บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันศุกร์ที่ 30 กันยายน พ.ศ. 2554

ผู้ประศาสน์การมีคนเดียว

สิงหาคม 1984

ไม่กี่วันมานี้ได้มีประกาศทางวิทยุกระจายเสียงแห่งประเทศไทยว่าให้ชาว ธรรมศาสตรไปร่วมกันเททองหล่อรูปเคารพของดร.ปรีดี พนมยงค์, ผู้ประศาสน์การ, ที่มหาวิทยาลัยเพื่อเอาประดิษฐานไว้เป็นที่ระลึก ณ มหาวิทยาลัยแห่งนั้น. หลังจากนั้นไม่ทันไร, วิทยุแห่งเดียวกันนั้นก็กลับออกข่าวใหม่ว่าจะมีการเททองหล่อพระพุทธรูปสี่ องค์แยกไปประดิษฐานไว้ที่มหาวิทยาลัย, ที่สโมสรธรรมศาสตร, และที่วิทยาเขตอีกสองแห่ง; ในการนี้กษัตริย์จะมาเองด้วย. เรื่องหล่อรูปดร.ปรีดีเงียบไป.
ดร.ปรีดีเป็น “ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตรและการเมือง” ซึ่งดร.ปรีดีเป็นผู้ตั้งขึ้นเองหลังจากเปลี่ยนการปกครองแผ่นดิน, ควบคู่ไปกับการตั้งธนาคารชาติ. ต่อมามหาวิทยาลัยนี้ถูกพวกทหารฟาสซิสต์ยึดไป, ขับไล่ดร.ปรีดีไปนอกประเทศหลายครั้งจนในที่สุดก็ไปตายที่ประเทศฝรั่งเศส. ตั้งแต่นั้นมาตำแหน่งผู้ประศาสน์การก็เป็นอันยกเลิกมีตำแหน่งอธิการบดีขึ้น มาทำหน้าที่แทน. และนับแต่นั้นมาก็ไม่มีผู้ประศาสน์การอีกแล้ว.



คำว่า “อธิการบดี” มีสำเนียงไปทางพระ, ไม่เหมาะกับชื่อผู้ปกครองและชี้นำมหาวิทยาลัยของฆราวาส. ที่ว่ามีสำเนียงไปทางพระก็เพราะมีตำแหน่งในการปกครองวัดตำแหน่งหนึ่งเรียก ว่า “เจ้าอธิการ”; พระทำผิดวินัยก็เรียกว่ามีอธิกรณ์. หากเรียกว่าอธิการบดีก็อาจโน้มนำไปทางสมภารเจ้าวัดได้. ชื่อมหาวิทยาลัยมีคำว่าธรรมศาสตรก็ อาจมีผู้คิดว่าคงจะเกี่ยวกับศาสนาอยู่แล้ว. แท้จริงคำ “ธรรมศาสตร” หมายถึงกฎหมายบ้านเมือง, หาได้หมายถึงเรื่องทางศาสนาไม่. มีคำว่า “คัมภีร์มานวธรรมศาสตร” เรียกคัมภีร์หรือบัญญัติกฎหมายโบราณเป็นที่รู้กันทั่วไปดี. คำว่า “มนู” ก็ถูกใช้เรียกเป็นชื่อผู้พิพากษามาแต่เดิมในฐานเป็นราชทินนาม. ในตำราโบราณที่เรารับมาจากอินเดียโบราณกล่าวว่าเจ้ากฎหมายคือพรหมชื่อท้าว มนู; ในตำราไทยโบราณเรียกเจ้ากฎหมายว่าพระมโนสาราจารย์, และได้ทำเป็นรูปของมโนสาราจารย์นั่งแท่นชูตาชั่งอยู่. ชื่อหรือราชทินนามของดร.ปรีดี พนมยงค์ก็มีคำว่า “มนู” อยู่ในนั้น, คือหลวงประดิษฐมนูธรรม. คำว่า “มนูธรรม” ก็คือกฎหมายของท้าวมนูมหาพรหมตามความเชื่อแต่ก่อน. คำว่า “ธรรมศาสตร” ที่เป็นชื่อของมหาวิทยาลัยนั้นตรงกับคำว่า moral sciences.  และดังนั้นตราของมหาวิทยาลัยจึงทำเป็นรูปพระธรรมจักรมี รัฐธรรมนูญตรงกลาง, หมายถึงกฎหมายต้องเที่ยงธรรมและยึดถือหลักรัฐธรรมนูญประชาธิปไตยด้วย. รัฐธรรมนูญในที่นี้หมายถึงรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรสยามที่เป็นหลักประชาธิปไตย, มิใช่รัฐธรรมนูญที่มีหลักการอย่างอื่น. และ “ประชาธิปไตย” ที่ว่านั้นก็ถือว่าต้องเป็นประชาธิปไตยตามแบบอย่างที่คณะราษฎรนำมาประดิษฐาน ไว้เป็นหลักการปกครองใหม่ของประเทศไทย; รูปธรรมก็คือหลักการแห่งรัฐธรรมนูญ ฉะบับแรกหรือฉะบับที่หนึ่ง. การแก้ไขรัฐธรรมนูญในระยะต่อมาจะมากน้อยสักเท่าไรก็ตาม, หากไม่ยึดถือหลักรัฐธรรมนูญฉะบับที่หนึ่งแล้วก็ไม่อาจถือได้ว่าเป็น ประชาธิปไตยตามที่คณะราษฎรนำมา. ส่วนใครจะว่าฉะบับไหนเป็นประชาธิปไตยจริงจังหรือไม่นั้นก็ตามแต่อัธยาศัยของ ผู้กล่าวนั้นเองเป็นส่วนตัว. ประชาธิปไตยที่คณะราษฎรนำมาและจารึกรับรองลงในรัฐธรรมนูญฉะบับแรกอย่างชัด แจ้งนั้นเป็นประชาธิปไตยกระฎุมพี, ประชาธิปไตยของชนชั้นกระฎุมพีหรือบูรีชน,หรือที่มีเรียกกันว่าชนชั้นนายทุน ไทยผู้ทำการโค่นระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์แล้วเปลี่ยนเป็นระบอบราชาธิปไตย อำนาจจำกัด. แม้นคำว่า “ประชาธิปไตย” จะเคยมีใช้ตั้งแต่ครั้งสมัยระบอบทาสของโรมัน, ทว่าคำ “ประชาธิปไตย” ที่ใช้อยู่ในปัจจุบันทั้งหมดก็เป็นเพียงคำที่พวกกระฎุมพีซึ่งโค่นอำนาจ ปกครองของพวกเจ้าศักดินาลงนำมาใช้เรียกระบอบของตนเท่านั้น, จึงมีความหมายตามที่ว่านี้หาได้มีความหมายเหมือนอย่างในสมัยทาสไม่. หัวใจสำคัญของระบอบแห่งชนชั้นกระฎุมพีก็คือ กรรมสิทธิ์เอกชนในปัจจัยการผลิต, และดังนั้นระบอบประชาธิปไตยของพวกเขาจึงเป็นระบอบที่ดำเนินกรรมสิทธิ์เอกชน ในปัจจัยการผลิต. การที่พวกชนชั้นกระฎุมพีหรือชนชั้นนายทุนทำเช่นนี้ก็เพื่อสถาปนาและพัฒนาการ ผลิตทุนนิยมของพวกเขาและรักษาผลประโยชน์เอกชนของพวกเขาซึ่งเนื้อแท้ที่สำคัญ ก็คือการขูดรีดมูลค่าส่วนเกินจากชนชั้นกรรมกรนั่นเอง. ด้วยเหตุนี้กฎหมายของพวกชนชั้นกระฎุมพีหรือชนชั้นนายทุนก็เป็นกฎหมายที่คุ้ม ครองกรรมสิทธิ์เอกชนในปัจจัยการผลิตของพวกเขา. กฎหมายหลักที่เป็นแบบอย่างของเรื่องนี้ก็คือกฎหมายนโปเลียน, ประมวลกฎหมายนโปเลียนหรือ “โค้ดนโปเลียน” นั่นเอง. กฎหมายของพวกกระฎุมพีในโลกนี้ทั้งหมดไม่ว่าจะเขียนพลิกแพลงอย่างไรก็ไม่พ้น ไปจากหลักของกฎหมายนโปเลียนนี้ได้. กฎหมายนี้ได้คุ้มครองสิ่งที่เรียกว่า “กระฎุมพีสิทธิ์” อย่างมั่นคง. ในระบอบสังคมนิยมซึ่งเป็นระยะผ่านทางประวัติศาสตรอันยาวนานทั้งระยะก่อนข้าม ไปสู่ระบอบคอมมิวนิสต์นั้นก็เป็นระยะแห่งกระฎุมพีสิทธิ์, หรือระยะสิทธิ์แห่งพวกกระฎุมพีที่ไม่มีพวกกระฎุมพีนั่นเอง. ผู้ใดไม่เข้าใจเรื่องนี้และด่วนทำลายกระฎุมพีสิทธิ์เร็วเกินกว่าความเป็นจริงก็ย่อมจะกระทำความผิดเอียง “ซ้าย”.
ด้วยเหตุนี้ที่เรียกว่าการปฏิวัติประชาธิปไตยนั้นเนื้อแท้แล้วก็เป็นการ ปฏิวัติกระฎุมพี (ที่เคยเรียกว่าการปฏิวัติชนชั้นนายทุน) เพื่อสถาปนาระบอบขูดรีดของชนชั้นกระฎุมพีขึ้นทั่วทั้งสังคม. การปฏิวัติกระฎุมพีที่สำคัญคือการปลดปล่อยพลังผลิตเกษตร, คือทาสกสิกรและชาวนาเอกเทศทั่วไป; เหตุนี้จึงได้รับการสนับสนุนจากเลกและ ไพร่, จากชาวนาและพวกอนุกระฎุมพีทั้งหมด. นั่นก็คือพวกกระฎุมพีเป็นเจ้าการ, เป็นเจ้ากี้เจ้าการของการปฏิวัติประชาธิปไตย, เป็นผู้นำการปฏิวัติประชาธิปไตย, เป็นผู้นำชาวนาโดยส่วนรวม. เมื่อพวกกระฎุมพีจะสถาปนาระบอบขูดรีดทุนนิยมก่อนอื่นเขาก็จะต้องปลดปล่อย พลังผลิตในสังคมที่เป็นชาวนา, ให้
ชาวนาเป็นอิสระไม่ถูกผูกมัดอยู่กับที่ดินตามระบอบศักดินา, ให้ชาวนาได้เป็นอิสระ, เลิกล้มระบอบทาสกสิกรและทำลายเศษเดนของศักดินานิยมให้หมดสิ้นไป. ทั้งนี้ก็เพื่อชาวนาที่เป็นอิสระแล้วจะได้สามารถขายพลังแรงงานของตนให้แก่ชน ชั้นกระฎุมพีหรือชนชั้นนายทุนในโรงงาน, การผลิตทุนนิยมถึงจะสามารถดำเนินไปได้. ในสมัย ร.5, ทาสกสิกรทั้งหมดอยู่ใต้อาณัติของเจ้าที่ดินศักดินา, ไม่เป็นอิสระ, ไม่สามารถขายพลังแรงงานของตนให้แก่พวกกระฎุมพี, โดยฉะเพาะพวกทุนผูกขาดสากลคือพวกจักรพรรดินิยมที่รุกเข้ามาในเมืองไทยขณะ นั้น. เหตุนี้พวกจักรพรรดินิยมจึงได้ยุยงส่งเสริมและสนับสนุนให้ ร.5 ดำเนินการปฏิรูปสังคม, ปลดปล่อยทาสกสิกรให้พ้นอำนาจของพวกเจ้าที่ดินศักดินาซึ่งในเวลานั้นตัวใหญ่ ที่สุดคือสมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริย-วงศ์, ผู้สำเร็จราชการแผ่นดิน. การต่อสู้ระหว่าง ร.5 กับสมเด็จเจ้าพระยาฯเป็นไปอย่างดุเดือด. แต่เนื่องจากจักรพรรดินิยมหนุนหลังและ ร.5 มีกำลังของพวกเจ้าศักดินาหัวใหม่ที่ต้องการเปลี่ยนระบอบขูดรีดทางที่ดินของ ตนส่วนหนึ่ง (เพียงส่วนหนึ่งเท่านั้น) ไปเป็นการขูดรีดทางทุนนิยมช่วยเหลือ กับมีการต่อสู้ของมวลชน
ชาวนาและพวกไพร่ทาสเป็นกำลังผลักดันช่วยที่สำคัญ, ฉะนั้นการปฏิรูปของ ร.5 จึงได้บรรลุผลโดยพื้นฐาน. การต่อต้านอย่างทรหดของพวกเจ้าศักดินาหัวดื้อในสมัยนั้นทำให้การปฏิรูปของ ร.5 ต้องยืดเยื้อยาวนานไป. อย่างไรก็ดี, การปฏิรูปครั้งนั้นก็เป็นแต่เพียงครึ่งๆกลางๆ. ระบอบศักดินาถูกทำลายไปทีละก้าวทีละน้อยก็จริง, ทว่าการขูดรีดชาวนาในที่ดินอันเป็นระบอบขูดรีดศักดินานิยมนั้นยังดำรงอยู่ บริบูรณ์. พวกกระฎุมพีสามารถก่อกำเนิดและเติบโตขึ้นไประดับหนึ่งก็จริง, ทว่าไม่สามารถดำเนินก้าวหน้าต่อไปโดยอิสระ. ทั้งนี้เพราะอุปสรรคที่เกิดจาก การสมคบกันระหว่างจักรพรรดินิยมนักล่าเมืองขึ้นกับเจ้าศักดินาไทยที่ยังมี อำนาจเหลืออยู่อย่างมากมายไม่ได้มิได้ถูกทำลายไป, เพราะไม่มีการปฏิวัติกระ ฎุมพี. ดังนั้นจักรพรรดินิยมจึงได้กลายเป็นกำลังที่ค้ำจุนให้การขูดรีดศักดินานิยม ยังมีอยู่ต่อไปอีกอย่างมั่นคงและศักดินานิยมก็ได้กลายเป็นรากฐานการขูดรีด และปล้นสะดมประเทศไทยของจักรพรรดินิยม, เป็นผู้ช่วยให้จักรพรรดินิยมสามารถดำเนินการปล้นสะดมประเทศไทยและขูดรีด ประชาชนไทยได้อย่างเสรี. เหตุนี้เองจึงทำให้ประเทศไทยสามารถดำรงรักษา “ความเป็นเอกราช” ของตนไว้ได้ไม่ตกเป็นเมืองขึ้นโดยตรงของ จักรพรรดินิยมเหมือนประเทศเพื่อนบ้านรอบๆ. แต่ “เอกราช” หลอกๆที่ว่านี้เป็นแต่เพียง “เอกราชทางรูปแบบ” เล็กๆน้อยๆ, เนื้อแท้แล้วจักรพรรดินิยมได้อาศัยการยินยอมของศักดินานิยมเข้าปกครองประเทศ ไทยทางอ้อม. สภาพเช่นนี้คือสภาพที่เลนินเรียกว่าสภาพของประเทศกึ่งเมืองขึ้น. สิ่งที่เราเห็นได้ชัดก็คือสภาพนอกอาณาเขตมิได้ถูกยกเลิกไป, สัญญาไม่เสมอภาคกับจักรพรรดินิยมยังมีอยู่อย่างครบถ้วน. การเข้าร่วมในมหายุทธสงครามจักรพรรดินิยมครั้งที่หนึ่งของ ร.6 ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ให้ตกไปได้. และสิ่งเหล่านี้เองที่คณะราษฎรถือเป็นข้ออ้างสำคัญในการรัฐประหารเปลี่ยน แปลงการปกครองแผ่นดินเมื่อปี ’75 ซึ่งสี่ทหารเสือเป็นหัวหน้าและมีดร.ปรีดี พนมยงค์เป็นผู้ดลใจและจัดตั้ง. หลังปี ’75 คณะราษฎร, โดยดร.ปรีดี, ได้พยายามเลิกสัญญาไม่เสมอภาคนั้น “สำเร็จ”, เลิกสภาพนอกอาณาเขต “โดยสิ้นเชิง”; ทว่าก็ยังไม่สามารถเลิกระบอบขูดรีดศักดินานิยม, ชาวนายังไม่มีที่ดินทำกินของตนเองโดยครบถ้วน, รูปแบบการขูดรีดชาวนาในเงื่อนไขใหม่ได้เกิดขึ้นต่างๆนานา. พวกกระฎุมพีเองก็ยังไม่สามารถพัฒนาทุนนิยมของตนให้ใหญ่โตเพราะจักรพรรดินิยม ยังขัดขวางอยู่และพวกศักดินาที่ตนเองไปประนีประนอมด้วยนั้นก็ยังอยู่, ยังรักษาระบอบขูดรีดของเขาไว้อยู่. ในยี่สิบปีหลังนี้, หลังจากที่ได้เปิด ให้ทุนต่างประเทศเข้ามาดำเนินการขูดรีดเต็มที่ได้, ทุนนิยมได้เฟื่องขึ้นใน ระดับที่แน่นอน. แต่นี่เป็นเพียงรูปภายนอกและปรากฏการณ์ที่ฉาบฉวยดุจดอก มะเดื่อ; โดยความเป็นจริงแล้ว, ด้านหนึ่งทรัพยากรทุกชะนิดในประเทศได้ถูก จักรพรรดินิยมและทุนผูกขาดต่างประเทศปล้นสะดมไป “อย่างหวานหมู” จนจะเหือด แห้งอยู่แล้ว, กระทั่งแรงงานก็ถูกส่งออกไปขายยังต่างประเทศด้วยราคาถูกน่าใจ หาย; อีกด้านหนึ่งความเฟื่องดังกล่าวนั้นตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเป็นหนี้ ขี้ข้าต่างประเทศ, คือพวกจักรพรรดินิยม, อย่างท่วมท้นล้นหลาย. เมื่อใดเจ้า หนี้ทวงถามเมื่อนั้นไทยก็จะไม่มีความสามารถชำระหนี้ได้, ก็จะต้องล้ม ละลาย. พวกผู้จัดการบริษัทคือพวกปกครองปฏิกิริยาที่ขูดรีดทั้งหลายก็จะหนีไป หมดเหมือนพวกเท้าแชร์. เวลานี้เขาก็ได้โอนทรัพย์สินหนีไปซ่อนไว้ต่างประเทศ ทุกวัน. เรื่องนี้เป็นความลับที่เปิดเผยทั่วไป. วิทยุรัฐบาลได้ออกข่าว เรื่องนี้เรื่อยๆ. การลงทุนต่างประเทศล้วนแต่เป็นทุนฉาบฉวยที่ทำกำไรมหึมา ให้ได้ในระยะสั้นที่สุด. พวกเขาลงทุนอย่างเสี่ยงภัยทั้งสิ้น.
เมื่อคณะราษฎรทำรัฐประหารเปลี่ยนการปกครองนั้นพวกเขาไม่ได้คาดคิดถึง สภาพอย่างในปัจจุบันนี้. พวกเขาคิดซื่อๆว่าจะสร้างระบอบทุนนิยมและจะทำให้ ประเทศไทยเป็นอิสระและเฟื่องฟู. พวกเขาคิดว่าระบอบใหม่ในประเทศไทยที่พวกเขา นำมาให้นี้จะมั่นคงถาวร. ดังนั้นโครงการของพวกเขาก็เป็นโครงการที่หนัก แน่นอยู่. พวกเรามักพูดกันถึงโครงการสมุดปกเหลืองของหลวงประดิษฐมนู ธรรม, แต่เราไม่เคยพูดถึงการพยายามตั้งโครงการถาวรที่จะทำให้ระบอบทุนนิยม สถิตเสถียรในประเทศไทย. เค้าโครงการเศรษฐกิจของคณะราษฎรเป็นแต่เพียงส่วน หนึ่งของความพยายามเปลี่ยนระบบเศรษฐกิจซึ่งเป็นรากฐานของสังคม. แต่โครงการ อีกส่วนหนึ่งซึ่งมีความสำคัญมากก็คือการสร้างโครงสร้างชั้นบนของสังคมใหม่ ให้เป็นโครงสร้างชั้นบนของสังคมทุนนิยมของพวกกระฎุมพี. เพื่อการนี้, ดร .ปรีดีได้ดำเนินการสร้างหลายอย่าง; ที่สำคัญก็คือการตั้งธนาคารชาติและ มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง. แท้จริง, การตั้งมหาวิทยาลัยนั้นก็ คือการเพาะผู้ปฏิบัติงานใหม่ให้แก่ระบอบของพวกกระฎุมพีนั่นเอง, คือการเพาะ ผู้ปฏิบัติงานกระฎุมพีขึ้นจำนวนหนึ่งในระบบของตนเอง. พวกขุนนางเก่าฝังหัวใน ระบอบเก่า, แก้ยาก. พวกนักเรียนเก่าก็ถูกอบรมมาอย่างเก่า, เปลี่ยนยาก . เพราะฉะนั้นดร.ปรีดีจึงได้สร้างระบบใหม่ทางการศึกษานี้ขึ้นโดยสิ้น เชิง. วิชาที่สอนก็เป็นวิชาอย่างใหม่, กฎหมายที่สอนก็เป็นกฎหมายกระฎุมพีที่ เดินตามรอยครรลองของโค้ดนโปเลียนหมดจด, ทฤษฎีการเมืองก็เป็นทฤษฎีใหม่ของพวก กระฎุมพีสากลมิใช่เป็นทฤษฎีศักดินาแบบเก่า. ผู้เข้าเรียนก็เป็นคนใหม่ หมด, ส่วนใหญ่หรือโดยพื้นฐานเป็นคนในชนชั้นกระฎุมพีหรือกระทั่งพวกคนยาก จน. เหตุนี้ค่าเล่าเรียนจึงถูกที่สุด, การรับนักศึกษาก็กว้างขวางโดยรับทั่ว ไปไม่จำกัดวิทยฐานะดังมหาวิทยาลัยอื่น, การสอนก็ใช้ระบบใหม่สิ้นเชิงรวมทั้ง การสอบด้วย, โดยสอบเก็บเป็นรายวิชาได้. ระบบคะแนนก็ใช้ระบบห้าคะแนนและมีสอบ สัมภาษณ์แบบเซ็มมินาร์เพื่อเลือกเฟ้นบุคคลที่มีทรรศนะแบบใหม่ทั้งหมด. คำว่า มหาวิทยาลัยวิชาธรรมศาสตร์และการเมือง (มธก) เป็นตลาดวิชานั้น ดังมากในสมัยนั้น. ดร.ปรีดียังจัดตั้งนิคมมธก.ขึ้นรับนักศึกษาที่ประสงค์จะ มาอยู่กินด้วยกันแบบโรงเรียนกินนอนอีกมีจำนวน 100 คนอยู่ในสองตึกใหญ่แยก อยู่ด้านท่าพระจันทร์กับด้านท่าช้างตึกละ 50 คน. ผู้ปกครองนิคมเป็น ศาสตราจารย์ชาวอังกฤษชื่อดร.เจ เอฟ ฮัตเจสสันซึ่งได้มากินนอนร่วมกับนัก ศึกษาอย่างสนิทสนม. กำลังใหม่เพื่อระบอบทุนนิยมกระฎุมพีได้รับการทำนุบำรุง เป็นอย่างดียิ่ง.
ชื่อของมหาวิทยาลัยที่เติมคำว่า “การเมือง” เข้าไปข้างท้ายนั้นเป็น เรื่องอึกทึกมาก, ทำให้คนทั้งหลายหันมาสนใจการเมืองกันอย่างจริงจังว่าคือ อะไรกันแน่. แต่คนพวกหนึ่งก็กลัวเพราะรู้ว่า “การเมือง” นั้นคือการเมืองกระ ฎุมพีที่เป็นปฏิปักษ์ต่อพวกเขา; ในที่สุดพวกเขาก็หาเรื่องทำลายเสียโดยตัดคำ นี้ออกจากชื่อของมหาวิทยาลัย, คล้ายกับว่าเมื่อได้ตัดชื่อที่ว่า “การ เมือง” นี้ออกเสียแล้วก็จะไม่มีการเมืองของพวกกระฎุมพีในเมืองไทยอีก. เรา ท่านเห็นถนัดแล้วว่าเวลานี้การเมืองกระฎุมพีเฟื่องเพียงไรในเมืองเราโดยไม่ ต้องมีคำนี้ห้อยท้ายชื่อมหาวิทยาลัย.
ดร.ปรีดีได้ตั้งใจอบรมสั่งสอนวิชาการเมืองแก่นักศึกษาของมธก.เต็มที่จนบัดนี้ได้กลายเป็นพื้นฐานของระบอบการเมืองไทยระดับหนึ่งไปแล้ว.
กีฬาประเพณีที่ดังในชั้นหลังนั้นในตอนแรกยังไม่มีอะไรมากนอกจากการแข่ง ขันฟุตบอลล์ระหว่างสองมหาวิทยาลัยซึ่งเป็นสถาบันการศึกษาสูงสุด. เวลานั้น ยังไม่มีมหาวิทยาลัยอื่นเกิดขึ้น. สนามที่ใช้ก็เป็นสนามที่ดีที่สุดในสมัย นั้นนั้นคือสนามโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย, ต่อมาย้ายไปที่สนามกีฬาแห่ง ชาติ. เมื่อเล่นกันครั้งแรก, จุฬาฯเขามีสีของเขาคือสีชมพู; แต่มธก.ยังไม่มี สี. ดังนั้นจึงเป็นเรื่องยุ่งยาก. ชาวนิคมที่เข้าร่วมเป็นกำลังสำคัญในกีฬา นั้นจึงได้เสนอง่ายๆให้ใช้สีเหลือง-แดงเป็นสีของมหาวิทยาลัยและได้แต่งเพลง ประจำมหาวิทยาลัยขึ้น. เพลงนั้นมีคำหนึ่งว่า “เหลืองของเราคือธรรมประจำ จิต, แดงของเราคือโลหิตอุทิศให้”. ผู้แต่งเป็นกวีและปัญญาชนชั้นสูงมีชื่อ ของเมืองไทยขณะนั้น, คือขุนวิจิตรมาตรา (สง่า กาญจนาคพันธุ์) ผู้แต่งเพลง ชาติชื่อดัง. เพลงของเขามีพลังและมีความหมายเด่นชัดมาก. น่าเสียดายที่ต่อมา เขาได้กลายเป็นนักคัดค้านประชาชน, คัดค้านการปฏิวัติของประชาชนไปพร้อมๆกับ สหายคู่หูของเขาอีกผู้หนึ่งซึ่งก็ชื่อดังเหมือนกัน, ทำงานอยู่ที่กระทรวง พาณิชย์เหมือนกัน. ต่อมาการกีฬาระหว่างสองมหาวิทยาลัยได้เพิ่มกีฬารักบี้ฟุ ตบอลล์ขึ้นอีกอย่างหนึ่งซึ่งจุฬาฯมีเปรียบมาก. ผู้อบรมฝึกหัดทางจุฬาฯก็คือ มจ.จันทรา, ส่วนทางมธก.นั้นผู้ฝึกฟุตบอลล์คือขุนประเสริฐศุภมาตราและต่อมา คือนายโฉลก โกมารกุล ณ อยุธยา. กีฬารักบี้นั้นนายโฉลกเป็นผู้ฝึกแต่ผู้เดียว . ถัดจากนั้นมธก.ได้เสนอแข่งเรือกรรเชียงโดยนายโฉลกเป็นผู้ฝึกอีก, แต่จุฬา อ้างว่าไม่มีน้ำจึงไม่เอา. กีฬาแข่งเรือกรรเชียงแบบเฮนเลย์ รีแกตต้าที่แม่ น้ำเทมส์ระหว่างอ็อกฟอร์ดกับเคมบริดจ์จึงไม่เกิดขึ้นที่แม่น้ำเจ้าพระยาตาม ประสงค์, เป็นที่น่าเสียดายอยู่. แต่พวกเราก็ลงกรรเชียงกันทุกวันตอน เย็น, มีคนทึ่งมาดูกันมาก. ดร.ปรีดีได้สนับสนุนการกีฬาทุกชะนิดดังกล่าวแล้ว เต็มที่. เมื่อฟุตบอลล์ชะนะแต่ละครั้งก็จะเดินขบวนกันไปที่บ้านป้อมเพชรแสดง ความดีใจ, และนักกีฬาก็จะได้ดื่มแชมเปญอย่างดีที่นั่นด้วย.
หลังจากสอบไล่แล้วก็จะประสาทปริญญา, จะมีการเรียกนักศึกษาที่จะเข้ารับ ปริญญาบัตรไปอบรมพิเศษโดยให้กินนอนอยู่ที่มหาวิทยาลัย, จะทบทวนวิชาความรู้ ให้แน่น, จะทำความรู้จักรักใคร่และสามัคคีซึ่งกันและกันอย่างสนิทสนมด้วยการ กินอยู่อบรมฝึกฝนร่วมกัน. พวกเขาจะช่วยตัวเองทั้งหมด. จะไปจ่ายตลาดเองด้วย รถนักฟุตบอลล์ทุกเช้า, จะทำอาหารเอง, จะกำหนดเมนูเอง, ผลัดเปลี่ยนกันเสิรฟ อาหารและเก็บกวาดล้างถ้วยชามเอง,หัดนั่งโต๊ะดินเน่อร์และแกรนด์ ดินเน่อร์ไป พร้อมเผื่อว่าเมื่อออกไปประกอบอาชีพอยู่ในสังคมภายนอกแล้วจะได้สามารถ ปฏิบัติตนถูกต้องอย่างสะบาย. วันรับปริญญาจะมีแกรนด์ ดินเน่อร์, มีกล่าวอวย พรนักศึกษาที่รับปริญญา, มีการฉลองภายใน. ดร.ปรีดีล้วนแต่มาติดตามดูแลด้วย ตนเองอย่างใกล้ชิดตลอดเวลา. รับปริญญาแล้วก็จะไปพบดร.ปรีดีเป็นการส่วนตัวที ละคนทุกคน, สนทนากันถึงอนาคตของแต่ละคน, ให้ผู้ประศาสน์การได้รับรู้ว่าใคร จะไปทำอะไรอยู่ที่ไหน. หลังจากจบการศึกษาออกไปและหลังจากที่นิคมมธก.เลิกไป แล้ว, พวกชาวนิคมร้อยคนนั้นก็จะพบกันเป็นประจำทุกปี, รับรู้ซึ่งกันและ กัน, เสนอความเห็นซึ่งกันและกัน, รักษาสายสัมพันธ์นี้ไว้ไม่ให้ขาด. พวกเขา เป็นแกนของนักเรียนเก่ามธก.และได้เป็นผู้ริเริ่มสิ่งที่เรียกว่าการกิน เลี้ยงในคณะนักเรียนเก่าประจำปี (หรือบางพวกเรียกว่าการเลี้ยงรุ่น). เวลา นั้นเขาจะแต่งเครื่องหมายของ มธก., มีหมวกกระดาษเป็นหมวกหนีบสีเหลืองแดงใส่ ทุกคน, มีธงกระดาษเล็กๆสีเหลืองแดงถือมากัน. การกินอาหารเป็นเพียงสิ่งจำ เป็นเพราะเป็นเวลาค่ำ, เรื่องหลักคือการพบปะรับรู้ซึ่งกันและกัน, เสนอความ เห็นซึ่งกันและกันด้วยความรักใคร่ห่วงใยและพิทักษ์เกียรติกับศักดิ์ศรีของม ธก.เรา. พวกเขากระจายกันอยู่ทุกแห่งทั่วประเทศ, ในงานอาชีพทุกชะนิด: บ้าง เป็นข้าราชการ, บ้างเป็นพ่อค้า; บ้างเป็นผู้พิพากษา, บ้างเป็นทนาย ความ; บ้างเป็นนักการเมือง, บ้างเป็นนักปฏิวัติ; บ้างเป็นครูบาอาจารย์และ บ้างก็เป็นนักประพันธ์, ฯลฯ. อิงอรเป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้, ก่อ เกียรติ (เวื่อง) ษัฎเสณ ก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้. พิบูล ภาษีผลเป็นคนหนึ่ง ในจำนวนนี้และสานน (สีนวล) สายสว่างก็เป็นคนหนึ่งในจำนวนนี้. บัดนี้ชาวนิคม ได้ร่อยหรอไปมากแล้วและได้ขาดการพบปะติดต่อกันไป. แต่ชาวมธก.และวิญญาณของม ธก.ยังอยู่. มหาวิทยาลัยสถานที่เพาะผู้ปฏิบัติงานกระฎุมพีนี้ยังอยู่มิได้ ล้มไปเพราะการปองร้ายของพวกศัตรูประชาธิปไตย. ประชาธิปไตยกระฎุมพียังไม่อาจ มั่นคงเข้มแข็งเพราะชนชั้นกระฎุมพีไทยมีความอ่อนแอทางเศรษฐกิจและการเมือง เป็นอันมาก. แต่พวกเขาก็ได้มีคุณูปการที่สำคัญมากต่อการเมืองเมืองไทย. พวก เขาได้สร้างสะพานเชื่อมให้แก่การปฏิวัติของประชาชนอย่างแท้ จริง. ดร.สายหยุด แสงอุทัยไม่รู้ว่าเขาได้สอนนักศึกษาที่ต้องการไปไกลกว่า ระบอบของพวกชนชั้นนายทุน. มาโนช วุฑยาทิตย์หัวหน้าห้องสมุดมธก.ก็ไม่รู้ว่า เขาได้ช่วยให้เพื่อนนักศึกษาของเขาได้ไปค้นคว้าหาทางออกที่แท้จริงของการ ปฏิวัติประเทศไทยที่นั่น. ดร.เดือน บุนนาค, เลขาธิการ, ไม่รู้ว่ามธก.ได้ กลายเป็นป้อมประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าและเป็นป้อมเพชรที่แข็งแกร่งที่สุดในการ ต่อสู้เพื่อเอกราชประชาธิปไตยมาตลอดทุกยุคทุกสมัยของการผันผวนของการเมือง ไทยที่ล้มลุกคุกคลานมาเป็นเวลาห้าสิบปีแล้ว. หลวงวิจิตรวาทการไม่รู้ว่าเขา ได้ให้มหาวิทยาลัยศิลปากรเป็นมิตรร่วมทางที่ดีและซื่อสัตย์แก่นักประชา ธิปไตยในมธก. เจ้าคุณอนุมานราชธนไม่รู้ว่าท่านได้อำนวยความสะดวกให้แก่นัก ศึกษามธก.ใช้ห้องอ่านหนังสือของหอพระสมุดแห่งชาติเป็นที่ค้นคว้าและทำ งานอย่างสงบเพื่อการต่อสู้ปฏิวัติที่อึกทึกครึกโครมและนองเลือดข้าง นอก. หลวงพิบูลสงครามไม่รู้ว่าการยึดและทำลายมธก., เอานักศึกษาไปเรียนร่วม กับนิสิตจุฬาฯนั้นเป็นการยกจุฬาฯให้เป็นสหายศึกของสำนักนักศึกษาท่าพระ จันทร์. ประยูร ภมรมนตรี, เจ้ากรมยุวชนทหาร, ไม่รู้ว่าการเข้าไปในมธก.เพื่อ ยุให้นักศึกษาเดินขบวนเรียกร้องดินแดนคืนจากฝรั่งเศสนั้นแท้จริงเป็นการ พิสูจน์การนำของพรรคการเมืองชนชั้นกรรมาชีพแท้ๆ, ทำให้มวลนักศึกษาเดินตาม การนำที่ถูกต้องของพรรคแห่งชนชั้นกรรมาชีพซึ่งได้รับการทดสอบอย่างนองเลือด ในครั้งนั้น. หลายคนไม่รู้ว่าอะไรได้เกิดขึ้นในมธก., อะไรได้พัฒนาไปใน มธก., แต่ก็ไม่พอใจที่มธก.ได้ทำเรื่องที่คนไทยไม่เคยทำมาก่อนทั้งสิ้น. มี แต่ผู้ประศาสน์การผู้เดียวที่รู้, ที่ทราบ; แต่ก็มิได้ปริปากจนกระทั่งตัว ท่านถึงแก่อสัญกรรมที่ฝรั่งเศส–ดินแดนแห่งการปฏิวัติกระฎุมพีที่ยิ่ง ใหญ่. ผู้ประศาสน์การไม่ได้เป็นผู้จัดตั้งการเคลื่อนไหวที่ก้าวหน้าใน มธก., ไม่ควรเอาชื่อผู้ประศาสน์การไปพัวพัน. แต่การกระทำของผู้ประศาสน์การ ที่ได้สร้างสถานฝึกอบรมผู้ปฏิบัติงานแบบใหม่ของพวกกระฎุมพีนี้ในตัวของมัน เองได้กลายเป็นการจัดตั้งพลังที่ก้าวหน้าของสังคมไทย.
ผู้ประศาสน์การไม่รู้ไม่เห็นต่อการกระทำทางการเมืองใหญ่ๆของนักศึกษามา ก่อน. นี่เป็นความสัจจริงที่ชาวมธก.ทุกคนรับรอง. แต่ผู้ประศาสน์การก็เป็น ผู้ที่เห็นอกเห็นใจบรรดานักศึกษาและบรรดาการเคลื่อนไหวนั้นๆทุกครั้ง. มี เพียงครั้งเดียวที่ผู้ประศาสน์การไม่เห็นด้วย, คือการเตรียมเดินขบวนเรียก ร้องดินแดนคืนจากอินโดจีนฝรั่งเศสซึ่งหลวงพิบูลฯได้ยุให้เกิดขึ้นเพื่อ เตรียมเปิดทางให้จักรพรรดินิยมญี่ปุ่นเข้ายึดประเทศไทยสะดวกจากทางด้านอินโด จีน. และครั้งนั้นนักศึกษามธก.ก็ได้ทำผิดพลาดไป, ไม่ฟังคำเตือนด้วยหวังดี ของผู้ประศาสน์การของตนเองเพราะอำนาจลัทธิชาตินิยมหรือลัทธิไทยมหาอำนาจที่ หลวงพิบูลฯยุขึ้นมาบดบังทรรศนะทางการเมืองที่ตนได้ศึกษามา.
ลัทธิชาตินิยมกระฎุมพีเป็นอันตรายร้ายแรงของเยาวชนและก็เป็นอันตรายร้ายแรงของประเทศชาติด้วย.
มธก.เป็นสถาบันการศึกษาของพวกกระฎุมพี. เพราะฉะนั้นถึงอย่างไรก็ยากที่จะคัดค้านทรรศนะของกระฎุมพีเองได้, โดยฉะเพาะทรรศนะชาตินิยม.
มีแต่นักศึกษาที่ก้าวไปไกลกว่าทรรศนะของกระฎุมพีเท่านั้นที่จะมีหูตาค่อนข้างแจ่มใสในเรื่องนี้.
กรณี 14 ตุลาคม เป็นเรื่องใหญ่, แต่ก็หยุดอยู่แค่ทรรศนะกระฎุมพี. อนาคตของมธก.ได้ฝากอยู่กับทรรศนะใหม่ของประชาชนที่ต้องการเอกราชและ ประชาธิปไตยอันแท้จริงแม้ภายใต้ระบบโลกทุนนิยม, ระบบโลกจักรพรรดินิยม.
มธก.จะต้องก้าวไป, จะต้องก้าวต่อไป, จะต้องไม่หยุดอยู่แค่พรมแดนกระฎุมพีเท่านั้น.
บัดนี้ไม่มีผู้ประศาสน์การแล้ว, แต่ทว่าวิญญาณประชาธิปไตยที่ก้าวหน้าของผู้ประศาสน์การจะยังคงดำรงอยู่สืบไป.
ผู้ประศาสน์การมีคนเดียว!
หมายเหตุ
ต้นฉบับของความเรียงเรื่อง “ผู้ประศาสน์การมีคนเดียว” สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้เผยแพร่ต่อสาธารณะครั้งแรกในวาระ 84 ปี อัศนี พลจันทร (15 กันยายน 2416 – 2545) เขาได้ต้นฉบับความเรียงนี้ในในรูปเอกสารถ่ายสำเนา (“ซีร็อกซ์”) ขนาด “จดหมาย” ต้นฉบับคงเป็นกระดาษแบบแผ่นใสบาง ๆ และพิมพ์ด้วยเครื่องพิมพ์ดีด บางจุดมีการเขียนด้วยลายมือแก้เพื่อเพิ่มคำที่พิมพ์ผิดหรือตกหล่น ความเรียงนี้มีการสะกดคำให้ตรงกับต้นฉบับมากที่สุด

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง