โดยดร.ไก่ Tanond
คงปฏิเสธกันไม่ได้ว่า บนพื้นฐานของความสับสนวุ่นวาย ขัดแย้ง และรุนแรงทั้งในทางสังคม และในทางการเมืองที่เป็นอยู่นี้ มีปัจจัย/เงื่อนไขหนึ่งมาจาก "ความต้องการ/ความพึงพอใจทางการเมือง" หรือ ที่เรียกว่า "ความชอบธรรมทางการเมือง" ที่เกิดขึ้นโดยกรอบแนวคิด ที่ต่างกันไปของผู้คนที่แบ่งตนออกเป็นหลายพวกหลายฝ่าย ที่มักสวนทางกัน หรือ แตกต่างกันอย่างสุดขั้วสุดโต่ง ก็คงต้องบอกก่อนนะครับ บริบทของสังคมเช่นว่านี้ ..ไม่ดีเลย แต่ก็มักเกิดขึ้นเสมอๆ ก่อนจะมีการเปลี่ยนแปลงทางสังคมครั้งใหญ่เกิดตามมา
ทั้งนี้ หากนำมาใส่เป็นสมการให้เข้าใจง่ายขึ้น มันก็จะคล้ายๆ.. paradigmA vs paradigmB >=paradigm shift ที่ก็คือคำตอบของรูปแบบการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ว่าจะเป็นไปในทิศทางไหนนั่นเอง
สังคมไทยเกิดการปะทะกันขึ้นของกระบวนทัศน์ หรือ กรอบแนวคิดอันใดบ้าง มาลองดูครับ -
1.ใช่ หรือไม่? ที่เรามีผู้คนฝ่ายหนึ่งที่ยังยึดมั่น ในสรรพสิ่งที่เป็นมาแบบอนุรักษ์นิยม แล้วก็มี อีกฝ่ายหนึ่งที่ต้องการจะโยนสิ่งนี้ทิ้งทั้งหมดทั้งปวง? อันนี้ ใครเริ่มใครนำใครทำ เป้าหมายคืออะไรคงไม่ต้องอธิบาย แต่ที่จำต้องบอกเตือนให้เข้าใจกันอีกครั้งก็คือ เป้าหมายของฝ่ายหลังนี่ ถึงจะเปลี่ยนไปได้ มันก็ไม่ได้แตกต่างกันไปมากนักหรอกครับ
เพราะ ระบอบประธานาธิบดีนั้น ไม่ได้แตกต่างไปจากระบบกษัตริย์นัก เนื่องจากลอกเลียนแบบมา ความแตกต่างที่ชัดสุดก็คือ การมีประมุขแห่งรัฐเป็นสามัญชนคนธรรมดา ไม่ใช่เชื้อพระวงศ์ ระบบกษัตริย์มีขุนนางฝ่ายใน ฝ่ายต่างๆ คอยช่วยเหลือดูแลบริหารจัดการประเทศ ประธานาธิบดี ก็เลือกคณะผู้คนที่จะมาช่วยงานตน โดยให้ชื่อว่าเลขาฯ หรือ Secretary ฝ่ายต่างของตน ไม่มีคำว่ารัฐมนตรี แต่อย่างใดนะครับ เช่นนี้แล้วการปะทะกันในเรื่องนี้ สำหรับบ้านเราจึงเป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนอยู่มาก วิธีการที่จะนำพาไปสู่ความต้องการของฝ่ายหลัง จึงซับซ้อนซ่อนเงื่อนนักสำหรับคนคิด ทว่าสำหรับผู้คนที่นำปฏิบัตินั้น กลับกลายเป็นเรื่องที่ทำได้ง่ายๆ (แต่ไม่เคยมีใครเขา"กล้า"ทำกันอย่างออกนอกหน้ามาก่อน ยกเว้นเมื่อพ.ศ.2475 เช่นการหมิ่นฯ อย่างที่เราเห็นๆกัน) ความกล้า ที่ผมกล่าวถึงนี้ได้นำมาซึ่งการปะทะกัน ในกระบวนทัศน์อื่นๆที่ตามมา เช่น
2.ใช่ หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องของความโบราณ กับ ความเป็นสมัยนิยม! ที่หลายคนพร้อมจะโยนทิ้งความงดงามตามจารีตประเพณี ความเป็นอารยะด้วยระบบกษัตริย์ที่มีมาแต่เก่าก่อน ..จนได้ทำให้เกิดข้อที่3.นี้ตามมา
3.ใช่หรือไม่? ที่เกิดการปะทะกัน ในเรื่องการกระทำที่ไม่เกรงกลัวต่อบาป(การทำเช่นไรก็ได้เพื่อให้ได้มา) กับ การอยู่ในศีลในธรรม และความเชื่อในเรื่องกฏแห่งกรรม (มุ่งมั่นในการใฝ่ดี คิดดี ทำดี)
หากพวกเราสังเกตุกันให้ดี จะพบว่า ..หากไม่มีข้อ1.นี้แล้ว causal effect ที่จะนำพาไปสู่ข้อ2.และ3.นั่น ก็ย่อมไม่มีไม่เกิดขึ้นแน่นอน เช่นนี้แล้วการดำรงอยู่ของข้อ1.และอีก2ข้อที่จะตามมานี้ ยิ่งนานวันยิ่งไม่ดี ยิ่งเป็นภัยร้ายแรงต่อชาติอย่างมหันต์ เพราะข้อ4. เช่นนี้ครับ
4.พฤติกรรมทำซ้ำ ที่เกิดขึ้นจนคุ้นชิน คุ้นตานั้น ในทางทฤษฏีบอกว่า ..จะทำให้เรื่องๆนั้น สิ่งๆนั้นกลายเป็นเรื่องที่"ปกติธรรมดา" นี่หรือเปล่าครับ ที่เป็นหนึ่งในสาเหตุ ที่ได้ทำให้เยาวชนหลงผิด คิดร่วมกันกระทำการหมิ่นฯ ให้กว้างขึ้นและหนักขึ้นทุกๆวัน (เมื่อของต้องห้าม ถูกทำให้เป็นของสามัญ) โดยส่วนตัวผม ผมเชื่อว่าใช่ และเชื่อว่าเป็นแผนของพวกแดงล้มเจ้า ที่วางไว้ และสามารถทำให้เกิดขึ้น จนอาจบรรลุเป้าหมายได้ หากยังไม่มีใครออกมาจัดการเรื่องที่ใหญ่มากนี้สำหรับบ้านเรา ที่อาจดูเป็นเรื่องเล็กๆในสายตาฝรั่งตาน้ำข้าว ให้จบลงได้ในเร็ววัน
สำหรับ อนาคตข้างหน้านั้น ข้อ4.นี้จึงสำคัญมากนะครับ เพราะทำไปทำมาสิ่งที่เราไม่พึงปรารถนานี้ กำลังจะทำให้ข้อ1 - 3 มันเป็นจริงขึ้นมา หากให้เวลาทอดยาวออกไปอีก2-3ปี ..พวกเราภาคประชาชน อย่าปล่อยให้เป็นเช่นนั้นเป็นอันขาดนะครับ เห็นทีคงสิ้นหวังกับรัฐตำรวจ กับ รัฐบาลที่เป็นใจ เป็นต้นเหตุ ที่จะมาจัดการกับเรื่องนี้เอง ..คงไม่มีทางได้เห็นหรอกครับ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น