บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 7 มิถุนายน พ.ศ. 2554

พรบ.การเลือกตั้ง พศ.2550

พรบ.การเลือกตั้ง พศ.2550
·
ดร.ไก่ Tanond มาตรา ๖๗
    • การ ลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ทำเครื่องหมายกากบาทลงในช่องทำเครื่องหมาย ของหมายเลขผู้สมัคร หรือพรรคการเมืองในบัตรเลือกตั้ง และในกรณีที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งไม่ประสงค์ จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายกากบาทในช่องทำเครื่องหมายไม่ประสงค์ลง คะแนนเลือกตั้งในบัตรเลือกตั้ง
      22 นาทีที่แล้ว · ถูกใจ · 1 คน

    • ดร.ไก่ Tanond มาตรา ๘๒
      ให้มีการนับจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งทำเครื่องหมายไม่ประสงค์ จะลงคะแนนเลือกตั้ง และให้ประกาศจำนวนบัตรดังกล่าวด้วย
      18 นาทีที่แล้ว · ถูกใจ · 1 คน

    • ดร.ไก่ Tanondมาตรา ๘๔
      เมื่อการนับคะแนน ณ ที่เลือกตั้งเสร็จสิ้นแล้ว ให้คณะกรรมการประจำหน่วย
      เลือก ตั้งประกาศผลการนับคะแนนของหน่วยเลือกตั้งนั้น จำนวนบัตรเลือกตั้งที่มีอยู่ทั้งหมด จำนวนบัตรเลือกตั้งที่ใช้ และจำนวนบัตรเลือกตั้งที่เหลือจากการลงคะแนนเลือกตั้ง ทั้งนี้ ให้กระทำโดยเปิดเผย และรายงานผลการนับคะแนนต่อคณะกรรมการการเลือกตั้งประจำเขตเลือกตั้งโดยเร็ว

      เมื่อ คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งดำเนินการประกาศผลการนับคะแนนเลือกตั้งแล้ว ให้คณะกรรมการประจำหน่วยเลือกตั้งเก็บเอกสารและสิ่งของต่าง ๆ ดังต่อไปนี้ใส่ในหีบบัตรเลื
      อกตั้ง แต่ละประเภทการเลือกตั้ง
      (๑) บัตรเลือกตั้งที่นับเป็นคะแนนแล้ว บัตรที่มีการทำเครื่องหมายลงในช่องไม่ประสงค์
      จะลงคะแนนเลือกตั้ง และบัตรเสีย โดยแยกแต่ละประเภทบรรจุในถุ
      งวัสดุใส
      (๒) แบบกรอกคะแนนที่ได้ใช้ในการ
      กรอกคะแนนทั้งหมด
      (๓) รายงานผลการนับคะแนน
      (๔) ประกาศผลการนับคะแนน
      16 นาทีที่แล้ว · ถูกใจ

    • ดร.ไก่ Tanond มาตรา ๘๘
      ใน เขตเลือกตั้งใด ถ้าในวันเลือกตั้งมีผู้สมัครแบบแบ่งเขตเลือกตั้งเท่ากับหรือ น้อยกว่าจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่จะพึงมีในเขตเลือกตั้งนั้น ผู้สมัครจะได้รับเลือกตั้งต่อเมื่อได้รับคะแนนเลือกตั้งไม่น้อยกว่าร้อยละ ยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น และมากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ในกรณีที่ผู้สมัครผู้ใดได้รับคะแนนเลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวน ผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้งนั้น หรือไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนน ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่

      โดย ให้รับสมัครรับเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรแบบแบ่งเขตเลือกตั้งใหม่เฉพาะ ตำแหน่งที่ได้รับคะแนนน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้ง หรือไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์ลงคะแนนเลือกตั้ง และให้นำความในมาตรา ๙ มาใช้บังคับ
      11 นาทีที่แล้ว · ถูกใจ

    • ดร.ไก่ Tanond
      ‎(มาตรา๘๘ต่อ)..ในการเลือกตั้งใหม่ตามวรรคหนึ่ง
      ถ้า มีจำนวนผู้สมัครเท่ากับหรือน้อยกว่าจำนวนตำแหน่งที่ต้องเลือกตั้งใหม่ ให้นำความในวรรคหนึ่งมาใช้บังคับโดยอนุโลม และถ้ามีผู้สมัครผู้ใดได้คะแนน เลือกตั้งน้อยกว่าร้อยละยี่สิบของจำนวนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตเลือกตั้ง นั้นอีกหรือ ได้ไม่มากกว่าจำนวนบัตรเลือกตั้งที่ไม่ประสงค์จะลงคะแนนเลือกตั้ง ให้คณะกรรมการการเลือกตั้งประกาศให้มีการเลือกตั้งใหม่ โดยดำเนินการตามวรรคหนึ่งอีกครั้งหนึ่ง
      9 นาทีที่แล้ว · ถูกใจ

    • ดร.ไก่ Tanond ที่นี่รู้กันหรือยังครับ ว่ารัฐบาลทำไม? ถึงต้องไปเปลี่ยนไปแก้กฎหมายเลือก ตั้ง เพื่อหนีพรบเลือกตั้ง ฉบับนี้ โหวตโนนี่ก็คือ 1 เหตุผลสำคัญ ส่วนสัดส่วนส.ส. 375 -125 มันเป็นเพียงแค่ข้ออ้าง เฮ้อ..การเมืองเอ้ยมรึง!!!
    • แก้กฎหมาย เสร็จสมอารมณ์หมาย ก็ยุบสภา เดินหน้าหาเสียงหน้าใหม่ตาเฉย! กฏกติตาของโหวตโน มีอยู่อย่างเต็มที่ พวกมรึงก็เถไปแก้กฎหมาย เพื่อตัวพวกมรึงเองอีก มรึงไม่เคยเห็นหัวประัชาชนจริงเลยนะ ตามาร์คก็เลวพอกีนไม่แพ้ใคร เชิญเลือกไปกันเถอะ ผมไม่เอาแล้วพวกสัตว์สภา

ป้ายโดยคุณภัทยา
ก็บอกแล้วว่าเลือกตั้งครั้งนี้ มันไม่มีตัวให้เลือก! หรือ ยังจะเลือกสองตัวนี้ก็เชิญตามสบายนะแม่สายบัวเอ้ย...

รายงาน: ประชันกึ๋นดับไฟใต้ นโยบาย6พรรคในเวทีกระจายอำนาจ


ในช่วงก่อนการเลือกตั้ง หลายองค์กรพยายามจัดเวทีให้นักการเมืองแต่ละพรรคมาแสดงวิสัยทัศน์และแนวนโยบายต่างๆ ให้ประชาชนได้ทราบ
ในเวทีสาธารณะ เรื่อง"ไฟใต้ดับได้ด้วยการกระจายอำนาจ" ก็เป็นเวทีหนึ่งที่สำนักสันติวิธีและธรรมาภิบาล สถาบันพระปกเกล้า จัดขึ้นร่วมกับองค์กร เมื่อที่ 4 มิถุนายน 2554 ที่ผ่านมาที่หอประชุมเล็ก มหาวิทยาลัยราชภัฏยะลา ก็ได้เชิญตัวแทนพรรคการเมืองต่างๆ มาแสดงวิสัยทัศน์ในการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้ด้วย โดยเฉพาะในเรื่องการกระจายอำนาจ
ครั้งนี้มีตัวแทน 6 พรรคการเมืองที่ลงสมัครเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.)ในพื้นที่ จังหวัดชายแดนภาคใต้ มีผศ.จิระพันธ์ เดมะ คณบดีคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยอิสลามยะลา เป็นผู้ดำเนินรายการ ตัวแทนทั้ง 6 พรรค
แต่ละพรรคมีแนวนโยบายอย่างไร มีเนื้อสรุปได้ดังนี้
นายมูฮำมัดซูลฮัน ลามะทา พรรคชาติไทยพัฒนา
พรรคชาติไทยพัฒนาจะตั้งศูนย์บริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ครบ วงจร รูปแบบคล้ายรัฐบาลส่วนหน้าที่มาตั้งในจังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ผ่านมาพรรคสนับสนุนการออกพระราชบัญญัติการบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาค ใต้ หรือ พ.ร.บ.ศอ.บต. พรรคจึงพยายามนำเสนอนโยบายที่ทำได้ใน 4 ปี ไม่อยากเสนอโมเดล(รูปแบบ) ที่ทำไม่ได้ใน 4 ปีหลังจากเลือกตั้ง
ความแตกต่างของบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ครบวงจรกับศอ.บต.(ศูนย์ อำนวยการบริหารจังหวัดชายแดนภาคใต้) คือ ศอ.บต.มีงบประมาณของตัวเอง กระทรวงต่างๆก็มีงบประมาณของตัวเอง ต่างก็วางงบประมาณของตัวเอง ไม่มีความเป็นเอกภาพ สิ่งที่พรรคเสนอคือการวางงบประมาณตรงนี้ และมีอำนาจเบ็ดเสร็จในการตัดสินใจ
ถามว่าการกระจายอำนาจอยู่ตรงไหน ก็อยู่ที่การมีส่วนร่วมของประชาชน และของทุกภาคส่วน มีอำนาจจริงๆในการวางกรอบงบประมาณ แม้ศอ.บต.มีสภาที่ปรึกษาในการวางกรอบงบประมาณ แต่ก็เฉพาะงบประมาณของศอ.บต. และศอ.บต.ก็ไม่สามารถไปควบคุมงบประมาณกระทรวงอื่นได้ แต่ศูนย์บริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ครบวงจรมีอำนาจเบ็ดเสร็จมากขึ้น
เป็นการยกระดับศอ.บต.ขึ้นมาเป็นศูนย์บริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ครบ วงจร ซึ่งทำได้แน่นอนในระยะเวลา 4 ปี โครงสร้างคือ มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน โดยอาจมอบหมายให้รองนายกรัฐมนตรีรับผิดชอบ
นายถาวร เสนเนียม พรรคประชาธิปัตย์
หลายเวทีที่มีนักการเมืองและนักวิชาการเรียกร้อง ให้มีการปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษ โดยรวม 3 จังหวัด คือ ปัตตานี ยะลา นราธิวาสและ 4 อำเภอของสงขลา เป็นปัตตานีมหานครเป็นองค์กรปกครองท้องถิ่นใหญ่ จะมีรูปแบบอย่างไร ดูในเรื่องพื้นที่ก่อน คือ มีพื้นที่รวม 11,000 ตารางกิโลเมตรเศษ เทียบกับกรุงเทพมหานครที่มีพื้นที่ 1,500 ตารางกิโลเมตร ต่างกันมาก ประชาชนใน 3 จังหวัด มี 1.8 ล้านคน กรุงเทพมหานครมีเกือบ 6 ล้านคน 3 จังหวัดมี 32 อำเภอ กรุงเทพมหานครมี 50 เขต รูปแบบที่แต่ละคนเสนอยังไม่มีรายละเอียดที่พอจะวิพากษ์วิจารณ์ได้ว่าดีหรือ ไม่ดีอย่างไร
พรรคประชาธิปัตย์ก็กระจายอำนาจ หนึ่งคือ มีอบจง อบต. เทศบาล มี 200 กว่าภารกิจ ที่ส่งมอบให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะเห็นได้ว่า ในท้องถิ่นมีพี่น้องมุสลิมเป็นผู้นำอยู่ ในเขตเทศบาลก็มีพี่น้องไทยเชื้อสายจีนเป็นผู้นำ ผมคิดว่าการกระจายอำนาจแบบนี้น่า จะใช้ได้ แต่ถ้าองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นของให้กระจายอำนาจเพิ่มอีกเป็น 300 ภารกิจ ถ้าพรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่น่าจะยาก ยินดีที่จะเพิ่มภารกิจให้
อย่างเช่น เรื่องการศึกษาท้องถิ่น อยากให้มีโรงเรียนสองภาษา คือ ภาษามลายูถิ่นหรือภาษายาวีควบคู่กับภาษาไทย อันนี้ทำแล้วและตั้งใจจะเพิ่มทุกพื้นที่ สอง หลักสูตรที่ท้องถิ่นต้องการคือวิถีชีวิตมุสลิม อันนี้ได้ สาม ในพ.ร.บ.ศอ.บต.ได้เขียนให้มีการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ อยากได้เขตเศรษฐกิจที่ไร้แอลกอฮอล์ ปลอดอบายมุข ให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตมุสลิมก็ทำได้ หรือเขตเศรษฐกิจพิเศษ อุตสาหกรรมอาหารฮาลาล
ยังมีเรื่องที่กระจายอำนาจได้อีก คือ ตอนนี้หลายคนต้องการให้มีศาลชารีอะห์จากหลักนิติธรรมทั่วไป ในเรื่องครอบครัวและมรดก ตอนนี้นายกรัฐมนตรีอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะได้ลงนามในร่าง พ.ร.บ.จัดตั้งศาลชารีอะห์แล้ว ค้างอยู่ในสภาแล้ว สาระสำคัญคือ พี่น้องที่เป็นมุสลิมสมัครใจที่จะใช้กระบวนการยุติธรรมที่ศาลชารีอะห์เมื่อ มีข้อพิพาทในเรื่องครอบครัวและมรดก จะมีแผนกศาลชารีอะห์อยู่ทั่วประเทศ วิธีพิจารณาความก็ต้องตามหลักศาสนาอิสลามและผู้พิพากษาก็ต้องเรียนจบหลัก สูตรกฎหมายอิสลาม
ถามว่า ศอ.บต.กระจายอำนาจการปกครองและการบริหารงบประมาณมาหรือยัง กฎหมายเขียนไว้อีกว่า ให้คณะกรรมการรัฐมนตรีภาคใต้ มี 34 คน มีรัฐมนตรีที่เกี่ยวข้องกับการพัฒนา มีตัวแทนประชาชนอีก 5 คน
เรื่องที่อำนาจส่วนกลางเปิดโอกาสให้นายอำเภอกำกับดูแลการจัดทำงบประมาณ ของ อบต. และผู้ว่าราชการมากำกับดูแลการจัดทำงบประมาณของอบจ.เป็นเรื่องปลีกย่อย สามารถแก้ไขกฎหมายได้ โดยให้สภาที่ปรึกษาการบริหารและการพัฒนาจังหวัดชายแดนภาคใต้ ของศอ.บต. จำนวน 49 คน เสนอแก้ไขได้ เพราะในกฎหมายฉบับนี้ บอกว่า การจัดทำนโยบายของจังหวัดชายแดนภาคใต้นั้น ต้องให้สอดคล้องกับวิถีชีวิตของประชาชน ศาสนา วัฒนธรรม อัตลักษณ์ ชาติพันธ์ ประติศาสตร์และสอดคล้องกับแนวนโยบายพื้นฐานแห่งรัฐ
ถ้าจะหยิบเอากฎหมาย องค์กรและโครงสร้างที่สามารถดำเนินการได้เลยทันที ไม่ต้องออกกฎหมายใหม่ ตั้งมหานครปัตตานี ไม่ต้องจัดตั้งทบวงซึ่งต้องใช้เวลาจัดตั้งร่วม 2 ปี ใช้อันนี้ไปก่อน ถ้าใช้แล้วเห็นว่าไม่ดี ก็ค่อยๆวิวัฒนาการได้
ข้อสังเกต คือ การจัดการในรูปแบบการกระจายอำนาจ ต้องใช้งบประมาณเป็นมหาศาล ตัวอย่างเช่น ถ้าจะมีการเลือกตั้งในมหานครปัตตานี จะหาเสียงกันอย่างไร ต้องมีการลงทุนที่สูง ยกเว้นถ้าไม่มีการซื้อเสียง การติดต่อราชการกับสำนักงานมหานครปัตตานี ชาวบ้านจะทำอย่างไร เพราะมีสภาหลายชั้น ชาวบ้านที่อยู่ไกล จะเดินทางมาอย่างไร
นายอีรฟาน สุหลง พรรคเพื่อไทย
ประเด็นการกระจายอำนาจ ได้มีการพูดถึงในนโยบายการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้โดยการนำของ นายบุรฮานุดิง อุเซ็ง สมาชิกพรรคเพื่อไทย นโยบาย คือ การเพิ่มงบประมาณให้องค์กรส่วนท้องถิ่น 25 เปอร์เซ็นต์จากงบประมาณแผ่นดิน
เพราะวันนี้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นหลายแห่งงบหายไป อย่างเช่นองค์การบริหารส่วนจังหวัดยะลา เมื่อปีที่แล้ว งบประมาณหายไป 35 ล้านบาท เพราะตัวเงินไม่มีมีแต่ตัวเลขงบประมาณ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยจึงมีนโยบายที่จะเพิ่มงบประมาณให้องค์กรปกครองส่วนท้อง ถิ่นให้ได้ 25 %
นโยบายของพรรคเพื่อไทยมีทั้งหมด 36 นโยบายหลัก ในส่วนประเด็นนโยบายมหานครปัตตานีนั้น แม้จะยาก แต่เราจะพยายามทำ โดยรวม 3 จังหวัด เป็นนครปัตตานี โดยจะมีรูปแบบของการเลือกตั้งผู้ว่าราชการจังหวัดทั้ง 3 จังหวัด เปรียบเสมือนองค์การบริหารส่วนตำบลใหญ่ แต่องค์กรปกครองท้องถิ่นเดิม คือ อบต. อบจ.และเทศบาล ยังอยู่เหมือนเดิม
พรรคเพื่อไทยพูดถึงนครปัตตานี ไม่ใช่นครรัฐปัตตานี เราไม่คิดแบ่งแยกดินแดน แต่อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญ
ในส่วนประเด็นศอ.บต. ที่มีอยู่แล้วนั้น จะปรับให้ผู้อำนวยการมาจากการเลือกตั้ง ซึ่งต่างกับของพรรคประชาธิปัตย์ที่ผู้อำนวยการ ซึ่งปัจจุบันคือเลขาธิการมาจากส่วนกลาง ตอนนี้ศอ.บต.ทำดีแล้ว แต่ถามว่า ผู้แทนที่อยู่ในสภาที่ปรึกษาของ ศอ.บต. มีมุสลิมอยู่กี่คน
วันนี้สังคมไทยมีปัญหามาก จะทำอย่างไรที่จะให้ท้องถิ่นสามารถปกครองตนเองได้ แต่รูปแบบที่พรรคเพื่อไทยจะทำนั้น เราเปลี่ยนนิดเดียวเอง และนโยบายเหล่านี้ ไม่ใช่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นคนคิด แต่มาจากทีมงานของเราที่คิดขึ้นมา ต้องขอบคุณพล.อ.ชวลิต ที่เป็นคนเสนอแนวคิดนี้ ตอนนี้ความคิดนี้ยังอยู่ แม้พล.อ.ชวลิตไม่ได้อยู่พรรคเพื่อไปแล้ว
พรรคมีนโยบายเพื่อปากท้อง 30 ข้อ ทั้งค่าน้ำ ค่าไฟ จบปริญญาตรีได้เงินเดือน 15,000 บาท ส่วนนโยบายที่เกี่ยวข้องกับคนมุสลิม คือ จะโค้วต้าผู้ประกอบพิธีฮัจย์ จะยกระดับมาตรฐานการส่งเสริมกิจการฮัจย์ โดยจะสร้างที่พักใกล้กับมัสยิดฮารอมในประเทศซาอุดิอาระเบีย และจะรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับประเทศซาอุดิอาระเบีย
นายมะเซะ บากา พรรคดำรงไทย
ต้นเหตุของปัญหาในจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ การใช้กฎหมายพิเศษต่างๆ ดังนั้นนโยบายของพรรคเกี่ยวกับการแก้ปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้มีอย่างเดียว คือ การยกเลิกพระราชกำหนดการบริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ในพื้นที่
เหตุที่ต้องการยกเลิกเนื่องจากพรรคมีนโยบายส่งเสริมสิทธิเสรีภาพของ ประชาชน ซึ่งแม้พรรคดำรงธรรมเป็นพรรคเล็ก แต่พร้อมทำงาน ส่วนหลังจากยกเลิกไปแล้ว จะทำอะไรต่อไปนั้น ต้องถามประชาชนอีกที แต่ผมต้องการให้พวกเรามีสิทธิเสรีภาพก่อน อย่างอื่นไม่มีอะไร ต้องถามพี่น้องประชาชน
เมื่อยกเลิกไปแล้ว ก็ทำให้เรามีสิทธิเสรีภาพ แต่ถ้าปัญหายังมีอยู่และอยากใช้พระราชกำหนดนี้อีก ก็ใช้ได้
นายมูฮำหมัดอารีฟีน จะปะกียา พรรคมาตุภูมิ
ในมุมมองของพรรคมาตรภูมิ ประเด็นปัญหาภาคใต้เป็นวาระของชาติและเป็นนโยบายหลักของพรรคมาตุภูมิปัญหา ภาคใต้ไม่ใช่ปัญหาไม่มีจะกิน แต่เป็นเรื่องความจริง ที่ผ่านมาการแก้ปัญหาไม่มีเอกภาพและไม่ต่อเนื่อง มีความขัดแย้งและแข่งขันอยากมาทำงานในพื้นที่สามจังหวัดชายแดนภาคใต้ เพราะการแก้ปัญหาไม่นำเอาคำสอนในคำภีร์อัลกุร-อาน มาเป็นต้นแบบในการแก้ปัญหา และ กำหนดประเด็นปัญหาจังหวัดชายแดนภาคใต้เป็น นโยบายหลัก คือ การสร้างความเข้าใจและสามัคคี
นโยบายของพรรคมาตุภูมิ คือการตั้งทบวงบริหารราชการจังหวัดชายแดนภาคใต้ คือ 3 จังหวัดและ 4 อำเภอของสงขลา ผู้ที่เป็นหัวหน้าของทบวงต้องเป็นรัฐมนตรี มาประจำอยู่ในพื้นที่จังหวัดชายแดนภาคใต้ ประชุมที่นี่ รัฐมนตรีมีอำนาจกำกับดูแลประชาชน
ประชาชนจังหวัดชายแดนภาคใต้ มีสิทธิเป็นรัฐมนตรี โดยคนที่จะเป็นรัฐมนตรีจะต้องมีศาสนา คนที่จะมาเป็นรัฐมนตรีทบวงนั้น ต้องเป็นส.ส. จะมาจากจังหวัดไหนก็ได้ แต่ต้องมาอยู่ที่นี่
การพิจารณางบประมาณก็ต้องผ่านทบวงนี้ โดยกรมต่างๆ ก็ต้องมาอยู่ที่นี่ ส่วนจังหวัดยังเป็นข้าราชการ ส่วนองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น จะไม่แตะต้อง และจะคงไว้ซึ่งแม่ทัพภาคที่ 4 มีการส่งเสริมการมีส่วนร่วมของประชาชน
พรรคมาตุภูมิเห็นด้วยกับการกระจายอำนาจ ซึ่งการกระจายอำนาจของพรรคคือการเปิดโอกาสให้คนในพื้นที่มีส่วนร่วม
นายอัซโตร่า โต๊ะราแม พรรคความหวังใหม่
นักการเมืองคนแรกที่พูดเรื่องการกระจายอำนาจและมหานครปัตตานี คือ พล.อ. ชวลิต ยงใจยุทธ ซึ่งเป็นคนนอกพื้นที่และเป็นนักการเมืองที่ไม่เหมือนคนอื่น ในอดีตคนที่คิดเรื่อง การกระจายอำนาจ คือ หะยีสุหลง โต๊ะมีนา แต่สุดท้ายถูกมองว่า ต้องการแบ่งแยกดินแดน
พรรคความหวังใหม่ เป็นพรรคที่มาจากรากหญ้าจริงๆ ไม่ใช่มาจากส่วนบน และ ต้องการการปกครองจังหวัดชายแดนภาคใต้ รูปแบบมหานครปัตตานี ที่มีความหลากหลาย ทางศาสนาและเชื้อชาติ ที่สามารถอยู่ร่วมกันได้
พรรคความหวังใหม่ต้องการมีมหานครปัตตานี เพื่อคนไทยพุทธและมุสลิม และเราจะมีเมืองใหม่นูซันตารา ซึ่ง ผมคิดเอง จะเป็นเมืองไหร่ก็ได้ แต่นี่คือนากือรี(เมือง)ของเราเอง
เราจะมีมหาวิทยาลัยของคนพุทธ มุสลิม มีมัสยิดที่ใหญ่ในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และมีวัดที่ใหญ่ด้วย จะให้มีการสอนภาษามลายูมาตรฐาน

"ปานเทพ"ชำแหละ "มาร์ค" ยันจ้อเฟซบุ๊กเอาแต่ได้ ไร้น้ำยาบริหารปท.

โดย ASTVผู้จัดการออนไลน์
ปานเทพ" สับ "มาร์ค"หวังเรียกเรตติ้งสร้างคะแนนเพิ่ม โพสเฟซบุ๊กสร้างภาพเอาดีใส่ตัวโยนชั่วให้คนอื่น ถามถนนไร้ฝุ่น รถเมล์เอ็นจีวี ย้ายสนามบิน ใช่พายเรือให้โจรนั่งหรือไม่ ซัดอย่าโอดครวญเป็นนายกฯ สร้างความปลอดภัยให้ปชช. ไม่ได้ก็ไม่ควรเป็น เย้ยเอาให้แน่กฎเหล็ก 9 ข้อ หรือกฎเด็ก 9 ข้อ
     
     
       วันที่ 6 มิ.ย. 2554 บนเวทีปราศรัยการชุมนุมของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่บริเวณสะพานมัฆวานรังสรรค์ นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย กล่าวโต้แย้งคำพูด นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เขียนข้อความลงในเฟซบุ๊กในหัวข้อ "จากใจอภิสิทธิ์ถึงคนไทยทั้งประเทศ" ว่า เป็นแค่การพูดสร้างภาพ ปัดความรับปิดชอบเพื่อให้ตัวเองดูดีที่สุด หวังเรียกร้องคะแนนสงสาร จากคนเสื้อแดง คนกลางๆ รวมถึงคนโหวตโนอาจลงคะแนนให้บ้าง
     
       ทั้งนี้ย่อหน้าแรก นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “ยอมรับมีกระบวนการใช้เสียงข้างมากในสภาออกกฎหมาย ล้างความผิดตัวเองและทำอะไรก็ได้ เพราะนายอภิสิทธิ์ เป็นเสียงข้างน้อย นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ กำลังบอกบ้านเมืองไม่ปกติ คงหมายความถึง ขัดแย้งเพราะพันธมิตรฯมาชุมนุม ที่พันธมิตรฯมาชุมนุมเป็นเพราะการเมืองในสภาเป็นแบบพวกมากลากไป โดยที่นายอภิสิทธิ์ ก็ไร้น้ำยาแก้ไขอะไรไม่ได้ในระบบ ส่วนที่นายอภิสิทธิ์ บอก "เป็นการสั่นคลอนความมั่นคงของกระบวนการยุติธรรม และระบอบประชาธิปไตยที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุขเป็นอย่างยิ่ง" นั้น ตนอยากถามว่า ถ้าพวกเราไม่ออกมาชุมนุมรัฐบาลทำอะไรได้บ้าง ในการขัดขวางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “พรรคประชาธิปัตย์สมคบกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย แต่ผมระมัดระวังที่จะแยกแยะบทบาทของพรรคการเมืองกับภาคประชาชนที่มีสิทธิ เสรีภาพตามรัฐธรรมนูญ ผมไม่ไปขึ้นเวทีแต่ปกป้องสิทธิของพวกเขา เมื่อใดที่มีการทำผิดกฎหมาย เช่น การยึดทำเนียบ ยึดสนามบิน หรือขัดขวางการลงพื้นที่ของรัฐมนตรี ผมแสดงจุดยืนชัดเจนทุกครั้งว่า ผมไม่เห็นด้วย ” นั้น นายอภิสิทธิ์ อยู่ในสภาไม่สามารถปกป้องสิทธิของพันธมิตรได้ ปล่อยให้มีการยิงแก๊สนำตา ระเบิดM79 จนมีคนเจ็บตาย ที่พันธมิตรฯจำเป็นต้องปกป้องชีวิตตัวเอง เคลื่อนย้ายการชุมนุมไปสนามบิน เพราะฝ่ายค้านในสภาไร้น้ำยา ไม่สามารถคุ้มครองชีวิตทรัพย์สินของประชาชนได้ อีกอย่างช่วงชุมนุมในทำเนียบฯ มี ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์เข้ามาหลังเวทีเต็มไปหมด วันนี้ทำเป็นเกลียดพันธมิตรฯ แค่หวังสร้างภาพให้ตัวเองดูดีที่สุด เพื่อจะได้คะแนนเพิ่มขึ้น เลือกเฉพาะประโยชน์ที่ได้จากพันธมิตรฯ อะไรที่เป็นโทษก็ปฎิเสธอย่างเดียวไม่เกี่ยว เอาตัวรอดขอให้ได้เข้าสู่อำนาจเป็นพอ
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “เมื่อสถานการณ์ลุกลาม การบริหารบ้านเมืองแทบเดินไม่ได้ ประเทศชาติเสียหายยับเยินขาดความเชื่อมั่นในสายตานานาชาติ” นั้น อยากถามว่า วันนี้ประเทศไทยภายใต้การบริหารของ รัฐบาลนายอภิสิทธิ์ ไม่เสียหายในสายตานาๆชาติหรือ ปล่อยให้เผาบ้านเผาเมือง ใช้อาวุธสงครามใจกลางกรุง ล้มเวทีประชุมอาเซียน จาบจ้วงสถาบัน
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “ในช่วงวิกฤตินั้นผมในฐานะผู้นำฝ่ายค้านเป็นคนเสนอนายกสมัครกลางสภาให้แก้ ปัญหาด้วยการยุบสภา ทั้งๆ ที่รู้ว่ายุบสภาในขณะนั้นพรรคประชาธิปัตย์ก็แพ้เลือกตั้ง แต่ผมต้องการให้ประเทศมีทางออกตามระบบ ผมไม่เคยเสนอให้นายกสมัคร ลาออกจากตำแหน่ง เพราะนั่นเป็นข้อเรียกร้องของกลุ่มผู้ชุมนุม การลาออกจะกลายเป็นการยอมจำนนต่อการใช้มวลชนกดดัน ซึ่งจะส่งผลให้เกิดปัญหาระยะยาวต่อการบริหารประเทศ จึงเห็นว่าการยุบสภาคืนอำนาจให้ประชาชนเป็นทางออกที่ดีที่สุด โดยไม่ได้คำนึงถึงว่าพรรคจะแพ้การเลือกตั้ง เพราะการแก้ปัญหาเพื่อชาติต้องอยู่เหนือประโยชน์ของพรรคตัวเอง” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า ประเทศในตอนนั้นมีเลือกตั้งอยู่แล้ว ปัญหาไม่ได้อยู่ที่มีเลือกตั้ง นายอภิสิทธิ์พูดถึงจริยธรรมทางการเมือง ซึ่งนายกฯต้องรับผิดชอบด้วยการลาออก ทีกรณีคนเสื้อแดงเรียกร้องให้ลาออก ทำนายอภิสิทธิ์ไมไม่ลาออก ที่สำคัญตอนนี้นายอภิสิทธิ์ใช้คำว่ามวลชนกดดกัน ไม่อยากให้ทำตามมวลชนกดดัน ขณะที่ช่วงเป็นฝ่ายค้าน พูดว่า ประชาชนจะหนึ่งคนเหรือแสนคน เรียกร้องให้รัฐบาลพิจารณาตัวเอง.. ทุกประเทศที่เป็นประชาธิปไตย ส่วนใหญ่เขาไม่รอให้กฎหมายจัดการ คนที่เป็นนักการเมืองต้องมีจริยธรมที่ต้องสูงกว่ากว่ากฎหมาย
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “ท่ามกลางความขัดแย้งทางการเมืองที่ทวีความตึงเครียดให้กับประเทศไทยมากขึ้น คดีของพรรคพลังประชาชนซึ่งเป็นพรรคแกนนำรัฐบาลก็อยู่ในระหว่างการพิจารณาของ ศาลรัฐธรรมนูญ ในเรื่องการยุบพรรคเพราะนายยงยุทธ ติยะไพรัช รองหัวหน้าพรรค ทุจริตเลือกตั้ง กกต.ให้ใบแดงนายยงยุทธ จากนั้นศาลฎีกาแผนกคดีเลือกตั้งมีคำพิพากษายืนให้ใบแดงกับนายยงยุทธ ซึ่งกติกาที่ทุกพรรคก็รับทราบมาตั้งแต่ต้น คือ หากผู้บริหารพรรคได้ใบแดงพรรคการเมืองนั้นต้องถูกยุบ ดังนั้นคดีนี้จึงชัดเจนอย่างยิ่งชนิดที่เรียกว่าปิดไว้ข้างฝาได้เลยว่า จะมีปัญหาแน่สำหรับรัฐบาลคุณสมัครกับคุณสมชาย แต่ผมไม่เคยคิดและไม่เคยดิ้นรนว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นแล้วจะเป็นโอกาสของผม” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า คดีทุจริต และยุบพรรค ก็พรรคประชาธิปัตย์ไม่ใช่หรือ ที่ยื่นหวังมีการยุบพรรคพลังประชาชนแล้วตัวเองจะได้เข้าสวมอำนาจแทน ตอนนั้นเขาจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ อยากถามว่าพรรคประชาธิปัตย์ จะมีน้ำยาอะไรไปยับยั้ง ถ้าไม่ใช่ภาคประชาชนอย่างพันธมิตรฯ
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “การจัดตั้งรัฐบาลที่วิจารณ์กันมากว่ายอมทุกอย่างให้คุณเนวินขี่คอได้ กระทรวงหลักไปดูแล ความจริงก็คือ ในสถานการณ์นั้นง่ายที่สุดคือ ใครเคยดูแลกระทรวงไหนก็ดูแลกระทรวงนั้นเหมือนเดิมทั้งหมด หลักสำคัญคือพูดกันชัดเจนว่าเรามาแก้วิกฤตให้มันจบ ไม่เคยมีสัญญาว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 237 ตามที่คุณบรรหารกล่าวอ้าง และวันที่คุณเนวินคุยกับผมก็พูดเรื่องรัฐธรรมนูญผมพูดชัดสามเรื่อง คือ เรื่องไหนที่เป็นปัญหาเชิงเทคนิคของรัฐธรรมนูญผมยินดีแก้ เพราะผมเป็นคนแรกที่พูดตอนการทำประชามติว่ารัฐธรรมนูญบางมาตราอาจต้องแก้ไข แต่เรื่องประเภทนิรโทษกรรมไม่เอานะ เพราะบ้านเมืองมันวุ่นมามากแล้ว และคุณเนวินก็บอกกับผมว่า เรื่องนิรโทษกรรมไม่ต้องพูดถึงเขาไม่สนใจเขาไม่เอา เขาขอเรื่องเขตเล็ก ผมก็บอกคุณเนวินว่า เรื่องเขตเล็กผมเป็นคนเสนอเขตใหญ่ เพราะฉะนั้นการปรับปรุงตรงนี้พักไว้ก่อนแล้วค่อยมาคุยกันว่าจะทำอย่างไร” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า นายอภิสิทธิ์ พูดเหมือนกับว่า ไม่ได้ยอมนายเนวิน แต่สุดท้ายก็แก้ไขเขตเล็ก โชคดีที่ยุคนี้เป็นยุคอินเทอร์เน็ต ใครพูดอะไรถูกบันทึกไว้หมด เมื่อวันที่ 28 ก.ย. 2553 นายอภิสิทธิ์ ให้สัมภาษณ์เรื่องแก้ไขรัฐธรรมนูญว่าต้องทำประชามติ ทั้งก่อนและหลังการแก้ไข ตกลงเป็นเรื่องโกหกตอแหลตระบัตสัตว์ทั้งที่เป็นสิ่งที่ตัวพูด
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “เมื่อสภาให้โอกาสผมเป็นนายกรัฐมนตรี ผมก็มีหน้าที่แก้ไขปัญหา และตั้งใจตั้งแต่ต้นว่าจะไม่อยู่ครบวาระ ถ้าคลี่คลายวิกฤติได้ก็จะยุบสภา เพราะตอนนั้นเกิดวิกฤติเศรษกิจโลกและวิกฤติการเมือง เรียกว่า เป็นวิกฤติซ้อนวิกฤติบนสถานการณ์ที่ประเทศชาติไม่อยู่ในภาวะปกติ มีคนบอกผมด้วยซ้ำว่า อย่าไปเป็นนายกรัฐมนตรีเลยเพราะมีแต่เจ๊ากับเจ๊ง และจะเปลืองตัว ความดีจะถูกทำลายโดยองค์ประกอบรอบข้าง เพราะต้องยอมรับความจริงว่าประชาชนส่วนหนึ่งไม่ไว้วางใจพรรคร่วมรัฐบาลเดิม ที่เคยอยู่กับพรรคพลังประชาชน ก็จะทำให้ผมได้รับแรงเสียดทานไปด้วยว่า “อยากเป็นนายกรัฐมนตรีจนสามารถร่วมงานกับพรรคอะไรก็ได้” และเดี๋ยวนี้ข้อหาพัฒนาไปไกลถึงขั้นหาว่า “ผมพายเรือให้โจรนั่ง” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า วันที่ 7ม.ค.2552 โครงการถนนไร้ฝุ่นเข้าครม . ของบฯ 34,000 ล้าน ซึ่งนายอภิสิทธิ์ไม่เห็นด้วย แต่ 5 เดือนผ่านไปอนุมัติเรียบร้อย, วันที่ 11มี.ค. 2552 ย้ายสนามบินดินเมืองไปสุวรรณภูมิ นายอภิสิทธิ์ออกมาโต้แย้งอย่างรุนแรงไม่เห็นด้วยอย่ายิ่ง ผ่านไป 18 วัน ย้ายการบินไทยไปสุวรณณภูมิ, วันที่19พ.ค.2552 รถเมล์เอ็นจีวี 4,000 คัน นายอภิสิทธิ์ก็ไม่เห็นด้วยอย่างรุนแรง ในที่สุดครม.ก็เห็นชอบภายใน 4 เดือนหลังจากนั้น นี่ยังไม่นับ การต่อสัญญาช่อง 3 รถไฟสายสีม่วง อีกเยอะแยะ ดังนั้นจะพายเรือให้โจรนั่งหรือไม่ โจรไม่โจรอย่างไรประชาชนก็เดือดร้อนทุกหย่อมหญ้า
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “ผมเข้าใจดีถึงความรู้สึกของพี่น้องจำนวนไม่น้อยที่แสลงใจกับภาพที่คุณเนวิน ชิดชอบ เข้ามาโอบกอดผม ผมมองอย่างให้ความเป็นธรรมกับคุณเนวินว่า การตัดสินใจย้ายขั้วทิ้งคุณทักษิณ ที่คุณเนวินเรียกว่า “นาย” ย่อมเป็นการตัดสินใจที่ยากลำบากไม่น้อย คำพูดที่คุณเนวินฝากไปถึงคุณทักษิณที่ว่า “มันจบแล้วครับนาย” ด้วยเสียงสั่นเครือน้ำตาคลอเบ้าคงจะยังเป็นบาดแผลในใจคุณเนวินมาจนถึงวันนี้ ไม่ว่าคนจะมองคุณเนวินในภาพอย่างไร แต่ในวันนั้นผมเชื่ออย่างบริสุทธิ์ใจว่า คุณเนวินได้ตัดสินใจทางการเมืองเพื่อให้ประเทศเดินหน้าได้ถ้าคิดในทางกลับ กันผมไม่ยอมร่วมรัฐบาลกับคุณเนวินและพรรคอื่นๆ เพียงเพราะกลัวเปลืองตัว ปล่อยให้บ้านเมืองวุ่นวายเดินหน้าไม่ได้ ผมก็ลอยตัวไม่ต้องมาอยู่ในฐานะเป็นคู่ขัดแย้งกับใคร ชีวิตก็ไม่ต้องเสี่ยงจากความรุนแรงที่เริ่มปรากฏให้เห็นในการแข่งขันทางการ เมือง แต่ถ้าผมทำอย่างนั้นก็เท่ากับเป็นการปัดความรับผิดชอบในฐานะนักการเมืองที่ ต้องแก้ปัญหาให้ประชาชน” นายปานเทพ กล่าวว่า ประเด็นไม่ได้อยู่ที่กอดนายเนวิน แต่จุดสำคัญอยู่ที่นายอภิสิทธิ์ ยืนหยัดในการหยุดยั้งปัญหาธุจริตคอร์รัปชั่นได้จริงหรือไม่ อยากถามนายอภิสิทธิ์ ว่า ประเทศที่เต็มไปด้วยปัญหาทุจริต จาบจ้วง ใช้ความรุนแรงที่วันนี้ยังไม่จบสิ้น ไม่ปฎิรูปประเทศ เขตแดนไทย-กัมพูชายังไม่จบ แต่ดันยุบสภาทิ้ง อย่างนี้เรียกว่าหนีปัญหาหรือไม่
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “วันนั้นผมอาจจะคิดผิดก็ได้เพราะผมคิดว่าถ้าเราซื่อสัตย์ทำงานด้วยความอดทน อดกลั้น ไม่ทำตัวเป็นชนวนหรือเงื่อนไขของความขัดแย้ง พยายามรับฟังทุกฝ่ายทุกสิ่งทุกอย่างจะเดินไปได้ แต่มันก็ไม่เป็นอย่างนั้น ตั้งแต่วันแรกที่ผมชนะในสภาก็มีการใช้มวลชนเสื้อแดงพยายามทำร้าย ส.ส.ที่สนับสนุนผม แม้แต่ผมเองก็ยังต้องอาศัยรถตู้ของคุณเทพไท เสนพงศ์ ออกมา เพื่อหลีกเลี่ยงการผชิญหน้าที่อาจนำไปสู่ความรุนแรง ผมบอกกับตัวเองตั้งแต่วันนั้นว่า ชีวิตผมกำลังเปลี่ยนแปลงและอาจสุ่มเสี่ยงต่อการที่จะมีชีวิตสั้นกว่าวัยอัน ควร เพราะมีคนใช้ความรุนแรงข่มขู่ทางการเมือง แต่ผมก็ยังเลือกที่จะทำหน้าที่เดินหน้าประเทศไทยเพื่อรักษาสัญญาที่ให้กับ พี่น้องประชาชนที่ให้โอกาสผมเป็น ส.ส.คนเดียวของพรรคประชาธิปัตย์ในกรุงเทพมหานครว่า “ถ้ามีโอกาสผมจะสร้างรากฐานเปลี่ยนแปลงสังคมไทยให้ประชาชนมีความมั่นคงใน ชีวิต” และผมก็ดำเนินการทันทีท่ามกลางวิกฤติซ้อนวิกฤติ ผมยังเดินหน้าสร้างระบบสวัสดิการให้กับประชาชนอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ประชานิยมแต่เป็นประชายั่งยืน และไม่ได้เสียสมาธิกับปัญหาทางการเมืองจนเป็นอุปสรรคต่อการแก้ปัญหาให้พี่ น้องประชาชน” นั้น นายปานเทพ กล่าวว่า ความสุ่มเสียงไม่ได้เกิดขึ้นเพาะตัวนายอภิสิทธิ์ ที่จะต้องมาอ้อนวอนว่าน่าสงสารแค่ไหน นายอภิสิทธิ์ในฐานะนายกฯต้องบอกได้ว่า การปล่อยให้อาเซียนถูกทำลาย ปล่อยให้ประชาชนถูกคุกคามตามท้องถนนเป็นเวลานาน ปล่อยให้มีการขนอาวุธยิงใส่ทหาร เผาบ้านเผาเมือง สุดท้ายจับุมได้แต่ไปประกันให้เขาออกมาสมัครลงเลือกตั้ง อย่างนี้แล้วชีวิตประชาชนอย่างพันธมิตรฯ ที่โดนระเบิด ไม่สำคัญเท่าชีวิตของพวกท่านหรือ นายอภิสิทธิ์ไม่มีสิทธิ์พูดคำนี้ เพราะคนที่เป็นนายกต้องให้ความปลอดภัยในชีวิตทรัพย์สินของประชาชนได้ ถ้าทำไม่ได้ควรลาออกไปเสีย
     
       นายอภิสิทธิ์ เขียนว่า “ผมยืนยันได้ครับว่า ตลอดการทำงานการเมืองเกือบ 20 ปี อุดมการณ์ในการเข้าสู่การเมืองเป็นอย่างไรไม่เคยเปลี่ยนแปลง และทุกการตัดสินใจล้วนแต่ยึดประโยชน์ประชาชนทั้งสิ้น ผมทราบว่าหลายคนได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องเพื่อปั่นกระแสให้ไม่เชื่อมั่นใน ตัวผม แต่ผมหวังว่าความจริงที่ผมเล่าให้ฟังนี้ จะทำให้ประชาชนได้เห็นว่า ยังเชื่อมั่นผมได้เพราะผมไม่เคยเปลี่ยนอุดมการณ์ และพร้อมร่วมทุกข์ร่วมสุขเคียงข้างกับคนไทยเพื่อเดินหน้าประเทศต่อไป ผมมาทบทวนดูว่า การเข้าสู่ตำแหน่งและการดำรงตำแหน่งของผม ขัดกับหลักประชาธิปไตยไหม ผมว่ามันไม่ใช่ ผมได้รับการยืนยัน การสนับสนุนจากสภาตลอด 2 ปี แม้แต่คนเสื้อแดงก็ไม่ได้หยิบยกเรื่องนี้มาเป็นเงื่อนไขการชุมนุม จนเวลาผ่านไปเป็นปีถ้าผมจะมีความผิดก็คงมีแค่ประการเดียว คือ ผมเป็นนายกฯ ในระบบสภาคนแรกหลังปี 2550 ที่คุณทักษิณสั่งไม่ได้” นายปานเทพกล่าวว่า สิ่งที่นายอภิสิทธิ์ ยืนยันเรื่องเขตแดนที่สนามกีฬาญี่ปุ่น-ไทยดินแดน ว่าหากรักษาแผ่นดินไทยไม่ได้จะไม่อยู่ในประเทศ ในเรื่องปัญหาไทย -กัมพูชา ในตอนแรก นายอภิสิทธิ์ ไม่พูดถึงเลยแม้แต่น้อย ทั้งที่ให้สัมภาษณ์ว่าจะช่วย นายวีระ และ นางสาวราตรี ตามลำดับอยู่แล้วไม่ต้องห่วง การช่วยของนายอภิสิทธิ์ช่วยให้เขาขออภัยโทษ แล้วไม่ช่วยเขาในท้ายที่สุดใช่หรือไม่
     
       นายปานเทพ กล่าวถึง กฎเหหล็ก 9 ข้อ กลายเป็นกฎเด็ก 9 ข้อ ดังนี้
     
       ข้อ1.ให้ครม.น้อมนำพระบรมราโชวาทเป็นแนวทางในการปฏิบัติงาน โดยเฉพาะเรื่องการปฏิบัติงานให้เกิดความเรียบร้อยและเกิดความสุขในหมู่ ประชาชน ข้อนี้พรรคประชาธิปัตย์ทำได้หรือไม่ปรากฎชัดอยู่แล้ว พี่น้องตัดสินใจได้เลย
     
       ข้อ2.ให้ยึดถือการปฏิบัติหน้าที่ด้วยความซื่อสัตย์สุจริตอย่างเคร่ง ครัด แต่ล่าสุด หอการค้าออกมาบอกว่า รัฐบาลชุดนี้โกงหนักที่สุด มากกว่ารัฐบาลชุดที่แล้ว
     
       ข้อ3.นโยบายที่ครม.อนุมัติถือเป็นเป้าหมายหรือทิศทางร่วมกันเพื่อให้ เกิดความเป็นเอกภาพ แต่ภาพที่เห็น เป็นเอกภาพแบบพวกมากลากไป คนที่ประชาชนไว้วางใจน้อยที่สุด กลับได้รับความไว้วางใจมากที่สุดในสภา
     
       ข้อ4.ในภาวะวิกฤตการทำงานของรัฐบาลต้องเป็นไปด้วยความรวดเร็ว มีประสิทธิภาพ ไม่เป็นรัฐบาลที่แบ่งพรรค ข้อนี้ต้องไปถามพี่น้องชาวตรัง ในยามน้ำท่วมภาคใต้ คนใต้รู้สึกอย่างไรกับการช่วยเหลือของรัฐบาล ส่วนคำว่า “ประสิทธิภาพ” ตนนึกถึงทันทีไข่ไก่ชั่งกิโลขาย
     
       ข้อ5.รัฐมนตรีทุกคนต้องเข้าร่วมประชุมสภาอย่างสม่ำเสมอ ต้องไปรับฟังความคิดเห็นของส.ส.และตอบกระทู้ นั้น เข้าสม่ำเสอมแน่ ถ้าเป็นการอนุมัติงบแสนล้านวันเดียวก็ทำได้
     
       ข้อ6.ให้รัฐมนตรีทุกคนปฏิบัติตนโดยคำนึงถึงความรู้สึกของประชาชน พฤติกรรมใดๆ ซึ่งนำไปสู่ความไม่เชื่อมั่น ขอให้ระวังเป็นพิเศษ ข้อนี้ จากโพลสำรวจบอกไม่เห็นด้วยกับการขึ้นเงินเดือนของ ส.ส.- ส.ว. ปรากฎว่าก็ยังขึ้นเงินเดือนให้ตัวเองอย่างหน้าตาเฉย
     
       ข้อ 7.ในรัฐบาลที่เชื่อมั่นวิถีทางประชาธิปไตยต้องเปิดโอกาสให้ประชาชนเข้ามามี ส่วนร่วม สำหรับข้อนี้อยากถามว่า ที่ไปประชุมศาลโลก ไปประชุมอาเซียน ก่อนหน้าเคยให้ประชาชนมีส่วนร่วมไหม อยู่ดีๆไปมุ๊บมิบตกให้ประเทศอินโดนีเซียมาเป็นผู้สังเกตการณ์
     
       ข้อ8.รัฐบาลชุดนี้ต้องพร้อมรับการตรวจสอบ ทั้งในเชิงนโยบายและเรื่องอื่นๆ นั้น ทีเราจะตรวจสอบเรื่องมาตรการและนโยบายเรื่องไทย -กัมพูชา พวกเราไม่มีสิทธิออกฟรีทีวี แล้วไหนละพร้อมรับการตรวจสอบ
     
       ข้อ9.รัฐมนตรีทุกคนไม่มีสิทธิเหนือประชาชนคนอื่นในแง่การปฏิบัติตามกฎหมาย นั้น ใช้ได้หรือไม่พี่น้องน่าจะรู้ดี
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง