วงเสวนาม.รามสับเละ'ปู'ทำเพื่อ'แม้ว'
วงเสวนาม.รามสับนโยบายตปท.รัฐบาล "ยิ่งลักษณ์" เละ ชี้ทำเพื่อทักษิณให้ได้กลับประเทศ แถมจวก "ฮุนเซน" ชอบใช้นิสัยเกเร เพราะ "อภิสิทธิ์" ไม่ยอมก้มหัวให้ “สุขุม” ชี้หากนโยบายรัฐบาลล้มเหลวก็จะลดศรัทธาประชาชนเอง
21ก.ย.2554 ที่ห้องศิลปาชีพ คณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง ศูนย์ศึกษาเอเชียอาคเนย์ จัดสัมมนาสารัตถะครั้งที่ 8 ประจำปี 2554 รัฐบาลยิ่งลักษณ์:วิจารณ์และวิพากษ์ โดยในช่วงบ่ายอภิปรายเรื่อง เศรษฐกิจและการต่างประเทศ มีวิทยากร ประกอบด้วย ดร.สุรชัย ศิริไกร อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ รศ.ดร.ถวิล นิลใบ อาจารย์ประจำคณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง รศ.ดร.ธนาสฤษฎิ์ สตะเวทิน อาจารย์ประจำคณะรัฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง และ นายเกียรติชัย พงษ์พานิชย์ สื่อมวลชนอาวุโส อดีตคอลัมน์นิสต์หนังสือพิมพ์ข่าวสด
นายเกียรติชัย กล่าวว่านโยบายในระหว่างที่มีช่วงการหาเสียงมีการพูดถึงนโยบายด้านการต่างประเทศน้อยมาก โดยจะพูดถึงแค่กรณีไทยกัมพูชา ซึ่งให้ความสำคัญน้อยมาก ซึ่งควรตั้งเป็นข้อสังเกตุตั้งแต่แรกว่ารัฐบาลจะทำอย่างไรกับนโยบายด้านต่างประเทศ และจะมองออกก็หลังการเลือกตั้ง ขณะที่การตอบรับในตัวรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ ที่ไม่ค่อยมีประชาชนเห็นด้วยนั้น เนื่องจากไม่เคยเกี่ยวข้องด้านต่างประเทศ ซึ่งนโยบายด้านการต่างประเทศในข้อแรก ที่จะส่งเสริมความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน มองว่าเป็นนโยบายเก่าของทุกรัฐบาล
แต่ขณะนี้ในอาเซียนมีประเด็นความขัดแย้งจำนวนมาก โดยเฉพาะประเด็นของปราสาทพระวิหาร จึงไม่เชื่อว่านายสุรพงษ์ โตวิจักชัยกุล รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศจะมีความเข้าใจเรื่องเหล่านี้ ขณะเดียวกันในด้านการต่างประเทศก็แสดงให้เห็นว่ามีความพยายามจะคืนพาสพอร์ตให้พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี และการนำพ.ต.ท.ทักษิณกลับประเทศไทย จึงควรดูต่อไปว่ารัฐบาลจะมีแนวทางหรือทิศทางที่ชัดเจนในด้านระหว่างประเทศอย่างไร
ด้านรศ.ดร.สุรชัย เห็นว่านโยบายด้านการต่างประเทศของรัฐบาลเป็นของเดิมไม่มีอะไรใหม่ และเมื่อดูตัวรัฐมนตรีก็มีความน่าเป็นห่วง ซึ่งแปลกใจเหตุใดรัฐบาลเลือกนายสุรพงษ์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ เพราะมีคนที่มีความรู้ความสามารถให้เลือกเป็นรัฐมนตรีมาก ทำให้รัฐบาลชุดนี้ไม่มีจุดเด่น และจากวิเคราะห์ตั้งข้อสังเกตต้องมีสิ่งใดอยู่เบื้องหลังหรือไม่ โดยพบว่านายสุรพงษ์จงรักภักดีต่อพรรค ซึ่งหากมีเรื่องลับก็จะเก็บไว้ได้ และในปี 2555 ที่สมาชิกบ้านเลขที่ 111 จะพ้นจากการถูกตัดสิทธิ์ทางการเมือง ทำให้มองได้ว่ารัฐบาลชุดนี้แค่ “ขัดตาทัพ” ไว้ และนโยบายประชานิยมที่มีมากกว่า 31 นโยบายนั้น หากทำได้จริงจะทำให้ประเทศปั่นปั่วนและเศรษฐกิจยับเยินได้
“รัฐบาลชุดนี้คิดอยู่อย่างเดียวคือ ทำอย่างไรจะให้คนนอกประเทศกลับมาประเทศไทยได้ โดยการเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ ที่เห็นได้ในขณะนี้ ทั้งนี้มองว่าเรื่องระหว่างประเทศของไทย ที่ขณะนี้อินโดนีเซีย แย่งบทบาทความเป็นผู้นำในอาเซียนของไทยแล้ว เนื่องจากไทยมีปัญหาภายในประเทศ ขณะเดียวกันรัฐบาลควรใช้นโยบายด้านการต่างประเทศทำให้ประเทศเชิดหน้าชูตา มีศักดิ์ศรี และเป็นเครื่องมือพัฒนาเศรษฐกิจ สังคม” รศ.ดร.สุรชัย กล่าว
ส่วนการแก้ไขปัญหาชายแดนไทยกัมพูชานั้น มีความน่าเป็นห่วง โดยเฉพาะพื้นที่ทางทะเล ที่เป็นพื้นที่ทับซ้อน อีกทั้งหลังการกลับจากเยือนกัมพูชา ของนายกรัฐมนตรี ก็เห็นเพียงฝ่ายกัมพูชาอยากแก้ไขปัญหาเพียงฝ่ายเดียว ขณะที่ฝ่ายไทยเงียบเฉย รวมทั้งการที่มีกระแสข่าวว่ารัฐบาลจะนำเอ็มโอยูปี 2544 กลับมาใช้อีกครั้งหลังรัฐบาลชุดที่แล้วยกเลิกไปแล้ว ซึ่งต้องมีการดีเบตเรื่องนี้กันอีกครั้ง ทั้งนี้นโยบายต่างประเทศของทุกรัฐบาลไม่เคยโปร่งใส
"ไทยกับกัมพูชาทะเลาะเรื่องเปอร์เซ็นว่าจะได้เท่าไหร่ ทั้งนี้ควรมีการดีเบต ไม่ควรทำอยู่แค่เพียงในสภา เพราะเป็นเรื่องของประเทศ และต้องอยู่บนพื้นฐานของชาติเป็นหลัก และคนไปเจรจาก็ควรไปเป็นกลุ่มใหญ่ ไม่ใช่แค่เพียงหัวหน้ากับรองหัวหน้าพรรคเท่านั้น” รศ.ดร.สุรชัย กล่าว
ทั้งนี้การแก้ไขปัญหาปราสาทพระวิหารนั้น หากนายกรัฐมนตรีคิดว่าพื้นที่ทับซ้อน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของกัมพูชา จะเป็นเรื่องอันตรายมาก แสดงให้เห็นว่าไม่มีความรู้จริงๆ และเหตุใดนายกรัฐมนตรีไม่จ้างทีมงานที่ปรึกษาที่มีความรู้ความสามารร่วมทำงาน
ขณะที่รศ.ดร.ธนาสฤษฎิ์ กล่าวว่ารัฐบาลทั่วไปเมื่อตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศ จะเป็นผู้ที่มีหน้าเป็นตาของประเทศ เป็นผู้ที่มีความรู้ความสามารถ ซึ่งในสมัยรัฐบาลพรรคประชาธิปัตย์ที่มีนายกษิต ภิรมย์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศ และกล่าวหาว่าสร้างความขัดแย้งกับเพื่อบ้านนั้น มองว่าก็แค่เป็นการขัดแย้งกับกัมพูชาเพียงประเทศเดียว ซึ่งสมเด็จฮุนเซน นายกรัฐมนตรี เป็นคนเกเร มีความเป็นเผด็จการ ขณะที่อดีตนายกรัฐมนตรีของไทย 3 คน คือพ.ต.ท.ทักษิณนายสมชาย วงศ์สวัสดิ์ และพล.อ.ชวลิต ยงใจยุทธ ได้ไปซูฮกกับสมเด็จฮุนเซน แต่รัฐบาลในชุดอภิสิทธิ์กลับไปยอมไปซูฮกจึงหันกลับมาโจมตีรัฐบาลของนายอภิสิทธิ์
“ซึ่งการประนีประนอมระหว่างไทยกับกัมพูชา เกิดขึ้นหลังน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เดินทางไปเยือนกัมพูชา หมายถึงการที่ไทยยอมแพ้กัมพูชาแล้วใช่หรือไม่ และความสัมพันธ์ของไทยกับกัมพูชาที่มีแนวโน้วจะดีขึ้น ก็ต้องยึดประโยชน์ของชาติเป็นหลักในการแก้ไขปัญหา ” รศ.ดร.ธนาสฤษฎิ์ กล่าว
“สุขุม”ชี้หากนโยบายรัฐบาลล้มเหลวก็จะลดศรัทธาประชาชนเอง
อย่างไรก็ตามในในช่วงเช้าเป็นการอภิปรายเรื่อง รัฐบาลยิ่งลักษณ์:บูรณภาพทางการเมืองและจริยธรรม มีวิทยากร ประกอบด้วย รศ.ดรสุขุม นวลสกุล อดีตอธิการบดีมหาวิทยาลัยรามคำแหง นายเกียรติชัย และรศ.ดร.ชัยชนะ
โดยรศ.ดร.สุขุม กล่าวว่าเมื่อผลการเลือกตั้งที่รัฐบาลมีเสียงกว่า 265 เสียง อีกทั้งประชาชนมาลงคะแนนกว่า 74 % ก็ต้องให้โอกาสรัฐบาล ซึ่งการบูรณาภาพนั้น รัฐบาลต้องยืนยันความชอบธรรมที่มาของรัฐบาล 2.บูรณภาพรัฐบาลชุดนี้มีเสียงกว่า 300 เสียง 3.ต้องยอมรับความบูรณาภาพของรัฐบาลชุดนี้คือการที่รัฐบาลเก่าเจอคำว่า“ดีแต่พูด”ทำให้ประชานต้องการของใหม่ ซึ่งการเลือกตั้งทั้งปี 2550 กับ 2554 ทั้งที่พรรคประชาธิปัตย์ได้เป็นรัฐบาลก็ไม่ได้ดีขึ้น ขณะเดียวกันก็ต้องยอมรับเครดิตของพ.ต.ท.ทักษิณ ที่เมื่อเสนอสินค้าอะไร ก็จะได้รับการยอมรับ และ นโยบายประชานิยม เป็นการบูรณภาพที่ก่อให้เกิดรัฐบาล เพราะสามารถเข้าใจได้ง่าย ฟังง่าย และรวมกับพลังของกลุ่มคนเสื้อแดง ที่ทำให้กลไกที่เคยผลักดันให้รับรัฐธรรมนูญ ฉบับ2550 กับการเลือกตั้ง 2550 ต้องเป็นฝ่ายล่าถอย
“หากนโยบายล้มเหลว ก็จะลดความศรัทธาของประชาชนลง ซึ่งการคอร์รัปชั่นจะทำให้รัฐบาลอยู่ไม่ได้ โดยตุลาการภิวัฒน์และหากรัฐบาลไม่ระมัดระวัง ทั้งปปช.และปปท.ชี้มูลก็ต้องหยุดทำหน้าที่ ขณะที่การเตรียมนำพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลับประเทศไทย ถือเป็นการเคลื่อนไหวที่มีลักษณะดาบสองคม ส่วนจุดเสื่อมของรัฐบาล คือความเหิมเกริมของคนที่มีอำนาจ เช่นการรังแกข้าราชการ รัฐบาลจึงควรระมัดระวัง เพราะมีคนคอยจับผิดอยู่” รศ.ดร.สุขุม กล่าว
ส่วนที่รัฐบาลแต่งตั้งนายอุกฤษ มงคลนาวิน ได้รับการแต่งตั้งดำรงตำแหน่ง ประธานคณะกรรมการองค์กรอิสระว่าด้วยหลักนิติธรรมแห่งชาติ ส่วนตัวมองว่านายอุกฤษไม่ได้เป็นนักปฏิรูปที่น่าประทับใจ แต่เป็นแค่เนติบริกรเท่านั้น
ด้านนายเกียรติชัย กล่าวว่าสิ่งที่กำลังจะลดความชอบธรรมของรัฐบาล โดยเฉพาะคำมั่นสัญญาที่ใช้ในการเลือกตั้ง โดยนโยบายลดความยากจน หรือเรียกว่านโยบายประชานิยม ที่สร้างความชอบธรรมให้ได้เป็นรัฐบาล แต่หากการไม่ดำเนินนโยบายตามที่หาเสียง ความชื่นชอบก็จะลดลง ซึ่งขณะนี้รัฐบาลก็ทำจริงตามที่ได้หาเสียงไว้ แต่หากทำแล้วมีผลลบ ความชอบธรรมก็จะลดลงด้วย
ส่วนความแตกแยกของสังคมก็เป็นสิ่งที่มีความคาดหวังว่ากระบวนการสร้างความปรองดอง ที่ขณะนี้ก็ยังไม่เกิดขึ้น โดยการจัดการกระบวนการปรองดองก็ต้องเป็นเพื่อประเทศและประชาชน หรือทำเพื่อใครคนใดคนหนึ่งหรือไม่ แต่ตอนนี้เห็นการเริ่มดึงพ.ต.ท.ทักษิณ กลับประเทศไทย ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นไม่ได้บอกประชาชนว่าทำเพื่อใคร ก็จะเป็นลดความชอบธรรม
“ความพยายามที่จะเอาพ.ต.ท.ทักษิณ กลับก็น่าสนใจ คือการใช้โอกาสของนิรโทษกรรม ซึ่งเข้ามาก่อนในนิรโทษกรรมจะมีผล ก็อาจจะไปกักขังอยู่ที่โรงแรมใดประมาณ 2 ชั่วโมงแล้วนิรโทษกรรม และปัจจัยต่างๆ ก็นำไปสู่การแก้ไขรัฐธรรมนูญ” นายเกียรติชัย กล่าว
ส่วนการปราบปรามคอร์รัปชั่น มองว่าไม่มีพรรคใด ที่ประกาศอย่างจริงจังจะปราบคอร์รัปชั่น ขณะที่การถูกโยงใยหรือชักใยในอำนาจการบริหาร และมีคนไม่กี่คนอยู่เบื้องหลังการบริหารงานของรัฐบาล ก็จะทำให้เสียความรู้สึกและเป็นเรื่องไม่ถูกต้อง ซึ่งหากรัฐบาลชุดนี้ไม่แสดงความชัดเจน ก็จะลดความชอบธรรมในการได้คะแนนเสียงเข้ามา ทั้งนี้รูปแบบโครงสร้างทางการเมืองทำให้กลุ่มอำนาจเก่าเข้ากลับมาครองลดอำนาจ โครงสร้างทางการเมืองก็จะลดความชอบธรรมของรัฐบาล ซึ่งทั้งหมดหากไม่มีความชัดเจนรัฐบาลอยู่ได้ 2 ปีก็นานเกินไปแล้ว ทั้งนี้ความคาดหวังในสังคมไทย ว่าใครจะเข้ามาด้วยความชอบธรรม หรือจะสร้างความปรองดองได้หรือไม่ ซึ่งการใช้กลุ่มมวลชนเสื้อแดงเป็นตัวขับเคลื่อนและแต่งตั้งแกนนำเสื้อแดงมีตำแหน่งต่าง ๆ ก็ถือเป็นการขับเคลื่อนยุทธศาสตร์ ขณะเดียวกันมองว่านโยบายประชานิยมก็เหมือนเศษเนื้อติดกระดูก
ด้านรศ.ดร.ชัยชนะ เห็นว่า คะแนนเสียงไม่ได้เป็นตัวตั้งในด้านความมั่นคงของรัฐบาล และประชานิยมไม่เคยทำให้ประเทศใดประสบความสำเร็จ แต่มีเวเนซุเอาลาประเทศเดียวที่เอาน้ำมัน ทรัพยากร มาเป็นประชานิยมให้ประชาชน ซึ่งในอนาคตก็ไม่ทราบจะแปลเป็นรัฐสวัสดิการหรือไม่ ซึ่งในประเทศไทยหากรัฐบาลจะทำเป็นรัฐสวัสดิการก็ควรเขียนไว้ในรัฐธรรมนูญ
ทั้งนี้ปัจจุบันความเป็นเสื้อแดงหรือกลุ่มที่สนับสนุนพ.ต.ท.ทักษิณ ไม่ใช่เฉพาะรากหญ้าเท่านั้น เพราะมีกลุ่มทุนนิยม ขณะเดียวกันก็รู้สึกได้ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์เป็นเหยื่อของระบบ และแต่มองว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ อยู่ภายใต้โครงสร้างทางการเมือง ที่ประชาชนลอยคออยู่ในน้ำและกำลังหาที่เกาะ ก็ไม่ได้มีสติสัมปะชัญญะเท่าไหร่ ทั้งนี้เปรียบเทียบนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ ที่ถือหมดอนาคตทางการเมืองแล้ว กับอดีตประธานาธิบดีบราซิล ที่เป็นเด็กขัดรองเท้ามาก่อน แต่ได้ทำให้คน 29 ล้านคนปลดหนี้ได้ ซึ่งไม่ต้องการนายกรัฐมนตรีที่จบออกฟอร์ด แต่ประเด็นอยู่ที่ว่าไม่ได้สนใจแมวสีอะไร แต่ขอให้จับหนูให้ได้
“อย่าไปนั่งนึกถึงอัศวินเก่ง ซึ่งพ.ต.ท.ทักษิณ เคยบอกว่านายลีกวนยู อดีตประธานาธิบดีสิงคโปร์เป็นรัฐบุรุษในโมเดลของตัวเอง ที่สร้างบริษัทเทมาเส็ก แต่บริษัทนี้ได้ให้หุ้นกับประชาชน ซึ่งหากพ.ต.ท.ทักษิณยึดประโยชน์ประเทศเป็นที่ตั้ง มากกว่ายึดประโยชน์ครอบครัว ก็จะไม่มีปัญหาและอยู่ต่อไปได้” รศ.ดร.ชัยชนะ กล่าวและว่า
ส่วนนโยบายกองทุนมั่งคั่งของรัฐบาลนั้นเห็นว่า เงินที่จ่ายให้กับนโยบายประชาชนิยมไม่นานก็หมด และคนไทยก็อย่ายึดติดกับการเมืองเกินไป เพราะทุกวันนี้คนไทยเก่งไปไกลมากแล้ว แต่การเมืองยังล้าหลังอยู่มาก ซึ่งอยากให้คนไทยมีปัญญามากกว่าศรัทธา
คม ชัด ลึก
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น