รพีพัฒน์ อิงคสิทธิ์
มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เป็นข่าวครึกโครมไม่นานมานี้เมื่อมีกลุ่มผู้ประท้วงการสร้างเขื่อนไซยะบุรี ที่รวมตัวหน้าอาคาร ช.การช่าง เพื่อยื่นหนังสือให้หยุดยั้งโครงการดังกล่าว เขื่อนไซยะบุรี ฟังดูอย่างไรก็ไม่น่าจะเป็นเขื่อนในประเทศไทย หลายคนอาจสงสัยว่า แล้วมันเกี่ยวอะไรกับเรา ?
เพราะประเทศไทยเองก็ยังคงมีเรื่องเขื่อนค้างคา ไม่ว่าจะเป็นแก่งเสือเต้น หรือเขื่อนแม่วงก์ อยู่แล้ว แล้วเราจะไป ‘ชักศึกเข้าบ้าน’ หาเรื่องเดือดร้อนเพิ่มทำไม ซึ่งผู้เขียนจะขอเป็นผู้ชี้แจงถึงข้อเท็จจริง ‘เบื้องหลัง’ โครงการขนาดใหญ่อย่างเขื่อนไซยะบุรีในบทความนี้
เขื่อนไซยะบุรี..ใคร ? ได้ประโยชน์
โครงการเขื่อนบนแม่น้ำโขง จาก stimson.org
เขื่อนไซยะบุรีเป็นเขื่อนที่มีความจุ 225 ล้านลบ.ม. โดยจะก่อสร้างในแขวงไซยะบุรี ประเทศลาว และอำเภอที่โดนผลกระทบเป็นอำเภอแรกของประเทศไทยคือ อ.เชียงคาน จ.เลย ซึ่งเขื่อนไซยะบุรีถือเป็นเขื่อนแรกในโครงการสร้างเขื่อนพลังงานไฟฟ้าเหนือแม่น้ำโขงจำนวน 12 เขื่อน
แต่เนื่องจากผลกระทบทางระบบนิเวศและสิ่งแวดล้อมนั้นยังไม่ชัดเจน จึงทำให้คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ซึ่งประกอบด้วย 4 ประเทศสมาชิก คือ ไทย ลาว กัมพูชา และเวียดนาม มีมติเลื่อนการสร้างเขื่อนไซยะบุรีออกไปก่อน โดยให้บริษัทจากประเทศญี่ปุ่นเข้ามาศึกษาผลกระทบให้ชัดเจน โดยมีกรอบระยะเวลา 10 ปี
เรื่องราวน่าจะจบด้วยดีเพียงเท่านี้ ซึ่งตามข้อตกลง โครงการควรถูกเลื่อนออกไปเพื่อศึกษาผลกระทบ แต่ไม่นานมานี้ บริษัท ช.การช่าง (ลาว) จำกัด ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ บริษัท ช.การช่าง จำกัด (มหาชน) กลับไปเซ็นต์สัญญา มูลค่าสัญญาประมาณ 51,824.64 ล้านบาทกับบริษัทไซยะบุรีพาวเวอร์ (ลาว) เมื่อวันที่ 17 เม.ย.55 ที่ผ่านมา และเดินหน้าก่อสร้างเขื่อนโดยไม่ใส่ใจมติที่ประชุมคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง (Mekong River Commission: MRC)
โดยผู้ให้สินเชื่อการก่อสร้างดังกล่าวก็คือธนาคารกรุงไทย (KTB) ธนาคารกสิกรไทย (KBANK) ธนาคารไทยพาณิชย์ (SCB) และ ธนาคารกรุงเทพ (BBL) ซึ่งกิจการเหล่านี้ต่างซื้อขายอยู่ในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยทั้งสิ้น ยิ่งไปกว่านั้น กระแสไฟฟ้าจำนวน 1,260 MW ที่ผลิตได้จากเขื่อนไซยะบุรี การไฟฟ้าฝ่ายผลิตแห่งประเทศไทยก็ได้ทำการเซ็นต์สัญญาซื้อพลังงานราว 95% ที่ผลิตได้จากเขื่อนดังกล่าวไปเรียยบร้อยแล้ว
ผู้เขียนจึงไม่แปลกใจเลยที่เครือข่ายภาคประชาชน 8 จังหวัดลุ่มน้ำโขง จะออกมาประท้วงและแสดงความไม่พอใจ เนื่องจากประเทศไทยเองก็เป็นผู้มีส่วนได้เสียระดับยักษ์กับเขื่อนไซยะบุรี และแน่นอนว่า ผู้มีส่วนได้เสียเหล่านั้นไม่ได้หมายถึงภาคประชาชน แต่เป็นภาคธุรกิจแทบทั้งหมด
ในขณะที่ทางประเทศลาว ก็ออกมากล่าวว่า คณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงหรือ MRC นั้นมีหน้าที่เพียง ‘ให้ข้อมูล’ ในการสร้างเขื่อน แต่การตัดสินใจทั้งหมดนั้น อยู่ที่ประเทศลาวเอง ทั้งๆที่ได้มีการตกลงร่วมกันในความตกลงว่าด้วยการร่วมมือเพื่อการพัฒนาลุ่มแม่น้ำโขงแบบยั่งยืน
ความตกลงดังกล่าวกำหนดให้มีระเบียบปฏิบัติเรื่องการแจ้ง การปรึกษาหารือล่วงหน้าและข้อตกลง (Procedures for Notification, Prior Consultation and Agreement: PNPCA) โดยประเทศสมาชิกจะต้องแจ้งต่อคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขง ในกรณีที่ประเทศสมาชิกมีโครงการพัฒนาสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ใดๆ บนแม่น้ำโขงสายหลักหรือแม่น้ำสาขา
การกระทำดังกล่าวทั้งจากประเทศลาว และนักธุรกิจในไทย ย่อมสร้างคำถามให้กับหลายคนว่า ‘ใครคือเจ้าของลำน้ำโขง’
ผลกระทบจากเขื่อนไซยะบุรี ที่ไม่ได้จบแค่ประเทศเดียว
แน่นอนว่าเขื่อนไซยะบุรี ย่อมส่งผลกระทบทั้งในเชิงระบบนิเวศและวัฒนธรรม และหากสังเกตจากที่ตั้งของเขื่อนจะพบว่า ผลกระทบจะกินลำน้ำโขงยาวเรื่อยไปถึงประเทศกัมพูชา ซึ่งจะได้รับผลกระทบมากที่สุด จึงไม่น่าแปลกใจที่ทางคณะกรรมาธิการแม่น้ำโขงมีมติให้ศึกษาข้อมูลเพิ่มเติม
ผู้เขียนได้สืบค้นข้อมูลเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดจากเขื่อนไซยะบุรี และสรุปได้คร่าวๆดังนี้
การปิดกั้นลำน้ำของเขื่อนไซยะบุรี อาจทำให้พันธุ์ปลาจำนวน 43 สายพันธุ์เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ และยังเป็นเครื่องกีดขวางการอพยพตามธรรมชาติของปลาอีกอย่างน้อย 23 สายพันธุ์
รายงานคณะกรรมการแม่น้ำโขงแห่งชาติกัมพูชา และ World Fish Center ปี 2550 เปิดเผยว่ามีปลาเพียง 9 สายพันธุ์ในแม่น้ำโขงที่สามารถขยายพันธุ์ได้ในอ่างเก็บน้ำ และมีข้อบ่งชี้ว่าการทำประมงในอ่างเก็บน้ำไม่สามารถทดแทนการทำประมงตามธรรมชาติได้
เขื่อนไซยะบุรีมีความสูงถึง 48 เมตร แต่มีผู้เสนอให้ใช้แนวทางลดผลกระทบเรียกว่า ‘ทางปลาผ่าน’ ซึ่งหมายความว่าปลาจะต้องว่ายน้ำอพยพผ่านทางสันเขื่อนซึ่งมีความสูงเท่าตึก 15 ชั้น
เขื่อนจะทำให้น้ำท่วมเหนือสันเขื่อน 90 กิโลเมตร ส่งผลให้ประชาชนราว 2,000 คนต้องอพยพ และอีกว่า 200,000 คนที่จะได้รับผลกระทบต่อการดำเนินวิถีชีวิต
เขื่อนจะปล่อยกระแสน้ำเพื่อผลิตกระแสไฟฟ้าในอัตรา 5,000 ลบ.ม.ต่อวินาที ในขณะที่อัตราการไหลเฉลี่ยของแม่น้ำโขงในหน้าแล้งคือ 1,200 ลบ.ม. ต่อวินาที ซึ่งจะทำให้ระดับน้ำของลำน้ำโขงตอนล่างของเขื่อนเปลี่ยนแปลงราว 3 – 5 เมตรใน 1 วัน
ประชาชนหลายสิบล้านคนที่ใช้ชีวิตโดยพึ่งพิงลำน้ำโขงอาจต้องเปลี่ยนวิถีชีวิต และอาจทำให้ผลผลิตทางประมงจากลำน้ำโขงตอนล่างลดลงกว่า 10,000 ตันต่อปี
วันจันทร์ที่ 30 เมษายน พ.ศ. 2555
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2555
'ปูพบป๋า=เข้าได้กับเจ้า' แผนแม้วตีข่าวบอกโลก! ใครขวางทางเอาถึงตาย รอเวลาคนแพ้ภัยตัวเอง
'ปูพบป๋า=เข้าได้กับเจ้า' แผนแม้วตีข่าวบอกโลก! ใครขวางทางเอาถึงตาย รอเวลาคนแพ้ภัยตัวเอง
"ไฮ โซสปอตคลับ" ถาม "น้องปู" เข้าพบ"ป๋า"เพื่ออะไร ทั้งที่ใจไม่เคารพ ชี้แค่แผน"พี่แม้ว" สร้างภาพป่าวประกาศบอกชาวโลกเข้าได้กับสถาบัน ขวางม็อบออกต้าน เหตุยังไม่ถึงเวลา เตือนอาจโดนเอาถึงตายหากขวางทางเดินเอาตัวรอดนช. แนะรอเวลาเหมาะสม ให้ความรู้ประชาชน
นางกาญจนี วัลยะเสวี เจ้าของฉายา “ไฮโซสปอตคลับ” ตัวแทนภาคีเครือข่ายสยามสามัคคี กล่าวกับ "ไทยอินไซเดอร์" ถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะเข้ารดน้ำดำหัวพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษว่า จะ ทำไปเพื่ออะไร เพราะในใจไม่ได้ให้ความนับถือพล.อ.เปรมอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วก็เอารูปจากงานไปติดตามต่างจังหวัด เหมือนกับว่าอำมาตย์เป็นพวกเดียวกับเขาแล้ว นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาแพ้เลือกตั้งด้วยนะ(หมาย ถึงการเลือกตั้งซ่อมส.ส.และนายกฯอบจ.ปทุมธานี) มีเสื้อแดงออกมาแสดงความไม่พอใจ อย่างเช่นคุณโด่ง(อรรถชัย อนันตเมฆ)ออกมาต่อว่า นี่คือสาเหตุหนึ่ง
"ตอน นี้ทักษิณในใจเขาคิดอย่างเดียวคือทำอย่างไรให้ได้กลับบ้าน ให้เขาทำอะไรเขาทำทั้งนั้น ขอให้ได้กลับประเทศ คือให้ทำอะไรทักษิณยอมหมด"นางกาญจนีกล่าว
เมื่อ ถามว่า คิดว่าอำมาตย์ส่งสัญญาณปรองดองมายังรัฐบาลหรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ว่า...ความเห็นของพี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จำได้มั๊ยครั้งล่าสุดที่จะมีการชุมนุมวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา แล้วมีข่าวลือว่า พล.ร.อ.พะจุณณ์ (ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิทพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)คล้ายๆ Offer สถานที่ก็น่าจะชัดเจนว่าไม่น่าใช่ ทำไมฝ่ายอำมาตย์จะต้องไปประนีประนอมกับเขา เพราะว่าตอน นี้คนที่เพลี่ยงพล้ำและกำลังก้าวสู่ทางตัน เริ่มเสียฐานของตัวเอง คือฝ่ายระบอบทักษิณ คือถ้าคิดถึงหลักความจริงว่าทำไมฝ่ายอำมาตย์ต้องไปรอมชอม ตอนนี้คนก็เริ่มรู้มากขึ้นๆ"
เมื่อถามว่า ไม่ได้มองว่ารัฐบาลเพื่อไทยไปเกี๊ยะเซี๊ยะยอมความกับฝ่ายอำมาตย์แล้ว นางกาญจนี กล่าวว่า "ไม่นะ ฝ่ายนั้นอาจจะใช่ แต่ ฝ่ายอำมาตย์ที่จะไปเป็นฝ่ายเสนอตัว พี่ว่าเป็นไปไม่ได้ พี่ไม่เชื่อ อย่างสถานการณ์ต่างๆ ตอนนี้ทักษิณก็เริ่มเสียฐาน เสียพื้นที่ มวลชนก็เริ่มตาสว่างขึ้นแล้ว ก็ต้องใช้วิธีรุกในสภาฯ ทำทุกทาง รวบรัดตัดตอน อย่างที่เขากำลังทำอยู่ในสภาเวลานี้"
เมื่อถามว่า วิเคราะห์หรือไม่ว่าเหตุใดรัฐบาลจึงยอมทำแบบนี้ทั้งที่อาจจะต้องเสียฐานมวลชนเสื้อแดงไป นางกาญจนี กล่าวว่า อาจ จะเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาถือว่าเขาได้เสียงข้างมากในสภาฯแล้ว ไม่แคร์ใครแล้ว คนเสื้อแดงที่มีชีวิต เรียกว่าไปชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมา ก็คือทักษิณ เสื้อแดงจะมีอะไร ไม่มีอะไรเลยตัวเปล่าเล่าเปลือย...ไม่มี ถ้าทักษิณไม่ช่วยซะอย่าง ถ้าหือเหรอ เขาจะแคร์ทำไม
เมื่อถามว่า เสื้อแดงกำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง นางกาญจนี กล่าวว่า ถูก ต้อง เขาถือว่าตอนนี้เขากุมอำนาจหมด ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เสื้อแดงจะทำอะไร จะกล้าอะไรกับเขา กล้า...เขาก็ไม่จ่ายท่อน้ำเลี้ยง เสื้อแดงก็ตายแล้ว(หัวเราะ)
เมื่อถามว่า การออกมาวิจารณ์รัฐบาลของแกนนำเสื้อแดงบางส่วนจะพอมีน้ำหนักทำให้รัฐบาลฟัง เสียงคัดค้านเหล่านั้นได้หรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ ว่าไม่นะ เดี๋ยวแค่ทักษิณกระดิกนิ้วเรียกแกนนำเสื้อแดงเข้ามา แล้วก็โปรย(เงิน)ไปหน่อย พอแกนนำไม่ทำอะไร พวกแกนนอนตามต่างจังหวัดไม่มีบทบาทแล้ว พวกนี้เคลื่อนไหวเพราะต้องการผลประโยชน์ทั้งนั้น เสื้อแดงไม่มีใครมีอุดมการณ์ว่าจะรักชาติหรอก...ไม่มี พี่ว่าไม่มี...ก็คือผลประโยชน์จากทักษิณทั้งนั้น"
เมื่อถาม ว่า อย่างญาติของผู้เสียชีวิตที่ออกมาแสดงบทบาทโจมตีจะมีแรงกระเพื่อมพอที่จะส่ง ผลถึงรัฐบาลหรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ว่าก็ส่วนนะ สำหรับเพลี่ยงพล้ำคือ...ประชาชนที่ไม่ใช่เสื้อแดงก็เริ่ม...ที่เป็นเสื้อแดงของเขาเองก็เริ่มรู้แล้ว จะเพลี่ยงพล้ำคือฐานเสียงคะแนนเลือกตั้งคนที่นิยมของพรรคเพื่อไทยก็เริ่มลดลง"
เมื่อ ถามว่า จะมีส่วนช่วยเพิ่มมวลชนฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายค้านได้หรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ว่าก็เป็นไปได้นะ ดูอย่างที่ปทุมฯสิ ที่ประชาธิปัตย์ชนะ เป็นเพราะว่าคนเสื้อแดงไม่ไปลงคะแนนนะ แล้วมีบางส่วนที่เริ่มรู้ว่าเขาได้รับการดูแลเหลียวแลก็จากฝ่ายค้าน พี่ว่ามีส่วน.."
เมื่อถามว่า คิดเห็นอย่างไรกับคำพูดที่บอกว่าการออกมาโวยวายของเสื้อแดงก็แค่ทางโซเชีย ลมีเดีย ต่างจากโลกความเป็นจริง นางกาญจนี กล่าวว่า "อืมมม...พี่ว่าแรงนะ ตอน นี้คนเริ่มรู้สึกแล้วว่าระบอบทักษิณแท้ที่จริงแล้วทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อมวลชนพวกเขา แล้วก็ที่บอกว่าอุดมการณ์จะทำให้ประชาชนมีความเสมอภาค ตอนนี้ไม่ใช่แล้วสิ เพราะทักษิณ...มีทั้งพลังงาน ทั้งอะไร เสื้อแดงก็เห็นแล้ว ความเดือดร้อน ปากท้องประชาชนไม่ได้รับการแก้ไข มันก็เริ่มเห็นแล้วว่าไม่ใช่อย่างที่ทักษิณหาเสียง ยิ่งไม่ได้เข้าประชุมสภาฯ พอมีปัญหามายิ่งลักษณ์...ไม่เอาไหน คือนายกฯไม่มีคุณภาพ มันก็มีส่วนทำให้พวกเสื้อแดงเริ่มรู้ตัวแล้ว"
เมื่อ ถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯเป็นผู้หญิงจึงง่ายที่พล.อ.เปรมจะตอบรับในไมตรี นางกาญจนี กล่าวว่า อันนั้นก็มีส่วนแต่ว่าไม่มาก พี่ ว่าพล.อ.เปรมที่ท่านให้พบเนี่ย อาจจะเป็นเพราะว่าอยากให้มวลชนของเขา เสื้อแดงได้รู้ว่า พล.อ.เปรมไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกใส่ร้าย ท่านไม่ได้แบ่งแยกมวลชนว่าอันนี้เป็นเสื้อแดง อันนี้เป็นพรรคเพื่อไทย ไม่ได้แบ่งเลย ต้นเหตุมันมาจากคนเดียวเท่านั้นแหละ การให้พบพี่ว่าคงเป็นเรื่องที่พล.อ.เปรมตั้งโจทย์ไว้แล้วว่าจะไม่แบ่งแยก
"เท่าที่คุยในบรรดาญาติๆ รู้สึก ว่ายิ่งลักษณ์จะสร้างภาพไง จะสร้างภาพ คือต้องการให้รู้ว่า มันไม่ใช่แค่ในเมืองไทย ข่าวมันก็แพร่ไปทั่ว คือทักษิณเขาเคลื่อนไหว เขาต้องใช้ระดับนานาชาติ ระดับอินเตอร์เลย เขาทำขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ว่ามาต้องการให้คนไทยเข้าใจ... เขาเคลื่อนไหวระดับโลกไปเลย"นางกาญจนีกล่าว
เมื่อถามย้ำว่า การเข้าพบป๋าเพราะต้องการเป็นข่าวป่าวประกาศไปทั่วโลก สร้างภาพในระดับนานาชาติ นางกาญจนี กล่าวว่า ใช่ ว่าเขาเนี่ยเข้าได้กับทางนี้ๆแล้ว คือต่างชาติก็มองพล.อ.เปรมว่า หมายถึงสถาบันนั่นแหละ เขาก็ต้องการให้ต่างชาติดูว่า... คือทุกอย่างที่ทักษิณทำ เป็นการสร้างภาพหมดเลย เขาเป็นคนที่ใช้สื่อเก่งมาก(เน้นน้ำเสียง)
เมื่อถามว่า สถานการณ์ตอนนี้ถือว่ารัฐบาลได้เปรียบหรือเพลี่ยงพล้ำจริง นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ มองว่ารัฐบาลกำลังเริ่มเสียฐาน เสียเปรียบ กำลังค่อยๆแพ้ภัยตัวเอง อย่างเช่นการประชุมสภาฯ เขาไม่นึกเหรอว่าประชาชนดูอยู่ คือตอนนี้พี่ว่านะ...การที่เขารวบรัดตัดตอนเร่งรีบอย่างนี้ มีแต่เสียและเสีย ประชาชนคงสงสัยแล้วว่าเอ๊ะมันอะไรกันนักหนา เร่งอะไรกันขนาดนี้ มันแก้รัฐธรรมนูญเพื่ออะไรกัน ทั้งที่ปากท้องประชาชนเป็นแบบนี้อยู่ พี่ว่านี่คือทักษิณแพ้ภัยตัวเองแล้ว คือพี่ไม่เห็นด้วยกับการมามีม็อบตอนนี้นะ สถานการณ์ตอนนี้ก็รอการพิจารณาของศาล ประชาชนก็ค่อยๆรู้มากขึ้น โซเชียลมีเดียก็มีส่วนมากๆเลย เช่นเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน นี่แหละที่จะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้น พรรคเขาจะเดือดร้อน สื่อก็เอาไปเล่น ใครบอกโซเชียลมีเดียไม่มีความหมาย มีคะ...มี พี่ว่าตอนนี้ยังไม่ต้องไปทำอะไร แพ้ภัยตอนนี้"
เมื่อถามว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่พันธมิตรฯจะออกมาตอนนี้ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ ว่าพันธมิตรฯเราไม่ต้องไปพูดถึงเลย พันธมิตรฯไม่มีความหมายแล้วตอนนี้ เขา...พันธมิตรฯไม่มีจุดยืนแล้ว ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าคุณยังเป็นพันธมิตรฯที่ทำเพื่อประเทศชาติอยู่ หรือเปล่า ตอนนี้พันธมิตรฯไม่มีความหมายแล้ว ที่พูดหมายถึงประเด็นเมื่อวันที่ 21 เม.ย. พี่ไม่เห็นด้วยกับการออกมาอย่างนั้น เพราะว่ามวลชนก็ยังไม่ตื่นตัวมาก พี่ไม่เห็นว่าใครเป็นผู้นำ ผู้นำไม่ชัดเจน ความปลอดภัยของมวลชนจะมีมั๊ย เพราะฉะนั้นตอนนี้ พี่รู้มาว่า ฝ่ายโน้น...ตอนนี้เอาถึงตาย"
"ถ้า ม็อบไหนออกมาขวางพวกเขาที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ที่จะให้ทักษิณกลับมาเนี่ย เขาเอาถึงตาย เพราะเขาพร้อมทุกอย่างแล้ว พร้อมที่จะแลกทุกอย่างเลย สิ่งที่เขาต้องการคือแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายให้ทักษิณไม่ผิดเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ทักษิณเข้าตาจน ถ้าใครมาขวางเขาเอาถึงตาย เพราะเขาพร้อม ทั้งอาวุธ ทั้งอะไรทุกอย่าง เพราะฉะนั้นพี่ถึงไม่เห็นด้วยกับการที่จะเอามวลชนมาแลก ประชาชนบริสุทธิ์มาก็มือเปล่า เสียท่าเขาแน่นอน เพราะฉะนั้นพี่เห็นว่าควรจะใช้วิธีการทางกฎหมาย แม้บ้านเมืองอาจจะต้องเสียหายบ้างก็ต้องยอม อย่างตอนเผาเมืองเขายังชนะเลือกตั้งเข้ามา เพราะฉะนั้นพี่ว่าทางที่ดีที่สุดคือใช้ข้อกฎหมายแล้วก็ทำให้ประชาชนได้รู้ ว่าแท้จริงแล้วระบอบทักษิณเป็นอย่างไร ทุนนิยมสามานต์ที่เป็นอันตรายที่สุด อันตรายแม้กระทั่งศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ เขาสอนให้คนรู้จักการบริโภคแบบไม่รู้จักพอ ไม่ใช่อันตรายเฉพาะศาสนาพุทธหรือต่อประเทศไทยเท่านั้น อันตรายต่อโลกนี้เลยระบอบทักษิณเนี่ย เพราะฉะนั้นมีอยู่ทางเดียวคือต้องกำจัดไปด้วยการให้ความรู้"นางกาญจนีกล่าวว่า
"ไทยอินไซเดอร์"
"ไฮ โซสปอตคลับ" ถาม "น้องปู" เข้าพบ"ป๋า"เพื่ออะไร ทั้งที่ใจไม่เคารพ ชี้แค่แผน"พี่แม้ว" สร้างภาพป่าวประกาศบอกชาวโลกเข้าได้กับสถาบัน ขวางม็อบออกต้าน เหตุยังไม่ถึงเวลา เตือนอาจโดนเอาถึงตายหากขวางทางเดินเอาตัวรอดนช. แนะรอเวลาเหมาะสม ให้ความรู้ประชาชน
นางกาญจนี วัลยะเสวี เจ้าของฉายา “ไฮโซสปอตคลับ” ตัวแทนภาคีเครือข่ายสยามสามัคคี กล่าวกับ "ไทยอินไซเดอร์" ถึงกรณีน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี นำคณะเข้ารดน้ำดำหัวพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษว่า จะ ทำไปเพื่ออะไร เพราะในใจไม่ได้ให้ความนับถือพล.อ.เปรมอยู่แล้ว ครั้งที่แล้วก็เอารูปจากงานไปติดตามต่างจังหวัด เหมือนกับว่าอำมาตย์เป็นพวกเดียวกับเขาแล้ว นี่อาจเป็นสาเหตุหนึ่งที่ทำให้เขาแพ้เลือกตั้งด้วยนะ(หมาย ถึงการเลือกตั้งซ่อมส.ส.และนายกฯอบจ.ปทุมธานี) มีเสื้อแดงออกมาแสดงความไม่พอใจ อย่างเช่นคุณโด่ง(อรรถชัย อนันตเมฆ)ออกมาต่อว่า นี่คือสาเหตุหนึ่ง
"ตอน นี้ทักษิณในใจเขาคิดอย่างเดียวคือทำอย่างไรให้ได้กลับบ้าน ให้เขาทำอะไรเขาทำทั้งนั้น ขอให้ได้กลับประเทศ คือให้ทำอะไรทักษิณยอมหมด"นางกาญจนีกล่าว
เมื่อ ถามว่า คิดว่าอำมาตย์ส่งสัญญาณปรองดองมายังรัฐบาลหรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ว่า...ความเห็นของพี่ไม่น่าจะเป็นไปได้ จำได้มั๊ยครั้งล่าสุดที่จะมีการชุมนุมวันที่ 21 เม.ย.ที่ผ่านมา แล้วมีข่าวลือว่า พล.ร.อ.พะจุณณ์ (ตามประทีป หัวหน้าสำนักงานมูลนิธิรัฐบุรุษและนายทหารคนสนิทพล.อ.เปรม ติณสูลานนท์)คล้ายๆ Offer สถานที่ก็น่าจะชัดเจนว่าไม่น่าใช่ ทำไมฝ่ายอำมาตย์จะต้องไปประนีประนอมกับเขา เพราะว่าตอน นี้คนที่เพลี่ยงพล้ำและกำลังก้าวสู่ทางตัน เริ่มเสียฐานของตัวเอง คือฝ่ายระบอบทักษิณ คือถ้าคิดถึงหลักความจริงว่าทำไมฝ่ายอำมาตย์ต้องไปรอมชอม ตอนนี้คนก็เริ่มรู้มากขึ้นๆ"
เมื่อถามว่า ไม่ได้มองว่ารัฐบาลเพื่อไทยไปเกี๊ยะเซี๊ยะยอมความกับฝ่ายอำมาตย์แล้ว นางกาญจนี กล่าวว่า "ไม่นะ ฝ่ายนั้นอาจจะใช่ แต่ ฝ่ายอำมาตย์ที่จะไปเป็นฝ่ายเสนอตัว พี่ว่าเป็นไปไม่ได้ พี่ไม่เชื่อ อย่างสถานการณ์ต่างๆ ตอนนี้ทักษิณก็เริ่มเสียฐาน เสียพื้นที่ มวลชนก็เริ่มตาสว่างขึ้นแล้ว ก็ต้องใช้วิธีรุกในสภาฯ ทำทุกทาง รวบรัดตัดตอน อย่างที่เขากำลังทำอยู่ในสภาเวลานี้"
เมื่อถามว่า วิเคราะห์หรือไม่ว่าเหตุใดรัฐบาลจึงยอมทำแบบนี้ทั้งที่อาจจะต้องเสียฐานมวลชนเสื้อแดงไป นางกาญจนี กล่าวว่า อาจ จะเป็นเพราะว่าตอนนี้เขาถือว่าเขาได้เสียงข้างมากในสภาฯแล้ว ไม่แคร์ใครแล้ว คนเสื้อแดงที่มีชีวิต เรียกว่าไปชุบชีวิตพวกเขาขึ้นมา ก็คือทักษิณ เสื้อแดงจะมีอะไร ไม่มีอะไรเลยตัวเปล่าเล่าเปลือย...ไม่มี ถ้าทักษิณไม่ช่วยซะอย่าง ถ้าหือเหรอ เขาจะแคร์ทำไม
เมื่อถามว่า เสื้อแดงกำลังถูกหลอกใช้เป็นเครื่องมือทางการเมือง นางกาญจนี กล่าวว่า ถูก ต้อง เขาถือว่าตอนนี้เขากุมอำนาจหมด ทั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหาร เสื้อแดงจะทำอะไร จะกล้าอะไรกับเขา กล้า...เขาก็ไม่จ่ายท่อน้ำเลี้ยง เสื้อแดงก็ตายแล้ว(หัวเราะ)
เมื่อถามว่า การออกมาวิจารณ์รัฐบาลของแกนนำเสื้อแดงบางส่วนจะพอมีน้ำหนักทำให้รัฐบาลฟัง เสียงคัดค้านเหล่านั้นได้หรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ ว่าไม่นะ เดี๋ยวแค่ทักษิณกระดิกนิ้วเรียกแกนนำเสื้อแดงเข้ามา แล้วก็โปรย(เงิน)ไปหน่อย พอแกนนำไม่ทำอะไร พวกแกนนอนตามต่างจังหวัดไม่มีบทบาทแล้ว พวกนี้เคลื่อนไหวเพราะต้องการผลประโยชน์ทั้งนั้น เสื้อแดงไม่มีใครมีอุดมการณ์ว่าจะรักชาติหรอก...ไม่มี พี่ว่าไม่มี...ก็คือผลประโยชน์จากทักษิณทั้งนั้น"
เมื่อถาม ว่า อย่างญาติของผู้เสียชีวิตที่ออกมาแสดงบทบาทโจมตีจะมีแรงกระเพื่อมพอที่จะส่ง ผลถึงรัฐบาลหรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ว่าก็ส่วนนะ สำหรับเพลี่ยงพล้ำคือ...ประชาชนที่ไม่ใช่เสื้อแดงก็เริ่ม...ที่เป็นเสื้อแดงของเขาเองก็เริ่มรู้แล้ว จะเพลี่ยงพล้ำคือฐานเสียงคะแนนเลือกตั้งคนที่นิยมของพรรคเพื่อไทยก็เริ่มลดลง"
เมื่อ ถามว่า จะมีส่วนช่วยเพิ่มมวลชนฝ่ายตรงข้ามหรือฝ่ายค้านได้หรือไม่ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ว่าก็เป็นไปได้นะ ดูอย่างที่ปทุมฯสิ ที่ประชาธิปัตย์ชนะ เป็นเพราะว่าคนเสื้อแดงไม่ไปลงคะแนนนะ แล้วมีบางส่วนที่เริ่มรู้ว่าเขาได้รับการดูแลเหลียวแลก็จากฝ่ายค้าน พี่ว่ามีส่วน.."
เมื่อถามว่า คิดเห็นอย่างไรกับคำพูดที่บอกว่าการออกมาโวยวายของเสื้อแดงก็แค่ทางโซเชีย ลมีเดีย ต่างจากโลกความเป็นจริง นางกาญจนี กล่าวว่า "อืมมม...พี่ว่าแรงนะ ตอน นี้คนเริ่มรู้สึกแล้วว่าระบอบทักษิณแท้ที่จริงแล้วทำเพื่อตัวเอง ไม่ใช่เพื่อประชาชน ไม่ใช่เพื่อมวลชนพวกเขา แล้วก็ที่บอกว่าอุดมการณ์จะทำให้ประชาชนมีความเสมอภาค ตอนนี้ไม่ใช่แล้วสิ เพราะทักษิณ...มีทั้งพลังงาน ทั้งอะไร เสื้อแดงก็เห็นแล้ว ความเดือดร้อน ปากท้องประชาชนไม่ได้รับการแก้ไข มันก็เริ่มเห็นแล้วว่าไม่ใช่อย่างที่ทักษิณหาเสียง ยิ่งไม่ได้เข้าประชุมสภาฯ พอมีปัญหามายิ่งลักษณ์...ไม่เอาไหน คือนายกฯไม่มีคุณภาพ มันก็มีส่วนทำให้พวกเสื้อแดงเริ่มรู้ตัวแล้ว"
เมื่อ ถามว่า เป็นไปได้หรือไม่ที่นายกฯเป็นผู้หญิงจึงง่ายที่พล.อ.เปรมจะตอบรับในไมตรี นางกาญจนี กล่าวว่า อันนั้นก็มีส่วนแต่ว่าไม่มาก พี่ ว่าพล.อ.เปรมที่ท่านให้พบเนี่ย อาจจะเป็นเพราะว่าอยากให้มวลชนของเขา เสื้อแดงได้รู้ว่า พล.อ.เปรมไม่ได้เป็นอย่างที่ถูกใส่ร้าย ท่านไม่ได้แบ่งแยกมวลชนว่าอันนี้เป็นเสื้อแดง อันนี้เป็นพรรคเพื่อไทย ไม่ได้แบ่งเลย ต้นเหตุมันมาจากคนเดียวเท่านั้นแหละ การให้พบพี่ว่าคงเป็นเรื่องที่พล.อ.เปรมตั้งโจทย์ไว้แล้วว่าจะไม่แบ่งแยก
"เท่าที่คุยในบรรดาญาติๆ รู้สึก ว่ายิ่งลักษณ์จะสร้างภาพไง จะสร้างภาพ คือต้องการให้รู้ว่า มันไม่ใช่แค่ในเมืองไทย ข่าวมันก็แพร่ไปทั่ว คือทักษิณเขาเคลื่อนไหว เขาต้องใช้ระดับนานาชาติ ระดับอินเตอร์เลย เขาทำขนาดนี้ ไม่ใช่แค่ว่ามาต้องการให้คนไทยเข้าใจ... เขาเคลื่อนไหวระดับโลกไปเลย"นางกาญจนีกล่าว
เมื่อถามย้ำว่า การเข้าพบป๋าเพราะต้องการเป็นข่าวป่าวประกาศไปทั่วโลก สร้างภาพในระดับนานาชาติ นางกาญจนี กล่าวว่า ใช่ ว่าเขาเนี่ยเข้าได้กับทางนี้ๆแล้ว คือต่างชาติก็มองพล.อ.เปรมว่า หมายถึงสถาบันนั่นแหละ เขาก็ต้องการให้ต่างชาติดูว่า... คือทุกอย่างที่ทักษิณทำ เป็นการสร้างภาพหมดเลย เขาเป็นคนที่ใช้สื่อเก่งมาก(เน้นน้ำเสียง)
เมื่อถามว่า สถานการณ์ตอนนี้ถือว่ารัฐบาลได้เปรียบหรือเพลี่ยงพล้ำจริง นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ มองว่ารัฐบาลกำลังเริ่มเสียฐาน เสียเปรียบ กำลังค่อยๆแพ้ภัยตัวเอง อย่างเช่นการประชุมสภาฯ เขาไม่นึกเหรอว่าประชาชนดูอยู่ คือตอนนี้พี่ว่านะ...การที่เขารวบรัดตัดตอนเร่งรีบอย่างนี้ มีแต่เสียและเสีย ประชาชนคงสงสัยแล้วว่าเอ๊ะมันอะไรกันนักหนา เร่งอะไรกันขนาดนี้ มันแก้รัฐธรรมนูญเพื่ออะไรกัน ทั้งที่ปากท้องประชาชนเป็นแบบนี้อยู่ พี่ว่านี่คือทักษิณแพ้ภัยตัวเองแล้ว คือพี่ไม่เห็นด้วยกับการมามีม็อบตอนนี้นะ สถานการณ์ตอนนี้ก็รอการพิจารณาของศาล ประชาชนก็ค่อยๆรู้มากขึ้น โซเชียลมีเดียก็มีส่วนมากๆเลย เช่นเรื่องการเสียบบัตรแทนกัน นี่แหละที่จะเป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้น พรรคเขาจะเดือดร้อน สื่อก็เอาไปเล่น ใครบอกโซเชียลมีเดียไม่มีความหมาย มีคะ...มี พี่ว่าตอนนี้ยังไม่ต้องไปทำอะไร แพ้ภัยตอนนี้"
เมื่อถามว่า ไม่เห็นด้วยกับการที่พันธมิตรฯจะออกมาตอนนี้ นางกาญจนี กล่าวว่า "พี่ ว่าพันธมิตรฯเราไม่ต้องไปพูดถึงเลย พันธมิตรฯไม่มีความหมายแล้วตอนนี้ เขา...พันธมิตรฯไม่มีจุดยืนแล้ว ต้องตอบคำถามสังคมให้ได้ว่าคุณยังเป็นพันธมิตรฯที่ทำเพื่อประเทศชาติอยู่ หรือเปล่า ตอนนี้พันธมิตรฯไม่มีความหมายแล้ว ที่พูดหมายถึงประเด็นเมื่อวันที่ 21 เม.ย. พี่ไม่เห็นด้วยกับการออกมาอย่างนั้น เพราะว่ามวลชนก็ยังไม่ตื่นตัวมาก พี่ไม่เห็นว่าใครเป็นผู้นำ ผู้นำไม่ชัดเจน ความปลอดภัยของมวลชนจะมีมั๊ย เพราะฉะนั้นตอนนี้ พี่รู้มาว่า ฝ่ายโน้น...ตอนนี้เอาถึงตาย"
"ถ้า ม็อบไหนออกมาขวางพวกเขาที่จะแก้รัฐธรรมนูญ ที่จะให้ทักษิณกลับมาเนี่ย เขาเอาถึงตาย เพราะเขาพร้อมทุกอย่างแล้ว พร้อมที่จะแลกทุกอย่างเลย สิ่งที่เขาต้องการคือแก้รัฐธรรมนูญ แก้กฎหมายให้ทักษิณไม่ผิดเลย เพราะฉะนั้นตอนนี้ทักษิณเข้าตาจน ถ้าใครมาขวางเขาเอาถึงตาย เพราะเขาพร้อม ทั้งอาวุธ ทั้งอะไรทุกอย่าง เพราะฉะนั้นพี่ถึงไม่เห็นด้วยกับการที่จะเอามวลชนมาแลก ประชาชนบริสุทธิ์มาก็มือเปล่า เสียท่าเขาแน่นอน เพราะฉะนั้นพี่เห็นว่าควรจะใช้วิธีการทางกฎหมาย แม้บ้านเมืองอาจจะต้องเสียหายบ้างก็ต้องยอม อย่างตอนเผาเมืองเขายังชนะเลือกตั้งเข้ามา เพราะฉะนั้นพี่ว่าทางที่ดีที่สุดคือใช้ข้อกฎหมายแล้วก็ทำให้ประชาชนได้รู้ ว่าแท้จริงแล้วระบอบทักษิณเป็นอย่างไร ทุนนิยมสามานต์ที่เป็นอันตรายที่สุด อันตรายแม้กระทั่งศาสนาทุกศาสนาในโลกนี้ เขาสอนให้คนรู้จักการบริโภคแบบไม่รู้จักพอ ไม่ใช่อันตรายเฉพาะศาสนาพุทธหรือต่อประเทศไทยเท่านั้น อันตรายต่อโลกนี้เลยระบอบทักษิณเนี่ย เพราะฉะนั้นมีอยู่ทางเดียวคือต้องกำจัดไปด้วยการให้ความรู้"นางกาญจนีกล่าวว่า
"ไทยอินไซเดอร์"
วันพุธที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2555
"นิติราษฎร์" ล่าสุดย้ำ "ต้องไม่นิรโทษกรรม จนท.รัฐผู้สลายชุมนุม"
อาจารย์วรเจตน์ ภาคีรัตน์ อาจารย์สมาชิกหนึ่งในกลุ่มนิติราษฏร์ ได้ลงคำแถลงการณ์นิติราษฏร์ฉบับที่ 34 ดังรายละเอียดต่อไปนี้
จุดยืนคณะนิติราษฎร์
หลังจากที่คณะนิติราษฎร์ได้เสนอให้ลบล้างผลพวงของการรัฐประหาร ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เสนอแนวทางการยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และยกร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ซึ่งต่อมาคณะรณรงค์แก้ไขมาตรา ๑๑๒ (ครก. ๑๑๒)ได้ดำเนินการรวบรวมรายชื่ออย่างน้อย ๑๐๐๐๐ รายชื่อเพื่อเสนอร่างกฎหมายดังกล่าวตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา กำหนดระยะเวลารณรงค์ ๑๑๒ วัน และการรณรงค์ดังกล่าวจะครบกำหนดในวันที่ ๕ พฤษภาคม ที่จะถึงนี้ มีผู้สอบถามมายังคณะนิติราษฎร์เกี่ยวกับกิจกรรมทางวิชาการและการเคลื่อนไหว ทางความคิดที่จะดำเนินต่อไปในโอกาสครบรอบ ๘๐ ปีของการอภิวัฒน์สยาม ๒๔๗๕ ตลอดจนแนวทางทางกฎหมายในการแก้ไขปัญหาความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมไทย คณะนิติราษฎร์เห็นสมควรที่จะได้แสดงจุดยืนและทัศนะต่อประเด็นปัญหาต่างๆ ไว้โดยสังเขป ดังนี้
๑. คณะนิติราษฎร์ยืนยันว่าประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบัน มีปัญหาเกี่ยวกับความชอบด้วยรัฐธรรมนูญ เนื่องจากอัตราโทษที่กำหนดไว้ในปัจจุบันสูงเกินสมควรกว่าเหตุ นอกจากนี้ยังมีปัญหาอื่นๆอีกหลายประการ ดังที่ได้เคยแสดงให้เห็นไว้แล้วในประกาศนิติราษฎร์ฉบับที่ ๑๖ (วันที่ ๑๓ มีนาคม ๒๕๕๔) และในข้อเสนอเพื่อการรณรงค์แก้ไขประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ การแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา มาตรา ๑๑๒ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์จะแก้ไขปัญหาที่เกิดขึ้นได้หลายประการ และจะบรรเทาปัญหาบางประการลง คณะนิติราษฎร์จึงยืนยันสนับสนุนกิจกรรมของ ครก.๑๑๒ ในการรวบรวมรายชื่อประชาชนเพื่อเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญามาตรา ๑๑๒ ตามข้อเสนอของคณะนิติราษฎร์ไปยังรัฐสภา และให้เป็นหน้าที่ของรัฐสภาในการพิจารณาร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวต่อไป
๒. คณะนิติราษฎร์ไม่เห็นด้วยอย่างสิ้นเชิงต่อแนวทางการปรองดองหรือสมานฉันท์โดยวิธีการตรากฎหมายนิรโทษกรรมให้แก่บุคคลทุกฝ่ายดังเช่นการตราพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมในมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ระหว่างวันที่ ๔ ถึงวันที่ ๖ ตุลาคม ๒๕๑๙ พ.ศ.๒๕๒๑ (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์ ๖ ตุลา ๑๙) หรือการตราพระราชกำหนดนิรโทษกรรมแก่ผู้กระทำความผิดเนื่องในการชุมนุมกันระหว่างวันที่ ๑๗ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ ถึงวันที่ ๒๑ พฤษภาคม พ.ศ.๒๕๓๕ พ.ศ.๒๕๓๕ (นิรโทษกรรมในเหตุการณ์พฤษภา ๓๕) เนื่องจากการนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวแม้จะทำให้ประชาชนผู้เข้าร่วมชุมนุมพ้นจากความผิดและความรับผิด แต่ก็จะมีผลให้บรรดาผู้ที่สั่งการและปฏิบัติการสลายการชุมนุมพ้นจากความผิดไปพร้อมกันด้วย การนิรโทษกรรมในลักษณะดังกล่าวไม่เป็นธรรมอย่างยิ่งต่อผู้ที่สูญเสียในเหตุการณ์สลายการชุมนุมต่างๆที่เกิดขึ้นหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา
๓. คณะนิติราษฎร์เห็นว่าแนวทางการตรากฎหมายเพื่อการขจัดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมอย่างเป็นธรรมต่อทุกฝ่ายภายหลังจากการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ควรจะต้องพิจารณาแยกแยะลักษณะการกระทำของบรรดาบุคคลที่เกี่ยวข้องและจัดวางโครงสร้างของกฎหมายโดยมีสาระสำคัญหลัก คือ
ประการที่หนึ่ง ต้องไม่มีการนิรโทษกรรมให้แก่บรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐที่เกี่ยวข้องในเหตุการณ์การชุมนุมประท้วงตลอดจนการสลายการชุมนุมทุกเหตุการณ์ตั้งแต่วันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา การกระทำของบรรดาเจ้าหน้าที่ของรัฐหรือบุคคลที่ถือได้ว่าเป็นเจ้าหน้าที่ของรัฐไม่ว่าจะได้กระทำการในฐานะเป็นผู้สั่งการหรือผู้ปฏิบัติการ และไม่ว่าจะกระทำในขั้นตอนใดๆ หากการกระทำนั้นเป็นความผิดตามกฎหมายที่ใช้บังคับอยู่ในเวลานั้น บุคคลนั้นยังคงมีความผิดตามกฎหมายและต้องเข้าสู่กระบวนการยุติธรรม
ประการที่สอง ให้มีการนิรโทษกรรมทันทีแก่ประชาชนที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดฐานฝ่าฝืนบรรดากฎหมายสถานการณ์ฉุกเฉินและกฎหมายว่าด้วยการรักษาความมั่นคงที่ได้รับการประกาศใช้ในเหตุการณ์การเดินขบวนและการชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆตามที่จะได้กำหนดไว้ในประกาศที่ออกตามบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งและบรรดาการกระทำต่างๆของผู้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองในพื้นที่ต่างๆข้างต้น หากเป็นความผิดลหุโทษ หรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ก็ให้บุคคลนั้นพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง
ประการที่สาม บรรดาการกระทำทั้งหลายของบุคคลที่เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมืองที่ไม่เข้าข่ายที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ เช่น การกระทำที่เป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญาหรือกฎหมายอื่นและไม่ใช่ความผิดลหุโทษหรือความผิดที่อัตราโทษไม่เกินกว่าที่กำหนดไว้ในบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ตลอดจนการกระทำความผิดของบุคคลที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมเดินขบวนและชุมนุมประท้วงทางการเมือง แต่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ให้นำเข้าสู่การพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้งซึ่งได้รับการจัดตั้งขึ้นตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง ในระหว่างการพิจารณาของคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง จะดำเนินการทางกฎหมายกับผู้ที่ถูกกล่าวหาไม่ได้ ในกรณีที่มีการฟ้องร้องเป็นคดีและคดีอยู่ในระหว่างการพิจารณาของศาล ไม่ว่าจะเป็นศาลในลำดับชั้นใด ให้ศาลระงับการดำเนินกระบวนพิจารณา และให้ปล่อยตัวผู้ถูกกล่าวหาไปก่อน ในกรณีที่มีข้อสงสัยว่าการกระทำนั้นตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งเป็นผู้วินิจฉัย คำวินิจฉัยว่าการกระทำใดอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญในหมวดที่ว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งหรือไม่ ให้มีผลผูกพันองค์กรของรัฐทุกองค์กร และไม่อาจเป็นวัตถุในการพิจารณาขององค์กรตุลาการหรือองค์กรอื่นใดได้
ประการที่สี่ ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำใดไม่ตกอยู่ภายใต้บังคับของบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญว่าด้วยการขจัดความขัดแย้ง หรือวินิจฉัยว่าการกระทำความผิดที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมต่างๆ ตลอดจนการกระทำที่มีข้อสงสัยว่ามีมูลเหตุเกี่ยวข้องหรือเกี่ยวเนื่องกับความขัดแย้งทางการเมืองหลังการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นต้นมา ไม่เกี่ยวข้องกับมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมือง ให้ดำเนินการกับบุคคลที่ถูกกล่าวหาว่ากระทำความผิดตามกระบวนการยุติธรรมต่อไป ในกรณีที่คณะกรรมการขจัดความขัดแย้งวินิจฉัยว่าการกระทำนั้นเกิดขึ้นจากมูลเหตุจูงใจหรือแรงจูงใจทางการเมืองหลังเหตุการณ์แย่งชิงอำนาจรัฐ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ก็ให้บุคคลที่ถูกกล่าวหาดังกล่าวพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง ทั้งนี้เท่าที่ไม่ขัดกับพันธกรณีตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ประเทศไทยเป็นภาคีสมาชิก
ประการที่ห้า การแก้ไขปัญหาความขัดแย้งตามแนวทางที่คณะนิติราษฎร์เสนอไว้เบื้องต้นโดยสังเขปนี้ จำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องแก้ไขเพิ่มรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย ฉบับที่ใช้บังคับอยู่ในปัจจุบันโดยเพิ่มบทบัญญัติว่าด้วยการขจัดความขัดแย้งเป็นอีกหมวดหนึ่ง โดยนอกจากบทบัญญัติในหมวดนี้จะกล่าวถึงคณะกรรมการขจัดความขัดแย้ง และกฎเกณฑ์ต่างๆตามแนวทางที่กล่าวถึงข้างต้นแล้ว ยังต้องกล่าวถึงการเยียวยาความเสียหายต่างๆด้วย การดำเนินการแก้ไขเพิ่มเติมรัฐธรรมนูญในเรื่องนี้สามารถทำได้โดยไม่เกี่ยวข้องกับการดำเนินการจัดให้มีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ และสามารถกระทำได้ทันที
๔. สำหรับกรณีของการลบล้างผลพวงรัฐประหารนั้น คณะนิติราษฎร์เสนอให้บัญญัติเป็นหมวดอีกหมวดหนึ่งในรัฐธรรมนูญฉบับที่จะได้จัดทำขึ้นใหม่ตามที่ได้เคยแถลงต่อสาธารณะไปแล้ว โดยคณะนิติราษฎร์ยืนยันหลักการของการประกาศให้การนิรโทษกรรมการทำรัฐประหารหรือการแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ เป็นโมฆะ เพื่อเปิดทางให้บุคคลที่มีส่วนร่วมในการทำรัฐประหารหรือแย่งชิงอำนาจรัฐเมื่อวันที่ ๑๙ กันยายน ๒๕๔๙ ไม่ว่าจะเป็นผู้กระทำการเอง ผู้ใช้ ตลอดจนผู้สนับสนุน เข้าสู่กระบวนการยุติธรรม สำหรับบรรดาคดีซึ่งเกิดขึ้นจากการเริ่มกระบวนการโดยคณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ (คตส.) ซึ่งได้รับการแต่งตั้งจากคณะผู้แย่งชิงอำนาจรัฐนั้น ก็ให้ลบล้างให้สิ้นผลไป ซึ่งไม่ได้หมายถึงการนิรโทษกรรม แต่ให้เริ่มกระบวนการใหม่ให้ถูกต้องเป็นธรรมต่อไป
คณะนิติราษฎร์ขอเรียนให้ผู้ที่ติดตามกิจกรรมทางวิชาการของคณะนิติราษฎร์ทราบว่าในเดือนมิถุนายนที่จะถึงนี้ คณะนิติราษฎร์จะได้จัดกิจกรรมทางวิชาการที่เกี่ยวเนื่องกับการลบล้างผลพวงรัฐประหาร การขจัดความขัดแย้งในสังคมไทย และวิเคราะห์วิจารณ์ข้อเสนอเกี่ยวกับการปรองดองของบุคคลและสถาบันต่างๆ นอกจากนี้เพื่อให้การเคลื่อนไหวทางความคิดเกี่ยวกับประชาธิปไตยและนิติรัฐดำเนินไปในวงกว้างยิ่งขึ้น คณะนิติราษฎร์จะได้จัดให้มีการเผยแพร่แลกเปลี่ยนความรู้ทางกฎหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกฎหมายมหาชน ให้แก่ประชาชนทั่วไป รายละเอียดในเรื่องเหล่านี้จะแถลงให้ทราบต่อไป
๒๕ เมษายน ๒๕๕๕
ปู รดน้ำ ป๋า กรุยทางลุยกฎหมายปรองดอง
โดย...ธนพล บางยี่ขัน
อีกฉากประวัติศาสตร์สำคัญที่ต้องจับตา !!!
เมื่อนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ก่อร่างสร้างรัฐบาลจากฐานเสียง “ไพร่” ประกาศชัดเตรียมหอบคณะรัฐมนตรี บุกรัง “อำมาตย์” เข้ารดน้ำดำหัว ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ 26 เม.ย.นี้
แน่นอนว่า เหตุผลสำคัญของการเข้าพบ “ป๋าเปรม” เที่ยวนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่การ “รดน้ำดำหัว” รับฟังคำแนะนำการบริหารประเทศจากผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อย่างที่ “ยิ่งลักษณ์” ชี้แจงเท่านั้น
เพราะเป้าหมายสำคัญ คือ การเคลียร์แผลใจ “ฟื้นความสัมพันธ์” ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคเส้นทาง “ปรองดอง” ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าขับเคลื่อนเต็มสูบ
ภาพความพยายาม “เกี้ยเซี้ย” ระหว่าง ไพร่-อำมาตย์ จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ส่งผลให้เส้นทางสู่ “นิรโทษกรรม” ซึ่งซ่อนอยู่ในกระบวนการปรองดอง ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกที
ดูทางลมก่อนหน้านี้ 18 เม.ย. พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. และนายทหารระดับสูงจากสามเหล่าทัพตบเท้าเข้าอวยพรสงกรานต์โดยพร้อมเพรียง
วันนั้น “ป๋าเปรม” กล่าวชื่นชม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่นำน้องๆ มาอวยพรในวันสำคัญ เพราะวันสงกรานต์ถือเป็นวัฒนธรรมของไทย จะต้องรักษาวัฒนธรรม รักษาชาติบ้านเมือง พร้อมอวยพรให้โชคดี มีความสุข และสำเร็จในการทำงาน ที่สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในอดีตเริ่มคลายตัว
ย้อนไปถึงความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นตั้งแต่สมัยปลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับการเปิดหน้าพาดพิง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงจนมาถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” เมื่อมวลชนคนเสื้อแดงเดินขบวนไปปิดล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์ พร้อมตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทำให้ “ช่องว่าง” ของทั้งสองฝ่ายให้ห่างกันมากยิ่งขึ้น
ทว่าหลังจากชัยชนะอันถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยจน “ยิ่งลักษณ์” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนแรก ความพยายามต่อสายเคลียร์ใจ กับ “ป๋าเปรม” ก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งได้รับการตอบรับบ้าง ไม่ได้รับการตอบรับบ้าง
แต่เหมือนสัญญาณเริ่มดีขึ้นเมื่อ พล.อ.เปรม เดินทางมาร่วมงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น
แม้วัตถุประสงค์ครั้งนั้นจะเป็นงานที่รัฐบาลต้องการเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ร่วมฟันฝ่าวิกฤตอุทกภัยช่วงที่ผ่านมา แต่ก็มองว่าการเชิญ “ป๋าเปรม” มาร่วมเป็นเกียรติในงาน ถูกมองว่าเป็นการหยั่งไมตรีหวังสลายความขัดแย้งในอดีต
การรื้อฟื้นธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมายาวนานกับการหอบ ครม. เข้ารดน้ำดำหัว “ป๋าเปรม” ซึ่งห่างหายไปในระยะหลังเมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงขึ้น จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของรัฐบาล ที่ค่อยๆ รุกประชิดเดินหน้าสู่เป้าหมาย “ปรองดอง” และ “ล้างผิด”
จับอาการจาก “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” มท.1 ซึ่งระบุว่าอาจจะขอถือโอกาสนี้ได้กราบเรียนขอคำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองในชาติให้เกิดขึ้นด้วย ยิ่งตอกย้ำเป้าหมายที่ชัดเจนของรัฐบาล
ในจังหวะนี้ รายงานกรรมาธิการปรองดอง ผ่านการพิจารณาได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมส่งไม้ต่อให้รัฐบาลไปดำเนินการ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากสถาบันพระปกเกล้า ที่ออกมาขู่ถอนงานวิจัยที่ถูกเลือกใช้บางข้อบางตอนไปขยายผลแบบรวบรัด
ความพยายามของรัฐบาลที่ดื้อดึงใช้เสียงข้างมากในกระบวนการนิติบัญญัติ ผลักดันการ “ล้างผิด” มองข้ามการแสวงหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน? มากกว่าแนวทาง “ล้างผิด” ที่เสี่ยงซ้ำเติมความขัดแย้ง จึงค่อยๆ ผ่อนสปีดรอดูทิศทางลม เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกอย่างที่ทำมาพังทลายลงไป
ส่วนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการปรองดองต้องปรับท่าทีจากความรีบเร่ง รวบรัด อาจเป็นเพราะสัญญาณ “ป๋าเปรม” ส่งออกมาระหว่างครั้งแรกหลังเงียบหายไปนานว่า พระสยามเทวาธิราชมีจริงและจะปกป้องคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป ท่ามกลางจังหวะที่กระบวนการปรองดองรีบเร่งเดินหน้า
ในจังหวะเดียวกับที่ชื่อของ “ป๋าเปรม” ถูกพาดพิงหลายครั้งหลายหน ทั้งการเรียกของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดอง ออกมาระบุให้ชัดเจนว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังในการปฏิวัติ เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เปรม หรือไม่
รวมไปถึงความพยายามโยงใยของหลายฝ่ายที่สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.เปรม ให้เข้ามาเป็นหนึ่งในคู่ขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานี้
ท่าทีของ “ยิ่งลักษณ์” กับการเดินหน้าเข้าหาป๋าเปรมช่วงนี้ จึงไม่อาจมองเป็นอื่นถึงความพยายามกรุยทาง ปรองดอง หรือนิรโทษกรรม
แม้ “ยิ่งลักษณ์” จะออกตัวว่า พล.อ.เปรม จะเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อีกทั้งไม่ได้มีส่วนยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องของการเดินหน้าสร้างความปรองดองนั้นก็เป็นหน้าที่ของสภา โดยในส่วนของรัฐบาลนั้น มีหน้าที่ในการบริหารและแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองเท่านั้น
ที่สำคัญกว่านั้น การเดินหน้าเข้าหา “อำมาตย์” ซึ่งอาจจะขัดหูขัดตา ของบรรดาคนเสื้อแดงที่เคยออกมาต่อสู้เรื่องชนชั้น ไพร่-อำมาตย์ จะส่งผลอย่างไรต่อไปกับฐานเสียงของ “เพื่อไทย” หรือท่าทีของแกนนำแดง ที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นรัฐมนตรีในวันนี้
แดงล้มโต๊ะปรองดองยิงศรปักอกทักษิณ
โดย...นิติพันธุ์ สุขอรุณ
ปรากฏการณ์ “แดงล้มโต๊ะปรองดอง” เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของญาติผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของคนเสื้อแดง แม้จะมีกำลังไม่มาก แต่สร้างแรงกระเพื่อมถึงแนวทางการปรองดองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ไม่น้อย และนับวันจะสร้างรอยร้าวให้ลึกลงในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ณ วันนี้แนวทางที่เคยร่วมกันมาเริ่มแตกออกไปจากเดิม
ข้อเรียกร้องอันเป็นแกนกลางของกลุ่มเคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดองมิได้ขัดขวางการเดินหน้าของประเทศ แต่ต้องการให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นก่อน เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด ใครเป็นผู้ก่อการร้ายตามข้อกล่าวหา
ทว่าเมื่อความยุติธรรมยังไม่ปรากฏแก่ผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของคนเสื้อแดง “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยล้มโต๊ะปรองดองแห่งชาติ” ก็ไม่สามารถยอมรับการปรองดองได้ เนื่องจากตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากความขัดแย้งทางการเมืองเป็นต้นเหตุ ซ้ำเติมด้วยการตีตราค่าความตาย 7.75 ล้านบาท ระหว่างที่เวลาล่วงเลยไปไม่มีผู้กระทำผิด
คำถามค้างคาใจว่าปรองดองจะเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อ 91 ศพอาจต้องตายฟรี ผลจากการเมืองซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจผลประโยชน์ โดยใช้สิ่งที่เป็นตัวบริสุทธิ์ นั่นคือประชาชนมาเป็นเครื่องต่อรองในทุกครั้ง
สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มคนเสื้อแดงล้มโต๊ะปรองดอง เตรียมออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 26 เม.ย. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ ถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญถึงรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ
แนวคิดของ ณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ กมนเกด แกนนำเคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดอง ชี้ว่า ต้นทุนของพรรคเพื่อไทยต้องใช้ชีวิตคนถึง 91 ศพ บาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงคนที่อยู่ในเรือนจำ ถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยต้องตระหนักว่าอย่าเป็นวัวลืมตีน เพราะเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้มาเป็นรัฐบาลคนเสื้อแดงต้องการค้นหาความยุติธรรมเป็นอันดับแรก
เกมการเมืองดูท่าจะจบลงไม่ง่าย หลังจากที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่ จ.ปทุมธานี ทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่ที่ผ่านมา ด้วยบทความของคนเสื้อแดง เรื่อง “คนเสื้อแดงสาแก่ใจเพื่อไทยแพ้ ปชป. เลือกตั้งซ่อมปทุมธานี” ของ อรรถชัย อนันตเมฆ ดาราเสื้อแดง โพสต์ข้อความภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของคนเสื้อแดงปทุมฯ ที่พิสูจน์แล้วว่าคนเสื้อแดงอยู่เหนือพรรคการเมือง ไม่ใช่จะทำอะไรกับคนเสื้อแดงก็ได้ยิ่งทำให้ภาพชัดมากขึ้น
สอดคล้องกับแนวคิดของ สุธาชัยยิ้มประเสริฐ นักวิชาการกลุ่มเสื้อแดง ส่งเสียงสะท้อนถึงท่าทีของรัฐบาลต่อการเพิกเฉยให้ประกันตัวกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำในข้อหานักโทษการเมือง ทั้งที่สามารถออกพระราชกฤษฎีกาประกันตัวได้ง่าย แต่รัฐบาลกลับไม่ทำ สิ่งเหล่านี้สะท้อนชัดว่ารัฐบาลเพิกเฉยต่อเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มคนเสื้อแดงโดยสิ้นเชิง และพยายามปรองดองกับกลุ่มอำมาตย์อย่างเห็นได้ชัด
ทางฟากของรัฐบาลพยายามผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ เป็นหลักสำคัญโดยไม่พูดถึงเรื่องการลงโทษ แต่มุ่งเน้นให้อภัยต่อกันเอง หรือผู้เสียหายต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศ ตามมาด้วยการหยิบยกความเห็นของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่มี พล.อ.สนธิบุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน หรือแม้กระทั่งผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าที่สุดท้ายต้องวิ่งกลับมาถอนผลงานตัวเองคืน
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)สรุปแฟ้มสำนวนคดีก่อการร้ายอ่อนลง ไม่ขึงขังเหมือนในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจนสุดท้ายไม่พบชายชุดดำ ก็ยิ่งสร้างความรู้สึกมึนงงของญาติผู้เสียชีวิต
ยิ่งต้องจับตาความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณด้วยเช่นกัน เมื่อท่าทีอ่อนลง โดยเฉพาะกับคู่ขัดแย้งกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยชี้ไปตรงๆ ว่าเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หรือหัวหน้ากลุ่มอำมาตย์ใหญ่ พร้อมส่งแกนนำแดงยกโขยงไปเยี่ยมถึงหน้าบ้าน “ป๋าเปรม” แต่ช่วงเวลานี้เป็นการกล่าวอวยพรวันสงกรานต์ให้ป๋าเปรมมีสุขภาพแข็งแรง นัยว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้งกันอีกต่อไป
วาทกรรมปรองดองฉบับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กัมพูชา มาพร้อมรูปแบบนอบน้อมมีคารวะกับฉากปรองดองสวยหรูด้วยโวหารเลิกทะเลาะกัน ไม่มีขั้ว ไม่มีสีเหลืองสีแดงอีกต่อไป จูงใจให้คล้อยตามได้ไม่น้อย แต่ด้านหนึ่งก็เปลือยตัวตน เช่น การบอกว่าใครไม่ปรองดองก็ช่วยไม่ได้ หรือช่างแม่มัน แม้แต่ในช่วงร้องเพลงบนเวทีตัวตนจริงๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหลุดออกมาเป็นระยะๆ
ปมจุดนี้จะสร้างรอยร้าวให้เกิดในความเป็นคนเสื้อแดงแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มนี้เป็นแดงขึ้นตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีเป้าหมายหลักชัดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการนำทิศทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และต้องนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศให้ได้
ผลจากการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการตบรางวัลอย่างงาม ด้วยตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล เป็นรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี หรือเป็นสส.ผู้ทรงเกียรติในสภาให้เหล่าแกนนำกลุ่มแต่เมื่อญาติผู้เสียชีวิตถามถึงความยุติธรรม กลับเงียบเชียบ
2.กลุ่มคนเสื้อแดงรักประชาธิปไตย กลุ่มนี้มีจุดหมายเพื่อประชาธิปไตยเป็นหลัก ทิศทางที่ผ่านมาชี้ให้เห็นชัดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อรื้อรากรัฐธรรมนูญมาปรับแก้ใหม่ รูปแบบการเคลื่อนไหวสนับสนุนแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ทว่าด้วยปัจจัยที่เกิดจากความรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิต เป้าหมายจากนี้จึงเป็นการค้นหาความจริง สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ถึงแม้จะได้เงินเยียวยา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะลบล้างความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้
ถึงนาทีนี้กลุ่มเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดองกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขวาง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ปักธงปรองดองด้วยความอ่อมน้อมไปแล้ว
กลับตาลปัตรกลายเป็นว่าใครขวางปรองดองเท่ากับค้านแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งเป็นปรปักษ์กับทิศทางเดินหน้าประเทศ คนเสื้อแดงบางส่วนต้องยอมเสียสละแล้วกลายเป็นแดงชายขอบไปในทันที จะด้วยเต็มใจยอมรับหรือไม่ก็ตาม
โฟกัสไปที่ขุมกำลังของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแข็งแกร่งทั้งในและนอกสภา ผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเสียงข้างมาก พุ่งเป้าไปที่การแก้ไขและยกร่างรัฐธรรมนูญ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งกำหนดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน ก็ต้องดำเนินการให้ลุล่วง ถือเป็นด่านแรกเมื่อพรรคเพื่อไทยสามารถได้เสียงสนับสนุนจาก สส.พรรคร่วมรัฐบาลและจาก สว.อย่างท่วมท้นถึง 399 เสียง เพื่อยกมือโหวตรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกผ่านพ้นไปแล้ว
ท้ายที่สุดความไม่ไยดีต่อญาติผู้เสียชีวิตนำมาซึ่งฐานกำลังลดลง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเพิ่มมากขึ้น ภาพใหญ่ของนาทีนี้ชัดเจนแล้วว่า หากปล่อยให้น้ำกัดเซาะไม่เหลียวแล คนเสื้อแดงจะแยกตัวออกมาเคลื่อนไหวเองโดยไม่ต้องพึ่งการเมืองหรือแม้กระทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ อีกต่อไป
อีกฉากประวัติศาสตร์สำคัญที่ต้องจับตา !!!
เมื่อนายกฯ หญิง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่ก่อร่างสร้างรัฐบาลจากฐานเสียง “ไพร่” ประกาศชัดเตรียมหอบคณะรัฐมนตรี บุกรัง “อำมาตย์” เข้ารดน้ำดำหัว ป๋าเปรม พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ถึงบ้านสี่เสาเทเวศร์ 26 เม.ย.นี้
แน่นอนว่า เหตุผลสำคัญของการเข้าพบ “ป๋าเปรม” เที่ยวนี้ ไม่ได้มีเพียงแค่การ “รดน้ำดำหัว” รับฟังคำแนะนำการบริหารประเทศจากผู้หลักผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อย่างที่ “ยิ่งลักษณ์” ชี้แจงเท่านั้น
เพราะเป้าหมายสำคัญ คือ การเคลียร์แผลใจ “ฟื้นความสัมพันธ์” ระหว่าง “ไพร่” กับ “อำมาตย์” เพื่อไม่ให้เป็นอุปสรรคเส้นทาง “ปรองดอง” ที่รัฐบาลกำลังเดินหน้าขับเคลื่อนเต็มสูบ
ภาพความพยายาม “เกี้ยเซี้ย” ระหว่าง ไพร่-อำมาตย์ จึงเริ่มเป็นรูปเป็นร่าง ส่งผลให้เส้นทางสู่ “นิรโทษกรรม” ซึ่งซ่อนอยู่ในกระบวนการปรองดอง ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นทุกที
ดูทางลมก่อนหน้านี้ 18 เม.ย. พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม นำ พล.อ.เสถียร เพิ่มทองอินทร์ ปลัดกระทรวงกลาโหม พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. พล.อ.อ.อิทธพร ศุภวงศ์ ผบ.ทอ. พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ ผบ.ตร. และนายทหารระดับสูงจากสามเหล่าทัพตบเท้าเข้าอวยพรสงกรานต์โดยพร้อมเพรียง
วันนั้น “ป๋าเปรม” กล่าวชื่นชม พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ที่นำน้องๆ มาอวยพรในวันสำคัญ เพราะวันสงกรานต์ถือเป็นวัฒนธรรมของไทย จะต้องรักษาวัฒนธรรม รักษาชาติบ้านเมือง พร้อมอวยพรให้โชคดี มีความสุข และสำเร็จในการทำงาน ที่สะท้อนให้เห็นว่าสถานการณ์ความขัดแย้งในอดีตเริ่มคลายตัว
ย้อนไปถึงความสัมพันธ์ที่ขาดสะบั้นตั้งแต่สมัยปลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กับการเปิดหน้าพาดพิง “ผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ” ที่ทำให้ทุกอย่างแย่ลงจนมาถึง “ฟางเส้นสุดท้าย” เมื่อมวลชนคนเสื้อแดงเดินขบวนไปปิดล้อมบ้านสี่เสาเทเวศร์ พร้อมตะโกนด่าทอด้วยถ้อยคำหยาบคาย ทำให้ “ช่องว่าง” ของทั้งสองฝ่ายให้ห่างกันมากยิ่งขึ้น
ทว่าหลังจากชัยชนะอันถล่มทลายของพรรคเพื่อไทยจน “ยิ่งลักษณ์” กลายเป็นนายกฯ หญิงคนแรก ความพยายามต่อสายเคลียร์ใจ กับ “ป๋าเปรม” ก็ยังมีมาอย่างต่อเนื่อง มีทั้งได้รับการตอบรับบ้าง ไม่ได้รับการตอบรับบ้าง
แต่เหมือนสัญญาณเริ่มดีขึ้นเมื่อ พล.อ.เปรม เดินทางมาร่วมงาน “รักเมืองไทย เดินหน้าประเทศไทย” ที่ทำเนียบรัฐบาล เมื่อวันที่ 10 ก.พ.ที่ผ่านมา ซึ่งบรรยากาศเป็นไปอย่างชื่นมื่น
แม้วัตถุประสงค์ครั้งนั้นจะเป็นงานที่รัฐบาลต้องการเลี้ยงขอบคุณเจ้าหน้าที่ ผู้ปฏิบัติงานในศูนย์ปฏิบัติการช่วยเหลือผู้ประสบอุทกภัย (ศปภ.) ที่ร่วมฟันฝ่าวิกฤตอุทกภัยช่วงที่ผ่านมา แต่ก็มองว่าการเชิญ “ป๋าเปรม” มาร่วมเป็นเกียรติในงาน ถูกมองว่าเป็นการหยั่งไมตรีหวังสลายความขัดแย้งในอดีต
การรื้อฟื้นธรรมเนียมที่เคยปฏิบัติกันมายาวนานกับการหอบ ครม. เข้ารดน้ำดำหัว “ป๋าเปรม” ซึ่งห่างหายไปในระยะหลังเมื่อเหตุการณ์ทางการเมืองรุนแรงขึ้น จึงถือเป็นอีกก้าวสำคัญของรัฐบาล ที่ค่อยๆ รุกประชิดเดินหน้าสู่เป้าหมาย “ปรองดอง” และ “ล้างผิด”
จับอาการจาก “ยงยุทธ วิชัยดิษฐ” มท.1 ซึ่งระบุว่าอาจจะขอถือโอกาสนี้ได้กราบเรียนขอคำปรึกษาและคำแนะนำเกี่ยวกับการสร้างความปรองดองในชาติให้เกิดขึ้นด้วย ยิ่งตอกย้ำเป้าหมายที่ชัดเจนของรัฐบาล
ในจังหวะนี้ รายงานกรรมาธิการปรองดอง ผ่านการพิจารณาได้รับความเห็นชอบจากเสียงข้างมากในสภาผู้แทนราษฎร พร้อมส่งไม้ต่อให้รัฐบาลไปดำเนินการ โดยไม่ฟังเสียงทักท้วงจากสถาบันพระปกเกล้า ที่ออกมาขู่ถอนงานวิจัยที่ถูกเลือกใช้บางข้อบางตอนไปขยายผลแบบรวบรัด
ความพยายามของรัฐบาลที่ดื้อดึงใช้เสียงข้างมากในกระบวนการนิติบัญญัติ ผลักดันการ “ล้างผิด” มองข้ามการแสวงหาข้อเท็จจริงที่จะนำไปสู่การคลี่คลายความขัดแย้งได้อย่างยั่งยืน? มากกว่าแนวทาง “ล้างผิด” ที่เสี่ยงซ้ำเติมความขัดแย้ง จึงค่อยๆ ผ่อนสปีดรอดูทิศทางลม เพื่อป้องกันไม่ให้ทุกอย่างที่ทำมาพังทลายลงไป
ส่วนหนึ่งที่ทำให้กระบวนการปรองดองต้องปรับท่าทีจากความรีบเร่ง รวบรัด อาจเป็นเพราะสัญญาณ “ป๋าเปรม” ส่งออกมาระหว่างครั้งแรกหลังเงียบหายไปนานว่า พระสยามเทวาธิราชมีจริงและจะปกป้องคนดี และสาปแช่งคนไม่ดี คนทรยศต่อชาติบ้านเมืองให้พินาศไป ท่ามกลางจังหวะที่กระบวนการปรองดองรีบเร่งเดินหน้า
ในจังหวะเดียวกับที่ชื่อของ “ป๋าเปรม” ถูกพาดพิงหลายครั้งหลายหน ทั้งการเรียกของ พล.ต.สนั่น ขจรประศาสน์ ให้ พล.อ.สนธิ บุญยรัตกลิน ประธาน กมธ.ปรองดอง ออกมาระบุให้ชัดเจนว่าใครคือผู้อยู่เบื้องหลังในการปฏิวัติ เกี่ยวข้องกับ พล.อ.เปรม หรือไม่
รวมไปถึงความพยายามโยงใยของหลายฝ่ายที่สะท้อนให้เห็นว่า พล.อ.เปรม ให้เข้ามาเป็นหนึ่งในคู่ขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมเวลานี้
ท่าทีของ “ยิ่งลักษณ์” กับการเดินหน้าเข้าหาป๋าเปรมช่วงนี้ จึงไม่อาจมองเป็นอื่นถึงความพยายามกรุยทาง ปรองดอง หรือนิรโทษกรรม
แม้ “ยิ่งลักษณ์” จะออกตัวว่า พล.อ.เปรม จะเป็นผู้ใหญ่ของบ้านเมือง อีกทั้งไม่ได้มีส่วนยุ่งเกี่ยวกับการเมืองอยู่แล้ว ส่วนในเรื่องของการเดินหน้าสร้างความปรองดองนั้นก็เป็นหน้าที่ของสภา โดยในส่วนของรัฐบาลนั้น มีหน้าที่ในการบริหารและแก้ไขปัญหาให้กับบ้านเมืองเท่านั้น
ที่สำคัญกว่านั้น การเดินหน้าเข้าหา “อำมาตย์” ซึ่งอาจจะขัดหูขัดตา ของบรรดาคนเสื้อแดงที่เคยออกมาต่อสู้เรื่องชนชั้น ไพร่-อำมาตย์ จะส่งผลอย่างไรต่อไปกับฐานเสียงของ “เพื่อไทย” หรือท่าทีของแกนนำแดง ที่เปลี่ยนสถานะมาเป็นรัฐมนตรีในวันนี้
แดงล้มโต๊ะปรองดองยิงศรปักอกทักษิณ
โดย...นิติพันธุ์ สุขอรุณ
ปรากฏการณ์ “แดงล้มโต๊ะปรองดอง” เกิดขึ้นจากการรวมกลุ่มของญาติผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของคนเสื้อแดง แม้จะมีกำลังไม่มาก แต่สร้างแรงกระเพื่อมถึงแนวทางการปรองดองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ได้ไม่น้อย และนับวันจะสร้างรอยร้าวให้ลึกลงในกลุ่มคนเสื้อแดงด้วยกันเอง ณ วันนี้แนวทางที่เคยร่วมกันมาเริ่มแตกออกไปจากเดิม
ข้อเรียกร้องอันเป็นแกนกลางของกลุ่มเคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดองมิได้ขัดขวางการเดินหน้าของประเทศ แต่ต้องการให้ความยุติธรรมเกิดขึ้นก่อน เพื่อให้สังคมได้รับรู้ว่าใครเป็นผู้กระทำผิด ใครเป็นผู้ก่อการร้ายตามข้อกล่าวหา
ทว่าเมื่อความยุติธรรมยังไม่ปรากฏแก่ผู้เสียชีวิตในการชุมนุมของคนเสื้อแดง “กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยล้มโต๊ะปรองดองแห่งชาติ” ก็ไม่สามารถยอมรับการปรองดองได้ เนื่องจากตกเป็นเหยื่อของความรุนแรงจากความขัดแย้งทางการเมืองเป็นต้นเหตุ ซ้ำเติมด้วยการตีตราค่าความตาย 7.75 ล้านบาท ระหว่างที่เวลาล่วงเลยไปไม่มีผู้กระทำผิด
คำถามค้างคาใจว่าปรองดองจะเกิดขึ้นอย่างไร เมื่อ 91 ศพอาจต้องตายฟรี ผลจากการเมืองซึ่งเป็นเรื่องของอำนาจผลประโยชน์ โดยใช้สิ่งที่เป็นตัวบริสุทธิ์ นั่นคือประชาชนมาเป็นเครื่องต่อรองในทุกครั้ง
สร้างความไม่พอใจให้แก่กลุ่มคนเสื้อแดงล้มโต๊ะปรองดอง เตรียมออกมาเคลื่อนไหวในวันที่ 26 เม.ย. ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของ กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาถูกยิงเสียชีวิตในวัดปทุมวนารามฯ ถือเป็นการส่งสัญญาณครั้งสำคัญถึงรัฐบาลและ พ.ต.ท.ทักษิณ
แนวคิดของ ณัทพัช อัคฮาด น้องชายของ กมนเกด แกนนำเคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดอง ชี้ว่า ต้นทุนของพรรคเพื่อไทยต้องใช้ชีวิตคนถึง 91 ศพ บาดเจ็บจำนวนมาก รวมถึงคนที่อยู่ในเรือนจำ ถึงจะก้าวขึ้นมาเป็นรัฐบาลได้ ดังนั้นพรรคเพื่อไทยต้องตระหนักว่าอย่าเป็นวัวลืมตีน เพราะเสียงที่พรรคเพื่อไทยได้มาเป็นรัฐบาลคนเสื้อแดงต้องการค้นหาความยุติธรรมเป็นอันดับแรก
เกมการเมืองดูท่าจะจบลงไม่ง่าย หลังจากที่พรรคเพื่อไทยพ่ายแพ้การเลือกตั้งที่ จ.ปทุมธานี ทั้งสนามเล็กและสนามใหญ่ที่ผ่านมา ด้วยบทความของคนเสื้อแดง เรื่อง “คนเสื้อแดงสาแก่ใจเพื่อไทยแพ้ ปชป. เลือกตั้งซ่อมปทุมธานี” ของ อรรถชัย อนันตเมฆ ดาราเสื้อแดง โพสต์ข้อความภูมิใจในความยิ่งใหญ่ของคนเสื้อแดงปทุมฯ ที่พิสูจน์แล้วว่าคนเสื้อแดงอยู่เหนือพรรคการเมือง ไม่ใช่จะทำอะไรกับคนเสื้อแดงก็ได้ยิ่งทำให้ภาพชัดมากขึ้น
สอดคล้องกับแนวคิดของ สุธาชัยยิ้มประเสริฐ นักวิชาการกลุ่มเสื้อแดง ส่งเสียงสะท้อนถึงท่าทีของรัฐบาลต่อการเพิกเฉยให้ประกันตัวกลุ่มคนเสื้อแดงที่ยังอยู่ในเรือนจำในข้อหานักโทษการเมือง ทั้งที่สามารถออกพระราชกฤษฎีกาประกันตัวได้ง่าย แต่รัฐบาลกลับไม่ทำ สิ่งเหล่านี้สะท้อนชัดว่ารัฐบาลเพิกเฉยต่อเรื่องการละเมิดสิทธิมนุษยชนต่อกลุ่มคนเสื้อแดงโดยสิ้นเชิง และพยายามปรองดองกับกลุ่มอำมาตย์อย่างเห็นได้ชัด
ทางฟากของรัฐบาลพยายามผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดองแห่งชาติ เป็นหลักสำคัญโดยไม่พูดถึงเรื่องการลงโทษ แต่มุ่งเน้นให้อภัยต่อกันเอง หรือผู้เสียหายต้องยอมเสียสละเพื่อประเทศ ตามมาด้วยการหยิบยกความเห็นของคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางสร้างความปรองดองแห่งชาติ ที่มี พล.อ.สนธิบุญยรัตกลิน หัวหน้าพรรคมาตุภูมิ เป็นประธาน หรือแม้กระทั่งผลวิจัยของสถาบันพระปกเกล้าที่สุดท้ายต้องวิ่งกลับมาถอนผลงานตัวเองคืน
ขณะที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)สรุปแฟ้มสำนวนคดีก่อการร้ายอ่อนลง ไม่ขึงขังเหมือนในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลจนสุดท้ายไม่พบชายชุดดำ ก็ยิ่งสร้างความรู้สึกมึนงงของญาติผู้เสียชีวิต
ยิ่งต้องจับตาความเคลื่อนไหวของ พ.ต.ท.ทักษิณ ส่งสัญญาณด้วยเช่นกัน เมื่อท่าทีอ่อนลง โดยเฉพาะกับคู่ขัดแย้งกับ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีและรัฐบุรุษ ที่ พ.ต.ท.ทักษิณ เคยชี้ไปตรงๆ ว่าเป็นผู้มีบารมีนอกรัฐธรรมนูญ หรือหัวหน้ากลุ่มอำมาตย์ใหญ่ พร้อมส่งแกนนำแดงยกโขยงไปเยี่ยมถึงหน้าบ้าน “ป๋าเปรม” แต่ช่วงเวลานี้เป็นการกล่าวอวยพรวันสงกรานต์ให้ป๋าเปรมมีสุขภาพแข็งแรง นัยว่าไม่ใช่คู่ขัดแย้งกันอีกต่อไป
วาทกรรมปรองดองฉบับ พ.ต.ท.ทักษิณ ที่กัมพูชา มาพร้อมรูปแบบนอบน้อมมีคารวะกับฉากปรองดองสวยหรูด้วยโวหารเลิกทะเลาะกัน ไม่มีขั้ว ไม่มีสีเหลืองสีแดงอีกต่อไป จูงใจให้คล้อยตามได้ไม่น้อย แต่ด้านหนึ่งก็เปลือยตัวตน เช่น การบอกว่าใครไม่ปรองดองก็ช่วยไม่ได้ หรือช่างแม่มัน แม้แต่ในช่วงร้องเพลงบนเวทีตัวตนจริงๆ ที่เต็มไปด้วยความโกรธแค้นหลุดออกมาเป็นระยะๆ
ปมจุดนี้จะสร้างรอยร้าวให้เกิดในความเป็นคนเสื้อแดงแตกออกเป็น 2 กลุ่ม คือ 1.กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) กลุ่มนี้เป็นแดงขึ้นตรงกับ พ.ต.ท.ทักษิณ มีเป้าหมายหลักชัดว่าทุกอย่างขึ้นอยู่กับการนำทิศทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ และต้องนำ พ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศให้ได้
ผลจากการต่อสู้ที่ผ่านมา เป็นการตบรางวัลอย่างงาม ด้วยตำแหน่งทางการเมืองเป็นรางวัล เป็นรัฐมนตรี เป็นที่ปรึกษารัฐมนตรี หรือเป็นสส.ผู้ทรงเกียรติในสภาให้เหล่าแกนนำกลุ่มแต่เมื่อญาติผู้เสียชีวิตถามถึงความยุติธรรม กลับเงียบเชียบ
2.กลุ่มคนเสื้อแดงรักประชาธิปไตย กลุ่มนี้มีจุดหมายเพื่อประชาธิปไตยเป็นหลัก ทิศทางที่ผ่านมาชี้ให้เห็นชัดว่าเป็นการต่อสู้เพื่อรื้อรากรัฐธรรมนูญมาปรับแก้ใหม่ รูปแบบการเคลื่อนไหวสนับสนุนแก้ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
ทว่าด้วยปัจจัยที่เกิดจากความรุนแรงทำให้มีผู้เสียชีวิต เป้าหมายจากนี้จึงเป็นการค้นหาความจริง สร้างความยุติธรรมให้เกิดขึ้น ถึงแม้จะได้เงินเยียวยา แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าจะลบล้างความเจ็บปวดที่เกิดขึ้นได้
ถึงนาทีนี้กลุ่มเสื้อแดงที่เคลื่อนไหวคัดค้านการปรองดองกลายเป็นอุปสรรคสำคัญขวาง พ.ต.ท.ทักษิณ ที่ได้ปักธงปรองดองด้วยความอ่อมน้อมไปแล้ว
กลับตาลปัตรกลายเป็นว่าใครขวางปรองดองเท่ากับค้านแนวทางของ พ.ต.ท.ทักษิณ อีกทั้งเป็นปรปักษ์กับทิศทางเดินหน้าประเทศ คนเสื้อแดงบางส่วนต้องยอมเสียสละแล้วกลายเป็นแดงชายขอบไปในทันที จะด้วยเต็มใจยอมรับหรือไม่ก็ตาม
โฟกัสไปที่ขุมกำลังของ พ.ต.ท.ทักษิณ ยังแข็งแกร่งทั้งในและนอกสภา ผลักดัน พ.ร.บ.ปรองดอง หรือ พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ไม่มีปัญหาเรื่องจำนวนเสียงข้างมาก พุ่งเป้าไปที่การแก้ไขและยกร่างรัฐธรรมนูญ มีทั้งผู้ที่เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย แต่เมื่อได้รับเลือกตั้งกำหนดการแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นนโยบายเร่งด่วน ก็ต้องดำเนินการให้ลุล่วง ถือเป็นด่านแรกเมื่อพรรคเพื่อไทยสามารถได้เสียงสนับสนุนจาก สส.พรรคร่วมรัฐบาลและจาก สว.อย่างท่วมท้นถึง 399 เสียง เพื่อยกมือโหวตรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญในวาระแรกผ่านพ้นไปแล้ว
ท้ายที่สุดความไม่ไยดีต่อญาติผู้เสียชีวิตนำมาซึ่งฐานกำลังลดลง ขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเพิ่มมากขึ้น ภาพใหญ่ของนาทีนี้ชัดเจนแล้วว่า หากปล่อยให้น้ำกัดเซาะไม่เหลียวแล คนเสื้อแดงจะแยกตัวออกมาเคลื่อนไหวเองโดยไม่ต้องพึ่งการเมืองหรือแม้กระทั้ง พ.ต.ท.ทักษิณ อีกต่อไป
เรื่องแม้วๆ
หลากหลายเรื่องราวมีมามากมายในตอนช่วงสงกรานต์ที่ผ่านมานี้ นับตั้งแต่เรื่องของ การเมือง การมุ้ง การหมา การแมว ไปจนถึงการแม้ว
การเมืองก็ยังคงยุ่งเหยิงยักแย่ยักยันอยู่กับกฎหมายปรองดอง ซึ่งทำท่าว่าจะไม่ถูกดองแต่ใกล้เวลาที่คุณปูผู้น้องจะเปิดซองเพื่อทำการประมูลให้กับผู้ใด ว่าใครกันหนอที่มีใบหน้าหนายิ่งกว่ายางมะตอย คอยจ้องแต่คิดที่จะพาป๋าแม้วกลับบ้าน แล้วยังดันทะลึ่งบอกว่า ข้าจะมาปรองดอง
การหมา การแมว ก็เป็นเรื่องของหมาๆแมวๆที่มนุษย์ใจร้ายจับยัดใส่รถกระบะเพื่อจะพาไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน คราวนี้มิใช่เพียงตัวสองตัวแต่เป็นจำนวนหลายพันตัวทีเดียว
เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีความรักความเมตตา เรื่องของหมาๆแมวๆจึงเป็นเรื่องราวข่าวใหญ่ ไม่น้อยหน้าไปกว่าเรื่องของการเมืองในรัฐสภา ที่มีหมาๆแมวๆอยู่มากมายแต่ไม่มีใครกล้าจับเอาไปขายกับเขาเสียที
การแม้ว ถึงไม่เป็นเรื่องก็ต้องเป็นเรื่องอยู่ดี ตราบใดที่คุณพี่ยังมีเงินและมีเรี่ยวมีแรง คิดจะถ่มน้ำลายรดฟ้า และยังคิดหาญกล้าที่จะแข่งบุญแข่งวาสนากับเทวดาฟ้าดิน ด้วยเหตุฉะนี้ เรื่องราวฉาวๆของคุณแม้วจึงมีได้ทุกวี่ทุกวัน มากกว่าคุณหมาคุณแมวหลายเท่านัก
สำหรับเทศกาลปีใหม่ไทยในคราวนี้พี่แม้วสวมวิญญาณนักวิชาการบุกประชิดติดบ้านด้วยยุทธการปิดประตูตีแมว
ด้วยการลัดเลาะเกาะประชิดติดรั้วชายแดนประเทศไทยตั้งแต่ในประเทศลาวก่อนที่จะเข้าไปทำพิธีใหญ่ในบ้านของท่านฮุนเซ็น
สงกรานต์คราวนี้พี่แม้วจัดหนักเต็มสูบทั้งสี่ ใช้วิธีปิดประตูตีแมวแล้วเปิดแนวทุกทิศทางทั้งจากภายนอก และจากภายในของรัฐสภา ที่มีม้าไม้เมืองทรอยคอยเปิดเกมส์แก้กฎหมาย เพื่อให้คุณพี่ได้มีโอกาสกลับบ้านเก่ากับเขาเสียที
ที่ว่าเป็นนักวิชาการก็เพราะท่านด๊อกเตอร์แม้วนั้นสวมวิญญาณนักภูมิศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ แถมพ่วงด้วยไสยศาสตร์ไม่ขาดไม่เกิน
ที่เป็นนักภูมิศาสตร์นั้นก็เพราะท่านชอบเดินทางสำรวจตรวจชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เผื่อว่าถ้าเพื่อนๆขาดเหลืออย่างไรก็จะได้ไปขุดเอาจากอ่าวไทย หรือไม่ก็ให้น้องปูปล่อยเงินกู้จากรัฐบาลไทยฟรีๆที่ไม่ใช่เงินจากกระเป๋าของพรรคพวกคนไหนให้กระเด็นแม้แต่เซ็นต์เดียว
คุณแม้วนั้นท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นดีไม่มีใครเทียบ เข้าทำนองมีสลึงพึงประจบให้ครบบาท แม้แต่เงินของชาติก็เอาไปไม่ให้เหลือ
ถึงจะร่ำลือว่าท่านขี้เหนียวเขี้ยวขนาดไหน แต่สงกรานต์คราวนี้ท่านมีใจ ถึงกับลงทุนทำหน้ากากแจกจ่ายให้กันโดยทั่วถึง ว่าแต่ว่าหน้ากากของท่านนั้น ดูไปดูมาเหมือนกับ“กิ้งก่า”ยังไงก็ยังงั้น ก็ไม่น่าไปโทษท่านหรอก หรือว่าท่านอาจจะจ่ายน้อยไปก็เป็นได้ ยังไงๆก็ต้องโทษคนออกแบบถึงจะถูก ว่าทำไมไม่ใช้ใบหน้าท่านมาเป็นแบบ กลับไปเอากิ้งก่ามาจากไหนก็ไม่รู้ แต่พอดูไปมองมาก็นับว่ายังหล่อดี มีส่วนคล้ายๆใกล้เคียงไม่ผิดไม่เพี้ยนจนเกินไป
วิชาประวัติศาสตร์ท่านก็ไม่ด้อยน้อยไปกว่าใคร ถึงแม้ว่าท่านจะแกล้งลืมหรือลืมจริงๆถึงข้อห้ามที่มีความหมายหลายอย่างไปบ้างก็ตามที
ท่านสั่งให้นำช้างซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญญาบารมีจากเมืองไทยให้ไปทำพิธีที่ประเทศลาว นัยว่าเพื่อเป็นการสะเดาะห์เคราะห์สร้างผลบุญสร้างบารมี เผื่อจะมีโอกาสได้กลับบ้านเก่ากับเขาเสียที
แต่ท่านคงลืมไปว่าพญาช้างนั้นเป็นสัตว์คู่บุญบารมีของบุรพมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยโบราณกาล ถ้าจะต้องทำพิธีกรรมพิธีการก็ต้องเป็นเรื่องของ “เจ้า”เท่านั้น
ที่ร้ายไปกว่านั้นท่านคงเผลอไผลถึงกับบอกว่าจะนั่งช้างไทยกลับมาเมืองไทย อะไรจะขนาดนั้น แต่ที่รู้ๆผู้ที่นั่งช้างกลับมาเมืองไทยทางแม่น้ำสะโตงและด่านเจดีย์สามองค์ เมื่อเดือน 6 แรม 3 ค่ำ ปี พ.ศ.2127 ก็คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับชาติไทยในอดีตกาล
หลังจากนั้นเสี่ยแม้วก็เดินทางเข้าประเทศกัมพูชา เพื่อจะทำพิธีทางศาสนาแบบไทยๆและเพื่อให้พี่น้องเสื้อแดง,ชาว นปช., สส.พรรคเพื่อไทย ,และรัฐมนตรี ได้มีโอกาสร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ทั้งจากเมืองไทยและกัมพูชา จำนวน 256 รูป ที่โบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ “นครวัด”ในจังหวัดเสียมราฐ
เสร็จแล้วก็มีการรดน้ำดำหัวท่านแม้วในนครวัดแห่งนั้นนั่นแหละครับ
หลังจากนั้นท่านยังใช้สายสูบน้ำฉีดจากที่ท่านนั่งลงไปยังด้านล่างของผู้มาร่วมงาน ฉลองสงกรานต์ไทยชื่นใจชื่นบานสนุกสนานกันถ้วนทั่วทุกตัวคน
ที่น่าสังเกตุก็คือตัวเลขจำนวนพระสงฆ์ 256 รูป เพราะตัวเลข 2 กับ 5 นั้นถือว่าเป็นเลขมงคล เป็นเลขดีของพี่แม้วเชียวล่ะจะบอกให้
ก็จะต้องขอบอกว่าวัดวาอาราม โบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของต้องห้าม เปรียบเทียบได้กับศาลพระภูมิประจำบ้านที่จะช่วยคุ้มครองปกป้องให้ผู้ที่อยู่อาศัยได้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
เมืองไทยเรามีวัดพระแก้วเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง กัมพูชาก็มีนครวัด นครธม
ผู้ที่จะทำพิธีในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้น
นครวัดนั้นแต่ก่อนแต่ไรก็มีเพียงแต่ท่านสีหนุผู้เคยเป็นกษัตริย์ในดวงใจของชาวกัมพูชาที่ได้ เสด็จมาทำพิธีในสถานที่แห่งนี้
ต่อมาไม่ช้าไม่นานวันดีคืนดีในปี พ.ศ. 2536 คุณพี่ฮุนเซ็นซึ่งกำลังเป็นใหญ่ในแผ่นดินนั้น เขาว่ากันว่าคุณน้าไปบังคับสมเด็จสีหนุซึ่งอยู่ในฐานะที่ว่า“จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด” ให้ท่านสีหนุทำการแต่งตั้งท่านจากคนธรรมดาให้มาเป็น“เจ้า”ตั้งชื่อใหม่เสียเก๋ไก่ว่า“สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซ็น”
สมเด็จฮุนเซ็นจึงเป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้มาทำพิธี ณ นครวัดแห่งนี้
นอกเหนือไปจากนี้ก็ยังไม่มีสามัญชนคนไหนที่จะได้ใช้สถานที่แห่งนี้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดแม้วเอย ว่าคุณน้าฮุนเซ็นได้ผลประโยชน์มหาศาลจากท่านแม้วในน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย ซึ่งเป็นทรัพย์สินของประเทศไทย รวมไปถึงผลประโยชน์ทับซ้อนที่ไม่เข้าใครออกใครในธุรกิจที่ทำร่วมกันมา ก็ไม่น่าจะเกินเลยไปจากความเป็นจริงที่ยิ่งกว่านิยายหลายเท่านัก
คุณแม้วผู้หาญกล้าจึงได้มาทำพิธีที่นครวัดแห่งนี้โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ
แต่ที่แปลกยิ่งกว่าแปลกจนเกินความสงสัยก็คือว่าผู้ที่จะมาทำพิธีนี้ได้ ต้องเป็น“เจ้า”เท่านั้น
หรือว่าคุณแม้วคิดการใหญ่ มากกว่าใหญ่ เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด !
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ดวงชะตาบ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายขายปลาช่อนอยู่ในขณะนี้ หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นคนชื่อทักษิณ
ก็ต้องขอบอกว่า สารพัดสารพันของเหตุการณ์ทั้งหลายในโลกใบนี้ เกิดขึ้นมาอย่างไรก็ย่อมเป็นไปอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะไปฝืนดวงชะตา หรือว่าจะไปห้ามธรรมชาติแห่งความเป็นไปได้หรอกจะบอกให้
หรือจะพูดว่า ฝนจะตก ลูกจะออก ข้าวจะบูด น้ำจะไหล ใครจะห้ามได้
จนถึงวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณแม้ว เรียกว่าพญาแม้วนั้นเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทยทีเดียว
แต่ว่าจะสำคัญในด้านไหนก็ต้องไปคิดดูกันเอาเอง
ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องมาดูกันว่า ดวงชะตาของคุณทักษิณนั้นอยู่ในขั้นไหน ดีหรือร้ายอย่างไร ตามไปดูกัน
คุณทักษิณ ชินวัตร ลืมตาออกมาดูโลกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 เมื่อเวลา 11.15 นาฬิกา ที่จังหวัดเชียงราย ตรงกับ วันอังคาร เดือน 9 ปีฉลู ลัคนาราศีอยู่ที่ ราศีกันย์ อายุปัจจุบัน 62 ปี 9 เดือน
ดวงชะตาขณะนี้ดาวพระพุธแทรกดาวพระราหูจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม ยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่าดาวพระราหูให้คุณ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองบ้าง แต่มีดาวบริวารคอยช่วยเหลือคุ้มครอง พอจะถูไถร่อนไปร่อนมาหาเหาหาเห็บได้อยู่หรอก แต่จะไปหวังอะไรจากน้องปูก็ดูทีท่าว่าคงยากเย็นแสนเข็ญเต็มที เพราะดวงคุณปูก็บู่บู้บี้หาที่ลงกับเขาไม่ได้เหมือนกัน
หลังวันที่ 5 พฤษภา จนไปถึง 14 มิถุนา 2556 ดาวพระเสาร์แทรกดาวราหูเป็นเวลา 1 ปี 10 เดือน 10 วัน เป็นดาวเสาร์เจ้าแห่งกรรม เป็นดาวเสาร์ที่จะเผาคุณแม้วโดยไม่ต้องแจวและไม่ต้องจอด ธาตุดินและธาตุไม้จะให้โทษ ถ้าจะให้ดีมีทางรอดก็ต้องสลับสับเปลี่ยนใช้บริการของบริวารลิ่วล้อคนใหม่ที่ไม่ใช่หนูปู ถ้ายังคิดอยากจะอยู่เป็นรัฐบาลอีกต่อไป
ย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาดวงเมืองเริ่มจะดีมีพลัง ช่วงนี้อาจจะมีอะไรเซอร์ไพร๊ซ์ไม่นึกไม่ฝันเกิดขึ้นได้ทุกเวลานาที
ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยของเรานั้นมีความอาถรรพ์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองปกป้องรักษามาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง อีกทั้งดวงวิญญาณขององค์
บุรพมหากษัตริย์ ตลอดจนดวงวิญญาณของทหารกล้า ผู้รักษาปกป้องแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานมาจนถึงทุกวันนี้
ครับ ประเทศไทยมิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนไทยทุกคน
การเมืองก็ยังคงยุ่งเหยิงยักแย่ยักยันอยู่กับกฎหมายปรองดอง ซึ่งทำท่าว่าจะไม่ถูกดองแต่ใกล้เวลาที่คุณปูผู้น้องจะเปิดซองเพื่อทำการประมูลให้กับผู้ใด ว่าใครกันหนอที่มีใบหน้าหนายิ่งกว่ายางมะตอย คอยจ้องแต่คิดที่จะพาป๋าแม้วกลับบ้าน แล้วยังดันทะลึ่งบอกว่า ข้าจะมาปรองดอง
การหมา การแมว ก็เป็นเรื่องของหมาๆแมวๆที่มนุษย์ใจร้ายจับยัดใส่รถกระบะเพื่อจะพาไปขายให้กับประเทศเพื่อนบ้าน คราวนี้มิใช่เพียงตัวสองตัวแต่เป็นจำนวนหลายพันตัวทีเดียว
เมืองไทยเราเป็นเมืองพุทธ ประชาชนส่วนใหญ่ล้วนแล้วแต่มีความรักความเมตตา เรื่องของหมาๆแมวๆจึงเป็นเรื่องราวข่าวใหญ่ ไม่น้อยหน้าไปกว่าเรื่องของการเมืองในรัฐสภา ที่มีหมาๆแมวๆอยู่มากมายแต่ไม่มีใครกล้าจับเอาไปขายกับเขาเสียที
การแม้ว ถึงไม่เป็นเรื่องก็ต้องเป็นเรื่องอยู่ดี ตราบใดที่คุณพี่ยังมีเงินและมีเรี่ยวมีแรง คิดจะถ่มน้ำลายรดฟ้า และยังคิดหาญกล้าที่จะแข่งบุญแข่งวาสนากับเทวดาฟ้าดิน ด้วยเหตุฉะนี้ เรื่องราวฉาวๆของคุณแม้วจึงมีได้ทุกวี่ทุกวัน มากกว่าคุณหมาคุณแมวหลายเท่านัก
สำหรับเทศกาลปีใหม่ไทยในคราวนี้พี่แม้วสวมวิญญาณนักวิชาการบุกประชิดติดบ้านด้วยยุทธการปิดประตูตีแมว
ด้วยการลัดเลาะเกาะประชิดติดรั้วชายแดนประเทศไทยตั้งแต่ในประเทศลาวก่อนที่จะเข้าไปทำพิธีใหญ่ในบ้านของท่านฮุนเซ็น
สงกรานต์คราวนี้พี่แม้วจัดหนักเต็มสูบทั้งสี่ ใช้วิธีปิดประตูตีแมวแล้วเปิดแนวทุกทิศทางทั้งจากภายนอก และจากภายในของรัฐสภา ที่มีม้าไม้เมืองทรอยคอยเปิดเกมส์แก้กฎหมาย เพื่อให้คุณพี่ได้มีโอกาสกลับบ้านเก่ากับเขาเสียที
ที่ว่าเป็นนักวิชาการก็เพราะท่านด๊อกเตอร์แม้วนั้นสวมวิญญาณนักภูมิศาสตร์ นักเศรษฐศาสตร์ นักประวัติศาสตร์ แถมพ่วงด้วยไสยศาสตร์ไม่ขาดไม่เกิน
ที่เป็นนักภูมิศาสตร์นั้นก็เพราะท่านชอบเดินทางสำรวจตรวจชายแดนประเทศเพื่อนบ้าน เผื่อว่าถ้าเพื่อนๆขาดเหลืออย่างไรก็จะได้ไปขุดเอาจากอ่าวไทย หรือไม่ก็ให้น้องปูปล่อยเงินกู้จากรัฐบาลไทยฟรีๆที่ไม่ใช่เงินจากกระเป๋าของพรรคพวกคนไหนให้กระเด็นแม้แต่เซ็นต์เดียว
คุณแม้วนั้นท่านเป็นนักเศรษฐศาสตร์ชั้นดีไม่มีใครเทียบ เข้าทำนองมีสลึงพึงประจบให้ครบบาท แม้แต่เงินของชาติก็เอาไปไม่ให้เหลือ
ถึงจะร่ำลือว่าท่านขี้เหนียวเขี้ยวขนาดไหน แต่สงกรานต์คราวนี้ท่านมีใจ ถึงกับลงทุนทำหน้ากากแจกจ่ายให้กันโดยทั่วถึง ว่าแต่ว่าหน้ากากของท่านนั้น ดูไปดูมาเหมือนกับ“กิ้งก่า”ยังไงก็ยังงั้น ก็ไม่น่าไปโทษท่านหรอก หรือว่าท่านอาจจะจ่ายน้อยไปก็เป็นได้ ยังไงๆก็ต้องโทษคนออกแบบถึงจะถูก ว่าทำไมไม่ใช้ใบหน้าท่านมาเป็นแบบ กลับไปเอากิ้งก่ามาจากไหนก็ไม่รู้ แต่พอดูไปมองมาก็นับว่ายังหล่อดี มีส่วนคล้ายๆใกล้เคียงไม่ผิดไม่เพี้ยนจนเกินไป
วิชาประวัติศาสตร์ท่านก็ไม่ด้อยน้อยไปกว่าใคร ถึงแม้ว่าท่านจะแกล้งลืมหรือลืมจริงๆถึงข้อห้ามที่มีความหมายหลายอย่างไปบ้างก็ตามที
ท่านสั่งให้นำช้างซึ่งถือว่าเป็นสัตว์ที่มีบุญญาบารมีจากเมืองไทยให้ไปทำพิธีที่ประเทศลาว นัยว่าเพื่อเป็นการสะเดาะห์เคราะห์สร้างผลบุญสร้างบารมี เผื่อจะมีโอกาสได้กลับบ้านเก่ากับเขาเสียที
แต่ท่านคงลืมไปว่าพญาช้างนั้นเป็นสัตว์คู่บุญบารมีของบุรพมหากษัตริย์ไทยตั้งแต่สมัยโบราณกาล ถ้าจะต้องทำพิธีกรรมพิธีการก็ต้องเป็นเรื่องของ “เจ้า”เท่านั้น
ที่ร้ายไปกว่านั้นท่านคงเผลอไผลถึงกับบอกว่าจะนั่งช้างไทยกลับมาเมืองไทย อะไรจะขนาดนั้น แต่ที่รู้ๆผู้ที่นั่งช้างกลับมาเมืองไทยทางแม่น้ำสะโตงและด่านเจดีย์สามองค์ เมื่อเดือน 6 แรม 3 ค่ำ ปี พ.ศ.2127 ก็คือสมเด็จพระนเรศวรมหาราชผู้สร้างประวัติศาสตร์ให้กับชาติไทยในอดีตกาล
หลังจากนั้นเสี่ยแม้วก็เดินทางเข้าประเทศกัมพูชา เพื่อจะทำพิธีทางศาสนาแบบไทยๆและเพื่อให้พี่น้องเสื้อแดง,ชาว นปช., สส.พรรคเพื่อไทย ,และรัฐมนตรี ได้มีโอกาสร่วมทำบุญตักบาตรพระสงฆ์ทั้งจากเมืองไทยและกัมพูชา จำนวน 256 รูป ที่โบราณสถานอันศักดิ์สิทธิ์ “นครวัด”ในจังหวัดเสียมราฐ
เสร็จแล้วก็มีการรดน้ำดำหัวท่านแม้วในนครวัดแห่งนั้นนั่นแหละครับ
หลังจากนั้นท่านยังใช้สายสูบน้ำฉีดจากที่ท่านนั่งลงไปยังด้านล่างของผู้มาร่วมงาน ฉลองสงกรานต์ไทยชื่นใจชื่นบานสนุกสนานกันถ้วนทั่วทุกตัวคน
ที่น่าสังเกตุก็คือตัวเลขจำนวนพระสงฆ์ 256 รูป เพราะตัวเลข 2 กับ 5 นั้นถือว่าเป็นเลขมงคล เป็นเลขดีของพี่แม้วเชียวล่ะจะบอกให้
ก็จะต้องขอบอกว่าวัดวาอาราม โบราณสถานคู่บ้านคู่เมืองนั้นเป็นของศักดิ์สิทธิ์เป็นของต้องห้าม เปรียบเทียบได้กับศาลพระภูมิประจำบ้านที่จะช่วยคุ้มครองปกป้องให้ผู้ที่อยู่อาศัยได้ปลอดภัยจากภยันตรายทั้งปวง
เมืองไทยเรามีวัดพระแก้วเป็นวัดคู่บ้านคู่เมือง กัมพูชาก็มีนครวัด นครธม
ผู้ที่จะทำพิธีในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ก็มีแต่พระมหากษัตริย์เท่านั้น
นครวัดนั้นแต่ก่อนแต่ไรก็มีเพียงแต่ท่านสีหนุผู้เคยเป็นกษัตริย์ในดวงใจของชาวกัมพูชาที่ได้ เสด็จมาทำพิธีในสถานที่แห่งนี้
ต่อมาไม่ช้าไม่นานวันดีคืนดีในปี พ.ศ. 2536 คุณพี่ฮุนเซ็นซึ่งกำลังเป็นใหญ่ในแผ่นดินนั้น เขาว่ากันว่าคุณน้าไปบังคับสมเด็จสีหนุซึ่งอยู่ในฐานะที่ว่า“จะบีบก็ตายจะคลายก็รอด” ให้ท่านสีหนุทำการแต่งตั้งท่านจากคนธรรมดาให้มาเป็น“เจ้า”ตั้งชื่อใหม่เสียเก๋ไก่ว่า“สมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุนเซ็น”
สมเด็จฮุนเซ็นจึงเป็นอีกท่านหนึ่งที่ได้มาทำพิธี ณ นครวัดแห่งนี้
นอกเหนือไปจากนี้ก็ยังไม่มีสามัญชนคนไหนที่จะได้ใช้สถานที่แห่งนี้
เสียงลือเสียงเล่าอ้างอันใดแม้วเอย ว่าคุณน้าฮุนเซ็นได้ผลประโยชน์มหาศาลจากท่านแม้วในน้ำมันและก๊าซธรรมชาติบริเวณอ่าวไทย ซึ่งเป็นทรัพย์สินของประเทศไทย รวมไปถึงผลประโยชน์ทับซ้อนที่ไม่เข้าใครออกใครในธุรกิจที่ทำร่วมกันมา ก็ไม่น่าจะเกินเลยไปจากความเป็นจริงที่ยิ่งกว่านิยายหลายเท่านัก
คุณแม้วผู้หาญกล้าจึงได้มาทำพิธีที่นครวัดแห่งนี้โดยไม่มีข้อสงสัยใดๆ
แต่ที่แปลกยิ่งกว่าแปลกจนเกินความสงสัยก็คือว่าผู้ที่จะมาทำพิธีนี้ได้ ต้องเป็น“เจ้า”เท่านั้น
หรือว่าคุณแม้วคิดการใหญ่ มากกว่าใหญ่ เกินกว่าที่ใครจะคาดคิด !
ไม่อาจปฏิเสธได้ว่า ดวงชะตาบ้านเมืองที่กำลังวุ่นวายขายปลาช่อนอยู่ในขณะนี้ หนีอย่างไรก็หนีไม่พ้นคนชื่อทักษิณ
ก็ต้องขอบอกว่า สารพัดสารพันของเหตุการณ์ทั้งหลายในโลกใบนี้ เกิดขึ้นมาอย่างไรก็ย่อมเป็นไปอย่างนั้น ไม่มีใครที่จะไปฝืนดวงชะตา หรือว่าจะไปห้ามธรรมชาติแห่งความเป็นไปได้หรอกจะบอกให้
หรือจะพูดว่า ฝนจะตก ลูกจะออก ข้าวจะบูด น้ำจะไหล ใครจะห้ามได้
จนถึงวันนี้ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีใครที่ไม่รู้จักคุณแม้ว เรียกว่าพญาแม้วนั้นเป็นคนสำคัญคนหนึ่งของประเทศไทยทีเดียว
แต่ว่าจะสำคัญในด้านไหนก็ต้องไปคิดดูกันเอาเอง
ถ้าอย่างนั้น ก็ต้องมาดูกันว่า ดวงชะตาของคุณทักษิณนั้นอยู่ในขั้นไหน ดีหรือร้ายอย่างไร ตามไปดูกัน
คุณทักษิณ ชินวัตร ลืมตาออกมาดูโลกเมื่อวันที่ 26 กรกฎาคม 2492 เมื่อเวลา 11.15 นาฬิกา ที่จังหวัดเชียงราย ตรงกับ วันอังคาร เดือน 9 ปีฉลู ลัคนาราศีอยู่ที่ ราศีกันย์ อายุปัจจุบัน 62 ปี 9 เดือน
ดวงชะตาขณะนี้ดาวพระพุธแทรกดาวพระราหูจนถึงวันที่ 5 พฤษภาคม ยังอยู่ในช่วงที่เรียกว่าดาวพระราหูให้คุณ ถึงแม้ว่าจะต้องเสียเงินเสียทองบ้าง แต่มีดาวบริวารคอยช่วยเหลือคุ้มครอง พอจะถูไถร่อนไปร่อนมาหาเหาหาเห็บได้อยู่หรอก แต่จะไปหวังอะไรจากน้องปูก็ดูทีท่าว่าคงยากเย็นแสนเข็ญเต็มที เพราะดวงคุณปูก็บู่บู้บี้หาที่ลงกับเขาไม่ได้เหมือนกัน
หลังวันที่ 5 พฤษภา จนไปถึง 14 มิถุนา 2556 ดาวพระเสาร์แทรกดาวราหูเป็นเวลา 1 ปี 10 เดือน 10 วัน เป็นดาวเสาร์เจ้าแห่งกรรม เป็นดาวเสาร์ที่จะเผาคุณแม้วโดยไม่ต้องแจวและไม่ต้องจอด ธาตุดินและธาตุไม้จะให้โทษ ถ้าจะให้ดีมีทางรอดก็ต้องสลับสับเปลี่ยนใช้บริการของบริวารลิ่วล้อคนใหม่ที่ไม่ใช่หนูปู ถ้ายังคิดอยากจะอยู่เป็นรัฐบาลอีกต่อไป
ย่างเข้าสู่เดือนพฤษภาดวงเมืองเริ่มจะดีมีพลัง ช่วงนี้อาจจะมีอะไรเซอร์ไพร๊ซ์ไม่นึกไม่ฝันเกิดขึ้นได้ทุกเวลานาที
ต้องไม่ลืมว่าประเทศไทยของเรานั้นมีความอาถรรพ์ มีสิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครองปกป้องรักษามาตั้งแต่โบราณกาล ทั้งพระเสื้อเมือง พระทรงเมือง พระหลักเมือง อีกทั้งดวงวิญญาณขององค์
บุรพมหากษัตริย์ ตลอดจนดวงวิญญาณของทหารกล้า ผู้รักษาปกป้องแผ่นดินไทยไว้ให้ลูกหลานมาจนถึงทุกวันนี้
ครับ ประเทศไทยมิใช่ของใครคนใดคนหนึ่ง แต่เป็นของคนไทยทุกคน
อะไรๆก็กู (เขื่อน โรงไฟฟ้า โรงก๊าซ )
โดย Peaw Krittaporn
”..ไดโนเสาร์มันก็คือสัตว์เดรัจฉานยุคดึกดำบรรพ์..มันก็คงไม่เคยรู้จักเรียนรู้บทเรียนความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีต..”
อันที่จริงไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ก็มีนโยบายที่เป็นรอยด่างต่อการตัดสินใจของตัวเองทุกรัฐบาล มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะจดจำมาเป็นบทเรียน มีสำนึกละอายถึงข้อผิดพลาดกันหรือไม่ หรือหากมีโอกาสจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกหรือเปล่า…นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำใจยอมรับที่จะไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บขุดเอามาด่ากันจนบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าไม่ได้ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า ไม่รู้สึกต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เพียงแต่นี่ก็ถือว่าเป็นการ “ยอมจำนน” กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
สมัยรัฐบาลสมัคร ก็เอาแก่งเสือเต้นมาเต้นแย๊บๆ โครงการฟัน..เอ๊ย..ผันโขงชีมูนแสนล้านเกือบจะฟื้นคืนชีพ แต่พับไปด้วยบุญของบ้านเมือง..โดยส่วนตัว..คิดว่าต่อให้ไม่มีพันธมิตรก็ใช่ว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพ เพราะก็ต้องมีมวลชนในรูปแบบของการต่อต้านเมกะโปรเจ็คที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอยู่ดี ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า ประชาชนไม่เคยทอดทิ้งรัฐบาล..ถึงแม้เราจะมอบอำนาจให้ท่านไปทำงานบริหารบ้านเมืองแทนเรา แต่เรื่องใหญ่ๆ ใช้เงินภาษีและสร้างหนี้ให้เรามากมายขนาดนี้ ขอให้เราตัดสินใจด้วยบ้างเถอะ อย่าคิดกันเอง ตัดสินใจกันเองแค่ไม่กี่ร้อยคนเลย ข้อสำคัญ ในเมื่อคุณไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องมากมายอะไร พวกคุณไม่กี่ร้อยคนก็ควรฟังคนจำนวนหมื่นแสนที่ได้รับความเดือดร้อนบ้าง
สำหรับตอนข้าพเจ้าไปฟังตัวแทนพรรคมาแถลงนโยบายก่อนเลือกตั้งหาที่มติชนจัด ..เห็นท่านปลอดประสพงับหัว NGOs ว่า”..บ้านเรามันมีพวกนี้ที่ทำให้เมืองไทยล้าหลังกลับไปขี่ควาย จะทำอะไรก็มีแต่ NGOs มาขัดขวาง ไม่รู้ประเทศนี้จะปกครองด้วยรัฐบาลประชาธิปไตยหรือ NGOs..” ฟังแล้วทำให้งงกับตรรกกระโดดๆเรื่องประชาธิปไตยและ NGOs ของท่านเสียจริงๆ แต่มานึกดูอีกทีก็พอจะเข้าใจเพราะท่านเรียนประมงมาคงจะดำน้ำให้อาหารสัตว์จนเคยกระมัง อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันมานี้ เห็นท่านลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับชุมชนแล้วก็ให้งงไปอีกเพราะ ท่านกำลัง “หว่านล้อม” ให้ชุมชนชาวบ้านเห็นด้วยกับนโยบายของท่าน แทนที่ท่านควรจะ”ทำความเข้าใจ” ในข้อดี-ข้อเสีย ของนโยบายของรัฐ ซึ่งไอ้ที่ท่านทำน่ะเป็นวิธีการเดียวเหมือนกับนักการเมืองที่”หาเสียง” ให้ตัวและพรรคของตนเอง
โดยการนี้ กระบวนการตัดสินใจในนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาตินั้นถือว่ารัฐเป็นเป็นผู้ได้เปรียบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การก่อตัวของนโยบายหรือโปรเจ็ค (Policy Formulation) พูดแบบบ้านๆ ก็คือใครเป็นต้นคิดด้วยเหตุผลอะไร เพื่อประโยชน์ใคร? ตัวอย่างเช่น เขื่อนต่างๆ โรงไฟฟ้า โรงถ่านหิน ฯลฯ ไม่เห็นมีชาวบ้านไปประท้วงขอให้รัฐบาลสร้างเลย แต่มันมาจากนักการเมืองล้วนๆ ก็ต้องหากันไปว่าเพราะอะไร และคงไม่ต้องบอกว่าทำไมรัฐถึงได้เปรียบ และนี่ยังไม่รวมถึง กระบวนการสร้างภาพให้เป็นประชาธิปไตยอย่าง ประชาพิจารณ์ ที่จัดแล้วเหมือนมาจาก ดาราวิดิโอ หรือแม้แต่ EIA ที่มีหน้าม้ารับจัดแบบวางคำตอบไว้ก่อนแต่ทำย้อนกลับไปหาคำถาม
หากมีโอกาสข้าพเจ้าแนะนำว่า ลองไปอ่านงานของ คณะกรรมการเขื่อนโลก (World Commission on Dams:WCD) ที่โต้กับการไฟฟ้าผลิตฯ เรื่องเขื่อนปากมูนแล้วล่ะก็ จะเห็นภาพเขื่อนแม่วงก์ที่กำลังมาแบบลางๆ ส่วนที่ชัดขึ้นคือตัวแทนรัฐไม่เคยจำ(เพราะไม่เคยเจ็บ) ตัวแทนรัฐทุกฝ่ายทุกระดับไม่ได้เรียนรู้กับบทเรียนของความขัดแย้งและความเสียหายที่เกิดขึ้น หากแต่ได้เรียนรู้ในการเอาชนะชุมชนที่ต่อต้าน ชาวบ้านที่คิดไปถึงผลกระทบต่อลูกหลาน ตัวแทนรัฐเข้ามาคลุกคลีและกำลังจะใช้มายาของความเห็นอกเห็นใจที่ยังไงชาวบ้าน ชุมชนที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบในท้ายที่สุด
สรุป..ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ NGOs ก็ไม่ใช่ชาวบ้าน และแน่นอนที่สุดไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลเหมือนคิดอะไรไม่ออก นอกจากอะไรๆ ก็สร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้า ท่อก๊าซ นิวเคลียร์…จะว่าเพื่อแก้ปัญหาก็มีการศึกษาการแก้ปัญหาเชิงเทคนิค เช่น สร้างเขื่อนเพื่อแก้ไขน้ำท่วมหรือไม่?, การสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการที่มากขึ้นจริงหรือเปล่า? ฯลฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับผลเสียที่เกิดขึ้นก็ย่อมมีคำตอบเพียงพอต่อการตัดสินใจดำเนินการหรือไม่ดำเนินการโครงการนั้นๆ แต่การที่รัฐยืนยันจะดำเนินการอย่างแน่วแน่นั้นก็มีข้อสมมติฐานที่หาคำตอบได้(โดยไม่ต้องใช้ EIA) ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ฝายเล็กๆเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมมันคงทำเป็นโครงการแสนล้านขอเงินกู้ไม่ได้เท่าสร้างเขื่อน ส่วนโรงพลังงานอะไรๆ ต่างๆ นั้น ชาวบ้านก็บอกไม่อยากได้ๆ แต่ก็รัฐก็ยังจะดันทุรังจัดให้..นั่นก็ลองคิดกันเอาเองนะคะ ว่าทำไม?
”..ไดโนเสาร์มันก็คือสัตว์เดรัจฉานยุคดึกดำบรรพ์..มันก็คงไม่เคยรู้จักเรียนรู้บทเรียนความเสียหายที่เกิดขึ้นในอดีต..”
อันที่จริงไม่ว่ารัฐบาลไหนๆ ก็มีนโยบายที่เป็นรอยด่างต่อการตัดสินใจของตัวเองทุกรัฐบาล มันก็ขึ้นอยู่กับว่าจะจดจำมาเป็นบทเรียน มีสำนึกละอายถึงข้อผิดพลาดกันหรือไม่ หรือหากมีโอกาสจะป้องกันไม่ให้เกิดขึ้นอีกหรือเปล่า…นั่นคือสิ่งที่เราต้องทำใจยอมรับที่จะไม่ฟื้นฝอยหาตะเข็บขุดเอามาด่ากันจนบ้านเมืองเดินไปข้างหน้าไม่ได้ ซึ่งนั่นไม่ได้หมายความว่า ไม่รู้สึกต่อความเสียหายที่เกิดขึ้น เพียงแต่นี่ก็ถือว่าเป็นการ “ยอมจำนน” กันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เท่านั้น
สมัยรัฐบาลสมัคร ก็เอาแก่งเสือเต้นมาเต้นแย๊บๆ โครงการฟัน..เอ๊ย..ผันโขงชีมูนแสนล้านเกือบจะฟื้นคืนชีพ แต่พับไปด้วยบุญของบ้านเมือง..โดยส่วนตัว..คิดว่าต่อให้ไม่มีพันธมิตรก็ใช่ว่ารัฐบาลจะมีเสถียรภาพ เพราะก็ต้องมีมวลชนในรูปแบบของการต่อต้านเมกะโปรเจ็คที่มีผลกระทบต่อประชาชนในวงกว้างอยู่ดี ซึ่งน่าจะเป็นสัญญาณแสดงให้เห็นว่า ประชาชนไม่เคยทอดทิ้งรัฐบาล..ถึงแม้เราจะมอบอำนาจให้ท่านไปทำงานบริหารบ้านเมืองแทนเรา แต่เรื่องใหญ่ๆ ใช้เงินภาษีและสร้างหนี้ให้เรามากมายขนาดนี้ ขอให้เราตัดสินใจด้วยบ้างเถอะ อย่าคิดกันเอง ตัดสินใจกันเองแค่ไม่กี่ร้อยคนเลย ข้อสำคัญ ในเมื่อคุณไม่ได้ฉลาดปราดเปรื่องมากมายอะไร พวกคุณไม่กี่ร้อยคนก็ควรฟังคนจำนวนหมื่นแสนที่ได้รับความเดือดร้อนบ้าง
สำหรับตอนข้าพเจ้าไปฟังตัวแทนพรรคมาแถลงนโยบายก่อนเลือกตั้งหาที่มติชนจัด ..เห็นท่านปลอดประสพงับหัว NGOs ว่า”..บ้านเรามันมีพวกนี้ที่ทำให้เมืองไทยล้าหลังกลับไปขี่ควาย จะทำอะไรก็มีแต่ NGOs มาขัดขวาง ไม่รู้ประเทศนี้จะปกครองด้วยรัฐบาลประชาธิปไตยหรือ NGOs..” ฟังแล้วทำให้งงกับตรรกกระโดดๆเรื่องประชาธิปไตยและ NGOs ของท่านเสียจริงๆ แต่มานึกดูอีกทีก็พอจะเข้าใจเพราะท่านเรียนประมงมาคงจะดำน้ำให้อาหารสัตว์จนเคยกระมัง อย่างไรก็ตาม เมื่อไม่กี่วันมานี้ เห็นท่านลงพื้นที่ทำความเข้าใจกับชุมชนแล้วก็ให้งงไปอีกเพราะ ท่านกำลัง “หว่านล้อม” ให้ชุมชนชาวบ้านเห็นด้วยกับนโยบายของท่าน แทนที่ท่านควรจะ”ทำความเข้าใจ” ในข้อดี-ข้อเสีย ของนโยบายของรัฐ ซึ่งไอ้ที่ท่านทำน่ะเป็นวิธีการเดียวเหมือนกับนักการเมืองที่”หาเสียง” ให้ตัวและพรรคของตนเอง
โดยการนี้ กระบวนการตัดสินใจในนโยบายการจัดการทรัพยากรธรรมชาตินั้นถือว่ารัฐเป็นเป็นผู้ได้เปรียบอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็น การก่อตัวของนโยบายหรือโปรเจ็ค (Policy Formulation) พูดแบบบ้านๆ ก็คือใครเป็นต้นคิดด้วยเหตุผลอะไร เพื่อประโยชน์ใคร? ตัวอย่างเช่น เขื่อนต่างๆ โรงไฟฟ้า โรงถ่านหิน ฯลฯ ไม่เห็นมีชาวบ้านไปประท้วงขอให้รัฐบาลสร้างเลย แต่มันมาจากนักการเมืองล้วนๆ ก็ต้องหากันไปว่าเพราะอะไร และคงไม่ต้องบอกว่าทำไมรัฐถึงได้เปรียบ และนี่ยังไม่รวมถึง กระบวนการสร้างภาพให้เป็นประชาธิปไตยอย่าง ประชาพิจารณ์ ที่จัดแล้วเหมือนมาจาก ดาราวิดิโอ หรือแม้แต่ EIA ที่มีหน้าม้ารับจัดแบบวางคำตอบไว้ก่อนแต่ทำย้อนกลับไปหาคำถาม
หากมีโอกาสข้าพเจ้าแนะนำว่า ลองไปอ่านงานของ คณะกรรมการเขื่อนโลก (World Commission on Dams:WCD) ที่โต้กับการไฟฟ้าผลิตฯ เรื่องเขื่อนปากมูนแล้วล่ะก็ จะเห็นภาพเขื่อนแม่วงก์ที่กำลังมาแบบลางๆ ส่วนที่ชัดขึ้นคือตัวแทนรัฐไม่เคยจำ(เพราะไม่เคยเจ็บ) ตัวแทนรัฐทุกฝ่ายทุกระดับไม่ได้เรียนรู้กับบทเรียนของความขัดแย้งและความเสียหายที่เกิดขึ้น หากแต่ได้เรียนรู้ในการเอาชนะชุมชนที่ต่อต้าน ชาวบ้านที่คิดไปถึงผลกระทบต่อลูกหลาน ตัวแทนรัฐเข้ามาคลุกคลีและกำลังจะใช้มายาของความเห็นอกเห็นใจที่ยังไงชาวบ้าน ชุมชนที่เกี่ยวข้องก็จะเป็นผู้ได้รับผลกระทบในท้ายที่สุด
สรุป..ข้าพเจ้าก็ไม่ใช่ NGOs ก็ไม่ใช่ชาวบ้าน และแน่นอนที่สุดไม่ใช่นักการเมือง แต่ก็อดสงสัยไม่ได้ว่ารัฐบาลทุกรัฐบาลเหมือนคิดอะไรไม่ออก นอกจากอะไรๆ ก็สร้างเขื่อน สร้างโรงไฟฟ้า ท่อก๊าซ นิวเคลียร์…จะว่าเพื่อแก้ปัญหาก็มีการศึกษาการแก้ปัญหาเชิงเทคนิค เช่น สร้างเขื่อนเพื่อแก้ไขน้ำท่วมหรือไม่?, การสร้างโรงไฟฟ้าเพื่อสนองความต้องการที่มากขึ้นจริงหรือเปล่า? ฯลฯ ซึ่งเมื่อเทียบกับผลเสียที่เกิดขึ้นก็ย่อมมีคำตอบเพียงพอต่อการตัดสินใจดำเนินการหรือไม่ดำเนินการโครงการนั้นๆ แต่การที่รัฐยืนยันจะดำเนินการอย่างแน่วแน่นั้นก็มีข้อสมมติฐานที่หาคำตอบได้(โดยไม่ต้องใช้ EIA) ตัวอย่างง่ายๆ ก็คือ ฝายเล็กๆเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วมมันคงทำเป็นโครงการแสนล้านขอเงินกู้ไม่ได้เท่าสร้างเขื่อน ส่วนโรงพลังงานอะไรๆ ต่างๆ นั้น ชาวบ้านก็บอกไม่อยากได้ๆ แต่ก็รัฐก็ยังจะดันทุรังจัดให้..นั่นก็ลองคิดกันเอาเองนะคะ ว่าทำไม?
วันอังคารที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2555
วิบากกรรมคนตระกูลชินวัตร 5 คดีจ่อคอ “ชินณิชา”ซุกหนี้ 100 ล.ไม่ใช่คนสุดท้าย?
การที่ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ (หลานสาว พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ส.ส.เชียงใหม่ พรรคเพื่อไทยถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ พ้นจากตำแหน่ง ส.ส. และห้ามไม่ให้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง หรือตำแหน่งใดในพรรคการเมืองเป็นเวลา 5 ปี นับแต่วันที่ศาลมีคำพิพากษา และให้จำคุก เป็นเวลา 2 เดือนพร้อมทั้งปรับเป็นเงิน 4,000 บาท (แต่เมื่อไม่ปรากฏว่าเคยได้รับโทษจำคุกมาก่อนจึงเห็นสมควรรอการลงโทษมีกำหนด 1 ปี) โดยมีคำพิพากษาเมื่อวันที่ 19 เมษายน 2555 ที่ผ่านมา
คดีดังกล่าวอาจไม่ใช่คดีสุดท้ายที่คนในวงศ์วานว่านเครือชินวัตรต้องเผชิญ เนื่องจากยังมีคดีที่เกี่ยวพันกับมารดาบังเกิดเกล้าของ น.ส.ชินณิชา วงศ์สวัสดิ์ จ่อคออยู่ในสำนักงานคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) อีก 1 คดี
นั่นก็คือ กรณี นางเยาวภา วงศ์สวัสดิ์ (น้องสาว พ.ต.ท.ทักษิณ) ถูกกล่าวหาปกปิดบัญชีแสดงรายการทรัพย์สินและหนี้สินและส่อร่ำรวยผิดปกติ ซึ่งนายอลงกรณ์ พลบุตร ส.ส.ประชาธิปัตย์ เป็นผู้ยื่นเรื่องต่อ ป.ป.ช.เมื่อปี 2549
คดีนี้นางเยาวภาถูกกล่าวหาว่าเป็นเจ้าของหมู่บ้านชินณิชาวิลล์ ย่านถนนแจ้งวัฒนะ(ปัจจุบันเปลี่ยนชื่อเป็นเบเวอร์รี่ฮิลล์) มูลค่า 250 ล้านบาท และนอกจากนี้บุตรชายและบุตรสาว 3 คนถูกตรวจสอบพบว่าเป็นเจ้าของหุ้นมูลค่ากว่า 1.3 พันล้านบาท
ทั้งนี้ นางสาวชินณิชา ขณะอายุ 26 ปี ถือหุ้นอย่างน้อย 13 บริษัท อาทิ หุ้นบมจ.จีสตีล 123 ล้านหุ้น บมจ.เอ็มลิงค์ ฯ 70 ล้านหุ้น บริษัท วินโคสต์ อินดัสเทรียลพาร์ค 58.6 ล้านหุ้น บริษัท อินนิคมีเดีย จำกัด 3.5 ล้านหุ้น บริษัท เอสดับบลิว เทเลคอม (ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็น บ.ชินณิชาวิลล์) 1 ล้านหุ้น ฯลฯ รวมมูลค่า 600-700 ล้านบาท
นายยศชนันท์ พี่ชาย ขณะอายุ 27 ปี ถือหุ้น 11 บริษัท อาทิ บมจ. เอ็มลิงค์ เอเชีย คอร์ฯ 84.6 ล้านหุ้น บริษัท วินโคสท์ฯ 67.6 ล้านหุ้น บริษัท ทราฟฟิกคอนเนอร์ฯ 20 ล้านหุ้น บริษัท อินนิค มีเดียฯ 1.2 ล้านหุ้น ฯลฯ รวมมูลค่าประมาณ 500 ล้านบาท
น.ส.ชยาภา วงศ์สวัสดิ์ น้องสาว ถือหุ้น 7 บริษัท แบ่งเป็นบริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ 1 แห่ง ได้แก่ บมจ. วินโคสท์อินดัสเทรียล พาร์ค และบริษัทนอกตลาดฯ 6 บริษัท ได้แก่ 1.บริษัท เอส.ดับบลิว. เทเลคอม จำกัด น.ส.ชยาภา ถือหุ้น 928,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท 2.บริษัท อินนิค มีเดีย คอร์ปอเรชั่น จำกัด น.ส.ชยาภา ถือหุ้น 1,200,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท 3.บริษัท ยานัท จำกัด น.ส.ชยาภา ถือหุ้น 100,000 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 10 บาท 4.บริษัท แซนด์ฮอค พร็อพเพอร์ตี้ จำกัด น.ส.ชยาภา ถือหุ้น 16,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาท 5.บริษัท วาย.ชินวัตร จำกัด น.ส.ชยาภา ถือหุ้น 7,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 5 บาท และ 6.บริษัท อินนิค คอร์ปอเรชั่น จำกัด น.ส.ชยาภา ถือหุ้น 7,500 หุ้น มูลค่าหุ้นละ 100 บาทเฉพาะมูลค่าหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ฯที่น.ส.ชยาภาถืออยู่ 1 แห่ง ประมาณ 279,792,985 บาท (หุ้น บมจ.วินโคสท์ ราคา ณ วันที่ 25 เมษายน หุ้นละ 3.14 บาท)
ไม่รวมหุ้นนอกตลาดหลักทรัพย์ฯ อีกประมาณ 200 ล้านบาท
นายเมธี ครองแก้ว กรรมการ ป.ป.ช. ในฐานะประธานอนุกรรมการไต่สวนเคยเรียก น.ส.ชินณิชามาสอบข้อเท็จจริง เจ้าตัวรับว่าเป็นเจ้าของบ้านหรูร่วมกับพี่ชายช่วยกันซื้อไว้ เอาไปจำนองกับสถาบันการเงิน ช่วยกันผ่อนชำระ โดยไม่ได้รับการช่วยเหลือจากนายสมชายและนางเยาวภา บิดาและมารดาแต่อย่างใด ส่วนกรณีถือครองหุ้นเกิดจากทำมาหากินตั้งแต่เรียนหนังสือ หุ้นในเครือเอ็มลิงค์จำนวนหลายร้อยล้านบาท แม่ยกให้และมีเงินปันผลปีละนับสิบล้านบาท
ล่าสุดคดีนี้ยังไม่มีความคืบหน้า
ก่อนหน้านี้มีคดีที่คนตระกูลชินวัตร ดามาพงศ์ และบริวาร รับวิบากกรรมไปแล้ว 3 คดี ได้แก่
1.คดีซื้อที่ดินรัชดา อัยการสูงสุดได้ยื่นฟ้อง พ.ต.ท.ทักษิณ และคุณหญิงพจมาน กรณีคุณหญิงพจมานประมูลซื้อที่ดินย่านถนนรัชดาภิเษก จากกองทุนเพื่อการฟื้นฟูและพัฒนาระบบสถาบันการเงิน ถนนรัชดาภิเษก มูลค่า 772 ล้านบาท ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณเป็นเจ้าหน้าที่รัฐที่มีอำนาจในการกำกับดูแลหน่วยงานของรัฐ จึงไม่สามารถทำสัญญากับหน่วยงานของรัฐได้ ซึ่งรวมถึงคู่สมรสได้ ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองตัดสินจำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นเวลา 2 ปี เมื่อวันที่ 21 ตุลาคม 2551
2.คดีเลี่ยงภาษี 546 ล้านบาท อัยการสูงสุดเป็นโจทย์ยื่นฟ้องนายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ อดีตประธานกรรมการบริหาร บริษัทชินคอร์ปอเรชั่นจำกัด(มหาชน) หรือชินคอร์ป คุณหญิงพจมาน ชินวัตร อดีตภริยา พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และ นางกาญจนาภา หงษ์ เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน เป็นจำเลยที่ 1-3 ตามลำดับในความผิดฐานร่วมกันจงใจหลีกเลี่ยงการชำระภาษีอากรหุ้น บริษัทชินวัตรคอมพิวเตอร์ แอนด์ คอมมิวนิเคชั่น จำกัด จำนวน 546 ล้านบาท จากหุ้นจำนวน 4.5 ล้านหุ้น ซึ่งมีมูลค่า 738 ล้านบาท ปรากฏว่าศาลอุทธรณ์ให้จำคุกนายบรรณจน์ 2 ปี แต่ให้รอการลงอาญา 1 ปี ปรับ 100,000 บาท ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน และนางกาญจนาภา เมื่อวันที่ 24 สิงหาคม 2554 ศาลชั้นต้นพิพากษาให้จำคุกนายบรรณพจน์และคุณหญิงพจมาน จำเลยที่ 1-2 คนละ 3 ปี และให้จำคุกนางกาญจนาภา เป็นเวลา 2 ปี
3.คดีร่ำรวยผิดปกติจากการขายหุ้นชินคอร์ป 7.6 หมื่นล้านบาท ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองมีคำพิพากษายึดทรัพย์ พ.ต.ท.ทักษิณ 46,373,687,454.70 บาท เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ 2553
นอกจากนี้มีคดีที่ พ.ต.ท.ทักษิณต้องเผชิญอีกอย่างน้อย 4 คดีคือ
1.คดีหวยบนดิน (ศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.1/2551
2.คดีปล่อยกู้เอ็กซิมแบงก์ (หมายจับศาลฎีกาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.3/2551
3.คดีแปลงสัญญาสัมปทานเป็นภาษีสรรพสามิต (หมายจับศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง คดีหมายเลขดำที่ อม.9/2551 )
4.คดีก่อการร้าย คดีอาญาของศาลอาญา หมายจับเลขที่ 10862/2553
ในจำนวนคดีทั้งหมดที่ พ.ต.ท.ทักษิณเผชิญ มีคดีซุกหุ้นภาคแรกที่หลุดข้อกล่าวหาในศาลรัฐธรรมนูญแบบเฉียดฉิว 8 ต่อ 7 เสียง
คดีข้างต้นจะปรากฏผลตอนจบอย่างไร?
สาวกและคนชัง คงต้องลุ้นกันต่อไป
ที่มา : ISRA Institute Thai Press Development Foundation
วันเสาร์ที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2555
วันศุกร์ที่ 20 เมษายน พ.ศ. 2555
“สายธารแห่งสำนึก”
พระราชนิพนธ์ในสมเด็จพระเทพฯ
ขอพระราชานุญาตอัญเชิญบทพระราชนิพนธ์ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เรื่อง “สายธารแห่งสำนึก” มาลงไว้ ณ ที่นี้ เพื่อให้ชาวไทยส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้กำลังศึกษาอยู่ ได้ตระหนักและ “สำนึก” ในหน้าที่ของตน
…………………………………………..
ในราว พ.ศ.๒๕๑๔-๒๕๑๕ ฉันได้ตามเสด็จพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปในการเสด็จประพาสจังหวัดต่างๆ แต่ก่อนนี้ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยไปไหน ก็ไปเหมือนกันแต่ไม่ได้มีหน้าที่พิเศษ เพียงแต่ถ้าไปที่ไหนนานๆ นอกกรุงเทพฯ เช่น ไปเชียงใหม่หรือหัวหิน จะมีครูมาสอนหนังสือ
ถ้าไม่มีครู ก็มีการบ้านที่ครูให้ไว้ทำวันต่อวัน และก็มีหน้าที่รับผิดชอบให้การบ้านเหล่านี้เสร็จเรียบร้อย แต่เมื่อถึงช่วงปีที่กล่าวถึงข้างต้นได้ไปหลายจังหวัดในทุกภาค มีหน้าที่คอยซักถามเรื่องราวจากผู้ที่มารับเสด็จ เพื่อเป็นข้อมูลในการช่วยเหลือผู้ที่เดือดร้อนด้วยกรณีต่างๆ
เช่น เรื่องเจ็บไข้ได้ป่วย เรื่องการเล่าเรียนของเด็กๆ เรื่องปัญหาการทำมาหากินฝืดเคือง เพราะเพาะปลูกก็ขาดน้ำหรือน้ำท่วม แม้แต่เรื่องคดีความ หรือความทุกข์ของผู้รู้น้อยที่ถูกผู้รู้มากกว่าหลอกลวงหรือถูกบีบบังคับโดยไม่มีทางเลือก จะต้องช่วยหอบของพระราชทาน
ฝึกหัดกระทั่งเป็นผู้ช่วยหมอ การได้ย่ำไปในพื้นที่ต่างๆ เห็นภูมิประเทศแปลกๆ ได้ฟังเรื่องราวชีวิตหลายรูปแบบจากคนเป็นพันเป็นหมื่น เป็นบทเรียนที่มีคุณค่ายิ่งกว่าตำราเรียนเล่มใดจะพึงบันทึกไว้ได้ ขณะเดียวกันก็วางแนวดำเนินชีวิตให้ฉันด้วย
นอกจากการเรียนหนังสือ หน้าที่ตามเสด็จ และทำงานแล้วแต่จะทรงใช้สอยแล้ว สิ่งที่ฉันชอบอย่างเอาเป็นเอาตายคือ เรื่องการกีฬา เมื่อมีเวลา เช่นเปิดเทอม ก็จะวิ่งเช้าบ่าย เล่นเกมส์กีฬาเกือบทุกประเภท เช่น วอลเลย์บอล แบดมินตัน บาสเกตบอล ไปจนถึงฟุตบอล ฉันจะศึกษากติกา ติดตามข่าวนักฟุตบอลทุกสโมสร จะรู้จักหมด
ปีการศึกษา ๒๕๑๕ ฉันจบชั้นมัธยมศึกษาปีที่ ๕ อันเป็นชั้นสูงสุดในโรงเรียน ยอดปรารถนาของนักเรียนมัธยม คือการเข้ามหาวิทยาลัย และมักจะต้องเลือกคณะที่เหมาะสมกับคะแนนของตน สำหรับคนที่ได้คะแนนสูงๆ ในแผนกศิลปะ
สมัยนั้นส่วนใหญ่จะต้องเลือกคณะอักษรศาสตร์ จุฬาฯ เพราะว่าคะแนนสูง สำหรับฉันมีปัญหาที่ต้องขบคิดหลายแง่มุมด้วยกัน เป็นต้นว่า ฉันควรจะเรียนต่อมหาวิทยาลัยเมืองไทยหรือไปต่างประเทศ หรือควรจะเริ่มต้น ทำมาหากิน สนองพระเดชพระคุณในราชการ
การเรียนมหาวิทยาลัยจะเป็นประโยชน์สำหรับฉันเพียงไร ในเมื่อต้องเดินทางไปเรียน ไปฟังคำบรรยาย ไปทำกิจกรรมนานาประเภท ซึ่งล้วนแต่ต้องการเวลามาก ถ้าเชิญอาจารย์มาสอนพิเศษ จะทำให้ได้ความรู้เนื้อหาวิชาการดีกว่าไปเรียนเป็นหมู่หรือไม่ หรือถ้าคนที่มีความสามารถจริงแล้ว จะค้นคว้าด้วยตัวเองได้ดีเท่าๆ กับไปเรียนที่มหาวิทยาลัยหรือไม่
ในเวลานั้น ฉันรู้สึกไม่สบายใจนัก เป็นธรรมดาของเด็กวัยรุ่นที่ชอบทำตามเพื่อน (เป็น ข้อหนึ่งที่ถูกโจมตีมาตลอด) เพื่อนๆ ล้วนแต่เตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ฉันก็มีผลการเรียนดีเด่นเสมอมา จะไม่ให้เข้ามหาวิทยาลัยก็รู้สึกน้อยหน้าผู้อื่น โดยคิดว่าไม่ยุติธรรม จึงตัดสินใจซื้อใบสมัครมากรอกจนครบทุกอันดับ แต่เลือกคณะที่ต้องสอบน้อยที่สุด แล้วนึกในใจ เสี่ยงดวงดู เหมือนโยนหัวโยนก้อยว่า
ถ้าสอบติดก็จะเรียน ถ้าสอบไม่ติดก็แสดงว่าแนวชีวิตเราไม่ได้ไปทางการเรียน จึงไม่ได้รับคัดเลือกจากระบบให้เรียน ฉันไม่ท่องหนังสือเลย แถมใช้เวลาว่างไปเล่นดนตรีไทยกับเพื่อนรุ่นน้องนักเรียนชั้นประถม ในระหว่างที่เพื่อนคนอื่นเขาไปเรียนพิเศษกัน
เมื่อประกาศผลสอบ ฉันสอบติดคณะอักษรศาสตร์ตามที่เลือกไว้เป็นอันดับแรก แม้จะไม่ได้ที่ ๑ จนหนังสือพิมพ์เอาไปลงว่า ที่หนึ่งตกอันดับ เรื่องนั้นไม่สำคัญอะไร
ที่สำคัญก็คือจะต้องคำนึงว่าจะเรียนไปได้อย่างไร ที่ตกลงกันไว้คือ ถ้ามีงานอะไรก็ต้องทำต้องไป การเรียนเป็นงานนอกเวลา แทนการไปเที่ยวดูหนังดูละคร เวลาจริงๆ ก็ไม่ได้เคร่งครัดเท่าที่กำหนดไว้
แต่ฉันมีข้อตกลงกับทางมหาวิทยาลัยว่าจะไม่นับเวลาเรียน ถ้าลาโดยมีเหตุผล มีใบลาระบุวันเวลาที่จะลา ผู้บริหารของจุฬาฯ ก็ยอมโอนอ่อนให้ นิสิตอื่นๆ ก็ไม่มีใครข้องในเรื่องนี้ ทุกๆ คนมีส่วนช่วยเหลือให้ฉันได้รับการศึกษาที่ดีที่สุด เพื่อเตรียมพร้อมที่จะมีส่วนร่วมทำประโยชน์แก่สังคมสืบไป
ความลำบากเช่นนี้เป็นเหตุผลที่ฉันบ้าเรียนมาก ถึง เวลาที่ได้เรียนก็ต้องเอาเต็มที่ ตอนแรกๆ กิจกรรมต่างๆ แม้แต่กีฬาซึ่งเป็นของชอบมากก็ยังต้องตัดใจเลิกและทำตนเป็นคนไม่แข็งแรงวิ่ง ไม่ไหว เพื่อให้มีเวลาเรียนมาก
บรรยากาศ มหาวิทยาลัยขณะนั้นถือได้ว่า เป็นช่วงเวลาที่น่าสนใจเป็นอย่างยิ่ง (พูดขึ้นอย่างนี้มีคนขัดคอใครๆก็ว่าเวลาที่ตนอยู่ในมหาวิทยาลัยเป็นช่วงเวลา ที่ดีที่สุดทั้งนั้นแหละ) ไม่อยากจะวิเคราะห์สถานการณ์ทางการเมืองหรือสังคมที่ส่งผลต่อๆ กัน เหตุการณ์ พ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๙ นั้นเป็นอย่างไร เข้าใจว่าเพื่อนๆ หลายคนคงจะเขียนบรรยายไว้ในหนังสือเล่มนี้บ้างแล้ว
ช่วงนั้นนิสิตนักศึกษาสนใจความเป็นไปของชีวิตชาติบ้านเมือง ค่านิยมของกลุ่มในเวลานั้นไม่ใช่ความฟุ่มเฟือยหรูหรา หรือใครมีวัตถุมากๆ เป็นที่นับหน้าถือตาเหนือผู้อื่น แต่กลับถือว่าคนเก่งคนดีนั้นคือผู้ที่เสียสละ บำเพ็ญตนให้เป็นประโยชน์
สมัยนั้นเริ่มต้นมุ่งพัฒนาชนบท มหาวิทยาลัยจะอบรมนิสิต รุ่นพี่ก็จะอบรมรุ่นน้อง มีการเขียนหนังสือคำขวัญเผยแพร่อุดมการณ์ แนวคิด บาง ทีก็มีการยกตัวเลขกล่าวว่า ประชาชนในประเทศมีเท่าไร ได้รับการศึกษาจบภาคบังคับเท่าไร ชั้นมัธยมเท่าไร จนถึงผู้ที่มีโอกาสศึกษาระดับอุดมศึกษา ซึ่งเปรียบเทียบกับจำนวนประชาชนไทยนั้นเป็นส่วนน้อย
อีกอย่างหนึ่งที่จะต้องคำนึงอยู่เสมอคือ ค่าเล่าเรียนหรือค่าบำรุง ที่เราจ่ายไปนั้นเป็นเพียงส่วนน้อย ทางราชการจะต้องลงทุนให้เราเรียนโดยใช้เงินอีกเป็นจำนวนมาก และคัดเลือกมาให้เราศึกษาเพื่อทำประโยชน์แก่สังคม จะลืมข้อนี้ไปไม่ได้ ฟังอย่างนี้ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร
ในทางปฏิบัติก็ตีความต่างกันเล็กน้อยคือ บ้านเมืองมีปัญหา มีเหตุไม่สงบหรือไม่ยุติธรรม นิสิตส่วนหนึ่งเห็นสมควรจะหยุดเรียนไปช่วยกันแสดงประชามติ แต่ก็มีอีกไม่น้อยที่อยู่เฉยๆ ไม่คิดอะไรสักอย่าง หรือ เห็นว่าหน้าที่ในปัจจุบันของเราก็คือเรียนให้ดีที่สุด ให้มีความรู้เต็มที่เสียก่อน เมื่อจบแล้วจึงจะสามารถใช้ความรู้ให้เป็นประโยชน์
พวกแรกก็ว่าในสถานการณ์คับขันรอให้เรียนจบก็คงไม่ทันการ นอกจากตัวอย่างที่ยกมานี้ ก็ยังมีข้อคิดอีกมากที่หาคำตอบที่ถูกต้องทางเดียวได้ลำบาก ขึ้นอยู่กับความคิดเห็นของแต่ละคน ความคิดเห็นเหล่านี้เราจะรู้ได้จากการไปฟังอภิปราย ปราศรัย หรือใบปลิว แต่ใบปลิวนี้ก็ต้องระวังหน่อย เพราะว่าบางทีคนคนเดียวเขียนใบปลิวหลายๆ ใบ และใส่ชื่อว่าเป็นกลุ่มต่างๆ ชื่อแปลกๆ หลายกลุ่ม
ถ้าเรานึกดูทางด้านวิชาการ มหาวิทยาลัยเป็นแหล่งความรู้และแหล่งของผู้มีความรู้ มีภารกิจในการให้การศึกษาระดับสูงค้นคว้าวิจัยและบริการชุมชนอยู่แล้ว พวกเรานิสิตซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของมหาวิทยาลัยย่อมจะมีโอกาสร่วมปฏิบัติภารกิจนี้ด้วย
ในจุฬาฯฉันได้เรียนวิชาความรู้ที่ได้นำมาใช้ปฏิบัติงานจนทุกวันนี้ สิ่งที่ได้รู้เห็นจากจังหวัดต่างๆ นั้นเป็นประโยชน์ต่อการศึกษาบางวิชา เช่น วิชาภูมิศาสตร์ ช่วยให้ตอบข้อสอบได้ดีขึ้น แม้ในปัจจุบันเมื่อต้องการความรู้เพิ่มเติมเพื่อไปทำงานใดๆ ก็ยังได้ความเอื้อเฟื้อจากคณะอาจารย์และเพื่อนๆ เป็นผลจากความเป็นไปในจุฬาฯ เมื่ออดีต ที่เราอยู่กัน เหมือนในครอบครัวใหญ่ มีรุ่นพี่รุ่นน้อง สนิทสนมและมีน้ำใจต่อกัน
แม้บางครั้งจะมีความคิดที่แตกต่างกันบ้าง ซึ่งเป็นธรรมดาที่คนมีสมองจะคิดตามกันไปตลอดไม่ได้ แต่ก็ไม่เป็นอุปสรรคที่จะคบหากัน เรื่องในจุฬาฯ ยังมีอีกมากมาย จะให้เล่าก็คงเล่าไม่ถูก หรือจะต้องพาดพิงถึงใครต่อใครอีกเยอะแยะ ไม่แน่ใจว่าผู้ที่ถูกกล่าวถึงจะพอใจหรือไม่
ถึงแม้จะใช้นามแฝงสมมติชื่อก็คงจะจำกันได้ ที่เรื่องเยอะ เพราะพวกเราล้วนมีปัญหา และก่อปัญหาเหมือนกันด้วยสิ่งแวดล้อมบังคับ (สังเกตดูซิ เวลาเขาจะเขียนโครงการอะไรกัน ต้องเริ่มต้นด้วยอุปสรรคและปัญหา เราก็เลยอยู่ในแวดวงปัญหากันไปหมด)
นับเป็นเวลา ๑๐ กว่าปีแล้ว จากวันแรกที่ย่างเข้าสู่รั้วจุฬาฯ เหตุการณ์ต่างๆ ผ่านไป สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไป เมืองไทยวันนี้ไม่เหมือนเมื่อ ๑๐ ปีก่อน
จุฬาฯวันนี้ กับจุฬาฯวันก่อน ก็ไม่น่าจะเหมือนกัน แต่ฉันผู้ได้ดีมาจากจุฬาฯ ก็ยังอยู่ ถึงจะเปลี่ยนไปบ้าง ว่างๆ ก็น่าคิดทบทวนดูว่า
สำนึกที่ถูกปลูกฝังมา ถ้าจะเปรียบก็เหมือนกับ สายธารที่ไหลมาเรื่อยๆ บัดนี้เป็นอย่างไร และฉันได้ก่อกำไรให้แก่สังคมคุ้มกับที่สังคมลงทุนไปหรือเปล่า
ควรมิควรแล้วแต่จะโปรดเกล้าโปรดกระหม่อม
…………………………………………………..
ขอขอบคุณ terasphere in Special-Report
chaopraya
วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555
ลองมาออกแบบปฏิรูปประเทศไทย
ลองมาออกแบบปฏิรูปประเทศไทย...
โดยการจัดทำรัฐธรรมนูญ ด้วยโครงสร้างด้านต่างๆให้สอดรับกัน...
รัฐธรรมนูญตุ๊กตาปั้นตัวนี้...เป็นรธน.ที่จะใช้ ระบบบริหารคุณภาพTQM เป็นใส้แกน
ชึ่งจะต้องทำการออกแบบ "ระบบงาน" และ "กระบวนการทำงาน" ของTQM อีกต่อไป
เพื่อให้รัฐสภาได้ บริหาร "ระบบ" แทนการบริหาร "คน" ซึ่งล้าสมัยและด้อยคุณภาพ
ดังเช่นรธน.ไทยฉบับปัจจุบันใช้อยู่ ประเทศที่เจริญแล้วไม่ใช้กัน
##### เป้าหมาย วิสัยทัศน์ โดยรวมคือ ...
อาศัยความอุดมสมบูรณ์ของทรัพยากรณ์ธรรมชาติ...
และความเหมาะสมทางกายภาพภูมิประเทศสภาพภูมิอากาศ...
ที่เอื้อต่อการดำรงชีวิต ประกอบอาชีพมีปัจจัย 4 อย่างเพียงพอ เหลือเป็นสินค้าออกมาก...
รวมทั้งรายได้ด้านการท่องเที่ยว...ด้านฝีมือแรงงานและต่างๆอีกมาก...
หากรัฐบาลบริหารระบบเศรษฐกิจให้ดี ...มีจิตสำนึกอุดมการณ์วางแผนดีแล้ว...
ปชช.จะมีชีวิตที่สงบสุข ...มีความสุขมวลรวมประชาชาติได้สูงทุกชนชั้นอย่างยั่งยืน...
โดยไม่ต้องเน้นเรื่องความมั่งคั่ง...อันส่งผลให้เร่งผลาญทรัพยากรธรรมชาติ ทำลายสภาพแวดล้อมธรรมชาติระบบนิเวศน์...
และเป็นเหตุผลให้นักการเมืองอ้างอันนำไปสู่การฉ้อฉลโกงกิน...
เนื่องจากเป็นสภาเผด็จการ รับใช้หัวหน้าพรรคการเมืองและนายทุนของพรรค....
และอาศัยภูมิธรรมแห่งพระพุทธศาสนา...ที่เป็นเครื่องยึดเหนี่ยวของคนไทยนับพันปี...
อันเข้ากับนิสัยขนบธรรมเนียมประเพณีของคนไทย...แต่ปัจจุบันได้เสื่อมถอยไปมาก
ทำให้สังคมประเทศชาติวุ่นวายไม่สงบ...เกิดความแตกแยกอย่างรุนแรงทางการเมือง...ฯลฯ
*** จึงกำหนดโครงสร้างด้านต่างๆของรธน.เพื่อให้เกิดผลทันทีที่ใช้ รธน.TQM
และเกิดผลดีชัดเจนภายใน 2 ปี ดังนี้....
***1) ด้านการศึกษา > เน้น 1.1 ปฏิรูปการศึกษาทางโลก... 1.2 ปฏิรูปการศึกษาทางธรรม ความรู้คู่ศีลธรรม โดยสร้างหลักสูตรแห่งชาติ
วิชาพระศาสนาภาคปฏิบัติ...ทุกระดับชั้นคือ อนุบาลถึงป.ตรี
+ + +
*** 2)ด้านสังคม > เน้นให้ปชช.มี 2.1) ชีวิตความเป็นอยู่ วิถีไทย 2.2)ความรักปรองดองสามัคคี 2.3) ความเท่าเทียมยุติธรรมด้านต่างๆ 2.4) ความซื่อสัตย์สุจริตมีจิตสำนึก จิตสาธารณะ ...2.5)ความสุขมวลรวมประชาชาติซึ่งรัฐบาลต้องสร้างความพอใจแก่ปชช.ถือว่าปชช.เป็นลูกค้าที่ต้องบริการ ...ประเทศไม่มั่งคั่งก็ไม่เป็นไร แต่เน้นความผาสุขของปชช.ในปัจจุบันอันยั่งยืน
+ + +
*** 3)ด้านเศรษฐกิจ > รัฐบาลบริหารระบบเศรษฐกิจตามปรัชญาเศรษฐกิจพอเพียง โดยเน้นความมั่นคง ยั่งยืนและอนุรักษ์ธรรมชาติสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศทรัพยากรธรรมชาติ ....ไม่ปฏิเสธความมั่งคั่ง แต่ต้องเป็นความมั่งคั่งที่มีภูมิคุ้มกันพิษภัยต่อความผาสุขของสังคม...ธรรมชาติสิ่งแวดล้อม...และตัวระบบเศรษฐกิจเอง ...ทั้งนี้สนับสนุนการแข่งขันในตลาดร่วมโดยการเพิ่มคุณภาพการบริหารของรัฐบาล ตามที่ได้ออกแบบ" ระบบงาน" และ "กระบวนการทำงาน" ของการบริหารคุณภาพTQM ไว้ในรธน.และควรต้องสนับสนุนภาคปชช.ให้มีความรู้ในเรื่องนี้นำไปใช้ด้วย
+ + +
*** 4) ด้านการเมือง เน้น > ระบอบปชต.อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข
- จัดทำรธน.ใหม่...เป็นรธน.บริหารคุณภาพTQM...หรือเรียกง่ายๆว่า "รธน.คุณภาพ(TQM )" .....หัวใจสำคัญคือ มีการออกแบบจัดทำ "ระบบงาน" และ "กระบวนการทำงาน" บัญญัติไว้ในรธน. สำหรับให้รัฐบาลบริหาร "ระบบงาน" นี้.....เพื่อให้เกิดรูปแบบ วินัยทางการบริหารอย่างมีคุณภาพ
- รัฐสภา มีรูปแบบ สส.ฝ่ายสมาชิกผู้แทนราษฎรตัวแทนกลุ่มอาชีพร่วมอยู่ด้วย
- รัฐสภาประกอบด้วยสภาบนและสภาล่าง
- สภาบนเป็นที่ปรึกษา(สว.) ประกอบด้วยผู้เชี่ยวชาญการบริหาร TQM(PDCA) จากมหาวิทยาลัย 100 คน.. นักบริหาร TQM จากภาคเอกชน 100 คน และนักบริหาร TQM ภาครัฐบาล 100 คน
- สภาล่างประกอบด้วย (ก) สส.ฝ่ายนิติบัญญัติ ..(ข) สส.ฝ่ายบริหารจากพรรคการเมือง..และ(ค) สส.ฝ่ายสมาชิกผู้แทนราษฎร มาจากผู้แทนกลุ่มอาชีพต่างๆ
+ + +
- สส.ฝ่ายสมาชิกผู้แทนราษฎรตัวแทนกลุ่มอาชีพ (ค) มาจาก ..นายกสมาคมของกลุ่มอาชีพต่างๆที่สมาชิกกลุ่มคัดเลือกขึ้นมา ..หน้าที่หลักคือเสนอปัญหา ข้อเรียกร้อง ความคิดเห็นในการพัฒนาปรับปรุงอาชึพ ของกลุ่มอาชึพนั้น
- สส.ฝ่ายนิติบัญญัติ แยกขาดกับ สส.ฝ่ายบริหาร
- สส.ฝ่ายนิติบัญญัติ มาจาก นายกสภามหาวิทยาลัยต่างๆ ที่มีคณะบดีคณะรัฐศาสตร์ คณะนิติศาสตร์ คณะบริหารรัฐกิจเป็นสมาชิก....นายกสภาฯ สามารถแต่งตั้งคณะบดีมาร่วมเป็นที่ปรึกษาเพื่อแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือจัดทำ รธน.ฉบับใหม่ให้เป็น รธน.คุณภาพ(TQM)
+ + +
- สส.ฝ่ายบริหาร (รัฐบาล) มาจากพรรคการเมือง(เดิมๆ) พรรคใดพรรคหนึ่่ง
โดยแต่ละพรรค ส่งทีมของพรรค สมัครเข้าแข่งขัน ดีเบท ร่วมกันให้ประชาชนเลือก เข้ามาเป็นรัฐบาล
- พรรคชนะที่ 1ได้เป็นรัฐบาล พรรคชนะที่ 2 เป็นรัฐบาลเงา...ต่างก็ได้เป็นสมาชิกสภาฯได้รับเงินเดือนเหมือนกัน ...จำนวนสมาชิกถูกกำหนดไว้ในกฎหมาย
รัฐบาล กับ รัฐบาลเงา คอยกลั่นกรอง ดีเบทแข่งกัน ในปัญหา ข้อเสนอที่ สส.ฝ่ายสมาชิกผู้แทนราฎรตัวแทนกลุ่มอาชีพ (ค) เสนอเข้าสภาฯ
- ไม่แบ่งเป็นฝ่ายรัฐบาล-ฝ่ายค้าน ...ปชช.เลือกพรรค โดยให้คะแนนด้วยคอมพิวเตอร์ที่ศูนย์ไอทีซี ประจำตำบลที่กำลังจัดตั้งอยู่
- บทบาทความสำคัญของ สส.ฝ่ายบริหาร(รัฐบาล) และการโฆษณาหาเสียงเลือกตั้ง จะลดบทบาทความสำคัญลง โดย สส. ฝ่ายสมาชิกผู้แทนราษฎร ตัวแทนกลุ่มอาชีพ(ค) .....จะช่วยแก้ไขปัญหาความแตกแยกของประชาชน
รัฐธรรมนูญตุ๊กตาปั้นตัวนี้เขียนโครงสร้างขึ้นในลักษณะที่...
เป็นรธน.ที่จะใช้ ระบบบริหารคุณภาพTQM เป็นใส้แกน
ชึ่งจะต้องทำการออกแบบ "ระบบงาน" และ "กระบวนการทำงาน" อันเป็นหัวใจของTQM อีกต่อไป
เพื่อให้รัฐสภา ทั้งสภาบน สภาล่างและทุกฝ่ายร่วมกัน บริหาร "ระบบ" แทนการบริหาร "คน"
ซึ่งล้าสมัยยุ่งยากและด้อยคุณภาพ
ดังเช่นรธน.ไทยฉบับที่ใช้ๆกันมา... ประเทศที่เจริญแล้วจะเปลี่ยนมาใช้ รธน.คุณภาพ (TQM) กันกว่า 50 ประเทศแล้ว
+ + +
การออกแบบ "ระบบ" และ "กระบวนการทำงาน" เป็นเรื่องยากมาก
เป็นปัญหาของหลายๆประเทศที่จัดทำไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เช่นอังกฤษ
กลุ่ม "ปฏิรูปประเทศไทย:TQM "...โดยอาจารย์ปรีดา กุลชล ผู้ชำนาญการพิเศษ
มืออาชีพมีประสบการณ์ตรงในระดับอินเตอร์
ยินดีจะรับใช้ชาติเป็นผู้ดำเนินการออกแบบจัดทำให้ด้วยความเต็มใจและมั่นใจ
หากเป็นจริงเมื่อใดเราจะได้ใช้..."รธน.คุณภาพ (TQM )" กันละ
*** [ บทความนี้จัดทำมาจากบทความแนะนำแสดงความคิดเห็นของ อาจารย์บุญส่ง ชเรทร คุณหมอสำเริง (Sumroeng Tritilanunt) คุณPrida Kunchol (อาจารย์ ปรีดา กุลชล) และท่านอื่นๆ...แต่ละท่านที่เอ่ยนามได้ให้ข้อแนะนำท่านละหลายแนวทาง ที่นำมาเป็นเพียงแนวทางรูปแบบหนึ่ง ที่เลือกจับออกมาเฉพาะที่พ้องกันพอที่จะร้อยต่อเรียงผสมผสานให้สอดคล้องรับกันได้.....เพื่อที่จะให้วิจารย์เสริมแต่งตุ๊กตาปั้นตัวนี้กันต่อไป ]
+ + +
***หมายเหตุ....อ่านบทความประกอบของกลุ่ม เรื่อง .....
(P) โครงสร้างการเมือง:แก้ปัญหาการต่อสู้นอกสภา( โดย Sumroeng Tritilanunt )
(P)ปฏิรูปประเทศปรองดองนอร์เวย์..ด้วยแผน PDCA (โดยปรีดา กุลชล)
สมัครเป็นสมาชิกกลุ่ม "ปฏิรูปประเทศไทย:TQM "...โดยคลิกที่ชื่อกลุ่ม หรือ ใช้ชื่อกลุ่ม search ค้นใน facebook แล้ว> คลิก "ขอเข้าร่วมกลุ่ม"..
Koon Rachapurk
ครอบครัว “อัคฮาด” กับคำประกาศของทักษิณ
แนวหน้า
ผมเชื่อว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ยากลำบากและขมขื่นใจที่สุดของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาสมัครที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงที่มีการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. เสื้อแดง
เป็นแรมปีแล้ว ที่นางพะเยาว์กับครอบครัวพากเพียรตามหา “ความยุติธรรม” ให้แก่การตายของลูกสุดที่รัก
เดินสายขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ให้สัมภาษณ์สื่อเสื้อแดงรอบแล้วรอบเล่า และถูกอ้างถึงในสภาโดยจตุพร พรหมพันธุ์ ก็หลายหน
พูดโดยไม่เกรงใจ การตายของลูกสาวเธอมีคุณูปการกับคนเสื้อแดงและจตุพรมาก ซึ่งวันนี้ จะเป็นวันพิสูจน์ว่า คนเหล่านั้น สื่อเหล่านั้น และจตุพร เห็นคุณค่าในชีวิตที่ปลิดปลิวของน้องเกดจริงๆ หรือเห็นเป็นแค่ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในทางการเมือง ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม คือ ทหาร กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่ต้องถามถึงแล้ว สำหรับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้กำลังตั้งตารอรับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการ “ปรองดอง” ซึ่งแท้ที่แท้จริงแล้ว คือการ “นิรโทษกรรม ลบโทษความผิดทั้งหมดให้ทักษิณ” โดยเอาคนอื่นมาคลุมๆ บังๆ ทักษิณไว้
เพราะคำให้สัมภาษณ์ของทักษิณที่ส่งตรงมาจากประเทศกัมพูชา กล่าวถึงครอบครัว “อัคฮาด” อย่างชัดเจนว่า ต้องรู้จักเสียสละ
โดยนายทักษิณกล่าวว่า "แม้แต่แม่ของกมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้นิรโทษกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ"
นี่หรือ คนที่เคยปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงมาเพรียกหาประชาธิปไตย ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงมากันเยอะๆ เพราะ “ผมแพ้ไม่ได้”
ย้ำกับทุกคนว่า “อย่ากลับบ้านมือเปล่า”
และถึงกับสั่งให้คนเสื้อแดงต่างจังหวัดไปที่หน้าศาลากลาง หากมีเหตุคับขันเกิดขึ้นกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
คนที่ นปช. เสื้อแดง ปฏิบัติกับเขาราวกับเป็น “บิดาแห่งประชาธิปไตย” วันนี้กลายเป็นคนที่พร้อมจะเหยียบศพหรือเดินข้ามความตายของลูกชาวบ้าน ไปรับการนิรโทษกรรมอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ โดยไส่ไคล้กระบวนการยุติธรรมว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนที่นางพะเยาว์เคยกล่าวถึงว่า
“บอกตรงๆ ว่า ณ เวลานั้นหมดศรัทธานายอภิสิทธิ์ ฉันไม่ได้เรียกนายกรัฐมนตรี ไม่เคยเรียก เพราะถือว่าฉันไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฉันก็เรียกนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เวลานี้ฉันมองว่าพวกเขาไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลนี้แล้ว เพราะคุณสั่งฆ่าประชาชนได้ โดยไม่นึกถึงว่านี่คือคนไทยเหมือนกัน และทหารที่ลั่นไกส่วนหนึ่งเขาทำตามคำสั่ง นายสั่งมา เขาต้องยิง”
กลับเป็นผู้ที่ลุกขึ้นประกาศกลางสภาว่า เขาไม่รับการนิรโทษกรรม รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย ขอเพียงให้นายทักษิณ มาสู้ในกระบวนการยุติธรรมให้เหมือนๆ กัน ซึ่งคำท้าดังกล่าวนั้น พรรคเพื่อไทยเงียบกริบ และทักษิณก็ไม่รับคำท้า
ขณะที่ทักษิณเรียกร้องให้ “แม่น้องเกด” เสียสละ ถามว่าทักษิณล่ะ เสียสละอะไร
ขณะที่แม่น้องเกดเรียกหากระบวนการยุติธรรม แต่ทักษิณกลับเรียกหาการนิรโทษกรรมแบบลับๆ ล่อๆ
ใครคน ใครหมา... น่าคิดใช่ไหม
ทักษิณที่เรียกร้องให้แม่น้องเกดเสียสละ คือ สละชีวิตลูก รับเงินเยียวยา แล้วก็หุบปาก ลืมๆ ไปเลยใช่หรือไม่
มิใจร้ายกับครอบครัว “อัคฮาด” ไปหน่อยหรือ
ทักษิณควรได้อ่านเรื่องราวโดยย่อในชีวิตกมนเกด ที่สื่อเสื้อแดงเองได้เรียบเรียงไว้ต่อไปนี้
“กมนเกด อัคฮาด ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ชื่อเล่นที่เพื่อนๆ เรียกคือ "เกด" แต่สำหรับครอบครัวแล้วเรียกว่า "หมู" เธอมีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ แม่ของเธอบอกว่าสาเหตุหลักมาจากการกินแหลกนั่นเอง
"เกด" เกิดในครอบครัว ที่พ่อแม่ทำงานปากกัดตีนถีบ แม่ขายข้าวแกง ก่อนจะมาขายดอกไม้ พวงมาลัย ในตลาดใกล้บ้าน พ่อเป็นลูกจ้างอยู่ที่การไฟฟ้าแห่งหนึ่ง แต่ครอบครัวของเธออบอุ่น เกดและน้องชายอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 18 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 21 ปี สนิทกันมาก วิ่งไล่แกล้งกันตั้งแต่เล็กจนโต และจนกระทั่งปัจจุบัน
น้องๆ และแม่เล่าว่า "เกด" เป็นคนที่มีนิสัยโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนๆ เพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว
อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร
ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ ในขณะที่พ่อเป็นคนค่อนข้างเงียบ เรียบร้อย และดูใจเย็น "เกด"เป็นคนดื้อ ดื้อมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต สมัยเรียนมัธยม "เกด"มักโดดเรียนเป็นประจำเพื่อหนีไปกับเพื่อน เพื่อนก๊วนเกดเป็นอาสาสมัครปอเต๊กตึ๊ง และมักชวนกันออกตระเวนช่วยเหลือคนเจ็บคนตายด้วยกันเสมอ
แม่ยืนยันเกดไม่เคยกลัวอะไร และชอบงานท้าทายที่ได้ช่วยชีวิตคนแบบนี้มาก ห้ามไม่ได้ก็เลยปล่อย เช่นเดียวกับการอาสาไปดูแลคนเสื้อแดงคราวนี้
จบจากมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน. จากนั้นจึงไปเรียนต่อศึกษาบริบาล ระหว่างเรียนก็ฝึกงานตามโรงพยาบาล ทั้งแผนกอุบัติเหตุ จนถึงนิติเวช ก่อนจะออกมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลการุณพิทักษ์แผนกอุบัติเหตุ แม่บอกว่าเกดมีทักษะด้านนี้ บางทีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดช่วยสอน หรือแผนกแต่งศพไม่มีคนก็มาเรียกเกดเพราะเธอทำได้ทุกอย่าง
แม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งในแผนกอุบัติเหตุที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีคนงานถูกเครื่องจักรบดนิ้ว หมอบอกว่าอาจต้องตัดนิ้วทิ้งสามสี่นิ้ว แต่เกดเห็นแล้วหวังว่ายังพอต่อได้ และคนงานไม่มีนิ้วก็เท่ากับแทบไม่เหลือโอกาสทำมาหากิน เกดจึงบอกให้คนไข้คนนั้นอดทนหน่อยเพื่อรอหมอมือฉมังที่สุดที่กำลังมาสับเวร กระทั่งหมอมาและตัดสินใจผ่าตัด ดาม ต่อให้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียนิ้ว
ทำอยู่สองสามปีจนโรงพยาบาลปิดตัวลง เกดจึงได้ออกมาช่วยแม่ค้าขาย กระทั่งได้ทำงานชั่วคราวกับญาติก่อนที่จะโดดงานอีกครั้งเพื่อไปเป็นอาสา สมัครในที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แรกๆ ก็ไปหลังเลิกงาน แต่ช่วงหลังดูเหมือนเธอไปอย่างเต็มตัว และทิ้งที่บ้านไว้เบื้องหลัง เกดบอกแม่ว่าประชาชนมีคนเฒ่าคนแก่และเด็กเยอะ อยู่กันยาวๆ มีเจ็บป่วยกันแยะ แม้มีอาสาสมัครหลายคนที่มาช่วยแต่ก็ยังไม่ได้สัดส่วนกับผู้ชุมนุม
ความใฝ่ฝันของ "เกด" คือต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า "ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้" แม่รู้ดีว่ายากจะห้ามปราม แต่ก็ได้ทักท้วงให้สอบปีหน้า เพราะปีนี้คาดว่าคงลดน้ำหนักไม่ทัน
หลังจากไปร่วมกับ อาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว "เกด" ก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ กระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยิน ขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้นในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัด กระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอกลับเห็นว่า มีร่องรอยของกระสุนปืนมากกว่าสองนัด
น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคืน
ความตั้งใจที่แต่ เดิมจะเก็บไว้ร้อยวันเป็นอันยุติลงเนื่องจากต้องการให้คนที่บ้าน โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อพ้นจากความโศกเศร้าตรอมใจ”
เมื่อเทียบกับโอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง ชีวิตของกมนเกดคือชีวิตที่ต้องสละให้ แต่ทักษิณไม่สละอะไร ไม่สู้คดี ไม่รับการควบคุมตัว ไม่ติดคุกแม้แต่คดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว และตนก็ได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไหนจะเงิน 46,000 ล้านบาทอีกล่ะ จะเอาคืนหรือไม่
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจของครอบครัวอัคฮาด ผมอยากเห็นอะไร
1.คำตอบจากปากของนางพะเยาว์ อัคฮาด เธอคิดอย่างไรที่ทักษิณเรียกร้องให้เสียสละและลืม เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่รวมทักษิณเอาไว้ด้วย
2.สื่อเสื้อแดงที่เคย “หากิน” กับการตายของกมนเกด กับความโศกเศร้าและคับแค้นของนางพะเยาว์กับครอบครัวที่เหลืออยู่ จะนำเสนอข่าวนี้ในแง่มุมไหน จะกล้าเสนอหรือไม่ จะเปิดพื้นที่ให้นางพะเยาว์ได้พูด ได้ให้สัมภาษณ์ได้ออกอากาศ ได้ปราศัยเหมือนเดิมไหม
3.จตุพร พรหมพันธุ์ วันนี้จะพูดถึงการตายของกมนเกดว่าอะไร จะต้องเอา “ฆาตกร” มาลงโทษ หรือลืมๆ กันไป เร่งเดินหน้าปรองดอง ไม่ต้องตามหาแล้วว่า ใครสั่งฆ่า ใครลงมือฆ่ากมลเกด
4.คนเสื้อแดงที่เคยเชิดชูทักษิณและเห็นใจนางพะเยาว์ที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปอย่างน่าสะเทือนใจและแค้นใจ จะพูดถึงทักษิณ ขอ้เสนอของทักษิณ และจะแนะนำให้นางพะเยาว์ปฏิบัติอย่างไร ระหว่างให้เดินหน้ากระบวนการยุติธรรม กับให้เสียสละเพื่อ “คนส่วนใหญ่” อย่างที่ทักษิณอ้าง
5.นัทพัธ อัคฮาด หรือ “กานต์” จะลาออกจากการเป็นเลขาฯ ส่วนตัว นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไหม
6.คนไทย จะช่วยกันซับน้ำตาให้ครอบครัวอัคฮาด ยืนหนุนหลังให้พวกเขาสู้ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิด ปลิดชีวิตลูกสาวของพวกเขา ซึ่งเป็นหลักที่ถูกต้องกันได้หรือไม่ ในขณะที่พวกเขายังไม่ถอด “เสื้อสีแดง”
7.ถึงเวลาเห็นโฉมหน้าและ “สันดาน” ของทักษิณกันได้หรือยัง ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา คนอื่นเท่านั้น ที่ต้องเป็นฝ่ายสละให้
หรือนางพะเยาว์และครอบครัว จะเอาอย่าง “ขัตติยา สวัสดิผล” ที่สมัยรัฐบาลที่แล้ว ทวงถามความคืบหน้าของคดีอยู่หลายหน แต่เมื่อมานั่งเป็น ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ไปเซ็นชื่อรับเงินเยียวยา แล้วกลับมานั่งอยู่เงียบๆ
ผมเชื่อว่าจิตใจของของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ สูงส่ง มีธรรม และกล้าหาญ
พวกเขาไม่มีวันทิ้งหลักการ “ความยุติธรรมต้องมาก่อนเงิน” อย่างแน่ๆ ไม่เชื่อ เราคอยดูกัน!!
ผมเชื่อว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ยากลำบากและขมขื่นใจที่สุดของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาสมัครที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงที่มีการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. เสื้อแดง
เป็นแรมปีแล้ว ที่นางพะเยาว์กับครอบครัวพากเพียรตามหา “ความยุติธรรม” ให้แก่การตายของลูกสุดที่รัก
เดินสายขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ให้สัมภาษณ์สื่อเสื้อแดงรอบแล้วรอบเล่า และถูกอ้างถึงในสภาโดยจตุพร พรหมพันธุ์ ก็หลายหน
พูดโดยไม่เกรงใจ การตายของลูกสาวเธอมีคุณูปการกับคนเสื้อแดงและจตุพรมาก ซึ่งวันนี้ จะเป็นวันพิสูจน์ว่า คนเหล่านั้น สื่อเหล่านั้น และจตุพร เห็นคุณค่าในชีวิตที่ปลิดปลิวของน้องเกดจริงๆ หรือเห็นเป็นแค่ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในทางการเมือง ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม คือ ทหาร กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่ต้องถามถึงแล้ว สำหรับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้กำลังตั้งตารอรับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการ “ปรองดอง” ซึ่งแท้ที่แท้จริงแล้ว คือการ “นิรโทษกรรม ลบโทษความผิดทั้งหมดให้ทักษิณ” โดยเอาคนอื่นมาคลุมๆ บังๆ ทักษิณไว้
เพราะคำให้สัมภาษณ์ของทักษิณที่ส่งตรงมาจากประเทศกัมพูชา กล่าวถึงครอบครัว “อัคฮาด” อย่างชัดเจนว่า ต้องรู้จักเสียสละ
โดยนายทักษิณกล่าวว่า "แม้แต่แม่ของกมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้นิรโทษกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ"
นี่หรือ คนที่เคยปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงมาเพรียกหาประชาธิปไตย ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงมากันเยอะๆ เพราะ “ผมแพ้ไม่ได้”
ย้ำกับทุกคนว่า “อย่ากลับบ้านมือเปล่า”
และถึงกับสั่งให้คนเสื้อแดงต่างจังหวัดไปที่หน้าศาลากลาง หากมีเหตุคับขันเกิดขึ้นกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
คนที่ นปช. เสื้อแดง ปฏิบัติกับเขาราวกับเป็น “บิดาแห่งประชาธิปไตย” วันนี้กลายเป็นคนที่พร้อมจะเหยียบศพหรือเดินข้ามความตายของลูกชาวบ้าน ไปรับการนิรโทษกรรมอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ โดยไส่ไคล้กระบวนการยุติธรรมว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนที่นางพะเยาว์เคยกล่าวถึงว่า
“บอกตรงๆ ว่า ณ เวลานั้นหมดศรัทธานายอภิสิทธิ์ ฉันไม่ได้เรียกนายกรัฐมนตรี ไม่เคยเรียก เพราะถือว่าฉันไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฉันก็เรียกนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เวลานี้ฉันมองว่าพวกเขาไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลนี้แล้ว เพราะคุณสั่งฆ่าประชาชนได้ โดยไม่นึกถึงว่านี่คือคนไทยเหมือนกัน และทหารที่ลั่นไกส่วนหนึ่งเขาทำตามคำสั่ง นายสั่งมา เขาต้องยิง”
กลับเป็นผู้ที่ลุกขึ้นประกาศกลางสภาว่า เขาไม่รับการนิรโทษกรรม รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย ขอเพียงให้นายทักษิณ มาสู้ในกระบวนการยุติธรรมให้เหมือนๆ กัน ซึ่งคำท้าดังกล่าวนั้น พรรคเพื่อไทยเงียบกริบ และทักษิณก็ไม่รับคำท้า
ขณะที่ทักษิณเรียกร้องให้ “แม่น้องเกด” เสียสละ ถามว่าทักษิณล่ะ เสียสละอะไร
ขณะที่แม่น้องเกดเรียกหากระบวนการยุติธรรม แต่ทักษิณกลับเรียกหาการนิรโทษกรรมแบบลับๆ ล่อๆ
ใครคน ใครหมา... น่าคิดใช่ไหม
ทักษิณที่เรียกร้องให้แม่น้องเกดเสียสละ คือ สละชีวิตลูก รับเงินเยียวยา แล้วก็หุบปาก ลืมๆ ไปเลยใช่หรือไม่
มิใจร้ายกับครอบครัว “อัคฮาด” ไปหน่อยหรือ
ทักษิณควรได้อ่านเรื่องราวโดยย่อในชีวิตกมนเกด ที่สื่อเสื้อแดงเองได้เรียบเรียงไว้ต่อไปนี้
“กมนเกด อัคฮาด ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ชื่อเล่นที่เพื่อนๆ เรียกคือ "เกด" แต่สำหรับครอบครัวแล้วเรียกว่า "หมู" เธอมีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ แม่ของเธอบอกว่าสาเหตุหลักมาจากการกินแหลกนั่นเอง
"เกด" เกิดในครอบครัว ที่พ่อแม่ทำงานปากกัดตีนถีบ แม่ขายข้าวแกง ก่อนจะมาขายดอกไม้ พวงมาลัย ในตลาดใกล้บ้าน พ่อเป็นลูกจ้างอยู่ที่การไฟฟ้าแห่งหนึ่ง แต่ครอบครัวของเธออบอุ่น เกดและน้องชายอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 18 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 21 ปี สนิทกันมาก วิ่งไล่แกล้งกันตั้งแต่เล็กจนโต และจนกระทั่งปัจจุบัน
น้องๆ และแม่เล่าว่า "เกด" เป็นคนที่มีนิสัยโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนๆ เพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว
อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร
ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ ในขณะที่พ่อเป็นคนค่อนข้างเงียบ เรียบร้อย และดูใจเย็น "เกด"เป็นคนดื้อ ดื้อมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต สมัยเรียนมัธยม "เกด"มักโดดเรียนเป็นประจำเพื่อหนีไปกับเพื่อน เพื่อนก๊วนเกดเป็นอาสาสมัครปอเต๊กตึ๊ง และมักชวนกันออกตระเวนช่วยเหลือคนเจ็บคนตายด้วยกันเสมอ
แม่ยืนยันเกดไม่เคยกลัวอะไร และชอบงานท้าทายที่ได้ช่วยชีวิตคนแบบนี้มาก ห้ามไม่ได้ก็เลยปล่อย เช่นเดียวกับการอาสาไปดูแลคนเสื้อแดงคราวนี้
จบจากมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน. จากนั้นจึงไปเรียนต่อศึกษาบริบาล ระหว่างเรียนก็ฝึกงานตามโรงพยาบาล ทั้งแผนกอุบัติเหตุ จนถึงนิติเวช ก่อนจะออกมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลการุณพิทักษ์แผนกอุบัติเหตุ แม่บอกว่าเกดมีทักษะด้านนี้ บางทีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดช่วยสอน หรือแผนกแต่งศพไม่มีคนก็มาเรียกเกดเพราะเธอทำได้ทุกอย่าง
แม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งในแผนกอุบัติเหตุที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีคนงานถูกเครื่องจักรบดนิ้ว หมอบอกว่าอาจต้องตัดนิ้วทิ้งสามสี่นิ้ว แต่เกดเห็นแล้วหวังว่ายังพอต่อได้ และคนงานไม่มีนิ้วก็เท่ากับแทบไม่เหลือโอกาสทำมาหากิน เกดจึงบอกให้คนไข้คนนั้นอดทนหน่อยเพื่อรอหมอมือฉมังที่สุดที่กำลังมาสับเวร กระทั่งหมอมาและตัดสินใจผ่าตัด ดาม ต่อให้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียนิ้ว
ทำอยู่สองสามปีจนโรงพยาบาลปิดตัวลง เกดจึงได้ออกมาช่วยแม่ค้าขาย กระทั่งได้ทำงานชั่วคราวกับญาติก่อนที่จะโดดงานอีกครั้งเพื่อไปเป็นอาสา สมัครในที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แรกๆ ก็ไปหลังเลิกงาน แต่ช่วงหลังดูเหมือนเธอไปอย่างเต็มตัว และทิ้งที่บ้านไว้เบื้องหลัง เกดบอกแม่ว่าประชาชนมีคนเฒ่าคนแก่และเด็กเยอะ อยู่กันยาวๆ มีเจ็บป่วยกันแยะ แม้มีอาสาสมัครหลายคนที่มาช่วยแต่ก็ยังไม่ได้สัดส่วนกับผู้ชุมนุม
ความใฝ่ฝันของ "เกด" คือต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า "ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้" แม่รู้ดีว่ายากจะห้ามปราม แต่ก็ได้ทักท้วงให้สอบปีหน้า เพราะปีนี้คาดว่าคงลดน้ำหนักไม่ทัน
หลังจากไปร่วมกับ อาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว "เกด" ก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ กระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยิน ขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้นในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัด กระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอกลับเห็นว่า มีร่องรอยของกระสุนปืนมากกว่าสองนัด
น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคืน
ความตั้งใจที่แต่ เดิมจะเก็บไว้ร้อยวันเป็นอันยุติลงเนื่องจากต้องการให้คนที่บ้าน โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อพ้นจากความโศกเศร้าตรอมใจ”
เมื่อเทียบกับโอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง ชีวิตของกมนเกดคือชีวิตที่ต้องสละให้ แต่ทักษิณไม่สละอะไร ไม่สู้คดี ไม่รับการควบคุมตัว ไม่ติดคุกแม้แต่คดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว และตนก็ได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไหนจะเงิน 46,000 ล้านบาทอีกล่ะ จะเอาคืนหรือไม่
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจของครอบครัวอัคฮาด ผมอยากเห็นอะไร
1.คำตอบจากปากของนางพะเยาว์ อัคฮาด เธอคิดอย่างไรที่ทักษิณเรียกร้องให้เสียสละและลืม เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่รวมทักษิณเอาไว้ด้วย
2.สื่อเสื้อแดงที่เคย “หากิน” กับการตายของกมนเกด กับความโศกเศร้าและคับแค้นของนางพะเยาว์กับครอบครัวที่เหลืออยู่ จะนำเสนอข่าวนี้ในแง่มุมไหน จะกล้าเสนอหรือไม่ จะเปิดพื้นที่ให้นางพะเยาว์ได้พูด ได้ให้สัมภาษณ์ได้ออกอากาศ ได้ปราศัยเหมือนเดิมไหม
3.จตุพร พรหมพันธุ์ วันนี้จะพูดถึงการตายของกมนเกดว่าอะไร จะต้องเอา “ฆาตกร” มาลงโทษ หรือลืมๆ กันไป เร่งเดินหน้าปรองดอง ไม่ต้องตามหาแล้วว่า ใครสั่งฆ่า ใครลงมือฆ่ากมลเกด
4.คนเสื้อแดงที่เคยเชิดชูทักษิณและเห็นใจนางพะเยาว์ที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปอย่างน่าสะเทือนใจและแค้นใจ จะพูดถึงทักษิณ ขอ้เสนอของทักษิณ และจะแนะนำให้นางพะเยาว์ปฏิบัติอย่างไร ระหว่างให้เดินหน้ากระบวนการยุติธรรม กับให้เสียสละเพื่อ “คนส่วนใหญ่” อย่างที่ทักษิณอ้าง
5.นัทพัธ อัคฮาด หรือ “กานต์” จะลาออกจากการเป็นเลขาฯ ส่วนตัว นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไหม
6.คนไทย จะช่วยกันซับน้ำตาให้ครอบครัวอัคฮาด ยืนหนุนหลังให้พวกเขาสู้ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิด ปลิดชีวิตลูกสาวของพวกเขา ซึ่งเป็นหลักที่ถูกต้องกันได้หรือไม่ ในขณะที่พวกเขายังไม่ถอด “เสื้อสีแดง”
7.ถึงเวลาเห็นโฉมหน้าและ “สันดาน” ของทักษิณกันได้หรือยัง ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา คนอื่นเท่านั้น ที่ต้องเป็นฝ่ายสละให้
หรือนางพะเยาว์และครอบครัว จะเอาอย่าง “ขัตติยา สวัสดิผล” ที่สมัยรัฐบาลที่แล้ว ทวงถามความคืบหน้าของคดีอยู่หลายหน แต่เมื่อมานั่งเป็น ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ไปเซ็นชื่อรับเงินเยียวยา แล้วกลับมานั่งอยู่เงียบๆ
ผมเชื่อว่าจิตใจของของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ สูงส่ง มีธรรม และกล้าหาญ
พวกเขาไม่มีวันทิ้งหลักการ “ความยุติธรรมต้องมาก่อนเงิน” อย่างแน่ๆ ไม่เชื่อ เราคอยดูกัน!!
ครอบครัว “อัคฮาด” กับคำประกาศของทักษิณ
แนวหน้า
ผมเชื่อว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ยากลำบากและขมขื่นใจที่สุดของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาสมัครที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงที่มีการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. เสื้อแดง
เป็นแรมปีแล้ว ที่นางพะเยาว์กับครอบครัวพากเพียรตามหา “ความยุติธรรม” ให้แก่การตายของลูกสุดที่รัก
เดินสายขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ให้สัมภาษณ์สื่อเสื้อแดงรอบแล้วรอบเล่า และถูกอ้างถึงในสภาโดยจตุพร พรหมพันธุ์ ก็หลายหน
พูดโดยไม่เกรงใจ การตายของลูกสาวเธอมีคุณูปการกับคนเสื้อแดงและจตุพรมาก ซึ่งวันนี้ จะเป็นวันพิสูจน์ว่า คนเหล่านั้น สื่อเหล่านั้น และจตุพร เห็นคุณค่าในชีวิตที่ปลิดปลิวของน้องเกดจริงๆ หรือเห็นเป็นแค่ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในทางการเมือง ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม คือ ทหาร กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่ต้องถามถึงแล้ว สำหรับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้กำลังตั้งตารอรับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการ “ปรองดอง” ซึ่งแท้ที่แท้จริงแล้ว คือการ “นิรโทษกรรม ลบโทษความผิดทั้งหมดให้ทักษิณ” โดยเอาคนอื่นมาคลุมๆ บังๆ ทักษิณไว้
เพราะคำให้สัมภาษณ์ของทักษิณที่ส่งตรงมาจากประเทศกัมพูชา กล่าวถึงครอบครัว “อัคฮาด” อย่างชัดเจนว่า ต้องรู้จักเสียสละ
โดยนายทักษิณกล่าวว่า "แม้แต่แม่ของกมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้นิรโทษกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ"
นี่หรือ คนที่เคยปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงมาเพรียกหาประชาธิปไตย ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงมากันเยอะๆ เพราะ “ผมแพ้ไม่ได้”
ย้ำกับทุกคนว่า “อย่ากลับบ้านมือเปล่า”
และถึงกับสั่งให้คนเสื้อแดงต่างจังหวัดไปที่หน้าศาลากลาง หากมีเหตุคับขันเกิดขึ้นกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
คนที่ นปช. เสื้อแดง ปฏิบัติกับเขาราวกับเป็น “บิดาแห่งประชาธิปไตย” วันนี้กลายเป็นคนที่พร้อมจะเหยียบศพหรือเดินข้ามความตายของลูกชาวบ้าน ไปรับการนิรโทษกรรมอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ โดยไส่ไคล้กระบวนการยุติธรรมว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนที่นางพะเยาว์เคยกล่าวถึงว่า
“บอกตรงๆ ว่า ณ เวลานั้นหมดศรัทธานายอภิสิทธิ์ ฉันไม่ได้เรียกนายกรัฐมนตรี ไม่เคยเรียก เพราะถือว่าฉันไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฉันก็เรียกนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เวลานี้ฉันมองว่าพวกเขาไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลนี้แล้ว เพราะคุณสั่งฆ่าประชาชนได้ โดยไม่นึกถึงว่านี่คือคนไทยเหมือนกัน และทหารที่ลั่นไกส่วนหนึ่งเขาทำตามคำสั่ง นายสั่งมา เขาต้องยิง”
กลับเป็นผู้ที่ลุกขึ้นประกาศกลางสภาว่า เขาไม่รับการนิรโทษกรรม รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย ขอเพียงให้นายทักษิณ มาสู้ในกระบวนการยุติธรรมให้เหมือนๆ กัน ซึ่งคำท้าดังกล่าวนั้น พรรคเพื่อไทยเงียบกริบ และทักษิณก็ไม่รับคำท้า
ขณะที่ทักษิณเรียกร้องให้ “แม่น้องเกด” เสียสละ ถามว่าทักษิณล่ะ เสียสละอะไร
ขณะที่แม่น้องเกดเรียกหากระบวนการยุติธรรม แต่ทักษิณกลับเรียกหาการนิรโทษกรรมแบบลับๆ ล่อๆ
ใครคน ใครหมา... น่าคิดใช่ไหม
ทักษิณที่เรียกร้องให้แม่น้องเกดเสียสละ คือ สละชีวิตลูก รับเงินเยียวยา แล้วก็หุบปาก ลืมๆ ไปเลยใช่หรือไม่
มิใจร้ายกับครอบครัว “อัคฮาด” ไปหน่อยหรือ
ทักษิณควรได้อ่านเรื่องราวโดยย่อในชีวิตกมนเกด ที่สื่อเสื้อแดงเองได้เรียบเรียงไว้ต่อไปนี้
“กมนเกด อัคฮาด ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ชื่อเล่นที่เพื่อนๆ เรียกคือ "เกด" แต่สำหรับครอบครัวแล้วเรียกว่า "หมู" เธอมีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ แม่ของเธอบอกว่าสาเหตุหลักมาจากการกินแหลกนั่นเอง
"เกด" เกิดในครอบครัว ที่พ่อแม่ทำงานปากกัดตีนถีบ แม่ขายข้าวแกง ก่อนจะมาขายดอกไม้ พวงมาลัย ในตลาดใกล้บ้าน พ่อเป็นลูกจ้างอยู่ที่การไฟฟ้าแห่งหนึ่ง แต่ครอบครัวของเธออบอุ่น เกดและน้องชายอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 18 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 21 ปี สนิทกันมาก วิ่งไล่แกล้งกันตั้งแต่เล็กจนโต และจนกระทั่งปัจจุบัน
น้องๆ และแม่เล่าว่า "เกด" เป็นคนที่มีนิสัยโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนๆ เพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว
อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร
ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ ในขณะที่พ่อเป็นคนค่อนข้างเงียบ เรียบร้อย และดูใจเย็น "เกด"เป็นคนดื้อ ดื้อมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต สมัยเรียนมัธยม "เกด"มักโดดเรียนเป็นประจำเพื่อหนีไปกับเพื่อน เพื่อนก๊วนเกดเป็นอาสาสมัครปอเต๊กตึ๊ง และมักชวนกันออกตระเวนช่วยเหลือคนเจ็บคนตายด้วยกันเสมอ
แม่ยืนยันเกดไม่เคยกลัวอะไร และชอบงานท้าทายที่ได้ช่วยชีวิตคนแบบนี้มาก ห้ามไม่ได้ก็เลยปล่อย เช่นเดียวกับการอาสาไปดูแลคนเสื้อแดงคราวนี้
จบจากมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน. จากนั้นจึงไปเรียนต่อศึกษาบริบาล ระหว่างเรียนก็ฝึกงานตามโรงพยาบาล ทั้งแผนกอุบัติเหตุ จนถึงนิติเวช ก่อนจะออกมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลการุณพิทักษ์แผนกอุบัติเหตุ แม่บอกว่าเกดมีทักษะด้านนี้ บางทีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดช่วยสอน หรือแผนกแต่งศพไม่มีคนก็มาเรียกเกดเพราะเธอทำได้ทุกอย่าง
แม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งในแผนกอุบัติเหตุที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีคนงานถูกเครื่องจักรบดนิ้ว หมอบอกว่าอาจต้องตัดนิ้วทิ้งสามสี่นิ้ว แต่เกดเห็นแล้วหวังว่ายังพอต่อได้ และคนงานไม่มีนิ้วก็เท่ากับแทบไม่เหลือโอกาสทำมาหากิน เกดจึงบอกให้คนไข้คนนั้นอดทนหน่อยเพื่อรอหมอมือฉมังที่สุดที่กำลังมาสับเวร กระทั่งหมอมาและตัดสินใจผ่าตัด ดาม ต่อให้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียนิ้ว
ทำอยู่สองสามปีจนโรงพยาบาลปิดตัวลง เกดจึงได้ออกมาช่วยแม่ค้าขาย กระทั่งได้ทำงานชั่วคราวกับญาติก่อนที่จะโดดงานอีกครั้งเพื่อไปเป็นอาสา สมัครในที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แรกๆ ก็ไปหลังเลิกงาน แต่ช่วงหลังดูเหมือนเธอไปอย่างเต็มตัว และทิ้งที่บ้านไว้เบื้องหลัง เกดบอกแม่ว่าประชาชนมีคนเฒ่าคนแก่และเด็กเยอะ อยู่กันยาวๆ มีเจ็บป่วยกันแยะ แม้มีอาสาสมัครหลายคนที่มาช่วยแต่ก็ยังไม่ได้สัดส่วนกับผู้ชุมนุม
ความใฝ่ฝันของ "เกด" คือต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า "ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้" แม่รู้ดีว่ายากจะห้ามปราม แต่ก็ได้ทักท้วงให้สอบปีหน้า เพราะปีนี้คาดว่าคงลดน้ำหนักไม่ทัน
หลังจากไปร่วมกับ อาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว "เกด" ก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ กระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยิน ขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้นในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัด กระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอกลับเห็นว่า มีร่องรอยของกระสุนปืนมากกว่าสองนัด
น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคืน
ความตั้งใจที่แต่ เดิมจะเก็บไว้ร้อยวันเป็นอันยุติลงเนื่องจากต้องการให้คนที่บ้าน โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อพ้นจากความโศกเศร้าตรอมใจ”
เมื่อเทียบกับโอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง ชีวิตของกมนเกดคือชีวิตที่ต้องสละให้ แต่ทักษิณไม่สละอะไร ไม่สู้คดี ไม่รับการควบคุมตัว ไม่ติดคุกแม้แต่คดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว และตนก็ได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไหนจะเงิน 46,000 ล้านบาทอีกล่ะ จะเอาคืนหรือไม่
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจของครอบครัวอัคฮาด ผมอยากเห็นอะไร
1.คำตอบจากปากของนางพะเยาว์ อัคฮาด เธอคิดอย่างไรที่ทักษิณเรียกร้องให้เสียสละและลืม เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่รวมทักษิณเอาไว้ด้วย
2.สื่อเสื้อแดงที่เคย “หากิน” กับการตายของกมนเกด กับความโศกเศร้าและคับแค้นของนางพะเยาว์กับครอบครัวที่เหลืออยู่ จะนำเสนอข่าวนี้ในแง่มุมไหน จะกล้าเสนอหรือไม่ จะเปิดพื้นที่ให้นางพะเยาว์ได้พูด ได้ให้สัมภาษณ์ได้ออกอากาศ ได้ปราศัยเหมือนเดิมไหม
3.จตุพร พรหมพันธุ์ วันนี้จะพูดถึงการตายของกมนเกดว่าอะไร จะต้องเอา “ฆาตกร” มาลงโทษ หรือลืมๆ กันไป เร่งเดินหน้าปรองดอง ไม่ต้องตามหาแล้วว่า ใครสั่งฆ่า ใครลงมือฆ่ากมลเกด
4.คนเสื้อแดงที่เคยเชิดชูทักษิณและเห็นใจนางพะเยาว์ที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปอย่างน่าสะเทือนใจและแค้นใจ จะพูดถึงทักษิณ ขอ้เสนอของทักษิณ และจะแนะนำให้นางพะเยาว์ปฏิบัติอย่างไร ระหว่างให้เดินหน้ากระบวนการยุติธรรม กับให้เสียสละเพื่อ “คนส่วนใหญ่” อย่างที่ทักษิณอ้าง
5.นัทพัธ อัคฮาด หรือ “กานต์” จะลาออกจากการเป็นเลขาฯ ส่วนตัว นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไหม
6.คนไทย จะช่วยกันซับน้ำตาให้ครอบครัวอัคฮาด ยืนหนุนหลังให้พวกเขาสู้ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิด ปลิดชีวิตลูกสาวของพวกเขา ซึ่งเป็นหลักที่ถูกต้องกันได้หรือไม่ ในขณะที่พวกเขายังไม่ถอด “เสื้อสีแดง”
7.ถึงเวลาเห็นโฉมหน้าและ “สันดาน” ของทักษิณกันได้หรือยัง ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา คนอื่นเท่านั้น ที่ต้องเป็นฝ่ายสละให้
หรือนางพะเยาว์และครอบครัว จะเอาอย่าง “ขัตติยา สวัสดิผล” ที่สมัยรัฐบาลที่แล้ว ทวงถามความคืบหน้าของคดีอยู่หลายหน แต่เมื่อมานั่งเป็น ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ไปเซ็นชื่อรับเงินเยียวยา แล้วกลับมานั่งอยู่เงียบๆ
ผมเชื่อว่าจิตใจของของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ สูงส่ง มีธรรม และกล้าหาญ
พวกเขาไม่มีวันทิ้งหลักการ “ความยุติธรรมต้องมาก่อนเงิน” อย่างแน่ๆ ไม่เชื่อ เราคอยดูกัน!!
ผมเชื่อว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ยากลำบากและขมขื่นใจที่สุดของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาสมัครที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงที่มีการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. เสื้อแดง
เป็นแรมปีแล้ว ที่นางพะเยาว์กับครอบครัวพากเพียรตามหา “ความยุติธรรม” ให้แก่การตายของลูกสุดที่รัก
เดินสายขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ให้สัมภาษณ์สื่อเสื้อแดงรอบแล้วรอบเล่า และถูกอ้างถึงในสภาโดยจตุพร พรหมพันธุ์ ก็หลายหน
พูดโดยไม่เกรงใจ การตายของลูกสาวเธอมีคุณูปการกับคนเสื้อแดงและจตุพรมาก ซึ่งวันนี้ จะเป็นวันพิสูจน์ว่า คนเหล่านั้น สื่อเหล่านั้น และจตุพร เห็นคุณค่าในชีวิตที่ปลิดปลิวของน้องเกดจริงๆ หรือเห็นเป็นแค่ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในทางการเมือง ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม คือ ทหาร กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ
ไม่ต้องถามถึงแล้ว สำหรับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้กำลังตั้งตารอรับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการ “ปรองดอง” ซึ่งแท้ที่แท้จริงแล้ว คือการ “นิรโทษกรรม ลบโทษความผิดทั้งหมดให้ทักษิณ” โดยเอาคนอื่นมาคลุมๆ บังๆ ทักษิณไว้
เพราะคำให้สัมภาษณ์ของทักษิณที่ส่งตรงมาจากประเทศกัมพูชา กล่าวถึงครอบครัว “อัคฮาด” อย่างชัดเจนว่า ต้องรู้จักเสียสละ
โดยนายทักษิณกล่าวว่า "แม้แต่แม่ของกมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้นิรโทษกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ"
นี่หรือ คนที่เคยปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงมาเพรียกหาประชาธิปไตย ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงมากันเยอะๆ เพราะ “ผมแพ้ไม่ได้”
ย้ำกับทุกคนว่า “อย่ากลับบ้านมือเปล่า”
และถึงกับสั่งให้คนเสื้อแดงต่างจังหวัดไปที่หน้าศาลากลาง หากมีเหตุคับขันเกิดขึ้นกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯ
คนที่ นปช. เสื้อแดง ปฏิบัติกับเขาราวกับเป็น “บิดาแห่งประชาธิปไตย” วันนี้กลายเป็นคนที่พร้อมจะเหยียบศพหรือเดินข้ามความตายของลูกชาวบ้าน ไปรับการนิรโทษกรรมอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ โดยไส่ไคล้กระบวนการยุติธรรมว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง
ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนที่นางพะเยาว์เคยกล่าวถึงว่า
“บอกตรงๆ ว่า ณ เวลานั้นหมดศรัทธานายอภิสิทธิ์ ฉันไม่ได้เรียกนายกรัฐมนตรี ไม่เคยเรียก เพราะถือว่าฉันไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฉันก็เรียกนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เวลานี้ฉันมองว่าพวกเขาไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลนี้แล้ว เพราะคุณสั่งฆ่าประชาชนได้ โดยไม่นึกถึงว่านี่คือคนไทยเหมือนกัน และทหารที่ลั่นไกส่วนหนึ่งเขาทำตามคำสั่ง นายสั่งมา เขาต้องยิง”
กลับเป็นผู้ที่ลุกขึ้นประกาศกลางสภาว่า เขาไม่รับการนิรโทษกรรม รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย ขอเพียงให้นายทักษิณ มาสู้ในกระบวนการยุติธรรมให้เหมือนๆ กัน ซึ่งคำท้าดังกล่าวนั้น พรรคเพื่อไทยเงียบกริบ และทักษิณก็ไม่รับคำท้า
ขณะที่ทักษิณเรียกร้องให้ “แม่น้องเกด” เสียสละ ถามว่าทักษิณล่ะ เสียสละอะไร
ขณะที่แม่น้องเกดเรียกหากระบวนการยุติธรรม แต่ทักษิณกลับเรียกหาการนิรโทษกรรมแบบลับๆ ล่อๆ
ใครคน ใครหมา... น่าคิดใช่ไหม
ทักษิณที่เรียกร้องให้แม่น้องเกดเสียสละ คือ สละชีวิตลูก รับเงินเยียวยา แล้วก็หุบปาก ลืมๆ ไปเลยใช่หรือไม่
มิใจร้ายกับครอบครัว “อัคฮาด” ไปหน่อยหรือ
ทักษิณควรได้อ่านเรื่องราวโดยย่อในชีวิตกมนเกด ที่สื่อเสื้อแดงเองได้เรียบเรียงไว้ต่อไปนี้
“กมนเกด อัคฮาด ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ชื่อเล่นที่เพื่อนๆ เรียกคือ "เกด" แต่สำหรับครอบครัวแล้วเรียกว่า "หมู" เธอมีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ แม่ของเธอบอกว่าสาเหตุหลักมาจากการกินแหลกนั่นเอง
"เกด" เกิดในครอบครัว ที่พ่อแม่ทำงานปากกัดตีนถีบ แม่ขายข้าวแกง ก่อนจะมาขายดอกไม้ พวงมาลัย ในตลาดใกล้บ้าน พ่อเป็นลูกจ้างอยู่ที่การไฟฟ้าแห่งหนึ่ง แต่ครอบครัวของเธออบอุ่น เกดและน้องชายอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 18 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 21 ปี สนิทกันมาก วิ่งไล่แกล้งกันตั้งแต่เล็กจนโต และจนกระทั่งปัจจุบัน
น้องๆ และแม่เล่าว่า "เกด" เป็นคนที่มีนิสัยโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนๆ เพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว
อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร
ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ ในขณะที่พ่อเป็นคนค่อนข้างเงียบ เรียบร้อย และดูใจเย็น "เกด"เป็นคนดื้อ ดื้อมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต สมัยเรียนมัธยม "เกด"มักโดดเรียนเป็นประจำเพื่อหนีไปกับเพื่อน เพื่อนก๊วนเกดเป็นอาสาสมัครปอเต๊กตึ๊ง และมักชวนกันออกตระเวนช่วยเหลือคนเจ็บคนตายด้วยกันเสมอ
แม่ยืนยันเกดไม่เคยกลัวอะไร และชอบงานท้าทายที่ได้ช่วยชีวิตคนแบบนี้มาก ห้ามไม่ได้ก็เลยปล่อย เช่นเดียวกับการอาสาไปดูแลคนเสื้อแดงคราวนี้
จบจากมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน. จากนั้นจึงไปเรียนต่อศึกษาบริบาล ระหว่างเรียนก็ฝึกงานตามโรงพยาบาล ทั้งแผนกอุบัติเหตุ จนถึงนิติเวช ก่อนจะออกมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลการุณพิทักษ์แผนกอุบัติเหตุ แม่บอกว่าเกดมีทักษะด้านนี้ บางทีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดช่วยสอน หรือแผนกแต่งศพไม่มีคนก็มาเรียกเกดเพราะเธอทำได้ทุกอย่าง
แม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งในแผนกอุบัติเหตุที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีคนงานถูกเครื่องจักรบดนิ้ว หมอบอกว่าอาจต้องตัดนิ้วทิ้งสามสี่นิ้ว แต่เกดเห็นแล้วหวังว่ายังพอต่อได้ และคนงานไม่มีนิ้วก็เท่ากับแทบไม่เหลือโอกาสทำมาหากิน เกดจึงบอกให้คนไข้คนนั้นอดทนหน่อยเพื่อรอหมอมือฉมังที่สุดที่กำลังมาสับเวร กระทั่งหมอมาและตัดสินใจผ่าตัด ดาม ต่อให้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียนิ้ว
ทำอยู่สองสามปีจนโรงพยาบาลปิดตัวลง เกดจึงได้ออกมาช่วยแม่ค้าขาย กระทั่งได้ทำงานชั่วคราวกับญาติก่อนที่จะโดดงานอีกครั้งเพื่อไปเป็นอาสา สมัครในที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แรกๆ ก็ไปหลังเลิกงาน แต่ช่วงหลังดูเหมือนเธอไปอย่างเต็มตัว และทิ้งที่บ้านไว้เบื้องหลัง เกดบอกแม่ว่าประชาชนมีคนเฒ่าคนแก่และเด็กเยอะ อยู่กันยาวๆ มีเจ็บป่วยกันแยะ แม้มีอาสาสมัครหลายคนที่มาช่วยแต่ก็ยังไม่ได้สัดส่วนกับผู้ชุมนุม
ความใฝ่ฝันของ "เกด" คือต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า "ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้" แม่รู้ดีว่ายากจะห้ามปราม แต่ก็ได้ทักท้วงให้สอบปีหน้า เพราะปีนี้คาดว่าคงลดน้ำหนักไม่ทัน
หลังจากไปร่วมกับ อาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว "เกด" ก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ กระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยิน ขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้นในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัด กระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอกลับเห็นว่า มีร่องรอยของกระสุนปืนมากกว่าสองนัด
น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคืน
ความตั้งใจที่แต่ เดิมจะเก็บไว้ร้อยวันเป็นอันยุติลงเนื่องจากต้องการให้คนที่บ้าน โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อพ้นจากความโศกเศร้าตรอมใจ”
เมื่อเทียบกับโอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง ชีวิตของกมนเกดคือชีวิตที่ต้องสละให้ แต่ทักษิณไม่สละอะไร ไม่สู้คดี ไม่รับการควบคุมตัว ไม่ติดคุกแม้แต่คดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว และตนก็ได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไหนจะเงิน 46,000 ล้านบาทอีกล่ะ จะเอาคืนหรือไม่
ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจของครอบครัวอัคฮาด ผมอยากเห็นอะไร
1.คำตอบจากปากของนางพะเยาว์ อัคฮาด เธอคิดอย่างไรที่ทักษิณเรียกร้องให้เสียสละและลืม เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่รวมทักษิณเอาไว้ด้วย
2.สื่อเสื้อแดงที่เคย “หากิน” กับการตายของกมนเกด กับความโศกเศร้าและคับแค้นของนางพะเยาว์กับครอบครัวที่เหลืออยู่ จะนำเสนอข่าวนี้ในแง่มุมไหน จะกล้าเสนอหรือไม่ จะเปิดพื้นที่ให้นางพะเยาว์ได้พูด ได้ให้สัมภาษณ์ได้ออกอากาศ ได้ปราศัยเหมือนเดิมไหม
3.จตุพร พรหมพันธุ์ วันนี้จะพูดถึงการตายของกมนเกดว่าอะไร จะต้องเอา “ฆาตกร” มาลงโทษ หรือลืมๆ กันไป เร่งเดินหน้าปรองดอง ไม่ต้องตามหาแล้วว่า ใครสั่งฆ่า ใครลงมือฆ่ากมลเกด
4.คนเสื้อแดงที่เคยเชิดชูทักษิณและเห็นใจนางพะเยาว์ที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปอย่างน่าสะเทือนใจและแค้นใจ จะพูดถึงทักษิณ ขอ้เสนอของทักษิณ และจะแนะนำให้นางพะเยาว์ปฏิบัติอย่างไร ระหว่างให้เดินหน้ากระบวนการยุติธรรม กับให้เสียสละเพื่อ “คนส่วนใหญ่” อย่างที่ทักษิณอ้าง
5.นัทพัธ อัคฮาด หรือ “กานต์” จะลาออกจากการเป็นเลขาฯ ส่วนตัว นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไหม
6.คนไทย จะช่วยกันซับน้ำตาให้ครอบครัวอัคฮาด ยืนหนุนหลังให้พวกเขาสู้ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิด ปลิดชีวิตลูกสาวของพวกเขา ซึ่งเป็นหลักที่ถูกต้องกันได้หรือไม่ ในขณะที่พวกเขายังไม่ถอด “เสื้อสีแดง”
7.ถึงเวลาเห็นโฉมหน้าและ “สันดาน” ของทักษิณกันได้หรือยัง ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา คนอื่นเท่านั้น ที่ต้องเป็นฝ่ายสละให้
หรือนางพะเยาว์และครอบครัว จะเอาอย่าง “ขัตติยา สวัสดิผล” ที่สมัยรัฐบาลที่แล้ว ทวงถามความคืบหน้าของคดีอยู่หลายหน แต่เมื่อมานั่งเป็น ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ไปเซ็นชื่อรับเงินเยียวยา แล้วกลับมานั่งอยู่เงียบๆ
ผมเชื่อว่าจิตใจของของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ สูงส่ง มีธรรม และกล้าหาญ
พวกเขาไม่มีวันทิ้งหลักการ “ความยุติธรรมต้องมาก่อนเงิน” อย่างแน่ๆ ไม่เชื่อ เราคอยดูกัน!!
วันพุธที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2555
เปิดขุมทรัพย์หมื่นล้านวินจยย.รับจ้าง
เปิดขุมทรัพย์หมื่นล้านวินจยย.รับจ้าง "ตำรวจ-เทศกิจ-กลุ่มอิทธิพล" พุงกาง ใครแข็งเมืองส่งมือปืนตามเก็บ สมาคมผู้ขับขี่จักรยานยนต์ฯ เสนอทางออกให้กระทรวงคมนาคมรับหน้าเสื่อบริหารจัดการแทนกทม. ตัดตอนมาเฟีย
ตีแผ่กลุ่มอิทธิพลเรียกเก็บผลประโยชน์จากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง หลังสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย ทนถูกมาเฟียขูดรีดไม่ไหวเข้าร้องเรียนต่อ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. ให้ปราบปรามกลุ่มมาเฟียวินจักรยานยนต์รับจ้างทั่วกรุงเทพมหานครใหม่ หลังมาเฟียจักรยานยนต์รับจ้างฟื้นคืนชีพอีกครั้ง เพราะมาตรการปราบปรามกลุ่มผู้มีอิทธิพลคลายความเข้มข้นลง
จากการตรวจสอบของ "คม ชัด ลึก" พบว่า ชนวนเหตุที่ทำให้ปัญหามาเฟียและกลุ่มอิทธิพลขูดรีดเรียกเก็บค่าคุ้มครองจาก ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างไม่หมดไปจากสังคมนั้น สาเหตุหลักเป็นเพราะผลประโยชน์ก้อนโต ที่เปรียบเสมือนขุมทรัพย์มหาศาลมูลค่าหลักหมื่นล้านบาท โดยเม็ดเงินก้อนนี้ถูกกระจายส่งต่อเป็นทอดๆ ให้แก่กลุ่มผู้มีอิทธิพล 4 กลุ่มหลัก คือ ลิ่วล้อนักการเมือง คนมีสี ตำรวจ และเทศกิจ
"คม ชัด ลึก" ได้รับการเปิดเผยจากผู้คร่ำหวอดในธุรกิจรถจักรยานยนต์รับจ้างรายหนึ่งว่า หลายสิบปีมาแล้วที่ธุรกิจวินจักรยานยนต์รับจ้างสร้างรายได้ให้แก่กลุ่ม มาเฟียที่คอยจัดเก็บผลประโยชน์จากบรรดาผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง จะสร่างซาลงบ้างก็เฉพาะสมัยที่รัฐบาลมีนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลในยุคที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี แต่หลังจากหมดยุคดังกล่าวกลุ่มมาเฟียก็กลับมามีบทบาทในธุรกิจวินจักรยานยนต์ รับจ้างอีกครั้ง
แหล่งข่าวรายนี้ บอกว่า มาเฟียวินจักรยานยนต์รับจ้าง ส่วนใหญ่ยังเป็นกลุ่มเดิมที่เคยถูกกวาดล้างปราบปรามไปในช่วงรัฐบาลปราบปราม กลุ่มผู้มีอิทธิพล แต่ได้กลับมาอีกครั้งหลังการปฏิวัติในปี 2549 โดยมาเฟียที่ว่าส่วนใหญ่ เป็นลิ่วล้อของนักการเมือง ลูกน้องทหาร นิ้วของตำรวจ และเจ้าหน้าที่เทศกิจ ซึ่งการเรียกเก็บผลประโยชน์จากวินจักรยานยนต์รับจ้างนั้น หากเป็นวินเดิมที่มีอยู่ก่อนก็จะเข้ามายึดวิน โดยบีบให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ในวินนั้นๆ ยินยอมให้มาเฟียดังกล่าวเป็นประธานวิน รวมถึงยังนำสมัครพรรคพวกเข้ามาทำหน้าที่คณะกรรมการวิน
"มาเฟียเขาจะบีบบังคับให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างยอมรับให้เขาเป็น ประธานวิน รวมทั้งจะนำสมัครพรรคพวกเข้ามาเป็นคณะกรรมการวิน ซึ่งในรายละเอียดของการจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้างก่อนหน้านี้ระบุว่า ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างจะจดทะเบียนเป็นผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ สาธารณะได้ก็ต่อเมื่อไปขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเขตในพื้นที่ โดยต้องผ่านการรับรองจากประธานและคณะกรรมการวินจักรยานยนต์รับจ้างนั้นๆ ซึ่งมาเฟียที่เข้ามายึดวินจะฉวยโอกาสนี้เรียกเก็บผลประโยชน์จากการรับรองผู้ ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างโดยอ้างว่าเป็นค่ารับรองในหลักหมื่นบาทต่อคน" แหล่งข่าวรายนี้ ขยายความ
เขาบอกด้วยว่า นโยบายประชาภิวัฒน์ในยุคพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล มีการจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้างใหม่โดยให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับ จ้างทั้งหมดไปขึ้นทะเบียนไว้ที่สำนักงานเขตทั้ง 50 เขต มาเฟียเหล่านี้ก็จะเกณฑ์สมัครพรรคพวกไปลงทะเบียนเพิ่มเติมจากผู้ขับขี่เดิม อาทิ เดิมวินที่พวกเขาดูแลอยู่เคยมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เพียง 50 คน แต่กลับไปเกณฑ์คนไปลงทะเบียนเป็น 150 คน เพื่อนำส่วนต่างดังกล่าวมาตัดเสื้อวินจักรยาน
ยนต์ขายต่อให้แก่ผู้ที่ ต้องการขับรถจักรยานยนต์รับจ้างรายใหม่ โดยจะจำหน่ายกันในอัตราสูงตั้งแต่หลักหมื่นบาทถึงเกือบสองแสนบาทต่อเสื้อวิน 1 ตัว ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของวินจักรยานยนต์นั้นๆ
นอกจากค่าเสื้อวินแล้วมาเฟียยังเรียกเก็บค่ารายวันและรายเดือนเพิ่มเติมอีก โดยอ้างว่าเป็นค่าน้ำร้อน ค่าน้ำชา และค่าตำรวจ โดยการจัดเก็บค่ารายวันนั้นมีตั้งแต่ 20 บาทต่อวันไปจนถึง 120 บาทต่อวัน ขณะที่รายเดือนมีตั้งแต่ 300 บาท ไปจนถึง 3,000 บาท ขึ้นอยู่กับทำเลที่ตั้งของวินจักรยานยนต์เช่นกัน
ข้อมูลดังกล่าวสอด คล้องกับ นายเฉลิม ชั่งทองมะดัน นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย ยืนยันว่า นโยบายประชาภิวัฒน์ที่กำหนดให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างไปยื่นจด ทะเบียนใหม่กับสำนักงานเขตต่างๆ รวม 50 เขต กลายเป็นช่องทางให้กลุ่มมาเฟียวินจักรยานยนต์รับจ้างเข้ามาหาผลประโยชน์จาก ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง โดยมีทั้งที่เข้ามาข่มขู่ยึดวิน และจัดตั้งวินใหม่ขึ้นมาวิ่งรับส่งผู้โดยสารทับเส้นทางของวินเดิม จนเกิดปัญหาแย่งชิงผู้โดยสาร เกิดปัญหาทะเลาะวิวาทและลุกลามไปถึงขั้นฆ่ากันตาย
นายเฉลิม บอกว่า กลุ่มมาเฟียดังกล่าว มีทั้งที่เป็นหัวคะแนนของนักการเมืองตั้งแต่ระดับท้องถิ่นไปจนถึงระดับชาติ ลูกน้องทหาร นักเลงคุมบ่อน เด็กเดินยาที่คอยจัดเก็บเงินให้แก่ตำรวจ รวมถึงเจ้าหน้าที่เทศกิจบางคน ซึ่งมาเฟียเหล่านี้ส่วนใหญ่เป็นผู้มีอิทธิพลกลุ่มเดิมๆ ที่เคยคุมวินจักรยานยนต์รับจ้างเก่าสมัยก่อนนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพล ซึ่งหลังจากนโยบายปราบปรามผู้มีอิทธิพลลดความเข้มข้นลงบุคคลเหล่านี้ก็กลับ มาอีก
"อย่างที่ วินซอยต้นโพธิ์ ย่านห้วยขวาง มีลูกน้องนักการเมืองพรรคหนึ่งเป็นมาเฟียใหญ่คอยจัดเก็บผลประโยชน์ในวินดัง กล่าวอยู่ ผู้ขับขี่รายใดต้องการไปวิ่งวินต้องซื้อเสื้อวินตัวละ 1.8-2 แสนบาทต่อตัว หรือไม่ก็ต้องเช่าเสื้อตัวละ 4.5 พันบาทต่อเดือน บวกกับค่าตำรวจอีกเดือนละ 300 บาท ผู้ขับขี่รายใดไม่ยอมจ่ายก็ไม่สามารถเข้าไปวิ่งรับส่งผู้โดยสารได้ และหากรายใดดื้อดึงก็จะถูกรุมทำร้าย" นายเฉลิมกล่าว
นายเฉลิม ให้ข้อมูลด้วยว่า ที่วินจักรยานยนต์รับจ้างแห่งหนึ่งย่านอ่อนนุช ก็มีมาเฟียซึ่งเป็นลูกน้องของคนสนิทนักการเมืองรายหนึ่งเข้าไปขอบริหารวิ นแทนประธานวินคนเก่า เมื่อถูกปฏิเสธ มาเฟียรายนี้ก็จัดส่งมือปืนเข้าไปยิงประธานวินรายนี้จนเสียชีวิตแล้วเข้าไป ยึดวินบริหารแทน กรณีนี้ตำรวจก็ทราบดีว่าคนร้ายคือใครแต่จนถึงทุกวันนี้เวลาล่วงเลยกว่า 2 ปีแล้วตำรวจก็ยังไม่จับกุมคนร้าย
ทั้งนี้ สาเหตุหลักที่ทำให้มาเฟียวินจักรยานยนต์รับจ้างไม่หมดไป นายเฉลิมเชื่อว่าเป็นเพราะเจ้าหน้าที่รัฐหิวเงิน มาเฟียเหล่านี้แทบทั้งหมดเป็นคนที่มีความสนิทสนมทำหน้าที่จัดเก็บผลประโยชน์ ให้แก่เจ้าหน้าที่ของรัฐทั้งสิ้น
"การเข้าไปยึดวินหรือตั้งวินใหม่ของมาเฟียไม่สามารถทำได้ หากไม่ได้รับไฟเขียวจากตำรวจหรือเทศกิจในพื้นที่ โดยการจัดตั้งวินใหม่นั้นมาเฟียจะเข้าไปติดต่อกับตำรวจจราจรและตำรวจฝ่ายสืบ สวนในแต่ละโรงพักว่าจะขอจัดตั้งวินในพื้นที่แล้วเสนอค่าตอบแทนให้เป็นราย เดือน จำนวนเท่าไหร่แล้วแต่การเจรจาตกลง หลังจากนั้นจะเข้าไปพบกับเจ้าหน้าที่เทศกิจในสำนักงานเขตในพื้นที่ เจรจาต่อรองจ่ายค่าตอบแทนเป็นรายเดือนกันเช่นกัน เพราะการตั้งวินส่วนใหญ่จะตั้งบนทางเท้า หากไม่ได้รับความยินยอมจากเทศกิจก็จะตั้งไม่ได้" นายเฉลิม ขยายความ
อย่างไรก็ตาม ความคืบหน้าในการจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้างนั้น พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. ได้มอบหมายให้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผบช.น. ซึ่งรับผิดชอบงานด้านจราจร ดำเนินการแก้ปัญหาเรื่องดังกล่าว ล่าสุด พล.ต.ต.วรศักดิ์ ได้สั่งการให้ทุกโรงพักสำรวจจำนวนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างทั้งหมด
ปัจจุบันพบว่า มีวินรถจักรยานยนต์รับจ้างที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย รวมทั้งสิ้น 6,330 วิน รวม 97,620 คัน แบ่งรายละเอียดตามพื้นที่ได้ดังนี้ บก.น.1 จำนวน 485 วิน รวม 8,536 คัน บก.น.2 จำนวน 3,018 วิน รวม 22,580 คัน บก.น.3 จำนวน 347 วิน รวม 5,614 คัน บก.น.4 จำนวน 349 วิน รวม 11,845 คัน บก.น.5 จำนวน 790 วิน รวม 19,555 คัน บก.น.6 จำนวน 307 วิน รวม 2,482 คัน บก.น.7 จำนวน 302 วิน รวม 7,634 คัน บก.น.8 จำนวน 259 วิน รวม 7,166 คัน บก.น.9 จำนวน 473 วิน รวม 12,208 คัน ในจำนวนนี้ยังไม่นับรวมวินเถื่อนซึ่งมีการจัดตั้งใหม่ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียน ซึ่งเบื้องต้นพบว่ามีอยู่ 594 วิน รวม 3,362 คัน โดยตัวเลขวินเถื่อนดังกล่าวนั้นยังไม่ชัดเจนอยู่ระหว่างการตรวจสอบยืนยัน จำนวนที่แท้จริงอีกครั้ง
ทั้งนี้ หากคำนวณตัวเลขผลประโยชน์จากธุรกิจวินจักรยานยนต์อย่างคร่าวๆ พบตัวเลขมหาศาลจากค่าเสื้อวิน เฉลี่ยต่อตัว 1 แสนบาท หากมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างทั้งสิ้นประมาณ 1 แสนคน เป็นเงินรวมกันกว่า 1 หมื่นล้านบาท ซึ่งเงินจำนวนนี้ยังไม่นับรวมเงินค่ารายเดือนที่เฉลี่ยอีก 1,000 บาทต่อคัน เป็นเงินรวมกันอีกกว่า 1 พันล้านบาทต่อเดือนหรือตกประมาณ 1.2 หมื่นล้านบาทต่อปี, ค่ารายวันเฉลี่ยอีก 50 บาทต่อคัน รวม 1 แสนคัน เป็นเงินประมาณ 5 ล้านบาทต่อวัน หรือราว 150 ล้านบาทต่อเดือน หรือราว 1.8 พันล้านบาทต่อปี โดยเม็ดเงินเหล่านี้ จะถูกจัดสรรส่งต่อเป็นทอดๆ ให้แก่คน 4 กลุ่ม ได้แก่ มาเฟียคุมวินในสัดส่วนร้อยละ 40, นักการเมืองร้อยละ 20,ตำรวจร้อยละ 20 และเทศกิจร้อยละ 20
เผยพฤติกรรมโหดมาเฟีย จยย.รับจ้าง ฆ่าคนเก่าเข้ายึดตำแหน่งประธานใหม่แทน แฉเล่ห์ "สวมรอยเพิ่มจำนวน จยย." รีดหนักเสื้อกั๊กตัวละแสน ตร.เตรียมจัดระเบียบครั้งใหญ่ ตั้งคณะกรรมการ 3 ฝ่าย ร่วมพิจารณาตั้งวิน ขณะที่ "วัน อยู่บำรุง" ปฏิเสธให้ความเห็นมาเฟีย จยย. ทั้งๆ ที่เคยเคลื่อนไหวในการจัดระเบียบ
หลังจาก "คม ชัด ลึก" ตีแผ่ขุมทรัพย์มูลค่าหมื่นล้านบาท ซึ่งกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างทั่วกรุงเทพมหานครต้องจ่ายให้แก่ กลุ่มมาเฟีย จนสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยต้องรวมตัวกันเรียกร้อง ให้มีการจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้าง เนื่องจากมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างจำนวนไม่น้อยยังถูกคุกคามเรียก เก็บผลประโยชน์อยู่
นายสมใจ หนุ่มใหญ่วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างย่านอ่อนนุช ซึ่งวิ่งรับส่งผู้โดยสารมานานกว่า 10 ปี ยอมรับว่า รู้สึกเป็นกังวลในความปลอดภัยของชีวิต เนื่องจากกำลังถูกคุกคามจากมาเฟียวินจักรยานยนต์รับจ้างที่เข้ามาข่มขู่ เรียกเก็บผลประโยชน์ภายในวินจักรยานยนต์รับจ้างอยู่เสมอ แม้ว่าเมื่อปี 2546 มีการจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้างไปแล้ว และได้จดทะเบียนไว้กับสำนักงานเขตอย่างถูกต้อง อีกทั้งภายในวินจักรยานยนต์รับจ้างที่สังกัดอยู่ ก็มีคณะกรรมการวิน มีการคัดเลือกประธานวินขึ้นมาทำหน้าที่บริหารวินตามระเบียบที่กำหนดไว้ ทุกอย่าง ในระยะแรกไม่มีปัญหา กระทั่งเมื่อปีเศษๆ ที่ผ่านมา เริ่มมีมาเฟียเข้ามายึดวินและเรียกเก็บเงินอย่างไม่เป็นธรรม
"มาเฟียกลุ่มนี้เป็นคนในพื้นที่มีบ้านพักอยู่ย่านวัดใต้ เป็นนักเลงคุมบ่อน มีลูกพี่เป็นหัวคะแนนของนักการเมืองพรรคใหญ่ ตอนแรกเข้ามาเจรจากับประธานวินคนก่อนขอบริหารวินแทน แต่ประธานวินไม่ยินยอม เขาจึงยิงประธานวินเสียชีวิต หลังจากนั้นก็เข้ามายึดวินทำหน้าที่เป็นประธานวินแล้วนำลูกน้องเข้ามาเป็น คณะกรรมการวิน ข่มขู่ให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์แห่งนี้จ่ายค่าน้ำวันละ 20 บาทต่อคน" นายสมใจกล่าว
ตลอดระยะเวลา 1 ปีเศษ นายสมใจยินยอมจ่ายเงินวันละ 20 บาทให้แก่มาเฟียรายเพราะกลัวถูกทำร้าย กระทั่งรัฐบาลชุดก่อนมีนโยบายประชาภิวัฒน์ กำหนดให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างต้องไปขึ้นทะเบียนใหม่กับสำนักงานเขต มีการกำหนดให้ผู้ขับขี่รายเดิมต้องมีหนังสือรับรองจากประธานวินจึงจะไปขอจด ทะเบียนได้ กลายเป็นช่องทางให้มาเฟียรายนี้ขูดรีดเงินเพิ่มอีก
"มาเฟียมาบอกพวกผมหากต้องการจดทะเบียนต้องจ่ายเงินเป็นค่ารับรองให้เขาคนละ 1 หมื่นบาท พวกผมเห็นว่าไม่เป็นธรรม ทั้งที่เป็นคนเก่าคนแก่ขับกันมานานแล้ว และเคยจดทะเบียนอย่างถูกต้องมาตั้งแต่ปี 2546 จึงไม่ยอมจ่าย และได้ไปติดต่อขอจดทะเบียนเองที่สำนักงานเขต แต่ได้รับการปฏิเสธ เพราะต้องมีหนังสือรับรองจากประธานวินมาแสดง" นายสมใจกล่าว
ทุกวันนี้นายสมใจและเพื่อนรวม 16 คน ในวินจักรยานยนต์แห่งนี้ยังไม่ได้ขึ้นทะเบียนรถจักรยานยนต์รับจ้าง แม้จะมีการติดต่อยอมลดเงินค่าออกหนังสือรับรองให้จากเดิมเรียกเก็บ 1 หมื่นบาทต่อคน ลดเหลือ 6,000 บาท หากยังไม่ยอมอีกจะถูกข่มขู่เอาชีวิต
"วันก่อนมีชายฉกรรจ์เข้ามานั่งที่วินของผม เขานั่งรอจนกระทั่งถึงคิวรับส่งผู้โดยสารของผมจึงจะมาขึ้นรถ ผมเห็นพฤติกรรมแปลกจึงปฏิเสธไป เพราะตัวเขาปฏิเสธที่จะไปกับคันอื่น เมื่อผมไปส่งผู้โดยสารรายอื่นกลับมาแล้วเขายังรออยู่อีก ผมเลยให้เพื่อนพยายามถ่ายภาพเอาไว้ เขาเห็นดังนั้นจึงเดินหนีไป ทุกวันนี้ผมต้องระมัดระวังตัวทุกฝีก้าว จะออกจากบ้านเฉพาะเวลากลางวัน และกลับเข้าบ้านก่อนค่ำเสมอ" นายสมใจกล่าว
นอกจากมาเฟียกลุ่มนี้จะเรียกเก็บค่าออกหนังสือรับรองจากนายสมใจและเพื่อน ร่วมวินแล้ว ยังมีการเกณฑ์คนไปลงทะเบียนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเพิ่ม จากเดิมวินแห่งนี้มีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างเพียง 83 คน แต่มาเฟียรายนี้กลับไปแจ้งสำนักงานเขตว่ามีถึง 124 คน ส่วนต่างดังกล่าวนี้ มาเฟียได้นำไปตัดเสื้อวินมาขายให้แก่ผู้ขับขี่รายใหม่ในราคาตัวละ 1 แสนบาท ทำให้มาเฟียกลุ่มนี้มีรายได้จากการขายเสื้อวินทันที 4.1 ล้านบาท
อย่างไรก็ตาม การขึ้นทะเบียนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง เป็นงานฝากที่ กทม.รับต่อมาจากกระทรวงคมนาคม นายธีระชน มโนมัยพิบูลย์ รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร กล่าวว่า หากมีการเสนอให้กระทรวงคมนาคมรับงานกลับไปทำเองก็เป็นสิ่งที่รัฐบาลสามารถทำ ได้ โดยการแก้ไข พ.ร.บ.ขนส่งทางบก ที่มอบอำนาจให้ปลัดกรุงเทพมหานครดำเนินการในการจดทะเบียนแล้วให้ระบุใหม่ โดยให้กระทรวงคมนาคมเป็นผู้ดำเนินการเอง ซึ่งทาง กทม.ไม่ได้ขัดข้อง
ส่วนความคืบหน้าในการจดทะเบียนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างนั้น นายธีระชน กล่าวว่า ขณะนี้อยู่ระหว่างการดำเนินการ ทางปลัด กทม.ได้มอบหมายให้สำนักงานเขตต่างๆ ดำเนินการ ไม่ได้กำหนดกรอบเวลาว่าจะต้องให้แล้วเสร็จเมื่อไหร่ เนื่องจากมีผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างในเขตต่างๆ ทยอยไปจดทะเบียนกับสำนักงานเขตอยู่อย่างต่อเนื่อง
"ส่วนข้อครหาที่มีการระบุว่ามีเจ้าหน้าที่เทศกิจไปเกี่ยวข้องกับการรับผล ประโยชน์ สมัยที่ผมยังกำกับดูแลสำนักเทศกิจนั้น ก็ยอมรับว่ามีเรื่องดังกล่าวจริง ก็ได้มีการโยกย้ายไปกว่า 2,000 คน ขณะนี้สำนักเทศกิจไม่ได้อยู่ในกำกับผมแล้ว โดยท่านผู้ว่าฯ ได้มอบหมายให้รองผู้ว่าฯ กทม. อีกคน เป็นผู้กำกับดูแล ผมจึงไม่ทราบว่าเป็นอย่างไร" นายธีระชนกล่าว
ขณะเดียวกัน นายวัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) กำกับดูแลสำนักเทศกิจ กล่าวถึงกระแสข่าวมีเทศกิจเกี่ยวข้องกับผลประโยชน์มาเฟียวินมอเตอร์ไซค์ว่า ต้องรอการตรวจสอบรายละเอียดที่ชัดเจนกว่านี้ เพราะยังเป็นแค่กระแสข่าว แต่ถ้ามีการร้องเรียนและพบว่าเทศกิจของกทม.เกี่ยวข้องจริงๆ ก็สามารถเอาผิดเทศกิจเพราะมีโทษทางวินัยแน่นอน
"การขึ้นทะเบียนวินมอเตอร์ไซค์นั้นก็เป็นไปตามแนวทางปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ ตำรวจแต่ละพื้นที่ เพราะเจ้าหน้าที่ตำรวจมีหน้าที่ดูแลเรื่องนี้ให้เป็นไปตามกฎหมายอยู่แล้ว" นายวัลลภกล่าว
ด้าน พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รองผบช.น. ซึ่งกำกับดูแลการปราบปรามมาเฟียและกลุ่มผู้มีอิทธิพล กล่าวว่า หลังจากสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยเข้าพบ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. เพื่อให้ช่วยเหลือในการปราบปรามกลุ่มมาเฟียนั้น ผบช.น.ได้มอบหมายให้เข้าไปดำเนินการในการปราบปรามมาเฟียดังกล่าว ปรากฏว่า มีการจับกุมกลุ่มผู้ต้องหาที่ร่วมกันทำร้ายนายชัยรัตน์ สีหวงษ์ อายุ 37 ปี ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างซอยพร้อมพงษ์ จนได้รับบาดเจ็บสาหัส โดยสาเหตุเกิดจากกลุ่มผู้ต้องหามีพฤติกรรมจัดตั้งวินจักรยานยนต์เถื่อนวิ่ง รับส่งผู้โดยสารทับเส้นทางวินที่นายชัยรัตน์ขี่อยู่
พล.ต.ต.วิชัย กล่าวอีกว่า ได้กำชับให้ตำรวจฝ่ายสืบสวนทุกโรงพักกวดขันเกี่ยวกับเรื่องดังกล่าวแล้ว และมอบหมายให้ พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผบช.น.รับผิดชอบงานด้านจราจรเป็นผู้ดำเนินการ ซึ่งยังอยู่ระหว่างการตรวจสอบจำนวนวินจักรยานยนต์ที่จัดตั้งขึ้นใหม่ โดยยังไม่ได้มีการจดทะเบียนในเขต กทม.ทั้งหมด หลังจากทราบจำนวนอย่างชัดเจนแล้ว จะมีการประชุมหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อหาข้อตกลงร่วมกันในการจัดระเบียบวิ นจักรยานยนต์ทั้งหมด
ในเบื้องต้นนั้นการจัดตั้งวินจักรยานยนต์ขึ้นใหม่จะต้องมีการขออนุญาตอย่าง ถูกต้องจากตำรวจและสำนักงานเขตในพื้นที่ โดยการจัดตั้งวินใหม่นั้นจะต้องผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการที่ประกอบด้วย ตำรวจ เจ้าหน้าที่ กทม. และตัวแทนของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ และที่สำคัญบริเวณที่ตั้งวินจะต้องไม่อยู่บนทางเท้าหรือกีดขวางช่องทางจราจร
ทั้งนี้ จากกรณีที่นายวัน อยู่บำรุง ผู้ช่วยเลขารัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคม ประกาศเอาจริงเรื่องกวาดล้างวินมอเตอร์ไซค์เถื่อน ทาง กทม.เห็นว่าเป็นเรื่องดี และคิดว่าจะแก้ปัญหาได้ เนื่องจากเป็นลูกชายของ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลสำนักงานตำรวจแห่งชาติ จึงน่าจะประสานตำรวจในการแก้ปัญหาเรื่องนี้ได้
"คม ชัด ลึก" ได้สอบถามถึงความคืบหน้าในการช่วยเหลือกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง จากนายวัน อยู่บำรุง แต่ได้รับการปฏิเสธที่จะตอบถึงกรณีปัญหาดังกล่าว
วิน จยย.ครวญมาเฟียผ่าน "ระวังภัย" "มาเฟียรีด-ขู่เอาชีวิต"
ขณะเดียวกัน "คม ชัด ลึก" ได้ร่วมมือกับสถานีข่าว "ระวังภัย" รับเรื่องร้องเรียนและข้อมูลปัญหามาเฟียวินมอเตอร์ไซค์ได้ที่สายด่วนระวัง ภัย 1769 โดย "เฉลิม ชั่งทองมะดัน" นายกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย ร้องทุกข์ผ่านรายการ "ลุงแจ่มออนแอร์" ออกอากาศวันจันทร์-ศุกร์ เวลา 13.00-14.00 น. สะท้อนความทุกข์จากภัยของกลุ่มผู้มีอิทธิพลขูดรีดและข่มขู่อย่างท้าทาย กฎหมาย พร้อมทั้งเรียกเจ้าหน้าที่รัฐจัดระเบียบอย่างเร่งด่วน
เฉลิม ระบุว่า คนขี่มอเตอร์ไซค์รับจ้างทำมาหากินสุจริตอย่างพวกเราถูกกลุ่มมาเฟียคุกคามรีด เงินอย่างไม่เป็นธรรมมานานแล้ว กระทั่งเมื่อ 2 ปีก่อน ได้พยายามรวมตัวกันตั้งสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทย เพื่อต่อสู้กับความไม่เป็นธรรม แต่ไม่สามารถทำอะไรได้ เพราะไม่มีช่องทางกฎหมายใดจะไปจัดการกลุ่มคนเหล่านี้ได้ ที่ผ่านมาเคยร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้องมาตลอด สุดท้ายเรื่องก็เงียบไป ล่าสุดร้องเรียนต่อ "วัน อยู่บำรุง" ที่ปรึกษา รมว.คมนาคม และ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) ถึงกระนั้นยังไม่มีความคืบหน้า
แม้ว่าหลายปีมานี้พวกเราพยายามต่อสู้ หลายสิ่งหลายอย่าง แต่ถ้าพวกเขารู้ว่าใครเข้าร่วมเคลื่อนไหวเรียกร้องความเป็นธรรม หรือเป็นสมาชิกสมาคม จะส่งคนมาข่มขู่เอาชีวิต บางรายถูกทำร้ายร่างกาย จึงต้องกัดฟันทนจ่ายเงินเพื่อความปลอดภัย อย่างเช่น วินหลัง สน.พระโขนง ทุกวันนี้มีมอเตอร์ไซค์กว่า 100 คัน จ่ายรายเดือนคันละ 750 บาท แว่วมาว่าหลังสงกรานต์จะเก็บเพิ่มเป็น 1,000 บาท
"โธ่เอ๊ยจ่ายเดือนละ 750 บาท คนหาเช้ากินค่ำอย่างพวกเรายังลำบาก นี่จะขูดรีดกันถึง 1,000 บาท ที่สำคัญพวกเขาจะตัดเสื้อเพิ่มอีกตัวละ 1 แสนบาท กลุ่มมาเฟียที่เป็นลูกน้องของคนมีสี ส่วนใหญ่มีพื้นฐานมาจากเด็กเดินยา เด็กโพยพนันบอล น่าแปลกที่ตำรวจหรือกฎหมายไม่สามารถทำอะไรได้เลย พวกนี้ยิ่งเหิมเกริมและเพิ่มจำนวนมากขึ้น"
นายกสมาคมย้ำว่า วินมอเตอร์ไซค์ถือเป็นขุมทรัพย์มหาศาล ลองคิดง่ายๆ ปัจจุบันวินที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายประมาณ 4,500 วิน แต่ความจริงเมื่อรวมวินเถื่อนด้วยจะมีถึง 6,000 วิน ส่วนมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่จดทะเบียนถูกต้องมีกว่า 1 แสนคัน ถ้ารวมรถเถื่อนที่วิ่งรับผู้โดยสารตัวเลขจะอยู่ที่ประมาณ 2 แสนคัน ส่วนราคาเสื้อวินซื้อขายกันตามทำเลเฉลี่ยขั้นต่ำตัวละ 3 หมื่นบาท สูงสุดถึงตัวละ 1.5 แสนบาท ยังไม่จบแค่นั้น เมื่อซื้อเสื้อวินแล้วจะขี่รับผู้โดยสารได้ต้องจ่ายให้คนคุมวินวันละ 20-120 บาท หรือใครไม่มีเงินซื้อเสื้อวินให้จ่ายค่าเปลี่ยนหน้า 3,000 บาท จากนั้นจ่ายรายเดือน 1,700 บาท ดังนั้นในแต่ละปีวงการนี้จึงมีเงินหมุนเวียนไม่ต่ำกว่าหมื่นล้านบาท เรื่องนี้ พล.ต.ท.วินัยบอกว่า ขอเวลาในการเคลียร์ปัญหา 2 เดือน ถึงวันนี้ครบกำหนดแล้ว ยังไม่ได้รับสัญญาณใดๆ ดังนั้นอีกไม่กี่วันนี้เราจะเข้าร้องเรียน ผบช.น.อีกครั้ง รวมทั้งกระทรวงมหาดไทย และ วัน อยู่บำรุง
"สิ่งที่เราต้องการ คือ ข้อแรก มอเตอร์ไซค์ที่นำมาขับวินต้องเป็นรถป้ายเหลืองเท่านั้น อีกทั้งที่ผ่านมาสำนักงานเขตต่างๆ ของ กทม. (กรุงเทพมหานคร) ไม่ยอมให้ป้ายเหลือง อย่างที่สำนักงานเขตวัฒนา เจ้าหน้าที่มักอ้างว่านายยังไม่ได้สั่ง จุดนี้ถือเป็นช่องโหว่ให้กลุ่มมาเฟียมาเรียกร้องเงินจากเราได้ ส่วนข้อสอง ต้องยกเลิกเก็บค่ารายวันและรายเดือน ขอย้ำว่าพวกเราจะไม่เรียกร้องความเป็นธรรมเลย ถ้าเงินที่ถูกเก็บไปนำเข้าระบบภาษีสำหรับพัฒนาประเทศ แต่ในความเป็นจริงรายได้ส่วนนี้ไม่ต่างกับธุรกิจมืด เช่น หวยใต้ดิน พนันบอล เงินไม่ได้เข้าสู่รัฐ ทุกบาทไหลเข้ากระเป๋ากลุ่มผู้มีอิทธิพล"
ต่อมาเวลา 18.00-19.00 น. "เฉลิม ชั่งทองมะดัน" ให้สัมภาษณ์ในรายการ 108 ข่าวระวังภัย ทางสถานีข่าว "ระวังภัย" ว่า ราคาเสื้อวินมอเตอร์ไซค์มีราคาตั้งแต่ 4 หมื่นบาทขึ้นไป จนถึงราคา 3 แสนบาท ขึ้นอยู่กับรายได้ในการวิ่งแต่ละพื้นที่ โดยหัวหน้าวินจะเป็นคนกำหนดเอง เคยร้องเรียนแล้วเรื่องยังไม่ถึงไหน ตำรวจกำลังดำเนินการ และรอ กทม. และสำนักงานเขตออกคำสั่ง ที่ผ่านมาหลังจากการประกาศนโยบายประชาภิวัฒน์ว่า ใครอยากขับให้ไปลงทะเบียน ก็มีพวกนักการเมืองท้องถิ่นไปเปิดวินใหม่ และไม่ให้คนที่วิ่งวินมอเตอร์ไซค์มาก่อนแล้วตั้งแต่ปี 2546 มาลงทะเบียน แถมยังเป็นการตั้งวินซ้ำซ้อนกับที่มีอยู่เป็นการตั้งวินเถื่อน
"ที่ผ่านมามีเพื่อนที่เป็นหัวหน้าวินซอยสุขุมวิท 77 โดนยิงจนเสียชีวิต รวมถึงมีอีกหลายคนที่โดนทำร้ายได้รับบาดเจ็บ ข้อเรียกร้องของพวกผมคือให้คนที่วิ่งวินตั้งแต่ปี 2546 สามารถจดทะเบียนเป็นป้ายเหลือง และสามารถวิ่งวินได้ ส่วนวินที่มาตั้งซ้ำซ้อนขอให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบด้วย"
จากนั้นทางรายการ ได้ติดต่อ พล.ต.ต.วิชัย สังข์ประไพ รอง ผบช.น. ซึ่งเข้าสายรออยู่และรับฟังปัญหาด้วย พล.ต.ต.วิชัยกล่าวว่า หลังจากนายเฉลิมร้องเรียน ตำรวจก็ไม่ได้นิ่งนอนใจ ในแต่ละวันจัดกำลังตำรวจจราจรลงพื้นที่สำรวจวินมอเตอร์ไซค์ว่ามีจำนวนเท่าใด มีจุดไหนบ้างที่มีการตั้งซ้อนขึ้นมา หลายจุดได้รับการแก้ไขแล้ว เราจะแก้ในจุดที่มีการร้องเรียนว่ามีการข่มขู่อย่างฝั่งธนบุรี ทั้งนี้พบว่าการร้องเรียนส่วนใหญ่อยู่ในย่านพระโขนง สุขุมวิท ซึ่งอยู่เขตพื้นที่กองบังคับการตำรวจนครบาล 5 (บก.น.5)
ถึงตรงนี้ผู้ดำเนินรายการต่อสายถึง นายประชัน (นามสมมติ) วินมอเตอร์ไซค์รับจ้างที่ร้องเรียนเข้ามาว่าถูกข่มขู่ถึงขั้นเอาชีวิต เล่าว่า ที่ผ่านมาได้เรียกร้องความยุติธรรม หลังจากถูกผู้มีอิทธิพลเข้ามาซื้อวินมอเตอร์ไซค์ จากกรรมการวินโดยที่พวกเราไม่รู้ และแต่งตั้งตัวเองเป็นประธานวิน ก่อนจะมีการซื้อเสื้อวินเพื่อนำไปปล่อยเช่า โดยที่ไม่มีชื่อลงทะเบียนกับเขต โดยตำรวจและเจ้าหน้าที่เขตนั้นรู้เห็นเป็นใจด้วย รวมทั้งมีการพยายามข่มขู่กับคนขับขี่วินมอเตอร์ไซค์ที่เรียกร้องความเป็น ธรรมด้วย
ระหว่างนั้น พล.ต.ต.วิชัยสอบถามถึงพื้นที่ที่มีการข่มขู่ ก่อนนายประชันจะตอบว่า เป็นพื้นที่บางกอกใหญ่ ซึ่งเคยมาร้องเรียนกับพล.ต.ต.วิชัยแล้ว โดย พล.ต.ต.วิชัยบอกว่า ตรงจุดนี้นั้นได้รับร้องเรียนมาแล้ว ตอนนี้มีการดำเนินการให้แล้ว
"ตอนนี้มีผู้กำกับคนใหม่เข้ามารับหน้าที่ ผมมีการสั่งให้ดำเนินการแล้ว ตอนนี้อยู่ระหว่างการตรวจสอบในเรื่องของวินที่มาซื้อที่ส่วนบุคคลแล้วนำมา ตั้งวิน เพื่อไม่ให้มาเบียดเบียนวินที่ถูกต้อง ก่อนได้ย้ำกับนายประชันว่า ขอให้มาหาผมและบอกว่าตำรวจคนไหน หรือเทศกิจคนใดมีพฤติกรรมที่ไม่ชอบ ผมจะเข้าไปดำเนินการ" พล.ต.ต.วิชัยกล่าวทิ้งท้าย
"สังศิต" จี้รัฐบาลประกาศให้ชัดนโยบายวิน จยย.ปลอดมาเฟีย แนะตั้งรมว.คมนาคมเป็นแม่งาน นายกวินจยย.แฉจยย.ถูกรีดส่วย 3,000-5,000 บาทแลกกับหนังสือรับรองคนขับ จี้ผู้ว่าฯกทม.ลงมาดูแล รองผบช.น.เผยแผนจัดระเบียบจยย.เสร็จ เตรียมเรียกผู้เกี่ยวข้องประชุม 19 เม.ย.
หลังจาก "คม ชัด ลึก" ตีแผ่ปัญหากลุ่มมาเฟียรีดไถและเข้าไปแสวงหาผลประโยชน์จากวินรถจักรยานยนต์ รับจ้างจนกลายเป็นขุมทรัพย์นับหมื่นล้านบาท จนกลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างทนไม่ไหวต้องเข้าพบ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น. เพื่อเรียกร้องให้กวาดล้างปราบปรามกลุ่มมาเฟียและจัดระเบียบวินรถ จักรยานยนต์รับจ้างใหม่
ล่าสุด นายเฉลิม ชั่งทองมะดัน เปิดเผยว่า ภายในวันที่ 23 เมษายนนี้ พล.ต.ท.วินัยได้นัดหมายให้กลุ่มผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างที่ได้รับความ เดือดร้อนจากการถูกกลุ่มาเฟียรีดไถเข้าพบ เพื่อหาทางแก้ปัญหาร่วมกันอีกครั้ง หลัง "คม ชัด ลึก" ตีแผ่ปัญหามาเฟียเรียกเก็บผลประโยชน์ฯ ได้รับการประสานจาก พล.ต.ท.วินัยให้เดินทางไปพบที่กองบัญชาการตำรวจนครบาลในเวลา 11.00 น. วันที่ 23 เมษายน เพื่อขอข้อมูลเกี่ยวกับกลุ่มผู้มีอิทธิพลและมาเฟียเพิ่มเติม รวมถึงรับฟังแผนปฏิบัติการต่างๆ ของตำรวจในการแก้ปัญหาเรื่องนี้
"วันดังกล่าวผมจะเดินทางไปพบ พร้อมด้วยสมาชิกสมาคมผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างแห่งประเทศไทยประมาณ 50-60 คน ซึ่งรู้สึกดีใจที่ปัญหากำลังได้รับความสนใจจากตำรวจ อยากให้แก้ปัญหาเรื่องดังกล่าวได้เสียที เนื่องจากต้องเดือดร้อนจากปัญหามาเฟียมานาน และต้องการให้ทั้งตำรวจและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องกวาดล้างปราบปรามมาเฟียวิ นจักรยานยนต์รับจ้างไปให้หมด เพื่อลบภาพด้านลบของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ที่มักถูกมองว่าเป็นกลุ่มมาเฟีย" นายเฉลิม กล่าว
นายเฉลิม กล่าวอีกว่า ที่ผ่านมาบรรดามาเฟียเหล่านี้ เป็นต้นเหตุทำให้คนทั่วไปมองวินจักรยานยนต์รับจ้างว่าเป็นมาเฟีย ทั้งที่ความจริงแล้วผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างต้องการทำงานอย่างสุจริต และอยู่อย่างสงบเพื่อหาเงินเลี้ยงชีพ แต่ถูกมาเฟียบังคับให้ทำอย่างโน่นอย่างนี้ บ่อยครั้งที่มีการใช้กำลังหรือใช้ความก้าวร้าว ซึ่งทุกคนไม่มีใครเห็นด้วยแต่ก็ต้องทำตามคำสั่ง เพราะไม่เช่นนั้นก็ไม่สามารถขับขี่รถจักรยานยนต์ในวินนั้นๆ ได้
นอกจากต้องการให้ตำรวจเร่งปราบปรามกลุ่มมาเฟียแล้ว นายเฉลิม บอกว่า ต้องการให้สำนักงานเขตต่างๆ เร่งออกหนังสือรับรองการขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างให้แก่ผู้ขับขี่ที่เป็น ขึ้นทะเบียนไว้เรียบร้อยแล้วให้แล้วเสร็จโดยเร็ว และให้ออกหนังสือรับรองให้เฉพาะผู้ขับขี่ตัวจริงเท่านั้น ไม่ใช่ไปออกหนังสือรับรองให้กลุ่มมาเฟียที่ส่งสมัครพรรคพวกเข้ามาลงทะเบียน แล้วไปจัดทำเสื้อวินออกมาขาย หรือให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เช่า เพราะหากยังไม่เข้มงวดในเรื่องนี้ปัญหามาเฟียวินจักรยานยนต์ก็คงแก้ไม่ได้
"เท่าที่ทราบ กทม.มีคำสั่งให้สำนักงานเขตต่างๆ ทั้ง 50 เขต เร่งดำเนินการออกหนังสือรับรองให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างให้แล้ว เสร็จโดยเร็ว แต่จนถึงขณะนี้มีเพียง 30 กว่าเขตเท่านั้นที่ดำเนินการเสร็จสิ้น ส่วนที่เหลืออีกกว่า 20 เขต ยังไม่มีความคืบหน้า ความล่าช้าในเรื่องดังกล่าวเป็นสาเหตุสำคัญที่ทำให้ตำรวจไม่สามารถเข้าไป จัดการกลุ่มมาเฟีย หรือบรรดาวินเถื่อนต่างๆ ได้ เนื่องจากจะมีข้ออ้างว่าอยู่ระหว่างรอหนังสือรับรองจากสำนักงานเขต ผมอยากให้ผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร หรือปลัดกทม. ลงมาจี้เรื่องนี้ด้วยตัวเอง เพราะขณะนี้การออกหนังสือรับรองของสำนักงานเขตล่าช้ามาก ยกตัวอย่างเช่น เขตวัฒนา ประเวศ บางกอกใหญ่ และลาดพร้าว ได้รับการร้องเรียนจากเพื่อนสมาชิกสมาคมมากที่สุดว่าไม่ได้รับความสะดวกจาก เจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง และบางทีมีการเรียกรับผลประโยชน์แลกกับการออกหนังสือรับรอง ตั้งแต่ 3-5 พันบาทต่อราย" นายเฉลิมกล่าว
นายเฉลิม บอกด้วยว่า หากสำนักงานเขตออกหนังสือรับรองให้ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์เสร็จสิ้นเร็ว บรรดาผู้ขับขี่ก็จะนำเรื่องไปยื่นขออนุญาตขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง สาธารณะ (ป้ายเหลือง) จากกรมการขนส่งทางบก และเมื่อกลับมาขับขี่รถจักรยานยนต์รับส่งผู้โดยสารตำรวจก็จะสามารถคัดแยกได้ ว่าใครถูกต้องหรือไม่ถูกต้อง หากใครไม่ถูกต้องก็จับดำเนินคดีและมีมาตรการห้ามไม่ให้เข้ามาขับขี่อีก การทำเช่นนี้จะสามารถกำจัดกลุ่มมาเฟียได้ในที่สุด
สอดคล้องกับ รศ.ดร.สังศิต พิริยะรังสรรค์ คณบดีวิทยาลัยนวัตกรรมสังคม มหาวิทยาลัยรังสิต ในฐานะนักวิชาการที่ศึกษาเกี่ยวกับส่วยและผลประโยชน์นอกกฎหมายในสังคม ไทยอย่างต่อเนื่อง กล่าวว่า การออกข้อบังคับให้ผู้ที่ต้องการขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้าง ต้องไปขึ้นทะเบียนกับสำนักงานเขตต่างๆ เป็นช่องทางสำคัญที่ทำให้เจ้าหน้าที่รัฐไม่ดีบางคนเข้าไปฉกฉวยผลประโยชน์จาก ผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ มีการเข้าไปเรียกเก็บผลประโยชน์ จึงทำให้การจดทะเบียนไม่แล้วเสร็จเสียที ทั้งนี้ในข้อกำหนดดังกล่าวไม่มีการกำหนดระยะเวลาในการขึ้นทะเบียนอย่าง ชัดเจนจึงทำให้เกิดปัญหาขึ้น
"ข้อกำหนดดังกล่าวไม่ได้ระบุเวลาให้ชัดเจนว่า สำนักงานเขตจะต้องจดทะเบียนผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างให้แล้วเสร็จเมื่อ ไหร่ กลายเป็นช่องทางให้เจ้าหน้าที่บางคนเตะถ่วงซื้อเวลาในการจดทะเบียนเพื่อ เรียกรับผลประโยชน์จากผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์ ทำให้ผู้ขับขี่จำนวนไม่น้อยไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้และต้องหันไปเช่าหรือ เสื้อวินจากกลุ่มมาเฟียมาขับ เข้าสู่กระบวนการส่วนมาเฟียวินจักรยานยนต์เช่นเดิม ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้" รศ.ดร.สังศิต ขยายความ
รศ.ดร.สังศิต กล่าวด้วยว่า วิธีการแก้ปัญหาที่ดีที่สุดในเวลานี้คือ รัฐบาลต้องประกาศเป็นนโยบายให้ชัดเจนเลยว่าจะต้องทำให้วินจักรยานยนต์รับ จ้างปลอดจากมาเฟีย โดยมอบหมายให้ รมว.คมนาคม เป็นแม่งานในการประสานงานกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในการจัดระเบียบวิ นจักรยานยนต์ ซึ่งในการจดทะเบียนจะต้องกำหนดระยะเวลาที่ชัดเจน และต้องเปิดจดทะเบียนเป็นประจำทุกปี เพื่อให้ผู้ต้องการประกอบอาชีพนี้สามารถประกอบอาชีพได้โดยถูกกฎหมาย หากทำได้เช่นนี้บรรดามาเฟีย ซึ่งส่วนใหญ่เป็นเจ้าหน้าที่รัฐ โดยเฉพาะตำรวจ ไม่สามารถเข้าไปรีดไถผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างได้อีก
ด้าน พล.ต.ต.วรศักดิ์ นพสิทธิพร รองผบช.น.รับผิดชอบงานด้านจราจร ซึ่งได้รับมอบหมายจาก พล.ต.ท.วินัย ให้รับผิดชอบในการจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้างในเขต กทม.เปิดเผยว่า ได้จัดทำแผนการจัดระเบียบวินจักรยานยนต์รับจ้างเสร็จสิ้นแล้ว โดยจะเรียกผู้ที่เกี่ยวข้องเข้าประชุมเพื่อรับทราบแนวทางปฏิบัติในวันที่ 19 เมษายนนี้ ที่กองบัญชาการตำรวจนครบาล
ผนึกสามเส้าสางปมมอเตอร์ไซค์รับจ้าง
การเรียกร้องความเป็นธรรมของผู้ขับขี่รถจักรยานยนต์รับจ้างผ่าน "คม ชัด ลึก" และสถานีข่าว "ระวังภัย" ทางสายด่วนระวังภัย 1769 หลังจากถูกกลุ่มมาเฟียรีดไถและข่มขู่ถึงขั้นจะเอาชีวิตนั้น ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 18 เมษายน เวลา 18.00-19.00 น.ในรายการ 108 ข่าวระวังภัย ทางสถานีข่าว "ระวังภัย" มีการพูดคุยกับ วัลลภ สุวรรณดี รองผู้ว่าราชการกรุงเทพมหานคร (กทม.) ยืนยันว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ผู้ว่าฯ กทม.แสดงความเป็นห่วงใยเรื่องปัญหาวินมอเตอร์ไซค์ที่ถูกผู้มีอิทธิพลคุกคาม อยากให้ผู้ได้รับความเสียหายและได้รับผลกระทบเข้ามาให้ข้อมูลเรา เพื่อจะได้ดำเนินการกับเจ้าหน้าที่เทศกิจที่เกี่ยวข้องในทางอาญา และทางวินัย
เรื่องของวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างการดูแลตอนนี้จะมาจากหลายหน่วยงาน ทั้งเจ้าหน้าที่เทศกิจจากเขตต่างๆ คณะกรรมการในระดับ กทม. กรมการขนส่งทางบก และกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้ร่วมกันเข้ามาจัดระเบียบเรียบร้อย ปัญหาส่วนใหญ่จะเป็นปัญหาในเรื่องการลงทะเบียน ส่วนข้อเท็จจริงที่อาจจะมีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ามาแสวงหาผลประโยชน์จากตรง นี้ ต้องมีการสอบสวนกันอีกที ซึ่งเป็นหน้าที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ต้องเข้ามาสืบสวนตรงนี้
ส่วนเรื่องของนโยบายประชาภิวัฒน์นั้น อาจจะเป็นช่องทางที่ทำให้กลุ่มผู้มีอิทธิพลอาศัยช่องโหว่นั้นหาประโยชน์ได้ ตอนนี้ กทม.ต้องมาหาทางดูแลในเรื่องการลงทะเบียน การดูแลผู้ขับขี่อยู่เดิมที่ต้องมาลงทะเบียน หรือผู้ขับขี่ใหม่ที่เป็นป้ายทะเบียนขาว เปลี่ยนเป็นป้ายทะเบียนเหลือง ตรงนี้เราต้องมีการดูแลและให้ความเป็นธรรม
ประเด็นที่กลุ่มวินมอเตอร์ไซค์แจ้งว่ามีการปลอมป้ายเหลืองนั้น กทม.ไม่มีข้อมูลตรงนี้ เพราะอยู่ในหน้าที่ของกรมการขนส่งทางบก หรือถ้ามีเจ้าหน้าที่ กทม.เข้าไปเกี่ยวข้อง จะมีการดำเนินการขั้นสูงสุดแน่นอน เพราะผู้ว่าฯ ได้ให้นโยบายไว้ชัดเจน
"กทม.อยากจะขอข้อมูลที่ชัดเจนกว่านี้ เพื่อจะได้ดำเนินการอย่างเด็ดขาด เราเคยมีกรณีแม่ค้าหาบเร่แผงลอยที่ร้องเรียนเข้ามา ทางเราได้ตรวจสอบและพบว่ามีเจ้าหน้าที่ที่ออกนอกลู่นอกแถว มีโทษถึงขั้นไล่ออก ถ้ามีการจัดระเบียบเป็นป้ายเหลืองทั้งหมดจะสามารถแก้ไขปัญหากลุ่มผู้มี อิทธิพลตรงนี้ได้ เป็นเป้าหมายของเราที่จะดำเนินการให้ได้" วัลลภย้ำ
เช่นเดียวกับ พล.ต.ท.วินัย ทองสอง ผบช.น.กล่าวว่า ได้รับเรื่องร้องเรียนจากกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์ประมาณ 3 สัปดาห์แล้วว่า มีกลุ่มผู้มีอิทธิพลเข้ามาสร้างความเดือดร้อนให้แก่วินมอเตอร์ไซค์ เรามีการส่งเจ้าหน้าที่เข้าไปพูดคุยกับวินมอเตอร์ไซค์ เบื้องต้นทราบว่ามีตำรวจเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย แต่ระยะหลังเมื่อมีการเข้มงวดก็ลดหายไป
ในช่วงท้าย ผบช.น.ให้คำมั่นว่า วันที่ 23 เมษายนนี้ ได้นัดหมายกับกลุ่มวินมอเตอร์ไซค์รับจ้างอีกครั้ง เพื่อจะได้สะสางปัญหาหลายอย่างที่เกิดขึ้น
by Sp-Report
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค
บทความย้อนหลัง
-
▼
2012
(274)
- ► กุมภาพันธ์ (51)