บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพุธที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2554

ครม.มติตั้ง “อุกฤษ” เป็นประธาน กก.อิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ รื้อศาล-องค์กรอิสระ อ้างเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม สร้างเชื่อมั่นการลงทุน





นางฐิติมา ฉายแสง โฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงผลการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) ว่า

ที่ประชุม ครม.มีมติเห็นชอบให้แต่งตั้ง ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธานกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ โดยอาศัยอำนาจตามความในข้อ 4 วรรค 1 แห่งระเบียบสำนักนายกรัฐมนตรีว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ 2554 เพื่อให้การปฏิบัติหน้าที่ของรัฐสภา คณะรัฐมนตรี ศาล รวมทั้งองค์กรตามรัฐธรรมนูญ และหน่วยงานของรัฐ เป็นไปตามหลักนิติธรรมอย่างแท้จริง

โดยมุ่งหมายให้เกิดความเป็นธรรม ความชอบธรรม และความเสมอภาคของบุคคลในสังคม เพื่อให้บุคคลมีสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาค ตลอดจนได้รับความยุติธรรมจากระบบกฎหมายภายใต้รัฐธรรมนูญ โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติ ที่เกิดจากอคติต่าง ๆ ของผู้ที่มีอำนาจบังคับใช้กฎหมาย รวมทั้งยังเป็นการสร้างความเชื่อมั่นการลงทุนทั้งในประเทศและต่างประเทศ
 
กรุงเทพธุรกิจ

0000000

รัฐบาลกำลังจะเหลิงอำนาจเข้าไปควบคุมทั้ง นิติบัญญัติ และ ตุลาการเชียวหรือ?

แค่ตามตัวนักโทษที่ศาลพิพากษามารับโทษให้ได้ นั่นคือการรักษาหลักนิติธรรม นิติรัฐแล้ว

ถ้าไม่เคารพคำพิพากษาของศาล ก็ไม่ควรมายุ่งเกี่ยวอะไรกับประเทศนี้

ไม่เคยได้ยินว่า ฝ่ายบริหารสามารถควบคุมดูแลการทำงานของ อำนาจตุลาการ และ นิติบัญญัติ

ทั้งสามอำนาจต่างมีอิสระแก่กัน มิใช่อำนาจใดเหนืออำนาจใด

นี่มันจะใกล้ๆ เผด็จการไปทุกทีแล้วนะ

ถ้าอำนาจบริหารไปแตะองค์กรอิสระ แตะศาลเมื่อไหร่ ก็อย่าหวังว่าจะอยู่กันอย่างเป็นสุข

อย่าคิดว่ามีเสียงมากในสภาแล้วจะทำอะไรตามใจตัวเองได้นะ สิบอกไห่

แคน ไทเมือง

00000000000

บทความย้อนหลัง ( พลพรรคเสื้อแดงอ้างอิงมากที่สุด)

ควันหลงคดียุบพรรค "อุกฤษ"วิพากษ์"คำวินิจฉัยสวนเลน"
 
8 มิถุนายน พ.ศ. 2550 21:48:00
คอลัมน์ บนความเคลื่อนไหว
 
กรุงเทพธุรกิจออนไลน์ : คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ให้ยุบพรรคการเมือง 4 พรรค รวมทั้งพรรคไทยรักไทยนั้น ยังคงมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ตามมาอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะคำสั่งเพิกถอนสิทธิเลือกตั้งกรรมการบริหารพรรคการเมืองที่ถูกยุบทุกคน โดยอาศัยบทบัญญัติตามประกาศคณะปฏิรูปการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข (ประกาศ คปค.) ฉบับที่ 27 ข้อ 3 ซึ่งเป็นประกาศที่ออกมาภายหลังการกระทำความผิดของพรรคการเมืองที่ตกเป็นผู้ถูกร้อง

ล่าสุด ศ.ดร.อุกฤษ มงคลนาวิน อดีตประธานรัฐสภา และอดีตประธานคณะกรรมการตุลาการรัฐธรรมนูญหลายสมัย ออกมาวิพากษ์คำวินิจฉัยของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ "รุ่นน้อง" อย่างเผ็ดร้อน พร้อมเหตุผลประกอบที่น่าสนใจไม่น้อย

ศ.ดร.อุกฤษ เริ่มต้นที่องคาพยพของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญ ซึ่งแตกต่างจากในอดีตอย่างสิ้นเชิง และนั่นคือปมเหตุแรกที่ทำให้เกิดปัญหา

"จริงๆ แล้วบทบัญญัติเกี่ยวกับคณะตุลาการรัฐธรรมนูญมีอยู่ในรัฐธรรมนูญเกือบทุกฉบับของประเทศไทย แต่สมัยก่อนองค์ประกอบของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญจะมีประธานรัฐสภาเป็นประธาน และมีกรรมการประกอบด้วยประธานศาลฎีกา เจ้ากรมอัยการ เจ้ากรมพระธรรมนูญ และผู้ทรงคุณวุฒิอีกจำนวนหนึ่ง โดยไม่ได้มีอำนาจมากมายเท่าปัจจุบัน ประเด็นที่จะขึ้นสู่คณะตุลาการรัฐธรรมนูญส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาข้อกฎหมาย และตรวจสอบการแสดงบัญชีทรัพย์สินของนักการเมืองภายหลังการเลือกตั้งเท่านั้น"

ศ.ดร.อุกฤษ อธิบายว่า การที่องค์ประกอบของคณะตุลาการรัฐธรรมนูญในอดีตมาจากผู้ทรงคุณวุฒิจากหลากหลายสาขา มีประสบการณ์สูง และเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เมื่อวินิจฉัยกรณีใดออกมาจึงเป็นที่ยอมรับ เพราะไม่ได้มองประเด็นไปในทิศทางเดียวกันหมด ซึ่งผิดจากตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันที่มีเฉพาะตัวแทนจากฝ่ายตุลาการ

"ศาลก็เปรียบเสมือนพระ เชี่ยวชาญด้านพระธรรมวินัย จึงย่อมไม่มีความรอบรู้ลึกซึ้งเกี่ยวกับความเป็นไปในเรื่องการเมือง ที่สำคัญคดีการเมืองต่างจากการพิพากษาอรรถคดีซึ่งเป็นหน้าที่หลักของศาล เพราะคดีทั่วๆ ไปจะพิจารณาไปตามข้อกฎหมาย แต่คดีการเมืองมีมิติที่ต้องพิจารณามากกว่านั้น และสุ่มเสี่ยงอย่างมากที่จะถูกวิพาษ์วิจารณ์ เพราะมีทั้งคนถูกใจและไม่ถูกใจ"

ประเด็นที่ดูจะคาใจอดีตประธานคณะตุลาการรัฐธรรมนูญผู้นี้มากที่สุด ก็คือการที่ตุลาการรัฐธรรมนูญชุดปัจจุบันวินิจฉัยให้การกระทำผิดของบุคคล เป็นการกระทำความผิดของพรรค และยังลงโทษคณะกรรมการบริหารพรรคทุกคนโดยใช้หลัก "สันนิษฐานว่ารู้เห็นกับการกระทำความผิด"

"จริงๆ แล้วถ้าผู้บริหารพรรคการเมืองคนใดกระทำผิด ต้องถือเป็นการกระทำของบุคคลนั้น เหมือนกรณีบริษัท ถ้ากรรมการบริษัทคนไหนโกง ก็ต้องเอาผิดเป็นรายบุคคล ไม่ใช่ไปยุบบริษัท หรือลงโทษกรรมการบริษัททุกคน เพราะหากกรรมการคนไหนพิสูจน์ได้ว่าตัวเองไม่เกี่ยวข้องหรือไม่ได้มีส่วนรู้เห็น ก็ไม่ต้องรับผิด นี่คือหลักการตามประมวลกฎหมายแพ่งและพาณิชย์ที่ยึดถือกันมาตลอด" ศ.ดร.อุกฤษ ระบุ และว่า

"การพิจารณากรณีที่เกี่ยวข้องกับการเมืองการปกครอง ต้องมองไกล และต้องตีความอย่างเคร่งครัดโดยยึดหลักนิติธรรมที่เรากำหนดไว้ในรัฐธรรมนูญแทบทุกฉบับ นั่นก็คือต้องสันนิษฐานไว้ก่อนว่าผู้ที่ถูกกล่าวหาคือผู้บริสุทธิ์ แต่คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญกลับไปสันนิษฐานว่ากรรมการบริหารพรรคทุกคนต้องรู้เห็นกับการกระทำความผิด ซึ่งผมคิดว่าเป็นการพิจารณาที่สวนทางกับหลักนิติธรรม ทุกอย่างจะถูกจารึกไว้ในประวัติศาสตร์ให้ลูกหลานและนักเรียนกฎหมายได้ศึกษากันต่อไป"

ศ.ดร.อุกฤษ ยังย้ำถึงหลักการในระบอบประชาธิปไตย ที่ต้องตีความเรื่องการแบ่งแยกอำนาจอธิปไตยอย่างเคร่งครัด คืออำนาจนิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ เปรียบเสมือนถนน 3 เลนที่ให้รถ 3 คันวิ่ง ซึ่งรถแต่ละคันต้องไม่วิ่งข้ามเลน

"ฝ่ายนิติบัญญัติกับฝ่ายบริหารเกี่ยวพันกันโดยความเห็นชอบจากเสียงของประชาชนเป็นสำคัญ ฉะนั้นไม่ว่าจะทำถูกหรือผิด ในระบบประชาธิปไตยผู้ที่จะตัดสินลงโทษ ยกย่อง หรือชมเชย คือประชาชน เราจะไปดูถูกประชาชนว่าไม่มีความรู้ และเรามีความรู้มากกว่าจึงไม่ฟังเสียงประชาชนไม่ได้ ยิ่งถ้าฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดแสดงบทบาทก้าวข้ามเส้นแบ่งที่เหมาะสมระหว่าง 3 อำนาจอธิปไตย ก็เท่ากับฝ่ายนั้นกำลังวิ่งนอกเลน"

"บ้านเมืองเราปกครองในระบอบประชาธิปไตย หัวใจสำคัญของประชาธิปไตยคือการเลือกตั้งและพรรคการเมือง ถ้าเรามุ่งกำจัดพรรคการเมืองกับนักการเมือง แล้วหวังว่าจะได้พรรคใหม่ ได้คนรุ่นใหม่ที่มีอุดมการณ์ ผมบอกได้เลยว่าไม่มีทาง เพราะการเมืองก็คือการเมือง นักการเมืองก็คือนักการเมือง หากหวังว่าจะได้นักการเมืองในอุดมคติ คงต้องรออีกนาน ฉะนั้นวันนี้เราต้องใช้นักการเมืองเท่าที่มีอยู่ไปก่อน แล้วเร่งให้การศึกษาประชาชนเพื่อให้เข้าใจการปกครองระบอบประชาธิปไตยอย่างแท้จริง จึงจะแก้ปัญหาได้ แต่ที่ผ่านมาเราแทบไม่เคยทำในเรื่องเหล่านี้กันเลย"

คำวินิจฉัยของตุลาการรัฐธรรมนูญที่ให้เพิกถอนสิทธิเลือกตั้งของนักการเมืองนับร้อยคนเป็นเวลา 5 ปี เมื่อผนวกเข้ากับกระบวนการยกร่างรัฐธรรมนูญที่มีเจตนากีดกันและตีกรอบนักการเมืองอย่างเห็นได้ชัด ทำให้ ศ.ดร.อุกฤษ มองอย่างเป็นห่วงว่า สังคมการเมืองไทยในปัจจุบันกำลังดูถูกพลังของนักการเมืองมากเกินไป จนอาจนำไปสู่ความรุนแรงครั้งใหม่ได้

"นักการเมืองที่เป็นผู้แทนราษฎรได้ อาจจะไม่ใช่คนมีคุณธรรมมากมายนัก เพราะในสนามเลือกตั้งมีการแข่งขันกันสูง แต่พวกเขาก็ไม่ใช่คนเลว เดี๋ยวนี้เรากลับมองผู้แทนราษฎรเป็นคนเลว ทั้งๆ ที่ผู้แทนราษฎเป็นผู้ที่สัมผัสประชาชนมากที่สุด และรู้เรื่องบ้านเมืองดีที่สุด แต่เรากลับไปสกัดเขาออกไป เปรียบเหมือนผู้แทนเป็นปลาอยู่ในน้ำ รู้หมดว่าในน้ำมีอะไร แต่คนที่นั่งบนตลิ่งบอกว่าปลาพวกนี้ใช้ไม่ได้ ให้เอาออกไป แล้วกำหนดกฎเกณฑ์ใหม่ ผมอยากเตือนว่าอย่าไปดูถูกผู้แทนราษฎร"

"ร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เป็นรัฐธรรมนูญที่ร่างโดยคนไม่มีความรู้เรื่องการเมือง ส่วนใหญ่ไม่เคยนั่งในสภา และไม่เคยผ่านการเลือกตั้ง จึงมีแนวโน้มที่จะนำไปสู่ความขัดแย้งอย่างสูง กลายเป็นการแก้ปัญหาแบบลิงแก้แห ใช้คนไม่รู้จริงมาแก้ปัญหาบ้านเมือง ไม่รู้จริงแล้วยังไม่ศึกษาประวัติศาสตร์ และขาดประสบการณ์ ที่สำคัญคือมีอคติกับนักการเมือง เมื่อเป็นอย่างนี้คงหาความสามัคคีไม่ได้ ผมอยากบอกว่าถึงวันนี้ระวังม็อบจะจุดติดขึ้นมา เพราะราดน้ำมันลงไปเรียบร้อยแล้ว"

"ผมก็ได้แต่ภาวนาว่า อย่าให้เกิดความรุนแรงที่กระทบถึงประชาชนและบ้านเมืองอีกเลย" เป็นคำเตือนส่งท้ายของบุรุษผู้คร่ำหวอดการเมืองไทยที่ชื่อ อุกฤษ มงคลนาวิน!
 
 
กรุงเทพธุรกิจ


0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง