บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอาทิตย์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

คลังเตรียมหลักทรัพย์ไว้ไถ่โบอิ้งแล้วหากแพ้คดี พิเชียรยุยึดรถเบ๊นซ์-บีเอ็มที่ส่งมาขายในไทยแก้เผ็ด

จุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด -อัยการสูงสุด และกระทรวงการคลัง ได้จัดเตรียมหลักทรัพย์ไว้แล้วหากแพ้คดี

จุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด เผย ศาลนัดสืบพยาน คดียึดเครื่องบินโบอิ้ง 737 ในเดือน สิงหาคมนี้

สำนักข่าวINN ร ายงานว่า นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 29 ที่ผ่านมานี้ เปิดเผยความคืบหน้ากรณีเครื่องบินบอิ้ง 737 ถูกอายัดที่ประเทศเยอรมนี ว่า ศาลแลนด์ชุท (Landshut) ประเทศเยอรมนี จะมีการนับสืบพยานในช่วงเดือน ส.ค. นี้ ซึ่งอัยการสูงสุด ย้ำว่าเป็นเรื่องเร่งด่วนที่จะต้องทำให้เสร็จสิ้น ในการนำเครื่องบินลำดังกล่าวกลับ

ส่วนข่าวการอายัดเตรียมเครื่องบินลำที่ 2 หากเกิดขึ้นจริง จะต้องดำเนินการตอบโต้ เนื่องจากเครื่องบินลำที่ 2 ไม่เกี่ยวข้องกับกองทัพอากาศแต่อย่างใด

ส่วนกรณีคดีที่บริษัท วอลเตอร์ บาว ยื่นฟ้องรัฐบาลไทย และขอให้ศาลบังคับคดีนั้น ทางไทยได้ยื่นอุทธรณ์ต่อศาลนิวยอร์กไปแล้วเมื่อวานนี้ และจะมีการนัดสืบพยานในช่วงปลายปี ทั้งนี้ ทางอัยการสูงสุด และกระทรวงการคลัง ได้จัดเตรียมหลักทรัพย์ไว้แล้วหากแพ้คดี และจะมีการฟ้องกลับบริษัท วอลเตอร์ บาว อย่างแน่นอน แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยรายละเอียด

นอกจากนี้ กรณีที่ทางการเยอรมัน ได้มีการถอนคำสั่งห้าม พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เข้าประเทศนั้น เชื่อว่าจะไม่กระทบกับคดี เนื่องจากเป็นสิทธิของแต่ละประเทศในการให้บุคคลใดเข้าออกก็ได้

น้ำพระทัยสมเด็จพระบรมฯทรงห่วงความรู้สึกคนไทย

ก่อนหน้านี้เมื่อ 22 กรกฎาคม นายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด แถลงความคืบหน้าการถอนอายัดเครื่องบินพระราชพาหนะ โบอิ้ง 737 ว่า "สมเด็จพระบรมฯทรงห่วงความรู้สึกของคนไทย อยากให้คนไทยเข้าใจว่าพระองค์ท่าน ไม่ได้ทำอะไรผิดกฎการบิน ทรงทำถูกต้องทุกอย่าง พระองค์ท่านไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรเลยกับคดี รัฐบาลไทยพร้อมที่จะเอาเงินวางเพื่อจะนำเครื่องบินออกมาเพื่อถวายพระองค์ ท่านทรงใช้งาน แต่พระองค์ท่านมีพระราชวินิจฉัยว่าไม่ต้องวางเงินประกัน พระองค์ท่านไม่ประสงค์ให้นำเงินของรัฐบาลไทยไปวาง ทั้งนี้จากการรายงานข่าวของASTVผู้จัดการ

สถานทูตเยอรมันแถลงคดีสิ้นสุดแล้วไทยควรจ่ายหนี้

ในวันที่ 22 กรกฎาคม สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทยออกแถลงการณ์กรณีโบอิง 737 บอกคำตัดสินของศาลเป็นอันสิ้นสุด และจะไม่มีการสืบพยานใด ๆ อีกที่จะเปลี่ยนแปลงคำตัดสินดังกล่าว วอนไทยชำระเงินที่ค้าง เพื่อคงความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันจากรายงานข่าวของINN

เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา สถานทูตเยอรมันประจำประเทศไทย ออกแถลงการณ์อย่างเป็นทางการ ยืนยันคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศที่สั่งให้ประเทศไทยจ่ายค่าชด เชยจำนวน 36 ล้านยูโร และแสดงความคาดหวังให้ประเทศไทยชำระเงินดังกล่าว เพื่อเป็นการช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนเยอรมัน และจากประเทศอื่น ๆ ในประเทศไทยอีกครั้ง และจะส่งสัญญาณทางบวกสำหรับความสัมพันธ์ระหว่างเยอรมัน-ไทยต่อไปด้วย

นอกจากนี้ ในแถลงการณ์ยังชี้แจงเพิ่มเติมว่า กระบวนการตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่นิวยอร์ก เป็นไปเพื่อร้องขอคำตัดสินว่า การบังคับคดีในเรื่องนี้ สามารถกระทำในสหรัฐอเมริกาได้หรือไม่เท่านั้น ซึ่งจะไม่มีการสืบพยานใดเพิ่มเติมอีก ที่จะทำให้ประเทศไม่ต้องจ่ายค่าชดเชยตามคำตัดสินได้ ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 20 กรกฎาคมที่ผ่านมา ศาลเมืองลานด์ชูต ใกล้เมืองมิวนิค ได้มีคำตัดสินให้ถอนอายัดเครื่องบินโบอิง 737 โดยมีเงื่อนไขคือ ทางการไทยต้องวางหลักทรัพย์ค้ำประกันธนาคารมูลค่า 20 ล้านยูโร แต่รัฐบาลไทยได้ประกาศว่าจะไม่นำเงินประกันไปแลกกับการนำเครื่องบินออกมาจาก สภาพการถูกอายัด การสืบพยานที่ศาลประจำรัฐเมืองลานด์ชูต จะมีขึ้นอีกครั้งประมาณสัปดาห์ที่ 2 ของเดือนสิงหาคม และยังคาดการณ์ไม่ได้ว่ากระบวนการพิจารณาทั้งหลายจะสิ้นสุดเมื่อไร

โบอิง 737 ถูกอายัด หลังจากคณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศได้ตัดสินเมื่อกลางปี 2552 ว่า รัฐบาลไทยต้องจ่ายค่าเสียหายชดเชยให้กับบริษัท วอลเตอร์ บาว ซึ่งคำตัดสินถือเป็นสิ้นสุด

ไทยโต้คดียังไม่สิ้นสุด

นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี ยืนยันคดีความระหว่างบริษัทวอลเตอร์ บาว กับรัฐบาลไทย ยังไม่สิ้นสุดตามที่สถานทูตเยอรมนีออกแถลงการณ์ และรัฐบาลเยอรมนีไม่ได้ควรเข้ามาเกี่ยวข้อง ซึ่งเข้าใจว่าเป็นเรื่องของคดีหลัก ไม่ใช่การอายัดเครื่องบิน และในส่วนของรัฐบาลไทยยังอยู่ในการต่อสู้ทางคดีที่จะมีการยื่นอุทธรณ์คำสั่ง อนุญาโตตุลาการ ที่นครนิวยอร์ก วันที่ 29 กรกฎาคมนี้ ซึ่งกระทรวงการต่างประเทศได้ทำหนังสือชี้แจงไปที่รัฐบาลเยอรมนีแล้ว และยืนยันเมื่อคดีสิ้นสุด รัฐบาลไทยพร้อมรับผิดชอบ แต่จะมีการบีบรัฐบาลไทย ในช่วงนี้ไม่ได้

ทั้งนี้ เห็นว่าการดำเนินการของรัฐบาลเยอรมนีมาจากการติดตามข้อมูลจากเอกชน ที่ทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไปใช้จ่ายเงิน โดยมีการติดต่อปลายทาง และต่อรองให้ประนีประนอม ชดใช้เงิน ก่อนมีคำตัดสินของอนุญาโตตุลาการที่มีการเสนอลดดอกเบี้ยให้เป็นการแลก เปลี่ยน

อย่างไรก็ตาม รัฐบาลจะดำเนินการฟ้องร้องกับเอกชนรายนี้ โดยจะเปิดเผยรายละเอียดหลังอัยการสูงสุดเข้าพบในวันพรุ่งนี้

ขณะเดียวกัน นายกรัฐมนตรีปฏิเสธที่จะแสดงความเห็น ถึงเหตุผลที่เยอรมนีจะดำเนินการกับไทยในช่วงเปลี่ยนผ่านรัฐบาล และไม่ทราบกระแสข่าวเยอรมนีอนุญาตให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี เดินทางเข้าประเทศได้ รวมถึงที่จะเดินทางมาที่ลาวในช่วงปลายปีนี้ด้วย

บัวแก้วออกแถลงการณ์ ซัดกลับรัฐบาลเยอรมันอย่าพาดพิง 'ราชพาหนะ'

กระทรวงการต่างประเทศของไทย ได้เผยแพร่แถลงการณ์ของกระทรวงการต่างประเทศ ผ่านทางเว็บไซต์ ต่อเอกสารแถลงข่าวของสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย โดยมีเนื้อหาใจความว่า ตามที่สถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทยได้ออกเอกสารแถลงข่าวเมื่อวัน ที่ 22 ก.ค. 2554 เรียกร้องให้รัฐบาลไทย รีบดำเนินการชำระค่าเสียหายให้แก่บริษัทวอลเตอร์ บาว โดยมีข้อความพาดพิงถึงการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ของสมเด็จ พระบรมโอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร นั้น กระทรวงการต่างประเทศ ขอแถลงเป็นการย้ำอีกครั้งว่า กรณีพิพาทระหว่างรัฐบาลไทยกับบริษัทวอลเตอร์ บาวเป็นกรณีพิพาทระหว่างรัฐกับผู้ลงทุนเอกชน ซึ่งสำนักงานอัยการสูงสุดเป็นผู้รับผิดชอบในนามของรัฐบาลไทย โดยกรณีพิพาทนี้ไม่มีความเกี่ยวข้องแต่ประการใดกับสมเด็จพระบรม โอรสาธิราชฯ สยามมกุฎราชกุมาร และทรัพย์สินส่วนพระองค์ พระองค์ทรงเป็นบุคคลภายนอก ไม่ใช่คู่พิพาทในกรณีดังกล่าว และเช่นเดียวกัน รัฐบาลเยอรมนีก็ไม่ใช่คู่กรณี

กระทรวงการต่างประเทศขอแถลงด้วยว่า ฝ่ายไทยได้แจ้งข้อเท็จจริงข้างต้นให้แก่รัฐบาลเยอรมนีแล้วในทุกระดับตั้งแต่ ต้น ซึ่งรัฐบาลเยอรมนีก็น่าจะตระหนักดีถึงข้อเท็จจริงนี้ และด้วยเหตุนี้รัฐบาลไทยจึงรู้สึกผิดหวังต่อท่าทีและการดำเนินการของรัฐบาล เยอรมนี ดังเอกสารแถลงข่าวล่าสุดของสถานเอกอัครราชทูตเยอรมนีประจำประเทศไทย ซึ่งยังคงพาดพิงถึงการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ของสมเด็จพระบรมโอรสาธิ ราชฯ สยามมกุฎ ราชกุมาร โดยใช่เหตุ และโดยมิบังควร กระทรวงการต่างประเทศขอย้ำถึงความมุ่งมั่นที่จะรักษาและดำรงไว้ซึ่งพระ เกียรติยศของสมเด็จพระบรมโอรสาธิราชฯ สยาม มกุฎราชกุมาร รวมทั้งกำลังดำเนินการทุกวิถีทางเพื่อให้ เรื่องเกี่ยวกับการอายัดเครื่องบินส่วนพระองค์ยุติลงอย่างรวดเร็วและเป็น ธรรม

พิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ปลุกกระแสรักชาติให้ไทยยึดทรัพย์สินเยอรมันโต้ตอบ



นายพิเชียร อำนาจวรประเสริฐ ผู้ดำเนินรายการวิทยุและโทรทัศน์ ได้กล่าวทางรายการวิทยุFM92.25เมื่อวันศุกร์ว่า การที่สถานทูตเยอรมันออกมาเร่งให้ไทยใช้หนี้บริษัทเอกชนเยอรมันเป็นการกระทำ ที่ผิด เพราะเป็นเรื่องคดีระหว่างเอกชนกับเอกชน ทางการเยอรมันทำผิดมารยาท หากตนเป็นรัฐมนตรีหรือนายกรัฐมนตรีจะเรียกทูตมาตำหนิแล้วเนรเทศ

"ผมขอถามกลับไปว่า หากเป็นแบบนี้เยอรมันทำถูกหรือ เครื่องบินเป็นของสมเด็จพระบรมฯเป็นทรัพย์สินส่วนพระองค์ ไม่ใช่ทรัพย์สินของรัฐบาลไทยซักหน่อย แล้วเยอรมันมายึดไว้เพื่อขัดหนี้ หากทางการไทยจะเอาคืนบ้างด้วยการยึดทรัพย์สินของเอกชนเยอรมันบ้าง ไม่ว่าจะเป็นการส่งเบ๊นซ์ รถบีเอ็มดับบลิว หรือเคมีภัณฑ์ของบริษัทไบเออร์ที่ส่งมาขายในเมืองไทย เราก็ยึดมั่ง โดยเราบอกว่าขอยึดบ้างจะได้ไหมหละ เพราะเยอมันทำไม่ถูกกับเราก่อน เอาไหมแบบนี้"นายพิเชียรกล่าว

เปิดไม้ตายพรรคเพื่อไทย ส่องแผนลับ-ล่อ-รุก′คู่แค้น′ !!

จาก เว็บเสื้อแดง

เบื้อง หน้าชัยชนะในการเลือกตั้งของพรรคเพื่อไทย (พท.) นับตัวเลขกลมๆ อยู่ที่ 265 เสียง เตรียมจัดองค์ทรงเครื่องรัฐบาล "ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร"

แต่เบื้องหลังการได้มาซึ่งชัยชนะ พท. ต้องระดมสรรพกำลังทั้งหมดเพื่อต่อสู้กับ "คู่แค้นการเมือง"

เพราะรู้ว่าต้องแข่งขันกับ "ขั้วตรงข้าม" ที่ยึดครองอำนาจรัฐไว้ในมือ

เพราะเชื่อว่า "มือที่มองไม่เห็น" วางแผนสกัดกั้น พท. ทุกรูปแบบ

เพราะ ตระหนักว่า "กฎหมาย" ถูกใช้เป็น "เครื่องประหัตประหาร" เครือข่ายทักษิณมาหลายรอบ โดยบางคนวิคราะห์ไปถึงขั้นว่าอาจมีการรัฐประหารทางกฎหมาย?

เป็นผลให้ พท. อยู่ในภาวะ "ประมาทไม่ได้" ต้องวางแผนอุดช่องโหว่-ปิดช่องว่าง ทันทีที่มีพระราชกฤษฎีกา (พ.ร.ฎ.) ยุบสภา เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคมที่ผ่านมา

โดยกลุ่ม ที่ต่อสู้-ประกาศชิงอำนาจรัฐให้ พท. อย่างเปิดเผยคือ "กลุ่มคนเสื้อแดง" มี "ภารกิจหลัก" ในการช่วยหาเสียงให้ผู้สมัคร ส.ส.ของ พท. ส่วน "ภารกิจรอง" คือการเฝ้าระวังตามหน่วยเลือกตั้งต่างๆ เพื่อป้องกันไม่ให้คู่แข่งเล่นตุกติก

ดั่งคำประกาศของ "นางธิดา ถาวรเศรษฐ" รักษาการประธานกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ที่ต้องการให้ "คนเสื้อแดง" ทุกคนมีส่วนร่วมในการเฝ้าระวัง โดยใช้ "กล้อง" จากอุปกรณ์สื่อสารเป็น "อาวุธลับ" คอยบันทึกภาพเหตุการณ์ผิดปกติ

นอก จากนี้ "วอร์รูม" คณะกรรมการยุทธศาสตร์ของ พท. ที่มีสมาชิกบ้านเลขที่ 111+109 นำโดย "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" เป็นตัวหลัก ยังจัดตั้งหน่วย "ผู้สังเกตการณ์" เข้าไปแฝงตัวในจุดเลือกตั้งสำคัญๆ ที่ประเมินแล้วว่าจะมีการต่อสู้อย่างเข้มข้น

มีรายงานว่า 2 สัปดาห์ก่อนหย่อนบัตร ได้มีการเรียกประชุม "คณะผู้สังเกตการณ์" เพื่อกำชับให้คอยสอดส่องการกระทำผิดกติกา-สกัดการโกงของ "ฝ่ายตรงข้าม"

โดยจะเข้าประกบแบบประชิดตัว "ฝ่ายตรงข้าม" แต่ไม่ทิ้งพิรุธให้จับผิดได้

กระนั้น การจะนำเครื่องมือสื่อสารมาบันทึกภาพเก็บไว้ก็เกรงว่าจะโจ่งแจ้งเกินไป "วอร์รูม พท." จึงแจก "ปากกาวิเศษ" ซึ่งติดตั้ง "กล้อง" สามารถบันทึกคลิปวิดีโอได้ให้ "ผู้สังเกตการณ์" ปฏิบัติภารกิจจับผิด

ทำให้หลายเรื่องร้องเรียนที่ผู้สมัคร พท. ยื่นต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) มีหลักฐานภาพเคลื่อนไหวชัดเจน

ส่วน มาตรการป้องกันตัวเอง "วอร์รูม พท." ได้จัดตั้งทีม "นักกฎหมาย" และ "นักบัญชี" คอยให้คำปรึกษาผู้สมัครเป็นรายบุคคล เพื่อลดพฤติกรรมสุ่มเสี่ยงต่อการโดน กกต.แจกใบเหลือง-ใบแดง

ถือเป็นการเตรียมการของ พท.ที่ต้องต่อสู้กับ "ฝ่ายตรงข้าม" และต่อสู้กับ "กรรมการ" ซึ่งถือเป็นผู้ชี้ชะตาคนสำคัญ

แว่วมาว่าในงานเลี้ยง ส.ส.พท. เมื่อวันที่ 22 กรกฎาคมที่ผ่านมา พรรคได้ "เบิก-จ่าย" ค่าตอบแทนให้ทีม "ผู้สังเกตการณ์" ไปแล้ว

โดย "หลักฐาน" ที่ "ผู้สังเกตการณ์" สามารถบันทึกได้ จะถูกนำเข้าสู่การพิจารณาของ "วอร์รูมกฎหมาย" ซึ่งประชุมหารือกันเกือบทุกวัน โดยมี "สมชาย วงศ์สวัสดิ์" "จาตุรนต์ ฉายแสง" "ชูศักดิ์ ศิรินิล" เป็นตัวหลัก เพื่อเตรียมข้อมูลหลักฐานและแนวทางในการต่อสู้คดี

หากพบ "ผู้สมัคร พท." ถูกร้องคัดค้านการประกาศรับรองผลการเลือกตั้ง "วอร์รูมกฎหมาย" ก็จะป้อน "หลักฐานอีกชุด" ให้ กกต. เพื่อบลั๊ฟกลับข้อมูลจาก "ฝ่ายตรงข้าม" ทันที

แม้ กกต.จะเร่งประกาศรับรอง ส.ส.ให้ครบร้อยละ 95 ตามเงื่อนไขของรัฐธรรมนูญ เพื่อให้สามารถเรียกประชุมสภาผู้แทนราษฎรนัดแรกให้ได้ภายใน 30 วันนับจากวันเลือกตั้ง เพื่อสรรหาประธานสภา ตามด้วยโหวตเลือกนายกฯ แต่ "บิ๊ก พท." ก็ยังหวั่นอยู่ว่าอาจมีรายการรับรองไปก่อน สอยทีหลัง

จึงมีคำสั่งให้ "สายสืบเพื่อไทย" เกาะติดการทำงานของ กกต. และเช็กความเคลื่อนไหวของ "พรรคคู่แค้น" ตลอดเวลา

ขณะเดียวกัน "ผู้มีบารมีเหนือพรรค" ยังประกาศเชือด "คนการเมืองแปรพักตร์" ทุกราย ไม่เว้นกระทั่ง "ส.ต. (สอบตก)"

โดย มีรายงานว่า ส.ส.อีสานได้ยื่น "หลักฐานเด็ด" ต่อ กกต. เพื่อลาก "อดีตรัฐมนตรี" มารับโทษในคดีซื้อเสียง โดยหมายให้ถูกตัดสิทธิการเมืองเป็นเวลา 10 ปี

ถือเป็นอีกหนึ่งผลิตผลจาก "ปากกาวิเศษ" จากฝีมือ "ผู้สังเกตการณ์"

ทั้งหมดเกิดขึ้นจากบทเรียนราคาแพงของพรรคพลังประชาชน (พปช.) ซึ่งถูกยุบพรรคด้วยหาข้อทุจริตการเลือกตั้ง

"ทักษิณกับพรรคพวก" จึงเตรียมพร้อมป้องกันตัวเอง เปลี่ยนบทจาก "รับ" เป็น "รุก" ผ่านการวางแผนลับอย่างเป็นระบบ

และไม่ลืมขุดหลุม "ล่อ" คู่แค้นให้ถูกฝังกลบทางการเมือง!!!

อำนาจ (Management Knowledge)



มีการกล่าวว่า สิ่งที่จะสะท้อนความเป็นตัวตนได้ชัดเจนที่สุดก็คือการมีอำนาจ มนุษย์เรามีความสามารถในการควบคุมตนเอง ดังนั้นในยามปกติจะไม่มีใครรู้ได้ว่าตัวตนที่แท้จริงของเขาเป็นเช่นไร จนกว่าเขาผู้นั้นจะมีอำนาจ เรื่องนี้แม้แต่บุคคลที่มีชื่อเสียงอย่างลินคอล์นก็เคยคิดไว้เช่นกัน…

นิยามของอำนาจ
อำนาจ เป็นนามธรรมที่ไม่สามารถจับต้องได้ แต่มีอยู่ โดยปกติทุกๆคนมีอำนาจที่จะควบคุมตนเอง แต่ไม่มีอำนาจที่จะควบคุมผู้อื่น ยกเว้นเสียแต่ว่าผู้อื่นนั้นจะยินยอม (ให้ถูกควบคุม) การยินยอมให้ถูกควบคุม เรียกว่าการมีอำนาจเหนือ โดยอำนาจเหล่านี้เป็นสิ่งสมมติว่ามีอยู่ หากเป็นอำนาจที่ได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวาง ก็จะมีพลังอย่างมาก แต่หากอำนาจเหนือดังกล่าวไม่ได้เป็นที่ยอมรับหรือต้องการ ก็จะเกิดการต่อต้าน

เมื่อพอเข้าใจความหมายของอำนาจแล้ว ที่นี้เราลองมาทำความเข้าใจกระบวนการเกิดของอำนาจ เพราะมันสามารถเกิดขึ้นได้ด้วยหลายปัจจัย แต่เมื่อนำมาสรุป เราสามารถจำแนกออกได้เป็น 2 ประเภท คือ 1 อำนาจโดยธรรมชาติ 2 อำนาจโดยการกำหนด

1 อำนาจโดยธรรมชาติ
อำนาจประเภทนี้เป็นอำนาจที่ คนทุกๆคนมี ซึ่งเป็นอำนาจพื้นฐานที่ทำให้เราสามารถกำหนดและควมคุมตนเองได้ อำนาจที่มาจากประเพณีปฏิบัติก็อยู่ในข้อนี้ด้วยเช่นกัน เช่น ความสัมพันธ์ของคนในครอบครัว บิดามารดามีอำนาจเหนือในการควบคุมบุตร ครูและอาจารย์ก็เช่นเดียวกัน นอกจากนี้ยังรวมไปถึงการที่บุคคลหนึ่งให้การยอมรับนับถือ เขาจึงถูกอำนาจเหนือของบุคคลซึ่งให้การยอมรับนับถือนั้นควบคุมตัวของเขาเอง โดยปกติมักจะเป็นผู้ที่ให้การอุปการะ ผู้เลี้ยงดู ผู้ที่ช่วยชีวิต ผู้ซึ่งเป็นที่รัก ผู้ซึ่งมีชื่อเสียง ผู้ซึ่งมีฐานะ เป็นต้น

2 อำนาจโดยการกำหนด
อำนาจ ประเภทนี้เป็นอำนาจที่เกิดจากการกำหนดให้มีขึ้น ส่วนใหญ่ถูกทำขึ้นเป็นลายลักษณ์อักษร เป็นกฎหมาย กฎเกณฑ์ ระเบียบ ซึ่งกำหนดให้ต้องปฏิบัติตาม และเชื่อฟัง หากมีการละเมิดก็อาจถูกลงโทษ จำกัดสิทธิและเสรีภาพ เหตุผลที่ต้องกำหนดให้มีอำนาจประเภทนี้ ก็เพื่อสร้างความ เป็นระเบียบเรียบร้อยกับคนที่มีอยู่เป็นจำนวนมาก เพื่อให้สามารถนำอำนาจมาใช้บังคับได้โดยทันที และรวดเร็วกว่าการใช้อำนาจโดยธรรมชาติ ดังนั้นเราจะเห็นว่าการปกครองประเทศในปัจจุบัน ถือเป็นอำนาจโดยการกำหนดแทบทั้งสิ้น

การเมืองการปกครองที่แตกต่างกัน
การ บริหารตนเอง การบริหารครอบครัว การบริหารคณะบุคคล การบริหารบริษัท และการบริหารประเทศ มีกรอบความคิดบางอย่างที่แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง แต่ทันทีที่ “คนมีอำนาจ” ไม่ว่าจะเกิดขึ้นจากอำนาจโดยธรรมชาติ หรืออำนาจโดยการกำหนด ย่อมทำให้คนๆเดิมต้องการขยายกรอบความคิดของตนเองใหม่ เช่น คนที่เคยบริหารตนเองและครอบครัว เมื่อตนเริ่มเข้ามาบริหารประเทศ จะนึกถึงแต่ผลประโยชน์ของตนเองและบุคคลในครอบครัวเพียงอย่างเดียวมิได้ แต่จะต้องมองและพิจารณาถึงผลประโยชน์ของ “คนทั้งประเทศ” เพราะฉะนั้นแม้ว่า ใครก็ตามที่มีอำนาจเหนือในประเภทที่ 2 ไม่ได้ขยายกรอบความคิดของตนเอง ทันทีที่ต้องเปลี่ยนแปลงการบริหารจากระดับหนึ่งไปยังอีกระดับหนึ่ง ก็มักจะถูกการต่อต้านจากคนจำนวนมากด้วยเช่นเดียวกัน

เพราะฉะนั้นเรา จึงไม่สามารถตัดสินคนด้วยระยะเวลาเพียงชั่วครั้งชั่วคราวได้ จนกว่าจะให้ระยะเวลาเพื่อให้ผู้ที่มีอำนาจขยายกรอบความคิดของตนเองใหม่ และทำในสิ่งที่ถูกต้อง แทนที่การยึดติดกับผลประโยชน์ของตนเอง หรือเพียงบุคคลบางกลุ่มของตนเท่านั้น…

Nobody plan to fail but they fail because they don’t plan.
กุศล บัวใหญ่

เหตุใด “เถ้าแก่ดูไบ” จึงเชื่อมั่นอย่างมากมายผลักดันโครงการ “อัครฉ้อฉล”ถมทะเล

เหตุใด “เถ้าแก่ดูไบ” จึงเชื่อมั่นอย่างมากมายผลักดันโครงการ “อัครฉ้อฉล”ถมทะเล อย่างไม่กลัวหน้าอินทร์หน้าพรหมเช่นนี้ !!!???

Posted by โลกทรรศน์2010 ,


ใน บรรดาโครงการเพ้อฝัน แถมมีนัยยะแห่งความพร้อมที่จะฉ้อฉลได้ของพรรคเพื่อไทย ที่นำเสนอก่อนหน้าที่จะมีการเลือกตั้งมาจนถึงวันนี้ ไม่มีโครงการใดอีกแล้ว ที่จะมีความเคลือบแคลงที่ส่อว่าจะมีการยัดไส้ เพื่อเล่นแร่แปรธาตุหากินกับโครงการขนาดใหญ่ได้เท่ากับ

โครงการถมทะเลเพื่อสร้างเมืองใหม่ อีกแล้ว
หลายฝ่ายคงพูดกันเกี่ยวกับเรื่องนี้ไปมากพอสมควรแล้ว แต่ผู้เขียนอยากตั้งข้อสังเกตให้ทุกคนช่วยกันคิดให้จงหนักว่า
เหตุใด เถ้าแก่จอมวางแผนแห่งดูไบ จึงกล้าเสนอโครงการขนาดใหญ่เช่นนี้เข้ามาเป็น Masterpiece ของพรรคตนที่หวังสร้างชื่อประดับเกียรติยศให้คนจดจำไปอีกนาน

ทั้ง ที่..รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องใช้เงินไม่ต่ำกว่า 4 แสนล้านเพื่อหาซื้อทรายพิเศษทื่ใช้เพื่อถมพื้นที่ประมาณ 4 พันล้านคิวมาเพื่อถมพื้นที่ถึง 2 แสนไร่ หรือ 300 ตร.กม. คิดเป็นระยะทางยาวถึง 30 ก.ม. ให้เกิดพื้นที่ที่ยื่นออกไปสู่ทะเลยาวถึง 10 ก.ม.
ว่ากันว่าต่อให้เอาทรายทั่วประเทศมากองไว้ก็ไม่พอเพียงเพื่อโครงการนี้เพียงโครงการเดียว  ก็แน่นอนอยู่แล้วว่า ก็คงต้องซื้อทรายจากเพื่อนบ้านเพื่อมาถมแผ่นดินบ้านเรา นั่นแหละ...ช่องทางแห่งการฉ้อฉลเปิดทางให้อีกแล้ว
ซึ่ง หากคิดเป็นปริมาณเงินที่ต้องถมไปให้กับโครงการนี้ เพื่อให้เกิดเกียรติยศแก่พรรคตัวเอง จะต้องใช้เงินมากกว่างบประมาณประเทศต่อ 1 ปีอย่างแน่นอน เพราะจะต้องสร้างอสังหาริมทรัพย์สารพัดรูปแบบที่จะดูดเงินต่างประเทศมา ต่อยอดในโครงการ อัครฉ้อฉล นี้
ทั้ง ที่...รู้ทั้งรู้ว่าจะต้องพบกับแรงต่อต้านจากการเมืองในสภา ประชาธิปัตย์ฝ่ายค้านคุณภาพ ที่เพิ่งอกหักจากการตกสวรรค์ไม่ได้เป็นรัฐบาล ย่อมจะมีแรงกดดันที่จะต้องจ้องจับผิดทุกฝีก้าวรัฐบาล ปูแดง อย่างแน่นอน หรือจากสว.ฝ่ายที่ไม่เอา นช.ทักษิณ หรือฝ่ายพันธมิตร ที่พร้อมจะรุมถล่มอย่างแน่นอน ยังไม่ได้พูดถึงองค์กรอิสระสารพัด นับแต่ ปปช. ที่จะต้องจ้องโครงการนี้ตาเป็นมันอย่างแน่นอน
ส่วนการเมืองนอกสภานั้น พันธมิตรที่กำลังรวบรวมสรรพกำลังอีกครั้ง จ้องจับตาดูทุกก้าวเดินของ โคลนนิ่ง นช.ทักษิณ ว่าจะตกหลุม ก็พร้อมจะกรีฑาทัพถล่มโครงการนี้ให้ราบเรียบคามืออยู่แล้ว เพราะเห็นความตะกระตะกราม ตั้งแต้อ้อนออก และยิ่งมาเล่นกับเงินมากมายมหาศาลเช่นนี้ด้วยแล้ว
จะมีเหลือหรือ....!!!
และทั้งที่...รู้ทั้งรู้ว่า จะต้องเจอกับกองทัพ NGO นักต่อต้านเพื่อสิ่งแวดล้อมทั้งระดับประเทศ ระดับโลกที่จะต้องเลาะเนื้อ เถือหนัง เถ้าแก่ และสมุนให้เหลือแต่กระดูกแน่นอน ถ้ากล้าขับเคลื่อนโครงการนี้

ถ้าหากจะให้ตอบเองว่า เหตุใด เถ้าแก่จอมวางแผนแห่งดูไบ ถึงได้อาจหาญนำเสนอโครงการนี้  ผู้ เขียนก็คงต้องตอบว่า เพราะ นช.ทักษิณได้มองการณ์ไกลไว้ดีพอสมควรแล้วว่า การฟื้นคืนกลับมาครั้งนี้ แม้ว่าตัวเองจะยังมีชนักขนาดใหญ่ติดหลังอยู่ก็จริง แต่การอาศัย น้องปูแดง เป็นหนังหน้าไฟให้กลับมายืนหยัดอีกรอบหนึ่งนี้ ผนวกกับมวลชนคนเสื้อแดงที่ได้สร้างฐานมวลชนไว้อย่างแน่นหนายิ่งขึ้น (จากการปล่อยปละละเลยของรัฐบาลปชป.นั่นแหละ) ขณะที่การเมืองนอกสภาอย่างพันธมิตรก็อ่อนแรงไปอย่างมาก
ดังนั้นถึงแม้ว่า รัฐบาล ปูแดง อาจจะไม่หยัดยืนเป็นรัฐบาลไปได้ยาวนานถึงปีก็ตาม แต่เมื่อการเมืองอยู่ในกำมือ การแก้ไขรัฐธรรมนูญให้เข้าทางของตน การค่อยๆส่งสัญญาณให้มีการนิรโทษกรรมคนรอบข้าง บรรดาเหล่าเสื้อแดงก็คงจะตามมา
ซึ่งเมื่อถึงตอนนั้น อาจจะไม่จำเป็นต้องพูดถึงการนิรโทษกรรมให้กับ เถ้าแก่แห่งแดนไกลก็ได้
และ เมื่อสมาชิกแห่งบ้านเลขที่ 111 กลับคืนสู่สถานภาพ แม้ว่าหลายคนอาจจะแปรพักตร์ไปอยู่กับพรรคอื่นก็ตาม แต่ก็เชื่อมั่นว่าจำนวนไม่น้อยก็จะต้องภักดีกับ เถ้าแก่จอมวางแผนแห่งดูไบตามเดิม นั่นหมายถึงความมั่นคงแห่งรัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การสนับสนุนจากคนเสื้อแดง จะยังไปได้อีกนานพอสมควร
ด้วยความเชื่อมั่นดังว่านี้เองที่ทำให้ นช.ทักษิณจึงกล้าขับเคลื่อนโครงการ อัครฉ้อฉล นี้ออกมา แม้ว่าจะมีขวากหนามอย่างมหาศาลเพียงใดก็ตาม
พูดง่ายๆ ได้เวลา... ถึงเวลา...ที่จะกลับมาอยู่เบื้องหลังแห่งการ “Sa- Wha- Parm” ครั้งใหญ่อีกแล้วครับท่าน

ศาลไฟเขียวเลิกจ้างพร้อมปรับ15ล้านผู้นำม็อบหยุดเดินรถไฟ




ศาลแรงงานให้รฟท.เลิกจ้างสาวิทย์ อดีตแกนนำพธม.รุ่น2พร้อมให้ปรับ15ล้าน

ศาลแรงงานกลางอนุญาตให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เลิกจ้าง "สาวิทย์ แก้วหวาน" ปธ.สหภาพฯ กับพวกรวม 7 คน กรณีเป็นหัวโจกอ้างเหตุรถไฟตกรางที่เขาเต่าเมื่อปี 52 นำ พนง.สไตรก์หยุดเดินรถไฟ พร้อมสั่งให้ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหาย รฟท. 15 ล้าน...

เมื่อช่วงบ่ายวันที่ 28 ก.ค. ที่ศาลแรงงานกลาง ถนนพระราม 4 ศาลอ่านคำพิพากษาคดีที่ การรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เป็นโจทก์ฟ้องนายภิญโญ เรือนเพชร นายบรรจง บุญเนตร์ นายสาวิทย์ แก้วหวาน ตำแหน่งประธานสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย นายธารา แสวงธรรม นายเหลี่ยม โมกงาน นายสุพิเชฐ สุวรรณชาตรี และนายอรุณ ดีรักชาติ เป็นจำเลยที่ 1-7 ขณะที่จำเลยอื่นมีตำแหน่งเป็นกรรมการสหภาพฯ ฐานฝ่าฝืน พ.ร.บ.แรงงานรัฐวิสาหกิจสัมพันธ์ พ.ศ. 2543 ม.23(2) และ ม.33

โจทก์ฟ้องว่า จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันไม่ปฏิบัติตามอำนาจหน้าที่ในการหาทางปรองดองและระงับข้อขัดแย้งในรัฐ วิสาหกิจ และกระทำการอันเป็นการฝ่าฝืนคำสั่งของศาลจังหวัดสงขลา โดยจำเลยทั้ง 7 กับพวกร่วมกันยุยง ชักชวนให้พนักงานขับรถและพนักงานช่างเครื่องของโจทก์ทั่วประเทศ รวมทั้งโรงรถจักรหาดใหญ่หยุดการปฏิบัติหน้าที่ขับขบวนรถไฟเพื่อขนส่งผู้ โดยสารและสินค้า และไม่ยินยอมให้โจทก์นำหัวรถจักรออกใช้งาน โดยอ้างว่าหัวรถจักรของโจทก์ชำรุดไม่ปลอดภัยแก่พนักงานขับรถและพนักงานช่าง เครื่องที่จะใช้ลากจูงขบวนรถไฟและบรรทุกสินค้าอันเป็นความเท็จ เป็นเหตุให้พนักงานขับรถและพนักงานช่างเครื่องของโจทก์หลงเชื่อ ไม่ปฏิบัติหน้าที่ก่อให้เกิดความเดือดร้อนแก่ประชาชนที่มาใช้บริการและทำให้ โจทก์ได้รับความเสียหาย

นอกจากนี้จำเลยกับพวกยังร่วมกันปราศรัย ณ ที่ทำการสำนักงานใหญ่ เพื่อขับไล่และเรียกร้องให้รัฐบาลปลดผู้ว่าการรถไฟฯ อันเป็นการกระทำนอกเหนืออำนาจหน้าที่ขัดต่อข้อบังคับของโจทก์ ซึ่งถือเป็นความผิดชัดแจ้ง โจทก์สามารถลงโทษไล่จำเลยทั้ง 7 ออกโดยไม่ต้องมีการสอบสวน และยังเป็นการทำผิดกฎหมายอาญา จึงขอให้ศาลอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้ง 7 โดยให้ไล่ออกจากงานและให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์

ศาลวินิจฉัยแล้วรับฟังได้ว่า กรณีสืบเนื่องจากขบวนรถด่วนของโจทก์ตกรางที่สถานีเขาเต่า จ.ประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 5 ต.ค. 52 สหภาพฯรถไฟ โดยกรรมการสหภาพฯ มีความเห็นว่าเหตุที่ขบวนรถด่วนดังกล่าวตกรางเนื่องจากอุปกรณ์ระบบเดดแมนและ ระบบวิจิแลนซ์ในหัวรถจักรชำรุดใช้การไม่ได้ จำเลยทั้ง 7 จึงร่วมกันรณรงค์เรื่องความปลอดภัยในการทำงานของพนักงานให้ตรวจสอบอุปกรณ์ ดังกล่าว แต่เป็นเหตุให้พนักงานขับรถและพนักงานช่างเครื่องบางคนไม่ยอมนำหัวรถจักรไป นำขบวน ทำให้โจทก์ไม่มีรถไฟออกรับส่งผู้โดยสารและสินค้า

ต่อมาศาลจังหวัดสงขลามีคำสั่งคุ้มครองชั่วคราว ห้ามมิให้สหภาพฯกับพวกขัดขวาง และให้มีการเดินขบวนรถไฟตามปกติ โจทก์จึงนำหัวรถจักรไปนำขบวนได้ ปรากฏว่าแม้หัวรถจักรที่มีอุปกรณ์ดังกล่าวชำรุดเสียหายยังสามารถนำไปทำขบวน ได้เพราะเป็นเพียงอุปกรณ์เสริม มิใช่อุปกรณ์หลักที่มีความสำคัญเกี่ยวกับความปลอดภัยในการเดินรถ และปรากฏว่าไม่เคยเกิดอุบัติเหตุตามที่จำเลยทั้ง 7 กล่าวอ้าง การที่จำเลยทั้ง 7 รณรงค์เรื่องความปลอดภัยของพนักงานขับรถและช่างเครื่อง จนเป็นเหตุให้พนักงานของโจทก์บางคนหยุดปฏิบัติหน้าที่นำรถไฟออกให้บริการ ประชาชน โดยเฉพาะการเดินรถใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ถือเป็นการยุยงชักชวนให้พนักงานขับรถและช่างเครื่องและพนักงานอื่นของโจทก์ หยุดการปฏิบัติหน้าที่ เป็นการจงใจทำให้โจทก์ผู้เป็นนายจ้างได้รับความเสียหายและเป็นการละทิ้ง หน้าที่ในขณะที่กำลังปฏิบัติอยู่ตามข้อบังคับของโจทก์ กรณีมีเหตุที่ศาลแรงงานกลางจะอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้ง 7 ตาม พ.ร.บ.รัฐวิสาหกิจฯ ม.24(2) พิพากษาว่าอนุญาตให้โจทก์เลิกจ้างจำเลยทั้ง 7 และให้จำเลยทั้ง 7 ร่วมกันชดใช้ค่าเสียหายแก่โจทก์เป็นเงิน 15 ล้านบาท พร้อมดอกเบี้ยร้อยละ 7.5 ต่อปี นับตั้งแต่วันฟ้องจนกว่าจะชำระเสร็จสิ้น

นายสาวิทย์ กล่าวหลังศาลมีคำพิพากษาว่า จะดำเนินการยื่นอุธรณ์ต่อศาลภายในเวลา 15 วัน นับจากวันที่ศาลมีคำสั่งต่อไป

สหภาพรถไฟฯ ออกแถลงการณ์จะสู้คดีถึงที่สุด จะยืนหยัดต่อสู้เพื่อความปลอดภัยของผู้ใช้บริการรถไฟ

ขณะที่ในเว็บไซต์สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย ได้ออกแถลงการณ์ "จุดยืนในการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน และคนงานรถไฟ" โดยมีรายละเอียดดังนี้

คำแถลงสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย
เรื่อง จุดยืนในการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน และคนงานรถไฟ

จากกรณีที่ขบวนรถด่วนที่ 84 เกิดอุบัติเหตุตกรางที่สถานีเขาเต่า จังหวัดประจวบคีรีขันธ์ เมื่อวันที่ 5 ตุลาคม 2552 เป็นเหตุให้มีผู้โดยสารเสียชีวิต 7 ราย และได้รับบาดเจ็บเป็นจำนวนมาก ทางสหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย(สร.รฟท.) เห็นว่าสาเหตุที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากความไม่สมบูรณ์ของอุปกรณ์บนรถจักร จึงได้มีการรณรงค์ด้วยเจตนาบริสุทธิ์ ประสงค์ต้องการให้การรถไฟฯปรับปรุง ซ่อมบำรุงอุปกรณ์ รถจักรและรถพ่วง รวมทั้งระบบป้องกันพนักงานขับรถหมดสติ (Vigilance) ก่อนที่จะนำรถจักรออกไปทำขบวนทุกครั้ง ซึ่งกรณีนี้ สร.รฟท.ได้ยื่นข้อเรียกร้อง และได้มีข้อตกลงเกี่ยวกับสภาพการจ้าง กับการรถไฟฯอย่างชัดเจนไว้แล้ว และให้สมาชิกถือปฏิบัติอย่างเคร่งครัด เพื่อความปลอดภัยของพี่น้องประชาชนและพนักงานที่ปฏิบัติหน้าที่ จากการรณรงค์ดังกล่าวเป็นเหตุให้การรถไฟฯมีคำสั่งลงโทษกรรมการสหภาพฯสาขา หาดใหญ่จำนวน 6 คนโดยไล่ออกอย่างไม่เป็นธรรม และเป็นโจทก์ยื่นฟ้องต่อศาลแรงงานกลาง ขออนุญาตเลิกจ้างกรรมการบริหาร สร.รฟท.จำนวน 7 คน (คดีหมายเลขดำที่ 6977/2552,7002/2552 และ 7140/2552)

เมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม 2554 เวลา 13.30 น. ศาลแรงงานกลางได้มีคำพิพากษาว่า อนุญาตให้การรถไฟฯเลิกจ้างกรรมการ สร.รฟท.ทั้ง 7 คน และชดใช้ค่าเสียหายเป็นเงินสิบห้าล้านบาท จาก คำพิพากษาของศาลแรงงานกลาง ทาง สร.รฟท.ขอน้อมรับในคำตัดสินของศาล ทั้งนี้เราจะยืนหยัดต่อสู้ตามขั้นตอนของกระบวนการยุติธรรมให้ถึงที่สุด เพื่อผลประโยชน์ของประเทศชาติ และประชาชน ด้วยความบริสุทธิ์ใจโดยไม่มีเจตนาอื่นแอบแฝงแต่ประการใดทั้งสิ้น

อย่างไรก็ตาม คดียังไม่ถึงที่สุด สร.รฟท.ขอให้พี่น้องมวลสมาชิก และคนงานรถไฟทุกท่าน จงอย่าได้หวั่นไหวกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น ต้องร่วมมือกันยืนหยัดต่อสู้ร่วมกับสหภาพแรงงาน เพื่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนผู้ใช้บริการรถไฟ

จึงแถลงมาให้ทราบโดยทั่วกัน

สหภาพแรงงานรัฐวิสาหกิจรถไฟแห่งประเทศไทย

อริสมันต์โชว์รูปถ่ายล่าสุดเผื่อให้ธาริตไว้ดูต่างหน้า ตัวเป็นๆค่อยมาปลายปีอธิบดีDSIคงเป็นคนใหม่แล้ว


                                อริสมันต์ พงศ์เรืองรอง เปิดเผยภาพถ่ายล่าสุดของเขา ลงในเฟซบุ๊ค

                                       โดยภาพถ่ายระบุวันที่ 15 กรกฎาคม 2554 ไม่ปรากฎสถานที่แน่ชัด 


นางระพิพรรณ พงศ์เรืองรอง ภรรยาของ “กี้ร์-อริสมันต์” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กล่าวเมื่อวันที่ 28 กรกฎาคม ว่า การเข้ามอบตัวของนายอริสมันต์ นั้นคาดว่าจะเดินทางเข้ามอบตัวปลายปี 2554 โดยต้องรอให้รัฐบาลใหม่พรรคเพื่อไทยจัดตั้งรัฐบาลและทำงานแก้ปัญหาปากท้อง ประชาชนไปก่อนค่อยว่ากัน อย่างไรก็ตาม ขณะนี้นายอริสมันต์ยังคงอาศัยอยู่กับญาติสนิทในที่ปลอดภัยแห่งหนึ่ง และยืนยันว่านายอริสมันต์ไม่ได้เป็นผู้ก่อการร้ายตามที่ถูกกล่าวหา

ก่อนหน้านี้นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เปิดเผยเกี่ยวกับกรณีที่มีข่าวว่า นายอริสมันต์ ผู้ต้องหาในคดีก่อการร้าย จะเดินทางติดต่อขอเข้ามอบตัวกับทางดีเอสไอ ว่า ยืนยันในเรื่องดังกล่าว ยังไม่มีการติดต่อเข้ามอบตัวจาก นายอริสมันต์

อย่างไรก็ตาม ในส่วนขของผู้ต้องหาที่เป็นแกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการ แห่งชาติ (นปช.) รายอื่นๆ ทางดีเอสไอ กำหนดวันนัดเข้ารับทราบข้อกล่าวหา คดีความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งรัฐ (คดีล้มเจ้า) ในวันที่ 17 ส.ค. ซึ่งขณะนี้ ยังไม่มีผู้ทำเรื่องขอเลื่อนนัด

ล่าสุดเฟซบุ๊คของนายอริสมันต์ได้วิจารณ์กกต.กรณีแขวนจตุพรว่า กกต.รับงานมาจากพวกอำมาตย์ให้ปล​่อย ส.ส. พรรคประชาธิปัติย์ทุกคน แม้กระทั้งนายสุเทพ ที่ได้กล่าวปราศรัยใส่ร้ายพรรคเพื่อไทย"ว่าเผาบ้านเผาเมือง" ในการเลือกตั้งที่ผ่านมา ซึ่งผิดกฏหมายเลือกตั้งมาตรา ๕๓ อย่างชัดเจน เป็นการกระทำให้ประชาชนเข้าใจผิดในคะแนน เป็นการทำลายชื่อเสียงของพรรคเพ​ื่อไทย ด้วยความจงใจ คนอย่างนี้ทำทุกอย่างได้ เพื่อเอาชนะโดยไม่สนผิดชอบชั่วด​ี แต่ กกต. ดันรับรองให้เป็น ส.ส. เพราะเชื้อชั่วพวกเดียวกัน

นี่คืออำนาจนอกระบบที่สามารถสังได้ จะให้ใครเป็น ส.ส. ไม่เป็น ส.ส. ก็ได้ เพราะต้องการที่จะบอกกับแนวร่วมฮาร์ดคอร์ ไม่มีความเป็นธรรมให้นักสู้ ไม่มีความปราณีต่อนักต่อสู้ผู้เรียกร้องความเปลี่ยนแปลงบ้านเมือง เพื่อให้เป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง หมดเวลาอำมาตย์เผด็จการแล้ว องค์กรอิสระที่เป็นเชื้อชั่วของอำมาตย์ต้องออกไป พี่น้องแดงยอมให้มันขังจตุพรมานานแล้ว อำนาจชั่วควรต้องหมดเสียที พลังแดงต้องออกแรงอีกครั้งหนึ่งหรือไม่?

วันเสาร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

สื่อเกาหลีใต้ฉลาดกว่าเสื้อแดง

สื่เกาหลีใต้ยกทักษิณเป็นกรณีศึกษา "ระวังประชานิยม!!"

ในบทบรรณาธิการขหนังสืพิมพ์โชซุนิลโบ เรื่“ระวังประชานิยม” เกริ่นถึงสถานการณ์การเมืงในไทย ว่า กลุ่มผู้ประท้วงเกิดปะทะกับทหารเมื่วันเสาร์ (10) จนทำให้มีผู้เสียชีวิต 21 ราย และบาดเจ็บ 870 คน หลังจากรัฐบาลประกาศภาวะฉุกเฉิน

บทบรรณธิการนี้ ย้นความว่า ความรุนแรงระหว่างการชุมนุมขงคนเสื้แดงครั้งนี้ ไม่ใช่ครั้งแรก โดยเมื่เดืนเมษายนปีก่น ผู้ประท้วงฝ่ายต่ต้านรัฐบาลได้บุกเข้าไปยังสถานที่จัดประชุมาซียนซัมมิต +3 เป็นเหตุให้ต้งยกเลิกการประชุม และผู้นำประเทศ 16 ชาติ ในจำนวนนั้นรวมไปถึงประธานาธิบดี ลีเมียงบัค ต้งขึ้นไปบนดาดฟ้าเพื่หลบหนีกมาโดยเฮลิคปเตร์

บรรณาธิการขงโชซุนิลโบ ชี้ว่า ศูนย์กลางขงผู้ประท้วงฝ่ายต่ต้านรัฐบาล คืดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร ที่ก้าวขึ้นดำรงตำแหน่งในปี 2001 และได้รับเลืกให้กลับมาีกครั้งในปี 2005 แต่ในเดืนมกราคม 2006 เขาและครบครัวขายหุ้นขงบริษัทเทเลคมแห่งหนึ่งมูลค่ากว่า 1.9 พันล้านดลลาร์สหรัฐฯ ไปให้แก่บริษัทเพื่การลงทุนแห่งรัฐขงสิงคโปร์โดยปราศจากการจ่ายภาษี!!

แต่ที่ปรากฏตามกมา นั่นคืมันยังแสดงให้เห็นว่าเขาใช้ตำแหน่งหน้าที่สร้างความมั่งคั่งแก่ธุรกิจขงตนเง หลีกเลี่ยงภาษี รับสินบน และฉ้ฉลการประมูล โดยในเดืนกุมภาพันธ์ ศาลฎีกาขงไทย พิพากษายึดทรัพย์ที่ผิดกฎหมายขงเขาเป็นเงินกว่า 4.6 หมื่นล้านบาท

ทักษิณ พเนจรไปทั่วโลก นับตั้งแต่ถูกรัฐประหารโค่นล้มำนาจในปี 2006 ขณะที่ผู้ชุมนุมฝ่ายต่ต้านรัฐบาลเคลื่นขบวนไปทั่วเมืงหลวง เพียงเพราะต้งการเห็นเขากลับมา จนทำให้ประเทศกำลังกลายเป็นรัฐแห่งสงครามกลางเมืง ทั้งนี้ ทักษิณ เป็นผู้นำกลุ่มสนับสนุนเขาซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวนาคนยากจนทางภาคเหนืและตะวันกเฉียงเหนืงประเทศผ่านทางทีวีดาวเทียม และข้ความโทรศัพท์มืถื

โชซุนิลโบ ระบุว่า เหตุผลที่ผู้สนับสนุนทักษิณ ต้งการเห็นเขากลับมา แม้ดีตนายกรัฐมตนตรีรายนี้คร์รัปชันย่างมโหฬาร เพราะพวกเขาถูกล่ด้วยนโยบายประชานิยม โดยหลังจากขึ้นดำรงตำแหน่ง ทักษิณ พักชำระหนี้เกษตร 3 ปี มบสิทธิรักษาในสถานพยาบาลขงรัฐในราคา 30 บาท มบเงินทุน 1 ล้านบาทให้แก่แต่ละหมู่บ้านภายใต้ข้้างขยับช่งว่างรายได้ระหว่างผู้ยู่าศัยในเมืงและชาวนา

ย่างไรก็ตาม นโยบายที่ดูแสนจะกรุณานั้นจบลงที่เงินทุนในคลังขงรัฐเหืดหายลงไป สุดท้ายแล้ว ทักษิณ ก็ถูกขับกจากตำแหน่งหลังต้งเผชิญความไม่พใจย่างรุนแรงจากคนชั้นกลาง ผู้ที่รู้สึกเหนื่ยหน่ายต่คุณภาพการรักษาที่เสื่มทรามลงไปทั้งที่ต้งจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น

ทว่าีกด้านหนึ่งคนไทยที่มีรายได้น้ยได้เสพติดสิ่งที่ได้มาเปล่าๆ เสียแล้ว และไม่มีวิธีเยียวยาประชาชนจากการเสพติดนโยบายประชานิยม ทั้งนี้ ไทยไม่ใช่ประเทศเดียวที่เจกับปัญหานี้

าร์เจนตินาที่เคยเป็นรัฐเจริญที่สุดชาติหนึ่งในบรรดาประเทศละตินเมริกาในช่วงปลายทศวรรษที่ 1990 สุดท้ายก็จบลงด้วยการกลับสู่สถานะโลกที่ 3 หลังจากพยายามทำตามความต้งการขงประชาชนที่เคยชินนโยบายประชานิยมย่างไม่สามารถถนตัวได้

บรรณาธิการขงโชซุนิลโบ ปิดท้ายว่า ในเกาหลีใต้ พรรครัฐบาลและพรรคฝ่ายค้าน กำลังแข่งขันกันย่างดุเดืดด้วยนโยบายที่หวังชนะใจประชาชนก่นหน้าศึกเลืกตั้งท้งถิ่นในวันที่ 2 มกราคม โดยพรรคเดโมแครตปาร์ตี เสนใช้เงินภาษีจำนวน 1.5 ล้านล้านวน มบสิทธิ์เรียนฟรีแก่นักเรียน 5.48 ล้านคน ขณะที่พรรคแกรนด์ เนชันแนล ปาร์ตีกนโยบาย 9 ข้มีเป้าหมายนำเงินรัฐกว่า 1.22 ล้านวนมาช่วยคนยากจน ซึ่งทั้งสงพรรคการเมืงควรดูเหตุประท้วงในไทยเป็นกรณีศึกษา เพราะนโยบายประชานิยมเป็นเสมืนแหวนแห่งลางร้าย
.
.

--------------------------------


ต้นฉบับภาษาังกฤษ
The chosun Ilbo news (click!!)โชซุลิลโบ
Beware of Populism

Protesters clashed with soldiers in Bangkok on Saturday in a standoff that killed 21 people and injured around 870 after the Thai government had announced a state of emergency. In April last year, anti-government protesters stormed into the conference venue of the ASEAN+3 Summit causing the high-profile meeting to be cancelled, and 16 heads of state, including Korean President Lee Myung-bak, had to be airlifted to safety from the rooftop. In December, 2008, an ASEAN foreign ministers' meeting in Thailand had to be canceled due to protests.

At the center of anti-government protests is former Thai Prime Minister Thaksin Shinawatra. He became prime minister in 2001 and was re-elected in 2005. But in January of 2006, his family was sold US$1.9 billion worth of shares in a telecom company to Singapore's state investment company without paying any taxes. More revelations followed showing that he funneled lucrative business contracts to his own businesses, avoided taxes, took bribes and rigged bids. In February, the Thai Supreme Court ordered the confiscation of Thaksin's illegal fortune worth 46 billion baht (W1.61 trillion).

Thaksin has been roaming the world since being stripped of power at the end of 2006, and the anti-government protesters who have swept through the Thai capital want to see him return. At present, Thailand is in a virtual state of civil war as the red shirted anti-government protesters face off against citizens clad in yellow shirts supporting the incumbent government. Thaksin is leading his supporters, mostly poor farmers from northern and northeastern Thailand, via appearances on satellite broadcasts and through phone messages.

The reason why Thaksin's supporters long for his return despite his massive corruption scandals is that they have become hooked on his populist policies. After taking office, Thaksin rolled over farmers' debts for three years, provided state medical insurance to all Thais for a basic fee of just 30 baht (W1,050) and handed out 1 million baht (W35 million) to each village under the pretext of narrowing the income gap between city dwellers and farmers. The generous policies ended up emptying Thailand's state coffers. Thaksin was finally driven out of office as he faced mounting discontent among the middle class, who grew tired of the deteriorating quality of medical services despite rising taxes.

But low-income Thais had already become addicted to free handouts. There is no cure for a public that has become addicted to populist policies. Thailand is not the only country to experience such a problem. Argentina, which had almost reached advanced-country status in the late 1990s as well as other Latin American countries ended up falling back to Third World status after trying to meet the demands of citizens who had grown accustomed to populism.

In Korea, ruling and opposition parties are racing to come out with policies to win the hearts and minds of voters ahead of the June 2 regional elections. The Democratic Party has proposed using W1.5 trillion in taxpayer's money to provide free lunches to 5.48 million students, while the Grand National Party has produced nine policy goals aimed at helping the poor at a cost of W1.22 trillion in state spending. To those watching the red- and yellow-shirted protesters in Thailand, those pledges have an ominous ring.

englishnews@cho
sun.
.
.

แฉปูกินข้าว'บิ๊กมติชน' หลังปลดคู่กัดที่ตามจิก รุกนพดลปูดชื่อ'ตัวการ' รับสินบนบ.เหล้ามะกัน

ปชป.แฉ “ยิ่งลักษณ์” กินข้าวกับผู้บริหารสื่อ หลังปลด “ประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์” จี้องค์กรสื่อตรวจสอบหวั่นการเมืองแทรก พร้อมบี้ “นพดล” ปูดชื่ออดีตผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง “สมัยทักษิณ” รับสินบนบริษัทเหล้าของสหรัฐที่มีสาขาในไทย อ้างหวั่นกระทบความน่าเชื่อรัฐบาลใหม่

วันที่ 30 ก.ค. 2554 เวลา 11.00 น. ที่พรรคประชาธิปัตย์ นพ.บุรณัชย์ สมุทรักษ์ รักษาการโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ แถลงข่าวกรณีบริษัท มติชน จำกัด (มหาชน) เลิกจ้างนายประสงค์ เลิศรัตนวิสุทธิ์ นักข่าวอาวุโส ที่เคยมีผลงานค้นคว้าข้อมูลเชิงลึก ตรวจสอบรัฐบาลทุกสมัยว่า หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่าเกิดจากการแทรกแซงทางการเมืองหรือไม่ เพราะนายประสงค์ เป็นผู้เสาะหาข้อเท็จจริงเกี่ยวกับคำให้การของน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ว่าที่นายกรัฐมนตรี ที่เคยให้การต่อศาลในคดีซุกหุ้นของพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และนำข้อมูลมาเสนอว่าเป็นจริงหรือเท็จอย่างไร ทั้งนี้หลังจากที่มีการเลิกจ้างนายประสงค์ ในวันรุ่งขึ้นน.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้รับประทานอาหารร่วมกับผู้บริหารสำนักข่าวดังกล่าว และมีการปิดประตูคุยกันโดยไม่ให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าไปร่วมด้วย จึงถือว่าเป็นเรื่องผิดปกติ

“พรรคประชาธิปัตย์ขอเรียกร้องให้องค์กรที่ดูแลการปฎิบัติหน้าที่ของสื่อมวลชนให้เป็นกลาง ช่วยตรวจสอบเรื่องดังกล่าวด้วย เพราะประชาธิปไตยจะเดินหน้าได้ต้องมีการคุ้มครองสื่อมวลชนไม่ให้มีการแทรกแซงการทำงานของสื่อ”นพ.บุรณัชย์กล่าว

บี้ “นพดล” ปูดชื่ออดีตผู้ดำรงตำแหน่งการเมือง “สมัยทักษิณ” รับสินบนบริษัทเหล้า ชี้กระทบความน่าเชื่อรัฐบาลใหม่

นพ.บุรณัชย์ กล่าวด้วยว่า ที่ผ่านมามีข่าวคณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์ของสหรัฐอเมริกา เปิดเผยข้อมูลเรื่องการทุจริตของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในสมัยรัฐบาลพรรคไทยรักไทยเมื่อปี 2548 โดยระบุว่ามีบุคคลคนหนึ่งรับเงินสินบนจากบริษัทสุรา ที่มีสาขาอยู่ในเมืองไทย คือบริษัท DP โดยสำนวนกล่าวหาได้ระบุชัดว่า รับเงินรวม 40 กว่างวด เป็นจำนวน 6 แสนเหรียญสหรัฐฯ หรือ 18.9 ล้านบาท ซึ่งตนมองว่าเป็นเรื่องสำคัญต่อความน่าเชื่อถือทั้งของประเทศ และของรัฐบาลที่จะกลับเข้าสู่อำนาจ เพราะว่าเป็นกลุ่มบุคคลที่มีความเกี่ยวข้องกันจากในอดีต

นพ.บุรณัชย์ กล่าวว่า ในเรื่องนี้ตนอยากถามไปยังนายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษาฝ่ายกฎหมายพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และอดีตรมว.ต่างประเทศ ที่ให้ข่าวสัมภาษณ์ในวันเดียวกันนี้ โดยยืนยันว่า พรรคเพื่อไทยจะให้ความร่วมมือและปฏิเสธว่าบุคคลดังกล่าว ไม่ได้มีความเกี่ยวข้องกันกับผู้บริหารที่เป็นผู้สืบทอดอำนาจจากพ.ต.ท.ทักษิณ ตามที่คณะกรรมการตลาดหลักทรัพย์สหรัฐที่ได้ระบุว่าเป็นบุคคลที่ใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณ และครม.ชุดนั้น ตนเห็นว่าจากการสัมภาษณ์ของนายนพดล แสดงว่านายนพดล ทราบว่าบุคคลดังกล่าวเป็นใคร ตนขอให้เปิดเผยชื่อออกมา  เพื่อสังคมจะได้นำเสนอข้อเท็จจริง และดูแลภาพพจน์ของประเทศในเรื่องนี้




Thaiinsider

"ประยุทธ์" ฟิวส์ขาดซัด นักวิชาการ-สื่อ-ทีวีทุกสี เรียงหน้ากระดาน



พล.อ.ประยุทธ์ันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก เปิดเผยว่า
ได้เพิ่มเงินชดเชยให้ผู้เสียชีวิตากอุบัติเหตุเฮลิคอปเตอร์ตก3ลำที่อุทยานแห่งชาติแก่งกระาน
ากปกติะได้ 4แสนบาท เป็น1.5 ล้านบาท กองทัพะดูแลครอบครัวผู้เสียชีวิตทั้งหมด
ให้อยู่บ้านพักไปก่อน และะบรรุลูกหรือภรรยาเข้ามาเป็นทหาร
รวมทั้งการดูแลลูกเรียนให้บถึงปริญญาตรี เท่าที่ะทำตามระเบียบราชการได้

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวอีกว่า หากคิดว่ามูลค่ายุทโธปกรณ์มีมูลค่าหลายร้อยล้านบาท
ก็ไม่เท่ากับการสูญเสียชีวิตอยากเรียนให้สังคมทราบว่า
ที่ผ่านมากองทัพบกสั่งการให้กองทัพภาคที่ 1 ค้นหาตามหลักการ
เพราะกองพลทหารราบที่ 9 อยู่ในความรับผิดชอบของกองทัพภาคที่ 1
ใช้เครื่องมือที่มีอยู่ปัุบันที่ถือว่าทันสมัยที่สุด
และในประเทศอาเซียนก็ใช้อากาศยานเช่นนี้ ทั้งแบล็กฮอว์ก ฮิวอี้ และเบลล์ 212
สิ่งที่เราห้ามไม่ได้ คือ อุบัติเหตุ เรื่องลมฟ้าอากาศ
เราห้ามคนได้ ห้ามไม่ให้เครื่องบินขึ้นได้
ึงเป็นบทเรียนว่าวันข้างหน้าะดำเนินการอย่างไรต่อไป
ต้องให้คณะกรรมการเข้าไปทดสอบดู เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นครั้งนี้
เกิดากการทุริตในการัดซื้อัด้างถือเป็นคนละประเด็น
อย่าวิารณ์อย่างนั้น เพราะถ้าวิารณ์ต้องวิารณ์ทุกระบบของกองทัพบก
แม้แต่ในระบบของประเทศไทยก็ต้องผิดทั้งหมด ยืนยันว่าถ้าเป็นอย่างนั้นก็ผิดทั้งหมด

“นักวิชาการหลายคนรู้ทุกเรื่อง รู้เรื่องรบ เรื่องชายแดน เรื่องทหารก็รู้ นี่ ฮ.ตกยังรู้อีก
ซึ่งคนเดิมออกมาพูด แล้วผมถามกลับไปว่ารับผิดชอบอะไรหรือเปล่า
ถ้าไม่ใช่ ใคระรับผิดชอบ กองทัพบกเสียหาย
ประชาชนและสังคมเข้าใผิด กำลังพลกองทัพบกเสียขวัญ ใคระรับผิดชอบ
ผมถามว่าไอ้คนที่ออกมาพูดรับผิดชอบหรือไม่
หนังสือพิมพ์บางฉบับ ทีวีบางช่อง นักวิชาการบางคน
ผมไม่อยากพูด แต่ทำให้ผมกดดัน แล้วเราและประเทศชาติะอยู่อย่างไร
ถ้าท่านไม่มีเหตุผลเลย อยากพูดอะไรก็พูด ทำอะไรก็ทำ
เว็บไซต์เฟซบุ๊กวาสนา นาน่วม เขียนเสียหายมาก หนังสือพิมพ์ผู้ัดการ
และหนังสือพิมพ์บางฉบับอีกหลายเรื่อง ทีวีเอเอสทีวี ทีวีแดง บ้านเมืองเสียหาย
ำเป็นต้องออกมาพูด ถ้าประเทศไทย หรือคนไทยไม่เรียนรู้ว่า
ะอยู่ร่วมกันอย่างไรก็อย่าอยู่กันเลย เสียเวลาเปล่า
ดังนั้นต้องมีกติกา กฎหมายช่วยกันแก้ไขปัญหาบ้านเมืองให้ไปในวันข้างหน้าให้ได้
กองทัพบกต้องอยู่ ผมะอยู่หรือไม่ ผมไม่สนใ
แต่กองทัพบกต้องอยู่ด้วยชื่อเสียง เกียรติยศ กองทัพบกมีพันธะกิ4 ประการ
แต่ขอวิพากษ์วิารณ์ให้ถูกต้องมีหลักเกณฑ์ ทำอย่างไรที่ทำให้ผู้เสียชีวิตไม่เสียเปล่า คือ
การรักษาแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลาน สิ่งที่กองทัพบกคิดเสมอคือ
การรักษาทรัพยากรให้ลูกหลาน หากในอนาคต ถ้าไม่ทำวันนี้ วันหน้าอยู่ไม่ได้”ผบ.ทบ.กล่าว

ตำนานคุณยิ่งลักษณ์ (The Yingluck Legacy) ต้องนับแต่วันแรก




วีรพัฒน์ ปริยวงศ์ 
http://www.facebook.com/verapat.pariyawong

ภาพจาก REUTERS (Surapan Boonthanom)

ก่อนที่ประธานาธิบดี นายกรัฐมนตรี หรือผู้นำประเทศคนใดจะก้าวลงจากตำแหน่ง เขาหรือเธอเหล่านั้นย่อมคิดในใจว่า ผลงาน หรือ  “Legacy” ของตนจะ “ตกทอด” ประหนึ่งมรดกทางการเมืองอันล้ำค่า หรือ “ตกค้าง” ดั่งพิษร้ายที่บ่อนทำลายประเทศ 

หากเรามอง “Legacy” ในแง่ดีเสมือน “ตำนาน” ที่เล่าขาน อดีตประธานาธิบดีสหรัฐฯ อย่าง จอร์จ ดับเบิลยู. บุช คงถูกจำในฐานะผู้นำที่ส่งทหารไปต่อสู้กับผู้ก่อการร้ายอย่างเข้มแข็ง เด็ดขาดและอาจหาญ ในขณะที่วันหนึ่งประธานาธิบดีโอบามาอาจถูกจดจำในฐานะผู้ถอนทหารกลับบ้านจากสงครามอย่างสำเร็จและปลอดภัย

อดีต ปธน. บุช ย่อมไม่อยากให้ใครกล่าวถึงเขาในฐานะผู้สั่งทรมานมนุษย์เพื่อล้วงข้อมูลการ ก่อการร้ายมาช่วยชีวิตทหารและคนของตนที่ตายไปมาก และ ปธน. โอบามา ย่อมแสลงใจหากใครจะนึกถึงเขาในฐานะผู้ใช้เครื่องบินรบไร้นักบิน (UAV หรือ drone – ควบคุมโดยมนุษย์จากระยะไกล) หากเครื่องจักรเหล่านี้ทำให้ประชาชนในบริเวณที่ถูกโจมตีเสียชีวิตไปมากกว่า การทำสงครามโดยทหารมนุษย์

คุณอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะอาจ ถูกจดจำในฐานะผู้นำที่พาชาติผ่านวิกฤติเศรษฐกิจโลก จัดเก็บรายได้เข้าคลังจนประเทศมีเงินสำรองเป็นประวัติกาล และกล้ายุบสภาเพื่อต่อสู้ตามกติกา แต่คุณอภิสิทธิ์ก็ไม่อยากถูกหลอกหลอนโดยวิญญาณของ 91, 92 หรือ 93 ศพ หรืออีกหลายศพของทหารไทยที่ชายแดนกัมพูชา

ภาพจาก AFP

สำหรับคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร วันหนึ่งอาจถูกจดจำในฐานะผู้ที่นำแห่งยุคปรองดองภายใต้ความจริงและกฎหมาย สลายอำนาจนอกรัฐธรรมนูญ และเทิดทูนประชาธิปไตย หรือ คุณยิ่งลักษณ์อาจเป็นเพียงเผด็จการหน้าสวย ที่อวยประโยชน์ให้พวกพ้อง โดยท่องคาถาปรองดองที่ตนกุมไว้เด็ดขาด พร้อมสมยอมต่ออำมาตย์นอกระบบ 

เมื่อ คนที่บอกว่าตนรู้อนาคตคือคนโกหก และเมื่อความหวังของชาติขึ้นอยู่กับจิตใจของคนในชาติ ผู้เขียนจึงต้องฝากความหวังและกำลังใจไว้กับคุณยิ่งลักษณ์ดังนี้


1. นับแต่วันแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องเป็นผู้นำการปรองดองอย่างจริงใจ 

เมื่อ ประชาชนเลือกคุณยิ่งลักษณ์เป็นผู้นำ คุณยิ่งลักษณ์ต้องชัดเจนนับตั้งแต่การทำงานวันแรกว่าความปรองดองไม่ใช่ภาระ ของคณะกรรมการหรือหน่วยงานใดแต่ผู้เดียว (ซึ่งอาจต้องใช้เวลาทำงานเป็นปี)  แต่เป็นหน้าที่ของคนไทยทุกคน และต้องเริ่มต้นจากความจริงใจของตัวคุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยเองที่ได้ รับเสียงข้างมากจากประชาชน

การเปิดประชุมสภาวันแรกเป็นโอกาส อันดีที่คุณยิ่งลักษณ์จะส่งสัญญาณปรองดองอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่าคำพูด นโยบาย  หากคุณยิ่งลักษณ์เชื่อในการเมืองที่ปรองดอง บนพื้นฐานของความโปร่งใส ร่วมมือและรับฟังซึ่งกันและกัน

อย่าง น้อยที่สุด เรื่องตัวบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งประธานและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรนั้น คุณยิ่งลักษณ์และพรรคเพื่อไทยก็อาจขอให้พรรคฝ่ายค้านเสนอชื่อรองประธานสภา หนึ่งคนโดยพรรครัฐบาลลงมติสนับสนุน เป็นต้น  

(รัฐธรรมนูญ มาตรา 124 เปิดช่องให้สภามีมติแต่งตั้งประธานหนึ่งคนและรองประธานสภาผู้แทนราษฎรอีกสอง คน กฎหมายมิได้บังคับให้ผู้นำในสภาทั้งสามคนต้องมาจากพรรคฝ่ายรัฐบาลแต่อย่าง ใด)  

หลักการเดียวกันนี้สามารถนำ ไปใช้ในอีกหลายบริบท ไม่ว่าจะในระดับคณะกรรมาธิการของสภาก็ดี หรือแม้แต่การแต่งตั้งนักกฎหมายมหาชนและผู้เชี่ยวชาญที่จะเข้าไปสนับสนุนการ ทำงานของคณะกรรมการอิสระชุดใดก็ดี หรือเพื่อสร้างความเชื่อมั่นในการตรวจสอบรัฐบาล เช่น การคงตำแหน่งของ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ไว้ก็ดี ฯลฯ


2. นับแต่วันแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องสนับสนุนคณะกรรมการอิสระฯ อย่างจริงจัง  

คุณ ยิ่งลักษณ์ให้คำมั่นสัญญาว่าการปรองดองจะอาศัยกลไกสำคัญคือ คณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ ซึ่งศาสตราจารย์ ดร. คณิต ณ นคร เป็นประธาน และคุณยิ่งลักษณ์สัญญาว่าจะ “เพิ่มอำนาจ” ให้

แต่ผู้เขียนย้ำว่าการสนับสนุนโดยตัวคุณยิ่ง ลักษณ์หรือรัฐบาลเอง เช่น การประกาศนโยบายต่อสภาเป็นการทั่วไป หรือใช้อำนาจฝ่ายบริหารที่สุดท้ายยุบได้โดยฝ่ายบริหาร (เช่น โดยระเบียบของสำนักนายกรัฐมนตรี) นั้นไม่เพียงพอต่อคำมั่นสัญญา

ใน การประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรก หากคุณยิ่งลักษณ์ต้องการแสดงความจริงใจอย่างเป็นรูปธรรมว่าคณะกรรมการฯจะได้ รับความร่วมมือจากข้าราชการทุกภาคส่วน ก็เป็นโอกาสอันดีที่คุณยิ่งลักษณ์จะได้เสนอให้คณะรัฐมนตรีมีมติคณะรัฐมนตรี ที่มีผลผูกพันหน่วยงานราชการ เพื่อให้คณะกรรมการฯ ได้รับความร่วมมือจากทุกหน่วยงานอย่างเต็มที่ โดยเฉพาะเรื่องการเข้าถึงข้อมูลหรือเชิญเจ้าหน้าที่มาให้ปากคำ ตลอดจนเรื่องงบประมาณหรือช่องทางที่จะนำผลการดำเนินงานมารายงานต่อสังคม

นอก จากนี้ เมื่อคณะกรรมการฯ มิได้มาจากการเลือกตั้งโดยประชาชน คุณยิ่งลักษณ์ต้องช่วยนำแรงสนับสนุนจากผู้แทนของปวงชนมาสู่คณะกรรมการฯ เช่น ประสานกับสภาเพื่อตราพระราชบัญญัติกำหนดอำนาจหน้าที่และกระบวนการสนับสนุน การปรองดอง หรืออย่างน้อยในขั้นแรกก็คือการประสานให้มี “มติสนับสนุนของสภา” ที่ผู้แทนทั้งฝ่ายรัฐบาล ฝ่ายค้าน และวุฒิสภาต่างลงมติเป็นการทั่วไปอย่างน้อยก็เพื่อเป็นสัญลักษณ์สนับสนุน ความชอบธรรมของกระบวนการปรองดองอย่างชัดแจ้ง

(รัฐธรรมนูญ มาตรา 127 วรรคสี่อนุญาตให้รัฐสภาสามารถ “มีมติพิจารณาเรื่องอื่นใด” ได้)

ยิ่ง ไปกว่านั้น ในวันแรกที่คุณยิ่งลักษณ์แถลงนโยบาย คุณยิ่งลักษณ์ต้องเป็นนายกรัฐมนตรีของประชาชนที่กล้าเรียกร้องให้ผู้แทนทั้ง สองสภาแสดงความจริงใจในการปรองดอง โดยทำงานอย่างขันแข็ง เข้าประชุมพร้อมเพรียงและไม่พิงเก้าอี้นุ่มในห้องแอร์เพียงสัปดาห์ละไม่กี่ วัน แต่หมั่นลงพื้นที่และร่วมเวทีเพื่อรับฟังแนวคิดการปรองดองจากประชาชน เพื่อให้พระราชบัญญัติหรือมติของสภา หรือแม้แต่ข้อมูลจากประชาชนที่สนับสนุนงานของคณะกรรมการฯ ได้รับการพิจารณาและปรากฏผลอย่างเร่งด่วน


3. นับแต่วันแรก คุณยิ่งลักษณ์ต้องยึดมั่นในหลักนิติธรรมอย่างเสมอต้นเสมอปลาย

คุณยิ่งลักษณ์ต้องยึดมั่นใน “หลักนิติธรรม” หรือ “Rule of Law” ที่พร่ำสัญญาไว้

“หลัก นิติธรรม” ต้องเป็นมากกว่าคำสวยหรูที่หยิบมาอ้างจากรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 และต้องเป็นหลักการสูงสุดในการปรองดองและบริหารประเทศ เพื่อมิให้การปรองดองเป็นเพียงการปลอกและดองกติกาไว้ขณะผู้มีอำนาจจัดสรร ประโยชน์ระหว่างกัน

ในฐานะนักกฎหมาย ผู้เขียนย้ำว่า หลักนิติธรรมนั้น มิได้แปลว่าสิ่งใดหากมีกฎหมายบอกไว้อย่างเสมอภาคสิ่งนั้นจะถูกต้องเป็นธรรมเสมอไป กล่าวคือ นิติธรรมไม่ใช่ นิติทำ ไม่ใช่ว่ามีกฎหมายเท่าเทียมกันแล้วจะทำอะไรก็ได้

หาก จะแปล “หลักนิติธรรม” หรือ “Rule of Law” ตามรัฐธรรมนูญไทยให้ชัด อย่างน้อยต้องแปลความรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ให้ครบถ้วนทั้งมาตรา กล่าวคือ “หลักนิติธรรม” ต้องควบคู่กับ “หลักอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน” และ “หลักการแบ่งใช้อำนาจ”

หลักการเหล่านี้อาจเรียกว่า “หลักนิติธิปไตย” ซึ่งหมายถึง การปกครองในระบอบประชาธิปไตยที่ปวงชนเป็นใหญ่ ย่อมต้องปกครองด้วยกฎหมายที่เคารพเจตจำนงและสิทธิเสรีภาพของปวงชน มีการแบ่งแยกการใช้อำนาจของปวงชนตามกฎหมายอย่างสมดุล อีกทั้งสอดคล้องกับหลักกฎหมายรัฐธรรมนูญทั้งที่เป็นลายลักษณ์อักษรและ ประเพณีการปกครอง

และต้องมิใช่กฎหมายที่สร้างขึ้นโดยผูกขาด ไม่ว่าจะโดยอำนาจบริหารที่ขาดการตรวจสอบ อำนาจเผด็จการทางรัฐสภา หรืออำนาจตุลาการที่ตีความกฎหมายอย่างไร้มาตรฐาน และต้องมิใช่การอาศัยเสียงข้างมากกดขี่สิทธิพื้นฐานของเสียงข้างน้อย (กล่าวคือต้องเคารพทั้ง majority rules และ minority rights)

(อนึ่ง “หลักนิติธิปไตย” ดังกล่าวย่อมมีสาระใกล้เคียงกับ “หลักนิติธรรม” ตามแนวคิดแบบอังกฤษหรือ “หลักนิติรัฐ” ตามแนวคิดภาคพื้นยุโรป ซึ่งผู้เขียนได้รวบรวมคำอธิบายเรื่องไว้ที่ https://sites.google.com/site/verapat/rule-of-law)

ยก ตัวอย่างให้ชัด สมมติวันหนึ่งมีการเสนอกฎหมายนิรโทษกรรมผู้กระทำความผิดบางกลุ่มอย่างเสมอ ภาคถ้วนหน้า ก็มิได้แปลว่าการนิรโทษกรรมนั้นจะชอบด้วยรัฐธรรมนูญ มาตรา 3 ทันที

แต่ ต้องพิจารณาถึงหลักนิติธิปไตยให้ถ่องแท้ อาทิ กฎหมายดังกล่าวจะส่งผลให้เกิดความแตกแยกหรือขัดต่อความสงบเรียบร้อยซึ่งตรง กันข้ามกับเจตจำนงของประชาชนในการปรองดองหรือไม่ และเป็นการบั่นทอนอำนาจฝ่ายบริหารในการบังคับใช้กฎหมายหรืออำนาจตุลาการใน การพิจารณาคดีจนทำให้การแบ่งใช้อำนาจเสียสมดุลหรือไม่ ทั้งนี้ร่างหรือกฎหมายนิรโทษกรรมดังกล่าวย่อมสามารถถูกตรวจสอบได้โดยศาลรัฐ ธรรมนูญซึ่งมีอำนาจตีความให้ร่างหรือกฎหมายดังกล่าวตกไปได้

ใน ทางตรงกันข้าม หากกระบวนการปรองดองหมายถึงการอาศัยประชามติเพื่อเยียวยาแก้ไขการลงโทษอย่า งอยุติธรรมที่สืบผลมาจากความไม่ชอบธรรมของอำนาจนอกระบบอันไม่ได้มาจากเจต จำนงของประชาชน อันเป็นการกดขี่คนกลุ่มหนึ่งกลุ่มใด อีกทั้งลุแก่หลักสมดุลแห่งการใช้อำนาจ ซึ่งล้วนไม่ชอบด้วยหลักนิติธิปไตยมาแต่ต้น ย่อมถือเป็นกรณีการปรองดองที่ต่างจากตัวอย่างการนิรโทษกรรมที่กล่าวมาอย่าง สิ้นเชิง

นอกจากนี้ คุณยิ่งลักษณ์จะพูดถึงหลัก “นิติธรรม” เพียงเฉพาะเรื่องปรองดองหรือนิรโทษกรรมไม่ได้ แต่คุณยิ่งลักษณ์ต้องยึดหลักการดังกล่าวอย่างเสมอต้นแสมอปลายในทุกเรื่อง ทุกที่ และทุกเวลา

ไม่ว่าจะเป็นการใช้อำนาจในการปรับคณะ รัฐมนตรีเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือของฝ่ายบริหาร ดั่งที่เคยมีนายกรัฐมนตรีตั้ง “กฎเหล็ก 9 ข้อ” ไว้ หรือการเร่งรัดสนับสนุนมาตรการลดความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ อาทิ เรื่องภาษีที่ดิน ที่เคยมีรัฐมนตรีกระทรวงการคลังผลักดันเข้าสภาได้สำเร็จ หรือการใช้กฎหมายสนับสนุนประสิทธิภาพของศาล ดังที่อดีตประธานศาลฎีกาท่านหนึ่งเคยให้ผู้พิพากษาเพิ่มเวลาทำงานเพื่อช่วย กันพิจารณาคดีที่มีค้างในศาลเป็นจำนวนมาก หรือแม้แต่การบังคับใช้กฎหมายเพื่อกอบกู้ศักดิ์ศรีของผู้หญิงไทยในสายตาชาว ต่างชาติ โดยปราบปรามแหล่งมั่วสุมที่กลาดเกลื่อนทั่วประเทศและโจษจันจนขายหน้าไปทั่ว โลก ฯลฯ

ที่สำคัญ หากคุณยิ่งลักษณ์เชื่อในหลักการเหล่านี้จริง นับแต่วันแรกที่แถลงนโยบายต่อสภา คุณยิ่งลักษณ์ต้องแสดงความกล้าหาญในฐานะผู้นำในระบอบประชาธิปไตยที่ปฏิเสธ ลัทธิรัฐประหารอย่างสิ้นเชิง และไม่ปล่อยให้ใครกล้าตบเท้าทับรัฐธรรมนูญและตบหน้าประชาชนได้

ใน วันเลือกตั้ง 3 ก.ค. ยังมีสมาชิกวุฒิสภาท่านหนึ่งให้สัมภาษณ์ทำนองว่า “การปฏิวัติ” (รัฐประหารยึดอำนาจ) ยังเป็นทางเลือกในสังคมไทย อีกทั้งกล่าวเชิงข่มขู่ว่า “แม้ทหารทุกคนไม่มีใครอยากจะปฏิวัติแต่ถ้ามีปัจจัย…ทหารก็จะต้องมาทบทวน บทบาทกันอีกครั้ง”

เมื่อมีผู้ดูถูกเหยียบหยามการตัดสินใจของ ปวงชนและรัฐธรรมนูญเช่นนี้ อย่างน้อยที่สุดคุณยิ่งลักษณ์และผู้แทนปวงชนในสภาต้องออกมาร่วมกันประณาม บุคคลดังกล่าว และไม่ปล่อยให้การปรามาสสติปัญญาทางประชาธิปไตยของปวงชนเป็นเรื่องปกติอีก ต่อไปในสังคมไทย

แม้วันนี้คุณยิ่งลักษณ์จะยังไม่ได้ เป็นนายกรัฐมนตรี และอาจกำลังสาละวนอยู่กับเก้าอี้ดนตรีและร่างนโยบายที่จะแถลงต่อสภา แต่ขอฝากให้คุณยิ่งลักษณ์คิดให้หนักแน่นว่า สิ่งต่างๆที่คุณยิ่งลักษณ์ลงมือทำนับแต่วันแรกจะเป็นเครื่องวัดว่าในวันสุด ท้าย ชื่อ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะ ถูกขานเป็นตำนานจากชั้นตำราประถมไปถึงบทกวีในพิพิธภัณฑ์ หรือจะเหลือเพียงชื่ออันเจ็บปวดที่ประชาชนคนไทยลืมไม่ลงแม้ไม่อยากจะนึกถึง ก็ตาม

ภาพจาก REUTERS

หมายเหตุ
บทความนี้เผยแพร่ทางหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ฉบับวันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม 2554

ข้อมูลเกี่ยวกับเกี่ยวกับ “นิติรัฐ-นิติธรรม” รวบรวมไว้ที่
https://sites.google.com/site/verapat/rule-of-law

คนเดียวที่ถูกหย่อนออกไปจากเครื่องบิน ทำให้คน 63 ล้านคนมีความสุข

  by เคียงดิน ,



ขอบคุณภาพจาก http://fightorwaittogetkill.files.wordpress.com/2010/05/face.jpg?w=350&h=347


บนเครื่องบินลำหนึ่ง มีทักษิน และพวกพ้อง คือ จตุพอน เหวง และนัฐวุฒิ ได้เดินทางไปสถานที่แห่งหนึ่ง
 และระหว่างกำลังบินผ่านเมืองใหญ​่แห่งหนึ่งทางภาคอีสาน
เหวงเกิดนึกสนุกขึ้นมา ก็เลยเอาธนบัตรใบละหนึ่งพันในกร​ะเป๋าจำนวน 1 ใบหย่อนออกจากเครื่องบิน
โดยหลังจากหย่อนเสร็จแล้ว ก็ หันกลับไปบอกลูกพี่ว่า เห็นไหมธนบัตรใบละพันบาทที่หย่อ​นลงไป 1 ใบ คงจะทำให้คนที่เก็บได้มีความสุข​ 1 คน
ลูกพี่ก็ตอบกลับมาว่า เอ่อ ทำดีแล้ว
นัฐวุฒิเห็นเหวงเสนอหน้าต่อลูกพี่ ก็เกรงว่าผลงานจะน้อยหน้า ก็เลยหยิบธนบัตรใบละ ร้อยบาทในกระเป๋าจำนวน 10 ใบออกมา
แล้วหย่อนธนบัตรใบละ ร้อยบาททั้ง 10 ใบออกจากเครื่องบิน โดยหลังจากหย่อนเสร็จแล้วก็หันกลับไปบอกลูกพี่ว่า
 เห็นไหมธนบัตรที่หย่อนลงไป 10 ใบ คงจะทำให้คน 10 คนที่เก็บได้มีความสุข
ลูกพี่ก็ตอบกลับมาว่า เอ่อ ทำดีแล้ว
จตุพอน เห็นเหวงและนัฐวุฒิหย่อนธนบัตรแ​ล้วได้รับคำชมจากลูกพี่
ก็เกรงกว่าผลงานจะน้อยหน้า ก็จึงหยิบธนบัตรใบละ 20 บาท จำนวน 50 ใบในกระเป๋ามาหย่อนออกจากเครื่อ​งบิน
โดยหลังจากหย่อนเสร็จแล้ว ก็ หันกลับไปบอกลูกพี่ว่า เห็นไหมธนบัตรที่หย่อนลงไป 50 ใบ คงจะทำให้คน 50 คนที่เก็บได้มีความสุข
ลูกพี่ก็ตอบกลับมาว่า เอ่อ ทำดีแล้ว
สักพักหนึ่งพนักงานขับเครื่องบิ​น ได้ยินลูกน้องทั้งสามคนทำอย่างไ​รนี้ แล้วได้รับคำชม
จึงลุกออกจากที่นั่งคนขับ โดยปล่อยให้เครื่องบินบินในระบบ​อัตโนมัติ แล้วเดินมาที่บริเวณทักษินนั่ง
หลังจากนั้นก็ถีบทักษินกระเด็นอ​อกนอกเครื่องบิน
แล้วหันกลับไปถามลูกน้องสามคนที่่ยังอยู่ในเครื่องบินว่า
เห็นไหม คนเดียวที่ถูกหย่อนออกไปจากเครื่องบิน ทำให้คน 63 ล้านคนมีความสุข
 จตุพอน เหวง และนัฐวุฒิ !!!!
................
จบข่าว เพื่อนเอามาเล่าในเฟสบุ๊ค จึงเอามาเล่าต่อ ขอให้เป็นจริง ฮ่าๆ

วันศุกร์ที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ณอคุณ บนตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท.กับคำถามเรื่องผลประโยชน์ทับซ้อน ตัวบทไม่ชัดเจน หรือ ตาโตกับค่าจ้าง?


"ณอคุณ" กลับรับตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท. เมินข้อเสนอ ป.ป.ช. ที่ห้ามข้าราชการเป็นประธานในรัฐวิสาหกิจหรือบริษัทด้านสาธารณูปโภค อ้างไม่มีข้อห้ามและเป็นธรรมเนียมปฏิบัติ เผย ปี 2553 ได้ค่าจ้าง 3.3 ล้าน

ด้วยข้ออ้างว่า ไม่มีใครปฏิบัติตามข้อแนะนำของสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) และไม่มีข้อห้าม “ณอคุณ สิทธิพงศ์” ปลัดกระทรวงพลังงาน จึงได้หวนคืนตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) อีกครั้งหนึ่ง
ก่อนหน้านี้ นายนริศ ชัยสูตร รักษาการประธานกรรมการ ปตท. ได้แจ้งลาออกจากตำแหน่งต่อที่ประชุม และเสนอชื่อนายณอคุณให้กลับมารับตำแหน่งอีกครั้ง หลังจากได้ลาออกจากตำแหน่งประธานบอร์ดไปเมื่อ 24ธันวาคม 2553แต่ยังคนนั่งเป็นกรรมการบอร์ดอยู่ โดยอ้างว่า นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรีต้องการให้เกิดความโปร่งใสในการบริหารงาน ปตท.
นายนริศให้เหตุผลในลาออก ว่า
“เป็นเพราะก่อนหน้านี้คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มีข้อเสนอแนะต่อ ครม.ว่า ควรหลีกเลี่ยงการให้ข้าราชการระดับสูงเป็นประธานกรรมการรัฐวิสาหกิจที่ เกี่ยวข้องกับกิจการสาธารณูปโภค ซึ่งนายณอคุณได้แสดงสปิริตโดยลาออกจากตำแหน่งประธานกรรมการ ปตท. ผมจึงทำหน้าที่รักษาการมากว่า 7เดือน แต่ที่ผ่านมาไม่มีกระทรวงใดปฏิบัติตามข้อแนะนำของ ป.ป.ช. เมื่อ ครม. สอบถามไปยัง ป.ป.ช. ว่ามีข้อกำหนดว่าห้ามปลัดกระทรวงมาเป็นประธานกรรมการรัฐวิสาหกิจใด ซึ่ง ป.ป.ช. ตอบข้อหารือว่าเป็นเรื่องที่ ครม. ต้องพิจารณาเอง จึงเท่ากับว่าไม่มีข้อห้ามดังกล่าว
“เมื่อชัดเจนแล้วว่าไม่มีข้อห้ามดังกล่าว ประกอบกับในเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา ที่ประชุมผู้ถือหุ้นได้แต่งตั้งคณะกรรมการชุดใหม่ ผมจึงใช้โอกาสนี้หยุดทำหน้าที่รักษาการประธานกรรมการ และคืนความถูกต้องให้ปลัดกระทรวงพลังงานเป็นประธานตามเดิม เพื่อให้การบริหาร ปตท. เป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพ และเป็นประโยชน์อย่างแท้จริง เพราะที่ผ่านมาปลัดกระทรวงพลังงานทุกคนจะเป็นประธานบอร์ด ปตท. ซึ่งกรรมการทุกคนมีมติเป็นเอกฉันท์ และไม่มีการเสนอชื่อผู้อื่นมาเป็นประธานนอกจากนายณอคุณ” (เว็บไซต์กรุงเทพธุรกิจ วันเสาร์ที่ 23กรกฎาคม 2554)
กรณีดังกล่าว สื่อมองต่างมุม  สื่อบางสำนักชี้ว่า ไม่เกี่ยวกับการเมือง แต่สื่อบางสำนักยืนยันว่า การกลับคืนตำแหน่งประธานบอร์ดของนายณอคุณหนนี้เป็นผลกจากการเมืองเปลี่ยน ขั้ว
ย้อนดูประวัตินายณอคุณ เขาเคยเป็นรองอธิการบดีฝ่ายวิชาการ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ช่วงปี 2544-2546ในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ  ต่อมาย้ายเข้ามารับตำแหน่งรองปลัดกระทรวงพลังงานเมื่อปี 2546และเข้ารับตำแหน่งประธานบอร์ด ปตท. ครั้งแรกปลายปี 2550หลังจากที่ นายพรชัย รุจิประภา ปลัดกระทรวงพลังงานในขณะนั้นได้ลาออกไป กระทั่งนายณอคุณได้ขึ้นเป็นปลัดกระทรวงพลังงานในเดือนตุลาคม 2553
หากยังจำกันได้ 24มกราคม 2554คณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติเห็นชอบมาตรการป้องกันการทุจริตของรัฐวิสาหกิจ หนึ่งในนั้นคือหลักเกณฑ์การแต่งตั้งข้าราชการระดับสูงตั้งแต่ระดับผู้อำนวย การสำนัก ที่มีอำนาจหน้าที่ควบคุมกำกับทั้ง ด้านนโยบายและด้านปฏิบัติการเป็นประธาน หรือกรรมการในรัฐวิสาหกิจ บริษัทจำกัด หรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคล ที่ดำเนินการเกี่ยวกับสาธารณูปโภค และมีวัตถุประสงค์ในการแสวงหากำไร
ทั้งนี้เพื่อเป็นการป้องกันผลประโยชน์ทับซ้อน ซึ่งภายหลัง ครม. ได้สั่งการให้หน่วยงานราชการไปวิเคราะห์ผลกระทบให้ชัดเจนอีกครั้ง โดยอ้างว่าข้อเสนอของ ป.ป.ช. ยังไม่มีความชัดเจน และสำนักเลขาธิการคณะรัฐมนตรีมีความเห็นว่ามีปัญหาในทางปฏิบัติ อาจกระทบต่อการกำกับดูแลกิจการของรัฐวิสาหกิจและการรักษาผลประโยชน์ของรัฐ
และยังให้วิเคราะห์ว่าข้อเสนอของ ป.ป.ช. จะครอบคลุมหรือมีผลกระทบต่อรัฐวิสาหกิจที่จดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งมี พ.ร.บ.กำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) กำกับดูแลอยู่แล้วหรือไม่
นี่คือ ประเด็นที่นายนริศยกขึ้นเป็นเหตุผลว่า เหตุใดนายณอคุณจึงควรกลับมานั่งบอร์ด ปตท. บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ซึ่งมีสถานะคลุมเครือ บางครั้งหยิบยกสถานะของการเป็นรัฐวิสาหกิจมาใช้ แต่บางครั้งก็ใช้สถานะของการเป็นบริษัทมหาชน
ทีนี้ ลองย้อนกลับไปอ่านรายงานการพิจารณาศึกษา เรื่อง ‘ธรรมาภิบาลในระบบพลังงานของประเทศ’ ซึ่งที่ประชุมวุฒิสภามีมติเห็นด้วยเมื่อวันอังคารที่ 4พฤษภาคม 2553ได้ระบุไว้ชัดเจนว่า
‘ปัญหาพื้นฐานที่สำคัญประการหนึ่งในการบริหารจัดการทรัพยากรธรรมชาติด้าน ปิโตรเลียมของไทยเกิดจากปัญหาด้านธรรมาภิบาลในการกำกับดูแล เนื่องจากบทบาทอันซ้อนทับกันในลักษณะที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ (Conflict of Interest) ระหว่างเจ้าพนักงานของรัฐที่มีหน้าที่กำกับดูแลภาคธุรกิจและกำหนดนโยบาย เพื่อประโยชน์สูงสุดต่อรัฐและประชาชนได้เข้าไปดำรงตำแหน่งกรรมการธุรกิจ พลังงานควบคู่ไปด้วย ซึ่งโดยภาระหน้าที่ของกรรมการในธุรกิจพลังงานนั้นคือการสร้างกำไรสูงสุดให้ แก่บริษัท บทบาทและหน้าที่ที่ทับซ้อนกันนี้จึงมีส่วนสำคัญอย่างยิ่งที่ทำให้นโยบายของ รัฐอาจถูกครอบงำจากผลประโยชน์ของภาคธุรกิจได้’
ในรายงานภาคที่ 2ยังเปิดเผยว่า ในช่วงปี 2550ที่มี นายปิยสวัสดิ์ อัมระนันทน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน ได้มีการแก้ไข พ.ร.บ.คุณสมบัติมาตรฐานสำหรับกรรมการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ ฉบับที่ 5และ 6เปิดช่องให้ข้าราชการระดับสูงสามารถดำรงตำแหน่งในนิติบุคคลที่รัฐวิสาหกิจ เป็นผู้ถือหุ้น และให้ข้าราชการที่เป็นกรรมการในรัฐวิสาหกิจสามารถเข้าไปดำรงตำแหน่งเป็น ประธานกรรมการ กรรมการ หรือผู้บริหารในนิติบุคคลที่รับสัมปทาน ร่วมทุน หรือมีประโยชน์ได้เสียเกี่ยวข้องกับกิจการของรัฐวิสาหกิจนั้น เมื่อได้รับมอบหมายจากรัฐวิสาหกิจที่ตนเป็นกรรมการ
การที่เจ้าหน้าที่ของรัฐระดับสูงจากหน่วยงานต่างๆ ซึ่งมีหน้าที่กำหนดนโยบายและกำกับดูแลกิจการพลังงานมิได้ใช้บทบาทในฐานะ กรรมการซึ่งเป็นตัวแทนของรัฐวิสาหกิจผลักดันให้กิจการพลังงานเกิดการแข่งขัน อย่างเสรีและเป็นธรรม แต่กลับปล่อยให้ธุรกิจพลังงานขนาดใหญ่อย่างบริษัท ปตท. สามารถถือหุ้นในกิจการด้านพลังงานให้สัดส่วนที่สูง เช่น การปล่อยให้ ปตท. เป็นผู้ถือหุ้นรายใหญ่ในโรงกลั่นน้ำมันขนาดใหญ่ 5แห่งจาก 6แห่ง ซึ่งทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน
ในด้านธุรกิจก๊าซธรรมชาติ รัฐยังได้ให้สิทธิพิเศษแก่ ปตท. โดยไม่ดำเนินการตามคำสั่งของศาลปกครองสูงสุดที่ให้ ปตท. คืนท่อส่งก๊าซทั้งบนบกและในทะเลซึ่งเป็นสาธารณสมบัติที่ได้มาโดยการใช้อำนาจ มหาชนให้กับกระทรวงการคลัง แต่กลับยอมให้ ปตท. เป็นผู้ประเมินค่าท่อส่งก๊าซใหม่ ทำให้ ปตท. สามารถขึ้นค่าผ่านท่อก๊าซได้จากมูลค่าทรัพย์สินที่ประเมินเพิ่มขึ้น เสมือนว่า ปตท. ยังเป็นเจ้าของท่ออยู่ อันขัดกับคำสั่งของศาลปกครองสูงสุด
ในรายงานภาคที่ 2ยังได้อ้างอิงข้อมูลจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์ ปี 2553พบว่า นายณอคุณนอกจากจะดำรงตำแหน่งประธาน บอร์ด ปตท. ซึ่งแม้จะลาออกในเดือนตุลาคม แต่ยังคงนั่งเป็นกรรมการอยู่ เขายังดำรงตำแหน่งประธานกรรมการ บริษัท ปตท. อะโรเมติกส์และการกลั่น จำกัด (มหาชน), ประธานกรรมการและประธานกรรมการบริหาร บริษัท ไออาร์พีซี จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทลูกของ ปตท. อีกด้วย
เมื่อกลับไปดูค่าตอบแทนที่ ปตท. จ่ายให้แก่นายณอคุณเมื่อปี 2551ในฐานะประธานกรรมการที่ปรากฏอยู่ในรายงานของวุฒิสภา ซึ่งประกอบด้วยเงินโบนัสจ่ายจริง 2,212,851.20บาท และค่าเบี้ยประชุม 770,887.10บาท รวมแล้ว นายณอคุณรับไป 2,983,738.30บาท
และจากการตรวจสอบของ ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง (TCIJ) พบว่า ปี 2552นายณอคุณ ได้รับค่าตอบแทนจาก ปตท. เป็นค่าเบี้ยประชุม 800,000บาท และเงินโบนัสอีก 2,500,000บาท รวมเป็นเงิน 3,300,000บาท
ล่าสุด ปี 2553ค่าตอบแทนที่ ปตท. จ่ายให้นายณอคุณ ที่ระบุไว้ในรายงานประจำปี 2553ของ ปตท. แบ่งเป็นค่าเบี้ยประชุม 850,000บาท และเงินโบนัสอีก 2,490,410.96บาท เบ็ดเสร็จ นายณอคุณมีรายได้จากการเป็นบอร์ด ปตท. เมื่อปี 2553เท่ากับ 3,340,410.96บาท
ย้อนกลับมาดูรายงานของวุฒิสภา ตอนหนึ่งระบุว่า
‘ทั้งหมดนี้ทำให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์และขัดหลักธรรมาภิบาลในการ แยกบทบาทหน้าที่และแยกขอบเขตอำนาจอย่างร้ายแรง เพราะข้าราชการที่เข้าไปเป็นผู้บริหารหรือผู้มีอำนาจจัดการในบริษัทผู้รับ สัมปทานย่อมได้รับผลประโยชน์ตอบแทนที่มีมูลค่าสูงในรูปเงินเดือน ค่าจ้าง เบี้ยประชุม และโบนัสที่มาจากผลกำไร ซึ่งอาจนำไปสู่การครอบงำนโยบายของรัฐได้’
            เอาเข้าจริง เรื่องผลประโยชน์ทับซ้อนในบ้านเรา เป็นเรื่องเบลอๆ ไม่ชัดเจน เพราะตัวบทไม่ชัดเจนหรือแสร้งไม่ให้ชัดเจน คำตอบน่าจะรู้กันอยู่แก่ใจ .

ภาพจาก www.siamsport.co.th/Sport_Other/101217_243.html

ศูนย์ข้อมูลและข่าวสืบสวนเพื่อสิทธิพลเมือง

วิเคราะห์กรณีแขวนจตุพรกกต.เสี่ยงกว่า ตู่ By เสถียร วิริยะพรรณพงศา

     
by เชลยเนชั่น ,
ในบรรดาแกนนำนปช.จะเหลือเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้นคือ จตุพร พรหมพันธ์ ที่กกต.ยังไม่รับรองให้เป็นส.ส. ก่อนที่เรื่องนี้จะถูกลากไปเป็นประเด็นการเมือง มาย้อนดูว่าประเด็นในแง่กฎหมายที่สำคัญในเรื่องนี้มันอยู่ตรงจุดไหนบ้าง? 
        ประเด็นแรกมาดูกันว่า การที่นายจตุพร ไม่ได้ไปใช้สิทธิเลือกตั้งจะหมดสิทธิในการเป็นส.ส.หรือไม่?        พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วย ส.ส.และส.ว. มาตรา 27  บอกไว้ว่าการเสียสิทธิเลือกตั้ง  ให้มีกำหนดเวลาตั้งแต่วันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิไม่ไปใช้สิทธิ  จนถึงวันเลือกตั้งครั้งที่ผู้มีสิทธิเลือกตั้งนั้นไปใช้สิทธิเลือกตั้ง
       หนึ่งในกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ ตีความกฎหมายข้อนี้ ว่า การเสียสิทธิที่จะลงสมัครรับเลือกตั้งนั้นมีผลในการสมัครครั้งหน้า  ไม่ส่งผลให้เสียสิทธิลงสมัครย้อนหลัง  เพราะการลงสมัครของนายจตุพร และผู้สมัครส.ส.ทุกคน ในครั้งนี้อ้างอิงมาจากการไปใช้สิทธิเลือกตั้งก่อนหน้าวันที่ 3 ก.ค.2554  


       ประเด็นต่อมาคือการที่นายจตุพร เป็นผู้ต้องขังโดยหมายของศาล ทำให้ขาดจากสมาชิกภาพ เป็นเหตุให้ขาดคุณสมบัติในการลงสมัครเลือกตั้งหรือไม่?

      ประเด็นนี้กกต.บางคนมองว่านายจตุพร ขาดสมาชิกภาพพรรคการเมือง เพราะนายจตุพรมีลักษณะต้องไม่ให้ใช้สิทธิเลือกตั้งจากการถูกคุมขังโดยหมาย ศาล
      เมื่อกกต.คิดว่านายจตุพร ขาดคุณสมบัติการเป็นผู้สมัครส.ส. ก็ยังมีปัญหาเกิดขึ้นว่ากกต.จะแขวนรายชื่อไว้อย่างนี้ได้หรือไม่?

        พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยส.ส.และส.ว. มาตรา 40 บอกเอาไว้ว่าหากมีหลักฐานว่าผู้สมัครขาดคุณสมบัติให้กกต. สอบสวนหรือยื่นให้ศาลฎีกาวินิจฉัยเพิกถอนการสมัครรับเลือกตั้งของผู้นั้น
       แต่กรณีนี้นายจตุพร ไม่ได้ส่งให้ศาลฎีกาวินิจฉัย ตามแนวปฎิบัติของกฎ หมายมาตรานี้

        ฉะนั้นเมื่อผ่านการเลือกตั้งแล้ว  จึงเกิดปัญหาว่ากกต.จะยังคงวินิจฉัยคุณสมบัติของผู้สมัครได้อยู่หรือ?
         เพราะพ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยส.ส.และส.ว. มาตรา 40   บอกว่าเมื่อถึงวันเลือกตั้งปรากฎว่าไม่มีการยื่นคำร้องต่อศาลฎีกาตามวรรค หนึ่ง หรือมีการยื่นคำร้องแล้วแต่ศาลฎีกายังไม่มีคำวินิจฉัย ให้การพิจารณาเป็นอันยุติลง
คำถามต่อไป ถ้ากกต.ยังเห็นว่านายจตุพร ขาดสมาชิกภาพ แต่ต้องยุติการพิจารณา ขั้นตอนต่อไปจะต้องทำอย่างไร 
        รัฐธรรมนูญมาตรา มาตรา 91 วรรคที่สาม ระบุว่ากรณีที่กกต.เห็นว่าสมาชิกภาพของส.ส.หรือส.ว.คนใดคนหนึ่งมีเหตุสิ้น สุดลง  ให้ส่งเรื่องไปยังประธานแห่งสภาที่ผู้นั้นเป็นสมาชิก และให้ประธานแห่งสภานั้นส่งเรื่องไปยังศาลรัฐธรรมนูญ เพื่อวินิจฉัยตามวรรคหนึ่งและวรรคสอง
       เมื่อตรวจสอบจากข้อกฎหมายทั้งหมดแล้วจะพบว่ากกต.เหลือเส้นทางเดียวคือประกาศ รับรองให้นายจตุพร เป็นส.ส.ไปก่อน แล้วยื่นข้อสงสัยเรื่องคุณสมบัติทั้งหมดให้ประธานสภาผู้แทนราษฎรส่งให้ศาล รัฐธรรมนูญวินิจฉัยต่อไป
       ไม่เช่นนั้นแล้วกกต.จะเสี่ยงต่อการผิดกฎหมาย

ประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน : พล.ต.ตะวันฯ ของลูกน้อง และการสวด “ภาษามอญ” ที่เกาะเกร็ด

  by พล.ท.นันทเดช ,

        เมื่อวันพุทธที่ผ่านมา ผมมีนัดหมายที่จะไปพูดคุยกับคนเมืองนนท์กลุ่มหนึ่ง ใช้ชื่อว่า “กลุ่มประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน” ในตอนบ่าย ผมจึงติดต่อเพื่อนรุ่นพี่คนหนึ่งที่ปากเกร็ด (พล.ท.ชาติวัฒน์ งามอุดม) ขอไปทำบุญอุทิศส่วนกุศลให้ทหารและนักข่าวที่เสียชีวิตจาก ฮ. ตก รวม ๑๗ คน ที่วัดปรมัยยิกาวาส (อยู่บนเกาะเกร็ด) ซึ่งพี่ชาติวัฒน์ฯ ทำหน้าที่คล้ายช่างศิลป์ประจำวัดเป็นผู้ติดต่อให้ นอกจากนั้น ผมกับ พล.ต.ตะวันฯ รู้จักกันมาก่อน และพล.ต.ตะวันฯ ยังเรียน วปอ. รุ่นปัจจุบัน (รุ่น ๕๓) อยู่กับน้องชายของผมด้วย  แต่สาเหตุที่ผมต้องไปทำบุญให้ไม่ใช่เรื่องนี้ เป็นเพราะบุคคลเหล่านี้เป็นทหารที่เสียสละเพื่อชาติในการป้องกันป่าต้นน้ำ อย่างหวงแหน อีกคนหนึ่งเป็นสื่อมวลชนที่ทำตามหน้าที่อย่างเต็มความสามารถ ซึ่งคนเหล่านี้ได้จากไปอย่างกระทันหันด้วย
        วันที่ชาว วปอ. รุ่น ๕๓ ไปเยี่ยมกองพลทหารราบที่ ๙  พล.ต.ตะวันฯ ได้นำทหารจำนวนมากมายออกมายืนต้อนรับ และยืนพูดคุยกับเพื่อนๆ อยู่บนอัฒจันทร์ พอดีเกิดฝนตกลงมาหนักมาก ชาว วปอ. จึงหนีฝนขึ้นรถกันอุตลุดไปหมด แต่ พล.ต.ตะวันฯ กลับลงจากอัฒจันทร์วิ่งมารวมกับแถวทหารที่ยืนตากฝนอยู่ ทำความเคารพชาว วปอ. ซึ่งนั่งอยู่บนรถที่วิ่งผ่านไป จนรถลับตา และเดินตากฝนออกจากสนามไปพร้อมกับทหาร เปียกปอนเหมือนลูกหมาตกน้ำครับ “นี่คือตะวันของลูกน้อง” ตะวันที่อยู่เคียงข้างลูกน้องทุกลำดับชั้นอย่างเสมอต้นเสมอปลาย ไม่ว่าจะทุกข์หรือสุข
        วัดปรมัยยิกาวาส เป็นวัดรามัญมาแต่โบราณ เป็นอารามหลวงชั้นโทตั้งอยู่ริมคลองลัดเกร็ด (เดิมชื่อวัดปากอ่าว) เวลาใครผ่านไปจะเห็นพระเจดีย์ทรงรามัญ (มุเตา) สีขาวห่มผ้าแดงอยู่ริมน้ำ (กรมศิลปากรขึ้นทะเบียนเป็นโบราณสถานตั้งแต่ปี ๒๔๗๘)
        เมื่อ พ.ศ. ๒๔๑๗ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวได้เสด็จมาทอดกฐิน จึงมีพระราชศรัทธาจะปฏิสังขรณ์ให้ดีขึ้นเพื่อเป็นที่ระลึกแก่ พระเจ้าบรมมหัยยิกาเธอ (ยาย) “กรมสมเด็จพระสุดารัตนราชประยูร” เมื่อบูรณะเสร็จจึงพระราชทานนามวัดเสียใหม่ว่า วัดปรมัยยิกาวาศ (วัดของยาย) ตอนหลังเขียนเพี้ยนไปเป็นวัดปรมัยยิกาวาส และทรงโปรดเกล้าให้รักษาการสวดอย่างรามัญไว้ตลอดไป (ปัจจุบันก็ยังสวดภาษามอญอยู่ แต่ให้พรเป็นภาษาไทยควบคู่ไปด้วย) ดังนั้นวัดนี้จึงมีโบราณวัตถุที่มีคุณค่ามากมาย นับตั้งแต่พระไตร ปิฎกภาษามอญ, พระพุทธไสยาสน์, หลวงพ่อพระนนทมุนินท์ (พระพุทธรูป ประจำ จ.นนทบุรี), ศาลา  กุฎิ อายุนับร้อยปี ภาพในหลวง ร.๙ ที่เสด็จไปที่วัดเมื่อยังทรงพระเยาว์อยู่ ฯลฯ เป็นสิ่งที่มีเวลาว่างควรจะไปดูกันเองครับ
        หลังจากพระสวดจบ  ผมก็ถวายอาหารเพลพระที่วัด เป็นพระ ๑๕ รูป เป็นเณร ๓ รูป (ไม่นับเณรบวชหน้าไฟอีก ๒ รูป) ด้วยข้าวปลาอาหารทั้งของพื้นบ้านและของที่นำไปจากกรุงเทพฯ มีผู้ไปร่วมงานเป็นทหารทั้งหญิงและชายประมาณ ๒๐ คน เท่านั้น (ดูบรรยากาศตามรูป เลียนแบบคุณตายูริกับน้องจ๋าบ้าง เรื่องการลงรูปถ่ายในตอนท้ายเรื่องครับ)
        วัดนี้ ท่านเจ้าอาวาส สวดมนต์ให้พรคนไปทำสังฆทานเป็นภาษาทั้งบาลีและมอญ เพราะมากครับ ดูน่าจะศักดิ์สิทธิ์จริง จึงมีคนไปต่อแถวทำสังฆทานกันเต็มไปหมด แต่ทำได้เฉพาะช่วงเช้าถึงเที่ยงเท่านั้น ตอนบ่ายท่านจะลงมือสอนหนังสือเณรด้วยตัวเอง ถ้าพวกเราชาวบล็อกเกอร์จะไป ควรไปวันธรรมดาดีที่สุดครับ คิวสั้นหน่อย
        ตอนบ่าย ผมขึ้นเรือกลับมาที่ฝั่งปากเกร็ด มาพบปะพูดคุยกับกลุ่ม “ประชาชนของพระเจ้าแผ่นดิน” ประมาณ ๕๐ คน ที่บ้านหลังหนึ่งอยู่ในสวน จึงทำให้รู้ว่า ชาวเมืองนนท์จริงๆ นั้น รักในหลวงมากพอๆ กับผม บางคนอาจจะมากกว่าด้วยซ้ำ พวกเขาบอกว่าเริ่มรวมกลุ่มมาสักเดือนหนึ่งได้ เพื่อเตรียมตัวไว้รับสถานการณ์ที่อาจจะมีการเคลื่อนไหวกระทบสถาบันฯ เพิ่มขึ้นมาอีก พูดคุยกันหลายประการ จนถึงทุ่มหนึ่งพระอาทิตย์ที่แอบฟังเราพูดอยู่ที่ขอบฟ้าไกลๆ ก็เริ่มส่งสัญญาณว่า “ข้าจะกลับบ้านบ้างแล้ว เลิกกันซะที” พวกเราจึงเลิกครับ ร่ำลากันอีกเกือบชั่วโมงหนึ่ง ความมืดคืบคลานเข้ามาและแพร่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว กว่าจะออกจากสวนมาที่ถนนก็มืดสนิท แม้จะมืด แต่ในหัวใจของผมกลับโชติช่วงด้วยแรงแห่งความรักต่อในหลวงที่คนกลุ่ม เล็กๆ แสดงออก เป็นการแสดงออกโดยไม่หวังอะไรตอบแทน ไม่ต้องการเป็น ส.ส. , ไม่ต้องสู้แล้วรวย, ไม่หลงสีจนไม่ทำมาหากิน ฯลฯ เพราะพวกเขาเป็นประชาชนของพระราชาครับ  ก็ไม่รู้ว่าประชาชนของพระราชาจะเกิดขึ้นอีกกี่ร้อย กี่พันกลุ่ม ในสถานการณ์แบบนี้ ดูรูปทำบุญต่อครับ
ตี ๓, ๒๙ ก.ค. ๕๔, กรุงเทพฯ
.
"หน้าโบสถ์"
.
"ประตูโบสถ์"
.
"พุ่มบูชารูปในหลวง อยู่ภายในโบสถ์"
.
"ชื่อวัดภาษามอญ"
.
"เจ้าอาวาส"
.
"ใบไม้ทอด 13 ชนิด"
.
"ทอดมันหน่อกะลา อร่อยที่สุด (ใส่ต้นหน่อกะลาลงไปด้วย)"
.
"ก๋วยเตี๋ยวหมู (สำหรับลูกศิษย์วัด)"
.
"ข้าวหมูแดง (สำหรับลูกศิษย์วัด)"
.
"ขนมรามัญชื่อ "หันตรา" คล้ายเม็ดขนุนแต่หวานน้อนกว่า"
.
"พระสวด"
.
.
"ถวายอาหารพระ"
.
.
"ถวายไทยทาน"
.
"รับพร"

คนไทย 5 ล้านคนจะตกงาน เพราะ ทักษิณและยิ่งลักษณ์

  by Sigree ,


ผมอ่านกระทู้เสื้อแดงจำนวนมากเกี่ยวกับเรื่อง 300 บาท
อ่านแล้วสรุปได้คือ

วันนี้รายรับไม่พอกับรายจ่าย ต้องการ 300 บาทต่อวัน จากนายทุน

และพูดราวกับที่ผ่านมานั้นนายทุนเอากำไรไปมากมายและถึงเวลาต้องคืนแก่ลูกจ้าง

คำถามน่าคิดคือ

ทำไมมีคนค้านจำนวนมาก และคนค้านก็ไม่ได้มีแต่นายทุนด้วย เป็นความจริงที่มีคนหนุน 

แต่

จะไม่มีคนค้านเลย คนที่ค้านและยังค้านอยู่ยังมี จะว่าไปวันนี้เพื่อไทยในการหาเสียงที่อีสาน ก็งดที่จะพูดถึงแล้ว

หลายคนอาจลืมไปแล้วว่า เงื่อนไขของ 300 บาท ตามที่ เพื่อไทย ประกาศหาเสียง คือ

1 มันคือ ค่าแรงขั้นต่ำ ย้ำว่าค่าแรงขั้นต่ำทั่วประเทศ ซึ่งค่าแรงต่ำที่สุดในประเทศไทยอยู่ที่ 151 บาท หากขึ้น 300 หมายถึงเขาต้องขึ้นทันที 2 เท่า
2 มันจะขึ้นทันที ไม่มีขั้นบันได ใครที่หนุนแล้วแนะให้ขึ้นเป็นขั้นๆไปนั้น เลิกพูดหรือเสนอได้แล้วเพราะประกาศไปแล้วในวันที่ปราศัยที่ราชมังฯให้ขึ้น ทันที
3 จะช่วยภาคธุรกิจโดยลดภาษี ลดภาษีนิติบุคคล ซึ่งนั้นน่าคิดเพราะธุรกิจ SME หรือ OTOP ผู้ประกอบการโดยมากไม่ได้มีกำไรถึงเกณฑ์เสียภาษี และธุรกิจ เหล่านี้มีราวๆ 70 % ของธุรกิจในประเทศ นั้นหมายถึงมาตรการทางภาษีจะไม่ช่วยผู้ประกอบการ 70 %


จริงหากเราว่ากันให้ลึกกว่านั้น ก่อนการสมัครหาเสียงนั้น เพื่อไทย ซึ่งชิงประกาศนโยบาลไปก่อนเลือกจะบอกด้วยว่า 300 บาทขึ้นทันที วันแรกที่ทำงาน

.....................................................................

เงื่อนไขต่างๆนี้นำไปสู่สิ่งสำคัญคือ ภาระของผู้ประกอบการ

โดย เฉพาะผู้ประกอบการ SME ซึ่งจะไม่ได้รับผลใดๆจากมาตรการของรัฐบาลเลย ซึ่งปัจจุบัน ผู้ประกอบการ เสื้อแดงบางคนเริ่มแสดงความเห็นในหลายเว็บแล้วลองไปหาอ่านได้

SME นั้นมักเป็นผู้ประกอบการที่ไม่ได้ใช่เครื่องจักรที่ซับซ้อน จึงใช่คนจำนวนมาก จะว่าไปปัจจุบันมีการประมาณว่า SME จ้างคนงานไม่ต่ำกว่า 70 % ของคนในระบบแรงงานทั้งหมด

หากธุรกิจเหล่านี้ล้มไปเพียง 30 % ก็เท่ากับมีคนตกงาน 20 % ของทั้งประเทศนะ

ปัจจุบันกระทรวงแรงงานมีตัวเลขผู้ใช่แรงงานที่ 24 ล้านคน

20 % ของ 24 ล้านคนคือ 4.8 ล้านคน

คนจะตกงาน 4.8 ล้านคน

นี้อย่างน้อยนะ ผมยังไม่ได้พูดถึงการปรับตัวของธุรกิจที่อยู่รอดอันจะนำเครื่องจักรเข้ามา และมีการนำแรงงานออกเพื่อลดต้นทุน
5 ล้านคน คือตัวเลขคนตกงานที่ผมเชื่อว่าจะได้เห็น หลังค่าแรง 300 บาทประกาศไม่ถึง 3 เดือน

ใครคิดใครทำ  ดูป้ายก็รู้

แม้วดีแต่ โม้! เปลวสีเงินชำแหละ โครงการถมทะเล

by ประยูร



(ขอบคุณภาพจากอินเตอร์เนต)

.... แม้ววดีแต่โม้ !!! เปลว สีเงินชำแหละ โครงการถมทะเล “แค่คิดก็ติดคอ”  เอ๊ะ..เป็นยังไง ?? ....

หมายเหตุบลอกเกอร์
ในบรรดาโครงการมากมาย ที่เสนอขึ้นมาเพื่อหลอกผู้มีสิทธิออกเสียง โดย “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ ยิ่งลักษณ์อ่าน” นั้น
การถมทะเล บริเวณ อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ไปจนถึงปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร 
กินพื้นที่ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อสร้างเมืองใหม่ และป้องกันน้ำท่วม กทม. นับเป็นอภิมหาโครงการ ที่อาจจะยืนยาวไปนับหมื่นปี (เพราะทำไม่ได้)
แนวความคิดโครงการเช่นนี้ น่าจะเกิดขึ้น จากนักโทษหนีคดีที่อยู่ไกลบ้าน
เนื่องจากต้องอยู่ตัวคนเดียว ความคิดฟุ้งซ่าน กับทั้งเห็นโครงการทำนองเดียวกันในดูไบ
จึงเพี้ยนขึ้นมา นำเสนอเป็นโครงการ โดยไม่ต้องคิดอะไรมาก “โม้เข้าไว้ก่อน” ทำได้ไม่ได้ “ค่อย(ให้ยิ่งลักษณ์)มาศึกษา” กันภายหลัง
มาวันนี้ มีนักวิชาการที่เป็นคนจริง กล้ายืนตัวตรง พูดข้อเท็จจริง โดยไม่หวั่นเกรงกับแรงกดดันทางการเมือง
ออกมาชี้แจง เกี่ยวกับความเป็นไป(ไม่)ได้ ของโครงการเพี้ยนๆนี้
พร้อมทั้งแสดงให้เห็น ว่าผลร้ายที่เกิดขึ้น น่าจะมีมากมายมหาศาล 
ลองมาอ่าน จากข้อเขียนของคุณ เปลว สีเงิน ที่สรุปเนื้อหาดังกล่าวมาลงได้อย่างครบถ้วนนะครับ



๐๐๐๐๐๐๐๐๐

ถมทะเล “แค่คิดก็ติดคอ”
เปลว สีเงิน 29 กรกฎาคม 2554
http://www.thaipost.net/news/290711/42512

วันนี้ (๒๙ ก.ค.) รู้กัน กกต. "องค์กรอิสระ" ของรัฐ กับ นปช.  "องค์กรอิสระ" ของทักษิณ ใครเหนือใคร แขวนใครไม่แขวน กล้ามาแขวนจตุพร เมื่อคืน ๕ เสือนอนฝันดี-ฝันเด่นใช่มั้ย แต่ถ้าวันนี้มติที่ประชุมออกมาไม่การันตีจตุพรเป็น ส.ส.ละก็ คืนนี้...อย่าหวังจะได้กอดหมอนนอนหลับฝันดีเลย พอคลี่ผ้าห่ม เสียงก็จะระงมมาทางหน้าต่างหัวเตียงแล้วมั้ง...
 เอาจตุพรของกูคืนมาาาา!!!
 ควรรู้ซะบ้าง บ้านเมืองตอนนี้ ไผเป็นไผ ใคร "ใหญ่ในแผ่นดิน" นี่...ผมก็เตรียมเอาเสื้อไปย้อมแดง ๒-๓ ตัว แต่แหม...สมัยก่อนย้อมเรือตาแป๊ะคลองหน้าบ้าน ตัวละ ๕๐ ตังค์ ตอนนี้ย้อมร้าน เขาเอาตัวละตั้ง ๑๒๐ ร้องว่าโหย...แพงจัง  คนหน้าร้านยักไหล่ บอกว่า 
 สีฟ้าสิ ๒๐ เอง!
 อยากถามเขาว่า "รับปักด้วยมั้ย" แต่...อย่าดีกว่า ดูเธอไม่ง้อลูกค้า รับหน้าร้านแล้วส่งต่อ วันๆ มีคนเอาเสื้อผ้ามาจ้างย้อมแดงเยอะจริงๆ ใจผมนั้น ย้อมแล้วก็อยากให้ปักตรงหน้าอกไปด้วยว่า
 "คนดีของแผ่นดิน รักตัวนะ...จุ๊บๆ"!

 ก็เอาเถอะ...เมื่อไม่ได้ปัก ก็ขอเก็บรักไว้ในอกรอก็แล้วกัน ผมว่าต่อไปนี้ ตำแหน่งในองค์กรอิสระต่างๆ เช่น ศาลรัฐธรรมนูญ ป.ป.ช. กกต. ฯลฯ คงหาคนประเภท "เปาบุ้นจิ้น" มาสมัครยาก เพราะแหยงโรคเม็ดเลือดแดงกินเม็ดเลือดขาว!
 ในยามที่กรุงเทพฯ หรือ "บางกอก" ใกล้จะถูกเปลี่ยนชื่อเป็น "บางตาเหลือก" ๔ เสือตัวผู้ กับอีก ๑ เสือตัวเมีย ช่วยฝาก "รอยตีนเสือ" ไว้เป็นประวัติศาสตร์ให้คนขลาดรุ่นหลังยึดเป็นกำลังใจซักคนละตีน-สองตีนก็น่าจะชื่นใจนะ
 นี่ผมก็คุยกะท่านทุกวัน คุยซ้ำๆ ซากๆ ผมยังรำคาญตัวเองเลย ท่านคงหนักกว่าผม ก็เอียงหูมาสิครับ ผมจะกระซิบให้...เรื่องที่จะเลื่อนฉาก "มาแล้ว"  แต่ยังมาไม่ถึง เมื่อรู้แล้วก็เหยียบไว้ อย่าเอ็ดไป รู้กันภายในระหว่างเราก็พอ
 รอให้พ้นเดือนนี้ไปถึงเดือนหน้า วันที่ ๓ สิงหาเป็นต้นไป ท่านว่า "พุธวิกลคติพักร" ตอนนั้นสภง-สภาก็เปิดแล้ว ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์เครื่องจักรน่าจะถูกไขลานขึ้นรอบใหม่แล้ว
 คอยดู "หุ่นกระบอก-ดูไบ" ดีกว่า จะสดใส-ซาบซ่ายิ่งกว่าสไปรท์!

 เมื่อเป็นดังนี้ บ่ายวานผมก็ไม่รู้จะทำอะไร ตกค่ำก็ยังไม่รู้ เลยเปิดเว็บข่าวสำนักต่างๆ ดู ข่าวหนึ่งน่าสนใจเป็นพิเศษจากเว็บ "กรุงเทพธุรกิจ" คิดว่าท่านก็คงสนใจ ก่อนจะพูดถึง "สนใจตรงไหน" ก็อ่านเนื้อข่าวที่ผมลอกเขามาก่อนดีกว่า
 นายเสรี ศุภราทิตย์ ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร เปิดเผยภายหลังนำสื่อมวลชนลงตรวจสอบพื้นที่บริเวณทะเลบางขุนเทียน กทม. ว่า หลังจากที่ได้ทำแบบจำลองการถมทะเล บริเวณ อ.ปากน้ำ จ.สมุทรปราการ ไปจนถึงปากแม่น้ำท่าจีน จ.สมุทรสาคร ซึ่งมีพื้นที่ประมาณ ๓๐๐,๐๐๐ ไร่ เพื่อสร้างเมืองใหม่ และป้องกันน้ำท่วม กทม.ของพรรคเพื่อไทย
 พบว่าจะต้องใช้ทรายถมบริเวณดังกล่าว ซึ่งมีเนื้อที่ ๑.๘ แสนไร่นั้น อาจต้องใช้ทรายประมาณ ๔,๐๐๐ ล้านคิว และใช้งบประมาณ ๔ แสนล้านบาท  เฉพาะค่าทราย โดยเป็นปริมาณทรายที่ยังไม่รวมกรณีที่เกิดการทรุดตัวในบริเวณนี้ ที่มีอัตราการทรุดตัวมากกว่า ๒-๑๐ ซม./ปี และยังมีการกัดเซาะที่รุนแรงเฉลี่ย ๕ เมตร/ปี 
 ขณะที่พื้นที่ดังกล่าวเป็นทะเลโคลนเกือบทั้งหมด หากจะถมตามหลักวิศวกรรมศาสตร์ ต้องใช้ทรายถมเท่านั้น ไม่สามารถใช้วัสดุอื่นแทนได้ เนื่องจากจะก่อปัญหาเรื่องการทรุดตัวในภายหลัง

 นายเสรีกล่าวอีกว่า ขณะที่แหล่งทรายที่มีอยู่ในประเทศ ส่วนใหญ่มาจาก  จ.อ่างทอง ในแม่น้ำเจ้าพระยาที่มีการดูดขึ้นมาใช้กันอยู่ในขณะนี้ ก็คิดว่าไม่น่าจะมีปริมาณทรายเพียงพอที่จะนำมาถมตามโครงการดังกล่าวอย่างแน่นอน 
 “กรณีที่กล่าวอ้างว่าจะถมพื้นที่ดังกล่าว เพื่อเป็นเขื่อนป้องกันน้ำท่วมในพื้นที่กรุงเทพมหานครนั้น ต้องทำความเข้าใจใหม่ว่า น้ำที่ท่วม กทม.นั้น ไม่ได้เกิดจากปัญหาน้ำทะเลหนุน โดยในแต่ละปีน้ำทะเลที่เพิ่มขึ้น มีปริมาณเพียง ๒  มิลลิเมตร/ปี เท่านั้น 
 หากจะเพิ่มจนเกิดปัญหาดังกล่าว ต้องใช้ระยะยาวนาน โดยในระยะ ๑๐๐  ปี จะเพิ่มขึ้นเพียง ๓๐ เซนติเมตรเท่านั้น และหากจะเพิ่มในปริมาณที่จะก่อให้เกิดปัญหาน้ำทะเลหนุน ต้องใช้เวลาประมาณ ๕๐๐-๑,๐๐๐ ปี”

 นักวิชาการกล่าวอีกว่า แนวคิดของโครงการดังกล่าวนั้นใหญ่เกินไป และใหญ่ที่สุดเท่าที่เคยมีมาในระดับโลก และเข้าใจว่าน่าจะเกิดขึ้นได้ยาก เท่าที่ได้ประเมินโครงการนี้ เฉพาะเรื่องการศึกษาผลกระทบ คาดว่าน่าจะใช้เวลายาวนานถึง ๕ ปี โดยเชื่อว่าจะเป็นโครงการที่ต้องล้มเลิกไปในที่สุด เพราะจะติดขัดปัญหาหลายด้าน โดยเฉพาะปัญหาด้านผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและวิถีชีวิตของคนในชุมชน 
 “ผลกระทบของโครงการนี้คือ จะยิ่งทำให้พื้นที่ป่าชายเลนที่เป็นแหล่งอนุบาลสัตว์น้ำหายไป และยังเพิ่มปัญหาการกัดเซาะจะมากขึ้นฝั่งขวาในเขต อ.เมืองสมุทรปราการ อ.บางปะกง และประเด็นสำคัญคือ การระบายน้ำท่วมโดยคลองระบายน้ำหลายสาย ฝั่งธนบุรี จะมีปัญหาอย่างแน่นอน 
 เนื่องจากคลองสายต่างๆ ที่นำน้ำระบายลงปากอ่าวไทยก็จะถูกปิดกั้นจากการถมทะเล และสุดท้ายคงต้องใช้งบประมาณสูงมาก เนื่องจากชั้นดินบริเวณนี้และอ่าวไทยรูปตัว "ก." อ่อนหนากว่า ๒๐ เมตร และเป็นทะเลโคลน 

 ดังนั้นจึงอยากให้พรรคเพื่อไทยออกมาบอกถึงความชัดเจนในโครงการนี้  รวมทั้งพื้นที่ของโครงการ เพราะขณะนี้สร้างความสับสนและความกังวลให้กับชาวบ้านที่อยู่ในเขตอ่าวไทยตัว ก. มาก” นายเสรีระบุ
 นี่แหละครับ ข่าว (ไม่) ด่วนที่ควรทราบ ส่วนที่บอกว่าน่าสนใจ ก็ประเด็นมันน่าสนใจใช่มั้ยล่ะ ความสนใจผมไม่ได้อยู่ตรงนั้นโดยตรง แต่อยู่ตรงว่า "ดร.เสรี ศุภราทิตย์" คือใคร?
 ที่บังอาจ "ไม่เห็นด้วย"...
 แถมค้านนโยบาย "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" เหมือนไม่รู้จักคำว่า...ตาย!?

 ผมก็ค้นๆ ดู พบว่าท่านเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านวิศวกรรมภัยพิบัติ จบการศึกษาปริญญาตรีวิศวกรรมโยธา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย โท ทางวิศวกรรมชลศาสตร์และชายฝั่ง สถาบันเทคโนโลยีแห่งเอเชีย และเอก วิศวกรรมชายฝั่ง  มหาวิทยาลัย TOHOKU ประเทศญี่ปุ่น
 ผ่านการเป็นนักวิชาการ นักปฏิบัติการ ครูบาอาจารย์มหาวิทยาลัย ที่ปรึกษานักการเมืองระดับรัฐมนตรีในยุคทักษิณก็เคยเป็นมาแล้ว
 ปัจจุบันท่านเป็นหัวหน้าหลักสูตรปริญญาดุษฎีบัณฑิต (วิศวกรรมโยธา)  มหาวิทยาลัยรังสิต และปฏิบัติหน้าที่ผู้อำนวยการศูนย์พลังงานเพื่อสิ่งแวดล้อม  และผู้จัดการใหญ่อุทยานสิ่งแวดล้อมนานาชาติสิรินธร ในพระบรมราชูปถัมภ์สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี
 แบบนี้ โครงการปั่นกระดาษขาย "ถมทะเลไทยไปเชื่อมทะเลดูไบ" ท่าจะ  "มุกแป้ก" ซะแล้วมั้ง!?
รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง