แม้วานนี้ (29 พ.ย.) ที่ประชุมครม.จะไร้เงาของนายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็นประธานในการประชุม เพราะผู้นำรัฐบาลต้องเข้าโรงพยาบาลกระทันหัน เนื่องจากอาการป่วย "อาหารเป็นพิษ" ก็ตาม ทว่าไม่ได้ทำให้จังหวะการเคลื่อนขยับทางการเมืองมีอันต้องชะงักไปแต่อย่างใด !
องศาทางการเมืองกำลังเดินไปสู่ความเข้มข้น หลังเสร็จสิ้นการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมและหลังจากที่วิกฤติน้ำซึ่งเคยทำเอา นายกฯยิ่งลักษณ์ และครม. จวนเจียนต้องเกือบเอาตัวไม่รอด ด้วยข้อหา "ล้มเหลว" จากการบริหารจัดการน้ำ ทำให้ประชาชนเกือบสามสิบจังหวัด ไล่ตั้งแต่ชาวนครสวรรค์ จนมาจนถึงกรุงเทพฯชั้นใน พากันทุกข์ถ้วนหน้า
ภาพความเดือดร้อน แสนสาหัสของชาวจำนวนมาในแต่ละวันที่มีขึ้นผ่านสื่อเป็นเวลาเกือบสองเดือนก่อนหน้านี้ ผสมปนเปกับเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากซีกฝ่ายค้าน
ตลอดจน "นักวิชาการ-ผู้เชี่ยวชาญด้านน้ำ" ล้วนแล้วแต่ส่งผลกระทบ สร้างแรงกระแทกทำให้หัวขบวนตั้งแต่นายกฯยิ่งลักษณ์ ไปจนถึงข้าราชการประจำที่เกี่ยวข้อง ต่างซวนเซ แทบเสียศูนย์ ครั้งแล้วครั้งเล่า
แต่ที่สุดแล้วเมื่อสถานการณ์วิกฤติน้ำท่วม เริ่มคลี่คลาย ในบางพื้นที่ประชาชนเริ่มกลับเข้าไปยังที่อยู่อาศัยของตนเองได้แล้ว ประกอบกับศึกการอภิปรายไม่ไว้วางใจ พล.ต.อ.ประชา ที่ผ่านมานั้น แม้จะมีรายการ "บาดเจ็บ" กันอยู่บ้างก็ตาม
ทั้งนี้ในภาพรวมต้องถือว่า พล.ต.อ.ประชา สามารถเอาตัวรอด และ "สอบผ่าน" การตรวจสอบของฝ่ายค้านมาได้อย่างหวุดหวิด !
อย่างไรก็ดีเมื่อล่าสุดเวลานี้มีความชัดเจนว่าหลังน้ำลด หลังจากศึกซักฟอกในสภาได้ปิดฉากลงไปแล้วก็ตาม หากแต่การเคลื่อนไหวในทางการเมืองนั้นยังคงเป็น "วาระ" ที่ต้องถูกดำเนินต่อไป เพื่อสนองตอบต่อ "ภารกิจใหญ่" ของตัวพ.ต.ท.ทักษิณ เอง
อีกทั้งยังมีความเป็นไปได้สูงว่าการปรับครม.ครั้งใหม่ จาก "ยิ่งลักษณ์1" ไปสู่ "ยิ่งลักษณ์ 2" ยังอาจมีวาระแฝง นั่นคือการ "สยบ" แรงกระเพื่อม และความวุ่นวายภายในขุมข่ายอำนาจในมือของอดีตนายกฯทักษิณ เองอีกด้วย
และขุมข่ายอำนาจที่ว่านั้น แน่นอนว่าย่อมกินวงกว้าง ครอบคลุมไปถึงกลุ่มก๊วนในพรรคเพื่อไทย -บรรดาสมาชิกบ้านเลขที่ 111-"คนเสื้อแดง" ยังไม่นับรวมไปถึง "รัฐมนตรี" ในปัจจุบันที่กำลังนั่งอยู่ในแต่ละเก้าอี้ ว่าเมื่อถึงเวลาที่ "นายใหญ่-นายหญิง" มี "บัญชา" ลงมาแล้วว่า "ใคร" ควร "อยู่" หรือ ใคร ต้อง "ไป" แล้วจะไม่มีอาการ "โวยวาย" ก่อหวอดให้เจ้าของรัฐบาลต้องรำคาญใจ
ทั้งนี้ในสภาพความเป็นจริงแล้ว ปัญหาและความวุ่นวายภายในพรรคเพื่อไทย และในครม.นั้นอาจไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายต่อการบริหารจัดการได้ดั่งใจนึก เพราะแม้ในด้านหนึ่งจะเคยมีการเปรียบเปรยว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และ "คุณหญิงอ้อ" คุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพชร จะมี "ไพ่" ในมืออยู่ด้วยกันหลายหน้าก็ตาม
จนถือเป็นความได้เปรียบในทางการเมือง ว่าเมื่อใดควรที่จะทิ้งไพ่ ใบใดลงมา และเมื่อใดที่สถานการณ์กำลังตกเป็นรอง " ไพ่" หน้าไหนควรถูกเปิดออกมาล่อหลอก "ฝ่ายตรงข้าม" ก็ตาม
ถึงกระนั้นภายใต้ความได้เปรียบในทางการเมืองเช่นนี้ ย่อมต้องสร้างแรงเสียดทานให้เกิดขึ้นเมื่อมีกลุ่มก๊วนใดในพรรคต้องเป็นฝ่ายเสียเปรียบขึ้นมา
เมื่อไพ่มีให้เล่นหลายหน้า แต่การเล่นไพ่แต่ละหน้า แต่ละคราวของทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงอ้อ เองต้องเป็นไปด้วยความระมัดระวังอยู่ไม่น้อย
การปรับครม.ไปสู่ "ยิ่งลักษณ์ 2" หากจำต้องมีขึ้นจริงนั้น ย่อมต้องเป็นเงื่อนไขที่มีขึ้นเพื่อ หนึ่ง เรียกคืนความเชื่อมั่นของรัฐบาลกลับมาให้เร็วที่สุด มากที่สุด และสอง เพื่อตอบสนองกลุ่มการเมืองในมือ ให้ทุกฝ่ายอยู่ในอาการ "ปั่นป่วน" น้อยที่สุด
ไม่เช่นนั้นแล้ว "แรงกระเพื่อม" ที่จะเกิดขึ้นอาจทำให้ "งานใหญ่" ที่ถูกจัดคิวเอาไว้ มีอันต้องสะดุดก่อนถึงเวลา ..
การปรับครม. ที่กำลังถูดจับตาและประเมินกันว่าน่าจะมีขึ้นหลังปีใหม่ นั้นย่อมเป็นเพียงการ "ปรับเล็ก" อุ่นเครื่องรอ "ของจริง" กลับลงสังเวียนหลังเดือนพ.ค. ปีหน้า ต่างหาก
และเมื่อใดก็ตามที่มีการปรับรื้อครม.ครั้งใหญ่ มีขึ้น พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงอ้อ สามารถส่ง "ตัวจริง" ลงสนามรบ เมื่อใดแล้ว "จุดเปลี่ยน" ทางการเมือง อาจกำลังใกล้เข้ามามากขึ้นทุกขณะ !
ทีมข่าวคิดลึกสยามรัฐ
วันพุธที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ประกันแจง‘ซ่อมรถจมนำ’ เริ่ม 8 พันบาท-มิดคันจ่ายเต็ม/ราคาเดียวทั่วประเทศ
นายพันธ์เทพ ชัยปริญญา ประธานชมรมสินไหมยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัย กล่าวกับ”สยามธุรกิจ”ว่า เมื่อวันที่ 22 พฤศจิกายนที่ผ่านมา คณะทำงานร่วมระหว่างสำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจ ประกันภัย(คปภ.) สมาคมประกันวินาศภัยและสมาคมสหมิตรอู่ซ่อมรถยนต์ได้ประชุมร่วมกันกำหนดราคา กลางค่าซ่อมรถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมซึ่งจะแบ่งตามระดับความเสียหายที่ถูกน้ำท่วม โดยมีข้อสรุปการประเมินความเสียหายเบื้องต้นแบ่งออกเป็น 4 ระดับได้แก่ระดับ A น้ำท่วมถึงส่วนบนพรมและพื้นรถ มีรายการซ่อมทั้งหมด 15 รายการ อาทิ ถอดพรมซักล้าง อบแห้ง ,ล้างทำความสะอาดห้องเครื่องเป่าแห้ง ถอดกล่องควบคุม(ECU)เป็นต้น ค่าแรงซ่อม(ไม่รวมค่าอะไหล่) ประมาณ 8,000-10,000 บาท 2.ระดับ B น้ำท่วมถึงเบาะนั่ง มีรายการซ่อมทั้งหมด 26 รายการ อาทิ การถ่ายน้ำมันเครื่องเกียร์เฟื่องท้าย ,ถอดทำความสะอาดแผงประตูทั้ง 4 ด้าน ,กรองน้ำมันเครื่องกรองอากาศ เป็นต้น ค่าแรงซ่อมประมาณ 15,000-20,000 บาท 3.ระดับ C น้ำท่วมถึงหน้าปัดเรือนไมล์และคอนโซล มีรายการซ่อมทั้งหมด 39 รายการ อาทิ ชุดอีโมไรท์เซอร์/ระบบGPS ที่ติดมากับรถ,ไล่น้ำออกจากเครื่องยนต์ท่อไอดี ห้องเผาไหม้ ,ตรวจสอบระบบไฟส่องสว่าง ,ระบบขับเลี้ยวไฟฟ้า, ถอดเครื่องเช็คตู่แอร์ มอเตอร์ โบวเวอร์ เซ็นเซอร์ เป็นต้น ค่าแรงซ่อมประมาณ 20,000-30,000 บาท และ 4.ระดับD น้ำท่วมถึงส่วนบนหลังคาหรือมิดคัน เช่น รถยนต์ฮอนด้าในโรงงานผลิตที่นิคมอุตสาหกรรมโรจนะกว่า 200 คันที่ท่วมมิดหลังคา เป็นต้น หากประเมินความเสียหายค่าซ่อมรวมค่าอะไหล่มูลค่าเกิน 70% ของราคารถหรือใกล้เคียง บริษัทประกันภัยสามารถให้คำแนะนำผู้เอาประกันภัยรับค่าสินไหมทดแทนเต็มทุน ประกันภัยได้ หากผู้เอาประกันภัยไม่ใช้สิทธิ์ดังกล่าวแต่ต้องการจะนำรถเข้าซ่อมบริษัท ประกันภัยจะจ่ายค่าซ่อมไม่เกิน 70% ของทุนประกันภัย
“การกำหนดราคากลางค่าซ่อมรถถูกน้ำท่วมออกมาเพื่อแก้ไขฟื้นฟูให้เจ้าของรถผู้ เอาประกันภัยที่ได้รับความเสียหายโดยเฉพาะ จะใช้เป็นราคากลางกับอู่ที่เป็นสมาชิกสมาคมสหมิตรซึ่งส่วนหนึ่งก็เป็นอู่ใน เครือบริษัทประกันภัย ขณะที่อู่สมาชิกสมาคมสหมิตรเองส่วนหนึ่งก็เป็นสมาชิกอู่กลางประกันภัยเช่น กัน ซึ่งทั้งสมาคมสหมิตรและอู่กลางประกันภัยมีสมาชิกอู่ซ่อมรถยนต์ทั่วประเทศ ประมาณ 500- 600 อู่ พูดง่ายๆคือรถที่มีประกันชั้น 1 ใช้ราคาซ่อมนี้เป็นราคาอ้างอิง ขณะที่อู่ทั่วไปที่ไม่ได้เป็นสมาชิกใช้ราคานี้ได้ขึ้นอยู่กับความสมัครใจของ อู่ โดยราคานี้รวมค่าวัสดุสิ้นเปลืองต่างๆ แล้ว ซึ่งราคาที่ว่านี้เป็นราคาซ่อมในช่วงปกติที่ไม่เกิดน้ำท่วม”
อย่างไรก็ดี นายพันธ์เทพกล่าวว่า ราคาดังกล่าวเป็นราคาประมาณการณ์เบื้องต้นหากน้ำท่วมถึง 4 ระดับที่ว่าค่าซ่อมน่าจะอยู่ในเกณฑ์นี้ แต่ทั้งนี้ราคาซ่อมอาจจะแพงกว่านี้ขึ้นอยู่ประเภทรถ อาทิ รถเก๋ง รถกระบะ ยกตัวอย่างรถเบนซ์แค่รื้อเบาะอย่างเดียวเฉพาะค่าแรงประมาณ 5,500 บาทแล้ว อีกทั้งยังมีปัจจัยในเรื่องความยากง่ายในการซ่อม, อุปกรณ์ชิ้นส่วนต่างๆนำเข้าหรือไม่, ระบบไฟฟ้าอย่างรถบางประเภทอุปกรณ์ภายในเป็นระบบไฟฟ้า มีสมองกลความจำ ,ขั้นตอนการซ่อมยากหรือง่าย ระยะเวลาในการซ่อมรวมไปถึงมีอุปกรณ์อื่นๆ เสียหายเพิ่มเติมหรือไม่
“เมื่อรถจมน้ำสิ่งแรกที่ต้องทำคือห้ามสตาร์ทรถเด็ดขาดเพราะถ้าน้ำท่วมพื้น พรมระบบไฟฟ้าต่างๆ อยู่ใต้พื้นพรมถ้าสตาร์ททำให้ไฟฟ้าเกิดลัดวงจรจะลามไปยังส่วนอื่นๆทำให้เสีย หายเพิ่มขึ้นหากไม่มีประกันภัยจะมีปัญหาจัดหาอะไหล่ ดังนั้นควรจะตรวจสอบน้ำท่วมถึงระดับน้ำมันเครื่องหรือไม่ดูจากสีถ้าเป็นสี น้ำนมแสดงว่ามีน้ำเข้าไปในห้องเครื่องหรือถอดที่กรองอากาศออกมาดูแห้งหรือ ชิ้นถ้าชื้นแสดงความน้ำเข้า เป็นการตรวจสอบความเสียหายเบื้องต้น”
สำหรับรถที่ไม่มีประกันภัยชั้น 1 และถูกน้ำท่วมซึ่งต้องจ่ายค่าซ่อมเอง นายพันธ์เทพกล่าวว่า สามารถใช้ราคาค่าซ่อมนี้เป็นราคาอ้างอิงได้ แต่เจ้าของรถต้องทำใจอาจจะต้องถูกชาร์จค่าซ่อมแพงกว่านี้เพราะตามข้อเท็จ จริง ถ้าซ่อมอู่ที่ไม่รู้จัก เช่นคาร์แคร์ หากน้ำท่วมถึงระดับ A ค่าแรงซ่อมอาจจะเป็น 10,000 บาทหรือ 15,000 บาท แล้วแต่ประเภทรถ
นายพันธ์เทพกล่าวว่า รถยนต์ที่ถูกน้ำท่วมอาจจะถึง 30,000 คันแต่ที่ประกันชั้น 1 ที่ให้ความคุ้มครองรถยนต์ถูกน้ำท่วมและแจ้งเคลมมาแล้วประมาณ 20,000 คัน ค่าเสียหายประมาณ 2,000 ล้านบาทแต่ไม่เกิน 3,000 ล้านบาท
ก่อนหน้านี้นายสมพร สืบถวิลกุล ประธานคณะกรรมการประกันภัยยานยนต์ สมาคมประกันวินาศภัยกล่าวว่า
การกำหนดราคากลางค่าซ่อมรถยนต์ถูกน้ำท่วมเพื่อให้เป็นบรรทัดฐานในการจ่ายค่า ซ่อมของทั้งธุรกิจจะมีการทำเป็นตกลงร่วมกัน ทำให้ลูกค้าได้รู้เสียหายระดับค่าซ่อมควรจะเป็นเท่าไหร่และให้ผู้เอาประกัน นำรถเข้าซ่อมได้ทันทีโดยไม่ต้องมาประเมินค่าเสียหายอีก โดยราคานี้รถทั่วไปที่ไม่ได้มีประกันภัยสามารถใช้เป็นราคาอ้างอิงได้
ขณะเดียวกัน บริษัทประกันภัยมีข้อตกลงร่วมกันจ่ายค่าซ่อมภายใน 15 วันนับแต่วันที่ได้ตกลงราคาค่าซ่อมกันแล้ว โดยที่ลูกค้าที่รถได้รับความเสียหายเกิน 70% ของทุนประกันขึ้นไปผู้เอาประกันสามารถเลือกที่จะรับค่าสินไหมทดแทนสิ้น เชิง(เต็มทุนประกัน)หรือจะเลือกรับสิทธิ์การซ่อมก็ได้เป็นข้อตกลงกับ ทุกบริษัทสมาชิกที่จะปฏิบัติเป็นมาตรฐานเดียวกัน
คาดว่าจะมีรถยนต์ที่ทำประกันชั้น 1 ถูกน้ำท่วมประมาณ 20,000 คัน เฉลี่ยค่าซ่อมคันละ 100,000 บาท ค่าสินไหมทดแทนประมาณ 2,000 ล้านบาท
ตอบโจทย์ : ข้อเสนอนิติราษฏร์
Boon Wattanna ผิดกาลเทศะ กฎหมายมาตรา 112 ควรได้รับการแก้ไข แต่ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่เ
เห็นด้วยกับอาจารย์สุลักษณ์
สิ่งที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน ไม่ต้องใช้มาตรา 112 ใช้แค่กฎหมายหมิ่นประมาทก็ส
สรุป ควรแก้ที่คน คือตำรวจก่อน โดยบังคับใช้กฎหมายอย่างชาญ
Chor Chang อ.วรเจตต์ พูดยังกับไม่รู้ว่าการเลือก
ถ้านักวิชาการอาศัยแต่หลักก
วันอังคารที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
นักวิชาการญี่ปุ่น พูดถึงทักษิณ
บทความนี้สำคัญมาก เขียนโดยนักวิชาการชาวญี่ปุ่นท่านหนึ่งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทย
*ลัทธิสีแดง : ลัทธิแห่งการล่อลวง***
*กล่อง ดวงใจของทักษิณและ นปช.***
ความสำเร็จทางการเมืองของทักษิณมาจากไหน
เมื่อ ทักษิณเตรียมจะเป็นหัวหน้าพรรคการเมือง เพื่อเตรียมเป็นนายกทักษิณได้
จ้าง คนเขียนหนังสือเรื่อง "ตาดูดาว เท้าติดดิน"
แล้วลงพิมพ์ในมติชนยาวต่อเนื่อง หนังสือ
เล่มนั้นทำให้คนเกิดความเชื่อว่าทักษิณรวยแล้ว อยากช่วยชาติ จะไม่โกงกิน
จาก นั้นทักษิณไปใช้พวกอดีตคอมมิวนิสต์ซึ่งเก่งในการหาความนิยมจากคนยากจน
และ คนชนบทมาช่วยคิดหาวิธีจะเอาคะแนนเสียงจากคนเหล่านี้ ซึ่งก็ได้นโยบายแนว
สังคมนิยมมา เรารู้จักกันต่อมาว่าเป็นนโยบายประชานิยม
ในระหว่างหา เสียงเลือกตั้ง และก่อนจะตั้งรัฐบาล
ทักษิณบอกว่าจะเป็นรัฐบาลที่พูดความจริงกับประชาชน จะไม่โกหก
นโยบายและการบริหารหลายอย่างของทักษิณได้ผล คนจนได้จับเม็ดเงินจริงๆ
ยิ่งเชื่อใหญ่ ทั้งในเรื่องความรู้ ความสามารถและความดี ดีไปหมด เก่งไปหมด
เมื่อ เหตุการณ์ผ่านไป เราจึงได้เห็นธาตุแท้ของทักษิณกัน
แต่คนที่หลงเชื่อและนิยมชมชอบทักษิณ มองไม่เห็น
ทุกวันนี้ก็ยังไม่เห็นเพราะรักเขาแล้ว เชื่อเขาแล้ว เชื่อเขาหมด
ความสามารถของทักษิณ อยู่ตรงที่ทำให้คนเชื่อได้จำนวนมาก
เมื่อทักษิณถูก ปฏิวัติ ทักษิณเริ่มต่อสู้เพื่อกลับมาครองอำนาจและพาตัวเองให้พ้นผิด ทักษิณ ทำอย่างไรบ้าง
ทักษิณเป็นคนที่เห็นศักยภาพของธุรกิจสื่อสาร และสื่อมวลชน
ทักษิณ อ่านและเข้าใจเรื่องของสังคมข่าวสาร (information society)
ทักษิณเคยพูด หรืออ้างอิงนักวิชาการไว้ในเรื่องที่ว่า
"ใน โลกยุคข่าวสาร ใครที่ครอบครองข้อมูลข่าวสาร คนนั้นเป็นผู้ชนะ"
คนทั่วไป อาจตีความว่า เป็นการเข้าถึงความรู้หรือข่าวสาร
จะทำให้รู้มากแล้วชนะ แต่ ทักษิณตีความ ว่า เข้าครอบครอง ควบคุม
และบังคับข้อมูลข่าวสารให้เป็นไปตาม ที่ตัวต้อง การต่างหาก
ถ้าเป็นภาษาอังกฤษก็ต้องเรียกว่า control and manipulate information
ทักษิณชนะเลือกตั้งมาถล่มทลาย ก็เพราะความสามารถตรงนี้ ไม่ใช่เพราะเงิน
เราก็รู้ว่าถ้าเลือกตั้งวันนี้ เพื่อไทยก็จะชนะอีก เพราะคนยังหลงเชื่ออยู่
เขาไม่ต้องใช้เงินก็ชนะ ดังนั้น อาวุธของเขาจึงไม่ใช่เงิน
แต่เป็นข้อมูลข่าวสารที่เขาควบคุม บังคับอยู่ ต่างหาก
เงินนั้นใช้ในการควบคุมบังคับข้อมูลข่าวสารเป็นสำคัญ
สิ่งที่ ทักษิณทำ พวกเราเห็นอยู่แล้ว ได้แก่การตั้งกลุ่มเสื้อแดงขึ้นมา
ทีแรก เป็นแค่ไว้ต้านพันธมิตร
เสื้อ แดง ก็แปรรูป ซึ่งเป็นการแปรรูปที่แยบยลมาก คือการจัดตั้งเวทีใช้ชื่อว่า "ความ จริงวันนี้" เอาคู่กับสัญลักษณ์สีแดง
การตั้งรายการ "ความจริงวันนี้" คือการเริ่มต้นทำ "สงครามข้อมูลข่าวสาร"
(information warfare) เริ่มจากการอภิปรายของแกนนำ สามเกลอ วีระ จตุพร ณัฐวุฒิ ฯลฯ
รายการ "ความจริงวันนี้" เริ่มให้ความเท็จตั้งแต่วันแรก และต่อเนื่องตลอดมา
เรา มักนึกถึงเงินของทักษิณ คิดว่าเป็นสิ่งสำคัญที่ทำให้ทักษิณมีฤทธิ์
แต่ ฤทธิ์ของทักษิณจริงๆ มีที่มาจากความสามารถในการโกหก
ซึ่งเป็นสิ่งที่ ทักษิณเก่งมาก มีทักษะสูงมาก เพราะฝึกมาตั้งแต่เด็กๆ
เป็นคนโกงที่โกหก เก่งที่สุด ใครที่เคยคุยกับทักษิณ หรือฟังทักษิณพูด
จะรู้ดีว่าได้เคลิบ เคลิ้มไปแค่ไหน ไม่ว่าจะมีการศึกษาระดับไหนก็ต้องเคยเคลิ้มกันมาแล้วทั้งนั้น
นับประสา อะไรกับมวลชนของคนเสื้อแดง กว่าจะรู้ตัวก็สายกันแล้ว จะอย่างไรก็ตาม
ตอนนี้พวกเรารู้ตัวแล้ว แต่ยังมีคนที่ไม่รู้ตัวอีกมากมาย
ต้องช่วยให้เขา เห็นความจริงและรู้ตัวว่าถูกหลอกลวงอย่างไร ทักษิณจึงจะหมดฤทธิ์จริงๆ
เมษายน 2552 ทักษิณสามารถระดมคนได้เกือบแสนคน มากกว่าที่พันธมิตรเคยระดมได้
ทักษิณ กะจะล้มรัฐบาลอภิสิทธิ์ โดยยั่วยุให้ใช้กำลังปราบปราม
จะได้กลายเป็น ทรราชย์ขาดความชอบธรรม
แต่โชคดีที่รัฐบาลอภิสิทธิ์ปราบอย่างรอบคอบ ไม่มี คนล้มตาย
และมีสื่อต่างชาติคือ CNN เป็นพยานให้ โดยยืนยันซึ่งหน้า
ตอนที่ทักษิณให้สัมภาษณ์ CNN ว่า ที่ทักษิณว่าคนตายเป็นร้อยนั้น
ไม่เป็นความจริง เมษาเลือดของทักษิณ
จึง ทำให้ทักษิณแพ้ไป นั่นคือ CNN
จับโกหกทักษิณได้ต่อหน้าคนทั้งโลกที่ดู CNN อยู่*เห็นหรือยังว่า แพ้ชนะ
ยุคนี้ อยู่ที่สงครามข่าวสาร***
หลัง จากทักษิณแพ้เมื่อเมษา 52 ถ้าเราสังเกตจะเห็นชัดเจนว่า ทักษิณวางแผนจะกลับมาอีก
ต้องดูว่าทักษิณลงทุนไปกับอะไรมากที่สุด แล้วใช้สิ่งที่ลงทุนไปทำงานอะไรให้ทักษิณมากที่สุด
ทักษิณให้เงินแกนนำ นปช. แน่นอน ให้เงิน ส.ส.เพื่อไทย แน่นอน
ให้เงินหัวคะแนนแน่นอนต้อง จ่ายเงินค่าใช้จ่ายในการจัดชุมนุม อภิปราย
ทั้งค่าเดินทาง ค่าอาหาร ค่าเวที ฯลฯ แน่นอน
แต่ที่จ่ายมากที่สุด คือการสร้างเครื่องมือในการทำสงครามข่าวสาร
ทักษิณลงทุนอะไรอีกบ้าง หลังสงกรานต์เลือด?
ตั้ง PTV ออกอากาศผ่านดาวเทียม และออกผ่านเว็บไซท์
เว็บ ไซท์ เสื้อแดง มีเยอะมาก ทักษิณสร้า งทีมเรียกว่า นักรบไซเบอร์ ช่วยกันเผยแพร่ความเท็จ
ลองสำรวจดูว่ามีทั้งหมดกี่ เว็บไซท์ ทั้งที่ใช้ เซิร์ฟเวอร์ ในประเทศและ ต่างประเทศ
วิทยุชุมชน หนังสือพิมพ์และวารสารแดง สร้างคนหลงลมลวงได้มหาศาล
หนังสือเล่ม แบบ Where are you? ของหมวดเจี๊ยบ แกก็ไปหาทักษิณรับเงินมาเหมือนกัน
นอกจาก นี้ยังมี Hi 5, Facebook, Twitter
สื่อในต่างประเทศ บริษัท Lobbyist
ในอเมริกาไปตรวจสอบดูก็จะรู้ว่าบริษัทอะไร ช่วยนัดสื่อระดับโลกไป
สัมภาษณ์ทักษิณ สร้างทั้งความน่าเชื่อถือ และการเอาความเท็จให้กับต่างชาติ
ทำ ให้คนในเมืองไทยเชื่อสนิทหนักเข้าไปอีก
เห็นไหมว่าฝรั่งยังเชื่อถือ รัฐบาลต่างชาติก็หลงลมไปหลายชาติ นึกว่าเก่งเศรษฐกิจ เชิญให้เป็นที่ปรึกษา
ฮุน เซนก็หลงลม แล้วก็ยังมีบริษัทหรือมูลนิธิอะไรที่ฮ่องกงชื่อ Sam Hui
ก็เป็น lobbyist ที่ช่วยสร้างภาพลักษณ์ความเก่งกาจให้ทักษิณด้วย
นักการ
เมือง/นักวิชาการ พวกบ้านเลขที่ 111 และนักวิชาการพวกมหาวิทยาลัยเที่ยงคืน
พวก นี้ก็เสื้อแดงทั้งนั้น
การพูดของคนพวกนี้ก็สร้างความน่าเชื่อถือให้ทักษิณมากขึ้น
ส.ส.เพื่อ ไทย รวมทั้งว่าที่ผู้จะสมัคร ส.ส.เพื่อไทย ตลอดจนหัวคะแนน
พวกนี้ก็จะ ช่วยพูดปากต่อปากช่วยกันหลอกลวงราษฎรให้เชื่อว่าทักษิณดี
ทักษิณเก่ง ทักษิณ ถูกรังแก บ้านเมืองไม่เป็นประชาธิปไตย
อภิสิทธิ์สั่งฆ่าประชาชน อภิสิทธิ์
สร้างฉากที่มหาดไทยเพราะไม่ได้อยู่ในรถที่ถูกทุบ ฯลฯ ความเท็จทั้งนั้น
แต่คนก็เชื่อ
แกนนำในต่างจังหวัด อย่างขวัญชัย ที่อุดร หรือเพชรวรรต ที่เชียงใหม่และอีกหลายๆ จังหวัด
โรงเรียนการเมืองของ นปช. นี่เป็นสิ่งประดิษฐ์ใหม่ ฝึกแกนนำเพิ่มเติมเอาความเท็จบรรจุลง
ในหลัก สูตร แล้ววางระบบการควบคุมสั่งการ ติดต่อสื่อสาร จ่ายเงิน และหาเหยื่อเพิ่มเสร็จสรรพ
ศึกษาต่อไปอาจจะเจอเครื่องมืออื่นๆ อีก แต่เท่าที่จำแนกให้ดูนี้ก็น่าจะพอแก่การประเมินได้แล้วว่า
เครื่องมือของ การโฆษณาชวนเชื่อของทักษิณนั้น มหาศาลขนาดไหน และประสิทธิภาพสูงขนาดไหน
และ พอจะประมาณได้หรือยังว่า ทักษิณ ทุ่มทุนลงไปขนาดไหน
จริงอยู่ทำทั้งหมด นี้ต้องใช้เงิน แต่ขอให้เห็นประเด็นให้ชัดว่า
เงินไม่ใช่ตัวความสามารถ หลัก เงินถูกนำไปสร้างความสามารถในการหลอกลวงต่างหาก
แล้วเมื่อหลอกคน สำเร็จ จะใช้ให้คนทำอะไรให้ก็ได้ พูดขาวให้เป็นดำก็ได้ จะบอกว่าใครเลวก็ได้
สังเกต ต่อไปจะเห็นว่าปีที่ผ่านมา ทักษิณทดลองเครื่องมือของสงคราม (war
mechanism) โดย ลองทำ clip เสียงอภิสิทธิ์ ตัดต่อดื้อๆ
ให้เหมือนกับสั่งให้ฆ่าผู้ชุมนุม แล้วปล่อยให้หลุดออกไป
สังเกตดูจะเห็น
การทำงานของกลไกสงครามของทักษิณ ชัดเจน แกนนำเอาไปพูดในที่ชุมนุม
ส.ส.เพื่อ ไทยเอาไปพูดในสภา สื่อของทักษิณทุกสื่อเอาออกเผยแพร่ ความเท็จ
100%ก็ ยังสามารถทำให้คน จำนวนมากหลงเชื่อได้
ปีที่แล้วทั้งปี ทักษิณ phone in ไปทุกจังหวัดที่จัดการชุมนุม
เพื่อสร้างภาพและความเข้าใจ และความเชื่อของคนทุกจังหวัดให้ตรงกัน
ในประเด็นที่คิดมาอย่างดีแล้ว เช่น อำมาตยาธิปไตย รัฐบาลทหารตั้งสองมาตรฐาน
สู้เพื่อประชาธิปไตยที่แท้ จริง ทักษิณถูกรังแก ทักษิณเป็นสัญลักษณ์ของประชาธิปไตย ช่วยกันทำ ประชาธิปไตยที่แท้จริงไว้ให้ลูกหลาน
หลอกลวงคนทั้งประเทศให้เชื่อว่า
การออกมาเคลื่อนไหวนั้นเป็นการกระทำไปเพื่อชาติ เป็นการกระทำที่รักชาติ
เสียสละเพื่อชาติ ไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของทักษิณ
ปีนี้จึงไม่แปลกว่า เมื่อเครื่องมือพร้อมแล้ว ทักษิณก ็ลงมืออีก อย่างที่เราเห็นอยู่ในขณะนี้
ถ้า เอาเทป video หรือ phone link ของทักษิณมาดู ฟังไปจะพบว่า
ทุกครั้งที่พูด ทักษิณ จะเน้นว่า ตัวเองและเสื้อแดงพูดความจริง
และรัฐบาลพูดเท็จ
และจะใช้เวลา ตรงนี้ประมาณ 1 ใน 3 ของเวลาทั้งหมด เพื่อย้ำการหลอกลวงไม่ให้พลาด
จาก นั้นแกนนำก็จะย้ำตามต่อไป คนฟังก็จะเคลิ้ม นึกว่ากำลังฟังความจริงที่ถูกปกปิดอยู่
*ถ้าเช่นนั้น ขบวนการทั้งหมดของทักษิณ มีลักษณะเป็นอะไร***
คำตอบคือ เป็นลัทธินิกายชนิดหนึ่ง ที่ภาษาอังกฤษเรียกว่า Cult
เหมือนกับโอมชินริ เคียว ที่วางยาพิษคนที่สถานีรถใต้ตินที่ญี่ปุ่น หรือ
James Jones ที่ หลอกให้สาวกฆ่าตัวตายจำนวนมาก โดยมีทักษิณ เป็นศาสดา
มีแกนนำอย่างจตุพร สาม เกลอ และพวก ส.ส.ทั้งหลาย เป็นสมุนรับใช้ และราษฎร
คนเสื้อแดงเป็นเหยื่อ
เพียง แต่ทักษิณ เป็น Cult
ที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดเท่าที่เคยมีมาในโลกเท่านั้น ความสามารถของ
Cult ทั้งหลาย คือความสามารถในการที่ทำให้สาวกเชื่อสนิทถึงขั้นสั่งให้
ทำอะไรก็ได้ บางแห่งถึงกับให้ฆ่าตัวตายก็ยังทำตาม
ทักษิณอาจยังไม่ถึง ขั้นทำให้คนฆ่าตัวตายได้ แต่ทักษิณหาสาวกได้มากกว่า cult อื่นๆ แน่
ดู ลุงคนที่ขโมยเงินเมียมา 20,000บาท แล้วเดินทางมากรุงเทพฯ คนเดียว
เตรียม ขี้วัวมาเสร็จ แล้วไปที่บ้านอภิสิทธิ์ แล้วขว้างขี้ใส่
โดยไม่ต้องมีใครสั่งเลย ก็จะเห็นถึงประสิทธิภาพของการหลอกลวงของทักษิณ
ได้ชัดเจน ถ้าจะมีคนยอมตายเพื่อทักษิณ
ก็ไม่น่าจะเกินวิสัย และเรื่องนี้จะน่ากลัวเพราะอาจให้คนเผาตัวประท้วง หรือบุกเข้าทำร้ายเจ้า หน้าที่ จนต้องปะทะกัน เป็นต้น
*เมื่อเห็นอย่างนี้แล้ว มองเห็นกล่องดวงใจของทักษิณแล้วหรือยัง***
จะฆ่าทศกัณฐ์ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะกล่องยิงธนูใส่เอาดาบฟัน ก็ไม่ตาย
ต้องไป หากล่องดวงใจให้เจอ พอเจอแล้วแทง ทศกัณฐ์จึงจะตาย ทักษิณก็เหมือนกัน
ความ สามารถในการหลอกลวงของทักษิณ คือกล่องดวงใจของทักษิณ
เล็งออกภาษีที่ดิน
เร่งออกกฏหมายภาษีทรัพย์สิน ภาษีที่ดิน ภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า มันถึงเวลาแล้ว.
โดย Metha matkhow จากกลุ่ม OCCUPY-THAILAND
ปัจจุบันเราเสียภาษีทางอ้อมกว่า 70% และเสียภาษีทางตรงเพียง 30% ภาษีทางอ้อมนั้นเก็บผ่านฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษี ท่ามกลางความเหลื่อมล้ำทางสังคมมหาศาลและการกระจายรายได้ที่แย่มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนี้ เรามีมนุษยน์ผู้จิบไวน์ขวดละแสน และชาวนาที่ต้องขายควายกว่า 10 ตัวกว่าจะเทียบเท่าน้ำทิพย์สีแดงขวดนั้น ไม่ผิดที่เราเกิดมาต่างกัน แต่นั่น มันไม่เป็นธรรมเลยสักนิด!!
ไม่ผิด ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ได้แบกรับการพัฒนา ไม่ผิด ถ้ามูลค่านั้นมาจากส่วนเกินทางสังคม ไม่ผิด ถ้ารายได้ที่มากขึ้นนั้นมาจากหยาดเหงื่อแรงงานและการลงทุนที่ใช้ความสามารถ หากแต่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ทรัพย์สินที่สั่งสมเพิ่มขึ้นจากการรีดมูลค่าจากคนสังคม สมควรแบ่งปันคืนสู่สังคม โดยให้รัฐจัดการในส่วนเสี้ยวหนึ่ง เพื่อการพัฒนาสังคม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และความสะดวกปลอดภัยของชีวิต.. แน่นอน รายได้ที่เพิ่มขึ้น ย่อมมาจากการกอบโกยจากสังคมส่วนหนึ่ง การคืนบางส่วนเพื่อไปพัฒนาแก้ไขปัญหาย่อมเป็นหน้าที่พลเมืองที่ดีมีคุณภาพของรัฐ และรัฐต้องเป็นรัฐที่ดีด้วยเช่นกัน ในการใช้ส่วนนั้นกลับไปพัฒนาสังคม ตลอดจนคุณภาพชีวิตและสวัสดิการที่ดีจากรัฐ
พลเมืองในยุโรป โดยเฉพาะประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยินดีจ่ายภาษีส่วนเกินนี้คืนให้รัฐแน่นอน ในอัตราก้าวหน้าจากทรัพย์สินและรายได้ที่งอกเงย เพราะแต่ละคนก็เอาประโยชน์ที่งอกเงยนั้นมาจากสังคมไม่เท่ากัน ความเป็นธรรมจึงเกิดขึ้นจากโครงสร้างภาษีที่เป็นธรรมนี้ และรัฐบาลก็นำภาษีที่เก็บได้มาพัฒนาสังคม จนผลิตผลของทรัพย์สิน ที่ดินและมูลค่าของการลงทุนต่างๆ งอกเงยขึ้นมาเป็นดอกผลตอบแทนคืนสูพลเมืองอีกระลอกหนึ่ง แน่นอน ผลพวงนี้เชื่อมต่อกันและทุกคนก็ยินดีที่จะจ่ายภาษีเหล่านี้ หลายครอบครัวยินดีที่จะจ่ายเงินมากกว่าอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งมีรายได้น้อยกว่า เพียงเพื่อจะให้ลูกของตนเข้าโรงเรียนที่เดียวกัน เหตุผลเดียวก็คือเพื่อให้ลูกหลานของตนได้เรียนรู้และอยู่ใน “สังคม”
ในอเมริกา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ บุช ผู้พ่อ เคยเสนอให้ยกเลิกเก็บภาษีมรดก เพื่อเดินทางเสรีนิยมสุดขั้ว ให้การแข่งขันและการผลิตของทุนมุ่งกำไรเต็มที่โดยไม่ต้องเอาสังคมเป็นภาระ ปรากฏว่านายทุนชั้นนำของสหรัฐฯ ต่างออกมาคัดค้าน หลายคนเห็นว่าพวกเขากอบโกยมาจากคนกว่า 200 ล้านคนในสหรัฐฯ ย่อมสมควรคืนกลับให้สังคมบ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็เพื่อให้สังคมที่เขาอยู่ดีขึ้น และมันทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดีขึ้นด้วย เข้าทำนองภาษิตที่ว่า “หากคนอ้วนแบ่งอาหารให้คนผอม ชีวิตเขาจะยืนยาวทั้งคู่”
ระหว่างที่ทรัพย์สินงอกเงยขึ้น มาจากการคุ้มครองจากรัฐในรูปแบบนิติบุคคล แน่นอน เราจ่ายภาษีเพียงบางส่วนให้แก่รัฐ แต่สังคมที่โอบอุ้มดูแลอยู่ล่ะ เราได้เสียภาษีสังคมหรือไม่ สิ่งแวดล้อมที่เสื่อมสลายลงทีละน้อยๆ ล่ะ เราได้จ่ายภาษีสิ่งแวดล้อมที่เสียไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่ มีใครเคยคิดบ้างว่า เรายังคงหายใจในอากาศร่วมกัน เรายังคงหายใจบนพื้นที่ส่วนรวมอยู่ ไม่น้อยก็มากชีวิตเรากึ่งหนึ่งยังเป็นของส่วนรวม
ภาษีทรัพย์สิน คือภาษีทางตรงที่เราจ่ายให้แก่รัฐและสังคมระหว่างที่มีชีวิตอยู่และแน่นอน ภาษีมรดก คือการจ่ายส่วนเกินที่ปลายทางนั่นเอง ส่วนเกินที่เราสะสมมาจากมูลค่าที่สังคมโอบอุ้ม เราไม่ได้มันมาจากสุญญากาศ ดังนั้น เราจ่ายภาษีคืนสังคมเผื่อเหลือเผื่อขาดแน่นอน มันจึงพอกพูนงอกเงยขึ้นเป็นกองมรดกให้แก่ลูกหลาน การจ่ายคืนส่วนเกินบางส่วนให้แก่สังคมปลายทางนี้ จึงเป็นอัตราก้าวหน้าเช่นกันเพื่อความเป็นธรรมทางสังคม
ในสหภาพยุโรปเกือบทุกประเทศเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า รวมถึงญี่ปุ่นและอเมริกาด้วย มีทั้งปันส่วนหนึ่งเข้ารัฐบาลกลางและส่วนหนึ่งเข้าท้องถิ่น มีทั้งภาษีการให้และการรับ จากกองมรดกและหรือจากการรับมรดกก็ตามรูปแบบที่แต่ท้องที่ไป
ในประเทศไทย ซึ่งมีปัญหาความเหลื่อมล้ำมหาศาล คนรวยพากันคัดค้านการปฏิรูปภาษีเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมมาโดยตลอด แต่ก็เป็นที่น่ายินดี ที่กระทรวงการคลังดำริว่าจะผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเร็วๆ นี้ เพราะมันถึงเวลาแล้ว!!! และในอนาคตภาษีมรดกจะตามมาเยียวยาบาดแผลและรอยร้าวของความยากจน ที่เกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและนโยบายที่ไม่เป็นธรรมมาตลอดกว่า 50 ปี
กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้เก็บนี้ นอกจากเป็นมาตรการสำคัญในการปฏิรูประบบภาษีที่ดิน และสามารถพัฒนาโครงสร้างทางการคลังเพื่อนำไปสู่ภาวการณ์กระจายรายได้ที่ดีขึ้นได้ ยังเป็นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะยาวอีกขั้นหนึ่ง เพราะเป็นรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดสรรทรัพยากรและกระจายการพัฒนาสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องเพราะประเทศไทยยังไม่มีภาษีที่จัดเก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริงเช่นนี้ นอกจากฐานรายได้ คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงสร้างภาษีที่ไม่มีความเป็นธรรม
แม้ว่าในอดีตถึงปัจจุบัน เราจะมีการเก็บภาษีโรงเรียนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ แต่ก็ไม่ได้เก็บจากมูลค่าของทรัพย์สินอย่างแท้จริง เพราะเป็นการคำนวณภาษีบนฐานรายได้ โดยคำนวณจาก “ค่ารายปี” หรือค่าเช่าที่เจ้าของได้รับในแต่ละปี ถ้ามีการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นภาษีทางตรงที่เก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้เป็นอัตราก้าวหน้าในเชิงการถือครองมูลค่า แต่ก็เป็นอัตราก้าวหน้าในเชิงการใช้ประโยชน์ หากมีการปล่อยที่ดินไว้รกร้างว่างเปล่าก็จะเก็บภาษีมากขึ้น หากเป็นที่ดินที่ทำประโยชน์เชิงพาณิชย์ก็จะมีอัตรามากกว่าพื้นที่เกษตรกรรมทั่วไป อย่างไรก็ตาม ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้เน้นในเรื่องของการกระจายการถือครองที่ดินโดยตรง และคนจนจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกิน ดังนั้น กระทรวงการคลัง ควรมีนโยบายที่จะป้องกันไม่ไห้ที่ดินหลุดมือจากเกษตรกรไปสู่นายทุน โดยเพิ่มมาตรการการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าที่มากขึ้น
โดยเฉพาะพื้นที่รกร้างไม่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และนโยบาย “โฉนดชุมชน” เพื่อเป็นการสร้างการยอมรับการครอบครองที่ดินทำกินและที่ดินอยู่อาศัยของผู้ที่ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่แท้จริง และเป็นมาตรการในการให้ชุมชนมาจัดการที่ดินร่วมกัน เพื่อให้ที่ดินสามารถคงอยู่กับคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป รวมถึงควรมีมาตรการกันรายได้ของภาษีที่ดินส่วนหนึ่งตั้งเป็น “ธนาคารที่ดิน” เพื่อเป็นหลักประกันให้คนจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน มีโอกาสในการเข้าถึงที่ดิน
นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ในระยะอันใกล้ หรืออาจเป็นนโยบายสังคมระยะยาว ควรมีนโยบายการปฏิรูปที่ดินทั้ง ระบบ เพื่อการกระจายการถือครองที่ดิน อย่างจริงจัง โดยการรื้อฟื้นปรับปรุง พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมา ยที่ดิน พ.ศ.2497 ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีการจำกัดการถือครองที่ดิน ไม่เกิน 50 ไร่ และห้ามคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ ที่ดิน แต่มายกเลิกในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤ ษดิ์ ธนะรัชต์ ในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2503 ยกเลิกการจำกัดการถือครองที่ดิน เพื่อส่งเสริมให้เอกชนได้แสวงปร ะโยชน์จากทรัพยากรโดยไม่มีมาตรก ารรองรับ จนโครงสร้างการจัดการทรัพยากรโด ยเฉพาะที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจนเกิ ดปัญหาการสะสมที่ดินขึ้น โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังอาจร่วมกันปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวให้ทันสมัยขึ้น โดยมีมาตรการจำกัดการถือครองเพิ่มขึ้นไม่เกิน 200 ไร่ ตามความจำเป็น เป็นต้น ซึ่งจะสนับสนุนนโยบายการเก็บภาษีที่ดินฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจจะปรับปรุงร่างพระราชบัญ ญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้ครอบคลุมมาตรการดังกล่าว เพราะหากรัฐบาลไม่มีนโยบายเรื่อ งนี้ เกษตรและชาวนาไทยอาจจะกลายเป็นเ พียงแรงงานในท้องไร่ที่เป็นฟาร์ มขนาดใหญ่ของนายทุนข้ามชาติในอน าคต
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว ยังเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2552 มาตรา 85 ที่บัญญัติว่า รัฐมีหน้าที่กระจายการถือครองอย่างเป็นธรรม และดำเนินการให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึงโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่น
อย่างไรก็ดี ประเทศไทย ควรมีนโยบายการเก็บภาษีทรัพย์สิ นอัตราก้าวหน้า ทั้งจากสังหาริมทรัพย์และอสังหา ริมทรัพย์เหมือนภาษีทรัพย์สินใน ต่างประเทศ ไม่ใช่จากอสังหาริมทรัพย์อย่างเ ดียวตามที่บัญญัติไว้ในร่างพระร าชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูก สร้าง ซึ่งจะเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาควา มเหลื่อมล้ำทางสังคมในระยะยาว รวมถึงการเก็บภาษีมรดกอัตราก้าว หน้า เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรม ทางสังคม และเป็นหลักประกันด้านสิทธิมนุษ ยชนในประเทศไทย ตามสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ เพื่อให้รัฐและท้องถิ่นนำมาใช้ใ นการพัฒนาสาธารณูปโภคและสวัสดิก ารทางสังคม เช่น การขนส่งมวลชนสาธารณะ การศึกษาและการสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพปลอดพ้ นจากความอดอยากแร้นแค้น โดยเฉพาะชนชั้นล่างทางสังคม ซึ่งหากภาษีที่รัฐเก็บมาใช้จ่าย ไปในกลุ่มที่เป็นกลุ่มรายได้ระดับล่างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้เกิดการกระจายรายไ ด้ที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งจะสามารถลดช่องว่างของคนในสังคมได้มากยิ่งขึ้น
มันถึงเวลาแล้วที่คนรวยจะต้องไม่เห็นแก่ตัว แล้วมัวแต่อ้างอิงว่าตนเองและสังคมจะเสียประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ การแข่งขันเสรีจะสะดุด หรือวิกฤตเศรษฐกิจจะตามมา นอกจากเป็นอวิชชาของพ่อค้าคนธรรพ์จอมปลอมแล้ว ทุกคำที่ท่านอาจคัดค้าน ก็ล้วนแต่ส่งสาส์นของความเห็นแก่ได้ไม่รู้จบ
หากคนอ้วนไม่สนใจคนผอม ความขัดแย้งก็ไม่มีวันสิ้นสุดแล ะสะดุดเสรีนิยมสุดขั้วลงทุกครั้ งด้วยความรุนแรงทางสังคม ความมั่นคงของมนุษย์ไม่อาจละเลย ลืมเลือนต่อส่วนรวม สังคมจะขับเคลื่อนกงล้อไปสู่อาร ยธรรมใหม่ได้ ก็เมื่อเราสละไวน์รสดีขวดละแสน เป็นน้ำทิพย์ชุบชีวิตเพื่อนมนุษ ย์ที่แร้นแค้นใกล้ตาย จากโครงสร้างที่เขาไม่สามารถเข้ าถึงมาเป็นสังคมเศรษฐกิจที่เราร่วมกันออกแบบได้ เพื่อมาร่วมใช้ชีวิตร่วมกันและพัฒนาสังคมต่อไป
โดย Metha matkhow จากกลุ่ม OCCUPY-THAILAND
ปัจจุบันเราเสียภาษีทางอ้อมกว่า 70% และเสียภาษีทางตรงเพียง 30% ภาษีทางอ้อมนั้นเก็บผ่านฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษี ท่ามกลางความเหลื่อมล้ำทางสังคมมหาศาลและการกระจายรายได้ที่แย่มากที่สุดประเทศหนึ่งในโลกนี้ เรามีมนุษยน์ผู้จิบไวน์ขวดละแสน และชาวนาที่ต้องขายควายกว่า 10 ตัวกว่าจะเทียบเท่าน้ำทิพย์สีแดงขวดนั้น ไม่ผิดที่เราเกิดมาต่างกัน แต่นั่น มันไม่เป็นธรรมเลยสักนิด!!
ไม่ผิด ถ้าคนส่วนใหญ่ไม่ได้แบกรับการพัฒนา ไม่ผิด ถ้ามูลค่านั้นมาจากส่วนเกินทางสังคม ไม่ผิด ถ้ารายได้ที่มากขึ้นนั้นมาจากหยาดเหงื่อแรงงานและการลงทุนที่ใช้ความสามารถ หากแต่ภายใต้การคุ้มครองของรัฐ ทรัพย์สินที่สั่งสมเพิ่มขึ้นจากการรีดมูลค่าจากคนสังคม สมควรแบ่งปันคืนสู่สังคม โดยให้รัฐจัดการในส่วนเสี้ยวหนึ่ง เพื่อการพัฒนาสังคม สาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน และความสะดวกปลอดภัยของชีวิต.. แน่นอน รายได้ที่เพิ่มขึ้น ย่อมมาจากการกอบโกยจากสังคมส่วนหนึ่ง การคืนบางส่วนเพื่อไปพัฒนาแก้ไขปัญหาย่อมเป็นหน้าที่พลเมืองที่ดีมีคุณภาพของรัฐ และรัฐต้องเป็นรัฐที่ดีด้วยเช่นกัน ในการใช้ส่วนนั้นกลับไปพัฒนาสังคม ตลอดจนคุณภาพชีวิตและสวัสดิการที่ดีจากรัฐ
พลเมืองในยุโรป โดยเฉพาะประเทศแถบสแกนดิเนเวีย ยินดีจ่ายภาษีส่วนเกินนี้คืนให้รัฐแน่นอน ในอัตราก้าวหน้าจากทรัพย์สินและรายได้ที่งอกเงย เพราะแต่ละคนก็เอาประโยชน์ที่งอกเงยนั้นมาจากสังคมไม่เท่ากัน ความเป็นธรรมจึงเกิดขึ้นจากโครงสร้างภาษีที่เป็นธรรมนี้ และรัฐบาลก็นำภาษีที่เก็บได้มาพัฒนาสังคม จนผลิตผลของทรัพย์สิน ที่ดินและมูลค่าของการลงทุนต่างๆ งอกเงยขึ้นมาเป็นดอกผลตอบแทนคืนสูพลเมืองอีกระลอกหนึ่ง แน่นอน ผลพวงนี้เชื่อมต่อกันและทุกคนก็ยินดีที่จะจ่ายภาษีเหล่านี้ หลายครอบครัวยินดีที่จะจ่ายเงินมากกว่าอีกครอบครัวหนึ่งซึ่งมีรายได้น้อยกว่า เพียงเพื่อจะให้ลูกของตนเข้าโรงเรียนที่เดียวกัน เหตุผลเดียวก็คือเพื่อให้ลูกหลานของตนได้เรียนรู้และอยู่ใน “สังคม”
ในอเมริกา อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ จอร์จ บุช ผู้พ่อ เคยเสนอให้ยกเลิกเก็บภาษีมรดก เพื่อเดินทางเสรีนิยมสุดขั้ว ให้การแข่งขันและการผลิตของทุนมุ่งกำไรเต็มที่โดยไม่ต้องเอาสังคมเป็นภาระ ปรากฏว่านายทุนชั้นนำของสหรัฐฯ ต่างออกมาคัดค้าน หลายคนเห็นว่าพวกเขากอบโกยมาจากคนกว่า 200 ล้านคนในสหรัฐฯ ย่อมสมควรคืนกลับให้สังคมบ้างไม่มากก็น้อย อย่างน้อยก็เพื่อให้สังคมที่เขาอยู่ดีขึ้น และมันทำให้คุณภาพชีวิตของพวกเราดีขึ้นด้วย เข้าทำนองภาษิตที่ว่า “หากคนอ้วนแบ่งอาหารให้คนผอม ชีวิตเขาจะยืนยาวทั้งคู่”
ระหว่างที่ทรัพย์สินงอกเงยขึ้น มาจากการคุ้มครองจากรัฐในรูปแบบนิติบุคคล แน่นอน เราจ่ายภาษีเพียงบางส่วนให้แก่รัฐ แต่สังคมที่โอบอุ้มดูแลอยู่ล่ะ เราได้เสียภาษีสังคมหรือไม่ สิ่งแวดล้อมที่เสื่อมสลายลงทีละน้อยๆ ล่ะ เราได้จ่ายภาษีสิ่งแวดล้อมที่เสียไปอย่างคุ้มค่าหรือไม่ มีใครเคยคิดบ้างว่า เรายังคงหายใจในอากาศร่วมกัน เรายังคงหายใจบนพื้นที่ส่วนรวมอยู่ ไม่น้อยก็มากชีวิตเรากึ่งหนึ่งยังเป็นของส่วนรวม
ภาษีทรัพย์สิน คือภาษีทางตรงที่เราจ่ายให้แก่รัฐและสังคมระหว่างที่มีชีวิตอยู่และแน่นอน ภาษีมรดก คือการจ่ายส่วนเกินที่ปลายทางนั่นเอง ส่วนเกินที่เราสะสมมาจากมูลค่าที่สังคมโอบอุ้ม เราไม่ได้มันมาจากสุญญากาศ ดังนั้น เราจ่ายภาษีคืนสังคมเผื่อเหลือเผื่อขาดแน่นอน มันจึงพอกพูนงอกเงยขึ้นเป็นกองมรดกให้แก่ลูกหลาน การจ่ายคืนส่วนเกินบางส่วนให้แก่สังคมปลายทางนี้ จึงเป็นอัตราก้าวหน้าเช่นกันเพื่อความเป็นธรรมทางสังคม
ในสหภาพยุโรปเกือบทุกประเทศเก็บภาษีมรดกอัตราก้าวหน้า รวมถึงญี่ปุ่นและอเมริกาด้วย มีทั้งปันส่วนหนึ่งเข้ารัฐบาลกลางและส่วนหนึ่งเข้าท้องถิ่น มีทั้งภาษีการให้และการรับ จากกองมรดกและหรือจากการรับมรดกก็ตามรูปแบบที่แต่ท้องที่ไป
ในประเทศไทย ซึ่งมีปัญหาความเหลื่อมล้ำมหาศาล คนรวยพากันคัดค้านการปฏิรูปภาษีเพื่อความเป็นธรรมทางสังคมมาโดยตลอด แต่ก็เป็นที่น่ายินดี ที่กระทรวงการคลังดำริว่าจะผลักดันภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้างในเร็วๆ นี้ เพราะมันถึงเวลาแล้ว!!! และในอนาคตภาษีมรดกจะตามมาเยียวยาบาดแผลและรอยร้าวของความยากจน ที่เกิดจากโครงสร้างทางเศรษฐกิจและนโยบายที่ไม่เป็นธรรมมาตลอดกว่า 50 ปี
กฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ซึ่งให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้เก็บนี้ นอกจากเป็นมาตรการสำคัญในการปฏิรูประบบภาษีที่ดิน และสามารถพัฒนาโครงสร้างทางการคลังเพื่อนำไปสู่ภาวการณ์กระจายรายได้ที่ดีขึ้นได้ ยังเป็นการกระจายอำนาจให้ท้องถิ่นและเป็นการพัฒนาประชาธิปไตยในระยะยาวอีกขั้นหนึ่ง เพราะเป็นรายได้ให้กับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นสามารถจัดสรรทรัพยากรและกระจายการพัฒนาสาธารณูปโภคได้อย่างมีประสิทธิภาพ ตามหลักการกระจายอำนาจและการมีส่วนร่วมของประชาชน เนื่องเพราะประเทศไทยยังไม่มีภาษีที่จัดเก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริงเช่นนี้ นอกจากฐานรายได้ คือ ภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาและนิติบุคคล และฐานการบริโภค คือ ภาษีสรรพสามิตและภาษีมูลค่าเพิ่มต่างๆ ซึ่งเป็นการเก็บภาษีทางอ้อมที่ผลักภาระให้คนจนส่วนใหญ่เป็นผู้แบกรับภาษีดังกล่าว ซึ่งเป็นโครงสร้างภาษีที่ไม่มีความเป็นธรรม
แม้ว่าในอดีตถึงปัจจุบัน เราจะมีการเก็บภาษีโรงเรียนและที่ดิน และภาษีบำรุงท้องที่ แต่ก็ไม่ได้เก็บจากมูลค่าของทรัพย์สินอย่างแท้จริง เพราะเป็นการคำนวณภาษีบนฐานรายได้ โดยคำนวณจาก “ค่ารายปี” หรือค่าเช่าที่เจ้าของได้รับในแต่ละปี ถ้ามีการออกกฎหมายภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง จะเป็นภาษีทางตรงที่เก็บจากฐานทรัพย์สินที่แท้จริง
อย่างไรก็ตาม แม้จะไม่ได้เป็นอัตราก้าวหน้าในเชิงการถือครองมูลค่า แต่ก็เป็นอัตราก้าวหน้าในเชิงการใช้ประโยชน์ หากมีการปล่อยที่ดินไว้รกร้างว่างเปล่าก็จะเก็บภาษีมากขึ้น หากเป็นที่ดินที่ทำประโยชน์เชิงพาณิชย์ก็จะมีอัตรามากกว่าพื้นที่เกษตรกรรมทั่วไป อย่างไรก็ตาม ร่างพระราชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ไม่ได้เน้นในเรื่องของการกระจายการถือครองที่ดินโดยตรง และคนจนจำนวนมากไม่มีที่ดินทำกิน ดังนั้น กระทรวงการคลัง ควรมีนโยบายที่จะป้องกันไม่ไห้ที่ดินหลุดมือจากเกษตรกรไปสู่นายทุน โดยเพิ่มมาตรการการเก็บภาษีอัตราก้าวหน้าที่มากขึ้น
โดยเฉพาะพื้นที่รกร้างไม่ใช้ประโยชน์ทางการเกษตร และนโยบาย “โฉนดชุมชน” เพื่อเป็นการสร้างการยอมรับการครอบครองที่ดินทำกินและที่ดินอยู่อาศัยของผู้ที่ใช้ประโยชน์ในที่ดินที่แท้จริง และเป็นมาตรการในการให้ชุมชนมาจัดการที่ดินร่วมกัน เพื่อให้ที่ดินสามารถคงอยู่กับคนในชุมชนได้อย่างยั่งยืนต่อไป รวมถึงควรมีมาตรการกันรายได้ของภาษีที่ดินส่วนหนึ่งตั้งเป็น “ธนาคารที่ดิน” เพื่อเป็นหลักประกันให้คนจนที่ไม่มีที่ดินทำกิน มีโอกาสในการเข้าถึงที่ดิน
นอกจากนี้ หากเป็นไปได้ในระยะอันใกล้ หรืออาจเป็นนโยบายสังคมระยะยาว ควรมีนโยบายการปฏิรูปที่ดินทั้ง ระบบ เพื่อการกระจายการถือครองที่ดิน อย่างจริงจัง โดยการรื้อฟื้นปรับปรุง พระราชบัญญัติให้ใช้ประมวลกฎหมา ยที่ดิน พ.ศ.2497 ในสมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม ซึ่งมีการจำกัดการถือครองที่ดิน ไม่เกิน 50 ไร่ และห้ามคนต่างด้าวถือกรรมสิทธิ์ ที่ดิน แต่มายกเลิกในสมัยรัฐบาลจอมพลสฤ ษดิ์ ธนะรัชต์ ในประกาศคณะปฏิวัติฉบับที่ 19 เมื่อวันที่ 13 มกราคม 2503 ยกเลิกการจำกัดการถือครองที่ดิน เพื่อส่งเสริมให้เอกชนได้แสวงปร ะโยชน์จากทรัพยากรโดยไม่มีมาตรก ารรองรับ จนโครงสร้างการจัดการทรัพยากรโด ยเฉพาะที่ดินเปลี่ยนแปลงไปจนเกิ ดปัญหาการสะสมที่ดินขึ้น โดยรัฐบาลและกระทรวงการคลังอาจร่วมกันปฏิรูปกฎหมายดังกล่าวให้ทันสมัยขึ้น โดยมีมาตรการจำกัดการถือครองเพิ่มขึ้นไม่เกิน 200 ไร่ ตามความจำเป็น เป็นต้น ซึ่งจะสนับสนุนนโยบายการเก็บภาษีที่ดินฯ ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น หรืออาจจะปรับปรุงร่างพระราชบัญ ญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูกสร้าง ให้ครอบคลุมมาตรการดังกล่าว เพราะหากรัฐบาลไม่มีนโยบายเรื่อ งนี้ เกษตรและชาวนาไทยอาจจะกลายเป็นเ พียงแรงงานในท้องไร่ที่เป็นฟาร์ มขนาดใหญ่ของนายทุนข้ามชาติในอน าคต
ทั้งนี้ มาตรการดังกล่าว ยังเป็นไปตามเจตนารมณ์แห่งรัฐธรรมนูญไทย พ.ศ. 2552 มาตรา 85 ที่บัญญัติว่า รัฐมีหน้าที่กระจายการถือครองอย่างเป็นธรรม และดำเนินการให้เกษตรกรมีกรรมสิทธิ์ในที่ดินเพื่อประกอบเกษตรกรรมอย่างทั่วถึงโดยการปฏิรูปที่ดินหรือวิธีอื่น
อย่างไรก็ดี ประเทศไทย ควรมีนโยบายการเก็บภาษีทรัพย์สิ นอัตราก้าวหน้า ทั้งจากสังหาริมทรัพย์และอสังหา ริมทรัพย์เหมือนภาษีทรัพย์สินใน ต่างประเทศ ไม่ใช่จากอสังหาริมทรัพย์อย่างเ ดียวตามที่บัญญัติไว้ในร่างพระร าชบัญญัติภาษีที่ดินและสิ่งปลูก สร้าง ซึ่งจะเป็นมาตรการแก้ไขปัญหาควา มเหลื่อมล้ำทางสังคมในระยะยาว รวมถึงการเก็บภาษีมรดกอัตราก้าว หน้า เพื่อแก้ไขปัญหาความไม่เป็นธรรม ทางสังคม และเป็นหลักประกันด้านสิทธิมนุษ ยชนในประเทศไทย ตามสิทธิทางเศรษฐกิจ สังคม และวัฒนธรรม (ICESCR) ที่ประเทศไทยเป็นภาคีอยู่ เพื่อให้รัฐและท้องถิ่นนำมาใช้ใ นการพัฒนาสาธารณูปโภคและสวัสดิก ารทางสังคม เช่น การขนส่งมวลชนสาธารณะ การศึกษาและการสาธารณสุข เป็นต้น เพื่อให้ประชาชนมีเสรีภาพปลอดพ้ นจากความอดอยากแร้นแค้น โดยเฉพาะชนชั้นล่างทางสังคม ซึ่งหากภาษีที่รัฐเก็บมาใช้จ่าย ไปในกลุ่มที่เป็นกลุ่มรายได้ระดับล่างมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งจะทำให้เกิดการกระจายรายไ ด้ที่เท่าเทียมกันมากขึ้น ซึ่งจะสามารถลดช่องว่างของคนในสังคมได้มากยิ่งขึ้น
มันถึงเวลาแล้วที่คนรวยจะต้องไม่เห็นแก่ตัว แล้วมัวแต่อ้างอิงว่าตนเองและสังคมจะเสียประโยชน์จากนโยบายเหล่านี้ การแข่งขันเสรีจะสะดุด หรือวิกฤตเศรษฐกิจจะตามมา นอกจากเป็นอวิชชาของพ่อค้าคนธรรพ์จอมปลอมแล้ว ทุกคำที่ท่านอาจคัดค้าน ก็ล้วนแต่ส่งสาส์นของความเห็นแก่ได้ไม่รู้จบ
หากคนอ้วนไม่สนใจคนผอม ความขัดแย้งก็ไม่มีวันสิ้นสุดแล ะสะดุดเสรีนิยมสุดขั้วลงทุกครั้ งด้วยความรุนแรงทางสังคม ความมั่นคงของมนุษย์ไม่อาจละเลย ลืมเลือนต่อส่วนรวม สังคมจะขับเคลื่อนกงล้อไปสู่อาร ยธรรมใหม่ได้ ก็เมื่อเราสละไวน์รสดีขวดละแสน เป็นน้ำทิพย์ชุบชีวิตเพื่อนมนุษ ย์ที่แร้นแค้นใกล้ตาย จากโครงสร้างที่เขาไม่สามารถเข้ าถึงมาเป็นสังคมเศรษฐกิจที่เราร่วมกันออกแบบได้ เพื่อมาร่วมใช้ชีวิตร่วมกันและพัฒนาสังคมต่อไป
สืบมูลเท็จ-จริง เรื่องร้องเรียน"เขตบึงกุ่ม"กับแบบฟอร์มขอรับ"5 พัน"และขบวนการ"เหลือบ"อาละวาด
หลังจากที่ คณะรัฐมนตรี มีมติเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน อนุมัติงบประมาณรายจ่ายประจำปีงบประมาณ 2554 งบกลางรายการเงินสำรองจ่ายเพื่อกรณีฉุกเฉินหรือจำเป็น เพื่อช่วยเหลือผู้ประสบภัยพิบัติกรณีฉุกเฉิน (กรณีอุทกภัย) ครัวเรือนละ 5,000 บาท ในเขตกรุงเทพมหานครรวม 30 เขต ครอบคลุมผู้ที่ได้รับผลกระทบกรณีน้ำท่วมถึงบ้านพักอาศัยโดยฉับพลันและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย รวมทั้งกรณีบ้านพักอาศัยถูกน้ำท่วมขังติดต่อกันไม่น้อยกว่า 7 วันและทรัพย์สินได้รับความเสียหาย
ภายใต้เงื่อนไขประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถแจ้งคำร้องได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ที่ประสบภัยสำหรับกรณีที่เป็นเจ้าบ้าน ให้นำเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือรูปถ่ายถ้ามี ส่วนกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน หรือผู้เช่าบ้าน ให้นำเอกสาร ประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่าย (ถ้ามี) พร้อมด้วยหนังสือเซ็นรับรองจากประธานชุมชน หรือตัวแทนที่สำนักงานเขตรับรอง ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่เขตจะทำการตรวจสอบเอกสารแล้วจะนำรายชื่อผู้มีสิทธิส่งเข้ามายังส่วนกลาง โดย กรุงเทพมหานคร จะมีการตรวจสอบข้อมูล รับรองความถูกต้อง ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของครัวเรือนที่ประสบภัยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ก่อนจ่ายเงินช่วยเหลือ ก่อนจะส่งไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อรอขั้นตอนการดำเนินการ และให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณตรงให้ธนาคารออมสิน อนุมัติการสั่งจ่ายให้กับผู้ประสบภัยโดยเร็วที่สุดดำเนินการช่วยเหลือต่อไป นั้น
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนชาวเขตบึงกุ่มส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็น 1 ใน 30 เขต กรุงเทพมหานคร ที่ประสบภัยน้ำท่วม ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องการขอรับเงินชดเชยจำนวน 5,000 บาท โดยอ้างว่า มีเจ้าหน้าที่ (ซึ่งไม่ทราบว่าจากส่วนไหน) นำแบบฟอร์มเอกสารมาให้กรอกขอคำร้องเพื่อรับเงินจำนวนดังกล่าว ทั้งที่ ในส่วนบริเวณบ้านของพวกเขา (พื้นที่ที่แจ้งว่ามีการนำเอกสารไปให้กรอก คือซ.นวลจันทร์ 14) ซึ่งจากกาารตวจสอบพบว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ประสบปัญหาน้ำท่วม รวมถึงหลายๆหมู่บ้านในเขตบึงกลุ่ม น้ำเข้าท่วมไม่ถึง โดยบุคคลที่ให้มากรอกเอกสารอ้างว่า ได้งบฯประมาณมาแล้ว ขณะที่บางส่วนก็อ้างว่า คนที่นำเอกสารมาให้กรอก ระบุว่า ที่เหลือ ส.ส. (พรรคการเมืองหนึ่ง) จะจัดการเอง
เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า เรื่องดังกล่าว มีมูลความจริงการกระทำอันส่อความไม่โปร่งใสและเป็นการกระทำจากเจ้าหน้าที่เขตบึงกุ่ม หรือจากหน่วยงานใดหรือไม่ ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์จึงได้โทรศัพท์สัมภาษณ์นายกฤษณ์ เกียรติพนชาติ ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม ถึงกรณีดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันว่า ทางสำนักงานเขตไม่ได้มีการรับงบประมาณใดๆ จากทางรัฐบาลมาเพื่อดำเนินการในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทางเขตเป็นเพียงแค่หน่วยงานที่ตรวจสอบข้อมูลบ้านเรือนต่างๆที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ว่า มีพื้นที่ใดบ้างที่ประสบภัย และได้รับความเสียหาย ซึ่งจากการตรวจสอบมีเพียงบ้านเรือนของราษฎร แค่ประมาณ19% ของพื้นที่เขตบึงกุ่มเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม และขณะนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ก็พบว่าน้ำได้ลดลงเกือบแห้งสนิทแล้ว โดยหมู่บ้านที่ได้รับความเสียหายเต็มพื้นที่ และหนักสุด คือ หมู่บ้านมณียา แขวงนวลจันทร์ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ความเสียหายไม่มากเท่าไหร่
กับกรณีที่ว่า มีผู้นำเอกสารมาให้ประชาชนกรอกเพื่อขอรับเงิน 5,000 บาทนั้น ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม ยืนยันว่า คนที่ดำเนินการไปให้ชาวบ้านกรอกเอกสารไม่น่าจะใช่เจ้าหน้าที่เขตบึงกุ่มอย่างแน่นอน ทางเขตมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน รวมทั้งหมด 7 ข้อ ที่ตนตั้งไว้ เริ่มตั้งแต่การตรวจเอกสารคำร้อง การรับเรื่อง ส่งชุดคณะกรรมการออกไปตรวจสอบความเสียหายที่มีการยื่นเรื่องมา ก่อนที่จะมาคีย์ข้อมูลผู้ยื่นคำร้อง ตรวจเอกสารทั้งหมด และขั้นตอนสุดท้ายตนจะเป็นคนตรวจสอบว่า บ้านไหนที่ได้รับความเสียหายและสมควรที่จะได้รับเงินชดเชยเยียวยาจำนวนดังกล่าวจริง ขั้นตอนการตรวจสอบนี้ ทางเจ้าหน้าที่เขตมีข้อมูลหลักฐานที่เพียงพอซึ่งจะรู้ได้ว่า ใครได้รับผลกระทบมากน้อยเท่าไหร่ จากภาพถ่ายและวิดีโอที่ทางเจ้าหน้าที่เขตได้ลงพื้นที่ไปสำรวจตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมก่อนหน้านี้แล้ว ว่าบ้านไหนเป็นอย่างไร สภาพเสียหายแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ทางเขตเพิ่งจะมีการผ่านรายชื่อครอบครัวที่ได้รับเงินเยียวยาไปแล้วประมาณ 200-300 ครอบครัวเอง จากทั้งหมดที่ยื่นเรื่องมา ประมาณ 3 พันครัวเรือนแล้ว ซึ่งการทำงานค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากเราต้องการให้แน่ใจว่า คนที่มาขอยื่นรับเงิน ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ
ทั้งนี้ นายกฤษณ์ ก็ยอมรับว่า เท่าที่ทราบเรื่องตอนนี้มีขบวนการเหลือบไรคอยหากินกับความเดือดร้อนของประชาชนอยู่ ซึ่งตนกำลังพิสูจน์ข้อเท็จจริง ตรวจสอบเอกสารต่างๆที่มีการยื่นคำร้องมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน อย่างเช่นตอนนี้ พบว่า มีคนมายื่นเอกสารขอรับเงินแต่จากการตรวจสอบพบว่าไม่ใช่เจ้าของบ้านที่ถูกน้ำท่วมตัวจริง เราก็ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบให้เห็นกับตาเลยว่า เป็นอย่างไร มีพวกพยายามาแอบอ้างเยอะมาก เพราะฉะนั้นคนที่จะมาสวมรอยในการหาประโยชน์จากการรับเงิน 5,000 บาทนี้ ทำให้ทางเขตเราทำงานได้ยากลำบาก หรือแม้กระทั่งคนที่รับรองสุ่มสี่สุ่มห้า เราก็จะไม่ไว้วางใจเมื่อนำไปเทียบกับฐานข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับเดือดร้อนไม่พบว่าตรงกับความเป็น เป็นต้น ซึ่งตนก็มองว่า บางทีการตรวจสอบการช่วยเหลือเยียวยา ตามเงื่อนไข ของมติครม.นั้น มันก้ำกึ่ง แม้จะระบุว่า ไม่จำเป็นต้องมีรูปถ่ายมายืนยัน แต่ตรงข้อที่ระบุว่าต้องมีความเสียหาย นั้นต้องเสียหายมากน้อยแค่ไหน นั่นทำให้การดำเนินการของทางเขตเราทำงานได้ช้า ทั้งๆที่เราอยากจะช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว แต่ตอนนี้เพิ่งรับรองไปได้ไม่แค่กี่ร้อยหลังคาเรือนเอง
"ผมออกนโยบายอย่างชัดเจนว่า ทางเขตบึงกุ่มเราต้องไม่มีการคอรัปชั่นเป็นอันขาด การดำเนินการร้องขอ ผมเป็นคนตรวจสอบขั้นสุดท้าย เราทำงานกันหนักมาก แม้จะล้ากันบ้างจากการลงพื้นที่ทุกวัน แต่ต้อต้องทำต่อไป เพราะฉะนั้นวางใจได้ว่า จะไม่เกิดความไม่ชอบมาพากลกับการส่งเรื่องไปยังกทม.อย่างแน่นอน เมื่อได้รับเรื่องมาผมก็ส่งคณะกรรมการไปตรวจสอบมีการประชุมกันทุกเย็น ขณะที่การพิจารณาการให้เงิน ก็ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งนั้น มีแต่ให้ กับไม่ให้ บ้านหลังไหนเข้าหลักการผมอนุมัติผ่านให้เลยแต่บ้านไหน คนมายื่นเรื่องน่าสงสัยผมไม่ให้ผ่านไปง่ายๆ เพราะถ้าทางเขตดำเนินการไม่ละเอียด เราก็เสี่ยงต่อความผิดเช่นกัน และยืนยันทางเขตเราไม่มีงบประมาณใดๆ ในการดำเนินการส่งเรื่องยื่นของ 5,000 บาททั้งสิ้น เราทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ตอนนี้เราพยายามดำเนินเรื่องให้เร็วที่สุด ไม่ให้ช้า แต่อย่างว่า พวกเหลือบไรมันเยอะ ผมกลัวจังเลยพวกหากิน และไม่มั่นใจว่า พวกนี้ไปหากินอะไรบ้าง ใครจะมาสวมรอยแอบอ้างไม่ใช่ง่ายๆผมมีเรคอคอร์ดไว้อยู่แล้ว รวมถึงยืนยัน เขตบึงกุ่ม เราดำเนินการเฉพาะของเราเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกส.ส. ส.ก.หรือ ส.ข. ในการส่งเอกสาร" ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่มย้ำ
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นกรณีตัวอย่างของการดำเนินงานของสำนักงานเขตต่างๆ รวมถึงการดำเนินงานของการปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมด้วยว่า มักจะมีผู้แอบอ้างหรือพยายามหาผลประโยชน์ สวมรอยหากินกับความเดือดร้อนของชาวบ้านโดยอ้างอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นในการหลอกให้ประชาชนลงชื่อเพื่อนำไปดำเนินการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งหากผู้ปกครองท้องถิ่นนั้นๆไม่มีความเข้มแข็งหรือขาดซึ่งการดูแลเอาใจใส่ ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากเงินค่าชดเชยความเสียหาย ก็จะเป็นช่องทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสเอาได้ รวมถึงฝากเตือนไปยังประชาชน อย่าหลงเชื่อคำเชิญชวนหรือลงชื่อร่วมกรอกข้อมูลเอกสารอะไรก็แล้วแต่ที่มีความผิดปกติ น่าสงสัย เพราะนั่นอาจจะทำให้มีความผิด หรือถูกสวมรอยใช้สิทธิในการดำเนินการต่างๆได้
มติชนออนไลน์
ภายใต้เงื่อนไขประชาชนที่ได้รับผลกระทบสามารถแจ้งคำร้องได้ที่สำนักงานเขตพื้นที่ที่ประสบภัยสำหรับกรณีที่เป็นเจ้าบ้าน ให้นำเอกสารสำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน หรือรูปถ่ายถ้ามี ส่วนกรณีที่ไม่ใช่เจ้าของบ้าน หรือผู้เช่าบ้าน ให้นำเอกสาร ประกอบด้วย สำเนาบัตรประจำตัวประชาชน สำเนาทะเบียนบ้าน รูปถ่าย (ถ้ามี) พร้อมด้วยหนังสือเซ็นรับรองจากประธานชุมชน หรือตัวแทนที่สำนักงานเขตรับรอง ซึ่งภายหลังเจ้าหน้าที่เขตจะทำการตรวจสอบเอกสารแล้วจะนำรายชื่อผู้มีสิทธิส่งเข้ามายังส่วนกลาง โดย กรุงเทพมหานคร จะมีการตรวจสอบข้อมูล รับรองความถูกต้อง ตรวจสอบความซ้ำซ้อนของครัวเรือนที่ประสบภัยให้เป็นไปตามหลักเกณฑ์ก่อนจ่ายเงินช่วยเหลือ ก่อนจะส่งไปยังกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) เพื่อรอขั้นตอนการดำเนินการ และให้สำนักงบประมาณจัดสรรเงินงบประมาณตรงให้ธนาคารออมสิน อนุมัติการสั่งจ่ายให้กับผู้ประสบภัยโดยเร็วที่สุดดำเนินการช่วยเหลือต่อไป นั้น
เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์ ได้รับเรื่องร้องเรียนจากประชาชนชาวเขตบึงกุ่มส่วนหนึ่ง ซึ่งเป็น 1 ใน 30 เขต กรุงเทพมหานคร ที่ประสบภัยน้ำท่วม ให้ตรวจสอบข้อเท็จจริง เรื่องการขอรับเงินชดเชยจำนวน 5,000 บาท โดยอ้างว่า มีเจ้าหน้าที่ (ซึ่งไม่ทราบว่าจากส่วนไหน) นำแบบฟอร์มเอกสารมาให้กรอกขอคำร้องเพื่อรับเงินจำนวนดังกล่าว ทั้งที่ ในส่วนบริเวณบ้านของพวกเขา (พื้นที่ที่แจ้งว่ามีการนำเอกสารไปให้กรอก คือซ.นวลจันทร์ 14) ซึ่งจากกาารตวจสอบพบว่า พื้นที่ดังกล่าวไม่ประสบปัญหาน้ำท่วม รวมถึงหลายๆหมู่บ้านในเขตบึงกลุ่ม น้ำเข้าท่วมไม่ถึง โดยบุคคลที่ให้มากรอกเอกสารอ้างว่า ได้งบฯประมาณมาแล้ว ขณะที่บางส่วนก็อ้างว่า คนที่นำเอกสารมาให้กรอก ระบุว่า ที่เหลือ ส.ส. (พรรคการเมืองหนึ่ง) จะจัดการเอง
เพื่อเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงว่า เรื่องดังกล่าว มีมูลความจริงการกระทำอันส่อความไม่โปร่งใสและเป็นการกระทำจากเจ้าหน้าที่เขตบึงกุ่ม หรือจากหน่วยงานใดหรือไม่ ผู้สื่อข่าวมติชนออนไลน์จึงได้โทรศัพท์สัมภาษณ์นายกฤษณ์ เกียรติพนชาติ ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม ถึงกรณีดังกล่าวก็ได้รับการยืนยันว่า ทางสำนักงานเขตไม่ได้มีการรับงบประมาณใดๆ จากทางรัฐบาลมาเพื่อดำเนินการในการช่วยเหลือประชาชนที่ประสบภัยน้ำท่วมทั้งนั้น เพียงแต่ว่าทางเขตเป็นเพียงแค่หน่วยงานที่ตรวจสอบข้อมูลบ้านเรือนต่างๆที่ประสบปัญหาน้ำท่วม ว่า มีพื้นที่ใดบ้างที่ประสบภัย และได้รับความเสียหาย ซึ่งจากการตรวจสอบมีเพียงบ้านเรือนของราษฎร แค่ประมาณ19% ของพื้นที่เขตบึงกุ่มเท่านั้นที่ได้รับผลกระทบจากเหตุน้ำท่วม และขณะนี้พื้นที่ส่วนใหญ่ก็พบว่าน้ำได้ลดลงเกือบแห้งสนิทแล้ว โดยหมู่บ้านที่ได้รับความเสียหายเต็มพื้นที่ และหนักสุด คือ หมู่บ้านมณียา แขวงนวลจันทร์ ส่วนพื้นที่อื่นๆ ความเสียหายไม่มากเท่าไหร่
กับกรณีที่ว่า มีผู้นำเอกสารมาให้ประชาชนกรอกเพื่อขอรับเงิน 5,000 บาทนั้น ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่ม ยืนยันว่า คนที่ดำเนินการไปให้ชาวบ้านกรอกเอกสารไม่น่าจะใช่เจ้าหน้าที่เขตบึงกุ่มอย่างแน่นอน ทางเขตมีการดำเนินการอย่างเป็นขั้นตอน รวมทั้งหมด 7 ข้อ ที่ตนตั้งไว้ เริ่มตั้งแต่การตรวจเอกสารคำร้อง การรับเรื่อง ส่งชุดคณะกรรมการออกไปตรวจสอบความเสียหายที่มีการยื่นเรื่องมา ก่อนที่จะมาคีย์ข้อมูลผู้ยื่นคำร้อง ตรวจเอกสารทั้งหมด และขั้นตอนสุดท้ายตนจะเป็นคนตรวจสอบว่า บ้านไหนที่ได้รับความเสียหายและสมควรที่จะได้รับเงินชดเชยเยียวยาจำนวนดังกล่าวจริง ขั้นตอนการตรวจสอบนี้ ทางเจ้าหน้าที่เขตมีข้อมูลหลักฐานที่เพียงพอซึ่งจะรู้ได้ว่า ใครได้รับผลกระทบมากน้อยเท่าไหร่ จากภาพถ่ายและวิดีโอที่ทางเจ้าหน้าที่เขตได้ลงพื้นที่ไปสำรวจตั้งแต่ช่วงน้ำท่วมก่อนหน้านี้แล้ว ว่าบ้านไหนเป็นอย่างไร สภาพเสียหายแค่ไหน
อย่างไรก็ตาม ตอนนี้ ทางเขตเพิ่งจะมีการผ่านรายชื่อครอบครัวที่ได้รับเงินเยียวยาไปแล้วประมาณ 200-300 ครอบครัวเอง จากทั้งหมดที่ยื่นเรื่องมา ประมาณ 3 พันครัวเรือนแล้ว ซึ่งการทำงานค่อนข้างเป็นไปอย่างยากลำบากเนื่องจากเราต้องการให้แน่ใจว่า คนที่มาขอยื่นรับเงิน ได้รับความเดือดร้อนจริงๆ
ทั้งนี้ นายกฤษณ์ ก็ยอมรับว่า เท่าที่ทราบเรื่องตอนนี้มีขบวนการเหลือบไรคอยหากินกับความเดือดร้อนของประชาชนอยู่ ซึ่งตนกำลังพิสูจน์ข้อเท็จจริง ตรวจสอบเอกสารต่างๆที่มีการยื่นคำร้องมาอย่างละเอียดถี่ถ้วน อย่างเช่นตอนนี้ พบว่า มีคนมายื่นเอกสารขอรับเงินแต่จากการตรวจสอบพบว่าไม่ใช่เจ้าของบ้านที่ถูกน้ำท่วมตัวจริง เราก็ส่งเจ้าหน้าที่ลงพื้นที่ไปตรวจสอบให้เห็นกับตาเลยว่า เป็นอย่างไร มีพวกพยายามาแอบอ้างเยอะมาก เพราะฉะนั้นคนที่จะมาสวมรอยในการหาประโยชน์จากการรับเงิน 5,000 บาทนี้ ทำให้ทางเขตเราทำงานได้ยากลำบาก หรือแม้กระทั่งคนที่รับรองสุ่มสี่สุ่มห้า เราก็จะไม่ไว้วางใจเมื่อนำไปเทียบกับฐานข้อมูลพื้นที่ที่ได้รับเดือดร้อนไม่พบว่าตรงกับความเป็น เป็นต้น ซึ่งตนก็มองว่า บางทีการตรวจสอบการช่วยเหลือเยียวยา ตามเงื่อนไข ของมติครม.นั้น มันก้ำกึ่ง แม้จะระบุว่า ไม่จำเป็นต้องมีรูปถ่ายมายืนยัน แต่ตรงข้อที่ระบุว่าต้องมีความเสียหาย นั้นต้องเสียหายมากน้อยแค่ไหน นั่นทำให้การดำเนินการของทางเขตเราทำงานได้ช้า ทั้งๆที่เราอยากจะช่วยเหลือประชาชนโดยเร็ว แต่ตอนนี้เพิ่งรับรองไปได้ไม่แค่กี่ร้อยหลังคาเรือนเอง
"ผมออกนโยบายอย่างชัดเจนว่า ทางเขตบึงกุ่มเราต้องไม่มีการคอรัปชั่นเป็นอันขาด การดำเนินการร้องขอ ผมเป็นคนตรวจสอบขั้นสุดท้าย เราทำงานกันหนักมาก แม้จะล้ากันบ้างจากการลงพื้นที่ทุกวัน แต่ต้อต้องทำต่อไป เพราะฉะนั้นวางใจได้ว่า จะไม่เกิดความไม่ชอบมาพากลกับการส่งเรื่องไปยังกทม.อย่างแน่นอน เมื่อได้รับเรื่องมาผมก็ส่งคณะกรรมการไปตรวจสอบมีการประชุมกันทุกเย็น ขณะที่การพิจารณาการให้เงิน ก็ไม่มีเงื่อนไขใดๆทั้งนั้น มีแต่ให้ กับไม่ให้ บ้านหลังไหนเข้าหลักการผมอนุมัติผ่านให้เลยแต่บ้านไหน คนมายื่นเรื่องน่าสงสัยผมไม่ให้ผ่านไปง่ายๆ เพราะถ้าทางเขตดำเนินการไม่ละเอียด เราก็เสี่ยงต่อความผิดเช่นกัน และยืนยันทางเขตเราไม่มีงบประมาณใดๆ ในการดำเนินการส่งเรื่องยื่นของ 5,000 บาททั้งสิ้น เราทำเพื่อผลประโยชน์ของประชาชน ตอนนี้เราพยายามดำเนินเรื่องให้เร็วที่สุด ไม่ให้ช้า แต่อย่างว่า พวกเหลือบไรมันเยอะ ผมกลัวจังเลยพวกหากิน และไม่มั่นใจว่า พวกนี้ไปหากินอะไรบ้าง ใครจะมาสวมรอยแอบอ้างไม่ใช่ง่ายๆผมมีเรคอคอร์ดไว้อยู่แล้ว รวมถึงยืนยัน เขตบึงกุ่ม เราดำเนินการเฉพาะของเราเอง ไม่มีความเกี่ยวข้องกับพวกส.ส. ส.ก.หรือ ส.ข. ในการส่งเอกสาร" ผู้อำนวยการเขตบึงกุ่มย้ำ
อย่างไรก็ตาม เรื่องดังกล่าวที่เกิดขึ้น น่าจะเป็นกรณีตัวอย่างของการดำเนินงานของสำนักงานเขตต่างๆ รวมถึงการดำเนินงานของการปกครองท้องถิ่นในพื้นที่ที่ประสบภัยน้ำท่วมด้วยว่า มักจะมีผู้แอบอ้างหรือพยายามหาผลประโยชน์ สวมรอยหากินกับความเดือดร้อนของชาวบ้านโดยอ้างอิทธิพลของนักการเมืองท้องถิ่นในการหลอกให้ประชาชนลงชื่อเพื่อนำไปดำเนินการสิ่งใดสิ่งหนึ่ง ซึ่งหากผู้ปกครองท้องถิ่นนั้นๆไม่มีความเข้มแข็งหรือขาดซึ่งการดูแลเอาใจใส่ ผลประโยชน์ที่ประชาชนจะได้รับจากเงินค่าชดเชยความเสียหาย ก็จะเป็นช่องทางให้ผู้ไม่ประสงค์ดีฉวยโอกาสเอาได้ รวมถึงฝากเตือนไปยังประชาชน อย่าหลงเชื่อคำเชิญชวนหรือลงชื่อร่วมกรอกข้อมูลเอกสารอะไรก็แล้วแต่ที่มีความผิดปกติ น่าสงสัย เพราะนั่นอาจจะทำให้มีความผิด หรือถูกสวมรอยใช้สิทธิในการดำเนินการต่างๆได้
มติชนออนไลน์
สิ่งที่สำคัญกว่าคำว่า "ประชาธิปไตย "
ได้ฟังคลิปเสียงสัมภาษณ์ของจักรภพ เพ็ญแข แล้วผมก็อยากจะเสนอความคิดเห็นในส่วนของคำว่าประชาธิปไตยที่พวกเค้าเอามา อ้างในการหลอกล่อประชาชนนิดละกันครับ ในส่วนที่คุณจักภพ กล่าวพาดพิงในหลวงนั้นผมขอผ่านไป ซึ่งคงมีหลายๆสื่อ หลายๆช่องทางโจมตีประเด็นนี้กันไปแล้วนะครับ ผมขอแสดงความคิดเห็นในเรื่อง ระบอบการปกครองอย่างเดียวละกัน
คุณจักรภพได้ให้สัมภาษณ์ถึง สิ่งที่ควรจะเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยว่าการเป็นประชาธิปไตยนั้นอำนาจของ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่นั้นควรได้ รับความชอบธรรมในหลายๆด้าน รัฐบาลควรดำเนินการโดยต้องไม่กลัวอำนาจจากมือที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน เพราะเรามีระบบรัฐสภาในการตรวจสอบ ฝ่ายค้านก็สามารถทำหน้าที่คัดค้านได้ในสภา นี่คือประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่ประเทศเราจะต้องให้เป็นไปให้ได้ น่าจะประมาณนี้
ผมเห็นด้วยครับกับกลไกดังกล่าวของระบบระบอบประชาธิปไตยที่คุณจักรภพพูดถึง มันควรจะเป็นเช่นนั้นหากความเป็นจริงประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องของ ประชาธิปไตยที่ควรจะเป็นจริงๆ
ระบอบประชาธิปไตยที่กล่าวมานั้น มันเหมาะสมกับประเทศไทยจริงหรือ หากประชาชนของประเทศยังมีความคิดความเชื่อ ว่า ทักษิณเป็นคนดีเพราะทักษิณเอาเงินมาให้ เหมาะหรือ กับประชาชนที่ยังหลงงมงายในเรื่องทักษิณคือพระเจ้าตากสินที่กลับมาทวงความ ชอบธรรมคืนจากราชวงค์จักรีในความเชื่อของประวัติศาสตร์เดิมๆที่ยังไม่สามารถ พิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์เลย แล้วจริงๆปัจจุบันก็มีการพิสูจน์แล้วว่า พระเจ้าตากสินนั้นไม่ได้ถูกแย่งชิงอำนาจแบบความเชื่อเดิมๆซักหน่อย เราโดนหลอกโดยอาศัยความเชื่อเดิมๆแล้วกลับมองข้ามความดีของราชวงค์จักรีที่ ทำเพื่อประชาชนแบบที่พวกเราสัมผัสได้แล้ว ที่เห็นๆเลยการเลิกทาสจากสมัย ร.๕ เอาเป็นว่า เอาแค่เท่าที่ผมสัมผัสมาตั้งแต่เกิดนี่ก็พอ ความดีที่ในหลวงรัชกาลปัจจุบันก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์ในหลายๆเรื่องแล้วครับ ว่าพระองค์ทรงรักประชาชนของพระองค์ขนาดไหน เราย้อนดูอะไรหลายๆอย่างที่พระองค์ทรงทำมาในอดีตได้ครับ แต่ทำไมถึงมองข้ามความดีที่เราเห็นกันมาด้วยตนเองไปงมงายในเรื่องที่เราไม่ อาจรับรู้ได้นอกจากการออกมาเล่าให้ฟัง แล้วแบบนี้หรือที่ว่าประเทศไทยเหมาะจะเป็นประชาธิปไตย
ผมไม่ได้ต่อต้านระบอบประชาธิปไตยนะครับ แต่ผมอยากให้มองมุมที่เราควรมองมากกว่าไปหลงกับชื่อของระบอบ ระบอบไหนจะไปสำคัญครับหากผู้มีอำนาจ ผู้ปกครองในระบอบนั้นขาดซึ่งความเป็นธรรม มันก็ไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งนั้นครับหากขาดสิ่งนี้ การที่รัฐบาลที่ถูกเลือกมาจากเสียส่วนใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้เพราะประชาชน เลือกมาแล้วนี่หรือประชาธิปไตย การที่รัฐมีการประชุมลับเพื่อต้องการทำให้ผู้ที่มีความผิดเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่หรือประชาธิปไตย การกลั่นแกล้งผู้ที่ตรงข้ามกับรัฐ การปกปิดสื่อต่างๆในการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมานี่หรือประชาธิไตย ถามใจตัวเองลึกๆครับ ว่าใช่ระบอบที่เราควรนำมาปกครองประเทศจริงๆหรือ มันใช่ประชาธิปไตยที่ให้ความเท่าเทียมกับทุกฝ่ายจริงๆหรือเปล่า
พวกเรากำลังหลงทางกับคำว่าประชาธิปไตยครับ เพราะเรายึดติดกับชื่อของมัน พวกเราต้องมองดูตัวเราเองก่อนครับว่า เรารู้จักประชาธิปไตยที่แท้จริงแค่ไหน แล้วประชาธิปไตยที่ฟังกันมานั้นมันถูกต้องแล้วจริงๆหรือเปล่า
ผมอยากให้เรามองความเป็นธรรม ความชอบธรรม เป็นหลักครับ มองความเท่าเทียมที่แท้จริงให้ออก อย่าไปหลงแค่ชื่อ หลงกลพวกที่แสวงหาอำนาจ การปกครองระบอบอะไรถ้าไม่มีคุณธรรมมันก็เป็นปัญหากับประชาชนอย่างเราทัํ้ง นั้น ประชาธิิปไตยที่ขาดผู้ปกครองที่ใจเป็นธรรม มันไม่มีทางเท่าเทียมหรอกครับ
ประชาธิปไตยแบบที่คุณจักรภพกล่าวมา จึงเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ประเทศเปลี่ยนระบอบเป็นระบอบทักษิณเท่านั้น เอง หาใช่ประชาธิปไตยไม่! อย่าให้ผู้แสวงหาอำนาจ อาศัยความไม่รู้จักประชาธิปไตยที่แท้จริงของเรา เอาระบอบอะไรไม่รู้มาแปะชื่อว่า ประชาธิปไตย หลอกเราอีกต่อไปเลยครับ
คุณจักรภพได้ให้สัมภาษณ์ถึง สิ่งที่ควรจะเป็นไปตามระบอบประชาธิปไตยว่าการเป็นประชาธิปไตยนั้นอำนาจของ รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งโดยเป็นที่ยอมรับของประชาชนส่วนใหญ่นั้นควรได้ รับความชอบธรรมในหลายๆด้าน รัฐบาลควรดำเนินการโดยต้องไม่กลัวอำนาจจากมือที่มองไม่เห็น ไม่ว่าจะเป็นเรื่องไหน เพราะเรามีระบบรัฐสภาในการตรวจสอบ ฝ่ายค้านก็สามารถทำหน้าที่คัดค้านได้ในสภา นี่คือประชาธิปไตยระบบรัฐสภาที่ประเทศเราจะต้องให้เป็นไปให้ได้ น่าจะประมาณนี้
ผมเห็นด้วยครับกับกลไกดังกล่าวของระบบระบอบประชาธิปไตยที่คุณจักรภพพูดถึง มันควรจะเป็นเช่นนั้นหากความเป็นจริงประชาชนส่วนใหญ่มีความรู้เรื่องของ ประชาธิปไตยที่ควรจะเป็นจริงๆ
ระบอบประชาธิปไตยที่กล่าวมานั้น มันเหมาะสมกับประเทศไทยจริงหรือ หากประชาชนของประเทศยังมีความคิดความเชื่อ ว่า ทักษิณเป็นคนดีเพราะทักษิณเอาเงินมาให้ เหมาะหรือ กับประชาชนที่ยังหลงงมงายในเรื่องทักษิณคือพระเจ้าตากสินที่กลับมาทวงความ ชอบธรรมคืนจากราชวงค์จักรีในความเชื่อของประวัติศาสตร์เดิมๆที่ยังไม่สามารถ พิสูจน์ความจริงให้ประจักษ์เลย แล้วจริงๆปัจจุบันก็มีการพิสูจน์แล้วว่า พระเจ้าตากสินนั้นไม่ได้ถูกแย่งชิงอำนาจแบบความเชื่อเดิมๆซักหน่อย เราโดนหลอกโดยอาศัยความเชื่อเดิมๆแล้วกลับมองข้ามความดีของราชวงค์จักรีที่ ทำเพื่อประชาชนแบบที่พวกเราสัมผัสได้แล้ว ที่เห็นๆเลยการเลิกทาสจากสมัย ร.๕ เอาเป็นว่า เอาแค่เท่าที่ผมสัมผัสมาตั้งแต่เกิดนี่ก็พอ ความดีที่ในหลวงรัชกาลปัจจุบันก็น่าจะเป็นที่ประจักษ์ในหลายๆเรื่องแล้วครับ ว่าพระองค์ทรงรักประชาชนของพระองค์ขนาดไหน เราย้อนดูอะไรหลายๆอย่างที่พระองค์ทรงทำมาในอดีตได้ครับ แต่ทำไมถึงมองข้ามความดีที่เราเห็นกันมาด้วยตนเองไปงมงายในเรื่องที่เราไม่ อาจรับรู้ได้นอกจากการออกมาเล่าให้ฟัง แล้วแบบนี้หรือที่ว่าประเทศไทยเหมาะจะเป็นประชาธิปไตย
ผมไม่ได้ต่อต้านระบอบประชาธิปไตยนะครับ แต่ผมอยากให้มองมุมที่เราควรมองมากกว่าไปหลงกับชื่อของระบอบ ระบอบไหนจะไปสำคัญครับหากผู้มีอำนาจ ผู้ปกครองในระบอบนั้นขาดซึ่งความเป็นธรรม มันก็ไม่เป็นประชาธิปไตยทั้งนั้นครับหากขาดสิ่งนี้ การที่รัฐบาลที่ถูกเลือกมาจากเสียส่วนใหญ่แล้วจะทำอะไรก็ได้เพราะประชาชน เลือกมาแล้วนี่หรือประชาธิปไตย การที่รัฐมีการประชุมลับเพื่อต้องการทำให้ผู้ที่มีความผิดเป็นผู้บริสุทธิ์ นี่หรือประชาธิปไตย การกลั่นแกล้งผู้ที่ตรงข้ามกับรัฐ การปกปิดสื่อต่างๆในการนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมานี่หรือประชาธิไตย ถามใจตัวเองลึกๆครับ ว่าใช่ระบอบที่เราควรนำมาปกครองประเทศจริงๆหรือ มันใช่ประชาธิปไตยที่ให้ความเท่าเทียมกับทุกฝ่ายจริงๆหรือเปล่า
พวกเรากำลังหลงทางกับคำว่าประชาธิปไตยครับ เพราะเรายึดติดกับชื่อของมัน พวกเราต้องมองดูตัวเราเองก่อนครับว่า เรารู้จักประชาธิปไตยที่แท้จริงแค่ไหน แล้วประชาธิปไตยที่ฟังกันมานั้นมันถูกต้องแล้วจริงๆหรือเปล่า
ผมอยากให้เรามองความเป็นธรรม ความชอบธรรม เป็นหลักครับ มองความเท่าเทียมที่แท้จริงให้ออก อย่าไปหลงแค่ชื่อ หลงกลพวกที่แสวงหาอำนาจ การปกครองระบอบอะไรถ้าไม่มีคุณธรรมมันก็เป็นปัญหากับประชาชนอย่างเราทัํ้ง นั้น ประชาธิิปไตยที่ขาดผู้ปกครองที่ใจเป็นธรรม มันไม่มีทางเท่าเทียมหรอกครับ
ประชาธิปไตยแบบที่คุณจักรภพกล่าวมา จึงเป็นแค่โฆษณาชวนเชื่อเพื่อให้ประเทศเปลี่ยนระบอบเป็นระบอบทักษิณเท่านั้น เอง หาใช่ประชาธิปไตยไม่! อย่าให้ผู้แสวงหาอำนาจ อาศัยความไม่รู้จักประชาธิปไตยที่แท้จริงของเรา เอาระบอบอะไรไม่รู้มาแปะชื่อว่า ประชาธิปไตย หลอกเราอีกต่อไปเลยครับ
โดย Chor Chang
วันจันทร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
ธ ทรงเป็นดั่งดวงใจไทยทั้งชาติ
อัญชะลี ไพรีรัก
ชาวไทยทุกหมู่เหล่าที่เป็นพสกนิกรในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดชมหาราชพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ 9 แห่งราชวงศ์จักรี ล้วนแล้วแต่มีความรู้สึกเป็นอันหนึ่งอันเดียวกันนั่นคือความจงรักภักดีต่อพ่อผู้ยิ่งใหญ่ของเราอย่างหาที่สุดไม่ได้
คน
รุ่นปู่ย่าตายายหรือรุ่นพ่อแม่ของดิฉันต่างเกิดและเติบโตมากับพระจริยวัตร
อันงดงามของพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบัน
นับตั้งแต่พระองค์ยังทรงเป็นพระอนุชาองค์น้อยของพระบาทสมเด็จพระปรเมนทรมหา
อนันทมหิดล รัชกาลที่ 8
จวบจนกระทั้งพระองค์เสด็จขึ้นครองราชย์เป็นพระมหากษัตริย์ผู้ทรงตั่งมั่น
อยู่ในทศพิธราชธรรม
และทรงบำบัดทุกข์สุขให้แก่อาณาประชาราษฎร์อย่างมิเคยย่อท้อตราบจนถึง
ปัจจุบันนี้
ดิฉัน
เกิดมาบนแผ่นดินของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เติบโตมากับข่าวในพระราชสำนักที่ฉายภาพพระราชกรณียกิจของพระองค์ สมัยเด็กฯ
ข่าวในพระราชสำนักจะเป็นเหมือนนาฬิกาบอกโมงยามกับเราว่าจบข่าวแล้วต้องเข้า
นอน แต่เมื่อเราโตขึ้นพอสองทุ่มปุ๊ป
ดิฉันกับเพื่อนๆจะหยุดพูด หยุดโทรศัพท์ หยุดทำงาน
แล้วบอกกันว่าเดี๋ยวค่อยมาต่อกันใหม่น่ะ
เราไปเฝ้าฯพระเจ้าอยู่หัวทรงโทรทัศน์กันก่อน
รุ่นพี่คนหนึ่งเป็นผู้นำในการยกมือไหว้พระเจ้าอยู่หัวทางทีวีทุกครั้งที่มี
ข่าวในพระราชสำนัก นี่จึงเป็นสิ่งที่ปฎิบัติกันมาโดยตลอดในครอบครัว
และในกลุ่มเพื่อนผู้ใกล้ชิดของดิฉัน
ตอน
เด็กๆเราถูกสอนให้รักพระเจ้าอยู่หัวเราเห็นหนังสือเรียนมีเรื่องราวเกี่ยว
กับพระองค์ท่าน
เห็นปฎิทินในบ้านเป็นพระบรมฉายาลักษณ์ของพระเจ้าอยู่หัวปีแล้วปีเล่า
เห็นภาพพระองค์ท่านทรงประกอบพระราชกรณียกิจอย่างมิเคยว่างเว้น ภาพต่างๆ
เหล่านี้จำจดจาร ลงในดวงตาและดวงใจของเรา แม้
จะยังไม่รู้เรื่องราวที่เราซึมซับมานั้นจริงแท้แค่ไหน
แต่ดิฉันคิดว่าเป็นพื้นฐานที่ดีมาก
เพราะเมื่อเราเติบโตออกจากห้องเรียนสู่โลกกว้าง
เราจึงได้ค้นพบด้วยตัวเองว่าสิ่งที่ถูกสั่งสอนให้จดจำมาตลอดชีวิตนั้นเป็น
เรื่องจริงที่พิสูจน์ได้
เราได้พบว่าพระเจ้าอยู่หัวคือเทพเจ้าที่มีตัวตนอยู่จริงและสัมผัสได้
เราไม่สามารถเอื้อมมือไปสัมผัสพระองค์ท่านได้ก็จริง
แต่เราสามารถเอื้อมหัวใจของเราไปสัมผัสพระองค์ท่านได้แนบแน่นกว่ามือเสียอีก
สัมผัสได้จากอะไรรู้ไหมคะ จากพระราชกรณียกิจ จากพระบรมราโชวาท
และจากสิ่งที่พระองค์ทรงทำมาตลอดรัชสมัยของพระองค์
นับ
ตั้งแต่ทรงย่างพระบาทก้าวแรกกลับสู่แผ่นดินสยาม
ดิฉันถือว่าเป็นบุญอันมหาศาลของบ้านเมืองเรา
คิดดูนะคะว่าในยามนั้นถ้าพระองค์ท่านไม่เสด็จฯกลับมาก็ย่อมได้และจะไม่มีใคร
ตำหนิได้เลย
เพราะลมการเมืองในยุคสมัยนั้นเปลี่ยนแปลงและผันผวนแรงมากแต่พระองค์ทรง
ตัดสินพระราชหฤทัยอย่างแน่วแน่และเด็ดเดี่ยว
ในวันนั้นครอบครัวเล็กๆจากเมืองโลซานน์กลับมายังแผ่นดินสยามแล้วไม่ได้กลับ
มาเป็นเทพสมมุติผู้จุติอวตารลงมาด้วย แต่
กลับมาเป็นปุถุชนคนหนึ่งที่ทรงงานเพื่อคนอื่นโดยไม่หวังสิ่งตอบแทนภายใต้
เงื่อนไขที่ว่า ถ้าหากประชาชนไม่ละทิ้งข้าพเจ้าแล้ว
ข้าพเจ้าจะละทิ้งประชาชนได้อย่างไร
นี่เป็นดั่งพันธสัญญาที่ผูกพันระหว่างพสกนิกรชาวไทยกับพระเจ้าอยู่หัว
ใน
ความคิดของดิฉัน พระเจ้าอยู่หัวทรงเปรียบเสมือนเอ็นจีโอ
ทรงเป็นนักสังคมสงเคราะห์ผู้ยิ่งใหญ่
แทนที่จะเสวยสุขส่วนพระองค์เหมือนพระราชาในเทพนิยาย พระองค์ทรงดั้นด้นไปหาประชาชน เพราะทรงตระหนักรู้ว่าประเทศของพระองค์ยังต้องการการเยียวยาและพัฒนา ขณะ
ที่ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินที่อยู่ภายใต้รอยต่อของการเปลี่ยนแปลงและการเมือง
ที่ยุ่งเหยิง แต่ทรงเอาชนะใจประชาชนทุกคน ทรงเอาชนะใจรัฐบาลทุกรัฐบาล
ทรงเอาชนะประเทศไทยทั้งประเทศมาโดยตลอด
ใน
หลายประเทศเราจะเห็นว่าลมของโลกาภิวัฒน์หมุนแรงจนทำใหพระมหากษัตริย์บาง
พระองค์จำเป็นต้องวางมงกุฎไว้แล้วเดินจากไป
ทิ้งให้พระบรมมหาราชวังกลายเป็นเพียงพิพิธภัณฑ์ และ
ระบอบการปกครองที่มีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขกลายเป็นเพียงตำนาน
แต่พอหันกลับมามองเมืองไทย เราจะเห็นว่า พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
ทรงนำพาคนไทยทั้งประเทศเดินฝ่าวิกฤติการเมือง เศรษฐกิจ
การเปลี่ยนแปลงทางสังคม และการถั่งโถมของวัฒนธรรมต่างๆ
ที่ดาหน้าเข้ามาในประเทศไทยได้นาน 60 กว่าปีแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยน่ะค่ะ
ถ้าไม่ใช่เพราะบารมีอันแผ่ไพศาลของพระองค์ท่าน
ดิฉันไม่รู้ว่าเราจะเป็นอย่างไรกันแล้ว
ย่อมไม่มีใครปฎิเสธได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวทรงทำทุกอย่างเพื่อเราทุกคน มานานหนักหนาแล้ว พระองค่ทานจึงได้ทรงเปลี่ยนจากพระเจ้าแผ่นดินมาสู่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาทรงเป็นพระเจ้าอยู่หัว ในหลวง พ่อหลวงและพ่อของแผ่นดินในที่สุด วิวัฒนาการ
ที่ดิฉันกล่าวมานี้ได้ลดช่องว่างระหว่างข้ารับใช้กับเจ้านาย
และฟ้ากับดินมาเป็นพ่อของลูกทั้งแผ่นดิน
คิดดูสิคะว่าทรงทำได้ในช่วงรัชสมัยที่พระองค์ทรงครองราชย์
ใน
สมัยโบราณประชาชนไม่สามารถเงยหน้ามองพระเจ้าแผ่นดินได้
เพราะเราต่ำต้อยเป็นเพียงเศษฝุ่นใต้ฝ่าละอองธุลีพระบาท
แต่พระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันทรงเป็นผู้นำมาซึ่งการปฎิวัติมุมมองที่ไพร่
ฟ้าทั่วราชอาณาจักรเคยเห็นว่าพระมหากษัตริย์เป็นดั่งสมมุติเทพทรงทำให้
ประชาชนชาวไทยทุกคนไม่ว่าจะยากดีมีจนสักแค่ไหน
ได้รู้สึกว่าตนเองกลายเป็นพสกนิกรของในหลวง
กลายเป็นเพื่อนร่วมชาติและกลายเป็นลูกของพระองค์ท่าน
พระ
เจ้าอยู่หัวทรงทำได้อย่างไร ทำได้ด้วยการเสด็จฯ
ออกจากพระบรมมหาราชวังไปยังท้องถิ่นทุรกันดารเหนือจรดใต้
ทุกแดนดินถิ่นสยามไม่มีใครเลยที่ไม่เคยเห็นสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว
เสด็จฯมาเยี่ยมเยี่ยน แล้วเสด็จฯมาแบบไหนรู้ไหม มาด้วยรถจิ๊ปเขอระฝุ่น
มากับพระราชินีที่ยิ้มแย้มแจ่มใส
เวลาเราเห็นพระราชินีเราจึงรู้สึกเย็นจับใจ
เวลาเราเห็นพระเจ้าอยู่หัวเราจึงรู้สึกเหมือนมีที่พึ่ง
อย่างที่เรียกว่าเย็นศิระเพราะพระบริบาล ที่ใดมีทุกข์ที่นั่นมีพระ
เจ้าอยู่หัวเสด็จฯไปดับทุกข์
พระองค์ทรงมีแต่ให้ขณะที่นักการเมืองผู้ทำหน้าที่บริหารราชการแผ่นดินกลับ
โกงบ้านกินเมืองและไม่เคยช่วยเหลืออะไรราษฎรเลย
อีกสิ่งหนึ่งมีค่ามากมายมหาศาลซึ่งพระเจ้าอยู่หัวทรงพระราชทานให้แก่ชาวไทยทุกคนคือพระบรมราโชวาทของพระองค์ ในสมัยเด็กๆ ทุกวันที่ 4
ธันวาคม เวลารับฟังกระแสพระราชดำรัสเราอาจจะไม่เข้าใจทั้งหมด
จนกระทั่งเมื่อโตขึ้นดิฉันจึงเข้าใจว่าคำสอนของพ่อนั้นแฝงไว้ด้วยปรัชญาอัน
ลึกซึ้ง
หากเรานำมาตีความผ่านยุคสมัยและเอาสถานการณ์บ้านเมืองที่เป็นอยู่เข้ามาจับ
ต้อง
เราจะเห็นว่าทุกพระบรมราโชวาทของพระเจ้าอยู่หัวนั้นเต็มไปด้วยความรักและ
ความปรารถณาดีจากพ่อถึงลูก
รวมทั้งเต็มไปด้วยหลักแห่งการพัฒนาอย่างไม่มีที่สิ้นสุด
พระ
บรมราโชวาทที่ดิฉันรู้สึกซาบซึ้งใจมาก
และคิดว่าเหมาะสมอย่างยิ่งที่ทุกคนจะน้อมนำมาปฎิบัติคือพระบรมราโชวาทเกี่ยว
กับเรื่องคนดีที่ว่า “ใน
บ้านเมืองนั้นมีทั้งคนดีและคนไม่ดี
ไม่มีใครจะทำให้คนทุกคนเป็นคนดีได้ทั้งหมด
การทำให้บ้านเมืองมีความปกติสุขเรียบร้อย จึงมิใช่การทำให้ทุกคนเป็นคนดี
หากแต่อยู่ที่การส่งเสริมคนดี ให้คนดีได้ปกครองบ้านเมือง
และควบคุมคนไม่ดีไม่ให้มีอำนาจ ไม่ให้ก่อความเดือดร้อนวุ่นวายได้” พระ
เจ้าอยู่หัวของเราทรงเป็นนักปราชญ์โดยแท้
หากเราลองวิเคราะห์ให้เข้ากับสถานการณ์
ดิฉันเข้าใจความหมายว่าการควบคุมคนไม่ดีนั้น ต้องควบคุมด้วยกฎหมาย
ถ้าสังคมใดที่กฎหมายไม่เข้มแข็งก็จะเกิดปัญหาตามมามากมาย
ดัง
นั้น สังคมจึงต้องส่งเสริมคนดีให้ปกครองบ้านเมือง
แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนต้องเป็นนายกรัฐมนตรี
เพราะบ้านเมืองเกิดจากทุกสิ่งทุกอย่างรวมกัน
ไม่ว่าจะอยู่ในหน่วยอณูใดของสังคมทุกคนก็สามารถทำหน้าที่ปกครองบ้านเมืองได้
ถ้าเราได้ผู้นำครอบครัวที่ดีลูกหลานก็ดี
ถ้าเราได้ผู้ใหญ่บ้านที่ดีชุมชนก็เข้มแข็ง
ถ้าเราได้นายกรัฐมนตรีที่ดีบ้านเมืองก็เจริญสถาพร
เมื่อทุกอณูเล็กๆที่เข้มแข็งในสังคมมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว บ้าน
เมืองของเราจะก้าวไปได้ไกล
เพียงแต่ว่าทุกคนในสังคมต้องช่วยกันแยกแยะว่าใครคือคนดีด้วยมาตรฐานทาง
จริยธรรม เห็นไหมว่าหากเราทำตามคำสอนของพระองค์ท่าน
บ้านเมืองของเราจะไม่หยุดอยู่แค่นี้
และพระเจ้าอยู่หัวก็ไม่เคยรับสั่งว่าทุกพระบรมราโชวาทของพระองค์เราทุกคน
ต้องปฎิบัติตาม พระองค์เพียงทรงชี้แนะแนวทาง
และทรงเป็นแบบอย่างที่น่าเลื่อมใสศรัทธา
ซึ่งจะหาองค์พระประมุขผู้เปี่ยมทั้งพระปัญญาและพระเมตตาที่ไหนไม่ได้อีกแล้ว
บนโลกนี้
บัด
นี้บ้านเมืองเจริญมาไกลถึงยุคที่สังคมวิเคราะห์วิจารณ์กันว่า
พระเจ้าอยู่หัวกับสังคมไทยจะเดินหน้าต่อไปด้วยสถานะอย่างไร
ดิฉันบอกเลยว่าไม่ต้องถกเถียง ไม่ต้องถามต่อไปอีกแล้ว
แค่หยุดแล้วมองย้อนกลับไป สิ่งเดียวที่ตกผลึกในหัวใจของดิฉันคือคำว่า “ตายได้เพื่อพระเจ้าอยู่หัว” เพราะ
ดิฉันไม่เคยเห็น ใครทุ่มเทให้กับประเทศของตัวเองมากเท่ากับพระเจ้าอยู่หัว
ไม่เคยเห็นใครรักชาติมากเท่ากับพระเจ้าอยู่หัว ถ้าไม่ทรงเข้มแข็ง
ไม่ทรงมีขัตติยะ ไม่ทรงมีทศพิธราชธรรม
พระองค์คงไม่ดำรงอยู่มาตราบทุกวันนี้หรอกค่ะ
ดิฉันอยากจะขอฝากให้สังคมพินิจพิเคราะห์พระองค์ท่านในทุกมิติ อยาก
ให้ศึกษาถึงมหาบุรุษพระองค์หนึ่งซึ่งเสด็จฯโดยรถจี๊ป
พระหัตถ์ข้างหนึ่งถือแผนที่ อีกข้างหนึ่งถือดินสอ สะพายกล้อง
ทรงฉลองพระบาทผ้าใบ ฉลองพระองค์เหมาะสมกับสภาพแวดล้อม
พระองค์ทรงเปี่ยมไปด้วยความคิดสร้างสรรค์และพัฒนาบ้านเมืองอย่างต่อเนื่อง
ไม่สิ้นสุด อย่าศึกษาพระองค์ท่าน
ตามคำบอกเล่าหรือคำสั่งสอน
แต่ให้ศึกษาจากพระราชกรณียกิจซึ่งเป็นผลงานอันยิ่งใหญ่ของพระมหากษัตริย์
ผู้ใหญ่ยิ่งที่สุดในแดนสยาม
ถ้า
ได้ศึกษาแม้เพียงสักนิด เราจะรู้ได้ว่าพระเจ้าอยู่หัวไม่ได้ทรงอยู่ในดวงใจ
แต่พระเจ้าอยู่หัวทรงเป็นดวงใจของคนไทยทั้งชาติ
และนั่นคือคำตอบว่าทำไมเราถึงรักพระเจ้าอยู่หัว
ขอขอบคุณ Lips magazine
คลิปชนคลิป! ประชา-อภิสิทธิ์ มี“ขงเบ้ง“ปล่อยน้ำทำลายข้าศึกจริงหรือเปล่า?
ฟัง"ประชา"บอกเป็นแผน"ขงเบ้ง"ปล่อยน้ำมาทำร้ายข้าศึกหรือเปล่า?
"อภิสิทธิ์" โต้เป็นการสร้างนิยาย"ขงเบ้ง" บอกจะหาทางแก้ตัว ปัดความรับผิดชอบแบบนี้ไม่ได้
เปิด 6 สูตรนิรโทษ คดีการเมือง ล้างผิดทักษิณ
ความขัดแย้งทางการเมืองยังไม่จบลงง่าย หลังจากเกิดความเคลื่อนไหวของกลุ่มม็อบคัดค้านการออกกฎหมายให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีพ้นผิด
เมื่อปรากฎข่าวว่า ครม.ยิ่งลักษณ์ ได้พยายามช่วยเหลือพ.ต.ท.ทักษิณ โดยเห็นชอบร่างพระราชกฤษฎีกาพระราชทานอภัยโทษให้กับผู้กระทำความผิดเนื่อง ในวโรกาสวันคล้ายวันเฉลิมพระชนมพรรษา 5 ธ.ค.54 โดยตัดฐานความผิดกรณีผู้ต้องหาในคดียาเสพติด และคดีทุจริตออกไป เปิดโอกาสให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งถูกศาลฎีกานักการเมืองพิพากษาจำคุกในคดีทุจริตที่ดินรัชดา 2 ปี ได้รับสิทธิ์พ่วงขอพระราชทานอภัยโทษด้วย
พลังของกลุ่มต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ ทั้งม็อบเสื้อเหลือง กลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มสยามสามัคคี ที่ฝ่ายเพื่อไทยบอกว่า เป็น “ขาประจำ” แต่ด้วยเหตุผลคัดค้านเดียวกัน คือ การแก้ไขพรฎ.ครั้งนี้ล็อคเสปคให้กับพ.ต.ท.ทักษิณ และร่างพรฎ.ที่ส่งให้กฤษฎีกาเตรียมนำขึ้นทูลเกล้าก็ต่างจากเนื้อหาในพรฎ.พระ ราชทานอภัยโทษในยุครัฐบาลอภิสิทธิ์ รัฐบาลสุรยุทธ์ รวมถึงรัฐบาลทักษิณ ที่ยึดเนื้อหาเดียวกัน
แต่รัฐบาลชิงตัดไฟแต่ต้นลม เมื่อเห็นกระแสคัดค้านถักทอเป็นเครือข่ายที่เข้มแข็ง ทั้งม็อบพันธมิตรที่สนธิ ลิ้มทองกุล ประกาศชุมนุมใหญ่หน้าสำนักงานกฤษฎีกา กลุ่มเสื้อหลากสี กลุ่มอาสาปกป้องแผ่นดินเข้าชื่อถอดถอน ครม.ทั้งคณะ และยื่นเรื่องคัดค้านพรฎ.ต่อสำนักงานองคมนตรี รวมถึงจัดเสวนากึ่งปราศรัยที่สวนลุมพินี ซึ่งเป็นพื้นที่จุดเริ่มเมื่อครั้งขับไล่รัฐบาลทักษิณปี 2548
จนที่สุด พ.ต.ท.ทักษิณ ต้องออกแถลงการณ์ว่า ไม่ขอรับประโยชน์ใดๆ จากพรฎ.ฉบับนี้ และเชื่อว่า รัฐบาลจะเข้าใจเจตนาดี ผู้ที่เกี่ยวข้องอย่าง ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ที่รับบทประธานในที่ประชุมครม.ลับ ออกมารับลูกว่า พรฎ.พระราชทานอภัยโทษไม่ได้เอื้อประโยชน์พ.ต.ท.ทักษิณ ส่วน พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รมว.ยุติธรรมสำทับว่า ไม่มีการแก้ไข ทุกตัวอักษรของร่างพรฎ.ฉบับนี้ เหมือนฉบับที่ผ่านมาสรุป ความพยายามช่วยเหลือ พ.ต.ท.ทักษิณ หลังรัฐบาลทำงานได้เพียง 3 เดือน ท่ามกลางปัญหาความเดือดร้อนของประชาชนจากมหาอุทกภัยที่เกิดขึ้น ไม่สำเร็จ พ.ต.ท.ทักษิณ ประกาศอีกครั้งว่า จะยังไม่กลับไทยจะมาก็ต่อเมื่อ ความปรองดองเกิดขึ้น และไม่ต้องการเป็นส่วนหนึ่งของปัจจัยที่ทำให้เกิดความ ขัดแย้ง อยากเป็นคนช่วยแก้ปัญหามากกว่า
อย่างไรก็ตาม เป้าหมายของรัฐบาลเพื่อไทยได้ประกาศตั้งแต่หาเสียงแล้วว่า จะแก้กฎหมายคืนความเป็นธรรมให้แก่ผู้ถูกรังแกจากการปฏิวัติ และจะออกกฎหมายนิรโทษกรรมพ.ต.ท.ทักษิณ ดังนั้น เมื่อเป็นรัฐบาล จึงเดินหน้าผลักดันการนิรโทษกรรมล้างโทษความผิดในเหตุการณ์การชุมนุมตั้งแต่ หลังปฏิวัติ 19 ก.ย. 2549 โดยรวมคดีทุจริตที่เกี่ยวพันพ.ต.ท.ทักษิณและรัฐมนตรีในยุครัฐบาลเพื่อไทย
ร.ต.อ.เฉลิม บอกว่า จะให้มีการออกพรบ.นิรโทษกรรมล้างไพ่ใหม่ทุกคดีเพื่อหยุดความขัดแย้ง สร้างความปรองดองของคนในชาติ
หากดูช่องทางในการล้างโทษ เคลียร์คดีของพ.ต.ท.ทักษิณ มีอยู่หลายลู่ทาง
1. พรฎ.พระราชทานอภัยโทษ แม้แนวทางนี้จะปิดตายแล้ว แต่ในปี 2555 ยังมีวโรกาสสำคัญ ที่สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ จะทรงเจริญพระชนมพรรษา 80 พรรษาในวันที่ 12 ส.ค. จึงต้องติดว่า จะมีการขอพระราชทานอภัยโทษให้กับนักโทษชั้นดีในวโรกาสนี้หรือไม่ และจะมีความพยายามแก้ไขพรฎ.พระราชทานอภัยโทษเพื่อเอื้อประโยชน์ให้พ.ต. ท.ทักษิณ อีกหรือไม่เช่นกัน2. การยื่นถวายฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษให้พ.ต.ท.ทักษิณ โดยมวลชนกลุ่มเสื้อแดงจำนวน 3.6 ล้านคนที่ ได้ยื่นต่อสำนักราชเลขาธิการเมื่อเดือน ส.ค.ปี 2553 รัฐบาลเพื่อไทยได้ตั้งคณะทำงานกลั่นกรองและตรวจสอบข้อเท็จจริงกรณีนี้โดยมี นายวุฒิศักดิ์ ลาภเจริญทรัพย์ คณบดีคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัย รามคำแหง เป็นประธาน แต่ไม่มีกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน
3. การออกพรบ.นิรโทษกรรม วิธีนี้จะต้องผ่านความเห็น ชอบในกลไกรัฐสภา โดยที่ประชุม สภาผู้แทนราษฎร และ ที่ประชุมวุฒิสภา เริ่มด้วยฝ่ายรัฐบาลต้องเสนอร่างเข้าที่ประชุมครม. คาดว่าจะเริ่มในปีหน้า 2555 จากนั้นส่งให้สภาผู้แทนราษฎรเห็นชอบซึ่งต้องอยูในช่วงเปิดสมัยประชุมนัดหน้า ระหว่างวันที่ 21 ธ.ค. 18 เม.ย.
ขั้นตอนการออกกฎหมายฉบับนี้ต้องเมื่อสภารับหลักการให้ความเห็นชอบ ต้องตั้งคณะกรรมาธิการขึ้นพิจารณาและส่งให้สภาเห็นชอบอีกครั้ง จากนั้นต้องเข้าที่ประชุมวุฒิสภา ตั้งคณะกรรมาธิการมาพิจารณา ทั้ง สองสภาอาจต้องใช้เวลาพิจารณาหลายเดือนคาดว่า ระหว่าง 3-6 เดือน ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ความร้อนแรงทางการเมืองและแรงขับของรัฐบาลขณะนั้น เนื่องจากร่างพ.ร.บ.นิรโทษกรรม ยังเป็นปมที่กลุ่มต่อต้านพ.ต.ท.ทักษิณ เดินหน้าค้านที่อาจจุดม็อบเดือดขึ้นมาอีกครั้ง
และถึงแม้ว่า รัฐบาลมีเสียงข้างมากในสภาฯ แต่ชั้นในวุฒิสภา รัฐบาลไม่สามารถคุมสียง ส.ว. ได้ถนัดมือ อย่างไรก็ตาม หลักการตามที่รัฐธรรมนูญกำหนดนั้น วุฒิสภาแก้ไขได้เพียงเล็กน้อย ถ้าแก้มาก สภาผู้แทนฯมีสิทธิ์ยืนยันกลับไป ใช้ร่างแรกที่เสนอโดยรัฐบาล
หันมาดูเนื้อหาที่รัฐบาลเพื่อไทยต้องการนิรโทษกรรมตามที่เคยประกาศไว้ คือ คดีการเมืองตั้งแต่หลังรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 เป็นต้นมาทั้งการชุมนุมของเสื้อเหลืองที่ยึดทำเนียบรัฐบาล ยึดสนามบิน ฝ่ายเสื้อแดงกับคดีฝ่าฝืนพรก.ฉุกเฉิน คดีหมิ่นสถาบัน คดีก่อการร้าย ฯลฯ รวมถึงคดีทุจริตที่คณะรัฐประหารได้แต่งตั้ง คตส. มาตรวจสอบความผิดซึ่งคดีที่ศาลฎีกานักการเมือง ตัดสินไปแล้วคือ คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาโดยให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ 2 ปี คดีหวยบนดินตัดสินจำคุก นายวราเทพ รัตนากร อดีตรมช.คลัง รวมถึงอดีต ผอ.สำนักงานสลากกินแบ่งฯ และอดีตประธานบอร์ดสำนักงานสลากกินแบ่งฯ 2 ปี แต่ให้รอลงอาญา ส่วนพ.ต.ท.ทักษิณ ศาลจำหน่ายคดีออกไปชั่วคราว เพราะหลบหนี
4. การแก้ไขรัฐธรรมนูญ รัฐบาลกำหนดว่า ต้นปีหน้าจะเริ่มกระบวนการแก้ไขได้โดยให้มีสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมา แต่จะทำสองขยัก คือ แก้มาตรา 291 ของรัฐธรรมนูญเพื่อออกแบบสภาร่างรัฐธรรมนูญโดยให้มีสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (สสร.) สองส่วนรวม 99 คน คือ สสร.จังหวัดที่จากการเลือกตั้ง กับ สสร. สายวิชาการ คาดว่าสภาร่างรัฐธรรมนูญจะใช้เวลาจัดทำรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ 6-8 เดือน เมื่อร่างเสร็จ จะทำประชามติถามความเห็นประชาชนจะเห็นชอบกับร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่หรือไม่ ซึ่งการแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถเขียนบทนิรโทษกรรมล้างความผิดในบทเฉพาะกาลได้
5. ข้อเสนอของคณะกรรมการกลุ่มต่างๆ ที่เกี่ยวกับการปรองดองที่จะออกมาพร้อมๆ กันในช่วงกลางปีหน้าเป็นต้นไป จะมีน้ำหนักต่อการผลักดันให้เกิดการนิรโทษกรรมและการปรองดอง
โดยเฉพาะคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (คอป.)ที่เสนอให้ หยุดคดีแกนนำเสื้อเหลืองและเสื้อแดง และปล่อยตัวผู้ต้องหาทางการเมือง โดยให้หน่วยงานที่ฟ้องคดีคือ อัยการหรือตำรวจถอนคดีออกจากศาล ซึ่งรัฐบาลเพื่อไทยเห็นด้วยทุกประการ
อีกคณะคือ คณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการสร้างความปรองดองแห่งชาติ สภาผู้แทนราษฎร ที่มี พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน สส.พรรคมาตุภูมิ อดีตผู้นำการรัฐประหารขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นประธาน
รายงานข่าวจากสื่อระบุว่า กมธ.ชุดนี้ที่ประกอบทุกพรรคการเมือง แต่ส่วนใหญ่เป็นพรรคเพื่อไทยจะเสนอให้มีการนิรโทษกรรมยกแผงทั้งคดีการเมือง และคดีทุจริต แต่กมธ.ไม่มีอำนาจสั่งการ ทำได้ก็เพียงเสนอความเห็นต่อสาธารณะ
อีกหนึ่งคณะที่รัฐบาลได้แต่งตั้ง คือ คณะกรรมการอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ (คอ.นธ.) ที่มี ศ.อุกฤษ มงคลนาวิน เป็นประธาน มีหน้าที่กำหนดยุทธศาสตร์ แนวทาง มาตรการ ข้อเสนอแนะต่างๆในการใช้กฎหมายตามหลักนิติธรรม โดยต้องรายงานรัฐบาลทราบทุก 6 เดือน
ศ.อุกฤษออกแถลงการณ์ล่าสุดเมื่อวันที่ 22 พ.ย. ว่า แม้ไม่สามารถตั้งกรรมการได้ เพราะติดปัญหาน้ำท่วม แต่จะเดินหน้าทำงานหลังน้ำลดแน่นอน โดยจะให้ประชาชนได้รับความเป็นธรรมและเลี่ยง “ความยุติธรรมสองมาตรฐาน” รวมทั้งให้ความเห็นในการเตรียมออกกฎหมาย เพื่อใช้บังคับแก่ประชาชน
ขณะเดียวกัน ในปีหน้าเมื่อเริ่มเปิดสมัยประชุมสภาอีกครั้ง ที่ประชุมสภาจะลงมติแต่งตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณาข้อเสนอลบล้างผลพวงของการ ทำรัฐประหาร 19 ก.ย. จากคณาจารย์กลุ่มนิติราษฎร์ ตามที่ แกนนำเสื้อแดง นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส. พรรคเพื่อไทย ได้เสนอญัตติด่วนคาไว้ นายก่อแก้ว บอกว่า จุดประสงค์ที่เสนอเพื่อต้องการปกป้องประชาธิปไตย และให้ยกประโยชน์กับกลุ่มต่างๆ หลังเกิดเหตุการณ์ 19 ก.ย. 2549 โดยอาจรวมถึงการนิรโทษกรรมของผู้ที่ถูกยึดอำนาจ ที่สำคัญต้องให้ความเป็นธรรมกับ พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวด้วย
ทั้งสามคณะ คอป. คอ.นธ. และกมธ.นิติราษฎร์ จะมีผลสรุปออกมาที่ใกล้เคียงกัน คาดว่าจะมีรายงานออกมาได้ประมาณกลางปีหน้าจนถึงสิ้นปี 2555 เป็นต้นไป ซึ่งประจวบเหมาะในช่วงแก้ไขรัฐธรรมนูญ
6. หากพ.ต.ท.ทักษิณ เดินทางกลับไทยเพื่อมารับโทษจำคุก 2 ปีหลัง จากเดินทางหนีออกนอกประเทศไป ก็ง่ายต่อการออกกฎหมายนิรโทษกรรมที่จะได้รับความเห็นใจจากสังคมว่า พ.ต.ท.ทักษิณก็กลับมารับโทษแล้วแม้อาจไม่ครบ 2 ปีก็ตามก็น่าจะนิรโทษกรรมกันได้
เขียนโดย isranews
วันอาทิตย์ที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554
การปะทะกันของกระบวนทัศน์ไทยในปัจจุบัน
โดยดร.ไก่ Tanond
คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่า บนพื้นฐานของความสับสนวุ่นวาย ขัดแย้ง และรุนแรงทั้งในทางสังคม และในทางการเมืองที่เป็นอยู่นี้ มีปัจจัย/เงื่อนไขหนึ่งมาจาก "ความต้องการ/ความพึงพอใจทางการเมือง" หรือ ที่เรียกว่า "ความชอบธรรมทางการเมือง" ที่เกิดขึ้นโดยกรอบแนวคิด ที่ต่างกันไปของผู้คนที่แบ่งตนออกเป็นหลายพวกหลายฝ่าย ที่มักสวนทางกัน หรือ แตกต่างกันอย่างสุดขั้วสุดโต่ง ก็คงต้องบอกก่อนนะครับ บริบทของสังคมเช่นว่านี้ ..ไม่ดีเลย แต่ก็มักเกิดขึ้นเสมอๆ ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่เกิดตามมา
ทั้งนี้ หากนำมาใส่เป็นสมการให้เข้าใจง่ายขึ้น มันก็จะคล้ายๆ.. paradigmA vs paradigmB >=paradigm shift ที่ก็คือคำตอบของรูปแบบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนนั่นเอง
สังคมไทยเกิดการปะทะกันขึ้นของกระบวนทัศน์ หรือ กรอบแนวคิดอันใดบ้าง มาลองดูครับ -
1.ใช่ หรือไม่? ที่เรามีผู้คนฝ่ายหนึ่งที่ยังยึดมั่น ในสรรพสิ่งที่เป็นมาแบบอนุรักษ์นิยม แล้วก็มี อีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องการจะโยนสิ่งนี้ทิ้งทั้งหมดทั้งปวง? อันนี้ ใครเริ่มใครนำใครทำ เป้าหมายคืออะไรคงไม่ต้องอธิบาย แต่ที่จำต้องบอกเตือนให้เข้าใจกันอีกครั้งก็คือ เป้าหมายของฝ่ายหลังนี่ ถึงจะเปลี่ยนไปได้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันไปมากนักหรอกครับ
เพราะ ระบอบประธานาธิบดีนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากระบบกษัตริย์นัก เนื่องจากลอกเลียนแบบมา ความแตกต่างที่ชัดสุดก็คือ การมีประมุขแห่งรัฐเป็นสามัญชนคนธรรมดา ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ระบบกษัตริย์มีขุนนางฝ่ายใน ฝ่ายต่างๆ คอยช่วยเหลือดูแลบริหารจัดการประเทศ ประธานาธิบดี ก็เลือกคณะผู้คนที่จะมาช่วยงานตน โดยให้ชื่อว่าเลขาฯ หรือ Secretary ฝ่ายต่างของตน ไม่มีคำว่ารัฐมนตรี แต่อย่างใดนะครับ เช่นนี้แล้วการปะทะกันในเรื่องนี้ สำหรับบ้านเราจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอยู่มาก วิธีการที่จะนำพาไปสู่ความต้องการของฝ่ายหลัง จึงซับซ้อนซ่อนเงื่อนนักสำหรับคนคิด ทว่าสำหรับผู้คนที่นำปฏิบัตินั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ (แต่ไม่เคยมีใครเขา"กล้า"ทำกันอย่างออกนอกหน้ามาก่อน ยกเว้นเมื่อพ.ศ.2475 เช่นการหมิ่นฯ อย่างที่เราเห็นๆกัน) ความกล้า ที่ผมกล่าวถึงนี้ได้นำมาซึ่งการปะทะกัน ในกระบวนทัศน์อื่นๆที่ตามมา เช่น
2.ใช่ หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องของความโบราณ กับ ความเป็นสมัยนิยม! ที่หลายคนพร้อมจะโยนทิ้งความงดงามตามจารีตประเพณี ความเป็นอารยะด้วยระบบกษัตริย์ที่มีมาแต่เก่าก่อน ..จนได้ทำให้เกิดข้อที่3.นี้ตามมา
3.ใช่หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อบาป(การทำเช่นไรก็ได้เพื่อให้ได้มา) กับ การอยู่ในศีลในธรรม และความเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม (มุ่งมั่นในการใฝ่ดี คิดดี ทำดี)
หากพวกเราสังเกตุกันให้ดี จะพบว่า ..หากไม่มีข้อ1.นี้แล้ว causal effect ที่จะนำพาไปสู่ข้อ2.และ3.นั่น ก็ย่อมไม่มีไม่เกิดขึ้นแน่นอน เช่นนี้แล้วการดำรงอยู่ของข้อ1.และอีก2ข้อที่จะตามมานี้ ยิ่งนานวันยิ่งไม่ดี ยิ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติอย่างมหันต์ เพราะข้อ4. เช่นนี้ครับ
4.พฤติกรรมทำซ้ำ ที่เกิดขึ้นจนคุ้นชิน คุ้นตานั้น ในทางทฤษฏีบอกว่า ..จะทำให้เรื่องๆนั้น สิ่งๆนั้นกลายเป็นเรื่องที่"ปกติธรรมดา" นี่หรือเปล่าครับ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ได้ทำให้เยาวชนหลงผิด คิดร่วมกันกระทำการหมิ่นฯ ให้กว้างขึ้นและหนักขึ้นทุกๆวัน (เมื่อของต้องห้าม ถูกทำให้เป็นของสามัญ) โดยส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าใช่ และเชื่อว่าเป็นแผนของพวกแดงล้มเจ้า ที่วางไว้ และสามารถทำให้เกิดขึ้น จนอาจบรรลุเป้าหมายได้ หากยังไม่มีใครออกมาจัดการเรื่องที่ใหญ่มากนี้สำหรับบ้านเรา ที่อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆในสายตาฝรั่งตาน้ำข้าว ให้จบลงได้ในเร็ววัน
สำหรับ อนาคตข้างหน้านั้น ข้อ4.นี้จึงสำคัญมากนะครับ เพราะทำไปทำมาสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนานี้ กำลังจะทำให้ข้อ1 - 3 มันเป็นจริงขึ้นมา หากให้เวลาทอดยาวออกไปอีก2-3ปี ..พวกเราภาคประชาชน อย่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาดนะครับ เห็นทีคงสิ้นหวังกับรัฐตำรวจ กับ รัฐบาลที่เป็นใจ เป็นต้นเหตุ ที่จะมาจัดการกับเรื่องนี้เอง ..คงไม่มีทางได้เห็นหรอกครับ
คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่า บนพื้นฐานของความสับสนวุ่นวาย ขัดแย้ง และรุนแรงทั้งในทางสังคม และในทางการเมืองที่เป็นอยู่นี้ มีปัจจัย/เงื่อนไขหนึ่งมาจาก "ความต้องการ/ความพึงพอใจทางการเมือง" หรือ ที่เรียกว่า "ความชอบธรรมทางการเมือง" ที่เกิดขึ้นโดยกรอบแนวคิด ที่ต่างกันไปของผู้คนที่แบ่งตนออกเป็นหลายพวกหลายฝ่าย ที่มักสวนทางกัน หรือ แตกต่างกันอย่างสุดขั้วสุดโต่ง ก็คงต้องบอกก่อนนะครับ บริบทของสังคมเช่นว่านี้ ..ไม่ดีเลย แต่ก็มักเกิดขึ้นเสมอๆ ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่เกิดตามมา
ทั้งนี้ หากนำมาใส่เป็นสมการให้เข้าใจง่ายขึ้น มันก็จะคล้ายๆ.. paradigmA vs paradigmB >=paradigm shift ที่ก็คือคำตอบของรูปแบบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนนั่นเอง
สังคมไทยเกิดการปะทะกันขึ้นของกระบวนทัศน์ หรือ กรอบแนวคิดอันใดบ้าง มาลองดูครับ -
1.ใช่ หรือไม่? ที่เรามีผู้คนฝ่ายหนึ่งที่ยังยึดมั่น ในสรรพสิ่งที่เป็นมาแบบอนุรักษ์นิยม แล้วก็มี อีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องการจะโยนสิ่งนี้ทิ้งทั้งหมดทั้งปวง? อันนี้ ใครเริ่มใครนำใครทำ เป้าหมายคืออะไรคงไม่ต้องอธิบาย แต่ที่จำต้องบอกเตือนให้เข้าใจกันอีกครั้งก็คือ เป้าหมายของฝ่ายหลังนี่ ถึงจะเปลี่ยนไปได้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันไปมากนักหรอกครับ
เพราะ ระบอบประธานาธิบดีนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากระบบกษัตริย์นัก เนื่องจากลอกเลียนแบบมา ความแตกต่างที่ชัดสุดก็คือ การมีประมุขแห่งรัฐเป็นสามัญชนคนธรรมดา ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ระบบกษัตริย์มีขุนนางฝ่ายใน ฝ่ายต่างๆ คอยช่วยเหลือดูแลบริหารจัดการประเทศ ประธานาธิบดี ก็เลือกคณะผู้คนที่จะมาช่วยงานตน โดยให้ชื่อว่าเลขาฯ หรือ Secretary ฝ่ายต่างของตน ไม่มีคำว่ารัฐมนตรี แต่อย่างใดนะครับ เช่นนี้แล้วการปะทะกันในเรื่องนี้ สำหรับบ้านเราจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอยู่มาก วิธีการที่จะนำพาไปสู่ความต้องการของฝ่ายหลัง จึงซับซ้อนซ่อนเงื่อนนักสำหรับคนคิด ทว่าสำหรับผู้คนที่นำปฏิบัตินั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ (แต่ไม่เคยมีใครเขา"กล้า"ทำกันอย่างออกนอกหน้ามาก่อน ยกเว้นเมื่อพ.ศ.2475 เช่นการหมิ่นฯ อย่างที่เราเห็นๆกัน) ความกล้า ที่ผมกล่าวถึงนี้ได้นำมาซึ่งการปะทะกัน ในกระบวนทัศน์อื่นๆที่ตามมา เช่น
2.ใช่ หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องของความโบราณ กับ ความเป็นสมัยนิยม! ที่หลายคนพร้อมจะโยนทิ้งความงดงามตามจารีตประเพณี ความเป็นอารยะด้วยระบบกษัตริย์ที่มีมาแต่เก่าก่อน ..จนได้ทำให้เกิดข้อที่3.นี้ตามมา
3.ใช่หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อบาป(การทำเช่นไรก็ได้เพื่อให้ได้มา) กับ การอยู่ในศีลในธรรม และความเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม (มุ่งมั่นในการใฝ่ดี คิดดี ทำดี)
หากพวกเราสังเกตุกันให้ดี จะพบว่า ..หากไม่มีข้อ1.นี้แล้ว causal effect ที่จะนำพาไปสู่ข้อ2.และ3.นั่น ก็ย่อมไม่มีไม่เกิดขึ้นแน่นอน เช่นนี้แล้วการดำรงอยู่ของข้อ1.และอีก2ข้อที่จะตามมานี้ ยิ่งนานวันยิ่งไม่ดี ยิ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติอย่างมหันต์ เพราะข้อ4. เช่นนี้ครับ
4.พฤติกรรมทำซ้ำ ที่เกิดขึ้นจนคุ้นชิน คุ้นตานั้น ในทางทฤษฏีบอกว่า ..จะทำให้เรื่องๆนั้น สิ่งๆนั้นกลายเป็นเรื่องที่"ปกติธรรมดา" นี่หรือเปล่าครับ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ได้ทำให้เยาวชนหลงผิด คิดร่วมกันกระทำการหมิ่นฯ ให้กว้างขึ้นและหนักขึ้นทุกๆวัน (เมื่อของต้องห้าม ถูกทำให้เป็นของสามัญ) โดยส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าใช่ และเชื่อว่าเป็นแผนของพวกแดงล้มเจ้า ที่วางไว้ และสามารถทำให้เกิดขึ้น จนอาจบรรลุเป้าหมายได้ หากยังไม่มีใครออกมาจัดการเรื่องที่ใหญ่มากนี้สำหรับบ้านเรา ที่อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆในสายตาฝรั่งตาน้ำข้าว ให้จบลงได้ในเร็ววัน
สำหรับ อนาคตข้างหน้านั้น ข้อ4.นี้จึงสำคัญมากนะครับ เพราะทำไปทำมาสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนานี้ กำลังจะทำให้ข้อ1 - 3 มันเป็นจริงขึ้นมา หากให้เวลาทอดยาวออกไปอีก2-3ปี ..พวกเราภาคประชาชน อย่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาดนะครับ เห็นทีคงสิ้นหวังกับรัฐตำรวจ กับ รัฐบาลที่เป็นใจ เป็นต้นเหตุ ที่จะมาจัดการกับเรื่องนี้เอง ..คงไม่มีทางได้เห็นหรอกครับ
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
►
2012
(274)
- ► กุมภาพันธ์ (51)