บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554

คนเขียนวิเคราะห์การเมืองวันอาทิตย์ไทยรัฐ ที่ถูกสอบสวนรับเงินพรรคเพื่อไทย ตีเข้าแสกหน้าทักษิณเต็ม ๆ

by Canไทเมือง
กลไกรัฐเสียขวัญ กู้ภัยน้ำท่วมติดขัด

การก้าวขึ้นสู่เก้าอี้นายกรัฐมนตรีของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลังจากพรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้งอย่างท่วมท้นถล่มทลาย

ถือได้ว่าเป็นการก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯอย่างง่ายดาย รวดเร็ว

แต่เมื่อมาถึงบทบาทในฐานะนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์สบประมาทว่า

เป็นแค่เงา เป็นแค่หุ่นเชิดของพี่ชายที่ชื่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกฯ

จากการทำงานเดือนกว่าๆบนเก้าอี้นายกฯของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ภาพที่ปรากฏต่อสาธารณะก็เริ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ ตามที่มีเสียงวิพากษ์ วิจารณ์

“เป็นแค่เงา เป็นแค่หุ่นเชิดของพี่ชาย”

ปรากฏการณ์ตรงนี้ ถือเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วไม่แพ้ กัน ส่งผลให้ภาวะผู้นำของ “ยิ่งลักษณ์” ถูกลดทอนแทบหายไปหมด

ทั้งนี้ หากย้อนกลับไปดูว่า เหตุใดภาวะผู้นำในการบริหารประเทศของ น.ส.ยิ่งลักษณ์จึงตกอยู่ในสภาพถูกลดทอนอย่างรวดเร็ว

ต้อง ยอมรับว่า ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา พรรคเพื่อไทยได้ชัยชนะอย่างถล่มทลาย พรรคเดียวได้ ส.ส.เกินครึ่งสภาฯ โดยน.ส.ยิ่งลักษณ์เพิ่งโดดเข้ามาเล่นการเมืองเพียง 40 กว่าวัน และถึงแม้ไม่ได้เป็นหัวหน้าพรรค แต่ก็ถูกวางตัวเป็นผู้สมัคร ส.ส.บัญชีรายชื่อลำดับ 1 และได้มติเอกฉันท์จากพรรคให้เป็นนายกฯ

ถือเป็นการเข้ามาแบบก้าวกระโดด ไม่ต้องลุ้นให้ลำบากยากเย็น

เพราะมีสถานะเป็น “น้องสาว” ของ “ทักษิณ” ที่เป็นเจ้าของพรรคตัวจริง และเป็น “นายใหญ่” ของคนในพรรคเพื่อไทย

ไม่ได้ก้าวขึ้นมาด้วยประสบการณ์ทางการเมือง หรือบารมีของตัวเองแต่อย่างใด

แน่ นอน เมื่อพูดถึงการเมืองในระบอบประชาธิปไตยสากลทั่วไป การทำพรรคเพื่อให้ชนะเลือกตั้ง ถือเป็นเรื่องยาก และที่ยากกว่าก็คือ เมื่อชนะเลือกตั้งแล้วได้เป็นนายกฯ

แต่สำหรับ “ยิ่งลักษณ์” ผ่านทั้ง 2 ขั้นตอนนี้ไปด้วยความง่ายดาย เพราะมีพี่ชายที่ชื่อ “ทักษิณ” เป็นผู้ผลักดันปูทางให้ทุกอย่าง

ปรากฏการณ์ตรงนี้ถือเป็นข้อเท็จจริงที่ยากจะปฏิเสธได้

แต่ สิ่งที่ยากที่สุดของ น.ส.ยิ่งลักษณ์หลังจากก้าวขึ้นมานั่งเก้าอี้นายกฯ ก็คือ การดำรงสถานะผู้นำรัฐบาลบริหารประเทศให้เป็นที่ยอมรับของประชาชน

ซึ่งจากภาพความเป็นจริงที่ปรากฏ ต้องยอมรับว่าในห้วง เดือนกว่าๆ ที่นายกฯยิ่งลักษณ์เข้ามาบริหารราชการแผ่นดิน

บทบาทการเป็นผู้นำ ถูกท้าทายอย่างยิ่ง

ไล่ตั้งแต่เรื่องการโยกย้ายข้าราชการ ที่เคยประกาศเอาไว้ตั้งแต่วันแรกที่เข้ารับตำแหน่งนายกฯว่า

แก้ไข ไม่แก้แค้น

แต่สิ่งที่เห็นและยังดำเนินอยูู่่ ปรากฏว่ามีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการแบบล้างบาง หลายตำแหน่งหลายหน่วยงาน

จน ถึงขั้นที่ข้าราชการระดับสูงบางคนทนไม่ไหว ยื่นเรื่องร้องเรียนต่อคณะกรรมการพิทักษ์ระบบคุณธรรม (ก.พ.ค.) ขอความเป็นธรรม เพื่อรักษาเกียรติภูมิและศักดิ์ศรี

ขณะที่ข้าราชการ หลายคนต้องจำยอมรับสภาพการโยกย้ายที่เกิดขึ้น เพราะไม่ต้องการที่จะไปงัดง้างกับอำนาจฝ่ายการเมืองที่อยู่เหนือข้าราชการ ประจำ

รวมทั้งการตั้งธงย้าย พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร. ไปดำรง ตำแหน่งเลขาธิการ สมช. เพื่อเปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ รอง ผบ.ตร. พี่ชายของอดีตพี่สะใภ้นายกฯยิ่งลักษณ์ ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่ง ผบ.ตร.

ยังไม่รวมเรื่องการขับเคลื่อนกระบวนการต่างๆที่เกี่ยวข้อง เกี่ยวพันกับการช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ ให้เดินทางกลับประเทศไทยโดยไม่ต้องรับโทษทางอาญา และเรื่องคดีความต่างๆ

ไม่ว่าจะเป็นการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เรื่องยื่นฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ การหาช่องพลิกคดีจัดซื้อที่ดินรัชดาฯ

ปรากฏการณ์เหล่านี้ ล้วนเป็นสิ่งที่ท้าทายต่อภาวะผู้นำของนายกฯทั้งสิ้น

และ เป็นปมที่ทำให้สังคมขาดความเชื่อมั่น เกิดความกังขาต่อภาวะผู้นำของนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า เป็นเพียงหุ่นเชิดของพี่ชายอย่างที่มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์กันหรือไม่

เหนือ อื่นใด สิ่งที่ถูกจับตาอย่างมากในห้วงเดือนกว่าที่ น.ส.ยิ่งลักษณ์เข้ามาเป็นผู้นำบริหารประเทศ ก็คือ เรื่องการตัดสินใจและใช้อำนาจของนายกฯ

เพราะจากภาพที่ปรากฏออกมา เหมือนกับประเทศไทยมีผู้ใช้อำนาจนายกฯหลายคนหลายกลุ่ม

ที่แน่ๆเลยก็คือ นายกฯยิ่งลักษณ์ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล ที่เป็นผู้ใช้อำนาจบริหารราชการแผ่นดินตามกฎหมาย

โดยมีคณะที่ปรึกษาต่างๆให้คำปรึกษาชี้แนะ มีคณะรัฐมนตรีพิจารณาให้ความเห็นชอบมติ ครม. และมีนายกฯเป็นผู้มีอำนาจสั่งการตามกฎหมาย

ตรงจุดนี้ ถือเป็นการใช้อำนาจในการบริหารราชการแผ่นดินของผู้นำฝ่ายบริหารตามครรลองปกติภายใต้บทบัญญัติของรัฐธรรมนูญและกฎหมาย

แต่ ขณะเดียวกัน ในทางลึกและทางลับ ก็ยังมีคณะผู้บงการอยู่เบื้องหลัง ซึ่งเป็นที่รู้กันโดยทั่วไปในแวดวงการเมืองว่า เขาผู้นั้นก็คือ “อดีตนายกฯทักษิณ” พี่ชายของนายกฯยิ่งลักษณ์

ที่สำคัญ พ.ต.ท.ทักษิณได้ประกาศอย่างเต็มปากเต็มคำว่า เป็นผู้ที่ผลักดันให้น้องสาวเข้ามาสู่วงการเมือง และก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งนายกฯ และเป็นผู้ให้คำแนะนำแก่นายกฯยิ่งลักษณ์ในการจัดสรรบุคคลเข้ามาดำรงตำแหน่ง ในคณะรัฐมนตรีชุดนี้

ฉะนั้น จึงไม่ใช่เรื่องแปลกที่ พ.ต.ท.ทักษิณจะมีทีมที่ปรึกษา และมีคนที่เป็นสายตรงเข้ามานั่งเป็นรัฐมนตรีอยู่ใน ครม.ชุดนี้

นั่นก็หมายความว่า ในทางลับมีอำนาจในการสั่งในเรื่องที่ต้องการได้โดยตรง

ตรงจุดนี้ ถือเป็นอำนาจแฝงภายนอก ที่เข้ามาใช้อำนาจบริหารสั่งการของนายกฯ

นอก จากนี้ ยังมีคนในรัฐบาลที่เป็นเสมือนผู้ใช้อำนาจแทนนายกฯยิ่งลักษณ์ โดยเปิดฉากแสดงบทบาทให้เห็นตั้งวันแรกที่รัฐบาลแถลงนโยบายต่อรัฐสภา

นั่นก็คือ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ที่รับบทตัวชนออกมาชี้แจงตอบโต้ฝ่ายค้าน พรรคประชาธิปัตย์ ทั้งในสภาฯและนอกสภาฯ

โดยเฉพาะในเรื่องการเปิดคิวโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี จากเก้าอี้เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ ไปเป็นที่ปรึกษานายกฯ

เพื่อ เปิดช่องในการที่จะโยกย้าย พล.ต.อ.วิเชียรไปเสียบแทนเก้าอี้เลขาธิการ สมช. เปิดทางให้ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ขยับขึ้นเป็น ผบ.ตร. ตามธงที่วางกันไว้

รับหน้าที่พูดแทน ทำแทนนายกฯยิ่งลักษณ์ เกือบทั้งหมด มีบทบาทโดดเด่นมากใน ครม.

แทบจะเรียกว่าเป็น “นายกฯน้อย” เลยก็ว่าได้

ส่วน อีกกลุ่มหนึ่งที่ถูกมองว่ามีอำนาจมากในรัฐบาลชุดนี้ ก็คือ กลุ่มแกนนำคนเสื้อแดง ที่มีทั้งพวกที่เป็น ส.ส. และพวกที่เข้ามารับตำแหน่งผู้ช่วยรัฐมนตรี ที่ปรึกษาและเลขานุการรัฐมนตรี

ชัดเจนว่า คนกลุ่มนี้ทำหน้าที่เป็น รปภ.ให้ “นายใหญ่” มาตลอด และวันนี้ก็มีหน้าที่อารักขารัฐบาล “ยิ่งลักษณ์” ด้วย

นี่คือ ปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น และเป็นตัวเขย่าภาวะผู้นำของนายกฯยิ่งลักษณ์ ส่งผลกระทบต่อการทำงานบริหารแก้ไขปัญหาประเทศไปพร้อมๆกัน

ทั้ง นี้ ในภาวะที่รัฐบาลเพิ่งชนะการเลือกตั้งพลิกขั้วเข้ามาบริหารประเทศ การเร่งปฏิบัตินโยบายที่หาเสียงไว้กับประชาชนถือเป็นเรื่องจำเป็น

ช่วง เดือนแรกในการทำงานของรัฐบาลจึงต้องเร่งปฏิบัติโครงประชานิยมออกมาเป็นระลอก หลายโครงการ บางโครงการเริ่มปฏิบัติได้ แต่บางโครงการก็มีปัญหาตามมามากมาย แต่ก็ต้องเร่งทำต่อไป

เพื่อปั่นแต้มเลี้ยงกระแสความนิยมที่ทำให้ชนะเลือกตั้งเอาไว้

แต่ขณะเดียวกัน ก็ถือว่ารัฐบาลนี้โชคร้ายที่เข้ามาเจอกับฤทธิ์เดชภัยธรรมชาติ เกิดน้ำท่วมใหญ่ทั้งภาคเหนือ ภาคอีสาน ภาคกลาง และภาคใต้

หลาย จังหวัด หลายพื้นที่ยังอยู่ในสภาพอ่วมหนัก น้ำท่วมสูงมิดหลังคา น้ำป่าซัด ดินถล่ม ผู้คนบาดเจ็บล้มตาย ถนนพัง สะพานขาด เรือกสวนไร่นาจมน้ำ

โดย เฉพาะพื้นที่ภาคกลาง หลายจังหวัด หลายพื้นที่ จมน้ำกลายเป็นเมืองบาดาล ประชาชนเรือนล้าน เดือดร้อนแสนสาหัส พืชผลการเกษตรเสียหาย บ้านเรือนถูกน้ำซัดพัง ทรัพย์สินสูญหาย สิ้นเนื้อประดาตัว

ทุกชีวิตที่ได้รับความเดือดร้อน ฝากความหวังให้รัฐบาลเร่งเข้าไปช่วยเหลือ

ในขณะที่รัฐบาลเองก็ทำอะไรได้ไม่มากไปกว่าสั่งบูรณาการการแก้ปัญหา โดยให้กระทรวงต่างๆที่เกี่ยวข้องประสานร่วมมือกันเข้าไปช่วยเหลือ

เพราะ ภัยธรรมชาติน้ำท่วมเป็นวงกว้าง จำเป็นต้องใช้กลไกของฝ่ายราชการเป็นหัวหอกในการเข้าไปแก้ไขช่วยเหลือ ถึงขั้นที่นายกฯยิ่งลักษณ์ต้องใช้คำว่าขอร้องให้ทุกฝ่ายให้ความร่วมมือ

แต่ก็บังเอิญที่รัฐบาลชุดนี้เข้ามาบริหารประเทศในห้วงที่เป็นฤดูแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการประจำปีพอดิบพอดี

และ เป็นการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการในห้วงที่มีการเปลี่ยนขั้วเปลี่ยนดุลอำนาจ ทางการเมือง จึงทำให้เกิดปัญหาการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการที่อยู่นอกแนวทาง “แก้ไข ไม่แก้แค้น” เกิดขึ้น

ภายใต้การสั่งการแทรกแซงจากอำนาจแฝงภายนอกรัฐบาล

ทำให้การแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการบางกระทรวง บางหน่วยงาน บางตำแหน่งถูกมองว่าเป็นการแก้แค้นเอาคืน ล้างบางคนของฝ่ายตรงข้าม

จากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้น ทำให้ขวัญกำลังใจข้าราชการหดหาย

โดย เฉพาะอย่างยิ่งในส่วนของกระทรวงมหาดไทย ที่จ่อรอคิวแต่งตั้งโยกย้าย ไล่ตั้งแต่ระดับปลัดกระทรวง อธิบดีกรมสำคัญๆ ทั้งกรมการปกครอง กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย กรมโยธาและผังเมือง กรมส่งเสริมการปกครองท้องถิ่น รวมไปถึงผู้ว่าราชการจังหวัดหลายจังหวัดที่ถูกหมายหัว

ปรากฏการณ์ อย่างนี้ ย่อมบั่นเซาะขวัญกำลังใจในการทำงาน เกิดอาการพะว้าพะวังในสถานะของตัวเอง ซึ่งจะมีผลทำให้การแก้ไขปัญหาวิกฤติน้ำท่วมติดขัดชะงักงันไปด้วย

แน่นอน ปัญหานี้แม้ต้นเหตุมาจากอำนาจแฝง แต่ผู้ที่มีอำนาจอย่างเป็นทางการ คือนายกฯยิ่งลักษณ์ จะต้องเป็นผู้รับ ผิดชอบเต็มๆ

สิ่งที่เกิดขึ้นจึงถือว่าเป็นวิบากกรรมของ “ยิ่งลักษณ์”

ขณะเดียวกัน มันก็ส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อน กลายเป็นวิบากกรรมของประชาชน

และสุดท้ายที่หนีไม่พ้นก็คือ เป็นวิบากกรรมของประเทศ.



“ทีมการเมือง”

ไทยรัฐออนไลน์
โดย ทีมข่าวการเมือง
18 กันยายน 2554, 05:03 น.

0000000000000
ผลสอบสวนอนุกรรมการของสภาการหนังสือพิมพ์หน้า 14

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง