บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ทรัพย์สินส่วนพระองค์กับปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง




รามอินทรา

เมื่อ วานนี้ 28 มี.ค. 54 ผมได้มีโอกาสพบปะผู้ใหญ่ท่านหนึ่ง ท่านได้ปรารถให้ฟังว่าปัจจุบันนี้มีความพยายามของบุคคลบางคนที่ต้องการบ่อน ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ ด้วยการประโคมข่าวที่บิดเบือนความจริงไปตามสื่อต่างๆทั้งภายในประเทศและต่าง ประเทศ ซึ่งมีเรื่องที่ท่านกังวลใจได้แก่ การนำเอาเรื่องนิตยสารฟอร์บส์จัดลำดับความร่ำรวยของพระมหากษัตริย์ไทยมาชี้นำให้คนทั่วไปเห็นความขัดแย้งระหว่างความร่ำรวยกับหลักปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว

ผม ชี้แจงไปว่า ท่านอย่าได้วิตกกังวลมากไปเลยความจริงไม่ได้เป็นไปอย่างที่คนเหล่านี้ออกมา พูดหรอก ปัญหาก็คือ ปัจจุบันประเทศไทยเป็นยุคกระเบื้องลอยน้ำ-อันธพาลครองเมืองที่คนดีมักจะเก็บ ตัวไม่ค่อยแสดงออก ตรงกันข้ามกับคนชั่วช้าสามานย์ชอบออกมาแสดงอำนาจ แสดงความรอบรู้ ทั้งการเคลื่อนไหวและการพูดจาโกหกเอาดีใส่ตัวเอาชั่วให้คนอื่นอย่างหน้าด้าน พวกเขาได้สร้างพฤติกรรมดังกล่าวออกทางสื่อต่างๆ จนเกิดความเคยชินแล้วสรุปเอาเองว่านี่แหละคือ วิถีทางประชาธิปไตยของพวกเขามันเป็นสงครามข่าวสารที่คนชั่วชอบใช้อยู่เป็นประจำ คนไทยทั่วไปนั้นทราบดี แต่ก็ไม่ค่อยมีใครออกมาต่อต้านอย่างจริงจัง เช่นเดียวกับเรื่องปัญหาทุจริตคอรัปชั่นของนักการเมืองบางคนในทุกวันนี้

ผู้ใหญ่ท่านนั้นกล่าวต่อไปว่า ปัญหามันอยู่ที่คนซึ่งไม่ทราบความจริงมาก่อนโดยเฉพาะเยาวชนคนรุ่นใหม่ เมื่อได้รับข่าวสารที่บิดเบือนดังกล่าวบ่อยครั้งเข้าจะเกิดความเชื่อโดยไม่รู้ตัวได้ ผมเห็นด้วยกับท่านไม่เช่นนั้นเขาจะมีตำราสงครามจิตวิทยาไว้ทำไม การโฆษณาชวนเชื่อมีผลที่เป็นไปได้จริง ดังนั้นผมจึงต้องกลับมาเขียนเรื่องเดิมอีกครั้ง พวกเขาพูดบ่อยๆซ้ำๆ ผมก็จะเขียนบ่อยๆซ้ำๆเหมือนกันจนกว่ามันจะตายไปข้างหนึ่ง

การ ที่สื่อต่างประเทศเช่น เว็บไซด์แวนคูเวอร์ซันหรือนิตยสารฟอร์บส์จัดลำดับจากผลการสำรวจทรัพย์สิน ระบุว่าพระมหากษัตริย์ไทยทรงมีฐานะร่ำรวยอยู่ในลำดับที่หนึ่ง โดยได้นำเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์เข้าไปรวมกับทรัพย์สินส่วนพระองค์ นั้นถือว่าเป็นการใช้ข้อมูลที่ผิดพลาดอยู่แล้ว

ตาม พรบ.ว่าด้วยการยกเว้นภาษีอากรอันเกี่ยวกับทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ พ.ศ.2477 ได้ยกเว้นการเก็บภาษีอากรทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์ เว้นแต่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ที่ต้องเสียภาษี โดยได้ให้คำจำกัดความทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นหมายถึงอะไรบ้าง แต่เนื่องจากทรัพย์สินฯดังกล่าวของเดิมยังรวมกันอยู่ภายใต้การดูแลของกรมพระ คลังข้างที่ รัฐบาลสมัยนั้นที่มี พ.อ. พหล พลพยุหเสนา เป็น นรม. จึงได้แต่งตั้งคณะกรรมการขึ้นมา 6 นาย ดยมี พระยานิติศาสตร์ไพศาล เป็นประธานให้ดำเนินการแบ่งแยกทรัพย์สินฯ เพื่อที่จะสามารถดำเนินการเก็บภาษีทรัพย์สินส่วนพระองค์ ตาม พรบ.ดังกล่าวได้ ซึ่งคณะกรรมการก็ได้ดำเนินการเสร็จเรียบร้อย
ต่อ มาได้มีการออกพรบ.จัดระเบียบทรัพย์สินฝ่ายพระมหากษัตริย์อีก 3 ฉบับ ในพ.ศ. 2479 พ.ศ. 2484 และพ.ศ. 2491 โดยได้แบ่งทรัพย์สินฯออกเป็น 3 ส่วนด้วยกันคือ ทรัพย์สินส่วนพระองค์ ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน และทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ซึ่งให้คำจำกัดความเอาไว้ดังนี้
ทรัพย์สินส่วนพระองค์ หมายความว่า ทรัพย์สินที่เป็นของพระมหากษัตริย์อยู่แล้วก่อนเสด็จขึ้นครองราชย์ ทรัพย์สินที่รัฐทูลเกล้าถวาย และทรัพย์สินที่ทรงได้มาไม่ว่าในทางใด นอกจากที่ทรงได้มาในฐานะที่ทรงเป็นพระมหากษัตริย์
ทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดิน หมายความว่า ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ซึ่งใช้เพื่อประโยชน์ของแผ่นดิน เช่น พระราชวัง
ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ หมายความว่า ทรัพย์สินในพระมหากษัตริย์ นอกจากทรัพย์สิน ส่วนพระองค์ และทรัพย์สินส่วนสาธารณสมบัติของแผ่นดินดังกล่าวมาแล้ว

ดัง นั้นจึงจะเห็นได้ว่าทรัพย์สินส่วนพระองค์ได้ถูกจัดแบ่งออกไปอย่างชัดเจนแล้ว ตั้งแต่รัชสมัยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 8 จึงไม่สามารถที่จะนำเอาทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไปรวมกันแล้วนำมาจัด ลำดับความร่ำรวยได้ แม้ว่ารายได้จากทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์จะได้นำขึ้นทูลเกล้าถวายตามที่ ระบุไว้ในมาตรา 5 ของพรบ.ฯ แต่ตัวทรัพย์สินทั้งหมดยังคงอยู่และถือเป็นทรัพย์สินส่วนกลางของพระมหากษัตริย์ ไม่ว่าพระองค์ใด เสด็จขึ้นมาครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์องค์ต่อๆไปก็จะทรงมีสิทธิเฉพาะราย ได้จากทรัพย์สินส่วนนี้สำหรับไว้ใช้ตามพระราชอัธยาศัย

เรื่องของทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์นี้ผมเคยอ่านพบในบทความหนึ่งเขียนเอาไว้ว่าทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ไม่ใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์แต่จัดเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ซึ่งผมเห็นว่าข้อเขียนนี้ก็ไม่ถูกต้องด้วยเหตุผลเช่นเดียวกันที่ได้มีการ แบ่งแยกทรัพย์สินของแผ่นดินออกไปแล้ว บรรดาที่ดินซึ่งอยู่ในทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์มีโฉนดทุกแปลงและส่วนใหญ่ จะมีพระนามของพระมหากษัตริย์องค์ก่อนๆเป็นเจ้าของที่ดิน (ต่อมาจึงได้เปลี่ยนชื่อเป็นสำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์) แตกต่างจากที่ดินสาธารณะประโยชน์ ป่าไม้ ภูเขา แม่น้ำ ลำธาร ฯลฯ ซึ่งมิได้มีโฉนดและหน่วยงานของรัฐเป็นผู้ดูแล ถือว่าเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน

การ กล่าวถึงข้อเท็จจริงเรื่องทรัพย์สินส่วนพระองค์ก็เพื่อให้มีความชัดเจนว่า สื่อต่างประเทศจัดลำดับความร่ำรวยโดยใช้ข้อมูลที่ไม่ถูกต้อง อย่างไรก็ตามความร่ำรวยอันดับที่เท่าใดก็ไม่ได้มีความสำคัญในประเด็นนี้ การที่มีบุคคลบางคนได้พยายามนำเรื่องความร่ำรวยมาอ้างถึงให้เกี่ยวพันกับพระ ราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวในเรื่องปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงว่า เป็นสิ่งที่ขัดกันนั้น นับว่าเป็นเรื่องที่ปรุงแต่งขึ้นมาอย่างไร้สาระสิ้นดี วัตถุประสงค์ของพวกเขาเห็นชัดเจนอยู่แล้วว่าต้องการให้ร้ายต่อพระบาทสมเด็จ พระเจ้าอยู่หัว

ปรัชญา เศรษฐกิจพอเพียง หมายถึง ความพอประมาณ ความมีเหตุผล และความมีระบบภูมิคุ้มกันที่ดี เป็นการชี้แนะแนวทางในการดำเนินชีวิตของบุคคลรวมทั้งหน่วยงานต่างๆ เพื่อให้มีความมั่นคงไม่เกิดความผิดพลาดหรือเสียหายอย่างรุนแรงแม้จะเกิด เหตุการณ์วิกฤติใดๆขึ้น ไม่ได้มีข้อห้ามความร่ำรวยความเจริญก้าวหน้าแต่ประการใด

ทั้ง คนรวย คนปานกลาง และคนจนก็สามารถที่จะนำปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียงไปใช้เป็นหลักในแนวทางการ ดำเนินชีวิต การประกอบอาชีพการงานได้ ความร่ำรวยมากน้อยเพียงใดก็มิได้หมายความว่าเป็นสิ่งที่ไม่ดี ถ้าความร่ำรวยนั้นไม่ได้มีที่มาโดยมิชอบ
ความดี ความชั่ว ไม่ได้วัดกันที่ความร่ำรวยหรือความยากจน
คนรวยที่ทุจริตคอรัปชั่น บ่อนทำลายชาติบ้านเมือง มีพฤติกรรมที่เลวทรามเป็นคนชั่ว
คนจนหาเช้ากินค่ำ มีความประพฤติดี รักชาติบ้านเมือง เป็นคนดี




เรื่องที่คนไทย ต้องรู้เกี่ยวกับพระราชทรัพย์จะได้ไม่เป็นเหื่ือยบนเวทีเสื้อแด
ไม่รู้จริง...อย่าสู่รู้...นรกกินหัวที่มีแต่กะโหลก กะลา...บอกให้เอาบุญ

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์

ทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ถือเป็นทรัพย์สินของแผ่นดิน ไม่ใช่ทรัพย์สินของส่วนพระองค์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวและได้รับการยกเว้นไม่ต้องเสียภาษีอย่างถูกต้องตามกฎหมายบริหารงานในรูปแบบองค์กรนิติบุคคลภายใต้ชื่อ สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ ทรัพย์สินส่วนใหญ่ ได้แก่ ที่ดินและหุ้น โดยปัจจุบันมีผู้เช่าที่ดินทั่วประเทศ มากกว่า 3 หมื่นสัญญาโดยแปลงสำคัญ ๆ ประกอบด้วย ที่ดินโรงแรมโฟร์ซีซั่น ที่ดินสยามพารากอน ที่ดินเซ็นทรัลเวิลด์พลาซ่า ที่ดินองค์การสะพานปลา และ ที่ดินริมถนนพระรามที่ 4 ฝั่งเหนือ จากสวนลุมไนท์บาร์ซาร์ ยาวจรด ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์[ต้องการแหล่งอ้างอิง] ทั้งนี้บริษัทซีบีริชาร์ดเอลลิส บริษัทโบรกเกอร์ด้านอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของโลก ได้เคยประมาณการตัวเลขพื้นที่ที่อยู่ในการดูแลของสำนักงานทรัพย์สินฯ อยู่ที่ 32,500 ไร่ (13,000 เอเคอร์) โดยในบางพื้นที่มีมูลค่าสูงกว่า 380 ล้านบาทต่อไร่ ทั้งนี้ สำนักงานทรัพย์สินฯ ยังได้ลงทุนในหุ้นของบริษัทต่าง ๆ อีกด้วย โดยถ้านับรวมทั้งหมด หุ้นที่สำนักงานทรัพย์สินฯ มีอยู่ทั้งหมด
คิดเป็น 7.5% ของมูลค่าตลาดรวมของตลาดหุ้นไทยทำให้พระองค์ทรงได้รับการจัดอันดับจากนิตยสาร Forbes ให้เป็นหนึ่งในกษัตริย์ที่ร่ำรวยที่สุดในโลก[9] อย่างไรก็ตาม สำนักงานทรัพย์สินส่วนพระมหากษัตริย์ได้ชี้แจงถึงกรณีนี้ว่า "บทความดังกล่าวมีความคลาดเคลื่อนจากข้อเท็จจริง เนื่องจากว่า ทรัพย์สินที่บทความนำมาประเมินนั้น ในความเป็นจริง มิใช่ทรัพย์สินส่วนพระองค์ แต่เป็นของแผ่นดิน ซึ่งเป็นไปในทำนองเดียวกันกับพระมหากษัตริย์ในประเทศอื่น ที่บทความเดียวกันนี้ไม่ได้จัดอันดับฐานะความร่ำรวย เพราะทรัพย์สินต่าง ๆ ไม่ใช่ของกษัตริย์ หากแต่เป็นของคนทั้งชาติ"
ทรัพย์สินส่วนพระองค์

พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ยังทรงมีการลงทุนส่วนพระองค์เอง โดยไม่ผ่านสำนักงานทรัพย์สินฯ โดยการเป็นผู้ถือหุ้นใน บริษัท สัมมากร จำกัด (มหาชน) 43.87% บริษัท ไทยประกันภัย จำกัด (มหาชน) 18.56% บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด
(มหาชน) 2.04%เป็นต้น ทรัพย์สินส่วนพระองค์นี้ยังหมายรวมถึง เงินทูลเกล้าถวายฯ ตามพระราชอัธยาศัยต่างๆ

ซึ่งทรัพย์สินส่วนพระองค์นั้นไม่ได้รับการยกเว้นเรื่องภาษี

และต้องเสียภาษีอากรตามปกติ

http://www.oknation.net/blog/print.php?id=587584

โกงบ้าเลือด

   การที่คณะรัฐมนตรีได้ประชุมเพื่อพิจารณาทบทวนการจัดทำงบประมาณ เพื่อนำไปใช้ในการฟื้นฟูน้ำท่วม เพื่อไม่ให้เกิดความซ้ำซ้อน เนื่องจากที่ผ่านมาหน่วยงานราชการต่างๆ เสนอของบประมาณเพื่อนำไปใช้ในการฟื้นฟูมาจำนวนมาก ซึ่งสูงกว่างบกลาง งบสำรองจ่ายกรณีฉุกเฉินและจำเป็น ที่ตั้งไว้เพื่อการฟื้นฟูน้ำท่วม จำนวน 1.2 แสนล้านบาท
     ถ้าเป็นคนทั่วไปอาจจะนึกว่า เป็นเพียงการกระจายงบประมาณเพื่อจัดสรรเงินให้กระจายได้ทั่วถึง
     แต่ในฐานะที่คลุกคลีกับนักการเมืองมาพอสมควร งบประมาณ 1.2 แสนล้านบาท….อาจหมายถึง เงินถอนทุนจากการใช้จ่ายในการเลือกตั้งครั้งที่ผ่านมา
 แค่ 10% ก็หมายถึงเงินปริมาณมากถึง 1.2 หมื่นล้านบาท

     แต่ส่วนใหญ่ในปัจจุบัน เขาคิดกันที่ 30% นั่นหมายความว่า มีปริมาณมากถึง 3.6 หมื่นล้านบาท เงินงบดังกล่าว กลายเป็นโอกาสของส.ส.ฝ่ายรัฐบาลมากที่สุดในการชงโครงการเพื่อฟื้นฟูพื้นที่ประสบอุทกภัย
     โดยเฉพาะปัญหาความซ้ำซ้อนของโครงการ และความซ้ำซ้อนของพื้นที่ แต่ลักษณะโครงการแตกต่างกัน
     "งบประมาณที่ครม.อนุมัติในครั้งก่อนจำนวน 5 หมื่นล้านบาทนั้น ก็จะมีการทบทวนใหม่เช่นเดียวกัน เพื่อให้เห็นภาพรวมของการใช้จ่ายงบประมาณมีความชัดเจน และลดความซ้ำซ้อน"วรวิทย์ จำปีรัตน์ ผู้อำนวยการสำนักงบประมาณอธิบายสาเหตุถึงความซ้ำซ้อน ปริมาณเงิน 1.2 แสนล้านบาท อาจจะเป็นจุดแบ่งแยกระหว่างความเป็นส.ส.ฝ่ายรัฐบาล และส.ส.ฝ่ายค้านอย่างชัดเจน
    อย่าลืมว่า ก่อนหน้านี้ รัฐบาลไม่ได้ริเริ่มหรือจัดสรรงบประมาณมากมายนัก ยกเว้นงบประมาณ 2556 แต่สำหรับงบประมาณปี 2555 กำลังอยู่ในระหว่างการแปรญัตติ ซึ่งเป็นโอกาสของกรรมาธิการที่จะได้รับการจัดสรรงบประมาณเพิ่มเติม รวมทั้ง ส.ส.ซีกรัฐบาลที่ใกล้ชิด เงิน 1.2 แสนล้านบาท จึงเป็นโอกาสทอง ส.ส.รัฐบาลและหัวคะแนน
     แต่สิ่งที่สร้างความกังวลให้รัฐบาลอยู่บ้างก็คือ การจัดซื้อจัดจ้างเงินช่วยเหลือน้ำท่วมของกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) กระทรวงมหาดไทย
 ความอื้อฉาวในการจัดซื้อ ยังมีให้เห็นอยู่สม่ำเสมอ
การแจกถุงยังชีพล่าสุด ก็ยังแจกของหมดอายุ

   จนกระทั่งวิลาศ จันทร์พิทักษ์ คนเอ่ยชื่อ “”ไอ้เบ๋” คนจัดหาสิ่งของ ยังต้องวิจารณ์อย่างไม่ไว้หน้าว่า
    "ไอ้พวกนี้มันซื้อทุกอย่างที่ราคาถูก ไม่มีคุณภาพ ได้เปอร์เซ็นต์มากเอาทั้งนั้น ได้มาก็เอาไปแจกให้ชาวบ้าน โดยไม่ดูว่าเป็นของหมดอายุหรือยัง โกงกันแบบบ้าเลือด คาดว่าข้าวสารที่หมดอายุน่าจะเป็นข้าวที่เก็บไว้ในคลังของบ้านเรานี่แหละ เท่าที่รู้มีข้าวสารที่หมดอายุเก็บในคลังของ อคส.อยู่เป็นจำนวนมาก แต่กรณีนี้ต้องตรวจสอบก่อนว่าซื้อมาจากที่ไหน อย่างไร เกี่ยวกันหรือไม่ ” วิลาศ จันทร์พิทักษ์ ส.ส.กทม.พรรคประชาธิปัตย์ ในฐานะประธานที่ปรึกษาคณะกรรมาธิการ (กมธ.) ป้องกันและปราบปรามการทุจริตประพฤติมิชอบ (ป.ป.ช.) สภาผู้แทนราษฎรกล่าว
    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นเมื่อนายวันชัย เจริญนนทสิทธิ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย นำถุงยังชีพจำนวน 600 ถุง ซึ่งบรรจุข้าวสารและน้ำพริกตาแดงหมดอายุ (โดยข้างถุงข้าวสารระบุวันผลิตปี 2008 หมดอายุ 2010 ซึ่งหมดอายุไปถึง 1 ปีแล้ว) ไปแจกผู้ประสบอุทกภัยน้ำท่วมภายในหมู่บ้านบัวทอง 4 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี 
   โดยเมื่อเร็วๆนี้ ชาวบ้านหมู่บ้านบัวทอง 4 ต.พิมลราช อ.บางบัวทอง จ.นนทบุรี ได้ร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนว่า นายวันชัย เจริญนนทสิทธิ์ ส.ส.นนทบุรี พรรคเพื่อไทย ได้นำถุงยังชีพมาแจกให้กับประชาชนภายในหมู่บ้าน จำนวน 600 ชุด ซึ่งประชาชนก็ได้นำคูปองไปขอรับตามที่ผู้บริหารท้องถิ่นจัดระเบียบและประชา สัมพันธ์เอาไว้ โดยภายในถุงยังชีพประกอบไปด้วยเครื่องอุปโภค-บริโภคที่จำเป็น เช่น ข้าวสาร น้ำปลา และน้ำพริกตาแดง เป็นต้น 
    ทั้งนี้ เมื่อตรวจสอบอย่างละเอียดกลับพบว่าข้าวสารและน้ำพริกตาแดงนั้นหมดอายุ โดยถุงข้าวสารระบุว่าผลิตเมื่อปี 2008 และควรบริโภคก่อนปี 2010 เมื่อพบเช่นนั้น ชาวบ้านบางส่วนจึงนำถุงยังชีพดังกล่าวไปคืน แต่นายวันชัยได้พยายามอธิบายว่าข้าวสารไม่ได้หมดอายุ แต่เป็นเพียงอายุของถุงที่บรรจุข้าวสารที่หมดอายุเท่านั้น
 ชาวบ้านส่วน ใหญ่ไม่เชื่อคำชี้แจงของนายวันชัย ซึ่งบางส่วนได้เก็บไว้เป็นหลักฐาน ขณะที่อีกหลายคนแสดงความไม่พอใจและโยนถุงยังชีพทิ้งต่อหน้าต่อตานายวันชัย

    เมื่อผู้สื่อข่าวได้ติดต่อนายวันชัยทางโทรศัพท์เพื่อสอบถามข้อเท็จจริง 
     นายวันชัยได้ชี้แจงเช่นเดียวกับที่ชาวบ้านได้ร้องเรียนเข้ามา โดยกล่าวว่า "ถุงที่บรรจุข้าวสารมีระบุวันที่หมดอายุจริง แต่ความเป็นจริงข้าวสารไม่ได้หมดอายุ เป็นเพียงอายุของถุงที่บรรจุเท่านั้น คาดว่าคนที่บรรจุคงไม่ทันคิด"
     เมื่อถามถึงกรณีของน้ำพริกตาแดงที่หมดอายุเช่นกัน นายวันชัยปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น โดยแนะนำให้ไปสอบถามกับทางจังหวัดนนทบุรีซึ่งเป็นผู้จัดเตรียมถุงยังชีพดัง กล่าว เพราะเขาเป็นแค่ผู้ที่มาแจกจ่ายต่อเท่านั้น ไม่ใช่จัดซื้อ จึงไม่สามารถทราบว่าสิ่งของหมดอายุหรือไม่อย่างไร 
     ใครจะเชื่อว่า เอาถุงหมดอายุมาใส่ข้าวสารไม่หมดอายุ !!

 แก้วกานต์  กองโชค

สื่อเทศ แห่ฟ้อง รบ"ปู" เป็นกรณีตัวอย่าง ล้มเหลวแก้น้ำท่วม

"ศรีสุวรรณ" เผย สื่อเมืองผู้ดี ซัด รบ.ตั้งศปภ.เอาคนไม่มีความรู้เข้าทำงาน จนเสียหายเกินเยียวยา ย้ำสมควรฟ้องเพื่อสร้างมาตรฐาน คนที่จะเป็นตัวแทนปชช.ต้องมีความรู้ความสามารถเท่านั้น ไม่ใช่เอาพวกมีผลตอบแทน-เชลียร์มาทำงาน ด้านสื่อยุ่นเล็งฟ้องรัฐ สูบน้ำช่วยนิคมอุตฯ แต่ปชช.ต้องรับเคราะห์จากสารเคมีและขยะพิษ
      
       ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วันนี้ 11 ธ.ค. นายศรีสุวรรณ จรรยา นายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อน เปิดเผยว่า ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมามีผู้สื่อข่าวจากต่างประเทศหลายสำนักข่าวที่มีชื่อ เสียงในอังกฤษ ฝรั่งเศส และญี่ปุ่น ให้ความสนใจความเคลื่อนไหวของสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนเป็นอย่างมาก กรณีทำหน้าที่เป็นตัวแทนในการให้ความช่วยเหลือประชาชนทางกฎหมาย ในการช่วยเรียกร้องสิทธิให้กับประชาชนในกรณีน้ำท่วมที่ผ่านมา เพราะถือว่าเป็นกรณีตัวอย่างของโลก ที่องค์กรพัฒนาเอกชนและภาคประชาชนลุกขึ้นมาเรียกร้องสิทธิของประชาชนในการ เรียกร้องค่าเสียหายผ่านกระบวนการทางศาลปกครอง อันเนื่องมาจากความผิดพลาด ล้มเหลวของการบริหารจัดการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาลและหน่วยงาน ต่าง ๆ ของรัฐ จนก่อให้เกิดความเดือดร้อนและเสียหายแก่ประชาชนมากกว่า 3 ล้านคน
      
       ทั้งนี้ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ THE YOMIURI SHIMBUN จากญี่ปุ่น ให้ความสนใจถึงกรณีความเสียหายของนิคมอุตสาหกรรมทั้ง 7 แห่งที่ถูกน้ำท่วมไปนั้น และมีการกู้นิคมโดยการสูบน้ำออกทิ้งมายังภายนอกนิคมกระทบต่อชาวบ้าน เพราะมีสารเคมีและขยะพิษเจือปนนั้น สมาคมฯมีแนวทางการช่วยเหลือประชาชนในเรื่องนี้อย่างไร ซึ่งสมาคมฯ ได้ทำหนังสือแจ้งให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเช่น กนอ. กรมโรงงานฯ กระทรวงอุตสาหกรรม และกรมควบคุมมลพิษทราบแล้ว และเรื่องนี้ต้องมีคำตอบและคำอธิบายจากหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง หากภาครัฐไม่ดำเนินการใด ๆ ให้เป็นไปตามกฎหมายสมาคมฯจะต้องฟ้องร้องหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้องฐานละเว้น การปฏิบัติหน้าที่ต่อไปแน่นอน
      
       ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ THE GARDIAN ของอังกฤษ ให้ความสนใจถึงปัญหาสภาวะโลกร้อน มีผลต่อกรณีน้ำท่วมในประเทศไทยอย่างไร ซึ่งนายกสมาคมฯ ตอบชัดเจนว่าปัญหาโลกร้อนมีผลต่อกรณีน้ำท่วมในประเทศไทยไม่เกิน 30 % เท่านั้น นอกจากนั้น 70 % เป็นเรื่องของการบริหารจัดการที่ผิดพลาดล้มเหลวของรัฐบาลและหน่วยงานภาครัฐ มาโดยตลอดแทบทั้งสิ้น เริ่มจากความผิดพลาดในการตั้ง ศปภ. ทั้ง ๆ ที่มีคณะกรรมการป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยแห่งชาติ เรียกโดยย่อว่า “กปภ.ช.” ตามกฎหมายอยู่แล้ว แต่นายกฯกลับละเว้นการปฏิบัติหน้าที่ไปตั้งคณะกรรมการใหม่ขึ้นมาโดยนำ บุคลากรที่มีความรู้ความสามารถไม่ตรงกับสายงานเข้ามาบริหารจัดการน้ำ จึงก่อให้เกิดผลกระทบต่อประชาชนตามมามากมาย เกินกว่าที่จะแก้ไขได้
      
       ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์ THE LIBERIAN จากฝรั่งเศส ถามถึงความคาดหวังในคดีนี้อย่างไร ซึ่งนายกสมาคมต่อต้านสภาวะโลกร้อนตอบว่า คดีนี้จะเป็นคดีประวัติศาสตร์ที่ประชาชนทั้งแผ่นดินจะลุกขึ้นมาฟ้องร้อง รัฐบาลและหน่วยงานของรัฐเพื่อเรียกร้องค่าเสียหาย อันเนื่องมาจากความผิดพลาดล้มเหลวของการป้องกันแก้ไขปัญหาน้ำท่วมของรัฐบาล และคำพิพากษาของศาลจะเป็นมาตรฐานที่จะทำให้นักการเมืองในปัจจุบันและในอนาคต ที่เสนอตัวเข้ามารับใช้ประชาชน ได้ตระหนักว่าตนเองจะต้องมีความรู้ความสามารถเท่านั้น จึงควรที่จะเข้ามาเป็นตัวแทนของประชาชน และในฝ่ายการเมืองหรือนายกรัฐมนตรีจะต้องเลือกใช้บุคคลที่มีความรู้ความ สามารถที่ตรงกับสายงานเท่านั้นมาเป็นรัฐมนตรีหรือเป็นผู้บริหารสูงสุดของ หน่วยงานรัฐ ไม่ใช่เลือกใครมาอยู่ในตำแหน่งต่าง ๆ ตามโควต้า ตามการตอบแทนทางการเมือง หรือตามที่เป็นคนของใคร หรือเอาแต่พวกเชลียร์มาทำงาน โดยไม่สนใจเลยว่ามีความรู้ความสามารถเพียงพอหรือไม่ นายศรีสุวรรณกล่าวในที่สุด


 โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์

เปิดรายงานคอป.ครั้งที่2


Open publication - Free publishing - More news



รายงานความคืบ หน้าคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ครั้งที่ 2 (17 มกราคม 2554 – 16 กรกฎาคม 2554)


กรุงเทพธุรกิจ

รายงาน ความคืบหน้าคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.) ครั้งที่ 2 (17 มกราคม 2554 – 16 กรกฎาคม 2554)
รายงานคอป. มีข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้องอาทิ การดำเนินคดีอาญาในคดีความผิดตามพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุก เฉิน พ.ศ.2548 (พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ) รวมทั้งคดีที่เกี่ยวเนื่องกับการหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ล้วนเป็นเรื่องที่มีลักษณะเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง รัฐบาลสมควร เร่งรัดตรวจสอบให้ชัดเจนว่ามีการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินสมควรหรือไม่ หากผู้ต้องหาและจำเลยนั้นไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว รัฐบาลสมควรจัดหาสถานที่ในการควบคุมที่เหมาะสมที่มิใช่เรือนจำปกติ และนำเอาหลักวิชาการเกี่ยวกับความยุติธรรมในระยะเปลี่ยนผ่าน และความยุติธรรมเชิงสมานฉันท์ มาปรับใช้ โดยในระหว่างนี้ให้อัยการ ชะลอการดำเนินคดีอาญาเหล่านี้ไว้ก่อน
นอกจากนี้ คอป.มีความกังวลต่อสถานการณ์เกี่ยวกับการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตาม มาตรา 112และพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 กลายเป็นพัฒนาการทางการเมืองและการบังคับใช้กฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ที่สหประชาชาติ องค์การระหว่างประเทศด้านสิทธิมนุษยชน และนานาประเทศให้ความสนใจติดตามอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน คอป. เห็นว่ารัฐบาลต้องดำเนินการทุกวิถีทางโดยคำนึงถึงเป้าหมายสุดท้าย คือการปกป้องเทิดทูนสถาบันพระมหากษัตริย์ให้อยู่ในสถานะที่สามารถดำรงพระ เกียรติยศได้อย่างสูงสุดเป็นสำคัญ
ประการสุดท้าย ตลอดระยะเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา คอป.ได้ข้อสรุปประการหนึ่งว่าสาเหตุอันเป็นรากเหง้าของปัญหาความขัดแย้งของ ประเทศจนเกิดเหตุการณ์ความรุนแรงในช่วงเดือน เม.ย.ถึง พ.ค.2553 ส่วนหนึ่งมาจากกระบวนการที่ละเมิดหลักนิติธรรม อันเกิดจากกรณีของคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ปี 2547 ในคดี "ซุกหุ้น" ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิด
เนื่องจากตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 2 คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ไม่ได้ลงไปวินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี แต่กลับมีการนำเอาคะแนนเสียง 2 เสียงนี้ไปรวมกับคะแนนเสียงอีก 6 เสียงที่วินิจฉัยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหาว่า "ซุกหุ้น" แล้วศาลรัฐธรรมนูญได้สรุปเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง ซึ่งเป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้ และเป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของประเทศ ไทย คอป.จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรม อย่างจริงจัง




อลัมน์ รายงานพิเศษ  ข่าวสด 13 ธันวาคม 2554



หมายเหตุ - คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริง เพื่อการปรองดองแห่งชาติ หรือ คอป. ซึ่งมี นายคณิต ณ นคร เป็นประธาน ยื่นสรุปผลการดำเนินงานครั้งที่ 2 (17 ม.ค. - 16 ก.ค.) เสนอ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ตามกรอบเวลาที่ต้องสรุปข้อเสนอแนะต่อรัฐบาลในทุก 6 เดือน



เหตุการณ์ความรุนแรงในเดือนเม.ย.-พ.ค.53 พบว่ามีการดำเนินคดีต่อกลุ่มผู้ชุมนุม รวม 258 คดี แบ่งความผิดเป็น 4 กลุ่มคดี กลุ่มที่ 1 การก่อการร้าย (เหตุร้ายต่างๆ) 147 คดี กลุ่มที่ 2 การขู่บังคับให้รัฐบาลกระทำการใดๆ 22 คดี กลุ่มที่ 3 การทำร้ายประชาชนและเจ้าหน้าที่รัฐ 69 คดี และ กลุ่มที่ 4 การกระทำต่ออาวุธยุทธภัณฑ์ของทางราชการ 20 คดี


ทั้ง 258 คดีที่รับไว้เป็นคดีพิเศษ สอบสวนเสร็จ 102 คดี มีผู้ต้องหา 642 คน จับกุมได้ 274 คน หลบหนี 366 คน (เสียชีวิตแล้ว 2 ราย)


คดีวางเพลิง 62 คดี ในพื้นที่กทม. 49 คดี ต่างจังหวัด 13 คดี มีผู้ต้องหา 457 คน จับกุมได้ 144 คน มีสถานที่ถูกเพลิงไหม้ 71 แห่ง ในกทม. 37 แห่งและต่างจังหวัด 34 แห่ง จับกุมผู้ต้องหาได้ 14 คดี ซึ่งทุกคดีอยู่ระหว่างการพิจารณาของศาล


ผู้ต้องขังในคดีความผิดต่อพ.ร.ก.การบริหารราชการในสถาน การณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ยอดรวมถึงวันที่ 22 ก.ค.54 รวม 105 คน แยกเป็น ผู้ต้องขังระหว่างสอบสวน 64 คน ผู้ต้องขังระหว่างอุทธรณ์ฎีกา 21 คน และผู้ต้องขังคดีเด็ดขาด 20 คน


ที่ผ่านมา คอป. มีข้อเสนอแนะเป็นหนังสือถึงนายกฯ 2 ครั้ง ในเรื่องการตีตรวนผู้ต้องขัง และสิทธิพื้นฐานของผู้ถูกกล่าวหาในคดีอาญา และข้อเสนอแนะ 8 ประการตามรายงานครั้งที่ 1


แม้จะนำเสนอต่อรัฐบาลชุดที่แล้ว แต่ไม่เฉพาะเจาะจงกับรัฐบาลชุดใดชุดหนึ่ง คอป. ขอเรียกร้องให้รัฐบาลนำข้อเสนอแนะเหล่านั้นไปปฏิบัติอย่างเป็นรูปธรรม เพื่อสร้างบรรยากาศการปรองดอง

นอกจากนี้ คอป.ขอเสนอแนะต่อนายกฯ ในประเด็นสำคัญ ดังนี้


1.รัฐบาลต้องดำเนินมาตรการเพื่อลดความขัดแย้ง ตรวจสอบว่าเจ้าพนักงานปฏิบัติตามกฎหมายอย่างเคร่งครัด ให้ประชาชนที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมเข้าถึงกระบวนการยุติธรรมได้ ตรวจสอบและหาตัวผู้รับผิดชอบทุกฝ่ายต่อความรุนแรงที่เกิดขึ้น รวมทั้งฝ่ายเจ้าหน้าที่รัฐเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม ได้รับการพิจารณาอย่างเท่าเทียมกัน


2.ระหว่างที่ความขัดแย้งยังดำรงอยู่ ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทั้งรัฐบาล พรรคการเมือง กลุ่มการเมือง กลุ่มบุคคลและองค์กรต่างๆ ระมัดระวังในการกระทำการใดๆ ซึ่งอาจกระทบถึงบรรยากาศ ปรองดอง


โดยเฉพาะรัฐบาล ต้องระลึกว่าชัยชนะจากการเลือกตั้งส่วนหนึ่งมาจากนโยบายที่สนับสนุนการปรองดอง จึงต้องระวังไม่ดำเนินการใดๆ กระตุ้นให้เกิดความขัดแย้งมากยิ่งขึ้น และการปรองดองจะเกิดขึ้นได้ต่อเมื่อรัฐบาลตั้งใจจริง อดทน และมุ่งมั่นนำประเทศเข้าสู่กระบวนการปรองดองอย่างจริงจัง


3.ความขัดแย้งทางการเมืองที่ผ่านมาเป็นสาเหตุสำคัญนำสู่ความรุนแรงและการทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งมิใช่พฤติกรรมที่เกิดขึ้นในภาวะปกติ แม้ผู้กระทำความผิดต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายที่เหมาะสม


แต่ในหลายกรณี การฟ้องคดีและการลงโทษทางอาญาไม่ก่อให้เกิดความยุติธรรม และไม่สามารถแก้ปัญหาความขัดแย้งได้ และยังมีข้อจำกัดในการสืบสวนสอบสวน การตั้งข้อหา การรวบรวมพยาน หลักฐานที่ถูกมองว่าไม่เป็นกลางและโน้มเอียงเป็นคุณต่อผู้กุมอำนาจรัฐในแต่ละช่วงเวลาอีกด้วย


คอป. จึงเห็นว่าการดำเนินคดีอาญาในคดีความผิดตามพ.ร.ก. ฉุกเฉิน ความผิดฐานมั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไปตามมาตรา 215 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และคดีที่เกี่ยวเนื่อง ทั้งก่อนและหลังการรัฐประหาร 19 ก.ย.2549 รวมทั้งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และพ.ร.บ.ว่าด้วยการกระทำความผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ล้วนเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมือง รัฐบาลสมควรดำเนินคดีในความผิดดังกล่าว ดังนี้


3.1 เร่งรัดตรวจสอบให้ชัดเจนว่าการแจ้งข้อหาและการดำเนินคดีกับผู้ถูกกล่าวหาและจำเลยสอดคล้องกับพฤติการณ์แห่งการกระทำหรือไม่ และทบทวนว่ามีการตั้งข้อหาที่รุนแรงเกินสมควร หรือพยานหลักฐานอ่อนไม่เพียงพอต่อการพิสูจน์ความผิดหรือไม่


3.2 ดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อให้มีการปล่อยชั่วคราวอันเป็นสิทธิพื้นฐาน เพื่อให้ต่อสู้คดีพิสูจน์ความบริสุทธิ์ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น พนักงานสอบสวน อัยการ ยื่นคำร้องต่อศาลเพื่อให้ข้อมูลผู้ต้องหาและจำเลยว่ามีเหตุที่จะหลบหนี ทำลายพยานหลักฐาน หรือเป็นอันตรายต่อสังคมหากได้รับการปล่อยชั่วคราวหรือไม่


หากไม่มีสาเหตุดังกล่าว ให้ยืนยันหลักกฎหมายว่าผู้ต้องหาหรือจำเลยมีสิทธิได้รับการปล่อยชั่วคราว และกรณีศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวแต่ให้มีหลักประกันด้วยนั้น รัฐบาลต้องจัดหาหลักประกันให้แก่ผู้ต้องหาและจำเลยทุกคนที่ไม่สามารถจัดหาหลักประกันได้


3.3 หากไม่ได้รับการปล่อยชั่วคราว รัฐบาลสมควรจัดหาสถานที่ ควบคุมที่เหมาะสมที่มิใช่เรือนจำปกติเป็นสถานที่ควบคุมผู้ต้องหาและจำเลย ดังเช่นที่เคยใช้กับนักโทษทางการเมืองในอดีต


3.4 คดีอาญาเหล่านี้สืบเนื่องมาจากความขัดแย้งทางการเมือง การใช้มาตรการฟ้องคดีอาญามาแก้ปัญหาความขัดแย้ง จึงไม่เหมาะสม ควรนำเอาหลักวิชาการเกี่ยวกับความยุติธรรมเชิงสมาน ฉันท์ มาศึกษาและปรับใช้ ตลอดจนประสบการณ์ของต่างประเทศที่เคยเผชิญความขัดแย้งรุนแรงมาปรับใช้ให้เหมาะสม


โดยระหว่างที่มีการศึกษาถึงมาตรการต่างๆ สมควรขอความร่วมมือให้อัยการชะลอการดำเนินคดีอาญา โดยยังไม่พิจารณานำคดีขึ้นสู่ศาล รอให้มีข้อมูลครบถ้วนในทุกด้าน ถูกต้องและเชื่อถือได้ เพื่อให้อัยการประเมินความเหมาะสมด้านประโยชน์สาธารณะ รวมทั้งมาตรการทางอาญาที่เหมาะสมก่อนการสั่งคดี


4.เมื่อเกิดเหตุความรุนแรงโดยที่รัฐไม่สามารถป้องกันได้ รัฐย่อมมีหน้าที่เยียวยาความเสียหายที่เกิดขึ้นต่อบุคคลและฟื้นฟูสังคม โดยเร็วและจริงจัง ดังนี้


4.1 การเยียวยาในกรณีนี้แตกต่างจากกรณีปกติ จึงไม่อาจใช้มาตรการตามปกติเช่นที่ใช้กับผู้ประสบภัยพิบัติ หรือหลักการจ่ายค่าตอบแทนผู้เสียหาย ค่าทดแทนและค่าใช้จ่ายในคดีอาญา แต่ต้องใช้มาตรการพิเศษที่ไม่ติดยึดอยู่กับสิทธิที่มีอยู่ตามกรอบกฎหมายและแนวปฏิบัติของหน่วยงานในกรณีปกติ เพื่อให้การเยียวยามีผลป้องกันเหตุรุนแรงในอนาคตและสร้างความปรองดองในชาติ


4.2 รัฐบาลควรเยียวยาผู้ที่ได้รับผลกระทบทุกฝ่ายอย่างเร่งด่วนและต่อเนื่อง กลุ่มเป้าหมายไม่ควรจำกัดเฉพาะผู้ที่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์ช่วงเดือนเม.ย.-พ.ค.53 แต่ควรครอบคลุมถึงตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร 19 ก.ย.2549
รวมถึงประชาชน เจ้าหน้าที่รัฐ สื่อมวลชน และภาคเอกชน ครอบครัว และขยายขอบเขตการเยียวยาและฟื้นฟูโดยเฉพาะแหล่งที่อยู่อาศัยและย่านการค้าที่ได้รับผลกระทบด้วย


4.3 รัฐบาลควรกำหนดกรอบเยียวยาให้สอดคล้องกับสภาพความเป็นจริง ครอบคลุมถึงความสูญเสียทั้งทางร่างกายและจิตใจ ไม่ใช่เฉพาะด้วยตัวเงินเท่านั้น


4.4 รัฐบาลควรตั้งคณะกรรมการเฉพาะกิจทำหน้าที่เยียวยาทุกฝ่าย อย่างจริงจัง เป็นศูนย์กลางประสานความช่วยเหลืออย่างเป็นระบบ ทั่วถึง และต่อเนื่อง


4.5 ควรเยียวยากลุ่มผู้ที่ถูกดำเนินคดีโดยไม่เป็นธรรมเนื่องจากการชุมนุม ดังนี้


(1) เร่งรัดการประกันสิทธิขั้นพื้นฐานของผู้เข้าร่วมชุมนุมและผู้ที่เกี่ยวข้องที่อยู่ในเรือนจำทั่วประเทศ ตรวจสอบว่าไม่มีการตั้งข้อกล่าวหาที่รุนแรงเกินควร ปรับบัญชีรายชื่อผู้ต้องขังและจำเลยให้ครบถ้วน เร่งเยียวยากลุ่มผู้เสียหายที่ตกสำรวจจากบัญชีรายชื่อ หรือที่ยังไม่ได้รับการเยียวยาโดยเร็ว


(2) จ่ายค่าทดแทนแก่จำเลยที่ศาลมีคำพิพากษาถึงที่สุดให้ยก ฟ้องแล้ว โดยไม่ต้องพิจารณาว่าศาลมีคำพิพากษาว่าจำเลยเป็นผู้บริสุทธิ์หรือไม่


(3) จำเลยที่ศาลมีคำพิพากษาลงโทษถึงที่สุดแล้ว หรือไม่ให้ประกันตัว ควรให้ความช่วยเหลือแก่ครอบครัวของจำเลยในด้านมนุษยธรรม และหากพ้นโทษแล้ว รัฐบาลควรช่วยเหลือแนะนำการ ประกอบอาชีพ เพื่อลดความคับแค้น และฟื้นฟูให้กลับสู่สังคมได้ตามปกติ


4.6 คอป. กังวลต่อการดำเนินคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพตามมาตรา 112 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และตามพ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ฯซึ่งมีปริมาณเพิ่มมากขึ้น ส่งผลกระทบทางการเมือง จึงควรดำเนินการดังนี้


(1) รัฐบาลต้องทำทุกวิถีทางปกป้องเทิดทูนสถาบัน ดำเนินการอย่างเด็ดขาดต่อผู้จาบจ้วงล่วงละเมิดที่มีเจตนาร้ายต่อสถาบัน แต่ไม่ควรนำเอามาตรการทางอาญามาใช้มากจนเกินควรโดยขาดทิศ ทางและไม่คำนึงถึงความละเอียดอ่อนของคดี อาจเกิดผลกระทบต่อสถาบันตามมาทั้งจากภายในประเทศและต่างประเทศ


(2) ทุกฝ่ายต้องทำทุกวิถีทางเพื่อเทิดทูนสถาบันให้อยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง และยุติการกล่าวอ้างถึงสถาบันเพื่อประโยชน์การเมือง ไม่ว่าทางตรงหรือทางอ้อม โดยนักการเมือง พรรคและกลุ่มการเมืองต้องหารือกันอย่างจริงจัง กำหนดแนวทางให้สถาบันอยู่เหนือความขัดแย้งทางการเมือง


(3) หน่วยงานที่บังคับใช้กฎหมายคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพ ต้องมีเอกภาพและบูรณาการร่วมกัน จำแนกลักษณะของคดีโดยพิจารณาจากความหนักเบาของพฤติกรรม เจตนา แรงจูงใจ สถานภาพของบุคคลและสถานการณ์ที่นำไปสู่การกระทำ



(4) อัยการควรสั่งคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพโดยใช้ดุลพินิจ แม้คดีมีหลักฐานเพียงพอในการสั่งฟ้อง แต่อัยการต้องชั่งน้ำหนักเปรียบเทียบผลดีผลเสียในการดำเนินคดีด้วย



(5) รัฐบาลควรให้ผู้ต้องหาและจำเลยในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพได้รับการปล่อยชั่วคราว



(6) รัฐบาลควรทบทวนการดำเนินคดีที่นำประเด็นกฎหมายหมิ่นพระบรมเดชานุภาพมาขยายผลในช่วงขัดแย้งทางการเมือง เช่น การกล่าวหาและโฆษณารณรงค์เรื่องขบวนการ "ล้มเจ้า" ซึ่งอาจมีการตีความกฎหมายกว้างเกินไป ส่งผลต่อความปรองดองและไม่เป็นผลดีต่อการปกป้องสถาบัน
ทั้งนี้ การดำเนินคดีต้องพิจารณาโดยมีพยานหลักฐานพิสูจน์ความผิดเกี่ยวกับพฤติกรรมเฉพาะบุคคลที่ชัดเจน สอดคล้องกับหลักนิติธรรม




5.คอป. ขอเรียกร้องให้ทุกฝ่ายทั้งภาครัฐ ภาคประชาสังคม ภาคธุรกิจและสื่อ รวมทั้งประชาชนทุกคนมีบทบาทนำพาประเทศสู่การปรองดอง รัฐบาลควรจัดเวทีแลกเปลี่ยน เพื่อให้ทุกฝ่ายเข้าใจถึงรากเหง้าของปัญหาและการแสวงหาทางออกจากความขัดแย้งอย่างถูกวิธี




6.คอป.ได้ข้อสรุปประการหนึ่งว่าสาเหตุความขัดแย้งจนเกิดเหตุการณ์เดือนเม.ย.-พ.ค.53 ไม่ได้เกิดจากเหตุการณ์ใดโดยเฉพาะ แต่เป็นผลของการกระทำและเหตุการณ์หลายครั้งต่อเนื่องกัน ตั้งแต่การประกาศใช้รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 ถึงความรุนแรงเดือนเม.ย.-พ.ค.53



7.คอป. เห็นว่ารากเหง้าของปัญหาส่วนหนึ่งมาจากการละเมิดหลักนิติธรรม กระบวนการประชาธิปไตยและการบังคับใช้กฎหมาย ที่อ่อนแอและขาดประสิทธิภาพ นำไปสู่การใช้อำนาจนอกระบบในการแก้ปัญหาโดยการรัฐประหาร ซึ่งแทนที่จะเแก้ปัญหา แต่ท้ายที่สุดกลับสร้างปัญหามากยิ่งขึ้น



การละเมิดหลักนิติธรรมโดยกระบวนการยุติธรรมอันเป็นรากเหง้าของปัญหา เกิดจากคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญเมื่อปี 2547 ในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ตกเป็นผู้ถูกกล่าวหาว่ากระทำผิดตามรัฐธรรมนูญ พ.ศ.2540 มาตรา 295 หรือคดีซุกหุ้น ที่ศาลรัฐธรรมนูญ มิได้ปฏิบัติให้ถูกต้องตามหลักกฎหมาย


หลักกฎหมายในการวินิจฉัยคดีไม่ว่าศาลใดก็ตาม ศาลต้องตั้งประเด็นประการแรกว่า คดีที่จะวินิจฉัยชี้ขาดนั้นอยู่ในอำนาจของศาลหรือไม่ หากศาลเห็นว่าคดีอยู่ในอำนาจของศาลแล้ว ประเด็นที่ต้องวินิจฉัยต่อไปคือผู้ถูกกล่าวหากระทำตามที่ถูกกล่าวหาหรือไม่



ในคดีซุกหุ้น ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 11 คนเห็นว่าเป็นคดีที่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญ ส่วนตุลาการ 4 คนเห็นว่าไม่อยู่ในอำนาจของศาล แต่ในชั้นพิจารณาชี้ขาดในเนื้อหาของคดีนั้น ตุลา การ 7 คน วินิจฉัยว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ทำการซุกหุ้นจริง ส่วนตุลาการ 6 คน วินิจฉัยว่าพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหา


แต่ที่น่าประหลาดคือตุลาการอีก 2 คนที่เคยลงมติว่าคดีไม่อยู่ในอำนาจของศาลรัฐธรรมนูญไม่ได้วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดีแต่อย่างใด



เท่านั้นไม่พอ ศาลรัฐธรรมนูญยังนำเอาคะแนนเสียง 2 เสียงหลังนี้ไปรวมกับคะแนนเสียง 6 เสียงที่วินิจฉัยว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กระทำผิดในข้อกล่าวหาว่าซุกหุ้น แล้วศาลรัฐธรรมนูญสรุปเป็นคำวินิจฉัยชี้ขาดยกฟ้อง


การปฏิบัติของศาลรัฐธรรมนูญในคดีดังกล่าวจึงไม่ชอบมาพากล ทั้งบรรยากาศของบ้านเมืองขณะนั้นไม่เอื้อต่อการทำความเข้าใจในหลักกฎหมายนี้ด้วย เพราะกระแสสังคมระหว่างนั้น คาดหวังในตัวบุคคลอย่างรุนแรงมากจนทำให้ศาลรัฐธรรมนูญเกิดหวั่นไหว


การที่ตุลาการ 2 คน ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี และการที่ศาลนำเอา 2 เสียงเข้าไปบวกรวมกับ 6 เสียง เป็นการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายโดยแท้


ทำให้เกิดความผิดพลาด 2 ประการ คือ เป็นความผิดพลาดของตุลาการ 2 คนที่ไม่วินิจฉัยชี้ขาดในเนื้อหาของคดี เท่ากับไม่ทำหน้าที่ตุลาการ เพราะผู้พิพากษาหรือตุลาการนั้นจะไม่ทำหน้าที่ของตนไม่ได้โดยเด็ดขาด


และยังเป็นความผิดพลาดของศาลรัฐธรรมนูญเองที่เอา 2 เสียงไปรวมกับ 6 เสียงที่วินิจฉัยว่าพ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้กระทำความผิดตามข้อกล่าวหา ทำให้ผลของคดีนี้ไม่ชอบมาพากล เพราะรัฐธรรมนูญ มาตรา 303 บัญญัติเหตุแห่งการถอดถอนออกจากตำแหน่งว่า "จงใจใช้อำนาจหน้าที่ขัดต่อบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญหรือกฎหมาย"


ผลของการปฏิบัติที่ผิดหลักกฎหมายของตุลาการ 2 คน และศาลรัฐธรรมนูญโดยรวม จึงเป็นการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมาย อันเป็นจุดเริ่มต้นทำให้สังคมเกิดความเคลือบแคลงในหลักนิติธรรมของไทย


โดยที่ตั้งแต่เกิดการบิดเบือนหรือหักดิบกฎหมายขึ้นในคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณในคดีซุกหุ้น เมื่อปี 2547 นั้น รัฐยังละเลยและไม่ได้ตรวจสอบถึงรากเหง้าของความไม่ชอบมาพากลหรือความที่น่ากังขาของเรื่องนี้


ดังนั้น คอป. จึงขอเสนอแนะให้รัฐและสังคมได้ตรวจสอบการยึดถือปฏิบัติตามหลักนิติธรรมอย่างจริงจัง
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง