บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เผยภาพเหยื่อแขวนคอ 6 ตุลา'19 ครั้งแรก!

go6



โครงการ กำแพงประวัติศาสตร์: ธรรมศาสตร์กับการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ร่วมกับเครือข่ายเดือนตุลา องค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์(ท่าพระจันทร์) กลุ่มประชาคมจุฬาเพื่อประชาชน(CCP) กลุ่มประชาคมธรรมศาสตร์คัดค้านอำนาจนอกระบบ(TCAD) กลุ่มธรรมศาสตร์เสรีเพื่อประชาธิปไตย(LLTD) กลุ่มเสรีเกษตรศาสตร์(LKS) และกลุ่มประชาคมมหิดลเสรีเพื่อประชาธิปไตย(FMCD) จัดงานสัปดาห์รำลึก 35 ปี 6 ต.ค.19 ระหว่างวันที่ 1-14 ต.ค. ที่มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ (มธ.) ท่าพระจันทร์
วิภา ดาวมณี ผู้ประสานงานคณะกรรมการรับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ระบุว่า ในปีนี้ มีภาพเหตุการณ์วันที่ 6 ต.ค.2519 ซึ่งไม่เคยเปิดเผยที่ไหนมาก่อนจำนวน 25 ภาพ ส่งมาจากอดีตนักเรียนอาชีวะผู้ไม่ประสงค์ออกนาม โดยภาพชุดดังกล่าวเป็นเหตุการณ์ช่วงเช้า หลังมีการใช้กำลังตำรวจ-ตชด. บุกเข้าไปใน มธ. โดยเบื้องต้นเผยแพร่ทางออนไลน์ที่เว็บไซต์http://2519.net และเพจ Truth Finding ในเฟซบุ๊ก
วิภา ระบุว่า ภาพชุดดังกล่าว มีชายคนหนึ่งถูกใส่กุญแจมือ ลากลงจากรถ และนำมาแขวนคอ โดยจากการตรวจสอบ ชายในภาพเป็นคนละคนกับชายในภาพที่ถูกแขวนคอซึ่งเผยแพร่ก่อนหน้านี้ ซึ่งคือ วิชิตชัย อมรกุล นิสิตชั้นปีที่ 2 คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ ที่เป็นหน่วยรักษาความปลอดภัยให้ผู้ชุมนุมใน มธ. ช่วงคืนวันที่ 5 ต่อเช้าวันที่ 6 อย่างไรก็ตาม จนขณะนี้ยังไม่ทราบว่าชายคนดังกล่าว และคนอื่นๆ ในภาพเป็นใคร ทั้งนี้ หากมีผู้ทราบเบาะแสก็สามารถติดต่อมาที่ตนเองในฐานะผู้ประสานงานคณะกรรมการ รับข้อมูลและสืบพยานเหตุการณ์ 6 ตุลา 2519 ได้

นานาชาติบีบไทยให้สัตยาบันกรุงโรม เปิดทางลากคอฆาตกรสังหารหมู่ขึ้นศาลอาญาระหว่างประเทศ



ไทยอีนิวส์
4 ตุลาคม 2554

เมื่อวันที่ 3 ตุลาคม ตามเวลาในนิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา เครือข่ายองค์กรระดับโลกได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทย เข้าร่วมภาคีศาลอาญาระหว่างประเทศ ภาคประชาสังคมระบุรัฐบาลใหม่ต้องใส่ใจ และให้ความสำคัญต่อการเข้าเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่าง ประเทศ ในลำดับต้น ๆ

นิวยอร์ค สหรัฐอเมริกา/ กรุงเทพมหานคร: ในวันนี้ องค์กรเครือข่ายเพื่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (Coalition for the International Criminal Court - CICC) ได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยแสดงเจตจำนงที่จะร่วมกับประชาคมโลกในการต่อสู้ ต่อต้านระบบ “ลบล้างความผิด” (Impunity) ด้วยการให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ (International Criminal Court – ICC) ซึ่งเป็นศาลอาญาถาวรระหว่างประเทศแห่งแรกและแห่งเดียวของโลก ที่มุ่งจัดการกับคดีที่มีลักษณะเป็นอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ประเทศไทย เป็นประเทศเป้าหมายหลักของการรณรงค์ระดับโลกเพื่อการให้สัตยาบันต่อธรรมนูญ กรุงโรม ในเดือนตุลาคม 2554 การรณรงค์ดังกล่าวมีวัตถุประสงค์ที่จะเรียกร้องให้ประเทศภาคีสมาชิกของสห ประชาชาติให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรม ซึ่งถือเป็นอนุสัญญาสำคัญที่เป็นพื้นฐานแห่งการจัดตั้งศาลอาญาระหว่างประเทศ ขึ้น

หนังสือลงวันที่ 3 ตุลาคม 2554 ที่องค์กรเครือข่ายระหว่างประเทศ ซึ่งมีสมาชิกหลากหลายมากมายกว่า 2500 องค์กร/ หน่วยงาน จาก 150 ประเทศทั่วโลก มีบทบาทสำคัญในการผลักดันให้เกิดศาลอาญาระหว่างประเทศ ที่มีความเที่ยงธรรม มีประสิทธิภาพ และมีความเป็นอิสระ ได้ส่งถึง ฯพณฯ นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เรียกร้องให้รัฐบาลไทยได้ดำเนินการให้เกิดความคืบหน้าสู่การให้สัตยาบันต่อ ธรรมนูญกรุงโรม ว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ ในเร็ววัน

ปัจจุบัน 118 รัฐภาคีทั่วโลก ได้เข้าร่วมกับภาคีธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศแล้ว และล่าสุดประเทศมัลดริฟส์ได้เข้าร่วมเป็นภาคีสนธิสัญญาฉบับนี้ ในรอบสองปีที่ผ่านมา ประเทศต่าง ๆ ในภูมิภาคเอเซียได้เริ่มเข้ามีส่วนร่วมในศาลอาญาระหว่างประเทศมากยิ่งขึ้น อาทิ เช่น บังกลาเทศให้สัตยาบันเมื่อเดือนมีนาคม 2553 ฟิลิปปินส์ให้สัตยาบันเมื่อเดือนสิงหาคม 2554 และตามด้วยมัลดริฟส์ เมื่อเดือนกันยายน ที่ผ่านมา ภูมิภาคเอเซียยังคงเป็นภูมิภาคที่ด้อยจำนวนภาคีสมาชิกในศาลอาญาระหว่าง ประเทศอยู่มาก เมื่อเทียบกับภูมิภาคอื่น ๆ กล่าวคือมีเพียง 9 รัฐภาคีเท่านั้น ในปัจจุบัน

การให้สัตยาบันต่อธรรมนูญกรุงโรม แห่งศาลอาญาระหว่างประเทศ ของรัฐบาลไทย จะเป็นแบบอย่างที่ดียิ่งสำหรับประเทศสมาชิกในกลุ่มอาเซียน “ประเทศไทยอยู่ในฐานะที่มีบทบาทโดดเด่นในภูมิภาคเอเซีย และบทบาทนำในการส่งเสริมสิทธิมนุษยชนในภูมิภาค” Evelyn Balais Serrano ผู้ประสานงานภูมิภาคเอเซียแปซิฟิก ขององค์กรเครือข่ายเพื่อศาลอาญาระหว่างประเทศระบุ “ภายใต้รัฐบาลใหม่ ถือได้ว่านี่เป็นโอกาสอันสำคัญยิ่งที่ประเทศไทยจะพิจารณาให้สัตยาบันเข้า เป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมแห่งศาลอาญาระหว่างประเทศอย่างจริงจัง และนี่จะเป็นความพยายามในการกระชับความร่วมมือระหว่างประเทศและประเทศเพื่อน บ้าน ซึ่งแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นของรัฐบาลในการหยุดยั้ง และขจัด “การลบล้างความผิด” (Impunity) และดำเนินการให้เกิดความยุติธรรม โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับเหยื่อผู้ถูกล่วงละเมิดท่ามกลางความขัดแย้งในอดีต ทั้งนี้ให้เป็นไปบนหลักการพื้นฐาน เป้าหมาย และเจตนารมย์แห่งธรรมนูญกรุงโรมว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศ”

องค์กรเครือข่ายเพื่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (CICC) ยังได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยได้มีส่วนร่วมในการประชุม ณ กรุงโรม และมีการดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อเข้าสู่กระบวนการให้สัตยาบัน และขณะเดียวกันก็ตระหนักว่าข้อท้าทายทางกฎหมายต่าง ๆ ซึ่งเกิดเป็นประเด็นคำถามขึ้น อันสืบเนื่องมาจากความ (ไม่) สอดคล้องกันระหว่างธรรมนูญศาล กับกฎหมายภายในประเทศ องค์กรเครือข่ายเพื่อศาลอาญาระหว่างประเทศ (CICC) เรียกร้องให้รัฐไทยได้ศึกษาบทเรียนการแก้ปัญหา หรือคลี่คลายความกังวลจากรัฐภาคีอื่น ๆ ซึ่งประสบผลสำเร็จในการฝ่าข้ามความกังวลเหล่านั้นมาแล้วด้วยดี รัฐบาลใหม่ต้องแสดงจุดยืน และความมุ่งมั่นในการส่งเสริม ปกป้อง และคุ้มครองสิทธิมนุษยชน

“ภายใต้การปฏิรูประบบ กลไก และนโยบายหลักโดยรัฐบาล ผู้บริหารชุดใหม่ พึงจะได้รับประโยชน์จากการเข้าเป็นภาคีธรรมนูญกรุงโรมด้วย ทั้งนี้จะเป็นการแสดงให้เป็นที่ปรากฎว่า ประชาชนไทยมีความห่วงใยและเห็นอกเห็นใจ รู้สึกในความสมานฉันท์กับผู้เจ็บปวด ผู้สูญเสีย และเหยื่อของความขัดแย้งในภูมิภาคเอเซีย และประเทศทั่วโลก” นายแพทย์แท้จริง ศิริพานิช กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ และผู้นำสำคัญในคณะทำงานไทยว่าด้วยศาลอาญาระหว่างประเทศกล่าว

เมื่อเข้าเป็นภาคีแล้ว รัฐบาลไทยจะสามารถเข้ามีส่วนร่วมในการประชุมประจำปีของรัฐภาคีของศาลอาญา ระหว่างประเทศ ในฐานะสมาชิก และเข้าร่วมประชุมเพื่อร่วมพิจารณาในประเด็นปัญหาสำคัญที่เกี่ยวข้องกับการ บริหารจัดการภารกิจศาล ตลอดจนการสรรหา/เลือกตั้งผู้พิพากษา หัวหน้าอัยการศาล และเจ้าหน้าที่ตำแหน่งสำคัญอื่น ๆ

ข้อมูลพื้นฐาน

ศาลอาญาระหว่างประเทศ (ICC) (ซึ่งแตกต่างจากศาลโลก หรือ ศาลยุติธรรมระหว่างประเทศ - บรรณาธิการแปล) เป็นศาลถาวรระดับนานาชาติที่มีบทบาทอำนาจในการพิจารณาพิพากษาคดีอาชญากรรม สงคราม อาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ การฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ โดยที่อำนาจหน้าที่ของศาลจะยืนบนหลักการ “เสริมแรง” (Complimentarity) คือมีอำนาจเสริมกับระบบศาลระดับประเทศ ไม่แทรกแซงหรือก้าวก่าวอำนาจศาลในประเทศนั้น ๆ ทั้งนี้ศาลอาญาระหว่างประเทศ จะมีอำนาจในการตรวจสอบต่อเมื่อระบบศาลในประเทศนั้นไม่ “ใส่ใจ” หรือ “ไม่มีความสามารถ” ที่จะพิจารณารับคำฟ้องดังกล่าว อันมีลักษณะที่จะต้องดำเนินการให้ผู้บงการให้เกิดการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ อาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ และอาชญากรรมสงคราม ได้เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม

จนถึงปัจจุบัน อัยการศาลกำลังไต่สวนอยู่ 6 คดี ก่อนนำขึ้นสู่การพิจารณาคดีในชั้นศาล ได้แก่ คดีประเทศแอฟริกากลาง คดีสาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก คดีดาร์ฟูร์ ประเทศซูดาน คดีอูกันดา คดีเคนยา และคดีลิเบีย

ศาลได้ออกหมายจับ 18 ฉบับ หมายเรียก 9 ฉบับ มีคดี 3 คดีอยู่ระหว่างการพิจารณา นอกจากนี้อัยการศาลยังขออนุมัติอำนาจจากศาลเมื่อเร็ว ๆ นี้ ให้เปิดการไต่สวนกรณีไอวอรี่ โคสต์ อัยการศาลยังระบุว่าเขากำลังพิจารณา 8 กรณี จาก 4 ภูมิภาค อันได้แก่ แอฟกานิสถาน โคลอมเบีย จอร์เจีย กีนี ฮอนดูรัส เกาหลีใต้ ไนขีเรีย และปาเลสไตน์

องค์กรเครือข่ายเพื่อศาลอาญาระหว่างประเทศ เป็นเครือข่ายระดับโลกขององค์กรภาคประชาสังคม ใน 150 ประเทศ ที่ทำงานร่วมกันในการสร้างเสริมความร่วมมือระหว่างประเทศกับศาลอาญาระหว่าง ประเทศ เพื่อให้มีหลักประกันว่า ศาลจะมีความเที่ยงธรรม มีประสิทธิภาพ และเป็นอิสระ ดำเนินการเพื่อให้เกิดความยุติธรรมอย่างชัดแจ้ง และมีความเป็นสากล นอกจากนี้ยังรวมถึงการช่วยพัฒนากฎหมายในระดับประเทศ ให้สามารถอำนวยความเป็นธรรมแก่เหยื่อจากอาชญากรรมสงคราม อาชญากรรมต่อต้านมนุษยชาติ และการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

รายละเอียดเพิ่มเติม ดูได้จาก www.coalitionfortheicc.org

รายละเอียดฉบับภาษาอังกฤษ ที่มา:http://www.iccnow.org/documents/PR_for_Thailand_URC-FINAL.pdf

FOR IMMEDIATE RELEASE
3 October 2011

GLOBAL COALITION CALLS ON THAILAND TO JOIN THE INTERNATIONAL CRIMINAL COURT

Civil Society Says New Government’s Priorities Should Include Accession to Rome Statute

New York, USA / Bangkok, Thailand—The Coalition for the International Criminal Court today called on Thailand to demonstrate its commitment to the global fight against impunity by acceding to the Rome Statute of the International Criminal Court (ICC)—the world’s first and only permanent international court able to prosecute war crimes, crimes against humanity and genocide. Thailand is the focus of the Coalition’s Universal Ratification Campaign (URC) for October 2011, a campaign launched to call upon a different country each month to join the Rome Statute—the ICC’s founding treaty.

In a letter dated 3 October 2011 to Thai Prime Minister H.E. Ms. Yingluck Shinawatra, the Coalition—a global network of more than 2,500 civil society organizations in 150 countries advocating for a fair, effective and independent ICC—urged the government of Thailand to move forward with the accession process of the Rome Statute.

To date, 118 states worldwide have joined the Rome Statute, Maldives being the most recent one. While the past two years have been witness to increased participation from Asian states within the Court – Bangladesh ratified in March
2010, the Philippines in August 2011 and Maldives in September 2011—the Asian region still remains underrepresented at the ICC, with only 9 states parties to the Rome Statute.

Thailand’s accession to the Rome Statute would provide an important example to other ASEAN member states. “Thailand, as a leading country in the ASEAN, has been in the forefront of promoting human rights in the region,” noted Evelyn Balais-Serrano, the Coalition’s regional coordinator for Asia-Pacific. “With a new government, it is time to consider ratification of the Rome treaty in its efforts to forge unity among its people and its neighbouring countries. Its commitment to ending impunity and pursuing justice for victims of past conflicts are in line with the goals and spirit of the Rome Statute and the ICC,” she stated.

The Coalition also recalled Thailand’s participation in the Rome Conference and its subsequent steps toward accession. In recognition of some legal challenges that have surfaced with regards to compatibility between the Rome Statute and Thai domestic legislation, the Coalition called on Thailand to draw examples from states parties that have successfully addressed similar compatibility issues. By addressing these issues, the new government would demonstrate its commitment to the protection and promotion of human rights.

“As it undergoes major reforms, the new administration would benefit from accession to the Rome Statute, as it would show the Thai people’s concern for and solidarity with the sufferings of victims of conflicts in Asia and around the world,” stated Dr. Taejing Siripanich, commissioner of the Thai Human Rights Commission and head of the ICC Working Group in Thailand. After accession, Thailand would be able to participate in the annual Assembly of States Parties of the ICC as a state party, during which important decisions are made in relation to the administration of the Court, including the election of judges, the chief prosecutor, and other Court officials.

Background: The ICC is the world’s first permanent international court to prosecute war crimes, crimes against humanity, and genocide. Central to the Court’s mandate is the principle of complementarity, which holds that the Court will only intervene if national legal systems are unwilling or unable to investigate and prosecute perpetrators of genocide, crimes against humanity, and war crimes. There are currently seven active investigations before the Court: the Central African Republic; Côte d’Ivoire; the Democratic Republic of the Congo; Darfur, the Sudan; Uganda; Kenya; and Libya. The ICC has publicly issued 18 arrest warrants and nine summonses to appear. Three trials are ongoing. The Office of the Prosecutor has also made public that it is examining eight other situations on four continents, including Afghanistan, Colombia, Georgia, Guinea, Honduras, Republic of Korea, Nigeria and Palestine.

The Coalition for the International Criminal Court is a global network of civil society organizations in 150 countries working in partnership to strengthen international cooperation with the ICC; ensure that the Court is fair, effective and independent; make justice both visible and universal; and advance stronger national laws that deliver justice to victims of war crimes,
crimes against humanity and genocide. For more information, visit: www.coalitionfortheicc.org


สู้แบบไพร่แล้วรวย-อู้ฟู่! สู้แบบอำมาตย์ต้องทำใจ สะเพร่ายอมผีดิบคืนชีพ ก่อนเป็น'ผีดูดขุมทรัพย์'





ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี กับ “ภาวะความเป็นผู้นำ” ของ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” โดยเฉพาะกรณี “การจัดซื้อเรือดำน้ำ” ที่ตอนแรกบอกว่า “ผ่านเรียบร้อยค่ะ” แต่พอรู้ตัวว่า “พลาด” ก็ให้ทีมงานฯแจ้นมาแจ้งและข้อแก้ข่าวกับสื่อ
ซึ่งหลายสำนักข่าวก็ยอม “แก้ไข” ให้ตามความต้องการ แต่ก็ยังมีอีกหลายสำนักข่าวที่นำเสนอความจริง จึงได้เห็นเรื่องเปิ่นๆ ที่ว่า “เรือดำน้ำ” เป็น “เรือดันน้ำ” เพื่อแก้เขิน
นี่ยังไม่นับ “คำพูด” หรือการ “ประดิษฐ์คำ” อย่าง “บูรณาการ” หรือ “กรอบโครงสร้าง” ที่พูดจนผู้คนเริ่มเอือมระอา...โดยเฉพาะการบูรณาการเรื่องอุทกภัย ที่ประชาชนหลายจังหวัดกำลังเผชิญกับความทุกข์ยาก แสนสาหัส แต่กลายเป็นว่า “รัฐบาลนี้” กลับไม่มุ่งมั่นเอาจริง-เอาจังในการเข้าช่วยเหลือ
ถือเป็น “ทุกข์อันแสนสาหัส” ของ “ผู้คนที่เลือกรัฐบาลนี้...จริงๆ” เพราะเมื่อไปไล่เรียงดูรายจังหวัดที่ประสบเคราะห์กรรมในคราวนี้ ส่วนใหญ่ก็เป็นพื้นที่ในเขตที่เลือก “พรรคเพื่อไทย” และ “พรรคร่วมรัฐบาลอื่น” เป็นหลัก
จะเห็นว่า การนำเสนอของสื่อมวลชนในการรายงานความเดือดร้อนในแต่ละพื้นที่ บ่งบอกได้ชัดว่า มีอีกหลายพื้นที่ที่ “เจ้าหน้าที่รัฐ” เข้าไปไม่ถึง ปล่อยให้ “ชาวบ้าน” ต้องเผชิญชะตากรรมด้วยตัวเอง และต้องเสี่ยงกับภัยอันตรายรอบด้าน
หากมองอย่างมีใจเป็นธรรมแล้ว ก็คงต้องโทษไปถึง “รัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” ด้วย เพราะไม่ได้มีการวางแผนในการแก้ปัญหาอย่างเป็นระบบ เป็นรูปธรรม การแจ้งเตือนก็ไม่สามารถทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ “ชาวบ้าน” ต้องเผชิญชะตากรรมที่ซ้ำๆ ซากๆ
จะเห็นว่า ผ่านมาประมาณ 8 สัปดาห์เศษของ “รัฐบาลยิ่งลักษณ์” ผลงานที่เด่นชัดกับเป็นเรื่องการเมือง ที่ชงแต่ละเรื่อง-แต่ละราวออกมา ก็ล้วนแล้วแต่เอื้อประโยชน์ให้ “นักโทษทักษิณ ชินวัตร” คนเดียว...เต็ม รวมถึงการเอื้อประโยชน์และให้รางวัลตอบแทนแก่ “พวกสู้แล้วรวย” แบบไม่มีเหนียมอาย
อันเป็นการสะท้อนภาพชัดเจนว่า การต่อสู้ข้างถนนในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ทำให้ “หลายคน...อู้ฟู่” ร่ำรวยกันเป็นแถวๆ จนถูกขนานนามว่า “ไพร่ร้อยล้าน”
โดยเฉพาะกับรายของ “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ที่ประกาศมาตลอดว่า คือ “ไพร่ตัวพ่อ” ที่ขอสู้กับ “อำมาตย์” ที่แสดงบัญชีทรัพย์สินว่ามี 20 กว่าล้าน-รถยนต์ 3 คัน แต่ ที่น่าสนใจคือ รถคันหนึ่งที่มีป้ายทะเบียน ฮธ 777 กทม. มีมูลค่า 3 ล้านบาท ซื้อไว้เมื่อวันที่ 4 มี.ค. 2553 ซึ่งเป็นช่วงที่คนเสื้อแดงเริ่มชุมนุมก่อนมีการเผาบ้านเผาเมือง
หรืออย่าง “จตุพร พรหมพันธุ์” สมัยก่อนใครๆ ก็รู้ว่า “ยากไร้...เพียงใด” โดยเฉพาะคู่ปรับอย่าง “วัชระ เพชรทอง” จากพรรคประชาธิปัตย์ จะรู้เรื่องดีที่สุด แต่วันนี้มีทรัพย์สิน 8 ล้านบาท-ไม่มีหนี้สิน แถมมีลูก 3 คนจาก 3 ภรรยา เรียกได้ว่า “มีเสน่ห์-มีอันจะกิน” ไม่แพ้ “พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน” อดีตประธานคมช. ที่เคยถูกคนเสื้อแดงโจมตีว่า “มีหลายเมีย” เพราะคราวนี้ “บิ๊กบัง” ก็ยื่นบัญชีทรัพย์สินไว้ว่ามีมากถึง 61 ล้าน
จะเห็นว่า ภาพแห่งการต่อสู้ของ “พวกข้างถนน” ไม่ว่าจะสีไหน-ก๊วนใด ความสำเร็จสุดท้ายก็คือ “ร่ำรวย” กันถ้วนหน้า แต่คนที่ต้องรับกรรมคือ “ประชาชนที่มีใจต่อสู้ด้วยใจจริง” เพราะคนเหล่านี้ถ้าต้องล้มตาย ก็เป็นได้แค่ “วีรบุรุษ-วีรสตรี” หรือถ้าบาดเจ็บ ก็ต้องอยู่คอยรักษาแผลใจไปเรื่อยๆ
มองไปมองมา...กลายเป็นว่า การต่อสู้ทางการเมืองในช่วงหลายปีที่ผ่านมา คือการ “ผลัดกันมีอำนาจ-ผลัดกันกอบโกยผลประโยชน์” และหากถึงจุดที่สามารถตกลง-พูดคุยกันได้ ก็จะ “ประสานผลประโยชน์ร่วม” เพื่อตัวเองและพวกพ้อง
ถือเป็นการตอกย้ำ “คนในระบอบอำมาตย์-ตัวแทนอำมาตย์” ได้เป็นอย่างดีว่า “โลกเปลี่ยนไปมากแล้ว” กรอบวิธีคิดเดิมๆ-แนวทางการต่อสู้เดิมๆ ควร “เลิกคิด” ไปได้แล้ว เพราะบทเรียนในยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์-รัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ เป็น “คำตอบในตัว” ว่า ทำไม “ระบอบทักษิณ” ถึงกลับมาเป็น “ผีดิบคืนชีพ” ได้อีก และคราวนี้เป็น “ผีดูดขุมทรัพย์” ที่ไม่กลัวอะไรอีกด้วย
อยากบอกชัดๆ อีกครั้งว่า การต่อสู้กับระบอบทักษิณในช่วงที่ผ่านมา มีคนทำงานจริงๆ ที่ทำด้วยใจบริสุทธิ์ ต้องเผชิญชะตากรรมมากมาย แต่ “คนที่มีศักยภาพบางคน” กลับไม่ให้การช่วยเหลือ ปล่อยให้เผชิญกับความลำบากในเรื่อง “คดีความ” ตามลำพัง อย่างนี้มันยุติธรรมแล้วหรือ???
เห็นแบบนี้แล้วมองเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากเตือน “ประชาชนคนไทย” ว่าไม่ควรไปหลงใหล ปลาบปลื้มกับสิ่งที่ถูก “ใครหลายคน” โฆษณาชวนเชื่อกันต่อไปเลย

คณะนิติราษฎร์..ผลไม้พิษของฮิตเล่อร์??

คณะนิติราษฎร์..ผลไม้พิษของฮิตเล่อร์??



โดย ดร. ทวีเกียรติ  มีนะกนิษฐ : มาช้าดีกว่าไม่มาเลย….ผมเคยกล่าวไว้ในบทความเรื่อง “หลักนิติรัฐกับคนเนรคุณ” มาแล้วว่า อาจารย์วรเจตน์เปรียบเสมือน “กาลิเลโอ” หลงยุค คือแสดงความเห็นที่ไม่เหมาะสมกับสถานการณ์แต่ก็สามารถสร้างชื่อเสียงให้กับ พวกของเขาให้เป็น “some body” ได้ในสังคม… ดีสุดขั้ว ชั่วสุดโต่ง… ดังพอกัน ใครอยู่ฝั่งไหน ตัดสินกันด้วยเส้นด้ายเท่านั้น
แถลงการณ์ของคณะนิติราษฎร์ออกมาในขณะที่คนทั้งหลายกำลังเริ่มจะปรองดอง กันแล้ว กลับถูกจุดประเด็นให้เห็นคลาดเคลื่อนหลงประเด็นและกลับเกิดแตกแยกกันขึ้นมา อีก กล่าวคือ
1.จากคำขึ้นต้นของแถลงการณ์ ฯ กล่าวว่า “รัฐประหาร 19 กันยายน 2549 เป็นการกระทำที่ผิดกฎหมายทำลายนิติรัฐ ประชาธิปไตย และยังเป็นต้นเหตุของปัญหาความขัดแย้งต่อเนื่องมาจนถึงปัจจุบันนี้…..”
ผมว่า ก่อน 19 กันยา กลุ่มนิติราษฎร์ ไปอยู่ที่ไหนกัน ถึงไม่รู้ว่า ความขัดแย้งมีมาก่อน 19 กันยายน 2549 และก่อน 14 ตุลาคม 2516 ด้วยซ้ำ และประเด็นที่ขัดแย้งทั้งหลายมีประเด็นเดียวเท่านั้น คือ คนในรัฐบาลที่ทุจริต หรือสงสัยว่าทุจริต หรือแม้พิสูจน์แล้วว่าทุจริต แต่ยังมีอำนาจลอยนวล ลอยหน้าอยู่ได้ โดยไม่มีใครสามารถนำพวกเหล่านั้นเข้าสู่กระบวนการยุติธรรมได้ คือไปไม่ถึงศาล โดยเหตุที่ ถูกแทรกแซงในทุกๆ ทาง
ฝ่ายบริหาร ตำรวจ อัยการ กกต.ถูกแทรกแซงตั้งแต่กระบวนการแต่งตั้ง ฝ่ายนิติบัญญัติทั้งหลายก็พึ่งไม่ได้ ลามปามไปถึงตุลาการเกือบทุกชั้นศาล ศาลรัฐธรรมนูญ ศาลปกครอง ศาลยุติธรรม  “ถุงขนม” ใหญ่บ้าง เล็กบ้าง ว่อนไปหมด คณะวรเจตน์ ไม่รับรู้ ไม่รับเห็นเลยหรือไร ?
1.ข้อเสนอของกลุ่มดังกล่าว ที่ว่า
“๑. ประกาศให้รัฐประหาร  19 กันยายน 2549…..
๒. ประกาศให้รัฐธรรมนูญ ……. เสียเปล่า ……
๓. ประกาศให้คำวินิจฉัยของตุลาการ รัฐธรรมนูญ คำวินิจฉัยของศาล …. และคำพิพากษาของศาลฎีกา …. เสียเปล่า…  และไม่เคยมีผลในทางกฎหมาย
๔. ประกาศให้เรื่องที่อยู่ในกระบวนการพิจารณา ….. เป็นอันยุติลง
๕. ประกาศความเสียเปล่าของบรรดาคำวินิจฉัยและคำพิพากษา….
๖. ….ให้นำข้อเสนอดังกล่าวข้างต้นไปจัดทำเป็นร่างรัฐธรรมนูญ ….”
ผมก็ผ่านก็เห็นการปฏิวัติมาหลายครั้ง ผมยังไม่เคยเห็นคณะปฏิวัติชุดไหนประกาศล้มล้างคำพิพากษาของศาล อย่าว่าแต่ศาลฎีกาเลย ศาลชั้นต้นก็ไม่เคย อย่างน้อยคณะปฏิวัติทุกคณะก็ยังคงเคารพคำพิพากษาของศาล
กลุ่มนิติราษฎร์ บังอาจเสียยิ่งกว่าคณะปฏิวัติเสียอีก !!
นอกจากนี้ ยังไม่รู้ว่าโดยกระบวนการทางกฎหมายที่ผู้ลงชื่อข้างท้าย(ซึ่งยังหนุ่มยังสาว กันทั้งนั้น)ได้เรียนมา และสอนอยู่น่ะ จะทำผ่านทางไหน ช่วยบอกนักศึกษาที่เป็นลูกศิษย์ลูกหาหรือกองเชียร์ของท่านที เดี๋ยวเขาจะสงสัยว่า พวกท่านเหล่านั้นจบมาจากไหนและนำหลักกฎหมายอะไรมาสอน รู้จริงหรือไม่ หรือจะเอาความคิดผิด ๆ ถูก ๆ ของพวกท่านมาครอบงำ เขา ?
3.  ประเด็นต่อมา เรื่องปอ.มาตรา 112  กลุ่มนี้ก็กล่าวว่า “….. มาตรา 112 มีปัญหาทั้งในแง่ตัวบทกฎหมาย การบังคับใช้  …. บุคคลที่เกี่ยวข้อง ไม่ควรปฏิเสธว่า … มาตรา 112 ไม่มีปัญหา ….  ทั้งที่ไม่มีการศึกษาและอภิปรายในวงกว้างอย่างจริงจัง” นั้น ผมว่า มีก็แต่ 5 – 6  คนที่ลงชื่อข้างท้ายนี่แหละที่ไม่ได้ศึกษา ปอ.มาตรา 112 อย่างจริงจัง  คนอื่นเขารู้ดีกันแล้วทั้งนั้น
ก็พวกท่านจะมีความรู้เรื่องได้อย่างไรเล่า เวลาพวกท่านจัดอภิปรายเรื่อง มาตรา 112 ไม่เคยเชิญเอานักกฎหมายอาญาที่เขารู้จริง (เช่นผมเองเป็นต้น !!)มาบรรยายให้ความรู้แก่พวกท่านกันเลย ทั้ง ๆ ที่อยู่คณะเดียวกัน (แต่ไม่ใช่คณะนิติราษฎร์)
อีกประการหนึ่ง กฎหมายที่ไม่เป็นธรรมก็ตั้งมากมาย เช่นหญิงข่มขืนชาย มีโทษที่หนักหนาสาหัส น่าจะแก้ไขมากกว่าตั้งเยอะ กลับไม่สนใจ!!
ในทางจิตวิทยาของอาชญากร นั้น คนที่ต้องการยกเลิกกฎหมายใด แสดงว่าเขาอยากทำผิดกฎหมายนั้น เช่น คนที่ต้องการยกเลิกกฎหมายฆ่าคน แสดงว่า เขาอยากฆ่าคนโดยไม่มีกฎหมายห้าม
คนที่อยากได้ทรัพย์บุคคลอื่น ก็คงต้องการให้ยกเลิกกฎหมายลักทรัพย์
ผมเองยังอยกให้ยกเลิกกฎหมาย “ข่มขืนกระทำชำเรา” เลย !!!
อย่างไรก็ตาม กฎหมายถึงจะมีโทษแรงแค่ไหน
ผู้ที่ไม่คิดจะทำผิดกฎหมาย ย่อมไม่เดือดร้อน
พวกท่านทั้ง 7 เดือดร้อนมากใช่ไหม ?
มาตรา 112  เป็นเรื่องของการใช้ถ้อยคำ แสดงว่าคนที่ขอให้ยกเลิก อยากใช้คำหยาบ จาบจ้วง จริง ๆ ผมแนะให้ว่า ถ้าคันปากอยากด่านักใคร แต่กลัวผิดกฎหมาย ก็ให้ด่าคนที่อยู่ในบ้านของกลุ่มนิติราษฎร์นั่นแหละ ด่าเข้าไปเถอะ กฎหมายไม่เอาโทษ เพราะคนที่อยู่นอกบ้านของคุณไม่มีใครเขานับถือคนในบ้านของพวกคุณ
หากด่าตัวเองได้ยิ่งดีใหญ่ ไม่ผิดกฎหมาย
และจะให้ผมช่วยด่าหรือช่วยคิดหาคำด่าให้ก็ยินดี
4.  กลุ่มนิติราษฎร์ แนะให้เริ่มดำเนินคดีกับบุคคลที่ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดไปแล้วใหม่ ตามกระบวนการกฎหมายตามปกตินั้น ขัดชัดแจ้งกับหลัก double jeopardy ถ้าไม่รู้ว่าหลักนี้ว่าอย่างไร ก็ไม่คู่ควรที่จะสอนนักศึกษากฎหมายในธรรมศาสตร์
อย่างไรก็ตามบุคคลที่มีชื่อท้ายแถลงการณ์ดังกล่าว น่าจะรู้อยู่แก่ใจแล้วว่า ก่อนปฏิวัติ 19 กันยายน 2549  “กระบวนการทางกฎหมายตามปกติ” สามารถจัดการกับผู้ต้องสงสัยว่ากระทำความผิดนั้น ๆ ได้หรือไม่ เพราะมีการแทรกแซง “กระบวนการทางกฎหมายตามปกติ” จนกระบวนการเหล่านั้นทำงานไม่ได้
ขนาดปฏิวัติก็แล้ว ศาลฎีกาตัดสินถึงที่สุดก็แล้ว ยังดำเนินการอะไรไม่ได้เลย (ต้องอ่าน คำสัมภาษณ์ของอาจารย์ไชยันต์ ไชยพร คณะรัฐศาสตร์ จุฬาฯ)  ท่าน “กาลิเลโอ” ช่วยออกแถลงการณ์ให้ผู้เกี่ยวข้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายตามปกติให้ด้วย เถิด ก่อนที่เขาเหล่านั้นจะสร้าง “กรรมใหม่” ให้กับประเทศชาติซ้ำขึ้นอีก
5.  กลุ่มบุคคลทั้ง 7  ที่ลงชื่อท้ายแถลงการณ์ ขอให้ทุกอย่างโมฆะ ทุกคนกลับสู่ฐานะเดิม โดยที่ตนไม่รู้เลยหรือว่า แทบทุกคนเขากลับสู่ฐานะเดิมกันเกือบหมดแล้ว
รัฐบาล “พรรคไทยรักไทย เดิม” ก็ได้ เป็นเสียงข้างมากจัดตั้งรัฐบาล
สภาสูง สภาล่าง ก็ได้ คนของเขาส่วนใหญ่เข้าไป
พรรคประชาธิปัตย์  ก็กลับ เป็นฝ่ายค้าน เหมือนเดิม
อีกไม่กี่เดือน บ้านเลขที่ 111 ก็กลับมาแล้ว โดยไม่ต้องทำอะไรเพิ่ม
แถมยังมีตัวช่วย “ระดับไพร่” ที่กลายเป็น “อำมาตย์” เพิ่มเป็นอันมาก ไม่มีใครเขาอยากย้อนหลังกลับไปหรอก ก็ในเมื่อคนอื่นเขาเกือบจะคืนสู่ฐานะเดิมกันเกือบหมดแล้ว
เหลือคนสำคัญจริง ๆ อีกคนเดียวเท่านั้น ที่ยังต้องรออีก 6 ปี (จึงจะขาดอายุความ) การออกแถลงการณ์คืนฐานะเดิม จึงคิดเป็นอื่นไม่ได้ นอกจากเพื่อคนคนนั้นเพียงคนเดียว
อนึ่ง การจะคืน Passport ให้แก่ท่านอดีตนายก ทักษิณ ก็เช่นกัน ไม่ต้องใช้ความคิดระดับ รมต.ต่างประเทศ หรอก แค่ passport ธรรมดา ๆ เนี่ย กระทรวงการต่างประเทศจะออกให้คนไทย ใครก็ตามที่ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก ได้หรือไม่ ถ้าออกให้ได้ก็ไม่มีอะไรห้ามไม่ให้ออก passport ให้ท่านอดีตนายกหรอกไม่ว่าจะเป็นสีแดงหรือสีใดก็ตาม
6.  การอ้าง “ประชามติ” หรือ “ประชาชน” ผู้มีอำนาจสูงสุดว่า จะทำอะไรก็ได้ แสดงถึงความคิดที่ขัดต่อหลัก Rule of Law อย่างชัดแจ้ง(อีกแล้วครับท่าน) เรียกว่า “สะดุดขาตัวเอง” หลักนิติรัฐ ต้อง Rule by Law ไม่ใช่ Rule by Numbers
ดังนั้น ต่อให้มีประชามติสัก 10 ล้านคนที่ไม่ชอบด้วย Rule of Law แล้ว ก็ลบล้างคำพิพากษาที่ถึงที่สุดแล้วของผู้พิพากษาเพียง 2-3 ท่านไม่ได้ (ต้องอ่านบทความของอาจารย์กิตติศักดิ์ ปกติ) ความเห็นของท่านเจ็ดเซียนจึงกลับแสดงว่า
แท้จริงหลักที่ท่านเคารพคือให้ “กฎหมู่อยู่หนือกฎหมาย” นั่นเอง(ช่างสอดประสานกับเหตุการณืที่ผ่านมาเสียจริง จนทำให้พวกท่านอยากย้อนเวลากลับไป … ใช่ไหมล่ะ )
ทำนองเดียวกันกับ การขออภัยโทษ ตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 259 กฎหมายวางเงื่อนไขให้คนกลุ่มเดียวเป็นผู้ร้องขอ ถ้าไม่ใช่คนกลุ่มนี้ ต่อให้มี 10 ล้านเสียง ก็ไม่เข้าเงื่อนไข อภัยให้ไม่ได้
ขนาด เจ้าตัว หรือ พ่อ แม่ ลูก เมีย เขายังไม่ขอ แล้ว 2 -3 ล้าน คน เป็นใคร  ทำไมถึงไปขอแทนเขา(น่าจะปรับตนให้เข้ากับกฎหมาย ไม่ใช่ใช้จำนวน 2-3 ล้านคนมาปล้นหลักกฎหมาย)
7.  บทความของ ปิยบุตร  แสงกนกกุล ผมอ่านแล้วเหมือนกับคนที่เรียนไม่ได้เรียนอะไรจริงจังแต่อ้างว่าอาจารย์ที่ ปรึกษาไม่ได้เรื่อง ฉันเก่งกว่า แน่กว่า รู้ดีกว่า ปิยบุตรอ้างเรื่องของรัฐบาล Pétain ที่ Vichy ในบทความนั้นเขาสารภาพออกมาเองว่า “รัฐสภาได้ตรารัฐบัญญัติ มอบอำนาจทุกประการให้แก่รัฐบาลแห่งสาธารณรัฐ ภายใต้อำนาจของนายพล Pétain…”
ขณะที่ ท่าน “กาลิเลโอ” ของผม ก็รู้ดีว่า ท่าน Hitler ก็ได้อำนาจมาตามระบบการเลือกตั้งที่ชอบด้วยกฎหมาย ผ่านรัฐสภาที่เลือกตั้งโดยประชาชน ซึ่งก็ได้มอบอำนาจเด็ดขาดให้กับเขา ถูกต้องตรงตามหลัก “นิติรัฐ” (ตามตัวอักษร) ที่ท่านทั้งสองบูชาอย่างลืมหูลืมตาไม่ขึ้น
ปิยบุตร กับ “กาลิเลโอ” ของผม คงยกตัวอย่างนี้โดยลืมไปกระมังว่า ทั้ง Pétain และ Hitler ล้วนได้อำนาจมา “โดยชอบด้วยกฎหมาย” ทุกประการ แต่กลับทำการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ ซึ่งผู้ร่วมลงนามอีก 5 คน ที่แฝงกายในธรรมศาสตร์ (ที่ใช้ว่า “แฝงกาย” เพราะไม่ค่อยได้เห็นหลายคนมาทำงานให้คณะสักเท่าไหร่) ประกาศสนับสนุนอย่างหัวปักหัวปำในขณะนี้
หากฉุกคิดเสียหน่อยก็จะพบว่ารัฐบาลเลือกตั้งโดยชอบของไทยก่อนเกิดรัฐ ประหาร 19 กันยา มีข่าวการ “ฆ่าตัดตอน” (ซึ่งพอหมดรัฐบาลชุดนั้น การ “การฆ่าตัดตอน”ก็หมดลง)
ขณะที่ นายพล George Washington ได้อำนาจมาจากการปฏิวัติ ล้มอำนาจการปกครองของอังกฤษ สร้างชาติบ้านเมืองของตนจนรุ่งเรือง สาระสำคัญของประชาธิปไตยจึงมิใช่อยู่ที่รัฐประหารหรือการเลือกตั้งตามกฎหมาย มิใช่หรือ ?
ผู้ที่ยกเรื่องของ Hitler และ Pétain มานี้จึงอาจเปรียบได้ว่า คนหนึ่งเรียนจบแต่ทางโลก แต่ไม่เจนจบทางธรรมะและวัฒนธรรม ส่วนอีกคนหนึ่งนั้น ทางโลกยังไม่(เจน)จบ แต่เข้าใจว่า ตนบรรลุธรรมแล้ว
ปัญหาคับข้องใจจึงตกแก่เรา ชาวคณะนิติศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ แต่เราก็ต้องเมตตาให้ที่คนเหล่านี้แอบแฝงอยู่ … ด้วยเห็นว่าถ้าไม่มีเรา เขาก็จะไม่มีที่ยืน
สรุป
การที่กลุ่มผู้ออกแถลงการณ์ทั้ง  7  กล่าวว่า ผลพวงของการปฏิวัติ 19 กันยา เปรียบเสมือนผลไม้จากต้นไม้ที่เป็นพิษ (Fruit of the Poisonous Tree) นั้น ก็น่าคิดเหมือนกันว่า อยู่ ๆ “ต้นไม้พิษ” เกิดขึ้นมาได้อย่างไร และผลไม้ที่เกิดจากต้นไม้พิษจะเติบโตเป็นต้นไม้ที่ดีไม่ได้เลยเชียวหรือ
ในทางกลับกัน … ผู้ที่ลงชื่อท้ายแถลงการณ์ก็คงได้เกิด ได้กิน ได้อยู่ ได้เรียน ผ่านทั้ง รัฐบาลเลือกตั้ง และรัฐบาลปฏิวัติ รัฐประหาร ได้ทุนหลวง ทุนรัฐบาล เอาเวลาราชการไปใช้ ให้เพื่อนร่วมคณะแบกรับภาระงานไว้ มีโอกาสมากกว่าคนไทยอีกหลายสิบล้านที่ก็ร่วมแบกภาระให้ท่านเหมือนกัน โดยหวังจะให้ท่านทำชาติให้น่าชื่นใจ แต่สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้บางทีอาจมีส่วนทำให้ท่านเหล่านั้น กลับกลายเป็นต้นไม้พิษ(Poisonous Tree) พร้อมที่จะผลิตผลไม้ที่มีพิษ จนแพร่หลายต่อไปในภายภาคหน้าก็ได้…
แต่คงไม่น่า!!!..(.หรือก็ไม่แน่…..หรอกนะ)
กาลิโอ…แล้วพบกันใหม่ แต่ผมจะไม่ใช่คนเริ่มต้นแน่

ข่าวโดย : สายใยไทยทั้งเมือง

เทศกาลตอบแทนรางวัล คืนกำไรกลับสู่ครอบครัว ตั้งพี่อ้อนั่งบอร์ดบินไทย ระหว่างคอยเป็นผบ.ตร.!




เทศกาล ตอบแทน "ครอบครัวตัวเอง" ตั้ง "พี่ชายอ้อ" นั่งบอร์ดบินไทย ร่วมกับ "สุพจน์-สุปรีชา-ประดิษฐ์" ระหว่างรอการตั้งเป็น "ผบ.ตร." อย่างเป็นทางการ เพราะต้องรอให้ "วิเชียร" ไปนั่งเก้าอี้เลขาสมช.ก่อน ด้าน "เฉลิม" นัด "ก.ตร." พิจาราณาหลักเกณฑ์การแต่งตั้ง พร้อมถกข้อก.ม.ได้ 5 ก.ย.นี้
วันที่ 3 ต.ค. 2554 นายอำพน กิตติอำพน ประธานกรรมการบริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวภายหลังประชุมกรรมการบริษัทฯนัดพิเศษว่า ที่ประชุมเห็นชอบผลการสรรหาและแต่งตั้งกรรมการใหม่ 4 คน เพื่อแทนกรรมการที่ลาออก โดยให้มีผลตั้งแต่วันที่ 12 ต.ค.เป็นต้นไป ประกอบด้วย

1.นายสุพจน์ ทรัพย์ล้อม แทนนายสุรชัย ธารสิทธิ์พงษ์
2.พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ แทนนายสถิตย์ ลิ่มพงศ์พันธุ์
3.พล.อ.อ.ม.ล.สุปรีชา กมลาศน์ แทนนายชัยศักดิ์ อังค์สุวรรณ
4.นายประดิษฐ์ สินธวณรงค์ แทนนายบรรยง พงษ์พานิช

ทั้ง นี้ กรรมการใหม่จะเริ่มประชุมกรรมการบริษัทฯ นัดแรกในวันที่ 14 ต.ค.นี้ ซึ่งจะมีวาระเรื่องการซื้อหุ้นสายการบินนกแอร์ จากธนาคารกรุงไทย จำกัด (มหาชน) ในสัดส่วน 10% ส่งผลให้การบินไทยมีสัดส่วนเพิ่มขึ้นเป็น 49% โดยที่ผ่านมาธนาคารกรุงไทยแจ้งขายหุ้นสายการบินนกแอร์ให้กับการบินไทย แต่การบินไทยจะต้องพิจารณาก่อนว่าจะซื้อหุ้นหรือไม่ และราคาเท่าใด ก่อนหน้านี้มีการเสนอซื้อขายหุ้นในราคาที่หลากหลาย เช่น ธนาคารกรุงไทยเสนอขายราคาหุ้นละ 40 บาท การบินไทยเสนอซื้อหุ้นละ 28-29 และ 33 บาท

วันเดียวกัน ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ ที่ปรึกษา(สบ10) ในฐานะเลขานุการคณะกรรมการนโยบายตำรวจแห่งชาติ (ก.ต.ช.) กล่าวว่า ขณะนี้น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ในฐานะประธาน ก.ต.ช.ยังไม่ได้นัดหมายเพื่อประชุม ก.ต.ช. เพื่อแต่งตั้ง "ผบ.ตร." แต่อย่างใด ทั้งนี้ การแต่งตั้ง "ผบ.ตร.คนใหม่" จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อ ตำแหน่ง "ผบ.ตร." ว่างลงเสียก่อน ทั้งนี้หากมีการเสนอชื่อพล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธ์ศรี ผบ.ตร.ไปเป็น "เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ" เข้าสู่การพิจารณาของคณะรัฐมนตรี ในวันที่ 4 ต.ค.นี้ ตามที่เป็นข่าวจริง ก็อยู่ที่นายกรัฐมนตรีว่าจะนัดประชุม ก.ต.ช.เมื่อใด ทั้งนี้ตามระเบียบต้องนัดหมายล่วงหน้า 3 วัน

สำหรับหลักเกณฑ์การ เลือกผบ.ตร.นั้น ตามพ.ร.บ.ตำรวจแห่งชาติ พ.ศ.2547 ระบุว่าการแต่งตั้งข้าราชการตำรวจให้ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ให้นายกรัฐมนตรีคัดเลือกรายชื่อข้าราชการตำรวจยศ "พล.ต.อ." แล้วเสนอ ก.ต.ช. เพื่อพิจารณาให้ความเห็นชอบก่อน แล้วให้นายกรัฐมนตรีนำความกราบบังคมทูลเพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯแต่งตั้ง โดยไม่มีการระบุว่าต้องมีอายุราชการเหลือเท่าไหร่

ด้านพล.ต.ท.วิบูล ปรองดอง ผบช.ก.ตร. กล่าวว่า ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี จะเดินทางมาเป็นการประชุมก.ตร.นัดพิเศษในวันพุธที่ 5 ต.ค.นี้ เวลา 16.00 น. โดยมีวาระพิจารณาหลักเกณฑ์การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการตำรวจ ประจำปี 2554 ซึ่งเป็นหลักเกณฑ์ทั่วไป นอกจากนั้นจะมีการพิจารณาเรื่องที่ต่อเนื่องจากการประชุมครั้งที่ผ่านมา ซึ่งเป็นเรื่องข้อถกเถียงประเด็นข้อกฏหมายที่มีก.ตร.ผู้ทรงคุณวุฒิบางท่าน เห็นว่ารองผบ.ตร.ที่เป็นก.ตร.โดยตำแหน่งนั่งเป็นกอร์ดกลั่นกรองโผแล้ว ไม่มีสิทธิ์โหวตต่อในที่ประชุมก.ตร.ใหญ่ได้

พล.ต.ท.วิบูลย์ กล่าวต่อว่า เรื่องนี้เป็นข้อถกเถียงในข้อกฎหมายที่เห็นไม่ตรงกันไม่ได้เป็นความขัดแย้ง ในก.ตร. การประชุมก.ตร.ในวันที่ 5 ต.ค.นี้จะต้องพยายามหาข้อยุติในเรื่องนี้ ซึ่งโดยส่วนตัวเชื่อว่าจะได้ข้อสรุป เพราะก.ตร.ทุกท่านเป็นผู้มีความรู้ในด้านกฎหมาย
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง