เอกยุทธ์ | |||
ดังนั้นเกมเขย่าบัลลังก์ “ผู้นำสีกากี” เพื่อเปิดทางให้ “พี่เมีย-พล.ต.อ.เพรียวพันธุ์ ดามาพงศ์” ได้ก้าวขึ้นมามีอำนาจ และเป็นเกียรติยศแก่วงศ์ตระกูล จึงจำเป็นต้องเร่งทำ-รีบทำ โดยไม่สนใจเสียงนกเสียงกา
ต่อด้วย...การดึง “พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว” รองผบ.ตร.อีกคน ไปทำหน้าที่ “รักษาการเลขาธิการสำนักงานป้องกันและปราบปรามยาเสพติด” (ป.ป.ส.) หรือแนวคิดที่จะโยก “พ.ต.อ.ทวี สอดส่อง” รองปลัดกระทรวงยุติธรรม ไปเป็น “ผอ.ศอ.บต.” ซึ่งเป็นระดับ 11 ก็เพื่อเปิดทางไว้ภายภาคหน้า หากได้สลับเก้าอี้ใหญ่อื่นๆ ในฐานะ “ปลัดกระทรวง”
ส่วนที่สำเร็จไปแล้วคือ การดึง “พ.ต.อ.สุชาติ วงศ์อนันตชัย” (คนที่เคยทำคดียุบพรรคประชาธิปัตย์) จากตำแหน่ง “ผู้ตรวจราชการกระทรวงไอซีที” กลับมาใหญ่ เป็นถึง “อธิบดีกรมราชทัณฑ์” เพื่อมาดูแลเรื่อง “ฎีกาขอพระราชทานอภัยโทษ” ให้ “นักโทษทักษิณ” รวมถึงการให้ “พ.ต.อ.ดุษฎี อารยวุฒิ” ผู้ตรวจราชการกระทรวงยุติธรรม (เพื่อนซี้พ.ต.อ.ทวี) มาเป็น “เลขาธิการ ป.ป.ท.” เพื่อเข้ามาดูแลเรื่องทุจริตในภาครัฐ
ส่วนการโยกย้ายระดับ “นายพลสีกากี” ก็คงมีการจัดทัพกันใหม่หมด “นายพลใจสีแดง” คงได้รับอานิสงส์กันถ้วนหน้า โดยเฉพาะเก้าอี้ “ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล” (มีหน่วยอรินทราช) และ “ผู้บัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง” (มีหน่วยคอมมานโด-สังกัดกองปราบปราม) ที่คงหนีไม่พ้น “พล.ต.ต.วินัย ทองสอง” (หลานเขย) กับ “พล.ต.ต.โกสินทร์ หินเธาว์” (เด็กสร้างแห่งบ้านจันทร์ส่องหล้า) เพื่อจะได้วางใจในกรณีที่มีม็อบมาป่วนกรุง
แต่ที่น่าสนใจเวลานี้คือ...การรุกคืบเข้าไปขยายอาณาจักรใน “กองทัพเรือ” ด้วยการเริ่ม “เอาใจ” ในการจะ “ไฟเขียว” ให้ซื้อ “เรือดำน้ำ” ซึ่งเป็นความหวังของ “ราชนาวี” มาตลอด แต่ที่ผ่านมา “ถูกดอง” เพราะ “ผู้มีอำนาจรัฐ” มักไม่เห็นค่า มองเป็นแค่ “ลูกเมียน้อย” ผิดกับ “กองทัพบก” ที่เป็น “ลูกเมียหลวง” และ “กองทัพอากาศ” ที่เป็นลูกในไส้...อีกคน
กระแสข่าวที่ว่า “ตท.10” เพื่อนร่วมรุ่นของ “ทักษิณ” และ “พล.ร.อ.กำธร พุ่มหิรัญ” ผบ.ทร.คนปัจจุบัน ที่กำลังเกษียณราชการในอีกไม่กี่วัน มีการต่อสายตรงถึง “ทักษิณ” เพื่อขอ “ไฟเขียว” ในการอนุมัติให้จัดซื้อเรือดำน้ำ (ยู 206 เอ ซึ่งเป็นเรือดำน้ำมือสองจากเยอรมัน จำนวน 6 ลำ วงเงิน 7.7 พันล้านบาท) เพื่อให้ทันปีงบประมาณและ “เส้นตาย” ที่กองทัพเรือเยอรมันขอคำตอบว่า “จะเอา” หรือ “ไม่เอา”
ซึ่งข่าวรายงานว่า “ทักษิณ” โอเคแล้ว เพราะมองว่า ถึงเวลาต้องหันกลับมาดูแลกองทัพเรือบ้าง เพราะที่ผ่านมา “ถูกมองข้าม” มาตลอด…ก็คงต้องรอดูกันต่อไปว่า ระยะเวลาอีก 2 สัปดาห์ที่เหลือ ก่อนถึงเดตไลน์ “น้องสาว” จะทำตามที่ “พี่ชาย” คิด...หรือไม่
แต่อยากให้มองไกลๆ ไปว่า นี่คือเกมที่ “ทักษิณ” ถนัด...นั่น คือ การเอาใจ “กองทัพเรือ” เพื่อจะดึงมาคานกับ “กองทัพบก-กองทัพอากาศ” ซึ่งรับรู้กันว่า “หัวขบวนใหญ่” ของทั้งสองกองทัพ อยู่คนละข้าง-คนละขั้วกับ “ระบอบทักษิณ” และเป็นไม้เบื่อไม้เมากันมาตลอด
ผิดกับ “กองทัพเรือ” ที่พยายามทิ้งระยะห่างกับ “การเมือง” มาตลอด และ “พล.ร.อ.กำธร” ก็เป็นตท.10 อีกทั้ง “ว่าที่ผบ.ทร.คนใหม่” ที่ว่ากันว่าจะเป็น “พล.ร.อ.สุรศักดิ์ หรุ่นเริงรมย์” ทั้งที่มีอาวุโสอันดับ 8 แต่ดันเป็น “น้องเลิฟ” ของ “พล.ร.อ.กำธร”
ปมสำคัญอีกประการคือ โผกองทัพเรือครั้งนี้...มีชื่อ “พล.ร.ท.เกียรติศักดิ์ ดามาพงศ์” ที่ปรึกษากองทัพเรือ (เป็น ตท.13 แต่จบ ตท.15) ซึ่งเป็นพี่ชายต่างมารดาของคุณหญิงพจมาน ณ ป้อมเพ็ชร ที่จะข้ามหัวไปเป็น “ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการนาวิกโยธิน” (ผบ.นย.) ซึ่งหากเป็นจริง ถือว่า “แยบยลยิ่ง”
ที่บอกว่า “แยบยลยิ่ง” ก็เพราะ “นาวิกโยธิน” คือ ทหาร เรือที่ได้รับการฝึกฝนเป็นพิเศษ เพื่อปฏิบัติภารกิจนอกเหนือจากในน่านน้ำตามปกติ โดยมุ่งเน้นการรบภาคพื้นดิน ที่เรียกว่า การรบสะเทินน้ำสะเทินบก เปรียบเสมือนเป็น “ทหารเหล่าราบ” ของกองทัพเรือนั่นเอง แถมมีขีดความสามารถสูง ได้รับการฝึกทั้งการรบทางทะเลและการรบทางบก สามารถปฏิบัติการได้คล่องตัว เช่น เมื่อต้องการยกพลขึ้นบก การยุทธที่มีความคาบเกี่ยวกับสถานการณ์บกและน้ำ นอกจากนี้ยังสามารถปฏิบัติงานในท้องที่ชายฝั่ง รักษาความสงบตลอดน่านน้ำ เป็นต้น
สาเหตุสำคัญที่ “ทักษิณ” ต้องรุกคืบ ก้าวเข้ามายึดกุม “ตำรวจ” และครอบงำ “กองทัพเรือ” ก็เพื่อเอาไว้เป็นขุมกำลังไว้ต่อกรกับ “กองทัพบก-กองทัพอากาศ” ในกรณีที่อาจเกิดเหตุ “ขออภัยในความไม่สะดวก” อีกครั้ง
อย่าลืมว่า ก่อนโดนปฏิวัติรัฐประหาร 19 ก.ย. 2549 ที่ช่วงเวลานั้น “สถานการณ์การเมืองคุกรุ่นและร้อนแรง” ทาง “ทักษิณ” ก็ตั้งใจจะให้ “พล.ร.ท.เกียรติศักดิ์” ก้าวมารับตำแหน่งนี้แล้ว เพียงแต่ว่า “โดนปฏิวัติเสียก่อน” ทำให้แผนการที่จะนำ “นาวิกโยธิน” มาเป็นเกราะป้องกัน-ค้ำบัลลังก์ให้ตัวเองต้องพังพาบไป
ดังนั้น...เมื่อหนนี้กลับมามีอำนาจอีกครั้ง การเร่งดำเนิน การโยกย้าย-แต่งตั้ง “คนของตัวเอง” ให้ได้ยึดครองเก้าอี้สำคัญทั้ง “ตำรวจ-กองทัพเรือ” โดยเฉพาะตำแหน่งที่จะกุมกองกำลังที่มีประสิทธิภาพ จึงเป็นสิ่งที่ต้อง “รีบทำ”
เพราะบทเรียนในอดีตมีให้เห็นแล้วว่า แม้แต่ “เพื่อน” ที่คิดว่า “เชื่อใจได้” สุดท้ายเมื่อถึงเวลาต้อง “แตกหัก” ก็ไม่มีใครกล้าต่อต้าน/ต่อสู้
ยิ่งหนทางข้างหน้า...“การเมือง” ดูท่าจะร้อนแรงและรุนแรงมากยิ่งขึ้น การใช้ “คนในครอบครัว-คนในเครือญาติ” จึงน่าจะไว้วางใจในยามที่ต้องเผชิญกับ “เรื่องคาดไม่ถึง”
เห็นแนวคิดอย่างนี้แล้ว...บอกได้คำเดียวว่า เป็น “รัฐบาลเพื่อเครือญาติ” และห้ามกระพริบตาเด็ดขาด!!!
0 ความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น