ไทยภักดิ์ รักถิ่นไทย
หลังจากรัฐบาลผ่านการแถลงนโยบายแบบทุลักทุเล สถานการณ์ทางการเมืองก็เคลื่อนไหวอย่างคึกคัก นโยบายที่รัฐบาลแถลงไว้ต่อรัฐสภาและการหาเสียงเริ่มนำมาปฏิบัติอย่างรวดเร็ว กองเชียร์ของรัฐบาลก็เฮลั่น น้ำมันชนิดต่างๆ พากันลดราคาลงอย่างถล่มทลาย เช่น เบนซิน ลดลงลิตรละตั้งเจ็ดบาทกว่า ดีเซล ลดลงลิตรละสามบาท และอื่นๆ อีกเท่าที่จะลดได้เพื่อแสดงให้ประชาชนเห็นว่า นโยบายที่จะทำให้ค่าครองชีพลดลงทำได้จริง แต่ส่วนที่รัฐบาลจะต้องจ่ายเงินชดเชยส่วนนี้ออกไปเดือนละ หกพันกว่าล้านบาท ไม่ต้องคิดอะไรมาก เพราะถือเสียว่า นำเงินของประชาชนมาให้ผลประโยชน์แก่ประชาชน ส่วนความเสียหายของเงินชาติจะเป็นอย่างไรไม่ต้องคำนึงถึงมากนัก ขอคำมั่นสัญญาที่ตนให้ไว้กับประชาชนบรรลุผล และประชาชนพอใจนิยมชมชอบก็ดีแล้ว
นี่คือ หลักฐานที่ยืนยันคำว่า นโยบายประชานิยม
น้ำยังคงท่วมภาคเหนือตอนล่างและภาคกลางตอนบนอย่างหนัก ท่านนายกรัฐมนตรีและข้าราชการก็ได้เดินทางไปเยี่ยมและแจกข้าวของแก่ประชาชนพอเป็นพิธีทุกจุดแล้ว มีนโยบายมอบเงินช่วยเหลือแก่ผู้ประสบภัยน้ำท่วมครัวเรือนละ 5555 บาท มากกว่า รัฐบาลประชาธิปัตย์ 555 บาท เหมือนเล่นเก้าเก แบบเกทับบลั๊ฟแหลก ง่ายดีไม่ต้องคิดทำอะไรใหม่ๆ แค่เอาเงินมาเติมจากรัฐบาลเก่าทำไว้ก็ได้เสียงท่วมท้นทุกครั้ง
นโยบายผู้สูงอายุ รัฐบาลนายกอภิสิทธิ์ มอบให้คนละ 500 บาท แต่รัฐบาลนี้ขึ้นเป็น 600, 700, 800, 900, 1000 ตามอายุ 60, 70, 80, 90, 100 ปี ง่ายๆ ได้เสียงดีอีกเหมือนกัน แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เงินที่นำมาแจกเป็นเงินชาติทั้งนั้น
เรื่องอื่นๆ นอกจากจะนำเงินของชาติออกมาลดแลกแจกแถมแล้วยังไม่มีนโยบายอะไรที่ทำเพื่อส่วนรวมในวงกว้าง นอกจากกิจการครอบครัวที่เริ่มทยอยเข้ามาตามลำดับเริ่มตั้งแต่เตรียมตัวให้คุณทักษิณเข้าประเทศญี่ปุ่น เตรียมการเจรจาเรื่องขุดเจาะน้ำมันในอ่าวไทยที่รัฐบาลเจรจาเคลียร์เส้นทางแล้ว คุณทักษิณเข้าไปเตรียมการกอบโกยผลประโยชน์ด้านพลังงาน ซึ่งเห็นได้จากอาการลุกลี้ลุกลนของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน
เรื่องนี้ทำให้เห็นว่า เรื่องน้ำมันในพื้นที่ทับซ้อนในทะเลที่พูดกันบนเวทีพันธมิตรในการชุมนุมหลายครั้งเป็นความจริง พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยได้นำความลับมาพูดก่อนเวลานานเกินไปจนสังคมตามไม่ทัน แต่ตอนนี้คนความจำดีพากันตาสว่างไปเสียแล้ว แต่คงจะไม่มีใครออกมาทัดทานอีกแล้ว เมื่อคุณสนธิ ลิ้มทองกุล ผู้นำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยท้อแท้เกินไปที่จะออกมาบอกเล่าความจริงใดๆ ได้แล้ว
เรื่องกิจการภายในครอบครัวชินวัตรและเครือญาติคุณหญิงพจมานก็กำลังดำเนินการอย่างเร่งด่วน นำโดย ท่านรองนายกรัฐมนตรีผู้ดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาตินามว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผู้ตั้งปณิธานว่า จะต้องนำ พลตำรวจเอกเพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ พี่ชายร่วมสายโลหิต คุณหญิงพจมานให้ เป็นผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ได้ภายในหนึ่งสัปดาห์ ทุกอย่างก็คงจะเป็นไปตามที่ได้แถลงไว้ เพราะอำนาจอธิปไตยที่เป็นของปวงชนมีอยู่อย่างล้นหลาม เวลาจะทำอะไรมีใครทักท้วงบ้างก็มักจะออกมาปรามคนทักท้วงว่า ประชาชนเลือกมาแล้ว ถ้าคราวนี้ทำไม่ดี ก็อย่าเลือก
พูดอีกก็ถูกอีก ไม่มีใครเถียง แต่อย่าลืมว่า ประชาชนจำนวนหนึ่งเท่านั้นที่เลือกพรรคเพื่อไทย ที่ไม่เลือกก็มีเยอะ ซ้ำร้ายลูกชายคุณเฉลิมก็สอบตกด้วย แสดงว่า คุณเฉลิมพลอยโดยสารพรรคเพื่อไทยมาเสวยอำนาจ พิจารณาโดยอิทธิพลของคุณเฉลิมเองแล้ว แม้ลูกชายตัวเองก็ยังหิ้วเข้าสภาไม่ได้
ปิดท้ายจับกระแสข่าวด้วยเรื่องที่คุณทักษิณนัดพบชาวเสื้อแดงที่ประเทศลาว แต่พอใกล้วันนัด คุณทักษิณงดเดินทางเข้าประเทศอย่างกะทันหัน โดยไม่แจ้งให้ชาวเสื้อแดงอุดร ที่นำโดย นายขวัญชัย ไพรพนาทราบ เป็นเหตุให้นายขวัญชัย ไพรพนา ระดมคนเสื้อแดงจำนวน 500 คน เดินทางไปประเทศลาวเพื่อต้อนรับคุณทักษิณเก้อและกลับมาอย่างเซ็งสุดๆ
เมื่อถึงวันนัดหมาย นายขวัญชัย ไพรพนา ได้จัดรถบัสสิบคันเดินทางไปยังประเทศลาว แต่พอรถบัสบรรทุกคนเสื้อแดงไปถึง ด่านตรวจคนเข้าเมืองประเทศลาวเท่านั้น เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองลาวได้ แจ้งให้นายขวัญชัย ไพรพนา ทราบว่า รัฐบาลลาวไม่อนุญาตให้คนเสื้อแดงเข้าไปเคลื่อนไหวทางการเมืองในประเทศลาว เพราะอาจจะกระทบกับความสัมพันธ์อันดีระหว่างประเทศ
แม้นายขวัญชัย ไพรพนา จะเจรจา โดยอ้างความสัมพันธ์กับนักการเมืองในประเทศลาวเพื่อให้ทางการตรวจคนเข้าเมืองลาวยินยอม แต่เจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมืองก็ไม่ยินยอม หลังจากเจรจากันผ่านไปสามชั่วโมง เจ้าหน้าที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจึงหาทางออกด้วยการแนะนำให้นายขวัญชัยไปหาซื้อเสื้อสีอื่นๆ ที่ไม่ใช่สีแดงมา 500 ตัว แล้วเจ้าหน้าที่ประจำด่านตรวจคนเข้าเมืองได้ยึดเสื้อแดงจำนวนห้าร้อยตัวไว้ที่ด่านตรวจคนเข้าเมืองจนกว่า คนเหล่านี้จะออกมาจากประเทศลาว
เมื่อกลุ่มคนเสื้อแดงไม่ได้พบคุณทักษิณตามที่คาดการณ์ไว้ ประกอบกับเจ้าหน้าที่ลาวทั้งในและนอกเครื่องแบบได้ประกบตัวกลุ่มคนเสื้อแดงอย่างใกล้ชิดทุกฝีก้าว กลุ่มคนเสื้อแดงเข้าไปท่องเที่ยวในประเทศลาวอย่างไร้จุดหมาย ก็พากันเที่ยวแบบซังกะตาย ภายในคืนเดียวก็เดินทางกลับมารับเสื้อแดงที่ด่านตรวจคนเข้าเมือง แล้วเดินทางต่อไปยังจังหวัดอุดรธานีฐานที่มั่นต่อไป
การปฏิบัติการของทางการลาวครั้งนี้ แสดงให้เห็นถึงวุฒิภาวะของนักการเมืองลาวที่ต้องรักษาอธิปไตยทางการเมืองของตนและแสดงออกถึงมารยาททางการเมืองที่ส่งสัญญาณการสมานฉันท์ของประเทศเพื่อนบ้านได้อย่างดี
หากประเทศเขมรต้องการให้คนไทยได้เดินทางเข้าสู่จุดสมานฉันท์บ้างพึงยึดลาวเป็นต้นแบบหรือพูดให้โก้หรูว่า กัมพูชาควรจะดำเนินนโยบายต่างประเทศโดยยึดหลักลาวโมเดิล คือไม่ส่งเสริมให้ท้ายฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งให้เคลื่อนไหวทางการเมืองอันเป็นเหตุให้บาดหมางกันดั่งที่เคยเป็นมา
ประเทศกัมพูชา ยังเสียมารยาททางการทูตด้วยการนำความลับที่รัฐบาลหนึ่งของประเทศไทยไปเจรจามาเปิดเผยให้แก่รัฐบาลหนึ่งเพื่อหวังผลให้ทั้งสองฝ่ายขัดแย้งกันเรียกว่า กัมพูชาถนัดทางการเสี้ยมให้นักการเมืองไทยทะเลาะกัน
ความสัมพันธ์ไทยกัมพูชาจึงต้องดำเนินอย่างระมัดระวังในทุกฝีก้าวเพราะผลประโยชน์ของนักการเมือง เป็นใหญ่เหนือความถูกต้องหรือมารยาททางการทูตใดๆ แม้การล่วงล้ำอธิปไตยของเพื่อนบ้านครั้งแล้วครั้งเล่าก็ทำได้อย่างไร้ยางอาย
ความแตกแยกของประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน หรือ ความแตกแยกของคนในชาติต้องยึดเขมรโมเดิลนี่เอง
กระแสข่าวข่าวเชี่ยวๆ ตอนนี้ก็คงมีเพียงแค่นี้ ความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ เกิดขึ้นอย่างมีสาระจะรายงานให้ทราบอย่างใกล้ชิด ข่าวที่จะต้องติดตามพร้อมๆ กันไปตอนนี้คือ ข่าวการโยกย้ายผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติผ่านไปแล้ว ใครจะกล้าแตะผู้บัญชาการทหารบกหรือไม่ ต้องติดตามอย่างไม่ต้องกะพริบตา…
จาก สยามทาวน์ยูเอส
วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2554
อาเพศในบ้านเมือง 16 ประการ
คำพยากรณ์ซึ่งเป็นที่รู้จักกันเผยแพร่หลายมาแต่โบราณกาล บางท่านสามารถว่าปากเปล่าได้คล่อง การนำมาเสนอ ณ ที่นี้เพื่อสนอง คำขอจากหลายท่านที่ไม่ทราบความในคำพยากรณ์นี้โดยสมบูรณ์ คำพยากรณ์นี้ผู้รู้ทั้งหลายพยายามหาหลักฐานกันนักหนาว่าเป็นคำพยากรณ์ของท่านใดแต่ไม่อาจจะหาหลักฐานได้ พอจะสรุปความเห็นได้เป็น ๓ ประการคือบางท่านว่าพระพุทธเจ้าเสือเป็นผู้แต่งบางท่านว่าเป็นพระนารายณ์เป็นผู้แต่ง และบางท่านก็ว่าเป็นพระพุทธทำนายแต่ไม่มีหลักฐานที่จะยืนยันว่าความเห็นข้อไหนเป็นข้อที่ถูกต้อง
อารัมภบทของคำพยากรณ์นี้ยืดยาวมาก ได้นำมาเฉพาะส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่เหตุอาเพศในบ้านเมือง ๑๖ ประการ
คือดาวเดือนดินฟ้าจะอาเพศ
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก
ผีป่าจะวิ่งเข้าสิงเมือง
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี
พระธรณีจะตีอกไห้
ในลักษณะทำนายไว้บ่ห่อนผิด
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด
เทวดาซึ่งรักษ์พระศาสนา
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว
ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า
ผู้มีเสียจะเสียซึ่งอารมณ์
พระมหากษัตริย์จะเสื่อมสิงหนาท
อาสัจจะเลื่องลือชา
ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ
ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์
ทั้งอายุจะถอยเคลื่อนจากเดือนป
ทั้งพืชแผ่นดินจะหย่อนไป
ทั้งสรรพว่านยาจะอาเพศ
จวงจันทร์พรรณไม้อันหอมรส
ี ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพง
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี
เขตคามประเทศธานี
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล
จะร้อนอกสมณาประชาราษฎร์
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย
ทางน้ำจะแห้งเป็นทางบก
สิงห์สาราสัตว์เนื้อเบื้อ
ทั้งผู้คนสารพัดสัตว์ทั้งหลาย
ด้วยพระกาฬจะมาผลาญแผ่นดิน
กรุงศรีอยุธยาเคยเกษมสุข
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์ อุบัติเหตุเกิดทั่วทิศาน
เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร
พระกาฬกลีจะเข้ามาเป็นไส้
อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม
เมื่อพินิจพิศดูจะเห็นสม
มิใช่เทศกาลลมฝนก็อุบัติ
เกิดวิบัตินานาทั่วสากล
จะรักษาแต่ฝ่ายอกุศล
มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์
จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
เพราะจัณฑาลมันเข้ามาเสพสม
เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา
ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา
พระธรรมาจะตกลึกลับ
จะสาบสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ
สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ
ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสัย
ผลหมากรากไม้จะถอยรส
เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด
จะถอยถดไปตามประเพณี
สารพันจะแห้งแล้งไปทุกที่
ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
จะเกิดการกลีทุกแห่งหน
จะสาละวนถ้วนทั่วทั้งหญิงชาย
จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
เวียงวังจะรกเป็นป่าเสือ
จะมิหลงหลอเหลือในแผ่นดิน
จะสาบสูญล้มตายเสียหมดสิ้น
จะสูญสิ้นการรณรงค์สงครามกัน
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ
คำพยากรณ์นี้ปรากฏสืบทอดกันมาหลายร้อยปี “กรุงศรีอยุธยา” ในคำพยากรณ์นั้น จะหมายถึงประเทศเขตไหนก็ตาม หากจะพิจารณาสภาพการณ์ในปัจจุบันแล้ว อดเผลอไม่ได้อยู่ร่ำไป ที่จะคิดว่าข้อความทั้งหมดนั้นเป็นคำพยากรณ์ประเทศไทยในสมัยนี้ และกำลังเป็นที่ประจักษ์ถึงความแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์
ลองพิจารณาอาเพศต่างๆ ในคำพยากรณ์นั้นกันดู เช่น
เทวดาซึ่งรักษ์พระศาสนา จะรักษาแต่ฝ่ายอกุศล ดูคนที่มีโอกาสจะร่ำรวยเด่นในปัจจุบันเถิด ว่าส่วนใหญ่เป็นคนประเภทไหน เข้าตำราอีกตำราหนึ่งว่า ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก มีตัวอย่างให้เห็นโดยทั่วไปว่า คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันถือผลประโยชน์สำคัญกว่ามิตรภาพ มักทิ้งมิตรมากกว่า ทิ้งผลประโยชน์
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว เรื่องคบชู้ฆ่าผัว ยังปรากฏเป็นข่าวประจำวัน
ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย การประท้วงต่างๆเห็นจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนดี
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา ก็เห็นจะได้แก่พระก็มีการประท้วง และมีการเดินกับเขาด้วยเหมือนกันนั่นแหละ
สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ เพราะกฎหมายสู้กฎหมู่ไม่ได้
ผู้เขียนจำได้จากคำเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่เพื่อถ่ายทอดสู่รุ่นลูกหลานนัยว่าเป็นคำทำนายปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า อนาคตเมืองไทยแบ่งเป็น ๑๐ยุคสมัย ดังนี้
“มหากาฬ ภาณยักษ์ รักบัณฑิต สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์โจร ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล”
นัยว่ารัชกาลปัจจุบัน คือ ยุคสมัยถิ่นกาขาว หมายถึงมีชาวต่างชาติฝรั่งมังค่าจะเข้ามาสู่ประเทศมากขึ้น หมายถึงมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ แต่น่าเป็นห่วงเรื่องศีลธรรมละกระมัง ! จึงขอบันทึกไว้เพื่อเตือนสติและกันลืม
ยุคเสื่อมถอย (ทุรยุค)
ลามกประเทศทั้ง ทุรมิตร
อีกตระกูลเผ่าชิด ชั่วร้าย
ภรรยาทาสทุจริต จำพวก นี้พ่อ
ควรบุคคลพึงพ่าย ผ่อนลี้หลีกหนี
(โคลงโลกนิติ)
ชุมชนเรดิโอ
อันเพลงยาวกล่าวไว้สิบหกเหตุ เป็นอาเพศไว้ให้อุทาหรณ์
หาใช่เรื่องแห่งการพยากรณ์ แต่ไว้สอนระลึกทุกผู้คน
ประพฤติตนอันใดให้ตระหนัก เหตุอุปัทว์ที่เกิดทุกสถาน
ล้วนแต่เกิดจากกมลกลสันดาน ก่อเป็นมารสานเหตุในบัดดล
การอุบัติซึ่งผลแห่งอาเพศ ล้วนต้องเหตุมาจากประพฤติชน
ให้มูลค่าอันสิ่งเป็นอาจม กลับพกลมให้เห็นเป็นดอกบัว
ศีลธรรมคุณธรรมเป็นความโง่ แลไม่โก้ถูกฝังไว้ในหัว
เสมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แยกไม่รู้ดีชั่วคืออะไร
นั่นเพราะคนยึดถืออวิชชา ขาดปัญญาตรองคิดให้ถ้วนถี่
ลุ่มหลงแต่อบายแลโลกีย์ ให้บัดสีไร้ธรรมกำกับตน
พอประสบปัญหามักหาเหตุ โทษอาเพศกันทั่วทุกแห่งหน
แต่มิใคร่โทษด้อยปัญญาตน เพราะมวลชนนั้นพ้นจากศีลธรรม
เมื่อพิเคราะห์มูลเหตุทั้งหลายแล้ว อาเพศนั้นไม่แคล้วเป็นตัวผล
เหตุวิปริตมาจากตัวมวลชน อย่าหลงตนโทษเดือนแลดวงดาว
พยากรณ์เพียงเตือนจิตสำนึก อย่าหลงยึดเป็นเหตุให้ไหลหลง
ดำรงศีลธรรมประจำองค์ จักปลอดปลงอาเพศทุกเหตุเอยฯ
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เป็นบทร้อยกรองประเภทเพลงยาว มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพยากรณ์สถานการณ์ของประเทศไทยในอนาคตว่าจะประสบวิบัติ ภัยนานา โดยคาดว่าประพันธ์ขึ้นราวสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนผู้ประพันธ์ยังไม่อาจระบุตัวได้แน่ชัด
เพลงยาวฯ นี้ ปรากฏอยู่ในหนังสือ "อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา" ซึ่งมหาอำมาตย์โทพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) อดีตสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา และอดีตอุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกโบราณคดี พิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในการพระราชพิธีทรงบวงสรวงอดีตมหาราชเจ้าที่พระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2459
สันนิษฐานว่าเพลงยาวนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นักวิชาการยังไม่อาจสรุปแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง แม้ว่าในตอนท้ายของบทกลอนได้บันทึกกำกับไว้ว่า "พระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนาย..." หากว่าเป็นจริงตามนั้น "พระนารายณ์" ก็หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วน"นพบุรี"คือเมืองลพบุรี
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ในคำนำหนังสือดังกล่าว มีความตอนหนึ่งว่า "...เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา อ้างไว้ข้างท้ายว่าเปนพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพลงยาวนี้มีหลักฐานควรเชื่อแต่ว่าแต่งเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ด้วยในคำให้การของพวกชาวกรุงเก่าที่พม่าจับไปถามคำให้การเมื่อครั้งเสียกรุง ศรีอยุธยาได้กล่าวอ้างถึง แต่ข้อที่ว่าเปนพระราชนิพนธ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นไม่มีหลักฐานอย่าง อื่นนอกจากที่มีเขียนอ้างไว้กับเพลงยาว ปลาดอยู่ที่เพลงยาวบทนี้ยังมีผู้ท่องจำกันมาได้แพร่หลายจนในกรุงรัตน โกสินทร์นี้ แต่เรียกกันว่าเพลงยาวพุทธทำนาย...”
ในหนังสือ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ก็มีเรื่องคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยานี้เช่นกัน กล่าวว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของพระพุทธเจ้าเสือ มีเนื้อความสั้นกว่าและปรากฏความเป็นร้อยแก้ว ซึ่งสันนิษฐานเพิ่มเติมได้อีกว่า เพลงยาวฯ นี้อาจแต่งขึ้นเพื่อใช้ทำลายขวัญกำลังใจสาธารณะอันเป็นจิตวิทยาทางการเมือง เพราะบทกลอนดังกล่าวมีเนื้อความคล้ายกับร่ายของพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีหรือพระเจ้าเสือที่ ทรงประพันธ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในปฏิบัติการจิตวิทยาทางการเมืองในปลายรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งต่อมาผู้นำในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ใช้ประโยชน์จากบทกลอนดังกล่าวมาอธิบาย เหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาโดยมีเป้าหมายในทางการเมืองที่ต่างไปจากพระ เจ้าเสือ
สรุปก็คือ ถ้าหากว่าเพลงยาวนี้ได้ถูกแต่งในสมัยอยุธยาจริง อาจกล่าวได้ว่า
1. ผู้แต่งจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง มีความสามารถในทางโหราศาสตร์หรือทางจิตวิทยาและเป็นนักประพันธ์นำมาผนวกกับ เรื่องราวของพุทธทำนายดังกล่าวข้างต้น
2. เพลงยาวฯ นี้อาจใช้เป็นจุดประสงค์ในทางการเมือง
ข้อสังเกตอีกประเด็นหนึ่งก็คือ การทำนายชะตาบ้านเมืองไปในทางเลวร้ายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและ เป็นการอัปมงคล หากเป็นการแต่งโดยบุคคลธรรมดาก็อาจจะถูกลงโทษสถานหนัก ดังนั้นผู้ที่สามารถทำนายกล่าวอ้างออกมาได้และทำให้ผู้คนยอมรับและจดจำกัน ได้นั้น ก็ย่อมต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญระดับพระมหากษัตริย์ หรือบุคคลที่พระมหากษัตริย์ให้การยอมรับนับถือ
จบเรื่องพระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนายกรุงแต่เพียงเท่านี้
อารัมภบทของคำพยากรณ์นี้ยืดยาวมาก ได้นำมาเฉพาะส่วนที่เป็นสาระสำคัญ ได้แก่เหตุอาเพศในบ้านเมือง ๑๖ ประการ
คือดาวเดือนดินฟ้าจะอาเพศ
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก
ผีป่าจะวิ่งเข้าสิงเมือง
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี
พระธรณีจะตีอกไห้
ในลักษณะทำนายไว้บ่ห่อนผิด
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสารพัด
เทวดาซึ่งรักษ์พระศาสนา
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว
ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย
ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า
ผู้มีเสียจะเสียซึ่งอารมณ์
พระมหากษัตริย์จะเสื่อมสิงหนาท
อาสัจจะเลื่องลือชา
ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ
ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์
ทั้งอายุจะถอยเคลื่อนจากเดือนป
ทั้งพืชแผ่นดินจะหย่อนไป
ทั้งสรรพว่านยาจะอาเพศ
จวงจันทร์พรรณไม้อันหอมรส
ี ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพง
จะบังเกิดทรพิษมิคสัญญี
เขตคามประเทศธานี
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล
จะร้อนอกสมณาประชาราษฎร์
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย
ทางน้ำจะแห้งเป็นทางบก
สิงห์สาราสัตว์เนื้อเบื้อ
ทั้งผู้คนสารพัดสัตว์ทั้งหลาย
ด้วยพระกาฬจะมาผลาญแผ่นดิน
กรุงศรีอยุธยาเคยเกษมสุข
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์ อุบัติเหตุเกิดทั่วทิศาน
เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง
อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง
ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร
พระกาฬกลีจะเข้ามาเป็นไส้
อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม
เมื่อพินิจพิศดูจะเห็นสม
มิใช่เทศกาลลมฝนก็อุบัติ
เกิดวิบัตินานาทั่วสากล
จะรักษาแต่ฝ่ายอกุศล
มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก
คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์
จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย
นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย
น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม
เพราะจัณฑาลมันเข้ามาเสพสม
เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา
ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา
พระธรรมาจะตกลึกลับ
จะสาบสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ
สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ
ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสัย
ผลหมากรากไม้จะถอยรส
เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด
จะถอยถดไปตามประเพณี
สารพันจะแห้งแล้งไปทุกที่
ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน
จะเกิดการกลีทุกแห่งหน
จะสาละวนถ้วนทั่วทั้งหญิงชาย
จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย
ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ
เวียงวังจะรกเป็นป่าเสือ
จะมิหลงหลอเหลือในแผ่นดิน
จะสาบสูญล้มตายเสียหมดสิ้น
จะสูญสิ้นการรณรงค์สงครามกัน
แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์
นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ
คำพยากรณ์นี้ปรากฏสืบทอดกันมาหลายร้อยปี “กรุงศรีอยุธยา” ในคำพยากรณ์นั้น จะหมายถึงประเทศเขตไหนก็ตาม หากจะพิจารณาสภาพการณ์ในปัจจุบันแล้ว อดเผลอไม่ได้อยู่ร่ำไป ที่จะคิดว่าข้อความทั้งหมดนั้นเป็นคำพยากรณ์ประเทศไทยในสมัยนี้ และกำลังเป็นที่ประจักษ์ถึงความแม่นยำอย่างน่าอัศจรรย์
ลองพิจารณาอาเพศต่างๆ ในคำพยากรณ์นั้นกันดู เช่น
เทวดาซึ่งรักษ์พระศาสนา จะรักษาแต่ฝ่ายอกุศล ดูคนที่มีโอกาสจะร่ำรวยเด่นในปัจจุบันเถิด ว่าส่วนใหญ่เป็นคนประเภทไหน เข้าตำราอีกตำราหนึ่งว่า ที่ซื่อถือพระเจ้า ว่าโง่เง่าเต่าปูปลา
มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก มีตัวอย่างให้เห็นโดยทั่วไปว่า คนส่วนใหญ่ในปัจจุบันถือผลประโยชน์สำคัญกว่ามิตรภาพ มักทิ้งมิตรมากกว่า ทิ้งผลประโยชน์
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว เรื่องคบชู้ฆ่าผัว ยังปรากฏเป็นข่าวประจำวัน
ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย การประท้วงต่างๆเห็นจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนดี
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอารมณ์ เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา ก็เห็นจะได้แก่พระก็มีการประท้วง และมีการเดินกับเขาด้วยเหมือนกันนั่นแหละ
สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ เพราะกฎหมายสู้กฎหมู่ไม่ได้
ผู้เขียนจำได้จากคำเล่าขานของผู้เฒ่าผู้แก่เพื่อถ่ายทอดสู่รุ่นลูกหลานนัยว่าเป็นคำทำนายปลายสมัยกรุงศรีอยุธยาว่า อนาคตเมืองไทยแบ่งเป็น ๑๐ยุคสมัย ดังนี้
“มหากาฬ ภาณยักษ์ รักบัณฑิต สนิทธรรม จำแขนขาด ราษฎร์โจร ชนร้องทุกข์ ยุคทมิฬ ถิ่นกาขาว ชาววิไล”
นัยว่ารัชกาลปัจจุบัน คือ ยุคสมัยถิ่นกาขาว หมายถึงมีชาวต่างชาติฝรั่งมังค่าจะเข้ามาสู่ประเทศมากขึ้น หมายถึงมีความเจริญรุ่งเรืองทางวัตถุ แต่น่าเป็นห่วงเรื่องศีลธรรมละกระมัง ! จึงขอบันทึกไว้เพื่อเตือนสติและกันลืม
ยุคเสื่อมถอย (ทุรยุค)
ลามกประเทศทั้ง ทุรมิตร
อีกตระกูลเผ่าชิด ชั่วร้าย
ภรรยาทาสทุจริต จำพวก นี้พ่อ
ควรบุคคลพึงพ่าย ผ่อนลี้หลีกหนี
(โคลงโลกนิติ)
ชุมชนเรดิโอ
กลอนอาเพศพินิจ
หาใช่เรื่องแห่งการพยากรณ์ แต่ไว้สอนระลึกทุกผู้คน
ประพฤติตนอันใดให้ตระหนัก เหตุอุปัทว์ที่เกิดทุกสถาน
ล้วนแต่เกิดจากกมลกลสันดาน ก่อเป็นมารสานเหตุในบัดดล
การอุบัติซึ่งผลแห่งอาเพศ ล้วนต้องเหตุมาจากประพฤติชน
ให้มูลค่าอันสิ่งเป็นอาจม กลับพกลมให้เห็นเป็นดอกบัว
ศีลธรรมคุณธรรมเป็นความโง่ แลไม่โก้ถูกฝังไว้ในหัว
เสมือนเห็นกงจักรเป็นดอกบัว แยกไม่รู้ดีชั่วคืออะไร
นั่นเพราะคนยึดถืออวิชชา ขาดปัญญาตรองคิดให้ถ้วนถี่
ลุ่มหลงแต่อบายแลโลกีย์ ให้บัดสีไร้ธรรมกำกับตน
พอประสบปัญหามักหาเหตุ โทษอาเพศกันทั่วทุกแห่งหน
แต่มิใคร่โทษด้อยปัญญาตน เพราะมวลชนนั้นพ้นจากศีลธรรม
เมื่อพิเคราะห์มูลเหตุทั้งหลายแล้ว อาเพศนั้นไม่แคล้วเป็นตัวผล
เหตุวิปริตมาจากตัวมวลชน อย่าหลงตนโทษเดือนแลดวงดาว
พยากรณ์เพียงเตือนจิตสำนึก อย่าหลงยึดเป็นเหตุให้ไหลหลง
ดำรงศีลธรรมประจำองค์ จักปลอดปลงอาเพศทุกเหตุเอยฯ
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา เป็นบทร้อยกรองประเภทเพลงยาว มีเนื้อหาเกี่ยวกับการพยากรณ์สถานการณ์ของประเทศไทยในอนาคตว่าจะประสบวิบัติ ภัยนานา โดยคาดว่าประพันธ์ขึ้นราวสมัยรัชกาลสมเด็จพระเจ้าปราสาททองถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วนผู้ประพันธ์ยังไม่อาจระบุตัวได้แน่ชัด
[แก้] ข้อเท็จจริงและข้อสันนิษฐาน
เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาแต่งขึ้นเลียนแบบมหาสุบินชาดก และนิทาน "พยาปัถเวน (ปเสนทิโกศล) ทำนายฝัน" ชาดกและนิทานดังกล่าวเป็นเรื่องราวเกี่ยวกับพระสุบินนิมิตสิบหกประการของ ประการของพระเจ้าปเสนทิโกศลที่ได้ทูลถามคำพยากรณ์จากพระพุทธเจ้าเพลงยาวฯ นี้ ปรากฏอยู่ในหนังสือ "อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยา" ซึ่งมหาอำมาตย์โทพระยาโบราณราชธานินทร์ (พร เดชะคุปต์) อดีตสมุหเทศาภิบาลมณฑลอยุธยา และอดีตอุปนายกราชบัณฑิตยสภา แผนกโบราณคดี พิมพ์ทูลเกล้าฯ ถวายพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัวในการพระราชพิธีทรงบวงสรวงอดีตมหาราชเจ้าที่พระนครศรีอยุธยา เมื่อ พ.ศ. 2459
สันนิษฐานว่าเพลงยาวนี้มีมาตั้งแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา แต่นักวิชาการยังไม่อาจสรุปแน่ชัดว่าใครเป็นผู้แต่ง แม้ว่าในตอนท้ายของบทกลอนได้บันทึกกำกับไว้ว่า "พระนารายณ์เป็นเจ้านพบุรีทำนาย..." หากว่าเป็นจริงตามนั้น "พระนารายณ์" ก็หมายถึงสมเด็จพระนารายณ์มหาราช ส่วน"นพบุรี"คือเมืองลพบุรี
สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ได้ทรงอธิบายไว้ในคำนำหนังสือดังกล่าว มีความตอนหนึ่งว่า "...เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยา อ้างไว้ข้างท้ายว่าเปนพระราชนิพนธ์ของสมเด็จพระนารายณ์มหาราช เพลงยาวนี้มีหลักฐานควรเชื่อแต่ว่าแต่งเมื่อครั้งกรุงศรีอยุธยาเปนราชธานี ด้วยในคำให้การของพวกชาวกรุงเก่าที่พม่าจับไปถามคำให้การเมื่อครั้งเสียกรุง ศรีอยุธยาได้กล่าวอ้างถึง แต่ข้อที่ว่าเปนพระราชนิพนธ์สมเด็จพระนารายณ์มหาราชนั้นไม่มีหลักฐานอย่าง อื่นนอกจากที่มีเขียนอ้างไว้กับเพลงยาว ปลาดอยู่ที่เพลงยาวบทนี้ยังมีผู้ท่องจำกันมาได้แพร่หลายจนในกรุงรัตน โกสินทร์นี้ แต่เรียกกันว่าเพลงยาวพุทธทำนาย...”
ในหนังสือ “คำให้การชาวกรุงเก่า” ก็มีเรื่องคำพยากรณ์กรุงศรีอยุธยานี้เช่นกัน กล่าวว่าเป็นพระราชนิพนธ์ของพระพุทธเจ้าเสือ มีเนื้อความสั้นกว่าและปรากฏความเป็นร้อยแก้ว ซึ่งสันนิษฐานเพิ่มเติมได้อีกว่า เพลงยาวฯ นี้อาจแต่งขึ้นเพื่อใช้ทำลายขวัญกำลังใจสาธารณะอันเป็นจิตวิทยาทางการเมือง เพราะบทกลอนดังกล่าวมีเนื้อความคล้ายกับร่ายของพระเจ้าสุริเยนทราธิบดีหรือพระเจ้าเสือที่ ทรงประพันธ์ขึ้นมาเพื่อใช้ในปฏิบัติการจิตวิทยาทางการเมืองในปลายรัชสมัยของ สมเด็จพระนารายณ์มหาราช ซึ่งต่อมาผู้นำในสมัยรัตนโกสินทร์ก็ใช้ประโยชน์จากบทกลอนดังกล่าวมาอธิบาย เหตุการณ์การเสียกรุงศรีอยุธยาโดยมีเป้าหมายในทางการเมืองที่ต่างไปจากพระ เจ้าเสือ
สรุปก็คือ ถ้าหากว่าเพลงยาวนี้ได้ถูกแต่งในสมัยอยุธยาจริง อาจกล่าวได้ว่า
1. ผู้แต่งจะต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญอย่างยิ่ง มีความสามารถในทางโหราศาสตร์หรือทางจิตวิทยาและเป็นนักประพันธ์นำมาผนวกกับ เรื่องราวของพุทธทำนายดังกล่าวข้างต้น
2. เพลงยาวฯ นี้อาจใช้เป็นจุดประสงค์ในทางการเมือง
ข้อสังเกตอีกประเด็นหนึ่งก็คือ การทำนายชะตาบ้านเมืองไปในทางเลวร้ายเช่นนี้ถือเป็นเรื่องคอขาดบาดตายและ เป็นการอัปมงคล หากเป็นการแต่งโดยบุคคลธรรมดาก็อาจจะถูกลงโทษสถานหนัก ดังนั้นผู้ที่สามารถทำนายกล่าวอ้างออกมาได้และทำให้ผู้คนยอมรับและจดจำกัน ได้นั้น ก็ย่อมต้องเป็นบุคคลที่มีความสำคัญระดับพระมหากษัตริย์ หรือบุคคลที่พระมหากษัตริย์ให้การยอมรับนับถือ
เนื้อเพลงยาว
จะกล่าวถึงกรุงศรีอยุธยา | |
เป็นกรุงรัตนราชพระศาสนา | มหาดิเรกอันเลิศล้น |
เป็นที่ปรากฏรจนา | สรรเสริญอยุธยาทุกแห่งหน |
ทุกบุรีสีมามณฑล | จบสกลลูกค้าวาณิช |
ทุกประเทศสิบสองภาษา | ย่อมมาพึ่งกรุงศรีอยุธยาเป็นอัครนิตย์ |
ประชาราษฎร์ปราศจากภัยพิษ | ทั้งความพิกลจริตแลความทุกข์ |
ฝ่ายองค์พระบรมราชา | ครองขัณฑสีมาเป็นสุข |
ด้วยพระกฤษฎีกาทำนุก | จึ่งอยู่เย็นเป็นสุขสวัสดี |
เป็นที่อาศัยแก่มนุษย์ในใต้หล้า | เป็นที่อาศัยแก่เทวาทุกราศี |
ทุกนิกรนรชนมนตรี | คหบดีชีพราหมณพฤฒา |
ประดุจดั่งศาลาอาศัย | ดั่งหนึ่งร่มพระไทรอันสาขา |
ประดุจหนึ่งแม่น้ำพระคงคา | เป็นที่สิเน่หาเมื่อกันดาน |
ด้วยพระเดชเดชาอานุภาพ | อาจปราบไพรีทุกทิศาน |
ทุกประเทศเขตขัณฑ์บันดาล | แต่งเครื่องบรรณาการมานอบนบ |
กรุงศรีอยุธยานั้นสมบูรณ์ | เพิ่มพูนด้วยพระเกียรติขจรจบ |
อุดมบรมสุขทั้งแผ่นพิภพ | จนคำรบศักราชได้สองพัน |
คราทีนั้นฝูงสัตว์ทั้งหลาย | จะเกิดความอันตรายเป็นแม่นมั่น |
ด้วยพระมหากษัตริย์มิได้ทรงทศพิธราชธรรม์ | จึงเกิดเข็ญเป็นมหัศจรรย์สิบหกประการ |
คือเดือนดาวดินฟ้าจะอาเพศ | อุบัติเหตุเกิดทั่วทุกทิศาน |
มหาเมฆจะลุกเป็นเพลิงกาฬ | เกิดนิมิตพิศดารทุกบ้านเมือง |
พระคงคาจะแดงเดือดดั่งเลือดนก | อกแผ่นดินเป็นบ้าฟ้าจะเหลือง |
ผีป่าก็จะวิ่งเข้าสิงเมือง | ผีเมืองนั้นจะออกไปอยู่ไพร |
พระเสื้อเมืองจะเอาตัวหนี | พระกาฬกุลีจะเข้ามาเป็นไส้ |
พระธรณีจะตีอกไห้ | อกพระกาฬจะไหม้อยู่เกรียมกรม |
ในลักษณ์ทำนายไว้บ่ห่อนผิด | เมื่อวินิศพิศดูก็เห็นสม |
มิใช่เทศกาลร้อนก็ร้อนระงม | มิใช่เทศกาลลมลมก็พัด |
มิใช่เทศกาลหนาวก็หนาวพ้น | มิใช่เทศกาลฝนฝนก็อุบัติ |
ทุกต้นไม้หย่อมหญ้าสาระพัด | เกิดวิบัตินานาทั่วสากล |
เทวดาซึ่งรักษาพระศาสนา | จะรักษาแต่คนฝ่ายอกุศล |
สัปบุรุษจะแพ้แก่ทรชน | มิตรตนจะฆ่าซึ่งความรัก |
ภรรยาจะฆ่าซึ่งคุณผัว | คนชั่วจะมล้างผู้มีศักดิ์ |
ลูกศิษย์จะสู้ครูพัก | จะหาญหักผู้ใหญ่ให้เป็นน้อย |
ผู้มีศีลจะเสียซึ่งอำนาจ | นักปราชญ์จะตกต่ำต้อย |
กระเบื้องจะเฟื่องฟูลอย | น้ำเต้าอันลอยนั้นจะถอยจม |
ผู้มีตระกูลจะสูญเผ่า | เพราะจันฑาลมันเข้ามาเสพสม |
ผู้มีศีลนั้นจะเสียซึ่งอารมณ์ | เพราะสมัครสมาคมด้วยมารยา |
พระมหากระษัตริย์จะเสื่อมสิงหนาท | ประเทศราชจะเสื่อมซึ่งยศถา |
อาสัตย์จะเลื่องลือชา | พระธรรมาจะตกลึกลับ |
ผู้กล้าจะเสื่อมใจหาญ | จะสาบสูญวิชาการทั้งปวงสรรพ |
ผู้มีสินจะถอยจากทรัพย์ | สัปบุรุษจะอับซึ่งน้ำใจ |
ทั้งอายุศม์จะถอยเคลื่อนจากเดือนปี | ประเวณีจะแปรปรวนตามวิสัย |
ทั้งพืชแผ่นดินจะผ่อนไป | ผลหมากรากไม้จะถอยรส |
ทั้งแพทยพรรณว่านยาก็อาเพศ | เคยเป็นคุณวิเศษก็เสื่อมหมด |
จวงจันทน์พรรณไม้อันหอมรส | จะถอยถดไปตามประเพณี |
ทั้งข้าวก็จะยากหมากจะแพง | สาระพันจะแห้งแล้งเป็นถ้วนถี่ |
จะบังเกีดทรพิษมิคสัญญี | ฝูงผีจะวิ่งเข้าปลอมคน |
กรุงประเทศราชธานี | จะเกิดการกุลีทุกแห่งหน |
จะอ้างว้างอกใจทั้งไพร่พล | จะสาละวนทั่วโลกทั้งหญิงชาย |
จะร้อนอกสมณาประชาราช | จะเกิดเข็ญเป็นอุบาทว์นั้นมากหลาย |
จะรบราฆ่าฟันกันวุ่นวาย | ฝูงคนจะล้มตายลงเป็นเบือ |
ทางน้ำก็จะแห้งเป็นทางบก | เวียงวังก็จะรกเป็นป่าเสือ |
แต่สิงห์สารสัตว์เนื้อเบื้อ | นั้นจะหลงหลอเหลือในแผ่นดิน |
ทั้งผู้คนสาระพัดสัตว์ทั้งหลาย | จะสาบสูญล้มตายเสียหมดสิ้น |
ด้วยพระกาฬจะมาผลาญแผ่นดิน | จะสูญสิ้นการณรงค์สงคราม |
กรุงศรีอยุธยาจะสูญแล้ว | จะลับรัศมีแก้วเจ้าทั้งสาม |
ไปจนคำรบปีเดือนคืนยาม | จนสิ้นนามศักราชห้าพัน |
กรุงศรีอยุธยาเขษมสุข | แสนสนุกยิ่งล้ำเมืองสวรรค์ |
จะเป็นเมืองแพศยาอาธรรม์ | นับวันจะเสื่อมสูญเอยฯ |
อ้างอิง
- หนังสือ อธิบายแผนที่พระนครศรีอยุธยากับคำวินิจฉัยของพระยาโบราณราชธานินทร์ ฉบับชำระครั้งที่ 2 ฉบับโรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. 2509
- เรื่องศิลปและภูมิสถานอยุธยา ของกรมศิลปากร ฉบับโรงพิมพ์คุรุสภา พ.ศ. 2509
- หนังสือ คำให้การชาวกรุงเก่า โดย อนันต์ อมรรตัย สำนักพิมพ์จดหมายเหตุ 2544
- บทความ เพลงยาวพยากรณ์กรุงศรีอยุธยาโดย จุลลดา ภักดีภูมินทร์
- นิตยสารสกุลไทย ฉบับที่ 2700 ปีที่ 52 ประจำวันอังคารที่ 18 กรกฎาคม 2549 [1]
ศึกชิงของบริจาคอยากได้ไปหา…หัวคะแนน !?!?
“วันนี้ได้กี่ห่อ ที่ไหนหนักกว่า”
“อยุธยาน้ำท่วมทั้งเมือง ลพบุรีท่วมบ้านสูงกว่า 2 เมตรแล้ว”
“สิงห์บุรีน้ำขังมาเป็นเดือน ชาวบ้านไม่มีจะกิน ไปที่นี่ดีกว่า”
“แต่ที่ชัยภูมิก็ท่วมหนัก ยังไม่มีใครไปแจกของเลย”
สียงพูดคุยถกเถียงของเจ้าหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการแจกจ่ายถุงยังชีพดังขึ้นแต่เช้าตรู่…ภายในสนามบินดอนเมือง บริเวณชั้น 1 ส่วนแจกจ่ายของบริจาค ศูนย์ช่วยเหลือผู้ประสบภัยน้ำท่วม ขณะที่อาสาสมัครนักเรียนกลุ่มหนึ่งช่วยกันต่อแถวลำเลียงถุงยังชีพไปยังรถบรรทุกทหาร ที่จอดเรียงกันอยู่ด้านหน้าถนนกว่า 10 คัน
สุดท้ายมีคำสั่งให้รถทั้งหมดมุ่งหน้าไปยัง จ.พระนครศรีอยุธยา เพราะเป็นจุดวิกฤติน้ำทะลักเข้าเมืองฉับพลันทำให้ชาวบ้านไร้ที่อยู่อาศัยทันทีหลายพันครัวเรือน โชคดีมีถุงยังชีพเหลืออีกกว่า 200 ถุง กลุ่มที่อยากไปช่วยชาวบ้านที่สิงห์บุรีจึงตัดสินใจขอความช่วยเหลือไปยังอาสาสมัครที่มีรถบรรทุกขนาดเล็ก ให้มาช่วยขนไปแจกจ่าย เพิ่มเติมด้วยข้าวเหนียวไก่ย่างและข้าวเหนียวหมูทอดอีก 200 ห่อ พร้อมน้ำดื่มจำนวนหนึ่ง
10 โมงเช้า วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม รถบรรทุกคันเก่าที่อัดแน่นไปด้วยน้ำใจพร้อมอาสาสมัคร 9 คน มุ่งหน้าออกถนนวิภาวดีรังสิต สู่เส้นทางปทุมธานี เพื่อเบี่ยงออกทางหลวงไปยังพื้นที่เป้าหมาย แต่ผ่านไปได้ไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถติดอยู่บนทางแยกบางบัวทอง แดดเที่ยงเริ่มร้อนแรงขึ้น ข้าวห่อกับแกงกะทิและอาหารถุงจำนวนหนึ่งที่เตรียมไปบริจาคเริ่มส่งสัญญาณไม่ดี 2 ชั่วโมงแล้วรถยังเคลื่อนที่ไม่ได้
บ่ายโมงกว่า…ทีมงานตัดสินใจเปิดไฟฉุกเฉินขอทางรถบรรทุกถอยหลังลงจากสะพานข้ามแยก ก่อนหาทางลัดไปตามถนนเส้นเล็ก ระหว่างทางที่ขับรถผ่านสุพรรณบุรีนั้น ฝนตกลงมาอย่างหนัก ขณะเดียวกัน เสียงโทรศัพท์มือถือจากชาวบ้านที่นัดหมายไว้ก็เริ่มถี่ขึ้น พวกเขาพายเรือออกมารอรับของตั้งแต่เที่ยง !!
4 โมงเย็นกว่า…ถึงที่หมายบริเวณถนนด้านหน้าหมู่บ้านถอนสมอ อ.ท่าช้าง จ.สิงห์บุรี เมื่อเห็นรถบรรทุกถุงยังชีพหยุดตรงหน้าชาวบ้านกว่า 20 คนขยับเข้ามายืนเรียงแถวเป็นระเบียบ ขณะที่อาสาสมัครแจกถุงให้ตามลำดับนั้น ก็มีชาวบ้านอีกกลุ่มหนึ่งตะโกนว่า “พวกนี้น้ำไม่ท่วมจริง มีที่ท่วมมากกว่านี้แต่ออกมาเอาของแจกไม่ได้” การทะเลาะเบาะแว้งเริ่มรุนแรงขึ้น กลุ่มอาสาสมัครจึงตัดสินใจขับรถเข้าไปวนดูพื้นที่ว่าบริเวณไหนน้ำท่วมจริง
“ยง โพธิ์ศรี” หนุ่มใหญ่ผู้ยืนสังเกตการณ์อยู่ด้านนอก ตัดสินใจเดินเข้ามากระซิบเบาๆ ว่า มีเหยื่อน้ำท่วมหมู่บ้านพิกุลทองจำนวนหลายร้อยคนรวมกลุ่มอยู่แถวถนนที่ห่างไปประมาณ 1 กม. ทีมงานตัดสินใจบึ่งรถไปถนนเลียบแม่น้ำด้านหลังแทน
ปรากฏว่าตลอดแนวถนนมีชาวบ้านนำเตียงนอนและแคร่ไม้ไผ่มาวางเรียงใต้หลังคาผ้าใบที่สร้างแบบฉุกเฉิน บางซุ้มก็ใช้ผ้าใบผืนใหญ่ขึงไว้ 3 ด้านเสมือนกั้นริมถนนให้เป็นห้องนอนส่วนตัวชั่วคราว มีข้าวของเครื่องใช้จำเป็นบางชิ้นเท่านั้นที่ขนหนีน้ำออกมาทัน
“แถวนี้ทำนาข้าว กับทำสวนส้ม ตอนนี้น้ำท่วมขังมาเกือบเดือนแล้ว สิงห์บุรีเป็นจุดแรกที่น้ำท่วมตั้งแต่เดือนกันยายน ถึงวันนี้ยังไม่มีหน่วยงานไหนมาช่วย มีแต่มาแจกถุงมาม่ากับข้าวกล่อง แล้วก็จดชื่อไป พวกเราต้องช่วยเหลือกันเอง ส่วนใหญ่มีอาชีพเสริมคือทำดอกไม้พลาสติก แต่น้ำท่วมก็ทำไม่ได้ ต้องมานอนข้างถนนแทน” ยงเล่าถึงที่มาของพวกเขา
ซุ้มฉุกเฉินที่ชาวบ้านสร้างริมถนนนั้น ตั้งห่างกันประมาณ 100-200 เมตร ทำให้รถต้องแวะไปเรื่อยๆ ทุกครั้งที่จอดจะมีเด็กเล็กและผู้หญิงและคนแก่เดินออกมาต่อแถวรับถุงยังชีพ แต่ของบริจาคมีไม่พอให้ทุกคน จึงต้องมีการขอร้องให้รับบางส่วนแล้วไปแกะถุงแบ่งกัน
พี่ชาญ คนขับรถตัดสินใจว่า จะหยุดรถเฉพาะซุ้มที่ไม่มีเหล้าหรือเครื่องดื่มมึนเมาวางอยู่ เขาทำใจไม่ได้ที่เห็นผู้ชายนั่งจับกลุ่มกินเหล้ากัน แล้วปล่อยให้เด็กๆ กับผู้หญิงมายืนต่อแถวรับบริจาคข้าวห่อ ผ่านไปไม่ถึงครึ่งชั่วโมง รถบรรทุกก็ว่างเปล่าเหลือเพียงเศษมาม่าหลุดออกมาไม่กี่ห่อกับน้ำเปล่า 3-4 ขวด ชาวบ้านในซุ้มฉุกเฉินที่เหลือเป็นระยะทางกว่า 2 กม. ต่างชะเง้อคอมองว่าทำไม่รถถึงขับผ่านไปโดยไม่จอด!!
หลังเสร็จภารกิจ…เอ็นจีโอที่ช่วยเหลือภัยพิบัติตั้งแต่สึนามิภาคใต้ โคลนถล่มอุตรดิตถ์ น้ำท่วมเมืองนคร จนถึงอยุธยาจมบาดาล สรุปบทเรียนการบริจาคถุงยังชีพให้ฟังว่า ศิลปะในการแจกของนั้น ต้องคำนึงถึงปัจจัย 3 ค. คือ 1.ต้องเป็นข้าวของเครื่องใช้ที่ “คนอยากได้” เช่น เทียน ยากันยุง ไฟแช็ก น้ำเปล่า ยารักษาโรค น้ำปลา น้ำมันพืช สำหรับเหยื่อน้ำท่วมนั้น เสื้อผ้าไม่จำเป็นมากนักเพราะยังว่ายน้ำเข้าไปเอาได้ หากจะให้ข้าวสารต้องดูว่ามีที่หุงข้าวหรือไม่
2.”คงทน” เช่น การบริจาคข้าวกับแกงกะทิ อาจเน่าเสียหรือบูดกลางทางระหว่างขนส่งได้ ส่วนขนมปังก็ไม่เหมาะสม ควรเป็นข้าวเหนียวใส่มาพร้อมหมูเค็มหรือไก่ทอดแห้งๆ เนื้อแห้งๆ จะกินง่ายกว่า 3.”คุ้มค่า” เช่น ชัยภูมิขาดน้ำดื่มแต่ถ้าขนจากกรุงเทพฯ ขับรถไป 4 ชั่วโมงอาจไม่คุ้มค่าน้ำมัน
“ถุงยังชีพขนมาเท่าไรก็ไม่พอแจกหรอก แย่งกันทุกครั้ง ตะโกนขอร้องให้อย่าเวียนเทียน คนที่น้ำท่วมอยากได้เพราะหิว คนที่น้ำกำลังท่วมก็กลัวว่าจะไม่มีกักตุน ที่เจอบ่อยๆ คือ เอาของบริจาคไปโยนให้หน้าอำเภอ หรือหน้า อบต. เสร็จแล้วพวกหัวคะแนนขนไปแจกเฉพาะพวกพ้องตัวเอง ชาวบ้านเดือดร้อนจริงๆ ไม่ได้ เพราะน้ำท่วมอยู่ด้านในไม่มีใครสนใจ แต่ถ้าจะให้พวกเราขนเข้าไปแจกก็ไม่มีเรือ เรื่องแบบนี้ต้องหัดทำใจนะ” ผู้มีประสบการณ์กล่าวปลอบใจกลุ่มอาสาสมัครหน้าใหม่
ข้อมูลล่าสุด วันที่ 12 ตุลาคม ระบุว่า เหยื่อน้ำท่วมพุ่งถึง 8.3 ล้านคนจาก 61 จังหวัด ดังนั้นถุงยังชีพที่ได้รับมาไม่กี่แสนถุงนั้น ต้องถูกแจกจ่ายออกไปอย่างมีศิลปะ เพื่อไม่ให้เกิด “ศึกชิงของบริจาค” ?!?
ข่าวโดย : คมชัดลึก
กินรวบ ประเทศไทย
ผมอยากจะถามกลุ่มคนที่เรียกร้องให้ล้างผลของการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ในนามของการทำให้เป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์...ว่า...
สมมติว่าท่านเป็นริป แวน วิงเกิล ตัวละครในนิยายของวอชิงตัน เออร์วิง นอนหลับสนิทไประยะเวลาหนึ่ง แล้วพอตื่นขึ้นมาปรากฏว่า (1) ไม่มี “อมาตย์”, (2) ไม่มี “มือที่มองไม่เห็น”, (3) ไม่มีกองทัพ หรือ...กองทัพอยู่ภายใต้การเมืองเต็ม 100 พ.ร. บ.จัดระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหมฯแก้ไขเรียบร้อยแล้ว, (4) ไม่มีองค์กรอิสระและศาลในรูปแบบปัจจุบัน หรือ...องค์กรอิสระและศาลเชื่อมโยงเข้ากับการเมืองในรูปใดรูปหนึ่ง, (5) ไม่มีหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขอถามท่านว่าภาพรวมของสังคมไทย ณ นาทีนั้นคืออะไร...
→ ปตท.กลับคืนมาเป็นของรัฐหรือไม่ ?
→ มีธรรมาภิบาลในการกำหนดราคาพลังงานของประเทศหรือไม่ ?
→ ระบบธนาคารที่เป็นปลิงสูบเลือดสังคมไทยมาโดยตลอดเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่ ?
→ อำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจเป็นของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมแล้วหรือไม่ ?
→ ประเทศไทยพ้นจากการครอบงำของทุนนิยมโลกในระดับสำคัญแล้วหรือไม่ ?
ท่านช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อย
เพราะตรรกะที่ท่านเสนอออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวันมันเสมือนกับว่า ถ้าบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีอมาตย์ ไม่มีมือที่มองไม่เห็น ไม่มีกองทัพที่ปลอดการเมือง ไม่มีองค์กรอิสระและศาลที่เป็นอิสระ ไม่มีรัฐธรรมนูญมาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้เห็นเสียแล้ว ประเทศนี้จะเป็น “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ในทันที และ ความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ในทันทีนั้นจะสร้าง “ความเป็นธรรมในสังคม” ขึ้นในทันที
ท่านต้องอรรถาธิบายให้ผมเข้าใจว่าทำไมในประเทศ “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” อย่างสหรัฐอเมริกาจึงเกิดปรากฏการณ์วอลล์สตรีทขึ้น
กลุ่มยึดวอลล์สตรีท Occupy Wall Street ประกาศว่าเขาคือกลุ่มคน 99 % ของประเทศ ต่อต้านระบบธนาคาร ระบบสถาบันการเงิน ระบบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ระ บบกาสิโนอีโคโนมี ซึ่งเป็นคนเพียง 1 % ที่อาศัยกลไก “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” เข้ามาครอบงำและบงการการเมือง กำหนดทิศทางของประ เทศให้ไปในทางเบียดบังผลประโยชน์ของคน 99 % ไปบำรุงบำเรอคนเพียง 1 %
ท่านมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร ?
เวลาท่านพูดถึงพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 หรือรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ที่มีมาตรา 1 ระบุว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ทำไมท่านไม่พูดถึง “เค้าโครงเศรษฐกิจ” หรือ “สมุดปกเหลือง” ของท่านปรีดี พนมยงค์ควบคู่ไปด้วย ผมเชื่อว่า “ความเป็นปรีดี พนมยงค์” ไม่ได้มีแค่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 27 มิถุนา 2475 หรือรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 10 ธันวาคม 2475 ที่พัฒนาไปเป็นรัฐธรรมนูญ 2489 แต่มีสมุดปกเหลือง-เค้าโครงเศรษฐกิจที่ตามมาติด ๆ ด้วย
ถ้าท่านลืมบอก กรุณาบอกเสนอข้อเสนอ “เค้าโครงเศรษฐกิจ 2555” ที่จะตามมาหลังการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ล้างผลรัฐประหาร 19 กันยายนด้วย
...เพื่อผมจะได้พิจารณา หากเห็นด้วยจะได้เข้าไปต่อแถวพวกท่าน !
อะไรก็ได้ครับที่เป็นข้อเสนอในทำนองปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปสังคม ปฏิรูประบบแบ่งปันผลประโยชน์ในสังคมนี้ ที่จะสร้างความเป็นธรรมที่แท้จริงขึ้นในสังคมนี้
รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่เป็นรัฐบาลอมาตย์ และเป็นผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยา ได้ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมา 3 ชุด (1) คอป. – คณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบและค้นหาความเป็นจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ, (2) คณะกรรมการปฏิรูป, (3) คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ทำไมท่านยอมรับและประกาศไว้ในนโยบายรัฐบาลของท่านให้ดำเนินต่อไปเพียงคณะเดียวคือคอป. ทำไมท่านไม่พูดถึงคณะกรรมการอีก 2 ชุดที่ชั่ว ๆ ดี ๆ อย่างไรก็กำลังสร้างพิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อสร้างความเป็นธรรมที่แท้จริงขึ้นมา
ท่านพูดแต่กลับคืนไปสู่ระบอบก่อนรัฐประหาร 19 กันยา เหมือนกับว่ามันเป็นสังคมพระศรีอาริย์ หรืออย่างน้อยก็เหมือนว่ามันเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ มันสร้างความเป็นธรรมที่แท้จริงในสังคมไทย แล้วการรัฐ ประหาร 19 กันยาเป็นปิศาจร้ายมาทำลายไปเสียสิ้น
เสมือนท่านลืมไปแล้วว่าคำ “ระบอบทักษิณ” ไม่ได้เพิ่งเกิดหลัง 19 กันยา หรือเกิดในช่วงการชุมนุมปี 2548 ต่อ 2549 โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล โดยพวกสมุนอำมาตย์ แต่เกิดขึ้นก่อนโดยนักวิชาการฝ่ายก้าวหน้าคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับพวกสมุนอำมาตย์แม้แต่น้อย และนักวิชาการอดีตนักการเมืองอีกคนที่ระยะหลังก็ขึ้นเวทีของพวกท่านอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
นักวิชาการคนแรกประดิษฐ์ถ้อยคำเรียกขานระบอบการเมืองขณะนั้นว่า
“ระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุน”
หรือ
“ระบอบอาญาสิทธิของทุนนิยมจากการเลือกตั้ง - elected capitalist absolutism”
นักวิชาการอดีตนักการเมืองคนหลังเขียนหนังสือโด่งดังออกมาเล่มหนึ่งในปี 2547 ชื่อว่า
“รัฐธรรมนูญตายแล้ว”
และขนานนามระบอบการเมืองในขณะนั้นว่า
“ทักษิโณมิคส์”
ใช่หรือไม่ว่าเหล่านี้การกินรวบประเทศและคือ “เหตุ” ของรัฐประหาร ?
ถ้าท่านมัวแต่จะล้าง “ผล” ของรัฐประหาร ไม่ล้าง “เหตุ” ของรัฐประหาร ประชาธิปไตยสมบูรณ์โดยสารัตถะจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความเป็นธรรมในสังคมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
การล้าง “เหตุ” ของรัฐประหาร ก็คือการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน
หากท่านจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หากเป็นไปเพียงเพื่อล้าง “ผล” ของรัฐประหาร ไม่แตะด้าน “เหตุ” มันก็จะไม่มีทางนำไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ไม่มีทางนำไปสู่ความเป็นธรรม ไม่มีทางที่อำนาจสูงสุดของประเทศจะเป็นของราษฎรทั้งหลายอย่างแท้จริง ต่อให้รัฐธรรมนูญใหม่ของท่านไม่มีมาตรา 8 และไม่มีป.อาญามาตรา 112
เพราะก็แค่เปลี่ยนระบอบกลับไปเป็น “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุน” และ/หรือ “ทักษิโณมิคส์” เท่านั้น
แค่กลับไปสู่สภาวการณ์กินรวบประเทศไทยอีกครั้ง
ผมไม่ได้เห็นว่ารัฐประหารและผลของมัน – โดยเฉพาะรัฐประหารที่ไม่มีลักษณะปฏิวัติ – เป็นความดี ความงาม หรอก แต่ความไม่ดีไม่งามของมันก็ไม่ได้ทำให้ระบอบที่มันโค่นล้มลงไปได้ชั่วคราวกลายเป็นความดี ความงาม ขึ้นมาได้ หากมันก็ไม่ได้ดีไม่ได้งามอยู่ก่อน
แน่นอนว่าผมไม่เชื่อตรรกะ “คอร์รัปชั่นดีกว่ารัฐประหาร” หรือ “ทุนนิยมสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” แต่ผมก็หาได้เชื่อว่า “รัฐประหารดีกว่าคอร์รัปชั่น” หรือ “ศักดินาล้าหลังดีกว่าทุนนิยมสามานย์” เช่นกัน
ทำไมเราจะต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ไม่ดีไม่งามสองสิ่ง ?
ทำไมเราไม่ฝ่าฟันไปสู่ทางเลือกใหม่ ??
นี่คือคำถาม !
คำนูณ สิทธิสมาน
สมมติว่าท่านเป็นริป แวน วิงเกิล ตัวละครในนิยายของวอชิงตัน เออร์วิง นอนหลับสนิทไประยะเวลาหนึ่ง แล้วพอตื่นขึ้นมาปรากฏว่า (1) ไม่มี “อมาตย์”, (2) ไม่มี “มือที่มองไม่เห็น”, (3) ไม่มีกองทัพ หรือ...กองทัพอยู่ภายใต้การเมืองเต็ม 100 พ.ร. บ.จัดระเบียบบริหารราชการกระทรวงกลาโหมฯแก้ไขเรียบร้อยแล้ว, (4) ไม่มีองค์กรอิสระและศาลในรูปแบบปัจจุบัน หรือ...องค์กรอิสระและศาลเชื่อมโยงเข้ากับการเมืองในรูปใดรูปหนึ่ง, (5) ไม่มีหลักรัฐธรรมนูญมาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ขอถามท่านว่าภาพรวมของสังคมไทย ณ นาทีนั้นคืออะไร...
→ ปตท.กลับคืนมาเป็นของรัฐหรือไม่ ?
→ มีธรรมาภิบาลในการกำหนดราคาพลังงานของประเทศหรือไม่ ?
→ ระบบธนาคารที่เป็นปลิงสูบเลือดสังคมไทยมาโดยตลอดเปลี่ยนแปลงไปแล้วหรือไม่ ?
→ อำนาจอธิปไตยทางเศรษฐกิจเป็นของประชาชนอย่างเป็นรูปธรรมแล้วหรือไม่ ?
→ ประเทศไทยพ้นจากการครอบงำของทุนนิยมโลกในระดับสำคัญแล้วหรือไม่ ?
ท่านช่วยเล่าให้ผมฟังหน่อย
เพราะตรรกะที่ท่านเสนอออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่าทุกวันมันเสมือนกับว่า ถ้าบ้านนี้เมืองนี้ไม่มีอมาตย์ ไม่มีมือที่มองไม่เห็น ไม่มีกองทัพที่ปลอดการเมือง ไม่มีองค์กรอิสระและศาลที่เป็นอิสระ ไม่มีรัฐธรรมนูญมาตรา 8 และประมวลกฎหมายอาญามาตรา 112 ให้เห็นเสียแล้ว ประเทศนี้จะเป็น “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” ในทันที และ ความเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ในทันทีนั้นจะสร้าง “ความเป็นธรรมในสังคม” ขึ้นในทันที
ท่านต้องอรรถาธิบายให้ผมเข้าใจว่าทำไมในประเทศ “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” อย่างสหรัฐอเมริกาจึงเกิดปรากฏการณ์วอลล์สตรีทขึ้น
กลุ่มยึดวอลล์สตรีท Occupy Wall Street ประกาศว่าเขาคือกลุ่มคน 99 % ของประเทศ ต่อต้านระบบธนาคาร ระบบสถาบันการเงิน ระบบบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ระ บบกาสิโนอีโคโนมี ซึ่งเป็นคนเพียง 1 % ที่อาศัยกลไก “ประชาธิปไตยสมบูรณ์” เข้ามาครอบงำและบงการการเมือง กำหนดทิศทางของประ เทศให้ไปในทางเบียดบังผลประโยชน์ของคน 99 % ไปบำรุงบำเรอคนเพียง 1 %
ท่านมีความเห็นต่อเรื่องนี้อย่างไร ?
เวลาท่านพูดถึงพระราชบัญญัติธรรมนูญการปกครองแผ่นดินสยามชั่วคราว พุทธศักราช 2475 หรือรัฐธรรมนูญ 27 มิถุนายน 2475 ที่มีมาตรา 1 ระบุว่า “อำนาจสูงสุดของประเทศนั้นเป็นของราษฎรทั้งหลาย” ทำไมท่านไม่พูดถึง “เค้าโครงเศรษฐกิจ” หรือ “สมุดปกเหลือง” ของท่านปรีดี พนมยงค์ควบคู่ไปด้วย ผมเชื่อว่า “ความเป็นปรีดี พนมยงค์” ไม่ได้มีแค่รัฐธรรมนูญฉบับชั่วคราว 27 มิถุนา 2475 หรือรัฐธรรมนูญฉบับถาวร 10 ธันวาคม 2475 ที่พัฒนาไปเป็นรัฐธรรมนูญ 2489 แต่มีสมุดปกเหลือง-เค้าโครงเศรษฐกิจที่ตามมาติด ๆ ด้วย
ถ้าท่านลืมบอก กรุณาบอกเสนอข้อเสนอ “เค้าโครงเศรษฐกิจ 2555” ที่จะตามมาหลังการเขียนรัฐธรรมนูญใหม่ล้างผลรัฐประหาร 19 กันยายนด้วย
...เพื่อผมจะได้พิจารณา หากเห็นด้วยจะได้เข้าไปต่อแถวพวกท่าน !
อะไรก็ได้ครับที่เป็นข้อเสนอในทำนองปฏิรูปประเทศ ปฏิรูปสังคม ปฏิรูประบบแบ่งปันผลประโยชน์ในสังคมนี้ ที่จะสร้างความเป็นธรรมที่แท้จริงขึ้นในสังคมนี้
รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะที่เป็นรัฐบาลอมาตย์ และเป็นผลพวงของการรัฐประหาร 19 กันยา ได้ตั้งคณะกรรมการอิสระขึ้นมา 3 ชุด (1) คอป. – คณะกรรมการอิสระเพื่อตรวจสอบและค้นหาความเป็นจริงเพื่อความปรองดองแห่งชาติ, (2) คณะกรรมการปฏิรูป, (3) คณะกรรมการสมัชชาปฏิรูป ทำไมท่านยอมรับและประกาศไว้ในนโยบายรัฐบาลของท่านให้ดำเนินต่อไปเพียงคณะเดียวคือคอป. ทำไมท่านไม่พูดถึงคณะกรรมการอีก 2 ชุดที่ชั่ว ๆ ดี ๆ อย่างไรก็กำลังสร้างพิมพ์เขียวปฏิรูปประเทศโดยการมีส่วนร่วมของประชาชนเพื่อสร้างความเป็นธรรมที่แท้จริงขึ้นมา
ท่านพูดแต่กลับคืนไปสู่ระบอบก่อนรัฐประหาร 19 กันยา เหมือนกับว่ามันเป็นสังคมพระศรีอาริย์ หรืออย่างน้อยก็เหมือนว่ามันเป็นประชาธิปไตยสมบูรณ์ มันสร้างความเป็นธรรมที่แท้จริงในสังคมไทย แล้วการรัฐ ประหาร 19 กันยาเป็นปิศาจร้ายมาทำลายไปเสียสิ้น
เสมือนท่านลืมไปแล้วว่าคำ “ระบอบทักษิณ” ไม่ได้เพิ่งเกิดหลัง 19 กันยา หรือเกิดในช่วงการชุมนุมปี 2548 ต่อ 2549 โดยคุณสนธิ ลิ้มทองกุล โดยพวกสมุนอำมาตย์ แต่เกิดขึ้นก่อนโดยนักวิชาการฝ่ายก้าวหน้าคนหนึ่งที่ไม่เกี่ยวกับพวกสมุนอำมาตย์แม้แต่น้อย และนักวิชาการอดีตนักการเมืองอีกคนที่ระยะหลังก็ขึ้นเวทีของพวกท่านอย่างต่อเนื่องสม่ำเสมอ
นักวิชาการคนแรกประดิษฐ์ถ้อยคำเรียกขานระบอบการเมืองขณะนั้นว่า
“ระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุน”
หรือ
“ระบอบอาญาสิทธิของทุนนิยมจากการเลือกตั้ง - elected capitalist absolutism”
นักวิชาการอดีตนักการเมืองคนหลังเขียนหนังสือโด่งดังออกมาเล่มหนึ่งในปี 2547 ชื่อว่า
“รัฐธรรมนูญตายแล้ว”
และขนานนามระบอบการเมืองในขณะนั้นว่า
“ทักษิโณมิคส์”
ใช่หรือไม่ว่าเหล่านี้การกินรวบประเทศและคือ “เหตุ” ของรัฐประหาร ?
ถ้าท่านมัวแต่จะล้าง “ผล” ของรัฐประหาร ไม่ล้าง “เหตุ” ของรัฐประหาร ประชาธิปไตยสมบูรณ์โดยสารัตถะจะเกิดขึ้นได้อย่างไร ความเป็นธรรมในสังคมจะเกิดขึ้นได้อย่างไร
การล้าง “เหตุ” ของรัฐประหาร ก็คือการปฏิรูปประเทศในทุกด้าน
หากท่านจะร่างรัฐธรรมนูญใหม่ หากเป็นไปเพียงเพื่อล้าง “ผล” ของรัฐประหาร ไม่แตะด้าน “เหตุ” มันก็จะไม่มีทางนำไปสู่ประชาธิปไตยสมบูรณ์ ไม่มีทางนำไปสู่ความเป็นธรรม ไม่มีทางที่อำนาจสูงสุดของประเทศจะเป็นของราษฎรทั้งหลายอย่างแท้จริง ต่อให้รัฐธรรมนูญใหม่ของท่านไม่มีมาตรา 8 และไม่มีป.อาญามาตรา 112
เพราะก็แค่เปลี่ยนระบอบกลับไปเป็น “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิทุน” และ/หรือ “ทักษิโณมิคส์” เท่านั้น
แค่กลับไปสู่สภาวการณ์กินรวบประเทศไทยอีกครั้ง
ผมไม่ได้เห็นว่ารัฐประหารและผลของมัน – โดยเฉพาะรัฐประหารที่ไม่มีลักษณะปฏิวัติ – เป็นความดี ความงาม หรอก แต่ความไม่ดีไม่งามของมันก็ไม่ได้ทำให้ระบอบที่มันโค่นล้มลงไปได้ชั่วคราวกลายเป็นความดี ความงาม ขึ้นมาได้ หากมันก็ไม่ได้ดีไม่ได้งามอยู่ก่อน
แน่นอนว่าผมไม่เชื่อตรรกะ “คอร์รัปชั่นดีกว่ารัฐประหาร” หรือ “ทุนนิยมสามานย์ดีกว่าศักดินาล้าหลัง” แต่ผมก็หาได้เชื่อว่า “รัฐประหารดีกว่าคอร์รัปชั่น” หรือ “ศักดินาล้าหลังดีกว่าทุนนิยมสามานย์” เช่นกัน
ทำไมเราจะต้องเลือกระหว่างสิ่งที่ไม่ดีไม่งามสองสิ่ง ?
ทำไมเราไม่ฝ่าฟันไปสู่ทางเลือกใหม่ ??
นี่คือคำถาม !
คำนูณ สิทธิสมาน
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน