อาจารย์จิรพร สุเมธีประสิทธิ์
sumetheeprasit@hotmail.com การกำหนดโครงการเป็นเครื่องมือสำคัญในการแปลงยุทธศาสตร์ลงมาสู่ภาคปฏิบัติ จึงพบว่าในระยะหลัง ๆ นี้องค์กรจำนวนมากเริ่มให้ความสำคัญกับการวางแผนและการบริหารโครงการที่จะนำไปสู่ผลผลิต ผลลัพธ์และผลกระทบตามเป้าหมายที่กำหนดไว้ โดยทั่วไป โครงการ ถือเป็นกิจกรรมการลงทุนของกิจการ จึงต้องมีความมั่นใจว่ากระบวนการวิเคราะห์ก่อนที่นำไปสู่การตัดสินใจลงทุน เป็นไปอย่างเพียงพอและมีประสิทธิภาพ รวมทั้งมีความคุ้มค่าในการจัดสรรทรัพยากรและเงินงบประมาณมาใช้ในการดำเนิน โครงการนั้นๆ เครื่อง มืออย่างหนึ่งที่มีความสำคัญในการพิสูจน์ว่าโครงการที่จะพิจารณานั้นมีคุณ ค่าและมูลค่าเพิ่มทางเศรษฐกิจและทางสังคม (ในกรณีของโครงการบริการสาธารณะเชิงสังคมของหน่วยงานภาครัฐ)คือ Cost/Benefit Analysis Cost/Benefit Analysis มีจุดประสงค์เพื่อแสดงผลการคำนวณให้แก่ผู้บริหารระดับสูงและคณะกรรมการรัฐวิสาหกิจเป็นภาพของต้นทุน ผลประโยชน์ และความเสี่ยงของแต่ละวิธีการที่จะใช้ในการดำเนินโครงการ เพื่อ นำไปสู่การพิจารณาตัดสินใจดำเนินงานโครงการเปรียบเทียบกับการเลือกจัดสรร ทรัพยากรและเงินงบประมาณไปใช้ในการลงทุนด้านอื่นที่มีโอกาสจะเป็นไปได้ หรือ กล่าวอีกนัยหนึ่ง Cost/Benefit Analysis ก็คือมาตรฐานการวิเคราะห์และคำนวณมาตรฐานหนึ่งที่จะสะท้อนความเป็นไปได้และความเหมาะสมเชิงเศรษฐศาสตร์ (Economic feasibility) และใช้เปรียบเทียบ หรือ การเลือกสรรโอกาสในการลงทุนในด้านต่างๆ 1. ความนำ Cost/Benefit Analysis เป็นแนวปฏิบัติของการคำนวณวิธีการดำเนินโครงการว่าวิธีการใดที่เหมาะสมมากกว่ากัน หรือ เหมาะสมที่สุดในบรรดาวิธีการหลายวิธีที่พิจารณา เพื่อใช้ในการพิจารณาว่าควรจะดำเนินโครงการรูปแบบใดในอนาคต เพื่อให้เกิดผลผลิต ผลลัพธ์ในระยะยาวที่ดีที่สุด แนวปฏิบัติแบบนี้มักจะนิยมใช้ในการประเมินโครงการบริการสาธารณะ หรือระบบเศรษฐกิจสวัสดิการที่ต้องการให้เกิดผลต่อประชาชนให้อยู่ดีมีสุขมากขึ้น ซึ่งแนวคิดของ Cost/Benefit Analysis กลับมาได้รับการกล่าวถึงในระยะ 1-2 ปีนี้ เมื่อสำนักงานคณะกรรมการนโยบายรัฐวิสาหกิจร่วมกับบริษัท ทริสหยิบยกขึ้นมาเป็นแนวพึงปฏิบัติของรัฐวิสาหกิจ และสำนักงบประมาณเองก็พยายามผลักดันให้ส่วนราชการใช้เป็นวิธีพิสูจน์ความคุ้มค่าของโครงการที่ขอเงินงบประมาณรายจ่ายประจำปี ความเป็นมาของแนวคิด Cost/Benefit Analysis พบว่าย้อนหลังไปเมื่อปี ค.ศ.1844 ด้วยการใช้ในการประเมินโครงการงานบริการสาธารณะในฝรั่งเศส และต่อมาก็ถูกใช้ในการวิเคราะห์และเปรียบเทียบโครงการในสหรัฐ เช่นตามกฎหมายที่มีชื่อว่า The River and Harbour Act 1902 ระบุให้มีการรายงานความเหมาะสมในการดำเนินโครงการโดยอาศัย Cost/Benefit Analysis และยังมีกฎหมายอื่นๆ ที่ต้องระบุผลประโยชน์ที่เกิดกับท้องถิ่นประกอบการนำเสนอโครงการ 2. เศรษฐศาสตร์สวัสดิการพื้นฐานของ Cost/Benefit Analysis แนวคิดของ Cost/Benefit Analysis เป็นแนวคิดที่นักเศรษฐศาสตร์ในอดีตหยิบยกขึ้นมาใช้ในการกำหนดกรอบแนวคิดของเศรษฐศาสตร์สวัสดิการประยุกต์ โดยเชื่อว่าผลประโยชน์มวลรวมที่เป็นตัวเงิน (aggregate money gain) และส่วนที่เป็นความสูญเสียมวลรวม (aggregate money losses) เป็นเครื่องวัดผลประโยชน์ที่มีประสิทธิภาพ (efficiency gains) ของการดำเนินงานโครงการใดๆ ได้ กล่าวคือ กรณีที่ผลสุทธิของมวลรวมที่เป็นผลประโยชน์ลบด้วยส่วนของความสูญเสียออกมาเป็นบวก ก็ถือว่าเป็นดัชนีชี้ว่าส่วนที่เป็นผลประโยชน์ทางการเงินเพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียออกมาเป็นบวก ก็ถือว่าเป็นดัชนีชี้ว่าส่วนที่เป็นผลประโยชน์ทางการเงินเพียงพอที่จะชดเชยความสูญเสียหรือความเสียหายของผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบได้ และยังคงมีผลประโยชน์คงเหลือหรือสวัสดิการที่ขึ้นหลังจากการดำเนินโครงการเสร็จสิ้นแล้ว รวมทั้งแสดงประสิทธิภาพการดำเนินโครงการบริการสาธารณะของภาครัฐ (Harberger 1971) Efficiency gains= Aggregate money gain - Aggregate money losses = positive gains = net monetary gains กรอบแนวคิดสำคัญคือ (1) เมื่อ เกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบายผ่านการดำเนินโครงการบริการสาธารณะของรัฐก็มัก จะมีทั้งผู้ที่ได้รับประโยชน์และผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบ แต่ผลโดยสุทธิควรจะออกมาเป็นบวก หรือผลประโยชน์ทางการเงินสุทธิ หลังจากชดเชยความเสียหายให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบแล้ว ยังคงมีค่าเป็นบวก (2) การ ดำเนินโครงการจึงต้องให้ความสำคัญกับการประมาณขนาดของเงินที่ต้องชดเชยแก่ ผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบอย่างเหมาะสมและพอเพียงที่จะไม่ทำให้ระดับ สวัสดิการของผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบลดต่ำลง (3) เงินชดเชยกลุ่มผู้ที่ได้รับผลกระทบคือเป็นเงื่อนไขหนึ่งของระบบเศรษฐศาสตร์สวัสดิการ 3. การยอมรับแนวคิด Cost/Benefit Analysis ในทางวิชาการในต่างประเทศ ขณะที่เทคนิคและแนวคิด Cost/Benefit Analysis ในงานเชิงวิชาการ เป็นที่ยอมรับและมีชื่อเสียงลดลงมากในสถาบันการศึกษาในสหรัฐอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน แนวคิด Cost/Benefit Analysis กลับได้รับความนิยมอย่างมากมายในส่วนราชการและหน่วยงานภาครัฐในสหรัฐ และทำท่าว่าจะมีแนวโน้มดีขึ้นในอนาคต ทั้งนี้ศาสตราจารย์ทางกฎหมายทางเศรษฐศาสตร์และทางปรัชญา มีความเชื่อว่าการใช้ Cost/Benefit Analysis เป็นการเปิดช่องให้เกิดการสร้างตัวเลขและไม่ช่วยสนับสนุนการตัดสินใจอย่างมี จรรยาบรรณ จึงไม่ควรใช้ในการประเมินทางเลือกในการดำเนินโครงการ มีผู้ให้ความเห็นบางคนระบุว่าข้อมูลที่ใช้ในการประเมินทางเลือกในการดำเนิน โครงการ มีผู้ให้ความเห็นบางคนระบุว่าข้อมูลที่ใช้ในการคำนวณทางการเงินใน Cost/Benefit Analysis เชื่อถือไม่ได้ และไม่มีการอ้างอิงที่มาที่ไปอย่างสมเหตุสมผลเป็นส่วนใหญ่ ฝ่ายที่ออกมาโต้แย้งแนวคิดที่ต่อต้านการใช้ Cost/Benefit Analysis เป็นกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ประยุกต์ที่ได้ใช้แนวคิดทางวิชาการของ Cost/Benefit Analysis ในการประเมินโครงการจริงๆ เห็นว่าวิธีการทำงานของตนตามกระบวนการ Cost/Benefit Analysis ไม่ได้แย่และเลวร้ายอย่างที่นักทฤษฎีทั้งหลายกล่าวหากัน ในระยะหลังๆ นี้มีตำราทางวิชาการออกมาหลายเล่มที่สนับสนุนและชี้ประโยชน์ของการใช้แนวคิด Cost/Benefit Analysis และมีมุมมองในแง่ที่ดีเกี่ยวกับประโยชน์ของการนำกระบวนการดังกล่าวในการตัดสินใจคัดเลือกโครงการ ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่าผู้ใช้ Cost/Benefit Analysis ต้องใช้ความระมัดระวัง ในการอิงวิธีการตั้งสมมุติฐาน และที่มาที่ไปของข้อมูลที่อาจจะไม่เพียงพอและไม่น่าเชื่อถือ (1) หน่วยงานภาครัฐจะนำเอากระบวนการคำนวณ Cost/Benefit Analysis มาใช้เป็นการถาวรก่อนการพิจารณาคัดเลือกทางเลือกในการดำเนินงานโครงการ เพราะหากจุดเริ่มต้นไม่ถูกต้อง และได้รับการยอมรับจะทำให้เกิดการผิดพลาดต่อๆ ไปในระยะยาว (2) หากจะใช้ Cost/Benefit Analysis จะต้องใช้ในลักษณะที่เป็นกฎเกณฑ์ภาคบังคับใช้ให้ครบถ้วนทุกหน่วยงาน เพื่อให้เกิดความเป็นธรรมในการจัดสรรเงินและทรัพยากรไปใช้กับการดำเนินงานโครงการ (3) เงื่อนไขในการใช้ Cost/Benefit Analysis ควรจะรวมเรื่องของผลกระทบต่อสภาพแวดล้อมด้วย (4) การ พิจารณาการดำเนินโครงการควรจะมีลักษณะของการส่งเสริมชักจูงและผลักดันให้ หน่วยงานภาครัฐแต่ละแห่งเริ่มที่จะมีการปรับปรุงประสิทธิภาพของการดำเนินงาน โครงการอย่างต่อเนื่อง (Self improvement) ทั้งในด้านต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ และผลประโยชน์สุทธิที่เพิ่มขึ้น ในส่วนของกลุ่มที่ออกมาตอบโต้ว่าการใช้ Cost/Benefit Analysis ในการประเมินทางเลือกของโครงการชี้ว่า (1) การโจมตีว่าการคำนวณต่างๆ ใน Cost/Benefit Analysis ไม่มีจรรยาบรรณไม่น่าเชื่อถือเป็นประเด็นที่ไม่ถูกต้อง เพราะเทคนิค Cost/Benefit Analysis เป็นเครื่องมือที่พยายามหาคำตอบเพื่อประกอบการตัดสินใจอนุมัติโครงการ จึงไม่ใช่เรื่องของการยึดมาตรฐานด้านจรรยาบรรณหรือคุณธรรมแต่อย่างใด และการพิจารณาเพื่อตัดสินใจก็มุ่งที่จะหาช่องทางดำเนินงานเพื่อให้บรรลุผลตามเป้าหมายได้ดีที่สุด แม้ว่าจะไม่สามารถสร้างผลลัพธ์ที่ดีที่สุดได้ตามที่คาดหมาย แต่ ก็ยังดีที่โครงการจะแสดงได้ว่ามีต้นทุนการดำเนินโครงการต่ำกว่าผลประโยชน์ ที่เกิดขึ้นมากที่สุดเมื่อเปรียบเทียบกับทางเลือกอื่นๆ ที่มี (2) เทคนิคการวิเคราะห์ Cost/Benefit Analysis เป็นวิธีที่เสียค่าใช้จ่ายในการวิเคราะห์ต่ำ เมื่อเทียบกับเทคนิคการวิเคราะห์แบบอื่น เช่น Risk-Risk Analysis หรือมาใช้อย่างเหมาะสมในวิธีการที่ถูกต้องก็ถือว่าเป็นข้อมูลที่เป็นประโยชน์ต่อการตัดสินใจเชิงกลยุทธ์เช่นเดียวกัน โดยแต่ละหน่วยงานของรัฐจะต้องทำการปรับปรุงแนวคิดของ Cost/Benefit Analysis จากต้นแบบเชิงทฤษฎีเป็นแนวคิดที่ประยุกต์ให้เหมาะสมเชิงสังคมนั้นๆ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีความเข้าใจเกี่ยวกับแนวคิดของ Cost/Benefit Analysis อย่างถ่องแท้ (3) มีบางกรณีเหมือนกันที่ Cost/Benefit Analysis อาจจะใช้ไม่ได้ หรือพูดอีกนัยหนึ่ง ผู้ปฏิบัติรู้ดีว่าไม่อาจจะใช้แนวคิดนี้ได้ในกรณีที่ (3.1) ผลกระทบของโครงการที่มีต่อประชาชนไม่เหมือนกัน ไม่เท่ากันจนไม่อาจจะประเมินผลกระทบแบบเหมาๆ แบบค่าเฉลี่ยได้ ก็จะไม่สามารถคำนวณผลประโยชน์สุทธิในรูปของมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (Net Present Value) (3.2) ประเด็นที่พิจารณาตามแนวคิด Cost/Benefit Analysis ไม่ได้รับการยอมรับจากทุกภาคส่วน ซึ่งทำให้ต้องแสดงวิธีการวิเคราะห์แบบอื่นที่เป็นที่ยอมรับมากกว่า 4. แนวคิดการประยุกต์ใช้แนวคิด Cost/Benefit Analysis การนำเอาแนวคิด Cost/Benefit Analysis มาใช้ต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังและใช้อย่างมีสติ มีเหตุมีผล และที่สำคัญต้องมีการดัดแปลงและประยุกต์ใช้ให้เหมาะสมกับเงื่อนไขที่เกี่ยวข้องกับโครงการนั้นๆ แนวทางในการดัดแปลงและประยุกต์ใช้ Cost/Benefit Analysis ที่เป็นไปได้ ได้แก่ (1) การกำหนดน้ำหนักของต้นทุนการดำเนินโครงการ เป็นการนำเอาปัจจัยที่มีความสำคัญในการสะท้อนอรรถประโยชน์ส่วนเพิ่ม (Marginal Utility) ของการลงทุนดำเนินโครงการต่อกลุ่มเป้าหมาย หรือ ที่เป็นตัวสำคัญในการผลักดันต้นทุนและประโยชน์ที่เกิดจากการดำเนินโครงการ มากำหนดเป็นน้ำหนักต่อการคำนวณต้นทุนและผลประโยชน์ เพื่อให้ได้ค่าที่ใกล้เคียงกับความเป็นจริง ซึ่งมักจะใช้ในการเป็นส่วนต้นทุนเป็นสำคัญ และการกำหนดความสำคัญของกลุ่มเป้าหมาย (2) การปรับแต่วิธีการ (methodology) จากที่เคยใช้วิธีการมาตรฐานเดียวในการคำนวณต้นทุน และผลประโยชน์ มาตรฐานการคำนวณต้นทุนมักจะมาจากมาตรฐานทางบัญชีซึ่งเป็นมาตรฐานกลางในการบันทึกรายการทางบัญชีในระบบ General Ledger (G/L) ซึ่งอาจจะไม่เหมาะสมกับการประเมินต้นทุนของทุกโครงการ แนวทางดัดแปลงได้ คือการใช้วิธีการที่เรียกว่า (2.1) Willingness to pay หรือการคำนวณต้นทุนตามความสามารถในการจ่ายของผู้ที่มีระดับความมั่งคั่งแตกต่างกัน (2.2) Willingness to accept หรือการคำนวณต้นทุนตามระดับที่ได้รับการยอมรับ หรือเกณฑ์ที่ยอมรับได้ เพื่อมิให้ผลกระทบทางลบทำให้ระดับความกินดีอยู่ดีหรือความมั่งคั่งของผู้ที่ได้รับผลกระทบลดลง อย่างไรก็ตาม การจัดแปลงและประยุกต์ใช้แนวคิด Cost/Benefit Analysis จะมากหรือน้อย และซับซ้อนเพียงใด ยังขึ้นอยู่กับศักยภาพหรือสมรรถนะในการใช้เทคนิค Cost/Benefit Analysis ของแต่ละหน่วยงานภาครัฐเป็นสำคัญด้วย ในหน่วยงานภาครัฐกับแนวคิด Cost/Benefit Analysis ก็จะได้ประโยชน์ในการนำเอาแนวคิดนี้ไปใช้ได้ในระยะยาว และในบางกรณีอาจจะต้องขึ้นอยู่กับรูปแบบความต้องการบริการสาธารณะเชิงสังคมของกลุ่มเป้าหมาย และทางเลือกที่มีอยู่มีมากน้อยแค่ไหน กรณีที่มีบริการเชิงพาณิชย์ที่ดำเนินการให้บริการโดยธุรกิจเอกชนเป็นตัวเปรียบเทียบและเสมือนแข่งขันกับบริการสาธารณะเชิงสังคม แนวทางการใช้ Cost/Benefit Analysis ก็จะมีความจำเป็นต้องดัดแปลงและประยุกต์ใช้ให้แตกต่างกัน (3) การใช้ Cost/Benefit Analysis ที่สอดคล้องกับหลักจริยธรรมและธรรมาภิบาลที่ผู้บริหารประเทศหรือรัฐบาลใช้เป็นปรัชญาหรือหลักการในการบริหารประเทศ อย่างเช่น รัฐบาลที่ยึดหลักประโยชน์นิยม (Utilitarianism)จะ เชื่อว่าโครงการนั้นๆ ควรจะดำเนินการตราบเท่าที่บุคคลที่ได้รับประโยชน์จากการดำเนินงานของโครงการ มากกว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบทางลบ โดยเชื่อว่าทุกคนต้องการบริการสาธารณะเชิงสังคมเช่นเดียวกัน และยอมรับกลุ่มที่ได้รับผลกระทบทางลบได้ แต่ถ้ารัฐบาลยึดหลักว่าการดำเนินโครงการใดๆ จะต้องสร้างประโยชน์แก่ผู้ที่เกี่ยวข้องทุกคน หมาย ความว่าผู้ที่ได้รับผลกระทบทางลบจะต้องได้รับการชดเชยอย่างพอเพียงที่จะไม่ ทำให้สถานะของความกินดีอยู่ดีเลวลงจากก่อนที่จะเกิดการดำเนินโครงการนั้นๆ หากการดัดแปลงและประยุกต์ใช้ Cost/Benefit Analysis อย่างเหมาะสมก็จะสามารถใช้เป็นเครื่องมือในการคัดเลือกโครงการที่ตอบสนองกับนโยบายของรัฐบาลได้ ประเด็นที่ต้องระมัดระวังในการนำเอา Cost/Benefit Analysis มาใช้ในการประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินโครงการบริการสาธารณะเชิงสังคมของภาครัฐ คือ (1) Cost/Benefit Analysis เป็นกระบวนการในการระบุต้นทุนและประโยชน์ที่คาดว่าจะเกิดจากการดำเนินโครงการ เพื่อประเมินหาผลประโยชน์สุทธิว่ามีมูลค่าทางการเงินเป็นบวกหรือเป็นลบ และมีทางเลือกในการดำเนินการกี่ทางเลือกแต่ละทางเลือกให้ผลประโยชน์สุทธิที่เป็นตัวเงินแตกต่างกันอย่างไร โดยแต่ละทางเลือกมุ่งไปสู่เป้าหมายของการให้บริการสาธารณะเหมือนกัน (2) Cost/Benefit Analysis จึงเป็นเครื่องมือที่อยู่ในขั้นตอนของการตัดสินใจแก้ไขปัญหา (decision problem solving) และการใช้หลักการเลือกทางเลือกที่ดีกว่า โดยใช้ต้นทุนและผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินเป็นเงื่อนไขในการพิจารณา (3) Cost/Benefit Analysis ใช้หลักเกณฑ์ของมูลค่าปัจจุบันสุทธิ (net present value creation) เป็นแนวทาง ซึ่งมูลค่าปัจจุบันเป็นสุทธินี้เป็นเกณฑ์ที่ได้รับการยอมรับกันโดยทั่วไป เพื่อให้ผู้ตัดสินใจคัดเลือกโครงการเลิกการใช้มูลค่าที่เป็นตัวเงินรายปี (annual value) ซึ่งทำให้การตัดสินใจเกิดการบิดเบือน เนื่องจากต้นทุนในการดำเนินโครงการอาจจะเกิดขึ้นจริงในระหว่างการดำเนินโครงการ เช่น โครงการระยะ 1 ปี จะเกิดต้นทุนในช่วง 1 ปี แต่ต้นทุนที่จ่ายออกไปในช่วง 1 ปีจะก่อให้เกิดผลประโยชน์ในอีกหลายปีในอนาคต เช่นอีก 10 ปี ไม่ใช่เพียงปีเดียวเหมือนรายจ่ายด้านต้นทุน จึงจะประเมินประสิทธิภาพของการดำเนินโครงการต่อความกินดีอยู่ดีที่แท้จริงของประชาชน หรือแสดงผลลัพธ์ (out comes) ได้อย่างแท้จริง (4) การประเมินผลประโยชน์จากการดำเนินโครงการจะต้องใช้ราคาตลาด (market price) เป็นตัวชี้วัดเงื่อนไขการดำเนินโครงการ เพื่อให้มูลค่าที่เป็นตัวเงินเป็นมูลค่าที่แท้จริง ในกรณีที่มีการใช้ราคาควบคุม (shadow price) ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาด ต้องถือส่วนต่างระหว่างราคาตลาดกับราคาที่ถูกควบคุมเพดานไว้เป็นส่วนหนึ่งของผลประโยชน์ที่เป็นตัวเงินที่เกิดจากการดำเนินโครงการ (5) ในฐานะที่เป็นโครงการของภาครัฐ การประเมินต้นทุนและผลกระทบจากการดำเนินโครงการ จึงต้องวิเคราะห์ผลกระทบทางสังคมและผลกระทบต่อสภาพแวดล้อม (Social and environmental impact analysis) และการวิเคราะห์ความอ่อนไว (Sensitivity analysis) ซึ่งกำหนดสถานการณ์ที่แตกต่างกันอย่างน้อย 3 สถานการณ์คือ best case, normal cast และ worst case (6) ความมีประสิทธิภาพของการดำเนินโครงการยังขึ้นอยู่กับอัตราส่วนลด 9discount rate) ที่ ใช้ในการคำนวณหามูลค่าปัจจุบันของผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นว่าคิดค่าเสียโอกาส ในการดำเนินโครงการหรือค่าที่ควรจะเป็นของผลตอบแทนจากโครงการในการดำเนิน โครงการหรือค่าที่ควรจะเป็นของผลตอบแทนจากโครงการบริการสาธารณะเชิงสังคม ต่างๆ อย่างไร และแตกต่างกันมากน้อยขนาดไหนในระหว่างรัฐวิสาหกิจและส่วนราชการที่แตกต่างกันตามยุทธศาสตร์ (Agenda) (7) ผลที่ได้จากการใช้ Cost/Benefit Analysis อาจจะออกมาแตกต่างกันมาก ระหว่างโครงการที่มีการจัดเก็บข้อมูล ผลประโยชน์เชิงสังคม (social benefit or out comes) กับที่ไม่เคยมีการจัดเก็บข้อมูล เพราะอาจจะขาดแนวทางในการประเมินผลประโยชน์เหล่านี้ออกมาเป็นมูลค่าทางการเงิน และพิสูจน์ทางเลือกที่เหมาะสมของโครงการ |
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น