การ
ขอกู้ ๑๐,๐๐๐ ล้านบาทแรก "โปะกองทุนน้ำมัน" นี่คือตัวอย่างสะท้อนว่า
รัฐบาลนี้เป็น "นักบริหารมืออาชีพ" หรือ "นักฉ้อฉลทางนโยบาย" เป็นอาชีพ
เพราะถ้าเป็นนักบริหารมืออาชีพ สิ่งนี้ คือ สิ่งเห็น-สิ่งเป็นอยู่
จะไม่เกิด เพราะก่อนทำ "เขาต้องมีแผน" และแผนนั้น
ถึงเลว-ก็จะไม่ถึงขั้นเกิด "ผลลบ" สะท้อนกลับเป็นลูกโซ่เช่นนี้! ดูที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ "ทำแก้บน" ตอนหาเสียงสิ ทุกนโยบายเกิดปัญหานุงนัง ชนิดว่า ประกาศมาตรการไปวัน รุ่งขึ้น...เอ้า...ไม่ใช่ เอาใหม่อีกวัน แล้วก็ยังไม่จบ ชุลมุน-ชุลเก หาความลงตัวทางปฏิบัติไม่ได้ ทั้งน่าสมเพชและน่าทุเรศ "หมาไล่งับหางตัวเอง" ยังไงก็ยังงั้น! ทั้งเรื่องรถคันแรก ยี่เกร้องยังมีบทลง แต่นี่รัฐบาล งานนโยบายผลาญรายได้ประเทศ ๓๐,๐๐๐ ล้านบาท กระทรวงคลังทำเป็นลิงปอกกล้วยให้นายกฯ ยิ่งลักษณ์นั่งดูทุกอังคาร ก็ยังไม่รู้ต้องใช้กล้วยอีกกี่ใบ? ยังเรื่องบ้านหลังแรกอีก คิดแผนไว้เห่าหาเสียง-ใครมันก็เห่าได้ แต่เวลาต้องทำตามเห่าจริงๆ เห่าซับซ้อน-ซ้ำซากไม่เป็นภาษาหมา และมันต้องผลาญรายได้ที่รัฐไม่ควรเสียไปอีกกี่หมื่นล้านเพื่อ "เซ่นนโยบายหาเสียง" ไพร่ๆ พรรค์นี้ ผมขี้เกียจจำ? นี่ยังแค่ระดับหมื่นล้าน อีกไม่กี่วัน นโยบาย "รับจำนำข้าว" เริ่ม คอยดูเหอะ พ่อเจ้าประคุณรุนช่อง วิบัติ ๓ เด้ง เด้งแรก-งบประมาณ เด้งสอง-ตลาดนอก และเด้งสาม ปัญหาตลาดใน รวมทั้งการทุจริตในโครงการทั้งรัฐ-ทั้งราษฎร์ ผมไม่กลัวขนข้าวเขมร-ข้าวลาว มาเอา ๑๕,๐๐๐ บาท แต่กลัว "ข้าวเทวดาปลูก" บนฟ้า-บนสวรรค์นั่นซี มันเป็นข้าวทิพย์ มองไม่เห็นเม็ด บรรทุกเกวียนแก้วล่องลอยมาในอากาศ มองไม่เห็นอีกเหมือนกัน แต่คนรัฐบาล คนกระทรวงพาณิชย์ คนพ่อค้า-โรงสีในโครงการ ซึ่งเป็นชนชั้นเทวดา...เขาเห็น แล้วเขาก็รับจำนำ "ข้าวเทวดาปลูก" ลองข้าวเทวดา มันก็ต้องราคาเกวียนละ ๒ หมื่นขึ้นไป รวยกันวายตะไล ไม่ใช่รวยเงินทิพย์ที่มองไม่เห็นด้วยตานะ แต่รวยจากเงินภาษีในรูป "เงินงบประมาณแผ่นดิน" นั่นแหละ! ก็น้ำท่วมขนาดนี้ จะหาข้าว "ชาวนาปลูก" บนพื้นดินจากที่ไหนมาจำนำรัฐบาลล่ะ ที่มี...มันคือข้าวของพ่อค้า-โรงสีที่รับซื้อจากชาวนาถูกๆ เก็บไว้ในยุ้งฉางก่อนหน้านี้แล้วทั้งนั้น ดังนั้น ๒-๓ แสนล้านที่จะต้องถูก "ผลาญออกไป ถ้าตกถึงมือชาวนาจริงๆ ผมจะซื้อม้าขาวจริงๆ ให้ยิ่งลักษณ์ขี่เลย และม้าดำอีกซักตัวให้นายกิตติรัตน์ ณ ระนอง ผู้บริหารโครงการขี่ประคองหลัง พวกท่านเอวังน่ะ ผมไม่ห่วง ห่วงแต่ชาวนาจะเอวัง เพราะประเทศไทยนั้น ถ้าชาวนาเอวัง หมายถึง...ประเทศ เอวัง! ยังเรื่องเงินเดือนข้าราชการ-ลูกจ้างรัฐ ต่างๆ นานา ปริญญาตรีปรับเป็น ๑๕,๐๐๐ บาท ค่าแรงขั้นต่ำ ๓๐๐/วัน นี่ก็ต้องใช้งบอีกกี่หมื่นล้านต่อเดือน-ต่อปี เสียเงินแล้วปัญหาจบมันก็ดี แล้วดู "รัฐบาลนักบริหารมืออาชีพ" เขาทำซี ข้าราชการระดับ ๗ ระดับ ๘ ทำงานกันมากว่า ๑๐ ปีขึ้นไป เงินเดือนเพิ่งโผล่หัวพ้นขอบ ๑๕,๐๐๐ บาทไม่กี่พันเอง แต่จู่ๆ เด็กเข้าใหม่วันนี้ สตาร์ทปุ๊บ ๑๕,๐๐๐ บาท ซึ่งก็ไม่ว่ากัน คนได้เงินนั้นดี แต่จะทำยังไงล่ะ เด็กใหม่เงินเดือนไปเกยคนเก่าน่ะ? เอ้า...ก็ต้อง "ลิงแก้แห" ขยับขยายกันไปตั้งแต่ภารโรงยันปลัดกระทรวง ตรงนี้อีกกี่หมื่น-กี่แสนล้านนิ รันดร์กาลล่ะ? พูดก็จะว่าเอาแต่ตำหนิรัฐบาล ก็ความจริงเป็นเช่นนั้น รัฐบาลไม่มีนโยบายหาเงินเข้ารัฐซักบาท แต่ผลาญเงินรัฐไปสนองนโยบายประชานิยมที่ตัวเองหาเสียงไว้โครมๆ "ภูเขาหนี้" จะเสียดยอด "ภูเขาทอง" นะน้องปูจ๋า! อ้อ...จะว่าไม่หาเงินเข้ารัฐซะทีเดียวก็ไม่เชิง ก็มี...อย่างพล่านไปงุบงิบเขมร จะขุดพลังงานในพื้นที่ทับซ้อนอ่าวไทยนั่นไง แล้วอย่างที่นายพิชัย ทริพทะพันธุ์ สานสัญญาเดิมทักษิณกับดูไบ ทุบทิ้งโครงการท่าเรือทวาย ไปรื้อฟื้นโครงการแลนด์บริดจ์ ทำคลังน้ำมันภาคใต้ และสดๆ ร้อนๆ เสนอตั้งบ่อนกาสิโนขึ้นที่ทุ่งกุลาร้องไห้ นั่นล่ะ...นโยบายหาเงินสร้างประเทศของรัฐบาลนี้!? สรุปแล้ว...ตั้งแต่เป็นรัฐบาลมา "สร้างอะไร" เข้ารัฐบ้าง นอกจาก "สร้างปัญหา" และสร้างอาณาจักรแดง ตั้งหน้า-ตั้งตาฟอกทักษิณเหมือนฟอกหนังสัตว์ ขนคนเสื้อแดงเข้ามา "สกัดจุดประเทศ" กระจายยึดอำนาจระบบรัฐ มือขวาล้วงเงินรัฐไปแจกจ่ายชาวบ้านว่านี่คือ...เงินนโยบายรัฐบาลทักษิณสั่ง ส่วนมือซ้ายเซ็นกู้หนี้-ยืมสินในนามรัฐ สะสมไว้ให้ชาวบ้านทั้งที่เลือกเพื่อไทยและไม่ได้เลือกเพื่อไทย แบกหนี้ "จ่ายแทน" กันไปหัวโต! วานนี้ (๒๙ ก.ย.) อีก ๑๐,๐๐๐ ล้านบาท นายพิชัยขอกู้โปะกองทุนน้ำมัน! ถามว่า มันเป็นหนี้ที่ควรจะเป็นหนี้มั้ย ถ้าไม่ใช้นโยบาย "ฉ้อฉลเชิงนโยบาย" บวกกับการบริหารแบบมือเด็กปั๊ม ไม่ใช่มือระดับรัฐมนตรีพลังงาน? ไปยกเลิกเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันจากเบนซิน คิดมักม่าย-ทำมักง่าย แค่...กูมีอำนาจก็สักแต่ว่า...สั่งการลงไปเลย ครับ...ทั่น ไอ้สั่งแบบสักแต่ว่าสั่งนี่แหละ โครงสร้างพลังงาน และโครงสร้างประเทศ...มันจะพัง ก็น้ำมันเรามีหลายประเภท ราคาลดหลั่นกันไปจากผสมผสานนโยบาย+ภาษี+กองทุน ออกมาเป็นราคาจูงใจในความเหลื่อมต่างแบบลูกโซ่ระหว่างเบนซิน-แก๊สโซฮอล์ และน้ำมันตระกูล E ต่างๆ จู่ๆ ก็ทำโก้ เลิกเก็บจากเบนซินเข้ากองทุนโด่ๆ ซะงั้น เลิกเก็บมันก็ดี แต่อย่างที่บอก ราคาแต่ละชนิดเกิดจากการผสมผสานนโยบายแบบลูกโซ่ และต้องไม่ลืม ที่เก็บจากเบนซินนั้น ไม่ได้เอาไปแจกหัวคะแนน หากแต่เอาไปอุดหนุนราคาแอลพีจีและเอ็นจีวี ที่ ปตท.แบกต้นทุนหลังเดาะอยู่ทุกวันนี้ เลิกเก็บเงินอุดหนุน แต่ดันไม่ปล่อยราคาแอลพีจี และเอ็นจีวีที่หนุนไว้ ให้เป็นไปตามราคาแท้จริง มันจึงเกิดอาการ "ผิดสำแดง" รัฐบาลกลัวประชาไม่นิยม จึงอุ้มสม LPG และ NGV ด้วยการเอาเงินไปหนุน เมื่อเงินหมด-เงินไม่มี แล้วทำไง? ง่ายๆ กู้ "หมกหนี้" ไว้เป็นมรดกชาติยังไงล่ะครับ...ทั่น! แบบนี้ กระเป๋ารถเมล์หรือเด็กปั๊มก็เป็นรัฐมนตรีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ได้ เห็นบอกว่าต้องอุ้ม LPG ภาคครัวเรือน-ขนส่ง ๑๘.๑๓ บาท/กก. และภาคยานยนต์ NGV ๘.๕๐ บาท/กก.ต่อไปอีก หลังมาตรการอุ้มหมดลงในเดือนนี้ นี่ก็คือการฉ้อฉลเชิงนโยบาย หนี้เกิดจาก "แก้บน" หาเสียง! ผมควรต้องจบ แต่จบไม่ได้ ถ้าไม่นำจดหมายนี้ลง เรียน คุณเปลวที่นับถือ คุณเปลวเขียนเรื่องอัยการอยู่สองวัน ผมเห็นด้วย ๑๐๐% บทบาทหน้าที่ของอัยการไทยสับสนและผิดเพี้ยนไปจากบทบาทหน้าที่ที่ควรจะเป็น มากเหลือเกิน องค์กรอัยการเป็นหน่วยงานทางบริหารธรรมดา ไม่ควรจะนำไปบรรจุไว้ในรัฐธรรมนูญเลย ทำให้อัยการหลายคนสำคัญตนเองผิด ว่าเป็นองค์กรอิสระตามรัฐธรรมนูญ อัยการห่วงว่าศักดิ์ศรีของตนจะไม่ทัดเทียมศาล จึงพยายามใช้บารมีของนักกฎหมายแก้กฎหมายให้องค์กรและฐานะของตนอยู่ในระนาบ เดียวกับศาล หรือผู้พิพากษาให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเงินเดือน การเป็นอัยการอาวุโสหลังเกษียณอายุ ล่าสุด มีการแก้กฎหมายให้อัยการผู้ช่วยที่ได้รับการบรรจุใหม่ต้องเข้าเฝ้าฯ ถวายสัตย์ปฏิญาณเหมือนกับผู้ช่วยผู้พิพากษา คงจะลืมนึกไปว่า กรอบการดำรงตนและกรอบของจริยธรรมของผู้พิพากษากับอัยการนั้นต่างกันมาก เอา กันง่ายๆ ผู้พิพากษาท่านมาคลุกคลีตีโมงกับข้าราชการสังกัดอื่นในจังหวัดได้ไหม ผู้ พิพากษามาเป็นกรรมการรัฐวิสาหกิจได้ไหม เป็นที่ปรึกษาให้ผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองเหมือนกับที่อัยการหลายยุคหลาย สมัยทำอยู่ได้ไหม? คำตอบคือไม่ได้ แล้วจะให้มีศักดิ์ศรีและค่าตอบแทนเท่าเทียมกันได้อย่างไร เชื่อผมเถอะ ยิ่งมีการถวายสัตย์ฯ ก็ยิ่งมีการตระบัดสัตย์ เป็นแค่อัยการจังหวัด อำนาจก็ล้นฟ้าแล้วครับ อำนาจสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องคดีอาญาของอัยการจังหวัดเป็นอำนาจที่เด็ดขาดและมี พลานุภาพมากกว่าคำพิพากษาของศาลทุกศาลนะครับ ศาลท่านฟังความสองฝ่าย ท่านกลั่นกรองข้อเท็จจริงข้อกฎหมายด้วยองค์คณะก่อนตัดสิน ศาลต้นตัดสินแล้วยังอุทธรณ์ ฎีกาได้ อัยการฟังความฝ่ายเดียว (เป็นส่วนมาก) สามารถสั่งฟ้องหรือไม่ฟ้องได้เลย โดยปราศจากกลไกกลั่นกรอง (นอกจากความเห็นแย้งของตำรวจและคำชี้ขาดของอัยการ สูงสุดกรณีที่มีความเห็นแย้งดังกล่าว) โชคยังดีสำหรับผู้เสียหายเอกชนในประเทศไทย ที่ยังฟ้องคดีอาญาได้ด้วยตนเองโดยไม่ต้องพึ่งอัยการ กรณี อสส.ตัดสินใจไม่ฎีกาคดีเลี่ยงภาษีของคุณหญิงพจมานและคุณบรรณพจน์นั้น มีมาตรา 22 ของ พ.ร.บ.องค์กรอัยการฯ พ.ศ.2553 ระบุว่า คำสั่ง (ไม่ฎีกา) ของ อสส.ถือเป็นที่สุด และดุลยพินิจของท่าน ถ้าหากได้แสดงเหตุผลประกอบไว้แล้ว ย่อมได้รับความคุ้มครองทางกฎหมาย ใครก็เอาผิดท่านไม่ได้ครับ นอกจากจะยื่นถอดถอนตามวิถีทางตามรัฐธรรมนูญ ซึ่งยากมาก เพราะต้องใช้เสียง ส.ส.หนึ่งในสี่ ใช้กระบวนการสอบสวนของ ป.ป.ช.แล้วถึงจะมาให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน สำหรับ....ปัจจุบัน ท่านเป็นคนทำอะไรห่ามๆ อยู่ไม่น้อย แต่ส่วนมาก "ดีแต่โม้" สังเกตจากการให้สัมภาษณ์ตั้งแต่คดีส่งผู้ร้ายข้ามแดนรายคุณปิ่น จักกะพาก มาจนถึงคดียึดเครื่องบินที่เยอรมัน ไม่สำเร็จสักราย จะมาสำเร็จเป็นชิ้นเป็นอันก็เรื่องการไม่ฎีกาคดีภาษีที่ว่านี่แหละครับ ท่านมีแบ็กดีครับ สมาชิกไทยโพสต์ จบครับ ไม่อยากบอกจดหมายนี้ของใคร บอกไปแล้วจะ...หนาว. เปลว สีเงิน เรียบเรียงจาก http://www.thaipost.net |
วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2554
ด้วยประจักษ์เป็นจริงทุกสิ่งอัน"
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
รีโมท
ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น