่ง และศูนย์บริหารการทะเบียนภาค สาขาจังหวัด 77 ศูนย์ จัดหน่วยบริการจัดทำบัตรเคลื่อนที่ (Mobile Unit) ออกไปให้บริการจัดทำบัตรให้กับนักเรียน นักศึกษา ตามสถานศึกษาต่างๆ เดือนละ 3 ครั้ง เริ่มดำเนินการทั่วประเทศ รวมทั้งยังได้จัดวันและเวลาที่เหมาะสมในช่วงวันเสาร์ เชิญโรงเรียนเข้ามาทำบัตรประชาชนที่เขตหรืออำเภอด้วย โดยจะเริ่มตั้งแต่วันที่ 10 ก.ค.2554 เป็นต้นไป จนถึงวันที่ 10 ก.ค.2555
สำหรับ ในวันที่ 10-11 กรกฎาคม จะเริ่มประเดิมการทำบัตรประชาชนให้แก่เด็กๆ ในสถานศึกษา 4 แห่ง คือ 1.รร.ราชบพิธ แขวงราชบพิธ เขตพระนคร กรุงเทพฯ 2.รร.วัดสุวรรณบำรุงราชวราราม ต.บึงทองหลาง อ.ลำลูกกา จ.ปทุมธานี 3.รร.วัดกู้ (นันทาภิวัฒน์) ต.บางพูด อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี และ 4.รร.สันติวิทยา อ.เมืองฯ จ.เชียงราย.

เร่เข้ามาาาา ซื้อรถวันนี้ อีก 10 ปีแถมบ้าน แม่เอ๊ยยยย...นโยบายขายอนาคต


  by หน่อผุด ,

พรรคเพื่อไทยเป็นเลิศในการใช้กลยุทธการตลาด การโฆษณา ขายนโยบาย ขายแคมเปญนายกฯหญิง จนประสบความสำเร็จ ชนะการเลือกตั้ง ในประเด็นนายกฯหญิงไม่ตั้งข้อสงสัยล่ะค่ะ คุณยิ่งลักษณ์คงเป็นผู้หญิงจริงแหละ แต่เรื่องขายนโยบายโดยซุกเงื่อนไขควรได้นำมาคุยกัน
เพราะนโยบาย ที่ผลิตออกมาขายให้ประชาชนกากบาทซื้อนั้น พรรคเพื่อไทยคิดแค่ว่า ทำยังไงโดนใจผู้บริโภคที่สุด ค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท เงินเดือน ป.ตรีสตาร์ท 15,000 ป้ายหาเสียงเขียนไว้แบบไม่มีเงื่อนไข ยิ่งช่วงท้ายของการหาเสียงยังออกวิสัยทัศน์ 2020 มาใหม่ แรงงานขั้นต่ำวันละ 1,000 เงินเดือน ป.ตรี 30,000 เหมือน"ซื้อรถวันนี้ อีก 10 ปีแถมบ้านพร้อมที่ดิน" ทั้งที่อีก10ปีใครจะไปรู้บริษัทยิ่งลักษณ์ทักษิณจำกัดอาจล้มละลายไปแล้วก็ได้
อัน ที่จริงการเลือกตั้งครั้งนี้นโยบายแต่ละพรรคการเมืองล้วนเป็นประชานิยม พรรคเพื่อไทย หรือไทยรักไทยเดิมโดย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้ริเริ่มนำนโยบายประชานิยมมาใช้อย่างได้ผล การเลือกตั้งครั้งต่อมา ไม่ประชานิยมก็ไม่ได้เสียงข้างมาก การหาเสียงครั้งนี้จึงมีนโยบายสัญญาว่าจะให้มากเป็นประวัติการณ์ โดยเฉพาะเจ้าตำรับ ซึ่ง"ให้"มากกว่าใครทั้งหมด และชนะการเลือกตั้งสมใจอยากอีกครั้ง
พอได้เสียงข้างมากเข้าไปเป็นแกน จัดตั้งรัฐบาลแล้ว ค่อยนำนโยบายที่ขายไปแล้วมาถกเถียงเลี่ยงอธิบายถึงความเป็นไปได้ไม่ได้ ได้แค่ไหน ไม่ได้แค่ไหน..ตอนขายบอกได้แน่!
ถูกทวงสัญญา ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำที่ว่าจะขึ้นนั้นต้องหารือสามฝ่ายก่อน(ไตรภาคี) จะเริ่มใช้ 1 มกรา และไม่ใช่ 300 ทั่วประเทศ.. ตอนถูกถามก่อนเลือกตั้งมีคำอธิบายจากพรรคเพื่อไทยว่าไม่มีปัญหาเพราะแค่ฝ่าย แรงงานกับฝ่ายรัฐ ก็ 2:1 ชนะอยู่แล้ว ทำได้แน่ แต่คนเลือกพรรคเพื่อไทยเขาเข้าใจไปแล้วว่า "300 ทั่วประเทศทันที" ไม่มีเงื่อนไข
นโยบายยกเลิกกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง ลดราคาน้ำมันเบนซินได้ทันทีลิตรละ 7 บาท เอาใหม่ เปลี่ยนเป็นหยุดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน เฉพาะเบนซิน 95 เบนซิน 91 และดีเซล ไม่ยกเลิกทั้งหมดแล้ว... พอตกเย็นเพิ่งคิดใหม่เลยบอกใหม่ว่า...ที่ว่าหยุดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมัน น่ะ แค่ชั่วคราวนะ ถ้าเศรษฐกิจดีเมื่อไหร่ก็จะกลับมาเก็บเหมือนเดิม ไอ้ที่โฆษณาหาเสียงไปน่ะคงทำอย่างนั้นไม่ได้ซะแล้ว...เพราะหลายฝ่ายมีความ เห็นว่า "น่าเป็นห่วง" กองทุนน้ำมันมีภาระในการชดเชยราคาแก๊สแอลพีจี และเอ็นจีวี แก๊สหุงต้มจะขึ้นราคาเท่าตัว มีผลต่อค่าครองชีพประชาชนมาก นี่ยังไม่รู้จะเปลี่ยนอีกไหม เพราะการหยุดเก็บเงินเข้ากองทุน จากเบนซิน หมายถึงการบีบให้ราคาเบนซิน และแก๊สโซฮออล์เข้ามาใกล้กัน คนก็จะหันไปใช้เบนซินมากขึ้นอีก มีผลกระทบต่อพลังงานทดแทน และเกษตรกรที่ปลูกพืชพลังงานทดแทน อ้อย มันสำปะหลัง ปาล์มน้ำมัน
ยังไม่นับรวมอีกหลายเมกกะโปรเจ็กต์อย่าง ถมทะเล สร้างเมืองสวรรค์ ฯลฯ
แค่สองเรื่องนี้..พรรคเพื่อไทยซึ่งใช้สโลแกนว่า "คิดใหม่ทำใหม่ " แท้ที่จริง "คิดไปทำไป"
สมมติถ้าเราต้องล้วงเงินในกระเป๋าตัวเองซื้อสินค้าที่โฆษณาว่าวิเศษเหลือหลาย แต่กลับกลายเป็นโอละพ่อ จ่ายเงินไปก่อนแต่ของยังไม่ได้ ถึงเวลานัดหมายบอกยังไม่ได้ผลิต หรือได้มาก็ผิดสเป็ก เราจะยอมไหม? พรรคการเมืองขายนโยบายโดยไม่ต้องใช้เงินตัวเองลงทุนสักบาท ตัวเลขที่นำมาเกทับบลัฟกันแหลกนั้น ล้วนเป็นเงินในอนาคตของประเทศทั้งนั้น แม้แต่เงินที่ใช้โฆษณาก็มาจากภาษีของเรา ซื้อแล้วเปลี่ยนหรือคืนสินค้าไม่ได้ ไม่พอใจไม่ยินดีคืนเงิน!
ถ้า เป็นเครื่องสำอางค์ อาหารเสริม โฆษณาเกินจริง น้ำผลไม้รักษาโรคได้สารพัด อัมพฤกษ์ อัมพาต หายขาด กินวันนี้พรุ่งนี้วิ่งได้ เครื่องสำอางค์หน้าใส แต่ใช้แล้วกลับหน้าผุหูกางเหมือนใครไม่รู้...เรายังมีช่องทางรักษาสิทธิ์ใน ฐานะผู้บริโภค ร้องเรียนไปยังสำนักงานคุ้มครองผู้บริโภคได้ เรียกร้องค่าเสียหายได้ด้วย ผู้ผลิตผู้โฆษณาทำผิดก็รับโทษกันไปตามกฎหมาย เหมือนน้ำหมักชีวภาพ"ป้าเช็ง"ถูกฟ้องนั่นแหละ (ผู้กองนิติภูมิ นวรัตน์ จำป้าเช็งได้ไหม?)
วันก่อน กกต.ท่านหนึ่งตอบคำถามสื่อเรื่องการหาเสียงของพรรคการเมืองแบบนี้เข้าข่าย ว่าสัญญาว่าจะให้ไหม? ท่านตอบว่า ถ้าเป็นนโยบายโดยไม่ได้เป็นการสัญญาให้ใครหรือคนใดเป็นการเฉพาะเช่น จะกั้นรั้วบ้านคุณนะ อะไรอย่างนี้ก็ไม่เข้าข่ายเป็นสัญญาว่าจะให้
นับเป็นอีกช่องโหว่ของกฎหมาย  "สัญญาว่าจะให้" โดยกฎหมายเอาผิดไม่ได้
เมื่อวานนี้ 7 กรกฎาคม 2554 ท่านสุเมธ ตันติเวชกุล เลขาธิการมูลนิธิชัยพัฒนา ได้พูดตอนหนึ่งในการบรรยายพิเศษ เศรษฐกิจไทย เศรษฐกิจพอเพียง ว่า " ตลอดเวลาหลายเดือนที่ผ่านมา ผมเหมือนอยู่ในความฝันเวลาขับรถไป เห็นทุกป้ายสร้างความฝันให้ผมว่าแรงงานระดับล่างกำลังจะได้รับเงิน 300 บาทต่อวัน และจะปลดหนี้ไม่มีหนี้แล้ว พอลูกอายุ 20 ก็เบิกได้ 1 ล้าน ใครอยากได้บ้านหลังแรกก็ได้ อยากมีรถคันแรกก็จะมีกุญแจให้ 2 ดอก แต่เผลอแป๊บเดียวความฝันผมก็หายไป นโยบายต่างๆกำลังบอกว่าเศรษฐกิจดี แต่มองว่าจะส่งผลเสียนานัปการ ไม่เหลืออะไรเลย คนไทยแม้แต่เด็กเล็ก ผู้ใหญ่ตามบ้านนอกมีคนเอาของไปล่อ เกิดความอยากได้ กลายเป็นคนหิวกระหายและนิสัยเสียไปหมด"
ถ้าเราไม่สรุปบทเรียน การหาเสียงด้วยการโฆษณาเกินจริง การคิดนโยบายขายอนาคต คงจะกลายเป็นประเพณีปฏิบัติแบบนี้ในการเลือกตั้งครั้งต่อไปเรื่อยๆ จนไม่เหลืออนาคตจะขายนั่นแหล

ว้าวววว.....ที่แท้ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญอยู่นี่เอง..!!!!!..

  by sawaddeethailand ,

     .........เช้านี้ กระผมนายสวัสดีดีไทยแลนด์ เพิ่งจะถึงบางอ้อในเรื่อง"บารมีนอกรัฐธรรมนูญ" ว่าเป็นใคร อยูที่ไหน จากอาจารย์ ดร.เจิมศักดิ์ปิ่นทอง ในรายการ"มุมมองของเจิมศักดิ์" นี้เอง...........

.......ก็ไมใช่ใครที่ไหน นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ณ. ดูไบ คนนี้นี่
เอง..............


                                       

.........ก็นัก โทษชายทักษิณ ชินวัตร ณ. ดูไบ ผู้นี้เป็นเขาผู้ที่ถูกตัดสิทธิทางการเมือง ห้ามยุ่งเกี่ยวกับทางการเมืองตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พ.ศ.๒๕๕๐...ผู้หนีอาญาแผ่นดินโทษจำคุก2ปีและถูกยึดทรัพย์46,000ล้านบาทให้ตก เป็นของแผ่นดิน อีกทั้งยังเป็นบุุคคลที่มิได้มีสัญชาติไทยตามกฎหมายไทยอีกด้วย.............

                                               

.......... แต่ตามพฤตินัยแล้วเป็นที่ทราบกันดีว่า นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ณ. ดูไบ ผู้นี้ยังคงมีบทบาทและอำนาจสูงสุดในพรรคเพื่อไทยทั้งการกำหนดนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ"หรือ"ทักษิณคิด ยิ่งลักษณ์ทำ" การกำหนดตัวผู้ที่จะมาเป็น...นายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีทั้งคณะ รวมทั้งการกำหนดตัวผู้ที่จะมาเป็นประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฏร ถึงที่ขนาดแกนนำระดับสูงเตรียมตัวจะบินไปประเทศดูไบเพื่อรับรายชื่อ ครม.จากนักโทษชายผู้นี้ แว่วข่าวมาว่า ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อาจจะบินไปด้วยตนเอง..........จริงมั๊ยค๊าาา........
              
...... ต้องขอพระขอบคุณ"รายการมุมมองของเจิมศักดิ์ โดย "ดร.เจิมศักดิ์ ปิ่นทอง และ คุณจิตกร บุษบา" ที่ได้ช่วยไขข้อสงสัยในเรื่อง"ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ"ขอบพระคุณครับ อาจารย์....

.....อ้าาาา....ในที่สุดก็เผยโฉมแล้ว "ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หนีอาญาแผ่นดิน" อยู่ที่ประเทศดูไบนี่เอง.......
                             
                  
                    
            นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ณ. ดูไบ 
(ขอบคุณภาพจากGoogle)

เมื่อ ยิ่งลักษณ์ เริ่มขยับยกแรก ยกเลิกกฎหมายหมิ่นฯ เบื้องสูง

 Posted by ฉันชนบท ,


หลักฐานยืนยันจากปากของ "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" ....ตระกูลนี้มีปัญหากับกฎหมายหมิ่นฯ เบื้องสูง?!!
ตระกูล คุณมีปัญหาอะไรนักหนากับกฎหมายหมิ่นฯ เบื้องสูง ถึงได้จุ้นไม่เลิก คุณคิดอะไร...คนไทยรู้ทันนะ ถ้าคุณคิดว่า คุณบริสุทธิ์ใจจริง ก็ออกรายการพิเศษทางสถานีโทรทัศน์ของประเทศไทยทุกช่อง ประกาศให้คนไทยทุกคนได้รู้ว่า คุณกำลังจะทำอะไร เหตุใดคุณจึงต้องแก้กฎหมายนี้ แล้วคอยดูว่าคนไทยเกือบทั้งประเทศจะทำอย่างไรต่อไป ประชาชนเขาคิดยังไง เมื่อสิ่งที่คุณจะทำกระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของประเทศ และสถาบันอันเป็นที่รักยิ่งของคนไทย
สัญญาณอันตรายกำลังมาเยือน สะเทือนประเทศไทย...คนไทยเอ๋ย จงรักและสามัคคีกันไว้
"ปูแดง" ออกลาย! เล็งแก้กฎหมายหมิ่นฯ เบื้องสูง
โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์ 7 กรกฎาคม 2554 21.39 น.
ยิ่งลักษณ์จ้อ สื่อนอก เล็งแก้กฎหมายหมิ่นฯ เบื้องสูง อ้างไม่อยากให้ประชาชนใช้กฎหมายนี้บ่อยเกินไปและใช้ในทางที่ผิด พร้อมแบะท่าทำประชาพิจารณ์ยกเลิกรัฐธรรมนูญปี 50 แถมอ้างเฉยหากจะปรองดองทุกคนต้องกลัไปก่อนคำตัดสินของศาล ลั่นจะไม่ยอมนิรโทษกรรมคนทำ เสื้อแดงตาย  
       วันนี้ 7 ก.ค. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ให้สัมภาษณ์ กับ The Independent ของ สหราชอาณาจักร และหนังสือพิมพ์ต่างประเทศฉบับอื่นๆ ถึงเหตุความรุนแรงเมื่อช่วงต้นปีที่แล้ว ระหว่างการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมเสื้อแดง กับเจ้าหน้าที่รัฐบาล จนส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตอย่างน้อย 90 คน โดย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า พรรคเพื่อไทยต้องแจ้งต่อประชาชนเกี่ยวกับแผนการในเรื่องนี้ และตนก็เชื่อว่าประชาชนชาวไทยเปรียบเสมือนคนป่วย และอย่างน้อยประชาชนก็ได้ให้โอกาสตน ในการพิสูจน์ความสามารถเพื่อช่วยประชาชนคนไทย
      
       
สำหรับปัญหาเกี่ยวกับความผิดอาญาฐานหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ซึ่งมีโทษจำคุกสูงสุดถึง 15 ปี น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า ควรจะมีการสะสางให้เสร็จสิ้น และตนก็คิดว่าปัญหาดังกล่าว เป็นเรื่องที่อ่อนไหว ซึ่งจะต้องหาผู้ที่มีความชำนาญการเป็นพิเศษ ในการหารือเกี่ยวกับปัญหานี้ และตนก็ไม่อยากให้ประชาชนใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพบ่อยเกินไป และไม่ต้องการให้คนไทยใช้กฎหมายนี้ในทางที่ผิด      
       นอกจากนี้ น.ส.ยิ่งลักษณ์ยังกล่าวด้วยว่า รัฐธรรมนูญที่ใช้อยู่ในปัจจุบัน ถูกบังคับใช้หลังการรัฐประหารเมื่อปี 2549 ซึ่ง อาจจะมีการเปลี่ยนแปลง หลังกระบวนการหารือ ซึ่งรัฐบาลควรจะถามประชาชนว่าต้องการรัฐธรรมนูญฉบับใด อีกทั้งควรจะทำประชาพิจารณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ด้วย แต่ รัฐบาลจากนี้ไปจะไม่เริ่มต้นใหม่ทั้งหมด และสิ่งที่ตนสนใจเป็นอับแรกคือ การแก้ปัญหาเศรษฐกิจ
      
       น.ส.ยิ่ง ลักษณ์กล่าวอีกว่า สิ่งแรกที่จะทำให้การปรองดองเกิดขึ้นจริง คือ ทุกๆ คนต้องกลับไปก่อนคำตัดสินของศาล และตนจะไม่ยอมรับการนิรโทษกรรม สำหรับผู้ที่จะต้องรับผิดชอบต่อการเสียชีวิตของประชาชนในเหตุการณ์ความ รุนแรงเมื่อปีที่ผ่านมา ซึ่งการปรองดองแตกต่างจากการนิรโทษกรรม
      
       ส่วน ในประเด็นที่เชื่อกันว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร คือผู้อยู่เบื้องหลังการบริหารงานของพรรคเพื่อไทย น.ส.ยิ่งลักษณ์กล่าวว่า พี่ชายของตนมีประสบการณ์ทางการเมืองอย่างสูง แต่ตนก็มีความสามารถพอที่จะตัดสินใจเองได้ ดังนั้นคิดว่าจะเป็นผู้นำด้วยตัวของตัวเอง

Yingluck Shinawatra: 'I am cabable to make my own decisions'

Thailand's new Prime Minister tells Andrew Buncombe that she, not her exiled brother, is pulling the strings to unite a chaotic nation

Thursday, 7 July 2011
AP
Yingluck Shinawatra, Thailand's prime minister in waiting
It has only been days since she stunned the country with her landslide election victory, but the woman set to become Thailand's first female leader is already under fierce pressure to charge the outgoing Prime Minister with murder and reform the country's harsh lese-majesty law.
Even before she and her government are officially sworn in, Yingluck Shinawatra is facing demands from the political Red Shirt movement – which helped her Puea Thai (PT) party secure power – to press ahead with controversial policies that could create fresh turmoil. They could even threaten to derail her election win.
Since that comprehensive victory on 3 July, Ms Yingluck has projected a moderate, conciliatory image and said her priorities will be introducing a series of economic measures and trying to unite the country. But it is clear that the priorities of Ms Yingluck and her PT advisers are somewhat different from those of the Red Shirts whose anti-government protests last year brought the centre of Bangkok to a halt and who this week turned out in large numbers at the ballot box.
Chief among the differences concern the events of last spring when more than 90 people were killed in clashes between Red Shirts and government troops. Ms Yingluck said she supports continuing and expanding the work of a truth and reconciliation commission that is looking into the circumstances surrounding the deaths. But the activists are far more blunt, demanding that the outgoing Prime Minister, Abhisit Vejjajiva, be brought before the courts for his alleged role in last year's crackdown.
In her first newspaper interview since winning the election, Ms Yingluck told The Independent and another international publication that she recognised the high expectations she now faced.
"We have to tell people what is the plan," she said. "I believe the Thai people are patient, and the people at least give me a chance to prove my ability to help them."

On the issue of lese-majesty, a defamation law for which people can be jailed for up to 15 years for comments deemed to be insulting of the monarchy, she said a review could be carried out. Human rights campaigners have argued the measure was increasingly used under Mr Abhisit's administration to silence opponents and dissidents. A number of Red-Shirt leaders face lese-majesty allegations and one, Jatuporn Promphan, is in jail.

"I think this issue is a big sensitive issue. We need to have someone specialised to discuss [this]," she said. "We don't want people to use lese-majesty too often. We don't want Thai people to misuse this law."

She also suggested that the current constitution – drawn up following the 2006 coup which forced her brother, Thaksin Shinawatra, from office – could be changed after a consultation process.

"We shall ask which version people want. We have to do public hearings for this issue," she said. "We will not discuss this at the beginning. The first priority for me is solving economic problems."

At the offices of the Red Shirts, formally known as the United Front for Democracy Against Dictatorship, the chairwoman, Tida Tawornseth, scoffed at the front page of a Thai newspaper that listed seven PT priorities and admitted she did not share them.

"The first thing for reconciliation is the truth. That should come out first," she said. "Everyone should go before the courts. I will not accept an amnesty [for those responsible for last year's deaths]. Reconciliation is different from amnesty."

Ms. Tida said activists also wanted to rewrite the constitution and examine the lese-majesty law.

"We want to have a commission and representatives study and discuss the new constitution," she said. "It's not just lese-majesty. That is one of the points."

Another influential Red-Shirt supporter, Giles Ji Ungpakorn, who now lives in the UK, wrote that "the important question after the election is whether the Puea Thai government will match such commitments to freedom and democracy shown by those who voted for it".

He called for the freeing of all political prisoners, the scrapping of lese-majesty, the sacking of the army chief, General Prayuth Junocha, and the indictment of both General Prayuth and Mr Abhisit.

Disagreements over policy priorities and the pace at which change should be introduced are common among many political parties and the movements that spawned them, particularly after an election victory.

But they highlight the challenges facing the 44-year-old Ms Yingluck as she seeks to juggle competing interests. She is at pains to play down the prospect of the imminent return to Thailand of her brother, who many analysts believe remains the controlling hand behind PT. "My brother is highly experienced politically," she said. "But I am capable enough to make my own decisions... So I think I [will] do the leadership myself."

More than a year after the Bangkok violence, the commission tasked with investigating the circumstances has yet to make its final report. One of the most controversial incidents took place at Bangkok's Wat Patum temple, where hundreds of protesters converged after troops forced them from the camp they had established nearby. Six people were killed and others wounded.

Last year, a leaked report by police investigators suggested that special forces troops had fired into the temple from their positions on an overhead railway line.

A senior member of the commission said this week that inquiries were ongoing.

But he said the army had still not made available around seven soldiers the commission wished to interview. "We're told they are now based in the south," said the official.

Who is Yingluck Shinawatra?

* Yingluck Shinawatra is set to become Thailand's first female prime minister. But it's her family name, not her gender, which has attracted most attention since her political career began in earnest just two months ago.

* Born in 1967, Ms Yingluck is the youngest sister of Thailand's controversial former premier Thaksin Shinawatra, who was forced from power by a military coup in 2006. He now lives in self-imposed exile in Dubai to avoid a prison sentence in his homeland.

* A successful businesswoman by trade, this sibling connection was the closest thing Ms Yingluck had to experience in the political arena until May, when she was announced as the prime ministerial candidate for her brother's former party, Phea Thai.

* Critics have been quick to point out the 44-year-old's lack of political experience, and her brother remains a divisive figure, despite the power he still yields among the nation's key political figures.

* However, Ms Yingluck has so far proved popular among Thai voters. Her brother won favour for her among his supporters by describing her as his "clone", but she has also been lauded for her down-to-earth approach to meeting voters.

Enjoli Liston

Source: http://www.independent.co.uk/news/people/profiles/yingluck-shinawatra-i-am-capable-enough-to-make-my-own-decisions-23

เบื้องหลัง...งูเห่าภูมิใจไทยกลับใจร่วมรัฐบาล

by ต้นธาร ,
ตัวเลขส.ส.รัฐบาลยังไม่นิ่ง 300 จาก 6 พรรคการเมืองแล้ว มีแววว่าพรรคเพื่อไทยจะรวมเอากลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทินเข้าไปด้วยอีก 7-9 คน ทั้งที่ก่อนหน้านั้นพรรคภูมิใจไทยกับพรรคเพื่อไทยประกาศไม่เผาผีกันแล้ว แต่ผลการเลือกตั้งออกมาว่าพรรคเพื่อไทยได้เป็นรัฐบาลแน่ กลุ่มการเมืองบางกลุ่มจากภูมิใจไทยจึงอยากจะแยกตัวไปร่วมรัฐบาล เพราะมี"ภารกิจ"บางอย่างที่ต้องทำต่อให้เสร็จโดยอาศัยอำนาจรัฐไปอำนวยความสะดวก
คน ไม่เอาถ่าน(หิน) บ้านแหง อ.งาว และ บ้านทุ่งผึ้ง อ.แจ้ห่ม จ.ลำปาง ร่วมต่อสู้คัดค้านการขอประทานบัตรขุดเหมืองแร่ลิกไนต์ โดยนายทุนเอกชนที่หลอกกว้านซื้อที่หลายพันไร่ ขอประทานบัตรขุดเหมืองลิกไนต์มูลค่านับแสนล้าน คือบริษัท เขียวเหลือง จำกัด แม้ฝ่ายนายทุนจะใช้กลยุทธสารพัดแต่ชาวบ้านคัดค้านอย่างแข็งขันดังที่เป็น ข่าวใหญ่ในหลายสื่อในปีที่ผ่านมา การขอประทานบัตรขุดเหมืองแร่จึงยังไม่ประสบความสำเร็จ ส่วนที่ ต.แม่ตีบ อ.งาวนั้นถูกเปิดหน้าเหมืองไปเรียบร้อยแล้วโดยนายทุนเจ้าเดียวกัน (คลิกอ่านลำดับเรื่องราวด้านล่าง)
ประธานบริษัท เขียวเหลือง จำกัด คือนายเรืองศักดิ์ งามสมภาค คู่กรณีของชาวบ้าน อดีตอธิบดีกรมแรงงานอุตสาหกรรม สมัยนายสมศักดิ์ เทพสุทิน เป็นรมว.อุตสาหกรรม  เมื่อนายสมศักดิ์ถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ก็ส่งนางอนงค์วรรณ เทพสุทิน มาเป็น รมว.ทรัพยกรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม สมัยนายสมัคร สุนทรเวช และนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ นายเรืองศักดิ์ งามสมภาค หลังจากเกษียณราชการ 1 ต.ค. 2547 จึงมาร่วมงานการเมืองกับนายสมศักดิ์ เทพสุทินเต็มตัว เป็นรองเลขาธิการพรรคภูมิใจไทยตั้งแต่ปี 2552
การ เลือกตั้งที่ผ่านมา ผู้สมัคร ส.ส.จากพรรคเพื่อไทย นายวาสิต พยัคบุตร ส.ส.ผูกขาดมาแล้วหลายสมัย เปิดปราศรัยที่ อ.งาว ชาวบ้านต้านเหมืองอยากรู้ว่าถ้านายวาสิตเข้าไปเป็น ส.ส.จะช่วยชาวบ้านเรื่องการคัดค้านเหมืองแร่อย่างไร แต่ปรากฎว่า ส.ส.ของพวกเขาไม่เคยรู้อะไรเลยว่าเกิดอะไรขึ้นในพื้นที่ หลายคนไม่พอใจมาก แต่ด้วยเงื่อนไขทางการเมืองว่า ถ้าเลือกพรรคประชาธิปัตย์ ก็จะได้พรรคภูมิใจไทยด้วย และนายเรืองศักดิ์ งามสมภาค เป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่ออันดับ 3 จะได้อำนาจรัฐ หาทางเข้ามาจัดการเรื่องเหมืองต่อจนสำเร็จ...รู้ทั้งรู้ว่า ส.ส.เก่าไม่มีผลงาน เข้าประชุมสภาไม่ถึง 20% แต่ต้องจำใจเลือกเข้าไปเพราะคิดว่า ยังไงเสียถ้าพรรคเพื่อไทยชนะจะไม่ร่วมงานกับพรรคภูมิใจไทยอยู่แล้ว คือไม่เลือกประชาธิปัตย์เพราะไม่เอาภูมิใจไทย
แต่ ล่าสุดมีความเป็นไปได้สูงว่ากลุ่มมัชฌิมาของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน ซึ่งหมายถึงนายเรืองศักดิ์ งามสมภาค ว่าที่ ส.ส.ของพรรคด้วย จะได้เข้าร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย เป็นงูเห่ายุค 54
เนชั่นทันข่าว
7 กค. 2554 06:16 น.

แหล่ง ข่าวจากแกนนำพรรคเพื่อไทย เปิดเผยกับสำนักข่าวเนชั่นถึงการจัดโผ “ครม.ปู 1” ว่า สำหรับการจัดวางตัวผู้ดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีจนถึงขณะนี้ก็ยังไม่นิ่ง เนื่องจากพรรคเพื่อไทยยังรอดูท่าทีของนายสมศักดิ์ เทพสุทิน แกนนำกลุ่มมัชฌิมาก่อนว่าจะตัดสินใจอย่างไร เนื่องจากนายสมศักดิ์ได้ประสานผ่านนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาธิการพรรคไทยรักไทย เพื่อขอให้ประสานกับแกนนำพรรคเพื่อไทยว่า จะนำส.ส.ในกลุ่มมัชฌิมาและส.ส.ของพรรคภูมิใจไทยอีกกลุ่มใหญ่รวมแล้วประมาณ 30 คนมาร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย แต่พรรคได้ปฏิเสธข้อเสนอของนายสมศักดิ์ไป โดยยืนยันว่าหากนายสมศักดิ์จะมาร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทยพรรคก็ต้องการ เพียงส.ส.ในกลุ่มของนายสมศักดิ์ที่มีอยู่ประมาณ 7-9 คนเท่านั้น อย่างไรก็ตาม เชื่อว่าสุดท้ายแล้วนายสมศักดิ์คงต้องยอมไปเจรจากับนายเนวิน ชิดชอบ แกนนำพรรคภูมิใจไทย เพื่อขอแยกตัวมาร่วมรัฐบาลกับพรรคเพื่อไทย
..............................
ชาวบ้านในพื้นที่ตอนนี้จึงน่าสงสาร เหมือนถูกหักหลัง หนีเสือปะจระเข้แท้ๆ
ชะตา ของชาวบ้านไม่เอาถ่าน(หิน) นับจากนี้จะเป็นอย่างไร จะเหน็ดเหนื่อยอีกแค่ไหนในการปกป้องบ้านเกิดเมืองนอนไม่ให้นายทุนละโมบใน คราบนักการเมืองเข้ามาขุดเหมือง
ลำดับเรื่องราว
ป่าสงวน...กำลังจะกลายเป็น เหมืองแร่ลิกไนต์....ใคร? เป็นเจ้าของ!!!
ปิดสื่อไม่มิด...โครงการฮุบป่าขุดเหมือง...เรื่องแดง!!
ไม่สนเสียงต้าน!! นายทุนวางแผนพลิกผลประชาพิจารณ์!! ดันขุดเหมืองแร่เขตป่าสงวน
กรมป่าไม้ ขอคืนพื้นที่เขายายเที่ยง...แล้วเรื่อง นายทุนกว้านซื้อที่ ส.ท.ก.รอขุดเหมือง จะว่าไง?
สื่อลงบ้านแหง นายทุนล็อบบี้หนักหวังผ่านประชาพิจารณ์ให้ได้ ไม่แคร์ที่ ส.ท.ก. ห้ามชาวบ้านทำกิน!
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง