บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันพฤหัสบดีที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2555

ครอบครัว “อัคฮาด” กับคำประกาศของทักษิณ

แนวหน้า


ผมเชื่อว่า เวลานี้เป็นเวลาที่ยากลำบากและขมขื่นใจที่สุดของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ อัคฮาด แม่ของ น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาสมัครที่ถูกยิงเสียชีวิตภายในวัดปทุมวนาราม ในช่วงที่มีการกระชับพื้นที่การชุมนุมของกลุ่ม นปช. เสื้อแดง



เป็นแรมปีแล้ว ที่นางพะเยาว์กับครอบครัวพากเพียรตามหา “ความยุติธรรม” ให้แก่การตายของลูกสุดที่รัก

เดินสายขึ้นเวทีคนเสื้อแดงในหลายพื้นที่ หลายจังหวัด ให้สัมภาษณ์สื่อเสื้อแดงรอบแล้วรอบเล่า และถูกอ้างถึงในสภาโดยจตุพร พรหมพันธุ์ ก็หลายหน

พูดโดยไม่เกรงใจ การตายของลูกสาวเธอมีคุณูปการกับคนเสื้อแดงและจตุพรมาก ซึ่งวันนี้ จะเป็นวันพิสูจน์ว่า คนเหล่านั้น สื่อเหล่านั้น และจตุพร เห็นคุณค่าในชีวิตที่ปลิดปลิวของน้องเกดจริงๆ หรือเห็นเป็นแค่ “เครื่องไม้เครื่องมือ” ในทางการเมือง ที่จะเล่นงานฝ่ายตรงข้าม คือ ทหาร กับรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ

ไม่ต้องถามถึงแล้ว สำหรับ “นายทักษิณ ชินวัตร” ผู้กำลังตั้งตารอรับผลประโยชน์อย่างมหาศาลจากการ “ปรองดอง” ซึ่งแท้ที่แท้จริงแล้ว คือการ “นิรโทษกรรม ลบโทษความผิดทั้งหมดให้ทักษิณ” โดยเอาคนอื่นมาคลุมๆ บังๆ ทักษิณไว้

เพราะคำให้สัมภาษณ์ของทักษิณที่ส่งตรงมาจากประเทศกัมพูชา กล่าวถึงครอบครัว “อัคฮาด” อย่างชัดเจนว่า ต้องรู้จักเสียสละ

โดยนายทักษิณกล่าวว่า "แม้แต่แม่ของกมลเกด อัคฮาด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตระหว่างสลายการชุมนุมที่ราชประสงค์ แม้ยังไม่หายโกรธที่ลูกถูกทหารยิง และไม่อยากให้นิรโทษกรรม เป็นเรื่องธรรมดา แต่เราต้องฟังประโยชน์ส่วนใหญ่ และให้ส่วนน้อยยอมเสียสละ"

นี่หรือ คนที่เคยปลุกเร้าให้คนเสื้อแดงมาเพรียกหาประชาธิปไตย ปลุกระดมให้คนเสื้อแดงมากันเยอะๆ เพราะ “ผมแพ้ไม่ได้”

ย้ำกับทุกคนว่า “อย่ากลับบ้านมือเปล่า”

และถึงกับสั่งให้คนเสื้อแดงต่างจังหวัดไปที่หน้าศาลากลาง หากมีเหตุคับขันเกิดขึ้นกับการชุมนุมที่กรุงเทพฯ

คนที่ นปช. เสื้อแดง ปฏิบัติกับเขาราวกับเป็น “บิดาแห่งประชาธิปไตย” วันนี้กลายเป็นคนที่พร้อมจะเหยียบศพหรือเดินข้ามความตายของลูกชาวบ้าน ไปรับการนิรโทษกรรมอย่างกระเหี้ยนกระหือรือ โดยไส่ไคล้กระบวนการยุติธรรมว่าเป็นการกลั่นแกล้งกันทางการเมือง

ขณะที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ คนที่นางพะเยาว์เคยกล่าวถึงว่า

“บอกตรงๆ ว่า ณ เวลานั้นหมดศรัทธานายอภิสิทธิ์ ฉันไม่ได้เรียกนายกรัฐมนตรี ไม่เคยเรียก เพราะถือว่าฉันไม่ได้เลือกมาเป็นนายกรัฐมนตรี ฉันก็เรียกนายอภิสิทธิ์ นายสุเทพ เวลานี้ฉันมองว่าพวกเขาไม่สมควรอยู่ในตำแหน่งในรัฐบาลนี้แล้ว เพราะคุณสั่งฆ่าประชาชนได้ โดยไม่นึกถึงว่านี่คือคนไทยเหมือนกัน และทหารที่ลั่นไกส่วนหนึ่งเขาทำตามคำสั่ง นายสั่งมา เขาต้องยิง”

กลับเป็นผู้ที่ลุกขึ้นประกาศกลางสภาว่า เขาไม่รับการนิรโทษกรรม รวมทั้งนายสุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วย ขอเพียงให้นายทักษิณ มาสู้ในกระบวนการยุติธรรมให้เหมือนๆ กัน ซึ่งคำท้าดังกล่าวนั้น พรรคเพื่อไทยเงียบกริบ และทักษิณก็ไม่รับคำท้า

ขณะที่ทักษิณเรียกร้องให้ “แม่น้องเกด” เสียสละ ถามว่าทักษิณล่ะ เสียสละอะไร

ขณะที่แม่น้องเกดเรียกหากระบวนการยุติธรรม แต่ทักษิณกลับเรียกหาการนิรโทษกรรมแบบลับๆ ล่อๆ

ใครคน ใครหมา... น่าคิดใช่ไหม

ทักษิณที่เรียกร้องให้แม่น้องเกดเสียสละ คือ สละชีวิตลูก รับเงินเยียวยา แล้วก็หุบปาก ลืมๆ ไปเลยใช่หรือไม่

มิใจร้ายกับครอบครัว “อัคฮาด” ไปหน่อยหรือ

ทักษิณควรได้อ่านเรื่องราวโดยย่อในชีวิตกมนเกด ที่สื่อเสื้อแดงเองได้เรียบเรียงไว้ต่อไปนี้

“กมนเกด อัคฮาด ดำเนินชีวิตมาได้ 25 ปีกับอีก 1 เดือน ชื่อเล่นที่เพื่อนๆ เรียกคือ "เกด" แต่สำหรับครอบครัวแล้วเรียกว่า "หมู" เธอมีรูปร่างอ้วนท้วมสมบูรณ์ แม่ของเธอบอกว่าสาเหตุหลักมาจากการกินแหลกนั่นเอง

"เกด" เกิดในครอบครัว ที่พ่อแม่ทำงานปากกัดตีนถีบ แม่ขายข้าวแกง ก่อนจะมาขายดอกไม้ พวงมาลัย ในตลาดใกล้บ้าน พ่อเป็นลูกจ้างอยู่ที่การไฟฟ้าแห่งหนึ่ง แต่ครอบครัวของเธออบอุ่น เกดและน้องชายอีก 2 คน คนหนึ่งอายุ 18 ปี อีกคนหนึ่งอายุ 21 ปี สนิทกันมาก วิ่งไล่แกล้งกันตั้งแต่เล็กจนโต และจนกระทั่งปัจจุบัน

น้องๆ และแม่เล่าว่า "เกด" เป็นคนที่มีนิสัยโวยวาย โผงผาง อารมณ์ดี ปากร้าย พูดจาตรงๆ แต่ใครๆ ก็รัก เพื่อนๆ เพียบ สมัยช่วยแม่ขายของที่ตลาดใครก็รู้จักเกดกันทั้งบาง วันไหนไม่ไป น้องๆ นุ่งๆ แถวนั้นเป็นอันหมดสนุก น้องชายของเกดบอกว่า เสียงหัวเราะของเธอได้ยินไกลลั่นทุ่ง ไม่ต้องเห็นตัวก็รู้ว่าเกดมาแล้ว

อันที่จริงแม้ใครไม่เคยได้เห็นเกดตอนมีชีวิต ถ้าได้คุยกับแม่ของเกดก็พอเดาได้ว่าอารมณ์ลุยๆ ห้าวๆ นั้นเธอได้มาจากใคร

ก็โบราณเขาว่าดูนางให้ดูแม่ ในขณะที่พ่อเป็นคนค่อนข้างเงียบ เรียบร้อย และดูใจเย็น "เกด"เป็นคนดื้อ ดื้อมาตั้งแต่เด็กจนกระทั่งนาทีสุดท้ายของชีวิต สมัยเรียนมัธยม "เกด"มักโดดเรียนเป็นประจำเพื่อหนีไปกับเพื่อน เพื่อนก๊วนเกดเป็นอาสาสมัครปอเต๊กตึ๊ง และมักชวนกันออกตระเวนช่วยเหลือคนเจ็บคนตายด้วยกันเสมอ

แม่ยืนยันเกดไม่เคยกลัวอะไร และชอบงานท้าทายที่ได้ช่วยชีวิตคนแบบนี้มาก ห้ามไม่ได้ก็เลยปล่อย เช่นเดียวกับการอาสาไปดูแลคนเสื้อแดงคราวนี้

จบจากมัธยม เรียนพาณิชย์ได้ไม่เท่าไรก็ต้องลาออกมาเรียน กศน. จากนั้นจึงไปเรียนต่อศึกษาบริบาล ระหว่างเรียนก็ฝึกงานตามโรงพยาบาล ทั้งแผนกอุบัติเหตุ จนถึงนิติเวช ก่อนจะออกมาประจำอยู่ที่โรงพยาบาลการุณพิทักษ์แผนกอุบัติเหตุ แม่บอกว่าเกดมีทักษะด้านนี้ บางทีนักเรียนแพทย์ผ่าเส้นเอ็นอะไรไม่เป็นก็มาให้เกดช่วยสอน หรือแผนกแต่งศพไม่มีคนก็มาเรียกเกดเพราะเธอทำได้ทุกอย่าง

แม่เล่าว่า ครั้งหนึ่งในแผนกอุบัติเหตุที่โรงพยาบาลแห่งหนึ่ง มีคนงานถูกเครื่องจักรบดนิ้ว หมอบอกว่าอาจต้องตัดนิ้วทิ้งสามสี่นิ้ว แต่เกดเห็นแล้วหวังว่ายังพอต่อได้ และคนงานไม่มีนิ้วก็เท่ากับแทบไม่เหลือโอกาสทำมาหากิน เกดจึงบอกให้คนไข้คนนั้นอดทนหน่อยเพื่อรอหมอมือฉมังที่สุดที่กำลังมาสับเวร กระทั่งหมอมาและตัดสินใจผ่าตัด ดาม ต่อให้อย่างเต็มที่ ไม่ต้องเสียนิ้ว

ทำอยู่สองสามปีจนโรงพยาบาลปิดตัวลง เกดจึงได้ออกมาช่วยแม่ค้าขาย กระทั่งได้ทำงานชั่วคราวกับญาติก่อนที่จะโดดงานอีกครั้งเพื่อไปเป็นอาสา สมัครในที่ชุมนุมกลุ่มเสื้อแดง แรกๆ ก็ไปหลังเลิกงาน แต่ช่วงหลังดูเหมือนเธอไปอย่างเต็มตัว และทิ้งที่บ้านไว้เบื้องหลัง เกดบอกแม่ว่าประชาชนมีคนเฒ่าคนแก่และเด็กเยอะ อยู่กันยาวๆ มีเจ็บป่วยกันแยะ แม้มีอาสาสมัครหลายคนที่มาช่วยแต่ก็ยังไม่ได้สัดส่วนกับผู้ชุมนุม

ความใฝ่ฝันของ "เกด" คือต้องการไปสอบเป็นผู้ช่วยพยาบาลในกองทัพบก และประกาศเจตนาแน่วแน่กับแม่ว่า "ถ้าสอบได้ หนูจะลงใต้" แม่รู้ดีว่ายากจะห้ามปราม แต่ก็ได้ทักท้วงให้สอบปีหน้า เพราะปีนี้คาดว่าคงลดน้ำหนักไม่ทัน

หลังจากไปร่วมกับ อาสาสมัครอื่นๆ คอยปฐมพยาบาลกลุ่มผู้ชุมนุมอย่างเต็มตัว "เกด" ก็ไม่ค่อยรับโทรศัพท์ที่บ้านเพราะกลัวโดนตามตัวกลับ กระทั่งวันที่เธอเสียชีวิต เธอรับโทรศัพท์แม่ก่อนเสียชีวิตไม่กี่ชั่วโมง มันเป็นเสียงสุดท้ายที่ผู้เป็นแม่ได้ยิน ขณะทำหน้าที่ช่วยเหลือผู้บาดเจ็บคนอื่นๆ เธอถูกยิงขณะทำหน้าที่นั้นในชุดคลุมสัญลักษณ์หน่วยแพทย์ หมอบอกเพียงว่า เธอโดนยิง 2 นัด กระสุนทำลายสมอง ขณะที่เพื่อนๆ ที่ไปรับศพเธอกลับเห็นว่า มีร่องรอยของกระสุนปืนมากกว่าสองนัด

น้องชายคนกลางเล่าว่า หลังรู้ข่าวบ้านทั้งบ้านมีแต่เสียงร้องไห้ระงม ไม่มีใครได้สติ กระทั่งแม่เริ่มยอมรับสภาพได้ และเริ่มต้นจัดแจงทุกสิ่งทุกอย่างเป็นครั้งสุดท้ายเพื่อลูกสาว ขณะที่พ่อยังคงไม่กินข้าวกินปลา น้องชายคนเล็กดูคลิปครอบครัวเก่าๆ แล้วร้องไห้ทั้งคืน

ความตั้งใจที่แต่ เดิมจะเก็บไว้ร้อยวันเป็นอันยุติลงเนื่องจากต้องการให้คนที่บ้าน โดยเฉพาะผู้เป็นพ่อพ้นจากความโศกเศร้าตรอมใจ”

เมื่อเทียบกับโอ๊ค เอม อุ๊งอิ๊ง ชีวิตของกมนเกดคือชีวิตที่ต้องสละให้ แต่ทักษิณไม่สละอะไร ไม่สู้คดี ไม่รับการควบคุมตัว ไม่ติดคุกแม้แต่คดีที่ศาลตัดสินไปแล้ว และตนก็ได้ต่อสู้คดีอย่างเต็มที่ ไหนจะเงิน 46,000 ล้านบาทอีกล่ะ จะเอาคืนหรือไม่

ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อของการตัดสินใจของครอบครัวอัคฮาด ผมอยากเห็นอะไร

1.คำตอบจากปากของนางพะเยาว์ อัคฮาด เธอคิดอย่างไรที่ทักษิณเรียกร้องให้เสียสละและลืม เพื่อประโยชน์ของคนส่วนใหญ่ที่รวมทักษิณเอาไว้ด้วย

2.สื่อเสื้อแดงที่เคย “หากิน” กับการตายของกมนเกด กับความโศกเศร้าและคับแค้นของนางพะเยาว์กับครอบครัวที่เหลืออยู่ จะนำเสนอข่าวนี้ในแง่มุมไหน จะกล้าเสนอหรือไม่ จะเปิดพื้นที่ให้นางพะเยาว์ได้พูด ได้ให้สัมภาษณ์ได้ออกอากาศ ได้ปราศัยเหมือนเดิมไหม

3.จตุพร พรหมพันธุ์ วันนี้จะพูดถึงการตายของกมนเกดว่าอะไร จะต้องเอา “ฆาตกร” มาลงโทษ หรือลืมๆ กันไป เร่งเดินหน้าปรองดอง ไม่ต้องตามหาแล้วว่า ใครสั่งฆ่า ใครลงมือฆ่ากมลเกด

4.คนเสื้อแดงที่เคยเชิดชูทักษิณและเห็นใจนางพะเยาว์ที่ต้องสูญเสียลูกสาวไปอย่างน่าสะเทือนใจและแค้นใจ จะพูดถึงทักษิณ ขอ้เสนอของทักษิณ และจะแนะนำให้นางพะเยาว์ปฏิบัติอย่างไร ระหว่างให้เดินหน้ากระบวนการยุติธรรม กับให้เสียสละเพื่อ “คนส่วนใหญ่” อย่างที่ทักษิณอ้าง

5.นัทพัธ อัคฮาด หรือ “กานต์” จะลาออกจากการเป็นเลขาฯ ส่วนตัว นายยงยุทธ วิชัยดิษฐ์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทยไหม

6.คนไทย จะช่วยกันซับน้ำตาให้ครอบครัวอัคฮาด ยืนหนุนหลังให้พวกเขาสู้ เพื่อหาตัวผู้กระทำผิด ปลิดชีวิตลูกสาวของพวกเขา ซึ่งเป็นหลักที่ถูกต้องกันได้หรือไม่ ในขณะที่พวกเขายังไม่ถอด “เสื้อสีแดง”

7.ถึงเวลาเห็นโฉมหน้าและ “สันดาน” ของทักษิณกันได้หรือยัง ว่าอะไรที่เป็นประโยชน์สำหรับเขา คนอื่นเท่านั้น ที่ต้องเป็นฝ่ายสละให้

หรือนางพะเยาว์และครอบครัว จะเอาอย่าง “ขัตติยา สวัสดิผล” ที่สมัยรัฐบาลที่แล้ว ทวงถามความคืบหน้าของคดีอยู่หลายหน แต่เมื่อมานั่งเป็น ส.ส. ของพรรคเพื่อไทย ไปเซ็นชื่อรับเงินเยียวยา แล้วกลับมานั่งอยู่เงียบๆ

ผมเชื่อว่าจิตใจของของครอบครัว “อัคฮาด” โดยเฉพาะนางพะเยาว์ สูงส่ง มีธรรม และกล้าหาญ

พวกเขาไม่มีวันทิ้งหลักการ “ความยุติธรรมต้องมาก่อนเงิน” อย่างแน่ๆ ไม่เชื่อ เราคอยดูกัน!!

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง