บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันเสาร์ที่ 19 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

สำลักน้ำใจแบงก์พาณิชย์ ช่วยใครกันแน่!!



จะด้วยถูกบังคับหรือสมัครใจ จะด้วยความจริงใจหรือสร้างภาพ ก็ยากที่จะชี้ชัด แต่ภาพหนึ่งที่ได้เห็นกัน ในช่วงที่สถานการณ์อุทกภัยครั้งใหญ่ รุกคืบเข้าสร้างความเสียหายให้กับประชาชน และภาคธุรกิจ ในช่วงที่ผ่านมานั้น
คือการหยิบยื่นน้ำใจไมตรี จากบรรดาธนาคารพาณิชย์ ที่แข่งกันออกหน้าออกตา ประเคนแพ็กเกจช่วยเหลือลูกค้าทุกหมู่เหล่าทั้งรายใหญ่ รายย่อย และเอสเอ็มอี ที่ประสบภัยจากน้ำท่วม ไม่ว่าจะเป็นการลดหนี้ พักหนี้ ยืดเวลาชำระหนี้ และอีกสารพัดวิธี ที่คิดทำกันได้
  
ความช่วยเหลือที่ประกาศออกมาเหล่านี้ ทำเอาบรรดาลูกหนี้ ที่ตัวชื้นจากการแช่น้ำมาหลายเดือน รู้สึกใจชื้นตามมา เพราะด้วยคิดว่า อย่างน้อยจะได้มีเวลาในการฟื้นตัว ให้กลับมาลืมตาอ้าปากได้บ้าง
  
ท่ามกลางบรรยากาศแห่งความเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ และน่าจะหยวน ๆ ยอม ๆ กันได้ แต่ในทางปฏิบัติแล้ว กลับมีปัญหาให้ลูกหนี้ที่เดือดร้อนอยู่ ต้องขุ่นข้องหมองใจ และตั้งคำถามต่อความจริงใจในการให้ความช่วยเหลือจากสถาบันการเงิน ทั้งภาครัฐและเอกชน
โดยก่อนหน้านี้ ก็มีลูกค้าของธนาคารออมสินร้องเรียนผ่านมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคว่า ธนาคารออมสินออกโฆษณาประกาศพักชำระเงินต้นและดอกเบี้ยช่วยลูกค้าน้ำท่วม
แต่เมื่อลูกค้าโดดเข้าร่วมโครงการพักชำระหนี้ไปได้สักพัก กลับถูกเรียกเก็บดอกเบี้ยและเบี้ยปรับย้อนหลัง ในช่วงเวลาพักชำระหนี้ ทั้งที่ผู้บริหารธนาคารอย่าง “เลอศักดิ์ จุลเทศ” ผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ประกาศโครม ๆ ว่าธนาคารออมสินจะพักชำระหนี้ และลดดอกเบี้ยให้ลูกค้าที่ถูกน้ำท่วม แบบไม่มีอะไรสอดไส้แน่นอน…
  
ไม่รู้ว่าเป็นเพราะลูกหนี้มองโลกในแง่ดีเกินไป หรือบรรดาธนาคารพาณิชย์เกิดอาการใจร้ายเกินเหตุ เพราะจากการพิเคราะห์ข้อมูลของธนาคารพาณิชย์ส่วนใหญ่ จะพบว่า การออกแพ็กเกจการยืดหนี้นั้น กลายเป็นว่า  เป็นเพียงการยืดระยะเวลาชำระเงินต้นเท่านั้น  ขณะที่อัตราดอกเบี้ยยังวิ่งฉิวปกติเหมือนไม่มีเหตุการณ์อะไรเกิดขึ้น
  
ตัวอย่าง กรณีสินเชื่อที่อยู่อาศัยของ “ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย” ที่พักชำระหนี้ให้สูงสุด 90 วัน  และ ขยายเวลาผ่อนชำระหนี้ให้สูงสุด 12 เดือน ซึ่งดูผิวเผินแล้วเห็นว่าแบงก์ช่วยลูกหนี้ที่กำลังเดือดร้อนให้พอมีเวลาตั้ง หลักกลับมาฟื้นตัวได้
แต่การกระทำกลับดูเหมือนว่า เป็นการซ้ำเติมลูกหนี้ และดึงลูกหนี้ ลงสู่ปากเหวเร็วกว่าเวลาอันควรมากกว่า  เนื่องจากแพ็กเกจที่ออกมาให้ลูกหนี้ไม่ต้องผ่อนชำระเงินต้นช่วงเวลา 3 เดือน แต่เมื่อเข้าเดือนที่ 4 ปรากฏว่าบรรดาลูกหนี้กลับต้องควักกระเป๋าจ่ายเงินต้นบวกกับดอกเบี้ยที่คั่ง ค้างให้แบงก์รวดเดียวหมดเกลี้ยง แล้วอย่างนี้จะมาป่าวประกาศว่าช่วยลูกหนี้ได้อย่างไร?
  
ถ้าถามว่า สิ่งที่ธนาคารสัญชาติมาเลเซียรายนี้ ทำผิดหรือไม่ ก็ต้องตอบว่า ไม่ผิด เพราะที่ผ่านมา ธปท. ก็ได้แต่ขอความร่วมมือให้ช่วยเหลือลูกหนี้ แต่ไม่ได้ขีดเส้นกำหนดชัดเจนว่า จะต้องช่วยอย่างไร แบบไหน
ดังนั้น การที่ทางแบงก์จะเลือกที่จะหยิบยื่นน้ำใจให้ด้วยเงื่อนไขแบบนี้ ก็ถือเป็นสิทธิที่ทำได้ แต่ก็ควรจะชัดเจนในการชี้แจงให้ลูกค้าเข้าใจ ถึงรายละเอียดต่าง ๆ อย่างชัดเจนและอย่าสร้างภาพความมีน้ำใจให้ไกลเกินจริง
  
ดูธนาคารแห่งอื่น ๆ ก็จะพบแนวทางความช่วยเหลือที่แตกต่างกันไปเช่นกัน มากบ้างน้อยบ้างตามความใจป้ำของแต่ละแห่ง โดยในกลุ่มพี่ใหญ่ของวงการ อย่าง “ธนาคารกรุงเทพ” ผ่อนผันสินเชื่อบ้านให้ชำระเฉพาะดอกเบี้ยนานสูงสุด 12 เดือน หรือปรับลดยอดการผ่อนชำระรายดือนลงสูงสุด 40% เป็นเวลา 1 ปี
  
สอดคล้องกับแนวทางของ “ธนาคารกสิกรไทย” ที่มีเงื่อนไขว่า ลูกค้ารายย่อยที่ใช้บริการสินเชื่อบ้าน ได้ปรับลดยอดผ่อนชำระรายเดือนสูงสุด 40% เป็นเวลา 1 ปี หรือผ่อนชำระดอกเบี้ยเป็นเวลา 6 เดือน ส่วนธนาคารไทยพาณิชย์ให้ลูกค้าขอพักชำระหนี้สูงสุด 6 เดือน และลดดอกเบี้ยสูงสุด 50% เป็นเวลา 3 เดือน ฝั่งธนาคารทหารไทยออกมาตรการช่วยลูกค้าที่ค้างชำระค่างวดบ้านตั้งแต่ 1-30 วัน สามารถขอชำระเฉพาะดอกเบี้ยอย่างเดียว โดยไม่ต้องชำระเงินต้นเป็นเวลา 6 เดือน และสามารถขยายเวลาผ่อนชำระออกไปอีก 6 เดือนหากลูกค้ายังได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมต่อเนื่อง
  
แต่ที่ถือว่าป๋าสุด ๆ เห็นจะเป็นแบงก์ลูกครึ่งอย่าง “กรุงศรีอยุธยา” ที่พักชำระทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยเป็นเวลา 3 เดือนให้กับลูกค้าสินเชื่อบ้าน และเพิ่มมาตรการผ่อนชำระดอกเบี้ยอย่างเดียว นานสูงสุด 6 เดือน หรือลดค่างวดให้เป็นนานสูงสุดถึง 9 เดือน ถ้าลูกค้ารายนั้นได้รับผลกระทบที่รุนแรง
  
นอกเหนือจากความช่วยเหลือในเรื่องสินเชื่อ ที่เป็นปัญหากันแล้ว การทวงถามหนี้บัตรเครดิต ก็เป็นอีกประเด็นที่ลูกหนี้ผู้ประสบภัย บ่นกันอื้ออึงเช่นกัน เพราะแม้ว่าที่ผ่านมาหลายแบงก์จะมีมาตรการช่วยลูกค้า เช่น
ไทยพาณิชย์พักชำระหนี้และลดดอกเบี้ยสูงสุด 50% เป็นเวลา 3 เดือน ขณะที่ผู้ถือบัตรเครดิตกสิกรไทยและผู้ใช้สินเชื่อเงินสด ได้รับการผ่อนผันชำระดอกเบี้ย 50% และปรับลดยอดผ่อนชำระขั้นต่ำให้เป็น 0-10% และลูกค้าบัตรเครดิตธนาคารกรุงเทพ ได้รับการช่วยเหลือด้วยการลดยอดขั้นต่ำชำระเหลือ 0-10% และผ่อนผันการชำระดอกเบี้ยลงจากอัตราปกติ 50%
  
ทว่า เหตุการณ์ที่ปรากฏขึ้นคู่ขนานไปกับความช่วยเหลือ ก็คือ เสียงการโทรฯ จิก โทรฯ ตาม โทรฯ ทวงหนี้ ที่ฝ่ากระแสน้ำมาหาลูกหนี้ แบบไม่รู้จะตอบโต้กลับไปด้วยภาษาอะไรดี ซึ่งถ้าเป็นลูกหนี้ที่ประวัติการชำระแย่จริง ๆ หรือไม่ได้ประสบภัย และมีศักยภาพที่จะจ่ายหนี้ได้ การโทรฯตามโทรฯทวง ก็เป็นสิ่งที่ดำเนินการได้ตามปกติ แต่ในรายที่เป็นผู้ประสบภัย เข้าข่ายเป็นผู้อพยพนั้น ก็สมควรที่จะได้รับความผ่อนผันและเห็นใจเช่นกัน
  
จึงเป็นเรื่องที่ธนาคารทั้งหลาย ต้องไปกำชับฝ่ายเร่งรัดหนี้สิน ให้รู้จักใช้วิจารณญาณมากขึ้นในสถานการณ์ที่ไม่ปกติเช่นนี้ ไม่ใช่เอะอะก็อ้างว่า “ไม่ทราบ” เพราะจ้างให้บริษัทภายนอกเป็นคนติดตามทวงหนี้ให้
  
ปัญหาที่เกิดขึ้นดังที่กล่าวไปข้างต้น ก็ใช่ว่าจะไม่หลุดไปเข้าหูของผู้บริหารธนาคารพาณิชย์ เสียเลย ในทางกลับกัน นายแบงก์ทั้งหลายต่างก็ทราบดี และเหมือนรู้ดีอยู่แล้ว ว่าต้องมีเรื่องร้องเรียนประมาณนี้เกิดขึ้น เห็นได้จากที่ผ่านมา ผู้บริหารของธนาคารหลายแห่ง ได้ออกโรงชี้แจงเคลียร์ทางไว้ล่วงหน้าว่า
การช่วยเหลือของแบงก์แต่ละแห่ง ขึ้นอยู่กับฐานะทางการเงินของแบงก์เป็นหลัก  และรายได้ของแบงก์ส่วนใหญ่เกิดจากดอกเบี้ย หากหายไปอาจกระทบต่อการดำเนินงานของธนาคารได้ จึงช่วยลูกค้าได้ตามกำลังที่มีอยู่เท่านั้น
  
นอกจากการช่วยเหลือลูกหนี้แล้ว แบงก์ต้องรักษาผลประโยชน์ของผู้ถือหุ้น ซึ่งมีทั้งคนไทยและต่างชาติ ด้วยเช่นกัน แต่ละแห่งจึงต้องกำหนดเงื่อนไขที่อยู่บนความสมดุลของทุกฝ่าย และที่ผ่านมา ภาวะน้ำท่วมไม่ใช่กระทบแต่ลูกหนี้ฝ่ายเดียว เพราะสาขาของธนาคารแต่ละแห่ง ได้รับความเสียหายจนต้องปิดให้บริการเช่นกัน
  
ไม่ได้หมายความว่าแบงก์ทุกแห่งจะเกิดอาการ “เขี้ยวลากดิน” กันไปเสียหมด แต่ก็มีหลายแบงก์ที่ลูกหนี้แทบไม่ต้องไปติดต่อใด ๆ แต่แบงก์จะเป็นฝ่ายติดต่อมาให้ความช่วยเหลือเอง แบบว่าเห็นใจกันอย่างแท้จริง ที่สำคัญยังสามารถตกลงปลงใจกันได้แบบไม่มีปัญหาอีกต่างหาก
  
เหตุผลที่ออกมา คงต้องบอกว่า การจะไปชี้ว่าใครถูกใครผิด คงต้องถามว่า มองจากมุมไหนและใครเป็นคนมอง แต่จากการกระทำและคำอธิบายที่ออกมาจากคนการเงินทั้งหลาย สรุปได้ว่า
มาตรการช่วยเหลือของแบงก์ที่คลอดกันออกมา คงไปคาดหวังไม่ได้ ที่จะมองถึงประโยชน์ของลูกค้าเต็ม 100% เพราะถึงอย่างไรธุรกิจก็ยังคงเป็นธุรกิจ โดยมีกำไร และความอยู่รอดของธนาคารเป็นเป้าหมายหลัก.

ข่าวโดย : เดลินิวส์ออนไลน์

ความลับทางการเมือง

ปัญญาพลวัตร
       โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
      
       อาณาบริเวณใดทางการเมืองมีความลับเกิดขึ้น แนวโน้มของความชั่วร้ายบางอย่างก็จักถือกำเนิดขึ้นมาพร้อมๆกัน และยิ่งมีการใช้อำนาจรัฐเพื่อปกปิดความลับนั้น ความชั่วร้ายก็จักแผ่ขยายและทำลายหลักการของระบอบประชาธิปไตยให้สิ้นสูญลงไป ในที่สุด
      
       ความลับเป็นคำที่มีการใช้กันมาอย่างยาวนานในประวัติศาสตร์ ของมนุษยชาติ ความลับเป็นข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับเรื่องราวหลายประการที่มนุษย์ไม่ต้องการ ให้เผยแพร่ออกไปจากตนเองหรือแวดวงของผู้ที่เกี่ยวข้อง เพราะมนุษย์มีความเชื่อว่าหากข้อมูลข่าวสารที่เป็นความลับเผยแพร่ออกไปให้ ผู้อื่นทราบ จะทำให้ตนเอง กลุ่ม พรรค ชุมชน องค์การ และประเทศได้รับผลกระทบในทางเสียหายไม่อย่างใดก็อย่างหนึ่ง
      
       เมื่อความลับถูกเปิดเผยออกไปอาจทำให้ชื่อเสียงเกียรติยศส่วนตัวถูก ทำลาย ถูกลดทอนความน่าเชื่อถือลง เกิดการเสื่อมเสียเกียรติยศ อาจถูกตีตรา อาจถูกประณาม อาจถูกต่อต้าน อาจถูกลงโทษทั้งทางสังคมและกฎหมาย อาจทำให้ศักยภาพในการแข่งขันลดลง และประสบความพ่ายแพ้ กรณีที่เป็นความลับของชาติอาจทำให้ประเทศต้องตกอยู่ในสภาพเสียเปรียบหรือตก อยู่ในภาวะสุ่มเสี่ยงต่อการถูกยึดครอง เป็นต้น
      
       บุคคลแต่ละคนมีความลับส่วนตัวของตนเองที่ไม่ต้องการให้ผู้อื่นหรือ สาธารณะทราบไม่มากก็น้อยนักการเมืองซึ่งเป็นผู้นำประเทศบางคนอาจมีความลับ ส่วนตัวบางประการ เช่น อาจมีสติปัญญาต่ำกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของคนในสังคมนั้น หรืออาจเป็นโรคประสาทชนิดมีความแปรปรวนทางอารมณ์ระหว่างอารมณ์ปิติยินดีจน เกินขอบเขตซึ่งมักจะร่าเริงเงยหน้าหัวเราะต่อกระซิกบ่อยครั้งกับเรื่องราว ที่คนทั่วไปฟังแล้วรู้สึกเฉยๆ กับอารมณ์หดหู่ซึมเศร้า หลั่งน้ำตาออกมาบ่อยครั้งในเหตุการณ์ที่ไม่เกิดขึ้นกับคนปกติทั่วไป นักการเมืองผู้นี้ย่อมพยายามปกปิดความลับนี้เอาไว้ เพราะหากความลับเปิดเผยออกไปความเสื่อมเสียและการสูญสิ้นสถานภาพหรือตำแหน่ง ย่อมบังเกิดแก่เขาหรือเธอ แต่ในอีกด้านหนึ่งหากความลับนั้นได้รับการเปิดเผยออกมาอาจเป็นประโยชน์ต่อ สังคมโดยรวมก็ได้ เพราะไม่มีประเทศใดที่จะมีความเจริญมั่นคงและยั่งยืนได้หากผู้นำมีความจำกัด ทางปัญญาหรือเป็นโรคประสาท ดังนั้นหากความลับของเขาหรือเธอถูกเปิดเผยออกมาก็อาจทำให้เกิดแรงกดดันจาก สังคมให้เปลี่ยนแปลงผู้นำก็เป็นได้
      
       นักการเมืองบางคนอาจเป็นโรคร้ายก็จำต้องปกปิดเอาไว้เพราะหากเปิด เผยออกไปจะมีผลกระทบต่อความเชื่อมั่นทางการเมืองในกลุ่มชนที่สนับสนุนเขา บางคนมีความเชื่อและความคิดที่เป็นอันตรายต่อสังคมและระบอบการปกครองแบบ ประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขก็ต้องปกปิดเอาไว้เพราะความเชื่อ ความคิดแบบนี้ย่อมไม่เป็นที่ยอมรับและถูกประนามจากสังคมไทย
      
       นัการเมืองบางคนมีพฤติกรรมชั่วร้ายต่างๆนาๆ อาทิ การทุจริตเงินงบประมาณแผ่นดิน การยักยอกเงินทองสิ่งของบริจาคจากประชาชนเพื่อไปช่วยเหลือผู้ประสบภัยให้ เป็นของตนเอง การหลีกเลี่ยงภาษี การให้สินบนเพื่อให้ตนเองพ้นผิดพ้นโทษ การรับสินบนเพื่อทำงานที่ไม่ถูกต้องชอบธรรมหรือละเมิดกฎหมาย นักการเมืองที่กระทำสิ่งเหล่านี้ย่อมปกปิดการกระทำของเขาเป็นความลับ และกระทำการชั่วร้ายต่างๆเพิ่มขึ้นเมื่อพวกเขาคิดว่ามีสิ่งใดที่อาจทำให้ ความลับของเขาเปิดเผยออกไป แน่นอนว่าหากความลับอันเป็นพฤติกรรมชั่วร้ายของนักการเมืองทั้งหลายถูกเปิด เผยออกมา หายนะย่อมบังเกิดแก่พวกเขา แต่สาธารณะหรือสังคมย่อมได้ประโยชน์เพราะสามารถขจัดนักการเมืองที่มี พฤติกรรมชั่วร้ายเหล่านี้ออกไปจากเวทีอำนาจทางการเมืองได้
      
       ความลับบางอย่างมีลักษณะและศักยภาพในการการทำลายล้างสาธารณะหรือฝ่าย ตรงข้ามของผู้ครอบครองความลับนั้นสูง ดังเช่น ความลับขององค์การก่อการร้ายซึ่งสามารถทำลายชีวิตทรัพย์สินของผู้คน และความสงบสุขของสังคม หรือความลับองค์การอาชญากรรมประเภทต่างๆที่เกี่ยวข้องกับการค้ายาเสพติด การค้ามนุษย์ การปล้นทรัพย์สิน ก็มีศักยภาพในการทำร้ายผู้คนและสังคมได้ไม่น้อยทีเดียว ความลับขององค์การเหล่านี้หากเปิดเผยออกไปย่อมทำให้ฝ่ายปกครองประเทศดำเนิน การปราบปรามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ซึ่งหากทำสำเร็จก็จะเป็นประโยชน์ต่อสังคม แต่แน่นอนว่าต้องส่งผลร้ายต่อองค์การที่ครอบครองความลับเหล่านี้เอาไว้
      
       ความลับบางอย่างอาจไม่ใช่สิ่งชั่วร้ายหรือส่งผลในการทำลายล้างผู้ อื่นหรือตัวผู้ครอบครองความลับนั้น เช่น ความลับในทางการค้า ความลับในการปรุงอาหาร หรือความลับในการประดิษคิดค้นสิ่งต่างๆ ความลับประเภทนี้เป็นความลับที่สร้างประโยชน์แก่ผู้ที่มีหรือครอบครองมันเอา ไว้ เป็นความลับที่ส่งผลให้ผู้ครอบครองมีศักยภาพในการแข่งขันทางธุรกิจหรือการ ประกอบอาชีพ สร้างความร่ำรวย มั่งคั่งให้กับตนเอง องค์การหรือประเทศได้ ความลับประเภทนี้หากเปิดเผยออกไปก็ทำให้องค์การหรือกลุ่มคนที่ครอบครองสูญ เสียประโยชน์ได้ แต่สังคมโดยรวมอาจได้ประโยชน์เพราะอาจทำให้สินค้ามีราคาถูกลงเพราะมีผู้ผลิต จำนวนมากขึ้น อาจทำให้ผู้คนได้บริโภคอาหารอร่อยอย่างทั่วถึง หรืออาจทำให้การพัฒนาประเทศโดยรวมเร็วขึ้นจากการมีสิ่งประดิษฐ์หรือ เทคโนโลยีใหม่ๆจำนวนมากขึ้น
      
       นักการเมืองหรือข้าราชการบางคนที่ประพฤติตนเป็นนักข่มขู่ มักใช้อำนาจและกลไกรัฐล้วงเอาความลับของผู้อื่นมาครอบครอง และใช้ความลับนั้นทำการข่มขู่ให้ผู้อื่นกระทำหรือไม่กระทำบางอย่างที่พวกเขา ต้องการ บางครั้งเราจึงประหลาดใจที่เห็นนักการเมืองบางคนที่ดูเหมือนว่าจะเป็นคนดี และมีความกล้าหาญในการตัดสินใจ แต่เมื่อนักการเมืองผู้นี้ดำรงตำแหน่งที่สามารถใช้อำนาจได้ เขากลับมีพฤติกรรมอีกแบบหนึ่งกลายเป็นลูกแกะเชื่องๆไม่กล้าทำสิ่งใดทั้งสิ้น ทั้งนี้อาจเป็นเพราะว่าความลับบางอย่างของเขาถูกครอบครองโดยใครบางคน และใช้ความลับนั้นบงการพฤติกรรมของเขาให้เป็นไปในทิศทางที่บุคคลนั้นต้องการ ก็ได้
      
       จากที่ผู้เขียนกล่าวมาย่อมแสดงให้เห็นแม้ความลับบางอย่างไม่ถึงกับ กับสร้างความเสียหายแก่สังคม แต่ความลับส่วนใหญ่มักเป็นสิ่งไม่ดีหรือบางอย่างถึงขั้นชั่วร้ายอย่างรุนแรง โดยเฉพาะหากความลับนั้นเป็นความทางการเมืองหรือความลับที่เกี่ยวข้องกับ พฤติกรรมทางการเมืองของผู้บริหารประเทศ
      
       ในสังคมเผด็จการผู้บริหารประเทศชอบสร้างความลับเพราะพวกเขาเหล่า นั้นมักกระทำเรื่องชั่วร้ายที่เปิดเผยต่อผู้คนมิได้ พวกเขานิยมใช้ความลับเป็นเครื่องมือในการรักษาสถานภาพและอำนาจของกลุ่มตนเอง และนิยมใช้ความรุนแรงและกลไกอำนาจรัฐข่มขู่ผู้คนที่จะเปิดเผยความลับของพวก เขา เช่นหากนักการเมืองประชุมลับเพื่อกระทำเรื่องชั่วร้ายบางอย่าง แต่มีคนในกลุ่มของพวกเขาเองบางคนนำข้อมูลข่าวสารออกมาเปิดเผย ผู้ที่นำข้อมูลมาเปิดเผยอย่างน้อยก็ถูกตำหนิ หรือมากกว่านั้นก็อาจถูกขับออกจากวงจรของอำนาจ หรืออาจถูกลอบสังหาร และหากสื่อมวลชนนำเรื่องเหล่านี้ไปขยายต่อ พวกเขาก็ใช้อำนาจรัฐเข้าไปข่มขู่ คุกคาม เช่น ขู่ว่าจะปิดรายการ ปิดสถานี หรือ ไม่ลงโฆษณา เป็นต้น
      
       ส่วนสังคมประชาธิปไตยนั้นเป็นสังคมที่ไม่ยินดี ไม่ต้อนรับ และปฏิเสธความลับทางการเมือง เพราะผู้คนในสังคมประชาธิปไตยรู้อย่างกระจ่างว่าความลับทางการเมืองส่วนใหญ่ เป็นเรื่องที่ชั่วร้าย และเป็นปรปักษ์หรือมีแนวโน้มทำลายหลักการของระบอบประชาธิปไตย ประเทศใดที่ผู้ปกครองอ้างว่าเป็นประชาธิปไตย แต่กลับมีพฤติกรรมที่สร้างความลับอยู่เนืองๆ วิญญูชนทั่วไปย่อมเชื่อมิได้ว่าผู้ปกครองประเทศนั้นมีความคิด ความเชื่อ และพฤติกรรมการบริหารประเทศเป็นประชาธิปไตยอย่างแท้จริง ตรงกันข้ามพวกเขากลับใช้รูปแบบของประชาธิไตยเป็นเสื้อคลุมร่างกายและจิต วิญญาณที่เป็นเผด็จการของพวกเขาเอาไว้
      
       การประชุมลับของคณะรัฐมนตรีอันมีพรรคเพื่อไทยเป็นแกนนำเกี่ยวกับ เรื่องการออกพระราชกฤษฎีกาอภัยโทษ เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายน 2554 จึงเป็นการประชุมลับที่มีนัยของการสร้างความชั่วร้ายให้เกิดขึ้นแก่สังคม ไทยอย่างมิต้องสงสัย ในอดีต การประชุม ครม. เกี่ยวกับการอภัยโทษแก่นักโทษทั้งหลายในวโนกาสครบรอบวันเฉลิมพระชนมพรรษาของ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวล้วนแล้วแต่เป็นการประชุมอย่างเปิดเผย และประกาศให้สาธารณะทราบ เพราะถือว่าเป็นเรื่องดี เป็นการประกอบกุศลกรรมถวายแก่องค์พระประมุขของประเทศ
      
       แต่เมื่อคณะรัฐมนตรีของพรรคเพื่อไทยกระทำการเรื่องนี้เป็นการลับก็ ย่อมแสดงนัยให้ผู้คนในสังคมเข้าใจว่า พวกเขาต้องกระทำในเรื่องที่บ่งบอกผู้คนมิได้เป็นแน่แท้ และเรื่องที่บ่งบอกผู้คนมิได้ทางการเมืองก็ย่อมเป็นเรื่องที่หากผู้คนรู้ แล้วจะต้องไม่ยอมรับ ตำหนิ ประณาม และต่อต้าน สิ่งใดที่ทำให้ผู้คนจะแสดงออกมาในลักษณะนี้ สิ่งนั้นย่อมได้รับการประเมินแล้วว่าจะสร้างความเสียหายแก่สังคมอย่างใหญ่ หลวง เป็นสิ่งที่ทำลายนิติรัฐอย่างสิ้นเชิง และเป็นสิ่งที่อาจนำไปสู่ความขัดแย้งแตกแยกที่สุดแรงระหว่างผู้คนในสังคม จนทำให้สภาพสังคมกลายเป็นแดนมิคสัญญีได้ในอนาคต และสิ่งที่มีศักยภาพให้เกิดปรากฎการณ์ดังกล่าว ไม่มีสิ่งใดอีกแล้ว นอกเหนือไปจากการเสนออภัยโทษให้ทักษิณ ชินวัตร
      
       ความลับทางการเมืองย่อมเป็นปรปักษ์ต่อระบอบประชาธิปไตย เพราะหลักการที่สำคัญของระบอบนี้คือ ความโปร่งใสและการมีส่วนร่วม นักและพรรคการเมืองใดก็ตามหากกระทำการสร้างความลับทางการเมือง และใช้อำนาจรัฐในทุกรูปแบบเพื่อปกปิกความลับนั้นเอาไว้ นักและพรรคการเมืองเหล่านั้นย่อมมีพฤติกรรมที่เป็นปรปักษ์ต่อระบอบ ประชาธิปไตยเช่นเดียวกัน ดังที่กำลังเกิดขึ้นในรัฐบาลชุดนี้

"จับพิรุธ 8ประเด็น ออก พรฎ.พระราชทานอภัยโทษเพื่อ "ทักษิณ"

"จับพิรุธ 8ประเด็น ออก พรฎ.พระราชทานอภัยโทษเพื่อ "ทักษิณ"


| |
ภายหลัง ครม.ถกลับเพื่อมีมติทูลเกล้าฯ ร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษ พ.ศ.2554 ทำให้การพระราชทานอภัยโทษที่จะมีขึ้นกลายเป็นประเด็นส่อพิรุธที่ต้องจับจ้อง ว่าเป็นส่วนหนึ่งภารกิจพา"ทักษิณ"กลับบ้าน

ประเด็นแรก หนีไม่พ้นเนื้อหาในร่างพรฎ.ซึ่งถ่างกว้างด้วยการเล่นคำ คล้ายคลึงกับการนำพรฎ.อภัยโทษมาผนวกกับ พรฎ.ล้างมลทิน จากการอภัยโทษให้"ผู้ต้องราชทัณฑ์" ซึ่งจำกัดวงอยู่กับนักโทษเด็ดขาดหรือผู้ต้องกักขังแทนค่าปรับ ก็เพิ่มคำว่า "ผู้ต้องคำพิพากษาจำคุกไม่เกิน 3 ปี" ซึ่งยังไม่เคยรับโทษจำคุกเข้าไปด้วย ( พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร  ต้องคำพิพากษาจำคุก 2 ปี แล้วหนีคดีไป ไม่เคยรับโทษ)จึงถือเป็นการเปลี่ยนหลักเกณฑ์ไปจากเดิมที่เคยปฏิบัติสืบต่อ กันมา เพราะละทิ้งเรื่องความสำนึกในความผิดที่ได้กระทำมา

ประเด็นที่สอง เป็นการขยายเงื่อนไขของผู้ต้องราชทัณฑ์และผู้ต้องคำพิพากษาโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปี ซึ่งขยายจากพรฎ.อภัยโทษปี 53 ซึ่งจำกัดวงให้กับผู้ต้องขังอายุตั้งแต่ 60 ปีขึ้นไปที่คงเหลือโทษจำคุกไม่เกิน 2 ปี

ประเด็นที่สาม มีการพิจารณาให้ตัดทิ้ง ข้อยกเว้นไม่สมควรอภัยโทษให้กับผู้ต้องโทษในคดีนโยบาย ซึ่งเป็นการบ่อนทำลายความมั่นคงของชาติ ทั้งคดียาเสพติดและคดีทุจริตคอรัปชั่น ( พ.ต.ท. ทักษิณ ถูกจำคุก 2 ปี ในคดีที่ดินรัชดา ฐานกระทำผิดตาม พ.ร.บ. ป้องกันและปราบปรามการทุจริตฯ) แต่ทิ้งติ่งไว้ว่าในคดียาเสพติดในส่วนของผู้ค้าซึ่งต้องโทษประหารไม่สมควร ได้รับการอภัยโทษ

ประเด็นที่สี่ ซึ่งถูกกอ สซิปกันว่า คณะกรรมการพิจารณาการอภัยโทษที่มี กิตติพงษ์ กิตยารักษ์ ปลัดกระทรวงยุติธรรมเป็นประธาน ซึ่งนั่งร่วมวงพิจารณายกร่างพรฎ.แล้วเสร็จไปแล้ว เริ่มฉงนสงสัยว่าร่างพรฎ.ที่ออกจากคณะกรรมการเนื้อหาไม่ตรงกับที่เป็นข่าว อย่างนี้แสดงว่ามีชุดเฉพาะกิจเข้ามาเสริมเติมแต่ง ก่อนชงให้"บิ๊กผิว" พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรม พิจารณาตามขั้นตอน

ประเด็นที่ห้า การเสนอ ร่าง พรฎ.เข้าสู่การพิจารณาในที่ประชุมครม.ที่ผ่านมากระทรวงยุติธรรมมักเป็นต้น เรื่อง เนื่องจากเป็นหน่วยงานต้นสังกัดของกรมราชทัณฑ์

แต่รอบนี้ต้นเรื่องกลับหลบฉาก ปล่อยผ่าน ให้นำเสนอเป็นวาระปนๆไปกับโครงการเฉลิมฉลอง และเทอดพระเกียรติ 5 ธันวาคม โดย ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯกำกับดูแลกระทรวงยุติธรรม ยืดอกรับว่ามีการถกเป็นวาระลับเฉพาะ

ประเด็นที่หก การปิดห้องเชิญข้าราชการฝ่ายประจำออกจากห้องประชุมครม.เพื่อพิจารณาร่างพร ฎ.อภัยโทษก็ยิ่งแปลก เพราะปกติในวโรกาสมิ่งมงคลย่อมต้องมีการทำบุญครั้งใหญ่เพื่อเป็นพระมหากุศล และแผ่พระมหากรุณาธิคุณถึงพสกนิกรถ้วนหน้า แต่จะยังไม่เปิดเผยหลัเกณฑ์และคุณสมบัติของผู้ที่จะได้รับการพระราช ทานอภัยโทษหรือลดวันต้องโทษเนื่องจากเป็นพระราชอำนาจ

ประเด็นที่เจ็ด การฉากหลบ ของ"ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร" พร้อมๆกับยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ ซึ่งอ้างว่าติดภารกิจตรวจน้ำท่วมในจ.สิงห์บุรี เพื่อเปิดทางให้ร.ต.อ.เฉลิม. ด็อกเตอร์กฎหมาย รับหน้าเสื่อ ทั้งนี้ทั้งนั้นก็เพื่อเลี่ยงไม่ให้ถูกถอดถอนเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนจาก ภารกิจ "สู้เพื่อพี่"

ประเด็นที่แปด เริ่มมี ความพยายามเบี่ยงเบนประเด็นว่าคดีโทษจำคุกไม่เกิน 3 ปีเป็นคดีลหุโทษหรือคดีมโนสาเร่ จึงควรได้รับโอกาสในการอภัยโทษเพื่อให้ผู้ต้องโทษตามคำพิพากษากลับตัว แต่คดีมโนสาเร่นั้นศาลจะพิจารณาจากพฤติการณ์แห่งคดี หากจำเลยไม่ได้มีเจตนาหรือกระทำผิดเล็กน้อยหรือกระทำผิดเป็นครั้งแรก ศาลมักให้โอกาสจำเลยได้สำนึกกลับตัว โดยจะสั่งรอลงอาญาโทษจำคุกไม่ถึง3ปีอยู่แล้ว นอกจากนี้ยังตะแบงต่อด้วยว่า คดีที่ดินรัชดาของพ.ต.ท.ทักษิณไม่ใช่คดีทุจริต
      


โดย : ปิยะนุช ทำนุเกษตรไชย สำนักข่าวเนชั่น

ค่าจอดรถหนีน้ำท่วม 10,000 บาท !!!!!

 


อ่านไม่ผิดหรอก.. ดูมันเถิดค่ะ เพื่อนๆ พี่ๆ น้องๆ เป็นโรงพยาบาลซะเปล่า ไร้จิตสำนึกจริงๆ หากำไรบนความเดือดร้อนของประชาชน ช่วยกันประจานและประณามสันดานสารเลวของผู้บริหาร
ตอนแรกมันเรียก 54,000 นะ ต้องไปคุยกับผู้บริหาร เพราะที่บ้านเป็นสมาชิกของโรงพยาบาลนี้อยู่ 17 ชีวิต หลานๆ 7-8 คนก็เกิดที่นี่หมดทุกคน มีการเอาใบเสร็จของคนอื่นมาให้ดูด้วยว่าเนี่ย มีคนจ่ายสามหมื่น.. ตอนแรกให้จอดเพราะมีญาติทำงานอยู่ข้างในเค้าคุยให้ แต่แล้วพอจะเอารถออกกลับโดนเรียกเงินอย่างหน้าเลือด
** ข้อความข้างบนนี้เป็นของผู้ที่ประสบเหตุมาด้วยตนเองนะคะ
ที่มา  จาก Facebook November 4 at 12:22am
แอดมิน อึ้ง…..จริงหรือไม่ แอดมิน ไม่ทราบค่ะ แต่ใบเสร็จใบนี้ ทำให้ใครหลายๆ คน ที่ประสบภาวะน้ำท่วม และนำไปจอดไว้ที่อื่นๆ อาจจะมีความกังวลขึ้นอีกเยอะเลยค่ะ

ข่าวโดย : -Talk story
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง