คมชัดลึก
ประธานศาลอุทธรณ์ ทำความเห็นแย้ง องค์คณะผู้พิพากษา คดีเลี่ยงภาษีบริษัทชินวัตร
ไม่เห็นด้วยรอการลงโทษ 'บรรณพจน์' ระบุ เงินเลี่ยงภาษีสูง ควรต้องโทษจำคุก 2 ปี
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า จากกรณีที่ศาลอุทธรณ์มีคำพิพากษา ให้รอการลงโทษจำคุก นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ ที่เป็นจำเลยที่ 1
ในคดีเลี่ยงภาษี บริษัทชินวัตร คอมพิวเตอร์ ฯและให้ยกฟ้องคุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา นั้น
ปรากฏว่า คดีนี้ นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานศาลอุทธรณ์ ได้ทำความเห็นแย้งองค์คณะผู้พิพากษาไว้ โดยเห็นว่า
ไม่ควรรอการลงโทษจำคุกไว้ เนื่องจากภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาที่มีการหลีกเลี่ยงในคดีนี้มีจำนวนสูง
สำหรับรายละเอียด ในความเห็นแย้ง ของประธานศาลอุทธรณ์ มีดังนี้
ความเห็นแย้ง ลงวันที่ 3 มิ.ย 2554 ความอาญาระหว่างพนักงานอัยการ สำนักงานอัยการสูงสุด โจทก์
นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ จำเลยที่ 1 คุณหญิงพจมาน ชินวัตร จำเลยที่ 2 นางกาญจนาภา หงษ์เหิน หรือหงส์เหิน จำเลยที่ 3
เรื่องความผิดต่อประมวลรัษฎากร
ข้าพเจ้าได้ตรวจสำนวนคดีนี้แล้ว ที่ผู้พิพากษาองค์คณะทั้งสามคนพิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1
มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ( 2 ) ลงโทษจำคุก 2 ปี และปรับ 100,000 บาท โทษจำคุกให้รอไว้มีกำหนด 1 ปี
หากไม่ชำระค่าปรับให้จัดการตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 29,30 แต่มิให้กักขังเกินกว่า 1 ปี ข้อหาอื่นให้ยก
และให้ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาของศาลชั้นต้นนั้น
ข้าพเจ้าเห็นว่า ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ที่มีการหลีกเลี่ยงในคดีนี้มีจำนวนสูงถึง 273,060,000 บาท
ไม่สมควรรอการลงโทษจำคุกจำเลยที่ 1
อาศัยพระธรรมนูญศาลยุติธรรมมาตรา 11 ( 1 ) จึงขอทำความเห็นแย้งว่า
"พิพากษาแก้เป็นว่า จำเลยที่ 1 มีความผิดตามประมวลรัษฎากร มาตรา 37 ( 2 ) ลงโทษจำคุก 2 ปี
ยกฟ้องสำหรับจำเลยที่ 2 และที่ 3 นอกจากที่แก้ให้เป็นไปตามคำพิพากษาศาลชั้นต้น
นายชัยสิทธิ์ ตราชูธรรม ประธานศาลอุทธรณ์
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับเหตุผลที่ศาลอุทธรณ์ เห็นควรรอการลงโทษจำคุก นายบรรณพจน์นั้น
องค์คณะในคดีนี้ ให้เหตุผลว่า ประมวลรัษฎากร เป็นกฎหมายที่มีเจตนาเพื่อให้การจัดเก็บภาษีของเจ้าหน้าที่สรรพากร
เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งหวังให้รัฐได้รับการชำระหนี้ ซึ่งความรับผิดทางอาญาที่ประมวลรัษฎากรบัญญัติไว้
จึงเป็นเพียงมาตรการเสริมการจัดเก็บภาษีให้มีประสิทธิภาพสูงขึ้นเท่านั้น
อีกทั้งจำเลยที่ 1 เป็นเพียงนักธุรกิจ ไม่ใช่ผู้มีอำนาจหรือดำรงตำแหน่งทางการเมือง โดยเมื่อถูกตรวจสอบเรื่องการรับโอนหุ้น
ก็ยอมรับว่าได้มาจากจำเลยที่ 2 ซึ่งไม่ปรากฏว่า จำเลยที่ 1 เคยต้องโทษจำคุกมาก่อน หรือมีชื่อเสียงเป็นผู้อิทธิพล
ผู้ประกอบอาชีพในทางไม่สุจริต
โดยจำเลยที่ 1 เคยรับราชการมาก่อน และสร้างคุณงามความดีให้กับสังคม
ด้วยการบริจาคเงินจำนวนมากฃให้กับมูลนิธิไทยคมเพื่อส่งเสริมการศึกษาให้กับผู้ที่ด้อยโอกาส
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
►
2012
(274)
- ► กุมภาพันธ์ (51)
-
▼
2011
(1241)
-
▼
สิงหาคม
(263)
-
▼
26 ส.ค.
(11)
- เป้าหมาย"ธิดา"เปลี่ยนเหลืองเป็นแดง!!
- ตำรวจไทย อย่าคิดว่าประชาชนโง่ ได้มั้ย??
- ช่วยผู้หนีความผิด มาตรา 189 และ 192 สองมาตรา 5 ปีเ...
- ปัญหานโยบายในการหาเสียง
- Cost/Benefit Analysis เครื่องมือหลักในการเลือกแนวท...
- ประธานศาลอุทธรณ์เห็นแย้ง-คดีหุ้นชิน
- รัฐบาลบิดพลิ้ว
- ความรู้สึกของชาวมุกจาร์ ต่อพระมหากษัตริย์ไทย
- ไม่แก้กฎหมายมาตรา 112 ล้านเปอร์เซ็นต์
- “รายได้ขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท” กับ “ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐ บาท...
- รัฐบาล "ยิ่งหลอก"
-
▼
26 ส.ค.
(11)
-
▼
สิงหาคม
(263)
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น