"ดร.เกษียร เตชะพีระ" ปาฐกถาวิพากษ์การเมือง เผยระเบิด 3 ลูกที่ "ยิ่งลักษณ์" ต้องเจอ
วันที่ 08 กรกฎาคม พ.ศ. 2554 เวลา 21:19:39 น.
|
เมื่อเวลา 13.45 น.วันที่ 8
ก.ค.ที่ห้องบางกอกคอนเวนชันเซ็นเตอร์ โรงแรมเซ็นทาราแกรนด์ รศ.ดร. เกษียร
เตชะพีระ อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
ได้กล่าวปาฐกถาพิเศษ "บ้านเมืองเรื่องของเรา" วิพากษ์สังคมและการเมืองไทย
พร้อมวิพากษ์แนวนโยบายของรัฐบาลใหม่ โดยรศ.ดร. เกษียร เตชะพีระ กล่าวว่า
ช่วง 4-5 ปีที่ผ่านมา
บ้านเมืองกำลังเปลี่ยนแปลงทั้งในหมู่ชนชั้นนำที่ไม่ได้มาจากการเลือกตั้ง
จนเลยไปสู่การเป็นกลุ่มชนชั้นนำที่มาจากการเลือกตั้ง
ซึ่งไม่ได้เป็นครั้งแรกที่สังคมเกิดความเปลี่ยนแปลง สังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงมาแล้ว 2 ครั้งคือ ในปีพ.ศ. 2475 และช่วง 14 ตุลา พ.ศ. 2516
ที่มีการพัฒนาการทางเศรษฐกิจ โดยมีความขัดแย้งระหว่างกลุ่มเก่า คือทหาร
และข้าราชการ กับกลุ่มใหม่คือ ชนชั้นกลาง
และกลุ่มนายทุนหัวเมืองต่างจังหวัด
พลังการเปลี่ยนแปลงจากชนชั้นนำไปสู่คนส่วนใหญ่ จนมวลชนยกขบวนเข้าสู่การเมืองในขนาดใหญ่ ส่วนที่เรากำลังพบตอนนี้คือ มวลชนทางการเมืองระดับชาติ 2 ขบวน คือกลุ่มเสื้อเหลือง และแดงที่ไม่ได้จัดตั้งโดยระบบราชการ ถือได้ว่าเป็นความใหม่
ทั้งนี้ ไม่ได้หมายความว่าไม่มีทหาร
หรือข้าราชการแต่โดยพื้นฐานนี่คือขบวนการที่เกิดเอง ดังนั้น
จึงเพิ่มความรู้สึกไม่มั่นคงให้กับราชการที่มีหน้าที่ดูแลความมั่นคง
ดร.เกษียร กล่าวต่อว่า ในด้านความเปลี่ยนแปลงในระบอบเศรษฐกิจ
การก่อตัวของนโยบายจากการพัฒนาที่ชี้นำโดย "เทคโนแครต"
ไปเป็นโยบายการกระจายความมั่งคั่ง ขับเคลื่อนด้วยพลังทางการเมือง
แต่ทุกวันนี้ภาพนี้หายไป กลายเป็นภาพในห้องที่เป็นตัวแทนกลุ่ม
ธุรกิจกับทีมที่ปรึกษาทำหน้าที่หาสมดุลที่รับได้ระหว่างผลประโยชน์ส่วนรวม
และส่วนธุรกิจ โดยเทคโนแครตคอยแนะอยู่ข้างห้อง ส่วนบรรดาส.ส.ตัวแทน
หรือม็อบ กดดันภายนอก เป็นนโยบายที่วางบนการกดดันของการเมือง
ดังนั้น สภาพมันเปลี่ยนแปลงไป
ในแง่กลับกันมีความเปลี่ยนแปลงภาวะเศรษฐกิจแวดล้อมทางเศรษฐกิขระหว่างประเทศ
ที่ทำให้เป็นแบบนี้คือ ระเบียบเศรษฐกิจโลกที่ไม่สมดุล
อย่างที่นักประวัติศาตร์เศรษฐกิจในฮาร์วาร์ดเรียกว่า "ชีนเมริกา" (Chimerica)
คือการที่อเมริกานำเข้า จีนส่งออก อเมริกาในเข้าทุน จีนส่งออกทุน
มันไม่สามารถธำรงได้อีกต่อไป เพราะวิกฤติศรัทธา
ความตกต่ำทางเศรษฐกิจทั่วโลก
ตัวเลขการส่งออกของหลายๆประเทศเริ่มเทเป็นส่วนหนึ่งของการส่งออกของ
จีน ในภาวะที่จีนปรับตัวถอนตัวความสัมพันธ์แบบ "ชีนเมริกา"
ซึ่งไทยก็ยากที่จะพึ่งการส่งออก เลยต้องปรับตัว
จึงเป็นเบื้องหลังของการปรับตัวของพรรคการเมืองที่บอกว่าประชาชนต้องเพิ่ม
รายได้ ส่วนหนึ่งเองก็ต้องหาเสียง
และอีกส่วนหนึ่งก็เป็นการปรับตัวจากสภาพเศรษฐกิจโลก
ทั้งนี้ ปัญหาความเสี่ยงต่างๆเกิดจากวิธีการที่ฝ่ายต่างๆใช้ และผลักดัน ต่อต้านไม่ให้เกิดการเปลี่ยนแปลง โดยวิธีการที่ใช้คือ 1.
ดึงมวลชนเข้าร่วมการเมืองขนานใหญ่ เพราะ
พลังเก่าที่ต้องการรักษาระเบียบเก่า
พบว่าลำพังตัวเองรักษาไม่อยู่จึงดึงมวลชนเข้ามา คำตอบคือ
"กลุ่มเสื้อเหลือง" ส่วนกลุ่มชนชั้นนำใหม่ก็พบเช่นเดียวกัน ดังนั้น
เพื่อผลักดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงก็ดึงมวลชนเข้าร่วม คำตอบคือ "เสื้อแดง"
ดังนั้นจึงเป็นการเมืองที่ชนชั้นนำกรุยทางให้มวลชนเข้ามา
2.
พลังการเมืองที่ขัดแย้งระหว่างกลุ่มเก่าและใหม่ใช้วิธีการนอกรัฐธรรมนูญ
โดยพลังเก่าพยายามรักษาระเบียบเก่า และพบว่ากติกาอาจช่วยรักษาไม่ได้
จึงฉีกรัฐธรรมนูญ ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่ง พบว่า
หากสู้ในกรอบก็ไม่สามารถสู้ได้จึงใช้วิธีการนอกรธน.
อันเป็นที่มาอย่างเรื่อง รัฐประหาร, ตุลาการธิปไตย ,ก่อจลาจล, ยึดทำเนียบ,
ยึดสนามบิน, ยึดย่านธุรกิจกลางเมือง ซึ่งจำเป็นในการต่อสู้ของแต่ละฝ่าย
3.
ดึงสถาบันเบื้องสูงเข้ามาพัวพันกับการเมือง
การดึงสถาบันเข้าไปอยู่ในแห่งที่ที่ไม่สมควร
ในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
ที่ตั้งคือการตั้งอยู่กับรัฐธรรมนูญและประชาธิปไตย ที่เดียวกัน
ข้างเดียวกัน
ขณะที่การต่อสู้ที่ผ่านมามีการดึงเอาไปใช้เพื่อทำร้ายคู่ต่อสู้
สนับสนุนความชอบธรรมของตัวเองซึ่งไม่เป็นผลดีอย่างยิ่งต่อความมั่นคงของระบบ
โดยผลเชิงปฏิบัติของปัญหานี้ ก็คือ ตัวเลขของคดีที่ผิดม. 112 ระหว่างปี
2535-2547 มีไม่ถึง 10 คดี แต่หลังจากนั้นมีปีละร้อยกว่าคดี
การดึงมวลชนเข้าร่วมโดยที่ไม่สามารถคุมได้ ใช้วิธีการนอกรธน.
ทำให้หลายปีที่่ผ่านมาไม่จบ อำนาจนิยมในรัฐบาล
และอนาธิปไตยในท้องถนนใช้กฎหมายพิเศษนานาประการเพื่อคุมให้ได้
พอฝั่งนึงกลับข้างขึ้นเป็นรัฐบาลก็อำนาจนิยม
ฝั่งนึงกลับข้างอยู่บนถนนก็เป็นอนาธิปไตย มันไม่มีทางไป
จนกว่าจะปลีกตัวออกจากวงจรนี้
การปลีกตัว ที่เราต้องการคือ "รัฐธรรมนูญฉบับวัฒนธรรมไทยใหม่ในยุคการเมืองมวลชน"
หมายความว่า วัฒนธรรมไทยที่หยั่งลึกในใจจนไม่อาจฉีกทำลายได้
(นิยามโดยอ.นิธิ เอียวศรีวงศ์)
ในสภาพการเมืองที่เปลี่ยนไปเราต้องการรัฐธรรมนูญใหม่เพื่อทำให้รัฐและการ
เมืองมวลชนมีความศิวิไลซ์ ไม่สามารถทำวิธีอะไรก็ได้เพื่อชนะ
ทั้งนี้ สิ่งสำคัญคือ เราต้องอยู่กับการเมืองระดับใหญ่ โดยมีสิ่งสำคัญคือ 1. ถือความขัดแย้งเป็นปกติวิสัยของสังคมไทย ความ
ขัดแย้งเป็นเรื่องธรรมชาติกับความสามัคคี ที่ต้องเริ่มความคิดแบบนี้เพราะ
หากคิดว่าความขัดแย้งผิดก็จะจัดการความขัดแย้งในแบบสิ่งที่เราไม่ชอบ
อย่างที่เราบี้สิว จนสิวแตก เป็นรอยปรุ ซึ่งหลังจากช่วง มีนา-เมษา
"เราสิวแตก"
2. ปฏิเสธเป้าหมายสุดขั้วทางการเมืองเช่น
เอาสงครามครั้งสุดท้าย เอานายกฯพระราชทาน มันไปไกลเกินไป
ขัดแย้งกับโครงสร้างประวัติศาสตร์และอำนาจในทางการเมือง ผลคือการโดดเดี่ยว
ไล่มิตร เพิ่มศัตรู ไปไกลสุดโต่ง การเมืองแบบสุดโต่งทำร้ายสิ่งดีงาม
ในนามสิ่งดีงามหากไปอย่างสุดโต่งแล้วจะทำลายสิ่งอื่นๆเช่น
ต่อต้านคอร์รัปชั่นจึงทำลายประชาธิปไตย
สุดท้ายคือ เคารพศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ซึ่งยากมากที่จะเคารพสิ่งที่อยู่ตรงข้าม แต่นี่เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
ที่น่าเศร้าคือ พออยู่ฝ่ายตรงข้ามก็ไม่เห็นเขาเป็นคน เขาตายก็ไม่แคร์
ไม่เสียใจ
สรุปโดยรวม ปัญหาที่รออยู่คือ
คุณทักษิณบอกว่ายิ่งลักษณ์เป็นโคลนนิ่ง
เราอาจเริ่มรู้จักรัฐบาลโคลนได้หากถ้ากลับไปทบทวนคุณทักษิณ
ในแง่การเมืองระหว่างประเทศได้เดินนโยบายที่เป็นแฟชั่น คือ
นโยบายเศรษฐกิจใหม่ ปรับตัวเรื่องรัฐกับการเมืองในระบอบปชต.
จึงกลายเป็นเสรีนิยมใหม่ทางสังคม คือ
รู้ว่าตลาดไม่ชอบธรรมพอจึงต้องขยายกว้าง เมื่อรู้ว่าต้องการแรงของประชาชน
ก็มีแนวโน้มเป็นเรื่องสัญญาประชาคมในแบบประชานิยม
ในแง่กลับกัน ก็เป็นประโยชน์ต่อประชาชน
โยนห่วงชูชีพเพื่อชวนมวลชนสู่ตลาดด้วยประชานิยม
อีกทางนึงคือกลุ่มทุนที่เป็นพวกพ้อง
ซึ่งโลกาภิวัฒน์ของทักษิณเป็นเรื่องการเอียงไปทางกลุ่มทุนฝั่งตน ดังนั้น
หากยิ่งลักษณ์โคลนมาก็ต้องเจอต้าน จากฝั่งขวา จากรัฐ
และรัฐประชาชาตินิยมหรืออำมาตย์ รวมถึงพลังฝ่ายซ้ายตลาดเสรี
(มักเป็นนักเศรษฐศาสตร์) และฝ่ายซ้ายภาคประชาชน
ตราบใดที่โคลนมา ตราบนั้นก็จะเผชิญการคัดค้านดังกล่าว ในการนี้จะมีทางแพร่งที่ยิ่งลักษณ์ต้องเจอคือ ทาง
แพร่งระหว่างประชาธิปไตยกับหลักนิติธรรม
หรือทางแพร่งจากอาญาสิทธิ์จากการเลือกตั้ง กับ
การจำกัดอำนาจรัฐให้อยู่ในกรอบที่ไม่ล่วงละเมิดรัฐธรรมนูญของบุคคลและเสียง
ข้างน้อย โดยมีตุลาการอิสระคุมเส้น กล่าวง่ายๆคือเป็นหลักนิติรัฐ
ซึ่งต้องการจำกัดอำนาจรัฐไม่ให้ยุ่มย่ามกับเสียงข้างน้อย
โดยตรงนี้คือจุดปัญหาที่ผ่านมา
และจะรวมศูนย์อยู่ในรูปแบบปัญหาการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เป็นระเบิดลูกที่ 1
แพร่งที่ 2 คือ ผลประโยชน์ส่วนตน กับส่วนรวม ซึ่งจะแสดงออกรวมศูนย์ในรูปธรรมปัญหาการทวงคืนทรัพย์สินเป็นระเบิดลูกที่ 2
แพร่งที่ 3 คือ ความจำเป็น
สองด้านที่ต้องการรอมชอมกับชนชั้นเก่า
และการตอบสนองความต้องการของคนเสื้อแดง
ถ้าทำได้รัฐบาลโคลนแม้วก็อยากรอมชอมและเอาใจแดงด้วย แต่ถ้าต้องเลือกทางใด
คงง่ายกว่าที่จะโน้มไปรอมชอมกับกลุ่มเก่ามากกว่าเอาใจแดง
ทักษิณคงหยิบยื่นสิ่งที่ไม่ใช่ข้อเรียกร้องหลักให้กับมวลชนแดง
อย่างการยกย่อง สดุดี, ให้ตำแหน่งรัฐมนตรีแก่แกนนำ
เปิดโอกาสให้ไต่สวนอย่างยาวนาน แพร่งนี้จะแสดงชัดในเรื่องปัญหาความจริง
ความยุติธรรมและความรับผิดชอบต่อกรณี 91 ศพ เป็นระเบิดลูกที่ 3
สำหรับการปรองดอง ที่สำคัญที่สุดคือ การปรองดองกับประชาธิปไตย แปลว่า ให้มีจุดเริ่มต้นคือ "ประชาธิปไตยเป็นจุดยืนที่ไม่หายไปไหน" หากการปรองดองเกิดปัญหาก็ขอให้แก้ไขในระบอบนี้
สุดท้ายคือ เรื่องยิ่งลักษณ์
การปรองดองที่สำคัญคือการปรองดองกับความยุติธรรม นิติธรรม
ต้องไม่ใช้อำนาจเกินเลย
ต้องไม่กลายเป็นประชาธิปไตยแบบอำนาจนิยมสมัยคุณทักษิณ เพราะ
ประชาธิปไตยอำนาจนิยม คือตัวการที่ขับดันคนไปหาทางออกด้วยการรัฐประหาร
"สำหรับผู้รักประชาธิปไตยทุกคน
เป็นความจริงว่าคนบางกลุ่มไม่รักประชาธิปไตย เรียกร้องรัฐประหารไม่ขาดปาก
วิธีการที่จะพ้นฐานนี้คือ อย่าทำให้พวกเขากลายเป็นวีรชน ถ้าคุณรังแก ข่มเหง
ลิดรอนสิทธิเขา เขากลายเป็นวีรชน วิธีการปรองดองกับพวกเขา
พูดอย่างเป็นผู้รักประชาธิปไตยควรทำ ก็คือทำให้เขาเป็นตัวตลกดีกว่า"
|
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น