นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า ขณะนี้ ธปท.ยังไม่ได้เลิกล้มแผนการนำเงินทุนสำรองทางการระหว่างประเทศไป ลงทุนเพื่อหาผลตอบแทนเพิ่มเติม ซึ่งการศึกษารูปแบบการจัดตั้งบริษัทจำกัด เพื่อลงทุนในหุ้นและพันธบัตรอื่นๆเพิ่มเติมจากที่ทุนสำรองฯปัจจุบัน ลงทุนได้ ด้วยตามที่คณะกรรมการ ธปท. (กกธ.) นำเสนอมาเป็นแนวทางหนึ่งที่ศึกษาอยู่ ขณะเดียวกัน ยังอยู่ในกระบวนการศึกษารูปแบบต่างๆ จากประสบการณ์ของประเทศต่างๆว่ามีข้อดีและข้อเสียอย่างไรบ้าง ซึ่งต้องใช้เวลาอีกระยะหนึ่ง เพราะต้องหารือกับหน่วยงานอื่นที่เกี่ยวข้องด้วย
“ตอนนี้ อยู่ในชั้นที่มีการศึกษาข้อดีและข้อเสียแต่ละแนวทางที่หลาย ประเทศเขาทำกัน และนำแนวทางเหล่านี้มาเป็นตัวอย่าง อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าจะเลือกแนวทางไหน การแก้ไขกฎหมายก็จะต้องเกิดขึ้น และ ธปท.เองก็ต้องมีการปรึกษาหารือกับกระทรวงการคลัง เพื่อขอความคิดเห็นร่วมกันด้วย จึงมองว่ากระบวนการทั้งหมดไม่ใช่ว่าจะเสร็จภายใน 1-2 วัน ต้องใช้เวลาพอสมควร ซึ่งเป็นเรื่องธรรมดาที่อาจมีบางประเด็นที่คนใน ธปท.เองก็อาจจะมีความเห็นแตกต่างกันบ้างในช่วงที่ผ่านมา แต่ไม่ใช่เรื่องที่ทำไม่ได้”
นายประสารกล่าวถึงกรณีที่งบ การเงินของ ธปท.ล่าสุดปี 53 ที่ขาดทุน 117,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นการขาดทุนจากอัตราแลกเปลี่ยนถึง 103,000 ล้านบาท ทำให้ยอดขาดทุนสะสมสูงถึง 199,000 ล้านบาท ว่า การขาดทุนที่เกิดขึ้นไม่น่ากังวล เพราะต่างกับสมัยปี 40 ที่ไม่มีเงินสำรองเหลืออยู่เลย แต่การขาดทุนในปีนี้เป็นเพียงการตีมูลค่าทางบัญชีรูปเงินบาท แต่ในความเป็นจริงเงินสำรองเหล่านั้นยังอยู่ในรูปเงินดอลลาร์ หรือเงินตราต่างประเทศต่างๆอยู่
ทั้งนี้ การขาดทุนดังกล่าวมีสาเหตุที่สามารถอธิบายได้จากการทำหน้าที่ ของ ธปท. โดยส่วนหนึ่งเกิดจากการเข้าไปดูแลอัตราแลกเปลี่ยนไม่ให้เงิน บาทแข็งค่ามากเกินไปจนกระทบผู้ส่งออกและให้ภาคธุรกิจปรับตัว ได้ และอีกส่วนหนึ่งเพื่อดูดซับสภาพคล่อง เพื่อไม่ให้อัตราเงินเฟ้อสูงเกินไป
“เป็นหน้าที่ของธนาคาร กลางก็ต้องดำเนินการเช่นนี้ เพื่อให้ภาวะเศรษฐกิจและภาคธุรกิจเรียบร้อยเป็นอย่างดี ซึ่งเป็นผลให้ ธปท.อาจขาดทุน แต่เมื่อใดที่เงินบาทอ่อน ซึ่งสะท้อนภาวะเศรษฐกิจไม่ดี ตอนนั้นเราก็มีกำไรจากอัตราแลกเปลี่ยน ซึ่งในปีนี้ ธปท.มีโอกาสขาดทุนและกำไรทั้งสองด้าน เพราะค่าเงินบาทมีความผันผวนและเคลื่อนไหว 2 ทิศทาง และยังบอกไม่ได้ว่าจะไปในทิศทางใด” ผู้ว่าการ ธปท.กล่าว.
ไทยรัฐออนไลน์
1 ความคิดเห็น:
เออ!! แสนล้าน เอง
แสดงความคิดเห็น