บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันอังคารที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2554

มหากาพย์พลังงานไทยโกงไทย

โดย บัณรส บัวคลี่


       นับจากนี้เหตุการณ์ประชาชนรวมกันคัดค้านบริษัทสำรวจ-หรือขุดเจาะ น้ำมัน-แก๊สธรรมชาติอย่างที่สมุย-เกาะเต่า สุราษฎร์ธานีหรือที่บ้านกลาย ท่าศาลา นครศรีธรรมราชจะต้องเกิดขึ้นอีกอย่างแน่นอนด้วยพล็อตเรื่องที่ซ้ำจำเจเพียงแต่เปลี่ยนฉากเปลี่ยนตัวละครบริษัทน้ำมันชื่อต่างไปเรื่อยเนื่องจากประเทศไทยพบแหล่งก๊าซและน้ำมันดิบแหล่งใหม่มากขึ้นกว่าทศวรรษที่แล้วมากมายและก็มีสัมปทานแบบที่เป็นอยู่เพิ่มขึ้นเรื่อย
 
       เมื่อปี 2524 ในยุค พล.อ.เปรมที่เราเจอแหล่งก๊าซธรรมชาติแหล่งแรกเราประกาศว่าประเทศไทยกำลัง เข้าสู่ยุค “โชติช่วงชัชวาล” แต่ในทางปฏิบัติจริงของการพลังงานไทยเมื่อ 30 ปีก่อนยังทำได้แค่เชื่อมท่อก๊าซเข้าสู่โรงผลิตไฟฟ้า ใช้ก๊าซแทนน้ำมันเตาที่แพงกว่ากัน หาได้ใช้ก๊าซพื่อประโยชน์ด้านอื่นอย่างคุ้มค่าและครบวงจรแต่อย่างใด
 
       แม้กระทั่งเมื่อ 10 ปีก่อน-หลังจากเราประสบปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจต้มยำกุ้ง ประเทศไทยเพิ่งจะเริ่มคิดเรื่องการผลักดันให้ใช้ก๊าซ NGV เพื่อการขนส่งโดยตรงทำให้ 10 ปีหลังมีรถ NGV วิ่งบนถนนมากมายแม้รถยนต์ของเรายังไม่ได้เป็น FFV (Flexible-fuel vehicle) เหมือนต่างประเทศที่สามารถเลือกเติมเชื้อเพลิงแบบไหนก็ได้ลงไป(ตามแต่ สถานการณ์และราคาแล้วเจ้าเครื่องอัจฉริยะจะแยกแยะนำไปใช้เอง) เอาแค่ NGV กับ LPG รถติดก๊าซก็ได้เป็นหนึ่งในทางเลือกของพลังงานเพื่อการขนส่งไปแล้วเต็มตัว
 
       เราเคยมีความคิดแบบดั้งเดิมว่า ก๊าซธรรมชาติหรือจะสู้น้ำมันดิบที่ทั้งราคาแพง และสามารถนำไปใช้ประโยชน์ได้มากกว่าต่อให้เราเป็นเจ้าแห่งก๊าซธรรมชาติก็คง สู้ประเทศผู้ผลิตน้ำมันดิบไม่ได้ ฐานคิดดังกล่าวควรจะปรับปรุงใหม่เพราะด้วยพลานุภาพของเทคโนโลยีในปัจจุบันจะ เป็นน้ำมัน เป็นก๊าซหรือเป็นไฟฟ้าล้วนแต่สามารถแปลงมาใช้ประโยชน์ในฐานะ “พลังงานในชีวิตประจำวัน” ของคนระดับชาวบ้านทั่วไปได้ไม่แตกต่างกัน
 
       พี่น้องคนไทยทราบหรือไม่ว่าเทคโนโลยีปัจจุบันมีเครื่องกำเนิดไฟฟ้า ขนาดเล็กแค่มีท่อก๊าซเสียบเข้าไปก็ปั่นไฟฟ้าใช้ได้ในชุมชนได้เลย ภาพจินตนาการสวยที่ ประชาชนได้ใช้ประโยชน์จากพลังงานของเราเองอย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วยดังกล่าวจะ เกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีการรื้อปรับนโยบายพลังงานของประเทศกันเสียก่อน
 
       ปริมาณที่เพิ่มขึ้นของบริษัทน้ำมันที่พาเหรดเข้ามาสัมปทานขุดเจาะ สำรวจและผลิตน้ำมัน-ก๊าซทั้งบนบกและในน้ำยืนยันความล้ำค่าของทรัพยากร น้ำมัน-ก๊าซที่ประเทศไทยมีอยู่เป็นอย่างดี...ถ้าทำแล้วขายไม่ได้ไม่มีคนต้อง การมีหรือที่บริษัทเหล่านี้จะพาเหรดเข้ามาแบบหัวกะไดไม่แห้งอย่างที่เป็น อยู่
 
       ถ้ายังจำกรณีที่บริษัทขุดเจาะสำรวจน้ำมันยุคแรกอย่างยูโนแคลประกาศ ขายกิจการซึ่งครอบคลุมพื้นที่ไทยพม่าและเอเชียอาคเนย์มีบริษัทจีนมาซื้อที่ สุดอเมริกาไม่ยอมขายถึงขั้นต้องเอาเข้าสภาคองเกรสและให้เชฟรอนมาซื้อกิจการ นี้แทนจนเชฟรอนกลายเป็นยักษ์ใหญ่ในอ่าวไทยที่กำลังมีปัญหากับคนสมุย-คนบ้านกลายในเวลานี้
 
       นอกเหนือจากยุทธศาสตร์พลังงานในเอเชียอาคเนย์ที่เป็นเหตุผลต้องซื้อ ยูโนแคลแล้ว อเมริกายังทราบเรื่องปริมาณน้ำมันและก๊าซสำรองของไทยเป็นอย่างดี ข้อมูลของอเมริกานี่เองที่บอกว่าปริมาณพลังงานของไทยนั้นติดอันดับโลก เอาเฉพาะหมวดก๊าซธรรมชาติยังเหนือกว่าประเทศในกลุ่มโอเปคบางประเทศเสียอีก
 
       มาดูตารางของสถาบัน Energy Information Administration - EIA ของสหรัฐอเมริกา ตารางนี้ผุ้เชี่ยวชาญที่เกาะติดสถานการณ์น้ำมันชาวไทยท่านหนึ่งที่ไม่อยาก เปิดเผยตัวปรับมาเป็นภาษาไทยเพื่อให้ง่ายต่อการเปรียบเทียบและทำความเข้าใจ นำมาจากสถาบัน EIAสหรัฐอเมริกาเพื่อบอกว่า อเมริการู้ดีว่าประเทศไทยมีก๊าซธรรมชาติเป็นลำดับ 27 ของโลก อยู่ท่ามกลางประเทศกลุ่มโอเปคและประเทศที่เราเชื่อว่ามีทรัพยากรเยอะ(ที่วง กลมไว้) ไม่เฉพาะก๊าซธรรมชาติเท่านั้นแม้กระทั่งการผลิตน้ำมันดิบก็อยู่ลำดับ 33 ของโลกเหนือกว่าบรูไนหรืออดีตโอเปคอย่างกาบองเสียอีก
      
(ที่มา-ปรับปรุงจากhttp://www.eia.doe.gov/)
       นี่จึงเป็นเครื่องยืนยันเชิงตัวเลขที่มาของการเปิดแปลงสัมปทานขุด เจาะและผลิตน้ำมัน-ก๊าซธรรมชาติอย่างคึกคักทั้งบนบกและในอ่าวไทยไม่แพ้ อเมริกายุคตื่นทองและนี่จึงเป็นที่มาของเหตุการณ์คนสมุยออกมาจับมือล้อมเกาะ รวมทั้งคนบ้านกลายและคนนครศรีธรรมราชออกมาคัดค้านโครงการกลุ่มเชฟรอนอย่าง ที่เห็นกันอยู่ในหน้าข่าวหนังสือพิมพ์
 
       ทรัพยากรพลังงานของไทยแม้จะไม่มากเท่ากับยักษ์ใหญ่ซาอุดิอาระเบีย รัสเซีย หรือประเทศตะวันออกกลางอื่นแต่มันก็มากเพียงพอจะให้ไทยอยู่ในแผนที่พลังงานโลกไม่ว่าจะด้วยปริมาณสำรองหรือด้านภูมิรัฐศาสตร์
 
       สิ่งที่ต้องย้ำเป็นหลักคิดพื้นฐานจากภาวการณ์นี้ก็คือประชาชนคนไทยมี สิทธิ์เต็ม 100% ในทรัพยากรพลังงานเหล่านี้ น้ำมันและก๊าซเหล่านี้ไม่ใช่เป็นของรัฐมนตรีกระทรวงพลังงาน ผู้บริหารปตท. หรือกระทั่งนายทุนจมูกไว
 
       หลักคิดที่สอง-ทรัพยากรพลังงานที่เรามีอยู่จะต้องสร้างประโยชน์สูงสุดให้กับประเทศชาติและประชาชน
 
       หลักคิดข้อสุดท้ายก็คือเราไม่สามารถหลีกเลี่ยงความเป็นประเทศที่ถูก จัดในแผนที่แหล่งพลังงานโลก จะดีร้ายยังไงเราก็ต้องเจอกับกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับการพลังงานไม่ทางใดทาง หนึ่งอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังนั้นน่าจะเปลี่ยนกรอบคิดในทำนอง “มึงมาข้าเผา” หรือปฏิเสธไม่เอาสถานเดียว เพราะเทคโนโลยีในปัจจุบันสามารถวางใจได้มากกว่ายุคก่อนหน้าแต่สิ่งที่ต้อง เร่งกระทำก็คือการทำความเข้าใจกับสิ่งเปลี่ยนแปลงในบ้านของเราอย่างลึกซึ้ง และรอบด้าน เลือกสิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุดให้กับบ้านเมืองและชุมชนของเราเอง อย่างน้อยไม่ใช่แค่ค่าภาคหลวงให้อบต.ปีละไม่กี่สตางค์เมื่อเทียบกับกำไรที่เขาสูบได้ไป
 
       ฐานคิดของประชาชนจึงไม่ควรคิดแต่ผลกระทบกับเราเท่านั้น เพราะทุกอย่างที่มีทั้งบวกลบ อย่างเช่นเทคนิคการขุดเจาะสำรวจแบบน้ำตื้นย่อมวางใจได้มากกว่าแบบที่ BP ทำในอ่าวเม็กซิโก หรือแม้แต่ระบบท่อแก๊ซมาตรฐานโลกก็สามารถวางใจได้ในทางทฤษฎีมิฉะนั้นเขาไม่ มีการวางท่อแก๊ซเหมือนท่อประปาไปตามบ้านเรือนในหลายประเทศ
 
       เรื่องเหล่านี้จะเป็นเรื่องใกล้ตัวคนไทยมากขึ้นที่ สุดแล้วเรายังสามารถไว้วางใจเทคโนโลยีและระบบที่ดีได้เพราะสิ่งเหล่านี้เป็น ของตาย.. แต่ที่ไม่ควรวางใจนั่นคือคน-โดยเฉพาะคนไทยด้วยกันเอง !
 
       ท่านทราบหรือไม่ว่าในขณะที่ประเทศไทยเริ่มกลายเป็นเป้าหมายในแผนที่ พลังงานโลก และคนไทยเป็นเจ้าของทรัพยากรที่คนทั้งโลกต่างต้องใช้แต่ไทยยังเก็บภาษีขุด เจาะน้ำมันและพลังงานเพียงเฉลี่ย 10-11% เท่านั้น ขณะที่บางประเทศเขาต่อรองกับบริษัทน้ำมันรัฐบาลเก็บไป 80% บริษัทน้ำมัน 20% และโดยส่วนใหญ่หลายประเทศเขาแบ่งผลประโยชน์กันครึ่ง
 
       คนที่อื่นเขาได้ 50-80% แต่คนไทยเจ้าของน้ำมันได้แค่เฉลี่ย 10% เท่านั้น !
 
       ก่อนหน้านี้ประเทศไทยเคยเก็บภาษีขุดเจาะน้ำมันและก๊าซที่อัตรา 12.58% อัตราดังกล่าวกำหนดในยุคที่ประเทศไทยเราไม่มีเทคโนโลยีและทักษะเรื่องการขุด เจาะมากเพียงพอต้องอาศัยการลงทุนจากภายนอกทั้งหมด อัตราดังกล่าวจึงตั้งขึ้นให้จูงใจดึงคนมาลงทุนสำรวจและลงทุนขุดเจาะนำมาใช้ แต่พอถึงยุคปลายรัฐบาล พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรต่อเนื่อง พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ได้แก้กฎหมายใหม่อ้างสวยหรูว่าเป็นอัตราภาษีก้าวหน้า อยู่ในช่วง 5-15% ตามแต่ปริมาณการขุดขึ้นมา
 
       อัตราก้าวหน้าจึงทำให้เราเก็บภาษีน้ำมันได้เฉลี่ยแค่ 10% กว่าลดจากเดิมลงไปอีก !!!
 
       น่าแค้นใจไหมคนไทยเจ้าของบ่อก๊าซบ่อน้ำมัน .. ในช่วงเวลาใกล้เคียงกับที่เราปรับภาษีขุดเจาะน้ำมันให้ไทยได้รับน้อยลง ประธานาธิบดีฮูโก้ ชาเวซ ของเวเนซุเอล่ากลับเป็นเป้าหมายสนใจของคนทั้งโลกเพราะปฏิวัติระบบรายได้ส่วน แบ่งน้ำมันจากบริษัทต่างชาติให้ประเทศชาติและประชาชนได้ประโยชน์สูงสุด
 
       อยากให้พี่น้องคนไทยอ่านงานของกมล กมลตระกูลเรื่อง ฮูโก ชาเวซ : เส้นทางสู่การเมืองภาคประชาชน ว่าเขามีแนวทางทำให้ทรัพยากรธรรมชาติยังประโยชน์ให้กับประชาชนเจ้าของ ทรัพยากรอย่างไร เอาแค่ตัวอย่างเดียวก่อนหน้านี้เวเนซูเอล่าถูกสูบน้ำมันโดยนักการเมืองร่วม กับทุนต่างชาติ โดยผ่านองค์กรรัฐวิสาหกิจชื่อPDVSA (Petroleos de Venezuela, S.A.) แต่ผลกำไรของบริษัทที่ตั้งขึ้นตกอยู่ในกลุ่มพวกพ้องทั้งสิ้นแทบไม่เหลือกลับ เข้าประเทศเลย
 
       กรณีประเทศเขา PDVSA ที่ไม่แยแสประชาชนไปสนแต่นักลงทุนเหตุไฉนจึงเหมือนกับ ปตท.บ้านเราได้ถึงเพียงนี้
 
       มีหลักฐานมากมายหลายประการยืนยันว่านโยบายการพลังงานที่เอื้อต่อทุน ไม่สนประชาชน การแปรรูปปตท.และการทำมาหากินในเครือข่ายขุนนางพลังงานกับทุน การพาเหรดเข้ามาของต่างชาติบนพื้นฐานนโยบายไม่แยแสประชาชน ฯลฯ ล้วนเป็นเรื่องเดียวกันทั้งสิ้นนั่นก็คือปัญหาโครงสร้างการพลังงานไทยที่ อัปลักษณ์ ไม่วางบนผลประโยชน์ชาติและประชาชนจริง
 
       ในฐานะเจ้าของทรัพยากรแทบไม่ได้อะไร
 
       ในฐานะผู้บริโภคยังถูกเปรียบในทุกขั้นตอน
 
       ถ้านโยบายและการปฏิบัติในเรื่องพลังงานยังไม่ได้ยืนบนประโยชน์ประชาชนจริงก็ รบเถิดประชาชน !! นี่ไม่ใช่เป็นการยุเอามันแบบมึงมาข้าเผา หากแต่ต้องการให้ประชาชนคนไทยรบเพื่อเรียกร้องสิทธิพื้นฐานและสิทธิของความ เป็นเจ้าของทรัพยากรมากขึ้น
 
       ระหว่างที่พี่น้องสมุยออกมาเคลื่อนไหว รัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงานออกมาให้สัมภาษณ์ว่าเทคโนโลยีขุดเจาะไม่เป็น อันตรายไม่เหมือนอ่าวเม็กซิโกอย่างแน่นอน ส่วนกรมเชื้อเพลิงธรรมชาติซึ่งมีหน้าที่ให้สัมปทานและกำกับดูแลสัมปทานต่างก็ออกมาแถลงแบบเดียวกันไม่เพียงเท่านั้นยังซื้อหน้ากระดาษหนังสือพิมพ์รายวันโฆษณาความปลอดภัยในประเด็นดังกล่าว
 
       ทั้งนักการเมืองและข้าราชการ รวมทั้งขุนนางพลังงานเทคโนแครตทั้งหลายคงจะคิดว่าประชาชนไม่เข้าใจข้อมูล ตื่นกลัวไปเอง.. ฐานคิดคือ “ประชาชนไม่รู้ข้อมูล !!?”
 
       แต่ขอโทษเถิดอยากจะใช้คำแรงเช่น บัดซบหรืออะไรก็ได้ที่ใกล้เคียงกันมาประกอบนั่นเพราะว่ารัฐที่หมายถึงนักการ เมืองและขุนนางพลังงานต่างหากที่ปิดบังข้อมูลอันเป็นสิทธิพื้นฐานของประชาชน
 
       แค่เริ่มต้นกระบวนการแรกก็ละเมิดสิทธิ์ประชาชนแล้ว -จะไม่ให้ประกาศรบยังไงไหว !!
 
       พรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ 2540 กำหนดว่า สัญญาในการดำเนินการต่างของ รัฐย่อมไม่เป็นความลับ มาตรา 9(6) จึงกำหนดให้หน่วยงานจัดสัญญาดังต่อไปนี้ให้ประชาชนตรวจดู นั่นคือ ก.สัญญาสัมปทาน ข.สัญญาผูกขาดตัดตอน ค.สัญญาร่วมทุนกับเอกชนในการจัดทำบริการสาธารณะ
 
       แต่กระทรวงพลังงานโดยเฉพาะกรมเชื้อเพลิงพลังงานไม่ได้เปิดสัมปทานสำรวจ-ขุดเจาะน้ำมันใดออกสู่สาธารณะ เรื่องนี้เป็นที่รับรู้กันในแวดวงผู้สนใจปัญหาพลังงานมานานแล้ว
 
       และเมื่อวันพฤหัสบดีที่ 19 สิงหาคมเวลาบ่ายผมทดสอบเพื่อยืนยันเรื่องนี้อีกครั้งโดยได้โทรฯไปที่เบอร์ซึ่งเว็บไซต์กรมเชื้อเพลิงธรรมชาติระบุให้โทรฯไปสอบถามผู้เชี่ยวชาญด้านสัมปทานปิโตรเลียม มติคณะรัฐมนตรีเกี่ยวกับสัมปทานปิโตรเลียม และมติคณะกรรมการปิโตรเลียม
 
       ผมไม่ทะเลาะกับเจ้าหน้าที่หรอก พูดดีด้วยสุภาพเพราะรู้ว่าคนผิดคือฝ่ายนโยบายและข้าราชการระดับสูงเพียงแต่ ได้รับการยืนยันว่าให้ไปหาข้อมูลแปลงสัมปทานต่างได้ในรายงานประจำปี ซึ่งเมื่อไปดูแล้วมันเป็นคนละเรื่องกับสัญญาสัมปทานที่กฎหมายกำหนดให้หน่วยงานต้องเปิดให้คนทั่วไปเข้าดูได้ทันที
 
       สัญญาสัมปทานสำรวจน้ำมันหรือก๊าซเป็นสิทธิพื้นฐานที่ประชาชนต้องรู้ และเข้าถึงได้ทันที แต่เพราะว่ามันมีผลประโยชน์ในระหว่างทุน-ขุนนางพลังงานและนักการเมืองร่วม กันกำอยู่ดังนั้นเรื่องพื้นดังกล่าวจึงกลายเป็นความลับงี่เง่าประจานตัวเองรัฐบาลไทย
 
       ปากหนึ่งบอกประชาชนไม่ศึกษาข้อมูล แต่อีกทางหนึ่งก็ปิดข้อมูลพื้นฐานเอาไว้ !!
 
       ตัวอย่างสัมปทานที่เอกชนไม่ทำ..ปล่อยคาราคาซังไม่ทำตามสัญญาถ้าเป็น ประเทศที่เขาโปร่งใสประชาชนจะไม่ยอมให้บริษัทดังกล่าวได้สัญญาอีก แต่เชื่อไหมว่าต่อมาได้มีพลังลึกลับอุ้มชูบริษัทดังกล่าวเข้ามาฮุบพื้นที่ แปลงสัมปทานทั่วอ่าวไทยก็คือ กรณี “Harrods Energy” ที่ต่อมาแปลงร่างเป็น “Pearl Oil”
 
       เพื่อนพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรที่ชื่อโมฮัมหมัด อัล ฟาเยดตั้งบริษัท แฮร์รอดส์ เอ็นเนอร์ยี่ (Harrods Energy) ก็ได้สิทธิสำรวจน้ำมันใน 4 แปลงขุดเจาะในอ่าวไทยอีกบริษัทหนึ่งไปสำรวจแหล่งแร่ที่ชายฝั่งพังงาซึ่งคนใน วงการรู้ว่าไม่ได้ทำอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน ต่อมาแฮรอดส์ก็ไปจดทะเบียนเปลี่ยนชื่อเป็น “Pearl Oil” เมื่อ 2547 คราวนี้มีเป้าหมายใหม่ใหญ่กว่าเดิมเพราะต้องการแปลงสัมปทานในประเทศไทยมาก ขึ้นจนกลายเป็นยักษ์ใหญ่คู่กับ เชฟรอน-ปตท.
 
       เรื่องแฮรอดส์-เพิร์ลออยล์มีรายละเอียดเยอะจะค้างไว้วันหลังเพียงรอบ นี้อยากบอกว่าเงื่อนไขสัมปทานทั้งหลายแหล่นั้นไม่ได้มีไว้เพื่อการประกอบการ พิจารณาให้สัมปทานใหม่หรือเพื่อรักษาผลประโยชน์ชาติ จึงเป็นช่องให้ทุนบางรายมีไว้เพื่อรักษาสิทธิ์และทำมาหากินได้ต่อไป
 
       และถ้าหากเปิดสัญญาสัมปทานดูดีไม่แน่จะพบบริษัทน้ำมันที่จดทะเบียนที่เกาะเคย์แมน หรือเกาะฟอกเงินอื่นก็ ได้เพราะครั้งหนึ่งบริษัทในกลุ่มเพิร์ลออยล์ก็เคยจดทะเบียนที่เกาะฟอกเงิน นี้มาแล้ว -นี่กระมังที่เป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ขุนนางพลังงานไม่อยากเปิดข้อมูลส่วนนี้ ให้คนไทยรับรู้
 
       นโยบายการพลังงานไทยปัจจุบันยังเป็นกรอบนโยบายที่ถูกกำหนดโดยขุนนาง พลังงานร่วมกับทุนใหญ่ โดยมีปตท.ผู้สวมหมวกสองใบเอกชนก็เป็นรัฐวิสาหกิจก็ใช่เป็นกลไกควบคุม มหากาพย์เรื่องการพลังงานหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่ต้องกล่าวถึงปัญหาของปตท. ที่เดินห่างจากคำว่าผลประโยชน์ชาติและประชาชนมากขึ้นทุกขณะ เอาง่ายราคาขายปลีกน้ำมันที่ขายให้คนไทยห่างจากราคาน้ำมันดิบมาตรฐานมากขึ้นเรื่อยนับจากปี 2544 เป็นต้นมา
 
       ยกตัวอย่างราคาขายปลีกหน้าปั๊มน้ำมันเบนซิน 91 เมื่อปี 2546 ปตท.คิดเพิ่มจากราคาน้ำมันดิบดูไบแค่ลิตรละ 10 บาทโดยเฉลี่ย มาปีนี้การคิดบวกเพิ่มขึ้นเท่าตัวเป็น 20 บาท จะเอากำไรมากมายไปทำไมคำตอบก็คือเขาต้องกำไรเพราะเข้าตลาดหุ้น ต้องปันผลและต้องสร้างผลงาน นี่เป็นตัวอย่างเล็กตัวอย่างหนึ่งในหลายร้อยตัวอย่างที่บ่งบอกว่า ปตท. ไม่ได้ยืนบนผลประโยชน์ประชาชนตามความคาดหวัง
 
       จะเรื่องสมุย เรื่องเชฟรอนที่บ้านกลาย หรือเรื่อง ปตท. ล้วนแต่เป็นเรื่องเดียวกัน เพราะนี่เป็นปัญหาทั้งใหม่และใหญ่ที่กำลังเผชิญหน้าคนไทย
 
       เชื่อเถอะครับนโยบายพลังงานที่มองเห็นหัวประชาชนสามารถเติมเงินในกระเป๋าคนไทยได้จริงแต่ปรากฏว่ามีคนกลุ่มเล็กเท่านั้นที่ได้ประโยชน์จากความมั่งคั่งดังกล่าวมิหนำซ้ำยังสูบเงินจากกระเป๋าคผู้บริโภคคนไทยไปอีก
 
       ทั้งนักการเมือง ทั้งทุน และทั้งขุนนางพลังงานที่เบาะก็รับเงินค่าตำแหน่งเพิ่มปีละ 5 ล้าน 10 ล้านล้วนแต่ปกปิดกีดกันประโยชน์ดังกล่าวนี้
 
       การปกป้องสิทธิ์ของตัวเองทั้งในฐานะเจ้าของทรัพยากรและในฐานะผู้ บริโภค- อันดับแรกชาวสมุยและชาวนครศรีฯ ควรจะทวงสิทธิ์การรับรู้ข่าวสารพื้นฐานจากกระทรวงพลังงานซึ่งดีแต่โฆษณาใน มุมเดียว หลังจากนั้นถึงคราวคนไทยต้องมาทวงสิทธิ์รับรู้ขั้นตอนการทำกำไรเกินควรจาก ผู้บริโภคพลังงาน และที่สุดคือสิทธิ์ที่จะร่วมคิดร่วมจัดการทรัพยากรของประเทศซึ่งที่สุดแล้ว คนไทยทุกคนมีสิทธิ์ในทรัพยากรนั้นอย่างเท่าเทียม
       

คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น





ถ้าทุนทักษิณและพวกแปรรูปปตท.เมื่อปี 2544 แบบเนียนไม่ โลภเกินเหตุ กระแสข้อสงสัยคลางแคลงใจต่อการเข้ามาแบ่งผลประโยชน์มหาศาลในกิจการพลังงานคง ไม่เกิดอย่างกว้างขวางและต่อเนื่องมาถึงปัจจุบันทั้งที่เวลาได้ผ่านไปร่วม 9 ปีแล้ว
  
        ถ้าพวกเขาฮุบหุ้นแบบเนียนผ่าน กองทุนต่างประเทศ และผ่านโบรกเกอร์ไม่หน้ามืดตามัวไปแย่งเอาจากส่วนจัดสรรของประชาชนรายย่อย ที่มีสัดส่วนน้อยกว่าเยอะ การค้นหาหลักฐานบ่งชี้ว่ามี “ผู้มีอำนาจเหนือระบบ” กำหนดและบงการการจัดสรรหุ้นคงจะยากขึ้นอีกมากเพราะเป็นหุ้นที่ผ่านกองทุน ต่างประเทศ
  
       ความโลภเกินพิกัดตัวเดียวนี่เองที่ทำให้เกิดหลักฐานผูกมัดปรากฏใน ประวัติศาสตร์การพลังงานไทยให้จดจำชั่วลูกหลานว่าการแปรรูปการปิโตรเลียม แห่งประเทศไทย (ปตท.) เป็นบริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) เมื่อพ.ศ.2544 นั้นสกปรกโสมมที่สุดอีกครั้งหนึ่ง และต้องบันทึกว่าการแปรรูป ปตท.เนื้อแท้มาจากทุนและอำนาจทางการเมืองหวังผลประโยชน์และความมั่งคั่งจาก กลไกควบคุมพลังงานของไทย
  
        ปตท. แปลงร่างเป็น Super Enterprise ปากหนึ่งบอกว่าการแปรรูปเดินตามปรัชญาการแข่งขันเสรี ทำให้เป็นเอกชนปราศจากการครอบงำของรัฐซึ่งฐานของปรัชญานี้เชื่อว่าทำให้การ ประกอบการมีประสิทธิภาพขึ้น แต่อีกทางหนึ่งเจ้าบริษัทมหาชนแห่งนี้ก็คงอำนาจหน้าที่ของความเป็นรัฐ วิสาหกิจเอาไว้คงเดิม
  
        ปตท.กระจายหุ้นเมื่อเดือนพฤศจิกายน 2544 รวม 800 ล้านหุ้น มูลค่าหุ้นละ 35 บาท(ปัจจุบันประมาณ 260 บาท) แบ่งเป็น 4 กลุ่มซึ่งแต่ละกลุ่มล้วนมีปัญหาทั้งสิ้น
  
        กลุ่มแรก-หุ้นผู้มีอุปการะคุณ 25 ล้านหุ้น ซึ่งกรรมการปตท.สามารถตัดสินใจที่จะให้ใครก็ได้ในนามของผู้มีอุปการะคุณคำถามตัวโตก็ คือหุ้นปตท.ตีค่าเป็นทรัพย์สินของส่วนรวมไม่ใช่หุ้นบริษัทเอกชนที่เจ้าของ นึกพิศวาสใครก็ยกให้ได้ในราคาถูก ถ้าปตท.ไม่ใช่รัฐวิสาหกิจจะไม่มีคำครหาใดสำหรับ ประเด็นนี้ มูลค่าส่วนต่างของผู้ที่ได้หุ้นกลุ่มนี้ ถ้าคิดจาก 260-35= 225 บาท/หุ้น จะเป็นเม็ดเงินถึง 5,625 ล้านบาทซึ่งบรรดาผู้มีอุปการะคุณใครก็ไม่รู้ได้ไปสบายจากกิจการที่เป็นทรัพย์สมบัติชาติ
  
        นี่เป็นความไม่ชอบประการแรกในการกระจายหุ้นครั้งนั้น และที่สำคัญสังคมไทยยังไม่เคยทราบข้อมูลจากปตท.เลยว่าบรรดาผู้มีอุปการะคุณ ที่ได้รับแจกหุ้นไปมีใครบ้างและได้ไปคนละเท่าไหร่ ทั้งที่เรื่องนี้เป็นธรรมาภิบาลพื้นฐาน
  
        กลุ่มที่สอง-หุ้นขายให้ผู้ลงทุนต่างประเทศ 320 ล้านหุ้น มูลค่าส่วนต่างประมาณ 7.2 หมื่นล้านบาทไม่นับรวมเงินปันผลและสิทธิอื่นหุ้นกลุ่มนี้เชื่อว่ามีฝรั่งหัวดำที่เป็นคนไทยและทุนไทยโดยเฉพาะทุนการเมืองคว้าไปโดยจนบัดนี้ก็ไม่เคยปรากฏจะสืบสาวได้ต่อ
  
        กลุ่มที่สาม-เป็นหุ้นสำหรับบุคคลทั่วไปในประเทศ 235 ล้านหุ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักเล่นหุ้นที่มีบัญชีกับโบรกเกอร์อยู่แล้ว
  
        และกลุ่มสุดท้าย-คือหุ้นที่จัดสรรให้ผู้จองซื้อราย ย่อยในประเทศ 220 ล้านหุ้น กลุ่มนี้เขาบอกว่าเป็นประชาชนทั่วไปที่พอมีเงินเก็บอยากลงทุนระยะยาว อยู่ตามต่างจังหวัด และเป็นหุ้นแต่งหน้าเค้ก- ก็คือกระจายให้ทั่วลงไปสู่ประชาชนจริงให้เกิดภาพลักษณ์ที่สวยงามว่าการแปรรูปครั้งนี้กว้างขวางและลึกไปถึงมือคนไทยอย่างหลากหลาย
  
        อย่างที่บอก-คนที่มีเงินมีอำนาจ สามารถจะหาช่องเก็บหุ้นจาก 3 ส่วนแรกได้สบายแค่ 600 ล้านหุ้นก็เป็นสัดส่วนที่โขอยู่ หากต้องการเพิ่มค่อยตามไล่เก็บในตลาดหุ้นภายหลังก็น่าจะไหวอยู่เพราะรายย่อย นั้นพอมีกำไรนิดหน่อยก็คงปล่อยแล้ว
  
        แต่นั่นเองคนคำนวณมิสู้ฟ้าลิขิต การจัดสรรให้รายย่อยคุณป้าคุณอาอาซิ้มอาซ้อก็ยังมีปัญหา !
  
        หุ้นที่จัดสรรให้กับรายย่อย 220 ล้านหุ้น(ซึ่งที่จริงในครั้งนั้นกระทรวงการคลังจะเจียดเพิ่มให้อีก 120 ล้านหุ้นรวมแล้วที่จัดสรรผ่านรายย่อยจำนวน 340 ล้านหุ้น)ต้องไปจองซื้อผ่านธนาคารพาณิชย์ 5 แห่งโดยมีธนาคารไทยพาณิชย์เป็นแม่ข่ายศูนย์ข้อมูลรับจองซื้อหุ้นจากสาขา ธนาคารต่างทั่วประเทศ
  
        การขายหุ้นครั้งประวัติศาสตร์เมื่อ 15 พฤศจิกายน 2544 หมดเกลี้ยงในพริบตา
  
        หุ้นล็อตแรก 220 ล้านหุ้นหมดใน 1.25 นาที !!
  
        หุ้นเพิ่มเติมที่กระทรวงการคลังตัดมาให้อีก 120 ล้านหุ้นก็หมดไปด้วยรวมแล้ว 340 ล้านหุ้นรวมแล้วขายหมดเกลี้ยงในเวลาเพียง 4.4 นาทีเท่านั้น
  
        ถึงขนาดว่าบางธนาคารผู้ลงทุนรายย่อยบางคนยังไม่ทันกรอกรายละเอียดในใบจองเลยหุ้นก็หมดแล้ว
  
        ข่าวสารที่ออกไปก่อนหน้าเขาบอกประชาชนรายย่อยซื้อได้ไม่เกินแสนหุ้น แต่ปรากฏว่ามีคนได้เป็นหลายแสนถึงล้านหุ้นก็มี
  
        หลักฐานหนังสือชี้ชวนเขียนไว้ชัดเจนว่า “ผู้จองซื้อรายย่อยจะต้องจองซื้อขั้นต่ำจำนวน 1,000 หุ้น และจะต้องเป็นทวีคูณของ 100 หุ้นแต่ทั้งนี้ต้องไม่เกิน 100,000 หุ้นต่อใบจองซื้อ”
  
        และหากไม่ชัดเจนให้ดูข่าวเก่าที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ ให้ข่าวกับสื่อมวลชน 5 วันก่อนหน้าวันขายหุ้นเพื่อยืนยันกันอีกครั้งว่าการกระจายหุ้นรอบนี้มีเป้า หมายกระจายให้ชาวบ้านมาประกอบว่ามีเป้าหมายจัดสรรไม่เกินคนละแสนหุ้น
  
   
ปตท.เลื่อนรับใบจองหุ้น / 9 พ.ย. 44
ผู้จัดการรายวัน - นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ รองกรรมการผู้จัดการใหญ่ กลุ่มธุรกิจก๊าซธรรมชาติ บริษัท ปตท. จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า จากการประเมินผลหลังจากการเดินสายชี้แจงข้อมูลบริษัทให้แก่นักลงทุนใน ภูมิภาครวม 5 จังหวัดที่เสร็จสิ้นไปเมื่อวันที่ 6 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ผลปรากฏว่า นักลงทุนรายย่อยและผู้ที่มีเงินออม ซึ่งเป็นลูกค้าของธนาคารพาณิชย์ให้ความสนใจสูงมาก นอกจากนั้นผลสำรวจความต้องการหุ้นของ นักลงทุนสถาบันก็มีสูงมากเช่นกัน อีกทั้งเพื่อให้สามารถกระจายหุ้นไปสู่ประชาชนผู้สนใจได้จำนวนมาก จึงได้มีการ ปรับ ลดยอดการสั่งจองหุ้นต่อ 1 ใบจองจากเดิม สามารถจองได้ตั้งแต่ 1,000 หุ้น สูงสุดไม่เกิน 500,000 หุ้น มาเป็นตั้งแต่ 1,000 หุ้น สูงสุดไม่เกิน 100,000 หุ้น ดังนั้น เพื่อให้สามารถรองรับความต้องการในการสั่งจองหุ้น ปตท.ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด บริษัทฯ จึงได้วางมาตรการอย่างรัดกุมให้การแจกใบจองหุ้นพร้อมเอกสารและขั้นตอนการจอง หุ้นมี ความสมบูรณ์ ครบถ้วนและพร้อมเพรียงกันทุกสาขาธนาคารทั่วประเทศ มาตรการดังกล่าวส่งผล ให้บริษัทจำเป็นต้องเลื่อนการเปิดให้ประชาชนมา รับใบจองหุ้นจากเดิมวันจันทร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2544 เป็นวันที่ 14 พฤศจิกายน 2544

       
       เรื่องนี้เป็นข่าววิพากษ์วิจารณ์คึกโครมเพราะมีข่าวว่ามีแต่นักการ เมือง ญาติมิตรพวกพ้องและคนรวยเท่านั้นที่ได้หุ้นปตท.ไป เสียงวิจารณ์มากขึ้นเพราะมีผู้ครองหุ้นเป็นล้านหุ้น ในตอนนั้นฝ่ายประชาสัมพันธ์ของปตท.จะพยายามแก้ต่างว่ารายชื่อญาติพี่น้อง นักการเมืองที่ปรากฏตามสื่อเขาได้หุ้นจากหลายแหล่งทั้งหุ้นอุปการะคุณหุ้น ซื้อจากโบรกเกอร์มารวมกันทำให้มีจำนวนมาก
  
       ปตท.ให้ข่าวได้ถูก-แต่ถูกเพียงส่วนเดียวเพราะไม่ได้บอกว่า หากจะหยิบเอามาเฉพาะกลุ่มที่จองซื้อจากธนาคารซึ่งเป็นสัดส่วนรายย่อยล้วนก็มีบุคคลที่กวาดหุ้นเป็นล้านหรือหลายแสนหุ้นเช่นเดียวกัน
  
        เสียงวิจารณ์ที่ดังไม่หยุดเพราะคนไทยไม่ได้โง่ขนาดที่ไม่รู้ว่าขาย 220 ล้านหุ้นในเวลาแค่ 1.25 นาที(75วินาที) มันผิดปกติอย่างแน่นอนจนที่สุด ก.ล.ต. ในฐานะในฐานะองค์กรผู้รักษากติกาและธรรมาภิบาลตลาดทุนอยู่ไม่ติดได้มีการสอบ ตรวจสอบการขายหุ้นครั้งนั้นซึ่งดูเผินเหมือนจะทำให้เรื่องจบลงแบบง่าย
  
        ก.ล.ต.ตรวจสอบการกระจายหุ้นซึ่งมีธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด(มหาชน) เป็นแม่ข่ายคอมพิวเตอร์ร่วมกับธนาคารอีก 4 แห่งในที่สุดผลการตรวจสอบก็ออกมาเมื่อมกราคม 2545 ผลสอบระบุว่า การจัดสรรหุ้นครั้งนั้น “ผิดปกติจริง” เพราะธนาคารไทยพาณิชย์ใช้ระบบคอมพิวเตอร์ที่เรียกว่า web server ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขข้อชี้ชวน
  
        พูดเป็นภาษาชาวบ้านง่ายคือ ธนาคารแห่งนี้และลูกค้าในกลุ่มนี้เอาเปรียบชาวบ้านเขา เล่นกรอกรายการล่วงหน้าแล้วกดปุ่มรอบเดียว ชื่อที่ล็อกไว้ก็จะเข้าไปในบัญชีรายการจองได้เร็วกว่าคนอื่น นำมาสู่มติของก.ล.ต.ที่ลงโทษธนาคารไทยพาณิชย์ด้วยการพักการเป็นตัวแทน จำหน่ายหุ้นในประเทศเป็นเวลา 6 เดือน
  
        การสั่งสอบของ ก.ล.ต.ดูเผินเหมือนจะธำรงความยุติธรรมให้กับสังคมโดยเฉพาะประชาชนรายย่อยแต่แท้จริงแล้วกลับไม่มีผลใดเลย เพราะมีแค่ลงโทษด้วยการไม่ให้ธนาคารไทยพาณิชย์ไม่ต้องขายหุ้นในประเทศแค่ 6 เดือน ส่วนหุ้นที่ได้มาโดยเอาเปรียบชาวบ้านเขาผลสอบบอกว่ามีสัดส่วนน้อยมากไม่มีผล กระทบต่อภาพรวม กลุ่มที่ได้มาแบบไม่ปกติก็ยังคงได้สิทธิ์นั้นต่อไป
  
        เรื่องจึงเหมือนเจ๊ากันไป...กลายเป็นน้ำกระทบฝั่ง คนที่รวยหุ้นปตท. ก็รวยไปเพราะหลังจากนั้น ปตท.ก็โตเอาทำ กำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์ ราคาหุ้นทะลุ 300 บาทจากราคาที่ซื้อมาตอนแรก 35 บาทร่ำรวยกันใหญ่โต ทั้งกลุ่มที่ได้มาโดยจองได้จริง และกลุ่มที่ได้โดยการโกงชาวบ้านมา !
  
       ข้อแคลงใจ-ผู้สอบกับผู้ถูกสอบเป็นพี่น้องกัน ?
  
       





  
       ที่มาของภาพ : คุณหญิง ชฎา วัฒนศิริธรรมจากเว็บไซต์ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย http://www.set.or.th และศาสตราจารย์กิตติคุณ เติมศักดิ์ กฤษณามระ จากเว็บไซต์สมาคมศิษย์เก่าจุฬาลงกรณ์ฯ http://www.shicu.com
       อธิบายภาพ : คุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม กรรมการผู้จัดการ ใหญ่ ธนาคารไทยพาณิชย์ (ในเวลานั้น) ซึ่งถูกชี้ว่ากระจายหุ้นโดยขัดข้อชี้ชวนและถูกก.ล.ต.สั่งลงโทษ กับ ศ.กิตติคุณเติมศักดิ์ กฤษณามระ ตำแหน่งผู้สอบบัญชี รับอนุญาตบริษัทดีลอยท์ ทู้ช โธมัทสุ ไชยยศ จำกัด ซึ่งก.ล.ต.ให้เข้ามาตรวจสอบการขายหุ้นที่ผิดปกติ(เป็นพี่น้องกัน ทั้งสองท่านเป็นพี่น้องกัน โดยต่างเป็นบุตรของพระยาไชยยศสมบัติ(เสริม กฤษณามระ) และคุณหญิงดารา ไชยยศสมบัติ

  
        การตรวจสอบการจองและจัดสรรหุ้นปตท. โดยก.ล.ต.ได้ดำเนินการแล้วเสร็จเมื่อเดือนมกราคม 2545 จนเมื่อเดือนเมษายน 2553 ที่ผ่านมากองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันรื้อฟื้น-ศึกษากรณีการขาย หุ้นปตท.ขึ้นมาดูอีกรอบ
  
       เอกสารรายงานการตรวจสอบดังกล่าวจากก.ล.ต. ซึ่งเป็นชุดที่เผยแพร่ให้นักลงทุนทราบมีจำนวน21 หน้าและได้เอกสารบัญชีผู้ได้รับการจัดสรรหุ้นปตท.ในครั้งนั้นอีกปึกใหญ่
  
       เอกสารผลการตรวจสอบระบุว่า ก.ล.ต.ได้อ้างอิงการตรวจสอบที่เรียกว่า “รายงานการสอบทานระบบที่ใช้ในการรับจองซื้อหุ้น” โดยบริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัสสุ ไชยยศ จำกัด
  
       เอกสารชิ้นนี้อธิบายวิธีการตรวจสอบในขั้นตอนต่างจน ได้ข้อสรุปสุดท้ายว่า.. “เกิดจากการไม่ปฏิบัติตามข้อตกลงการรับจองซื้อหุ้นของธนาคารไทยพาณิชย์ทำให้ สิทธิของผู้จองซื้อหุ้นที่จะได้รับการจัดสรรไม่เท่าเทียมกันและไม่เป็นไปตาม เจตนาของหนังสือชี้ชวน”
  
       ถ้าตัดเฉพาะถ้อยคำนี้เหมือนจะชัดเจนตรงตัวว่า การกระทำความผิดย่อมไม่สามารถจะปิดบังได้เพราะยังไงหลักฐานที่ปรากฏมัน ชัดเจนว่าธนาคารไทยพาณิชย์ในฐานะแม่ข่ายคอมพิวเตอร์ใช้เทคนิคทำให้คน บางกลุ่มได้เปรียบ
  
       แต่เมื่ออ่านบรรทัดต่อมา.....ที่ระบุว่า
  
       “อย่างไรก็ดีรายการจองซื้อที่เข้าข่ายว่ามีความผิดปกติดังกล่าวมี จำนวนไม่มากนักเมื่อเทียบกับรายการทั้งหมด........จึงเห็นว่าความผิดปกติดัง กล่าวไม่มีผลกระทบกับภาพรวมของการเสนอขายหุ้นของ บมจ.ปตท.ในครั้งนี้จนทำให้ต้องมีการเปิดรับจองใหม่”
  
       เอกสารบอกว่ารายการที่ผิดปกติที่ดีลอยท์ ทู้ช โธมัสสุ ไชยยศตรวจพบมีจำนวน 859 รายการหรือคิดเป็น 7.73% ของจำนวนรายการที่ได้รับการจัดสรร
  
       และจึงเป็นที่มาของการที่ก.ล.ต.สั่งลงโทษธนาคารไทยพาณิชย์ ไม่ให้เป็นตัวแทนจำหน่ายหุ้นในประเทศ 6 เดือน (แต่ไม่ทำอย่างอื่นใดนอกเหนือจากเรื่องนี้รวมถึงเรื่องหุ้นผิดปกติที่ตรวจพบ 859 รายการ)
  
       การที่ได้เอกสารชิ้นดังกล่าวมาศึกษาอีกครั้งทำให้พบเงื่อนงำที่น่า สนใจอย่างหนึ่งนั่นคือ ผู้บริหารของกิจการตรวจสอบ กับ ผู้บริหารของกิจการที่ถูกสอบมีความสัมพันธ์เป็นพี่น้องกันโดยทั้งสองท่าน ต่างเป็นบุตรของพระยาไชยยศสมบัติ(เสริม กฤษณามระ) และคุณหญิงดารา ไชยยศสมบัติ ผู้มีคุณูปการต่อวงการบัญชีไทยอย่างเอกอุ โดยศ.เติมศักดิ์ นั้นเป็นพี่ชายคนโต
  
       นี่เป็นความบังเอิญที่ ก.ล.ต. หรือ ปตท. กำหนดสคริปต์ไว้ก่อนหรือไม่ ? ไม่สามารถตอบได้แต่แน่นอนว่าความบังเอิญนี้ก่อให้เกิดความคลางแคลงใจตามมา
  
       ผมไม่บังอาจตั้งข้อกล่าวหาใดกับ ทั้งท่านศ.เติมศักดิ์ กฤษณามระ และทั้งท่านคุณหญิงชฎา วัฒนศิริธรรม เพราะทั้งสอนท่านต่างเป็นผู้มีชื่อเสียงได้รับการยกย่องอย่างกว้างขวางใน ความเป็นมืออาชีพ
  
       หากมองในมุมบวก-ผลการตรวจสอบของดีลอยท์ฯ ได้ชี้ความผิดปกติที่ธนาคารไทยพาณิชย์กระทำจนกระทั่งถูกลงโทษเอาแค่ประเด็น นี้ก็ยากจะลุกขึ้นกล่าวหาว่า ดีลอยท์ฯ หรือผู้บริหารท่านใดไม่เป็นมืออาชีพได้อย่างเต็มปาก
  
       แต่อย่างไรความแคลงใจมันห้ามกันไม่ได้..เพราะตามปกติของระบบราชการ ไทยทั่วไป การตั้งเรื่องสอบแล้วเอาพวกเดียวกันมาสอบนั้นเป็นวิชามารของระบบราชการไทย ที่เป็นที่ทราบกันดี
  
       เรื่องร้ายแรงที่ไม่สามารถปิดฟ้าด้วยฝ่ามือก็ทำให้เบาลงเสีย
  
       จากลงโทษหนัก ก็มาเป็นลงโทษเบาจนแทบไม่ต้องเปลี่ยนแปลงผลใด
  
       ความคลางแคลงใจในเรื่องผลการตรวจสอบการกระจายหุ้นในครั้งนั้นจึงไม่สามารถจะปัดเป่าได้ด้วยการสั่งลงโทษพักงาน 6 เดือนแล้วจบไป
  
        ด้วยเหตุดังกล่าวกองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันจึงทำหนังสือขอ ข้อมูลข่าวสารตามพรบ.ข้อมูลข่าวสารของราชการ 2540 ไปยังคณะกรรมการ ก.ล.ต. เพื่อจะขอเอกสารหลักฐานการตรวจสอบครั้งดังกล่าวฉบับสมบูรณ์ ที่มิใช่เอกสารสรุป 21 หน้าที่เผยแพร่ทั่วไป ทั้งเพื่อเพื่อจะพิสูจน์เพื่อลบความคลางแคลงใจทั้งมวลที่มีอยู่
  
        ความคลางแคลงใจต่อเอกสารผลการตรวจสอบจำนวน 21 หน้าที่ก.ล.ต.พยายามชี้แจงต่อสังคมและเพื่อ “ปิดคดี” ยังมีอยู่มากมายหลายประเด็น
  
       1. ก.ล.ต.ตั้งประเด็นสอบเฉพาะระบบและเทคนิคการจัดสรรหุ้น และก็ได้ผลสรุปออกมาว่าใช้เทคนิคที่ผิดจากข้อตกลงทำให้มีการเอาเปรียบชาว บ้านจริงพร้อมกัน นั้นก็ข้ามประเด็นปัญหาการจัดสรรหุ้นเกินโควตา 1 แสนหุ้นที่ปรากฏในหนังสือชี้ชวน โดยก.ล.ต.ยกประโยชน์ให้กับถ้อยคำที่คลุมเครือตีความได้หลายแบบ ทำให้บางรายยื่นจองหลายฉบับและได้รับจัดสรรหลายแสนหรือเป็นล้านหุ้น หากมีการสอบลึกลงไปถึงมติคณะกรรมการเตรียมการจัดสรรหุ้น และเป้าหมายของการจัดสรรให้รายย่อยดั่งที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ แถลงข่าวต่อสื่อมวลชนนั่นแสดงว่าการจัดสรรหุ้นครั้งนี้ผิดจากเป้าหมายเดิม สมควรจะถูกยกเลิกและจัดสรรใหม่
  
       2. ก.ล.ต.เปิดเผยข้อมูลเพียง 21 หน้ากระดาษที่เน้นไปที่การอธิบายภาพรวมของระบบจองและจัดสรรในเอกสารอ้างอิง ผลการตรวจสอบของบริษัท ดีลอยท์ ทู้ช โธมัสสุ ไชยยศ จำกัด ซึ่งมีหน้าที่ทำรายงานการสอบทานระบบคอมพิวเตอร์ที่ใช้ในการรับจองหุ้นรายงาน เป็นหลัก แต่ไม่ได้พยายามตรวจสอบความผิดปกติอื่นที่ ปรากฏโดยเฉพาะการสอบย้อนเส้นทางการจองและได้รับจัดสรรของผู้ได้รับจัดสรร เกิน 3 แสน-1 ล้านหุ้น เพราะบางรายใช้ธนาคารคนและแห่ง และคนละสาขาแยกใบจองแต่ได้รับการจัดสรรมากมายอย่างน่าทึ่ง ขณะที่ชาวบ้านซึ่งจองคนละไม่เกิน 1 แสนหุ้นถูกปฏิเสธไปมากกว่า นี่เป็นความผิดปกติที่ชัดเจนที่สุดแต่ไม่ได้ถูกกล่าวถึงเหมือนจะจงใจละเลย ประเด็นความผิดปกตินี้
  
       3. ในเอกสารการตรวจสอบระบุว่าธนาคารอีก 4 แห่งปฏิเสธจะลงนามในข้อตกลงการรับจองซื้อหุ้นสามัญของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) แม้กระทั่งวันเปิดจองหุ้นธนาคารอีก 4 แห่งก็ยังไม่ลงนาม..นี่จึงเป็นไปได้หรือไม่ที่มีข่าวที่นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ออกมาแถลงว่าต้องเลื่อนวันจองออกไป แต่ที่สุดธนาคารที่เหลือก็ไม่ลงนาม นี่เป็นความผิดปกติที่ก.ล.ต.ไม่พยายามจะหารายละเอียดข้อปัญหา แต่สรุปไปเลยว่า ธนาคารทุกแห่งเข้าใจระบบตรงกันดี
  
       4. รายงานฉบับเต็มสมควรมีรายชื่อผู้ได้รับการจัดสรรหุ้นที่ระบุในรายงานว่ามีความผิดปกติ หรือพูดง่ายโกงเพื่อนมาจำนวน 859 รายการนั้นเป็นใครบ้าง ?
  
       5. จากรายงานที่สรุปออกมา 21 หน้า แสดงให้เห็นว่า ก.ล.ต.น่าจะมีรายงานฉบับเต็มและมีข้อมูลการตรวจสอบฉบับเต็ม ซึ่งควรจะเป็นเอกสารที่เปิดเผยต่อสาธารณะได้เพื่อแสดงความโปร่งใสของระบบ ตลาดทุนไทย และเพื่อความโปร่งใสของการขายสมบัติแผ่นดินในนามของการแปรรูป
  
       ด้วยเหตุนี้กองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันจึงได้ยื่นหนังสือ ขอข้อมูลข่าวสารจากคณะกรรมการก.ล.ต.ไปแต่ทว่าเวลาผ่านไป 3 เดือนยังไม่ได้คำตอบใดจา กก.ล.ต. ทำให้กองบรรณาธิการเอเอสทีวีผู้จัดการรายวันได้ยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการ ข้อมูลข่าวสารของราชการไปแล้ว เรื่องนี้อยู่ในกระบวนการพิจารณาและพิสูจน์ว่าสิทธิในการรับรู้ข่าวสารของ ประชาชนในประเทศนี้มีจริงแท้แค่ไหน-เพียงไร ?
  
       ปัญหาการกระจายหุ้นป.ต.ท.ในครั้งนั้นยังคงเป็นปมปริศนาอีกมากมาย นักลงทุนรายใหญ่มากระดับ นักการเมืองนั้นไม่ใช้วิธีไล่ซื้อแข่งกับรายย่อยในประเทศหรอกเพราะมีหุ้นที่ กระจายผ่านโบรกเกอร์ต่างประเทศถึง 320 ล้านหุ้น แต่เท่าที่ปรากฏเป็นหลักฐานต่อสาธารณะการมีหุ้นอุปการะคุณมันก็น่าเกลียด เกินบรรยายแล้ว จนบัดนี้ปตท.ก็ยังไม่กล้าเปิดข้อมูลคนกลุ่มนี้ออกมา และที่น่าเกลียดหนักไปกว่านั้นก็คือยังมีช่องทางซิกแซ็กแย่งหุ้นจากประชาชน รายย่อยอีก
  
        ปัญหาการกระจายหุ้นรายย่อยแม้เป็นเพียงส่วนยอดภูเขาน้ำแข็งที่เพิ่งโผล่แพลม ขึ้นมาเหนือผิวน้ำ แต่ก็สามารถบ่งบอกว่าการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรปีละแสนสองแสนล้านแห่ง นี้ไม่ได้เป็นไปตามธรรมาภิบาลดั่งที่ประกาศไว้ทั้งหมด
  
       หมายเหตุก่อนปิดเรื่องมี ผู้ทักท้วงความผิดพลาดในข้อเขียนตอนที่ 1 เกี่ยวกับอัตราภาษีน้ำมันที่ผู้เขียนระบุว่าเก็บเฉลี่ยเพียง 10% จึงขออธิบายความว่าเป็นความไม่รอบคอบของผู้เขียนที่ต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอยืนยันว่าการทำงานเรื่องนี้จะไม่ตะแบง ไม่บิดเบือนใดกอด ยึดหลักการเดียวคือสิทธิของประชาชนและสิทธิของผู้บริโภคเป็นสำคัญ ขออธิบายว่าภาษี 10%ที่กล่าวถึงมีภาษาทางการว่า ค่าภาคหลวงเป็นไปตาม พรบ.ปิโตรเลียม พ.ศ.2514 ส่วนที่ไม่ได้กล่าวถึงก็คือ ภาษีรายได้น้ำมันตามพรบ.ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม 2514 ที่กำหนดให้เก็บ 50% แต่ไม่เกิน 60%
  
       อย่างไรก็ตามมีผู้อ้างว่าเมื่อรวมภาษีทั้ง 2 ตัวแล้วทำให้ไทยเก็บภาษีปิโตรเลียมถึง 60% ไม่เป็นจริงในทางปฏิบัติแต่อย่างใด เพราะว่าภาษีรายได้น้ำมันกำหนดให้คำนวณเก็บตามกำไรสุทธิที่หักค่าใช้จ่าย แล้ว ค่าใช้จ่ายที่หักยังครอบคลุมไปถึงค่าภาคหลวงที่บริษัทน้ำมันจ่ายไปก่อนล่วง หน้า และยังมีปัญหาเทคนิคการคำนวณราคาปิโตรเลียมที่ขุดเจาะได้ เมื่อปี 2552 ที่น้ำมันโลกแพงมาก หากคิดเฉลี่ยต่ำสุดน้ำมันดิบดูไบที่ 70 ดอลลาร์สหรัฐแต่น้ำมันดิบที่ตีราคา ณ แท่นขุดเจาะบ้านเรากลับไม่ถึงตามนั้น (ไม่รู้ว่าด้วยสาเหตุใด)
  
       ผมนั้นไม่ใช่ผู้รู้หรือผู้ชำนาญการ..แต่ที่สามารถหยิบมาเขียนเล่า เรื่องเพราะเข้าไปร่วมวงศึกษา นั่งฟังบรรดาผู้เชี่ยวชาญบรรยายสรุปอยู่หลายรอบจึงนำความรู้นั้นมาเรียบ เรียงใหม่ มีผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งคำนวณว่ารวมภาษีทุกชนิดแล้วประเทศไทยเก็บจากบริษัท น้ำมันจริงได้สูงสุดแค่ประมาณ 30% ของมูลค่าและปริมาณน้ำมันที่ได้ไป
  
       ปัญหาของการพลังงานของไทยจึงไม่ใช่การนั่งงอมืองอเท้าคร่ำครวญว่ายังไงเรา ก็ขุดเองได้ 30-40% ที่เหลือต้องนำเข้า เขามาลงทุนให้ก็บุญโขแล้ว อุปมาอุปไมยกรอบคิดใหม่ของคนไทยเหมือนต้องนำเข้าข้าวทั้งหมดซื้อในราคาต่าง ประเทศ วันดีคืนดีก็ปลูกได้เอง 40% ของที่เคยกิน แต่คนไทยไม่รู้เรื่องราวของข้าวที่เราปลูกได้เองเลยว่า มีคุณภาพแบบไหน ปลูกเสร็จมีคนผูกขาดเอาไปสีแล้วจำหน่ายราคาเดียวกับที่เราเคยซื้อมา แล้วโรงสีก็รวยเอาในนามของความมั่นคงอาหารไทยหรือไม่?
  
       มีเรื่องเล่าในวงการพลังงานว่าคุณภาพของน้ำมันและก๊าซไทยสูงมาก ราคาดี ปรากฏมีมือดีเอาน้ำมันและก๊าซคุณภาพสูงจากแท่นไปขายทำกำไรรอบแรก จากนั้นก็นำเข้าของคุณภาพต่ำมากลั่นขายคนไทย คิดกำไรทุกขั้นตอนตั้งแต่การขนส่งยันจำหน่าย ความโปร่งใสเหล่านี้เรายังไม่เห็นจริงในวงการพลังงานไทย มีแต่ธรรมาภิบาลครึ่งกลางเท่านั้น

  
       หมายเหตุ 2- ท่านที่สนใจรายงานการตรวจสอบการเสนอขายหุ้นสามัญของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) มกราคม 2545 สามารถติดต่อถามได้จากศูนย์สารสนเทศตลาดทุน สนง.คณะกรรมการ ก.ล.ต.


ปตท.เป็นอะไรกันแน่ ?
   
       เป็นรัฐวิสาหกิจน่ะแน่นอนเพราะรัฐบาลถือหุ้นเกินกึ่งแถมยังใช้สิทธิ์พิเศษต่างในนามขององค์กรรัฐตั้งแต่เรื่องใหญ่ที่เป็นนโยบายชาติมาจนกระทั่งถึงเรื่องเล็กเช่นภาษีป้ายก็ไม่ต้องเสีย
   
       ก่อนหน้าจะแปรรูป สถานะของปตท.คือรัฐวิสาหกิจคนไทยที่ต้องต่อกรอย่างยากลำบากกับบริษัทน้ำมัน ข้ามชาติ มียุคหนึ่งที่ถูกโรงกลั่นและบริษัทต่างชาติบีบเรื่องราคาขายปลีก แต่วันนี้ปตท.เป็นผู้ผูกขาดโรงกลั่นในประเทศ แม้ว่าจะมีข้ออ้างการถือหุ้นไม่ถึงครึ่งหรืออะไรก็ตามแต่ทว่าเนื้อแท้ต้องไป ดูจากผู้บริหารที่ส่งเข้าไปกำกับโรงกลั่นน้ำมันและดูจากนโยบายการแข่งขัน ระหว่างโรงกลั่นซึ่งไม่ได้แข่งกันเลยในทางปฏิบัติ
   
       หลังการแปรรูปปตท.อ้างว่าต้องทำกำไรสูงสุดเพื่อรับผิดชอบต่อผู้ถือหุ้น ซึ่งปรัชญาข้อนี้มันทะแม่งหากนำมาอธิบายภารกิจขององค์กรที่เรียกตัวเองว่ารัฐวิสาหกิจ
   
       ปรัชญาการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่ฝรั่งเข้าใจก็คือการแปลงองค์กรของรัฐ ซึ่งมีแนวโน้มจะผูกขาดตัดตอนให้เป็นเอกชนและอยู่ใต้กฎการแข่งขันเสรีที่เท่า เทียม กรอบคิดกระแสหลักของสำนักแปรรูปฯ ทุนนิยม-เสรีนิยมใหม่มองว่าการบริหารแบบรัฐกิจขาดประสิทธิภาพสู้บรรษัทเอกชน ไม่ได้
   
       แต่สำหรับกรณี บริษัท ปตท. จำกัด(มหาชน) กลับใช้ทฤษฎีใดเกี่ยว กับการแปรรูปฯมาอธิบายแทบไมได้เลย เพราะแปรรูปไปแล้วยังคงอำนาจและสิทธิประโยชน์ของรัฐวิสาหกิจเต็มตัว และยังได้เงื่อนไขหลุดพ้นจากสภาพกฎระเบียบหยุมหยิมแบบเดิมที่ร้อยรัดอยู่
   
       รายงานประจำปี 2552 ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) ประกาศไว้อย่างน่าตื่นเต้นว่า พันธกิจของเขามี 6 ด้านคือพันธกิจต่อประเทศ ต่อสังคมชุมชน ต่อผู้ถือหุ้น ต่อลูกค้า ต่อคู่ค้า และต่อพนักงาน
   
       ที่น่าสนใจคือต่อผู้ถือหุ้นที่ประกาศไว้อย่างชัดเจนว่า “จะดำเนินธุรกิจเชิงพาณิชย์สามารถสร้างกำไรเพื่อให้ผลตอบแทนที่ดีและมีความ เจริญเติบโตต่อเนื่องอย่างยั่งยืน”
   
       และได้ประกาศพันธกิจต่อลูกค้า ซึ่งส่วนใหญ่ก็คือคนไทยผู้บริโภคน้ำมันและก๊าซว่า “จะสร้างความพึงพอใจต่อลูกค้าโดยผ่านการนำเสนอผลิตภัณฑ์และบริการที่มี คุณภาพสูงในระดับมาตรฐานสากลด้วยราคาเป็นธรรม”
   
       ไม่มีข้อสงสัยใดเลย ในพันธกิจต่อผู้ถือหุ้นเพราะปตท.สามารถสร้างกำไรอย่างต่อเนื่องเป็นทบเท่า หลายร้อยเปอร์เซ็นต์นับจากปี 2545 เป็นต้นมาและก็ดูแลผุ้ถือหุ้นอย่างอิ่มหมีพีมัน
   
       เมื่อปี 2551 ปตท.มีรายได้จากการขายและบริการมากเป็นประวัติการณ์ 2,000,816 ล้านบาท ส่วนปี 2552 ลดลงมาเหลือ 1,586,174 ล้านบาทซึ่งก็มหาศาลอยู่ดี เอกสารฉบับเดียวกันในหน้า 90 ระบุว่า ปตท.มีนโยบายจ่ายเงินปันผลไม่ต่ำกว่าร้อยละ 25 ของกำไรสุทธิ
   
       ด้านพันธกิจต่อพนักงานบริษัท ปตท.ก็ปฏิบัติได้อย่างเต็มที่สามารถนับเป็นกิจการที่จ่ายค่าตอบแทนแก่ พนักงานติดอันดับท็อปของประเทศ
   
       ปี 2552 ปตท.ระบุว่ามีพนักงานจำนวน 3,405 คน (ไม่รวมพนักงานที่ไปปฏิบัติหน้าที่กับบริษัทในเครือ) งบการเงินเขียนไว้ว่าได้จ่ายค่าตอบแทนบุคลากรไม่รวมกรรมการผู้จัดการใหญ่และ ผู้บริหารระดับสูงเอาไว้ดังนี้
   
       เงินเดือน/โบนัส/ค่าสมทบกองทุนเลี้ยงชีพและอื่น5,684,386,009 บาท
   
       หารเฉลี่ยจำนวนพนักงาน 3,405 คนตกอยู่ที่ประมาณคนละ 1,722,369.75 บาท/ปี
   
       ส่วนผู้บริหารและกรรมการต่างจะ ยังไม่กล่าวถึงในตอนนี้เพราะเรื่องนี้ต้องแยกไปพิจารณาในกรอบของความ สัมพันธ์ระหว่างรัฐ การกำกับดูแล การรักษาผลประโยชน์รัฐและประชาชน กับ รัฐวิสาหกิจที่ถูกกำหนดให้เป็นบริษัทมหาชนในตลาดหลักทรัพย์ เนื่องจากมีข้าราชการตำแหน่งสูงไป นั่งกินเงินเดือนของบริษัทเหล่านี้ในนามของการส่งไปกำกับดูแล..แต่แท้จริง ไม่รู้ใครถูกกำกับและใครดูแลใครกันแน่ เชื่อหรือไม่บางคนซัดไปเกือบ 10 ล้าน/ปีไปนั่งกำกับโดยไม่ต้องสนใจเงินเดือนข้าราชการก็ยังไหว !
   
       เรื่องนี้จะแยกมาพูดต่อในปัญหาการครอบงำนโยบายพลังงานในโอกาสต่อไป เพราะที่สุดแล้วการตั้งคำถามในเรื่องปัญหาการพลังงานไทยก็หนีไม่พ้น ปตท.และกลุ่มขุนนางพลังงานที่กำกับนโยบาย โดยหลักการรัฐหรือข้าราชการควรจะกำกับเพื่อถ่วงดุล ตรวจสอบและกำหนดทิศทางเพื่อรักษาประโยชน์ชาติและประชาชน แต่ในทางปฏิบัติหลายเรื่องสะท้อนให้เห็นชัดเจนว่า ทั้งข้าราชการและปตท. กลายเป็นพวกเดียวกัน
   
       หมวกใบหนึ่งของปตท.คือเป็นรัฐวิสาหกิจภายใต้พรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ พ.ศ.2542 ก่อนหน้าจะแปรรูป พนักงานปตท.จะได้รับเครื่องราชอิสริยาภรณ์เป็นประจำเหมือนกับข้าราชการและ รัฐวิสาหกิจทั่วไป และเมื่อแปรรูปกลายเป็นบริษัทพนักงานก็ยังคงได้รับพระราชทานฯ เป็นประจำต่อเนื่องตามสิทธิ์เฉกเดียวกับข้าราชการที่ทำหน้าที่รับใช้ประเทศ ชาติ
   
       อำนาจหน้าที่ของความเป็นรัฐวิสาหกิจจึงเอื้อต่อการดำเนินกิจการคล่องตัว ได้รับการตอบสนองทางนโยบายต่างตั้งแต่เรื่องใหญ่ระดับ ผูกขาดท่อส่งก๊าซจนกลายเป็นผู้ผูกขาดตลาดก๊าซธรรมชาติครบวงจร แม้กระทั่งจะมีโครงวางท่อก๊าซปตท.ยังสามารถออกประกาศ ปตท.ได้ด้วยตัวเองลงตีพิมพ์ในราชกิจจานุเบกษาว่าจะวางแนวท่อก๊าซผ่านเขตใด บ้าง ได้เปรียบชาวบ้านตั้งแต่เรื่องใหญ่เรื่อยมาจนถึงเรื่องเล็กน้อยในแทบทุกเรื่อง
   
       ท่านเชื่อหรือไม่ว่าปั๊มน้ำมันปตท. ทุกแห่งในประเทศได้รับยกเว้นภาษีป้าย ในขณะที่ปั๊มอื่นต้อง จ่ายภาษีดังกล่าวนี้ให้กับท้องถิ่นอย่างเท่าเทียม โดยปตท.อ้างว่าตนเป็นรัฐวิสาหกิจ เรื่องดังกล่าวนี้ อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์เคยตั้งกระทู้ถามในสภาผู้แทนราษฎรให้รัฐบาลตอบ เขาตอบมาดังนี้ว่า...
   
       “เดิมการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ได้รับการยกเว้นการเสียภาษีป้ายตามมาตรา 8(7)ตามพรบ.ภาษีป้าย 2510 ต่อมาเมื่อปตท.แปลงสภาพเป็นบริษัทมหาชนตามพรบ.ทุนรัฐวิสาหกิจ และมีการตรา พรฎ.กำหนดอาจสิทธิและประโยชน์ของบริษัท ปตท.จำกัด(มหาชน) 2544 โดย ให้บมจ.ปตท. มีอำนาจได้รับยกเว้น มีสิทธิพิเศษหรือได้รับความคุ้มครองตามกฎหมาย...ดังนั้นสิทธิและหน้าที่ของ การปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยที่มีอยู่อย่างไรและไม่ว่าจะเกิดขึ้นตามกฎหมายใดก็จะโอนมาเป็นของ บมจ.ปตท”
   
       แปลไทยเป็นไทยง่ายว่า สิทธิประโยชน์เหนือชาวบ้านของรัฐวิสาหกิจ (ที่ถูกรังเกียจเดียดฉันท์ของลัทธิแข่งขันเสรี) ถูกผ่องถ่ายให้กับบริษัทมหาชนตามเดิม แม้กระทั่งสิทธิที่จะไม่เสียภาษีป้ายปั๊มน้ำมันก็ตาม
   
       อันที่จริงแล้วเอกชนรายย่อยเจ้าของกิจการปั๊มน้ำมันนั้นต่อให้สังกัด ปตท.เองก็ใช่ว่าจะได้เปรียบชาวบ้านเขาได้มากมายอะไรหรอกดังจะเห็นจากข่าว ปั๊มน้ำมันร้องโอดโอยปิดตัวเป็นแถวมาก่อนหน้า ถ้ายังจำกันได้ปั๊มน้ำมันรายย่อยเขาบอกว่าเขาได้ค่าการตลาดเฉลี่ยแค่ลิตรละ บาทเดียวซึ่งเขาอยู่ไม่ได้
   
       คำถามข้อแรก-กองทุนน้ำมันจากกระเป๋าคนไทยใช้อุ้มใคร ?
   
       อย่างที่ได้เรียนข้างต้นว่าการตั้งคำถามเรื่องปตท.จะต้องหมายรวมไป ถึงนโยบายรัฐและขุนนางพลังงานที่กำกับนโยบายเข้าไปด้วย เพราะทั้งสองส่วนมีความเกี่ยวข้องเชื่อมโยงอย่างแยกไม่ออก
   
       กรณีกองทุนน้ำมันฯ ซึ่งเป็นเงินที่ประชาชนผู้ใช้รถต้องควักจ่ายทันทีที่ไปเติมน้ำมันเป็น ตัวอย่างที่ชัดเจนว่า นโยบายการพลังงานไทยที่เป็นอยู่ปัจจุบันเอาเปรียบประชาชน ไม่เพียงเท่านั้นทั้งปตท.และขุนนางพลังงานยังใจดำขนาดที่เอาเงินประชาชนส่วน นี้ไปอุ้มบริษัทเอกชนและบริษัทย่อยของปตท. ให้ได้กำไรเพิ่มขึ้นอีก
   
       เฉพาะปมปัญหานี้เรื่องเดียวมันก็ซับซ้อนอยู่พอสมควรเพราะต้องเข้าใจภาพรวมของวงจรก๊าซธรรมชาติและตลาดก๊าซ LPG ของไทยเสียก่อน
   
       อธิบายแบบภาษาชาวบ้านให้ง่ายขึ้นเราสามารถเปรียบก๊าซธรรมชาติที่เรา ขุดเจาะได้เปรียบเสมือนต้นสักต้นใหญ่ ซึ่งแม้จะไม่แปรรูปก็สามารถนำมาใช้ประโยชน์ได้แต่มันไม่คุ้มกับการที่ตัดลง มา เราจึงต้องแปรรูปไม้สักส่วนที่ดีที่สุดคือลำต้นที่ตรง ส่วนที่เป็นเปลือก เป็นกิ่ง เป็นโคน เป็นรากก็แยกออกมาจนถึงก้านเล็กก็สามารถรวบรวมไปเป็นเชื้อเพลิงได้
   
       ก๊าซธรรมชาติก็เช่นกัน หากเราต้องการใช้ประโยชน์กับสิ่งที่เราเจาะขึ้นมาได้ให้คุ้มค่าสูงสุดก็ต้องแยกก๊าซออกมาเป็นกลุ่มต่างที่ มีคุณค่าและราคาต่างกันไปเช่น มีเทน อีเทน โพรเพน บิวเทน เรื่อยมาถึง L.P.G.หรือก๊าซปิโตรเลียมเหลว และเป็น ก๊าซโซลีนธรรมชาติ หรือ NGL (Natural Gas Liquid) ส่วนย่อยยังเป็นจารบี หรือน้ำมันหล่อลื่นได้อีกต่างหาก
   
       ก๊าซธรรมชาติที่เราขุดเจาะจากทะเลไทยทุกวันนี้เข้าโรงแยกก๊าซแค่เพียงครึ่งเดียว คิดจากเลขกลมเรา ขุดวันละ 3 พันล้านลบ.ฟ. เข้าโรงแยกได้เพียง 1.7 พันล้านลบ.ฟ. ที่เหลืออีก 1.3 พันล้านลบ.ฟ. (เปรียบเหมือนต้นสักทั้งต้น) ถูกส่งเข้าโรงงานผลิตไฟฟ้าโดยตรง
   
       ปัจจุบันปตท.มีโรงแยกก๊าซ 5 หน่วย กำลังก่อสร้างหน่วยที่ 6 ที่มาบตาพุดซึ่งติดปัญหาการคัดค้านจากประชาชนแต่แท้จริงแล้ว ปตท.เองก็เคยมีท่าทีไม่อยากสร้างหน่วยที่ 6 ให้ทันการณ์มาก่อนหน้าบังเอิญที่ติดปัญหาเรื่องนี้อีก - เรื่องปัญหาหน่วยที่ 6 ต้องแยกมามองในอีกประเด็นหนึ่งก็เลยกลายเป็นขนมผสมน้ำยาไป
   
       ตัดมิติอื่นไม่ ก่อนหากเรามองในเชิงความคุ้มค่าของเจ้าของประเทศเป็นหลัก ถือว่าก๊าซที่ไม่ได้แยกแล้วส่งเข้าเผาเลยนี่มันไม่คุ้ม เปรียบเสมือนไม้สักทั้งต้นเข้าไปเผาฟืนนั่นแหละ สมมติว่าหากเราสามารถน้ำก๊าซที่ขุดเจาะได้ 3 พันล้านลบ.ฟ.มาเข้าโรงแยกก๊าซได้ทั้งหมด มีการคำนวณยืนยันแล้วว่า ผลผลิตก๊าซ LPG จะเพียงพอกับความต้องการใช้ในประเทศอย่างแน่นอน
   
       แต่ปัจจุบัน LPG ที่เราแยกออกมานั้นยังไม่เพียงพอ เราก็เลยต้องนำเข้ามาจากต่างประเทศโดยปตท.นี่แหละนำเข้าหลัก ปัญหาของเรื่องนี้อยู่ที่ปัจจุบันเรามีการคุมราคาขาย LPG ในประเทศให้ถูกกว่าตลาดโลก
   
       ปตท.เองในฐานะผู้นำเข้าแพง ต้องมาขายราคาต่ำเพราะถูกคุมราคาอยู่คงไม่สบายใจนัก รัฐก็เลยใช้วิธีนำเงินกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่เก็บจากประชาชนทั้งหลายไปชด เชย
   
       ฟังดูเป็นธรรมดีใช่ไหมครับ !!!
   
       เพราะในเมื่อประชาชนอยากได้ก๊าซหุงต้มราคาถูกกว่าตลาดโลก ก็สมควรนำเงินประชาชนที่ถูกหักไปจากการเติมน้ำมันมาชดเชย
   
       แต่แท้จริงเรื่องนี้ไม่ได้เป็นไปตามหลักความเป็นธรรมอย่างที่เราท่านคิด
   
       หลักฐานแรกเพื่อพิสูจน์เรื่องนี้ - มาจากกระทู้ถามของอ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.ปชป.ลงวันที่ 16 มิถุนายน 2552 ขอให้รัฐบาลตอบคำถามเกี่ยวกับปตท.หลายประเด็น
   
       ประเด็นที่เกี่ยวกับเรื่องนี้ อ.สมเกียรติถามว่า “ตั้งแต่ปตท.แปรรูปเป็นบริษัทมหาชนได้ขายก๊าซปิโตรเลียมเหลว(LPG) ให้แก่ประเทศใดบ้าง เป็นปริมาณเท่าไหร่ และเป็นจำนวนเงินเท่าไหร่”
   
       นายวรรณรัตน์ ชาญนุกูล รมว.พลังงานได้ตอบคำถามนี้ลงในราชกิจจานุเบกษา ลงวันที่ 18 ธันวาคม 2552 ยอมรับโดยสรุปว่า ปตท.ได้ขาย LPG ให้กับประเทศต่างอย่างต่อเนื่องนับจากปี 2544 แรกมี สัดส่วนประมาณ 20% ของปริมาณการผลิตได้จากโรงแยกก๊าซในประเทศ แต่มาเมื่อปี 2550-2551 แม้จะมีการส่งขายไปต่างประเทศคือประเทศลาว กัมพูชา พม่า และมาเลเซีย แต่ก็เป็น LPG ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศไม่ได้ใช้ก๊าซจากโรงแยกก๊าซในประเทศเหมือนปีก่อน หน้า
   
       ขอขีดเส้นใต้คำชี้แจงอธิบายว่า LPG ที่ส่งขายต่างประเทศเมื่อปี 2551-2552 เป็น LPG ที่นำเข้า “เนื่องจากภาวะขาดแคลนในประเทศ” และมีบางส่วนเพื่อขายส่งออก โดยLPGที่นำเข้าและส่งออกนั้นปตท.ไม่ได้ค่าชดเชย
   
       ในคำอธิบายนั้นยังมีความคลุมเครืออยู่บ้างในบางประเด็นที่ปตท.ควรตอบ คำถาม อ.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ต่อ นั่นคือคำถามว่า..การนำเข้าโดยมีเป้าหมายเพื่อส่งออกนั้นแรกทีเดียวนำเข้ามา โดยอ้างการขาดแคลนในประเทศ การขนส่งมาในล็อตเดียวรวมกัน (เพื่อลดต้นทุนการค้า) และใช้ข้ออ้างนั้นส่งออกไปยังตลาดเดิมที่เป็นคู่ค้าเดิมก่อนปี 2551 หรือไม่ ?
   
       ลองมาดูตัวเลขที่คนไทยผู้ใช้น้ำมันควรรู้กันสักตัวหนึ่ง ประกอบการทำความเข้าใจเพิ่มเติม
    



       การเอาเปรียบจากกองทุนน้ำมัน
       *เงินกองทุนน้ำมันของประชาชนไปอุ้มบริษัทของใคร ?

   
       จากตารางมีวงกลมสำคัญ 3 จุดที่คนใช้น้ำมันน่าจะรู้ว่าเงินของเราที่ออกจากกระเป๋าในนามของการเติม น้ำมันรถหรือซื้อก๊าซหุงต้มในครัว
   
       วงกลมแรก คือภาษีน้ำมัน ตั้งแต่ 7 บาทลงมาถึง LPG 2 บาทกว่า - นี่เป็นเม็ดเงินบำรุงหลวงโดยตรง
   
       วงกลมสุดท้าย ก็คือค่าการตลาด ที่เก็บลิตรละ 5.7 บาทลงมาถึง 2 บาทกว่า เงินส่วนนี้ปั๊มรายย่อยบอกได้แค่บาทหรือบาทกว่า คำถามตัวโตไป ยังบริษัทน้ำมันว่าส่วนต่างค่าการตลาดที่เหลือหายไปไหน เพราะในเมื่อปั๊มไม่ได้ก็เท่าบริษัทน้ำมันรับเงินหักจากประชาชนตรงจุดนี้ เข้ากระเป๋าเพิ่มเข้าอีกในนามของค่าการตลาด
   
       ส่วนที่น่าสนใจและต้องอธิบายเพิ่มคือวงกลมที่สอง-ว่าด้วยกองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง
   
       วงกลมที่สอง ที่เขียนว่า Oil fund จะต้องว่ากันยาวเพราะมีการซิกแซกเอาเงินของประชาชนไปอุ้มนายทุนและโรงงาน รวมถึงบริษัทผูกขาดที่อ้างชื่อรัฐวิสาหกิจนั่นก็คือ “กองทุนน้ำมัน” เมื่อก่อนกองทุนนี้เอาไว้พยุงราคาเวลาน้ำมันโลกแพงก็เอากองทุนนี้มาอุ้ม ประคองคนในสังคม แต่เดี๋ยวนี้ได้เปลี่ยนเป็น “กองทุนน้ำมันเชื้อเพลิง” สถานะของกองทุนนี้ ณ เดือนสิงหาคม 2553 อยู่ที่ประมาณ 26,900 ล้านบาทซึ่งควักใช้ในกิจกรรมที่เหมือนจะช่วยให้การพลังงานไทยมั่นคง เช่นอุดหนุนราคาก๊าซNGV หรือเปลี่ยนเครื่องแท็กซี่ แต่ก็มีอีกชนิดหนึ่งที่ดูยังไงก็เหมือนกับควักกระเป๋าคนไทยไปช่วยปตท.และโรง งานเอกชน นั่นก็คือชดเชยค่าก๊าซ LPG ที่นำเข้าจากต่างประเทศ
   
       ล่าสุดเว็บไซต์ปตท.ก็เพิ่งประกาศว่าเพิ่งลงนามนำเข้า LPG ล็อตล่าสุดจาก Itochu Corporation หนึ่งในผู้นำเข้า LPG ของประเทศญี่ปุ่น โดย ปตท. ซื้อ LPG จากบริษัท Itochu จำนวน 3 เที่ยวเรือ เที่ยวเรือละ 44,000 ตัน ภายในเดือนกันยายน 2553
   
       การนำเงินกองทุนน้ำมันที่คนไทยควักกระเป๋าจ่ายเพื่อหนุนการนำเข้า LPG จากต่างประเทศ (ที่แพงกว่าราคาขายในประเทศ) ดูเผินเหมือนแฟร์ดี แต่ในรายละเอียดไม่ใช่ !
   
       นั่นเพราะว่าสัดส่วนผู้ใช้ LPG ในประเทศไทยเป็นครัวเรือนและยานยนต์น้อยกว่ากลุ่มอุตสาหกรรมปิโตรเคมีหลาย เท่าตัว (ดูตารางประกอบ) ดังนั้นเงินที่เราเอาไปหนุนช่วยการนำเข้าที่ล้วนมาจากกระเป๋าผู้ใช้น้ำมัน ต้องแบ่งไปช่วยกลุ่มปิโตรเคมีและโรงงานอุตสาหกรรมซึ่งไม่ได้ออกเงินในกองทุน น้ำมันแม้แต่น้อย
   
       พูดภาษาชาวบ้านก็คือการยักยอกเงินกองทุนของประชาชนไปอุ้มบริษัทเอกชน และปตท. โดยการสมคบทางนโยบายกับกลุ่มขุนนางพลังงานนั่นเอง !
   
    



       กรณีภาษีที่เก็บเป็นกองทุนน้ำมัน สามารถอธิบายให้กระชับขึ้นอีกครั้งได้ว่า
   
       1.เงินกองทุนนี้มาจากประชาชน ขุนนางพลังงานร่วมกับปตท.ได้ใช้หนุนการนำเข้า LPG ที่ราคาแพงกว่าขายประเทศ แต่ประโยชน์จากราคาก๊าซถูกกลับตกอยู่ที่โรงงานอุตสาหกรรมและปิโตรเคมีที่ไม่ ได้ควักกระเป๋าภาษีดังกล่าว
   
       2.แต่แท้จริงแล้วประเทศไทยสามารถผลิต LPG ได้มากพอหากมีโรงแยกก๊าซเพิ่ม เพราะที่ผ่านมาโรงแยกก๊าซปตท.(ผูกขาด) ทั้ง 5 โรงมีกำลังการผลิตประมาณ 1,770 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน ขณะที่ก๊าซธรรมชาติจากหลุมปัจจุบัน 3,146 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน แต่ปตท.ยื้อเรื่องการสร้างหน่วยที่ 6 เอาไว้ พร้อมกันนั้นก็ผลักภาระการเป็นรัฐวิสาหกิจที่เห็นใจคนไทยด้วยการนำเข้าจากต่างประเทศให้คนไทยควักกระเป๋าจากเงินกองทุน
   
       3.การยื้อสร้างโรงแยกก๊าซทำให้ปตท.ยังมีกำไรสูงสุด ส่วนความรับผิดชอบที่ก๊าซ LPGขาด ก็มีเงินประชาชนมาชดเชยนำเข้า ปตท. ไม่ต้องเสียประโยชน์อะไรมากมาย
   
       4.พร้อมกันนั้นกลุ่มปิโตรเคมีและอุตสาหกรรมก็ได้ประโยชน์จากการนำเข้าราคาถูก ซึ่งก็รวมถึงกลุ่มปตท.เองด้วย
   
       5.ประเด็นเรื่องโรงแยกก๊าซหน่วยที่ 6 ซึ่งปัจจุบันชะงักงันจากกรณีคำสั่งศาลปกครองที่มาบตาพุด มีกำลังการผลิต 800 ล้านลูกบาศก์ฟุต/วัน กับโครงการโรงแยกก๊าซอีเทน กำลังการผลิต 1 ล้านตัน/ปี เป็นข้ออ้างให้ปตท. ไม่ต้องควักกระเป๋าลงทุนเพื่อผลิตก๊าซที่ขายแล้วไม่ได้กำไร (แต่ประชาชนเดือดร้อนจากต้องควักกระเป๋าเงินชดเชยไปตรึงค่าก๊าซเอาไว้) เรื่องนี้สามารถถกเถียงกันได้ยาวว่าเป็นเหตุสุดวิสัยที่ไม่สามารถสร้างได้ ทันแต่แท้จริงแล้ว ปตท. ได้แสดงเจตนาที่ชัดเจนเรื่องการลงทุนสร้างโรงแยกก๊าซออกมาทางสื่อมวลชน นี่เป็นหลักฐานประกอบว่าปตท. ใช้เงื่อนไขลอยตัวก๊าซไปผูกกับการลงทุนเพื่อจะได้กำไรเต็มที่อย่างที่ตัว ต้องการจริง
    



       เพราะหาก ปตท.ยังคงมีจิตวิญญาณของรัฐวิสาหกิจที่ไม่ได้คิดกำไรเป็นสรณะ ผู้บริหารปตท.จะต้องไม่ออกมาให้สัมภาษณ์แบบนี้
   
       สิ่งที่ประชาชนคนไทยอยากได้ยินที่สุดคือคำให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร ระดับสูงในแวดวงพลังงานโดยมีกระบวนทัศน์ใหม่ที่มองประชาชนคนไทยเป็นศูนย์ กลาง
   
       ผมขอฝันใหม่เปลี่ยนคำสัมภาษณ์นายประเสริฐในข่าวว่า “ปตท.จะเร่งสร้างโรงแยกก๊าซหน่วย 6และ 7 โดยเร็วเพราะก๊าซธรรมชาติที่เป็นสมบัติของชาติส่วนที่เหลือไม่ถูกนำมาใช้ ประโยชน์เต็มที่ เสมือนกับเอาต้นสักทั้งต้นไปเผาเป็นฟืน ควรจะแยกสิ่งที่มีคุณค่าทางเศรษฐกิจออกมาเสียก่อน การสร้างดังกล่าวจะทำให้คนไทยไม่ขาดแคลน LPG และไม่ต้องนำเข้าจากต่างชาติแม้ว่าการลงทุนนั้นจะยังไม่คุ้มค่าเวลานี้แต่ เนื่องจากปตท.กำไรปีนึงเป็นแสนล้านสามารถถัวเฉลี่ยต้นทุนกำไรได้ ทั้งนี้เพื่อประโยชน์สูงสุดของชาติ”
   
       ผมในนามพลเมืองไทยคนหนึ่งขอฝันใหม่จะได้ไหมว่า...ผู้บริหารปตท.และ ขุนนางพลังงานออกมาประกาศว่า กองทุนน้ำมันที่เก็บไปจะใช้เพื่อประโยชน์ของผู้บริโภคจริงไม่ซิกแซ็กเบียดบังไปอุ้มธุรกิจเอกชน
   
       ผมขอฝันใหม่ได้ไหมว่า..ผู้บริหารปตท.ประกาศว่า ระหว่างนี้ที่ประเทศไทยยังผลิต LPG ไม่เพียงพอ..หากจะนำเข้า LPG แต่ละล็อต จะแยกบัญชีและการขนส่งนำเข้าเพื่อใช้ในประเทศตามที่ขาดแคลนจริง ไม่เยี่ยวปนฝนนำเข้าล็อตเดียวกันลดต้นทุนการขนส่งให้ต่ำสุดเพื่อค้ากำไรส่ง ขายต่างประเทศในนามของการนำเข้าเพื่อแก้ปัญหาให้ประชาชน
   
       ขอแค่แฟร์กับผู้บริโภคให้เท่าเทียมกับผู้ถือหุ้น..แค่นี้จะได้ไหมครับ !


คลิกที่ภาพเพื่อดูขนาดใหญ่ขึ้น
กระทู้ถามของนายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ ส.ส.สัดส่วน พรรคประชาธิปัตย์












ธุรกิจก๊าซธรรมชาติเป็นเสาหลักหนึ่งใน 4 เสาของปตท. และนับวันจะยิ่งกลายเป็นพระเอกเพราะปริมาณก๊าซที่พบเพิ่มและการขยายโครงข่าย ท่อที่เปรียบเสมือนไฮเวย์พลังงาน
    
       แม้นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บมจ.ปตท.จะเติบโตมาจากสายน้ำมันแต่ก็เคยนั่งดูแลสายงานก๊าซธรรมชาติมาช่วง หนึ่งก่อนจะขึ้นเบอร์หนึ่ง ปตท. ดังนั้นเงื่อนปมและการขยับตัวของกิจกรรมสายก๊าซธรรมชาติแต่ละครั้งเขาย่อม มองเห็นอย่างเข้าใจว่าขยับแบบไหนจึงจะได้กำไร
    
       ธุรกิจก๊าซธรรมชาติจะทำให้ปตท.ยิ่งใหญ่สุดในวงการพลังงานของประเทศ ไทยอย่างแท้จริงเมื่อโครงข่ายท่อครอบคลุมประเทศไทยและต่อเชื่อมกับเพื่อน บ้านแล้วเสร็จ
    
       สำหรับโลกพลังงานยุคปัจจุบันระบบขนส่งทางท่อกำลังจะกลายเป็นพระเอก มองย้อนหลังไปเมื่อทศวรรษที่แล้วมีเอกสารวิเคราะห์ของ U.S. Energy Information Administration เรื่อง Natural Gas Pipeline Network: Changing & Growing (1998) ทำนายว่าว่าการอุปโภคพลังงานก๊าซธรรมชาติจะเติบโตขึ้นอย่างมั่นคงชัดเจนและ คาดว่าจะถึง 32 trillion ลบ.ฟ. (เติมเลขศูนย์เอาเองนะครับ) ภายในปี 2020 และนี่จะเป็นยุคของระบบการขนส่งทางท่อ … หมายถึงว่า คนในวงการพลังงานโลกมองเรื่องระบบท่อและมองเห็นอนาคตของก๊าซธรรมชาติตั้งแต่ 12ปีก่อนซึ่งขณะนั้นประเทศไทยเพิ่งจะประสบปัญหาวิกฤตต้มยำกุ้งมาใหม่
    
       เพียงไม่กี่ปีผ่านไปความสำคัญของระบบท่อขนส่งพลังงานยิ่งฉายให้เห็น อย่างชัดเจนว่าระบบท่อขนส่งก๊าซและน้ำมันกลายเป็นความสำคัญทางด้านความมั่น คงและภูมิรัฐศาสตร์ในระดับนานาชาติ ความขัดแย้งในเอเชียกลางและยูเรเซีย ที่มีอัฟกานิสถานเป็นศูนย์กลางแท้จริงก็มาจากท่อน้ำมันนี่แหละ
    
       ท่อน้ำมันและก๊าซยุคใหม่สามารถปรับเปลี่ยนภารกิจเพื่อการขนส่ง พลังงานแต่ละประเภทได้ ล็อตนี้เป็นน้ำมันดิบ ล็อตต่อไปเป็นก๊าซธรรมชาติ เหมือนกับเป็นรางรถไฟที่พร้อมรับขบวนตู้สินค้าแต่ละชนิด มีภาพยนตร์เจมส์บอนด์007ตอนหนึ่งที่นำคนขนส่งผ่านท่อก๊าซหลบหนีจากรัสเซียมา ยังยุโรป
    
       ความยิ่งใหญ่ของระบบท่อพลังงานก็คือจะมีการเชื่อมโยงโครงข่ายท่อเข้า ด้วยกัน เช่นเดียวกับระบบสายส่งไฟฟ้า ระบบท่อในอนาคตจะเชื่อมทอดยาวข้ามทวีปและข้ามมหาสมุทรเช่นเดียวกับระบบท่อ ที่อลาสก้า และ ไซบีเรียดำเนินการอยู่ ผู้ผลิตรายใดส่งสินค้าเข้าไปเท่าใด ใครนำออกปลายทางเท่าไหร่ มีระบบตรวจเช็คระหว่างกันของผู้ส่ง-ผู้รับและ regulator ในส่วนของอาเซียนก็เริ่มมีการเชื่อมโยงกันเรียกว่า Trans-Asian Gas Pipeline ที่ปัจจุบันมีความยาวประมาณ 3 พันก.ม. และในทางปฏิบัติสามารถจะเชื่อมไปถึงประเทศจีนได้เพราะจีนกำลังวางท่อจากอ่าว เมาะตะมะประเทศพม่าเข้าไปยังมณฑลหยุนหนัน
    
       Trans-Asian Gas Pipeline เป็นเรื่องยิ่งใหญ่มาก ทำให้กิจการพลังงานมันไม่ได้เป็นแค่เรื่องของธุรกิจ แต่กลายเป็นประเด็นความมั่นคง และอิทธิพลระหว่างมหาอำนาจ ยิ่งมีโครงข่ายท่อก๊าซมากขึ้นจุดยุทธศาสตร์ของการเชื่อมต่อ เช่น แลนด์บริดจ์จะยิ่งกลายเป็นจุดที่มหาอำนาจให้ความสนใจ
    
       ประเทศไทยเราก็กำลังจะเริ่มเจอประเด็นปัญหาระดับโลกที่มาจากตำแหน่งท่อก๊าซ ตัวอย่างเล็กที่ ไม่ควรมองข้ามคือการอาละวาดฟาดงวงฟาดงาของกลุ่มดูไบเวิลด์และพวก จากข่าวที่รัฐบาลประชาธิปัตย์อาจจะระงับแผนแลนด์บริดจ์สตูล(ปากบารา)-สงขลา ที่ดูไบเวิลด์ออกเงินศึกษาไว้ให้เรียบร้อย เพราะหลังจากนายอภิสิทธิ์และคณะไปเยือนปักกิ่งกลับมา ข่าววงในว่าประชาธิปัตย์อาจจะทิ้งแนวที่ดูไบเวิลด์ร่างไว้ให้ แล้วไปให้น้ำหนักกับท่าเรือทวายและโครงข่ายเชื่อมตอนบนแทน
    
       ดูไบเวิลด์ แห่งสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์นั้นชื่อเป็นตะวันออกกลางก็จริงแต่สำหรับวงการ พลังงานรู้กันดีว่ากลุ่มทุนกลุ่มนี้คิด-พูด-ทำด้วยภาษาและวิธีการเดียวกับ ตะวันตก โดยเฉพาะกลุ่มทุนน้ำมันเท็กซัส วงการพลังงานเชื่อกันว่าดูไบเวิลด์--บุช -แฮรอดส์(อัลฟาเยต) เกาะเกี่ยวเชื่อมโยงกัน (ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นทักษิณก็คงเกี่ยวกับกลุ่มนี้ด้วย)
    
       ดูไบเวิลด์ร่างแผนจะวางท่อก๊าซผ่านทะเลอันดามันเชื่อมกับอ่าวไทย โดยเขาได้ขยับเข้ามาอย่างจริงจังตั้งแต่ยุครัฐบาลสมัคร สุนทรเวช
    
       นี่คือแผนการยึดหัวหาดยุทธศาสตร์ขนส่งพลังงานทางท่อในภูมิภาคก็ว่าได้ !!
    
        2540 !!?
    
       หน้าฉากของดูไบเวิลด์คือธุรกิจในเครือข่ายของชีคโมฮัมเหม็ด บิน ราชิด อัล มักตุม เจ้าผู้ครองรัฐดูไบซึ่งเราท่านก็ได้รู้กันแล้วว่าโครงการยักษ์ของเขาหลายตัว มีปัญหา แต่นั่นยังไม่เท่ากับประเด็นสายสัมพันธ์ และความสนใจของพวกเขา
    
       พวกเขาสนเรื่อง 1.สัมปทานขุดเจาะน้ำมันและก๊าซ 2.ท่อก๊าซแลนด์บริดจ์เชื่อมสองฝั่งทะเล 3.การบริหารท่าเรือซึ่งจะกุมระบบการขนส่งทางน้ำ
    
       ดูไบ เวิลด์ เข้ามาอย่างเป็นทางการเมื่อ 15 พฤศจิกายน 2550 ในสมัยนายสันติ พร้อมพัฒน์ เป็นรัฐมนตรีว่าการกระทรวงคมนาคมเขามีหนังสือเสนอให้ความช่วยเหลือแบบให้ เปล่าเพื่อศึกษาความเหมาะสมแนวทางการพัฒนาท่าเรือฝั่งทะเลอันดามันและสะพาน เศรษฐกิจเชื่อมโยงท่าเรือฝั่งอ่าวไทย โดยไม่มีข้อผูกพันใด
       ต่อจากขั้นตอนศึกษาดูไบเวิลด์มีข้อเสนอร่วมทุนกับรัฐบาลพัฒนาสะพาน เศรษฐกิจพร้อมท่าเรือน้ำลึกฝั่งอ่าวไทยและอันดามัน รวมถึงเครือข่ายเชื่อมโยงอื่นเช่น ถนน รถไฟ ท่อ เป็นต้น และจะให้รัฐบาลไทยถือหุ้นร้อยละ 50.1 โดยคิดจากมูลค่าที่ดินหรือมูลค่าภาษีที่จะลดหย่อนให้ตลอดอายุการใช้งาน
    
       ข้อเสนอของเขาง่ายมากคือรัฐลงทุนโดยไม่ต้องควักเงินแต่ ดูไบ เวิลด์ จะขอเป็นผู้บริหารท่าเรือและเขตปลอดภาษีระยะ 30 ปี และขยายต่อไปอีก 3 ครั้งรวม 120 ปี ต่อมากระทรวงคมนาคม ได้มอบหมายให้ สนข. ลงนามบันทึกความเข้าใจ (MOU) กับดูไบเวิลด์ เมื่อ 22 พฤษภาคม 2551
    
       ข้อมูลประกอบที่สำคัญก่อนหน้านั้นเล็กน้อยรัฐบาลได้ให้สัมปทานขุด เจาะก๊าซและน้ำมันให้กับ “Pearl Oil” ซึ่งแท้จริงแปลงร่างเปลี่ยนชื่อมาจากบริษัท “Harrods Energy” หลายแปลงทั้งบนบกและในทะเลจนกลุ่ม Pearl Oil ได้กลายเป็นยักษ์ใหญ่หนึ่งในสามของบริษัทขุดเจาะในบ้านเราไปเรียบร้อย
    
       นี่คือการเคลื่อนไหวของทุนตะวันออกกลางที่ใกล้ชิดทุนพลังงานอเมริกัน ที่สุดในบ้านของเรา และทั้งหมดดำเนินการในยุครัฐบาลที่ใกล้ชิดกับพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร
    
        . ?
    
       1. เพื่อจะตอกย้ำความสำคัญของกิจการพลังงานของประเทศไทยไม่ว่าจะโดยปริมาณและ จุดที่ตั้งทางภูมิรัฐศาสตร์รวมถึงความเป็นศูนย์กลางจนส่ง เพราะเมื่อมีการพยายามจะวิจารณ์ปตท.หรือนโยบายพลังงานขึ้นมาครั้งใดมักจะมี ผู้ออกมาสั่งสอนว่าประเทศไทยเป็นประเทศผู้นำเข้า มีขนาดเล็ก ปริมาณก็น้อยเมื่อเทียบกับยักษ์ใหญ่ (ก็ถูกของเขาพูดกี่ทีก็ถูกหากนำเราไปเทียบกับซาอุฯ) แล้วก็บอกต่อว่าปตท.ก็ต้องเดินตามรอยบริษัทน้ำมันอื่นทั้งเรื่องวิธีการ วิธีคิดและราคาเพื่อจะแข่งขันกับคู่แข่งให้ได้
    
       2. เพื่อชี้ว่าการพลังงานในยุคนี้แยกไม่ออกจากความมั่นคงของรัฐ ไม่สามารถจำกัดกรอบคิดว่ามันก็คือธุรกิจชนิดหนึ่งอีกต่อไป คำว่าการทำธุรกิจน้ำมันในตลาดแข่งขันเสรีจึงเป็นแค่คาถาสวยเอา ไว้อ้างเท่านั้นเพราะขนาดที่ยูโนแคลจะขายกิจการให้จีน สภาคองเกรสยังต้องเข้ามาแทรกแซงและให้เชฟรอนมาซื้อเอาไว้เลย ดังนั้นในเมื่อการพลังงานแยกไม่ออกจากมิติความมั่นคงของรัฐจึงต้องมีคำถาม ตัวโตว่า เมื่อปี 2544 นักการเมืองและขุนนางพลังงานวางแผนฮุบเอาระบบท่อซึ่งเป็นสมบัติสาธารณะและ เป็นสาธารณูปโภคพื้นฐานของประชาชนไปทำไม โชคดีที่มีคนไทยหัวใจรักชาติกลุ่มหนึ่งออกมาขัดขวางฟ้องร้องต่อศาลปกครองจน ศาลปกครองสูงสุดพิพากษาให้ปตท. และรัฐบาลแยกทรัพย์สินดังกล่าวออกมาให้เป็นของประชาชน
    
       ยึดท่อ-คือยึดอำนาจอุตสาหกรรมก๊าซธรรมชาติ
    
       การฮุบท่อก๊าซเป็นเรื่องที่ควรบันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์การ พลังงานไทย เรื่องนี้ดูเหมือนจบแต่แท้จริงยังไม่จบ เพราะตราบใดที่ประเทศไทยยังขุดเจาะก๊าซธรรมชาติได้ และต้องใช้ท่อลำเลียงเข้ามาในขั้นตอนต่างจน กระทั่งถึงมือผู้บริโภคตราบนั้นเรา-ประชาชนคนไทยก็ยังต้องมีชะตากรรมผูกพัน กับปัญหาท่อก๊าซอยู่ต่อไป เพราะแค่การคิดอัตราค่าผ่านท่อขึ้นมาโดยไม่มีเหตุผลที่ดีรองรับเพียงไม่กี่ สตางค์ นั่นย่อมหมายถึงต้นทุนพลังงานที่ส่งผลไปถึงประชาชนต่อไปเป็นลูกโซ่
    
       การหาประโยชน์จากท่อก๊าซขอแยกเป็น 2 ส่วนเพื่อความสะดวกในการทำความเข้าใจ
    
       ประเด็นแรก - การใช้อำนาจทางการเมืองแยกท่อก๊าซและอำนาจมหาชนไปอยู่ในมือบริษัทที่ตนและ พวกกุมนโยบายได้ นั่นเหมือนกับการได้ยึดครองหัวใจการพลังงานยุคใหม่ในทศวรรษหน้า
    
       ประเด็นที่สอง - การใช้กลเม็ดทางบัญชี หาประโยชน์จากท่อก๊าซ และการเอาเปรียบประชาชนผู้เป็นเจ้าของท่อตัวจริง เรื่องนี้เป็นการใช้เทคนิคทางบัญชีของการเอารัดเอาเปรียบประชาชนที่ชัดเจน ที่สุดอีกตัวอย่างหนึ่ง เปรียบการเล่นกลท่อก๊าซว่าตอน สมมติท่อก๊าซเป็นบ้าน...ตอนปี 2544 ปตท.ซื้อบ้านจากประชาชนไปเขาตีราคาให้ถูกเข้าไว้ แต่เมื่อได้ไปแล้วก็เล่นกลประเมินราคาใหม่เพิ่มอีกเท่าตัว แล้วก็เก็บค่าเช่าบ้านหลังเดียวกันนั้นจากประชาชนแพง
    
       สำหรับประเด็นข้อโต้แย้งว่า เวลานี้ปตท.ได้โอนทรัพย์สินตามคำสั่งศาลครบถ้วนหรือยังนั้น ในที่นี้จะไม่ยังขอลงรายละเอียดเพราะเป็นข้อมูลซับซ้อนน่าจะแยกออกมานำเสนอ อีกตอนหนึ่ง ท่านที่สนใจขอให้ไปดูข้อมูลจากอนุกรรมาธิการคุ้มครองผู้บริโภค วุฒิสภาที่ศึกษาเรื่องนี้โดยตรง
    
       1.นักการเมืองร่วมกับขุนนางพลังงานยึดอำนาจมหาชนของรัฐ
    
       คำว่า “อำนาจมหาชนของรัฐ” ที่กล่าวในที่นี้เป็นความสำคัญที่ปรากฏอยู่ในคำพิพากษาศาลปกครอง ซึ่งเป็นเรื่องละเอียดอ่อนที่คนไทยเจ้าของประเทศควรจะรับรู้ว่า...ครั้ง หนึ่งเมื่อไม่นานมานี้ นักการเมืองและขุนนางพลังงานกลุ่มหนึ่งร่วมกันออกนโยบายที่มิชอบออกแบบให้ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) กลายเป็นผู้ใช้อำนาจมหาชนของรัฐเหนือกิจกรรมที่เป็นหัวใจหลักการพลังงานของ ชาติ
    
       คำว่าอำนาจมหาชนของรัฐ ก็คือ อำนาจเวนคืนที่ดิน อำนาจประกาศเขตขนส่งปิโตรเลียมทางท่อ อำนาจในการรอนสิทธิ์เหนือที่ดินเอกชนคนสามัญ เพื่อดำเนินกิจกรรมของบริษัทมหาชน
    
       อำนาจพิเศษนี้สุ่มเสี่ยงและอันตรายมากหากไม่มีระบบกำกับถ่วงดุลที่ดี เพราะหากนักการเมืองเข้าไปมีอำนาจบริหาร และสามารถครอบงำข้าราชการที่เป็นขุนนางพลังงานซึ่งกำกับนโยบายพลังงาน จะสามารถเนรมิตกิจกรรมที่ตนต้องการส่วนแบ่งผลประโยชน์ได้อย่างง่ายดาย
    
       กิจการพลังงาน ไม่ใช่กิจการบริการสาธารณะหรือส่งเสริมเศรษฐกิจเพียงมิติใดมิติหนึ่ง หากแต่มันเต็มเปี่ยมไปด้วยมิติของความมั่นคงแห่งรัฐ และผลประโยชน์ชาติอยู่ภายใน การออกแบบให้แปลงทรัพย์สินของการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทยเป็นหุ้นของกระทรวง การคลัง 100% ก่อนแล้วค่อนกระจายให้เอกชน โดยฮุบเอากิจการที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชนของรัฐไม่ว่าจากการเวนคืน และสาธารณูปโภคพื้นฐานที่สมควรเป็นส่วนกลางไม่ตกเป็นของบริษัทมหาชนหนึ่งใด ก็คือการฉ้อฉลในทางนโยบาย
    
       ระหว่างปี 2544-2549 รวมเวลา 6 ปีเต็มที่ปตท.ฮุบเอากิจการที่เป็นสาธารณูปโภคที่ได้มาจากการใช้อำนาจมหาชน ของรัฐไปเป็นของตัวและหาประโยชน์
    
       จนกระทั่งมีเสียงเรียกร้องคัดค้านจากประชาชนต่อความแปรรูปที่ไม่ชอบธรรมดังกล่าวดังขึ้นเรื่อยโดย เฉพาะจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยที่ออกมาชุมนุมขับไล่พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรรอบแรก (2548-2549) และมีการยื่นฟ้องร้องต่อศาลปกครองเมื่อเดือนสิงหาคม 2549 โดยกลุ่มของนางรสนา โตสิตระกูลและมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภค จึงเกิดการเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีขึ้น 2 เหตุการณ์
    
       1.คำพิพากษาศาลปกครองบ่งบอกชัดเจนว่า ปตท.ต้องส่งคืนทรัพย์สิน ท่อก๊าซดังกล่าวกลับมาเป็นของรัฐตามเดิม
    
       2.หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 รัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ตราพรบ.การประกอบกิจการพลังงาน 2550 เพื่อตั้งคณะกรรมการกำกับกิจการพลังงานขึ้นมาควบคุมการใช้อำนาจมหาชนของของ รัฐ ดึงอำนาจมหาชนของรัฐที่รัฐวิสาหกิจแบบ ปตท.เคยได้ไปมาไว้ที่คณะกรรมการชุดนี้
    
       อย่างไรก็ตามที่เป็นแค่ความคืบหน้าที่ดูเหมือนดี อย่างน้อยก็ดีกว่าช่วง 2544-2549 แต่ที่สุดแล้วกลไกกดดันทางสังคม และกลไกทางกฎหมายที่มีขึ้นเพื่อแก้ปัญหานักการเมืองร่วมกับขุนนางพลังงานหา ประโยชน์ยังเป็นแค่การทัดทาน เหนี่ยวรั้งได้บ้างไม่ได้บ้าง เพราะหลังจากนั้นไม่นาน ปตท.ร่วมกับขุนนางพลังงานก็ยังสามารถขึ้นราคาบริการค่าผ่านท่อก๊าซผลักภาระ การลงทุนให้ประชาชนอยู่ต่อไป
    
       2.กลเม็ดทางบัญชีสูบประโยชน์ประชาชน
    
       นักการเมืองและขุนนางพลังงานที่วางแผนแปรรูป ปตท.โดยฮุบเอาท่อก๊าซ 1.1 พันกิโลเมตรซึ่งมาจากภาษีคนไทย (บางคนอ้างว่าเป็นเงินกู้ตปท.มันก็รัฐบาลค้ำประกันและเอารายได้มาจากคน ไทยอยู่ดี) ไปเป็นทรัพย์สินบริษัทเอกชนไม่ว่าจะเป็นใครกี่คน...ทุกคนนั้นใจร้ายใจดำมาก ที่คิดวางแผนนี้ขึ้น
    
       ใจร้ายทุกขั้นตอนตั้งแต่ขั้นตอนตีราคา และใจดำอีกทบเท่าที่ขึ้นราคาค่าผ่านเพื่อเอากำไรไปลงทุนใหม่
    
       คนที่รู้เรื่องความใจดำอำมหิตของนักการเมืองและขุนนางพลังงานดีที่ สุดกลุ่มหนึ่งของประเทศคือ กลุ่มของคุณรสนา โตสิตระกูล ที่ออกหน้ารบกับปตท.มาก่อนใคร เป็นผู้เคลื่อนไหวฟ้องศาลปกครองเพื่อมีมติสั่งให้ปตท.คืนท่อก๊าซกลับมาเป็น ของรัฐ จนกระทั่งคุณรสนาดำรงตำแหน่งสมาชิกวุฒิสภา ก็ยังศึกษาเพื่อเกาะติดเรื่องนี้ในคณะกรรมาธิการศึกษา ตรวจสอบการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล โดยคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลได้ศึกษาปัญหาดังกล่าวอย่างเป็น ระบบ
    
       เริ่มต้นที่เมื่อปี 2544 “คณะกรรมการเตรียมแปรรูป ปตท. ที่ตั้งโดยนายวิเศษ จูภิบาล ตีราคาท่อก๊าซธรรมชาติทั้งในทะเลและบนบกที่มีอยู่เดิมก่อนปี 2544 ไว้ที่ 46,189.22 ล้านบาทปรากฏในหนังสือชี้ชวนการเสนอขายหลักทรัพย์ โดยคาดว่ามีอายุการใช้งาน 25ปี”
    
       ขออธิบายความเป็นภาษาชาวบ้านถึงการประเมินราคาครั้งนี้ว่าหมกเม็ด อย่างชัดเจนเพราะวิศวกรรมการติดตั้งท่อก๊าซทั่วโลกเขาไม่ประเมินอายุการใช้ งานต่ำสุดแค่ 25 ปีหรอก โดยเฉลี่ยต้อง 50 ปีขึ้นคนที่เขาคลุกคลีในวงการบอกว่าเผลอเหยียบ100 ปีด้วยซ้ำไปเพราะมันมีระบบมาตรฐานการบำรุงรักษาเป็นมาตรฐานโลก
    
        ?
    
       ท่อก๊าซซึ่งเป็นหัวใจหลักของธุรกิจก๊าซธรรมชาติประเทศไทยอย่างแท้ จริง เพราะไม่ว่าบริษัทขุดเจาะรายใดผลิตมาได้ก็ต้องขนส่งผ่านท่อชุดเดียวนี้ ต้องจ่ายค่าผ่านท่อให้ปตท. แล้วปตท.ก็เป็นเจ้าของโรงแยกก๊าซทุกโรงที่มีอยู่ในประเทศ ยิ่งประเทศไทยพบแหล่งก๊าซใหม่ที่แหล่งอาทิตย์หรือแหล่งอื่นใด จะต้องใช้ท่อชุดเดียวกันนี้ขนส่งเข้ามาบนบกเพื่อแยกขายต่อไปยังโรงไฟฟ้าหรือ โรงแยกต่อไป
    
       ปตท.กำไรอื้อจากการเล่นกลทางบัญชีครั้งนี้
    
       ยกตัวอย่างให้ชัดขึ้นเหมือนปตท.ซื้อท่อก๊าซจากประชาชนไป 4.6 หมื่นล้านบาทเมื่อปี 2544
    
       นับจากปี 2544-2550 ได้ค่าผ่านทางท่อก๊าซจากผู้ขุดเจาะต่างเฉลี่ยปีละ 2 หมื่นล้านบาท !!
    
        ?
    
       จนกระทั่งคุณรสนาและคณะมูลนิธิคุ้มครองผู้บริโภคยื่นฟ้องศาลปกครอง เมื่อ 31 สิงหาคม 2549 และศาลท่านตัดสินเมื่อ 14 ธันวาคม 2550 ดังที่ทราบว่าศาลท่านยกฟ้องกรณีให้ปตท.กลับมาเป็นรัฐวิสาหกิจดังเดิมแต่สั่ง ให้แยกท่อก๊าซและทรัพย์สินของรัฐออกมา
    
       ไม่ต้องสงสัยเลยว่าในระหว่างที่ต่อสู้กันในศาล ปตท.พยายามจะสู้ว่าถูกต้องแล้วที่ท่อก๊าซเข้ามาเป็นทรัพย์สินของบริษัทมหาชน หาใช่ทรัพย์สินของสาธารณะส่วนรวมไม่
    
       การทำมาหากินเรื่องท่อก๊าซเกิดขึ้นอย่างน่าเกลียดในระหว่างที่มีการ ฟ้องร้องพิจารณาในศาลปกครอง โดยระหว่างนั้นปตท.ได้จ้างบริษัทต่างประเทศ 2 บริษัทมาประเมินราคาและขยายอายุการใช้งานใหม่
    
       ตามคาด-ผลออกมาว่าอายุของท่อก๊าซขยายได้ถึง 50 ปี และมีมูลค่าทางเศรษฐศาสตร์ระหว่าง 105,000-120,000 ล้านบาท (จากเดิม 25ปี/4.6หมื่นล้านบ.)
    
       ประหลาดเกินกว่าจะประหลาด !! พอประเมินใหม่อายุท่อก๊าซกับมูลค่าท่อเพิ่มอีกเท่าตัวจากที่ซื้อมาจาก ประชาชน เอาสามัญสำนึกมาว่ากัน เหตุใดราคาและอายุครั้งแรกที่ซื้อจากประชาชน กับครั้งสองที่ต้องการทำกำไรทำไมมันห่างกันเป็นเท่าตัวแบบน่าเกลียด ผลจากการนี้ปตท.มีทรัพย์สินเพิ่มขึ้นในทางบัญชีอีกก้อนใหญ่เพื่อโชว์ให้ผู้ ถือหุ้นเห็นว่าบริษัทเติบโตพรวด
    
       เหตุการณ์ที่เกิดในระหว่างนั้นอีกเหตุการณ์คือ ปตท.ได้ปรับปรุงเพิ่มเติมแผนขยายโครงข่ายท่อก๊าซฉบับ 3 (2544-54) ซึ่งจะคลุมไปถึงภาคกลาง-อีสานบางส่วน ซึ่งพอจะเข้าใจได้ว่า ท่อก๊าซคือหัวใจในอนาคตไม่ว่าใครมากุม ปตท.ก็ต้องคิดขยายโครงข่ายออกไป มูลค่าของแผนการนี้เป็นเงินลงทุนรวม 165,077 ล้านบาท แผนปรับปรุงเพิ่มเติมดังกล่าวได้รับอนุมัติเมื่อปี 2550 ซึ่งเป็นช่วงที่ปตท.กำลังเติบโตพรวดรายได้เฉียด 2 แสนล้านบาทแล้วในขณะนั้น
    
       การลงทุนเพิ่มดังกล่าวจึงเป็นข้ออ้างที่ดีของการขึ้นราคาค่าผ่านท่อ !
    
       ที่จริงแล้วเงินลงทุน 1.6 แสนล้านบาทไม่ได้เป็นเรื่องยากเลยสำหรับบริษัทแข็งแกร่งอย่างปตท. หากจะหาเงินจากทางอื่นมา ลงทุนขยายกิจการ แต่ปรากฏว่าในห้วงเวลาเดียวกันก็มีการพยายามจะขึ้นราคาค่าบริการส่งก๊าซ ธรรมชาติ (ภาษาชาวบ้านคือค่าผ่านท่อนั่นแหละ)
    
       จึงมีการเสนอหลักเกณฑ์และข้อกำหนดในการคำนวณอัตราค่าบริการส่งก๊าซ ธรรมชาติฉบับใหม่ให้คณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) อนุมัติ นำไปสู่สำนักนโยบายและแผนพลังงาน (สนพ.) จัดทำคู่มือการคำนวณราคาก๊าซธรรมชาติและค่าบริการส่งก๊าซธรรมชาติ ฉบับใหม่อนุมัติรวดเดียวนำมาบังคับใช้เมื่อ 1 มกราคม 2551
    
       หมายความว่า ปตท. ได้ไฟเขียวจากขบวนการขุนนางพลังงานให้เก็บค่าผ่านท่อ ซึ่งตัวเองได้กำไรอยู่เห็นเพิ่มขึ้นอีก คำนวณแล้วส่วนที่ได้กำไรทันที 2 พันล้านบาท (เดิมได้ 2 หมื่นล้าน ของใหม่ได้ 2.2 หมื่นล้าน/ปี)
    
       แล้วรายได้ที่ได้มาทั้งหลาย ปตท.ก็เอาไปขยายกิจการท่อก๊าซเฟสต่อไปซึ่งจะไม่ได้เป็นของประชาชนเหมือนท่อก๊าซชุดแรกที่ศาลสั่ง
    
       ปตท.ทำแบบนี้ก็คือ ปตท.ได้เงินและกำไรเพิ่ม แต่ขณะเดียวกันก็ผลักภาระต้นทุนพลังงานให้กับประชาชนในทันที ก๊าซที่ส่งไปยังโรงงานผลิตไฟฟ้าของกฟผ.มีต้นทุนค่าผ่านท่อเพิ่มขึ้น กฟผ.ก็คิดกลับมาในรูปค่าไฟฟ้า, บริษัทที่ขุดเจาะรายอื่นเสียค่าขนส่งเพิ่ม ก็ต้องบวกต่อให้กับผู้บริโภคในปลายทาง ฯลฯ
    
       เฉพาะเรื่องนี้ก็ใจดำจนแทบไม่สามารถบรรยายได้ !
    
       ปัญหาเรื่องท่อก๊าซเหมือนจะมีผลสรุป แต่แท้จริงยังไม่ใช่ผลสรุปที่ดีสำหรับประชาชนนัก
    
       เพราะต่อมาแม้ศาลท่านมีคำสั่งฯ ให้แยกทรัพย์สินออกมาเป็นของรัฐ และปตท.ก็ต้องแยกบัญชีท่อก๊าซที่ดินปลูกสร้างต่างออก มาในทางบัญชี แต่ก็ได้สิทธิการใช้ทรัพย์สินดังกล่าวเพราะความเป็นรัฐวิสาหกิจตามพรบ.ทุน รัฐวิสาหกิจ 2542 (อ่านรายละเอียดคำอธิบายการแบ่งทรัพย์สินจากกระทู้ถามตอบ ส.ส.สมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์)
    
       เพราะจนบัดนี้ต้นทุนการขนส่งทางท่อที่ปตท. กุมเอาไว้แต่เพียงผู้เดียวยังเป็นต้นทุนที่อ้างอิงเหตุผลว่าปตท.ต้องการราย ได้เพิ่มไปขยายการลงทุน ต้นทุนค่าผ่านท่อควรจะเป็นต้นทุนต่ำสุดโดยคำนึงถึงประชาชนเป็นสำคัญ
    
       เรื่องท่อก๊าซปตท. เหมือนจบแต่ที่สุดยังไม่จบหรอกจนกระทั่งเราจะได้พิสูจน์กันแท้จริงว่าต้นทุน ที่เหมาะสมโดยคำนึงถึงประชาชนเจ้าของประเทศอยู่ที่เท่าใดกันแน่
    
        ?
     


       . ?
    
       เพราะตอนตีราคาซื้อจากประชาชน 46,189.22 ล้านบาท แต่วันดีคืนดีก็จ้างฝรั่งมาประเมินใหม่มีมูลค่าเป็นแสนล้าน มีอายุใช้งานเพิ่มขึ้นเท่าตัว แต่พอจะต้องส่งคืนให้กลับมาให้รัฐมูลค่าดังกล่าวก็หล่นฮวบลงมาติดดิน
    
        . ?
    
       ขอให้ดูข่าวเก่าข่าวนี้ผู้บริหาร ปตท. กล่าวกับผู้สื่อข่าวว่ามูลค่าโครงข่ายท่อก๊าซนั้นเป็นแสนล้าน...แต่เหตุไฉน เมื่อส่งคืนรัฐตามคำสั่งศาลจึงมีมูลค่าไม่ตรงกับที่เคยกล่าวกับสื่อ
    
     
“ประเสริฐ” ยัวะโบรกฯ ประเมินหุ้น ปตท.เหลือแค่ 300 บาท ซัดท่อก๊าซไม่ใช่ท่อประปา

เรียบเรียงจาก : ผู้จัดการออนไลน์
ประจำวันที่ : 17 ธ.ค. 50

ผู้ บริหาร ปตท.ฉุนบทวิเคราะห์ประเมินหุ้น PTT หั่นราคาลงเหลือแค่ 300 บาท หลังการโอนสินทรัพย์และท่อก๊าซคืนให้แผ่นดิน ชี้ ราคาที่หายไป 70-80 บาท คงประเมินว่าท่อก๊าซเป็นท่อประปา ระบุ มูลค่าทางบัญชีสูงถึง 1 แสนล้าน คิดเป็น 10% ของสินทรัพย์รวม




นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์

วันนี้ (17 ธ.ค.) นายประเสริฐ บุญสัมพันธ์ กรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท ปตท.จำกัด (มหาชน) หรือ PTT ออกมาเปิดเผยกับสื่อมวลชน หลังฝ่ายบริษัทหลักทรัพย์หลายแห่ง ได้ออกบทวิเคราะห์ประเมินราคาหุ้นของ PTT เหลือเพียง 300 บาท หลังมีการโอนสินทรัพย์ที่ดิน ท่อก๊าซ และท่อน้ำมัน กลับคืนให้เป็นสมบัติของชาติ

นายประเสริฐ ชี้แจงว่า ปัจจุบัน โครงข่ายท่อก๊าซและที่ดินของ ปตท.ตามมูลค่าตามบัญชีอยู่ที่ 100,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 10% ของมูลค่าสินทรัพย์ของ ปตท.ที่มีอยู่ประมาณ 8-9 แสนล้านบาท โดยเบื้องต้นยังไม่ได้พิจารณาว่าจะโอนท่อส่วนไหนให้กระทรวงการคลังบ้าง ซึ่งในมูลค่าดังกล่าวมีท่อบางส่วน ซึ่งเป็นท่อทางทะเลที่ไม่ต้องรอนสิทธิ

ส่วน กรณีที่มีนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ภายหลังจาก ปตท.โอนท่อก๊าซให้คลังจะทำให้มูลค่าหุ้นลดลง 70-80 บาท โดยมูลค่าหุ้นที่นักวิเคราะห์ตีมูลค่าว่าจะหายไป 70-80 บาทนั้น เขาคงตีความว่า จะเอาท่อก๊าซของ ปตท.ไปเป็นท่อประปา คือ ปตท.เลิกธุรกิจท่อก๊าซไปแล้ว แต่จริงไม่ ใช่ ปตท.ยังทำธุรกิจท่อก๊าซต่อได้ เอาก๊าซมาส่งตามปกติ เพียงแต่มีภาระจ่ายค่าตอบแทนให้กับกระทรวงการคลังเท่านั้น นายประเสริฐ กล่าว

    
       หมายเหตุ- ท่านที่สนใจรายละเอียดเพิ่มเติมเรื่องท่อก๊าซสามารถดาวน์โหลดข้อมูลเรื่อง มูลค่าท่อก๊าซและปมปัญหาการคืนให้รัฐ ของอนุ กมธ.ธรรมาภิบาล วุฒิสภาได้ที่ www.gasthai.com/pdf/gas300909.pdf


เมื่อทศวรรษกว่าก่อนระหว่างที่กระแส “แปรรูปรัฐวิสาหกิจ” ไหลเข้ามาแรงพอ ๆ กับ “การเปิดเสรีการค้า” หากมีคนตั้งคำถาม หรือคัดค้านการเปิดเสรี หรือค้านการแปรรูปอาจจะถูกหาว่าเป็นพวกไม่ทันโลก ไม่ทันโลกาภิวัตน์ เป็นพวกตกยุค
     
       พนักงานรัฐวิสาหกิจที่ต่อต้านจะถูกมองอย่างง่ายดายว่าเห็นแก่ ประโยชน์ตัวเอง ไม่ยอมปรับตัว ไม่ยอมปรับปรุงตัวเองให้มีประสิทธิภาพ
     
       นั่นเพราะว่ากระแสหลักของโลกในระยะ 2 ทศวรรษว่านี้ยืนอยู่บนกรอบแนวคิดที่เรียกว่าฉันทามติวอชิงตัน (Washington Consensus) และปรัชญาเศรษฐศาสตร์ทุนเสรีนิยมใหม่ (Neo-Liberalism) ซึ่งเป็นหัวใจความคิดของการจัดระเบียบโลกใหม่ที่เริ่มเมื่อปลายทศวรรษ 70 ทั้งยังเป็นจุดเริ่มขององค์กรการค้าโลก และการเปิดการค้าทวิภาคีแบบ FTA ที่ประเทศไทยกำลังเดินหน้าทำอยู่
     
       ถ้ายังจำได้ลมหายใจของคนยุคนั้นจะหนีไม่พ้นจากคำว่า โลกาภิวัตน์ ค้าเสรี แปรรูปรัฐวิสาหกิจ ฯลฯ
     
       การแปรรูป ปตท. เมื่อปี 2544 เป็นผลพวงมาจากกรอบแนวคิดดังกล่าว แต่ที่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือรัฐบาลทักษิณอ้างอิงปรัชญาเศรษฐศาสตร์ว่าด้วยการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจและตลาดเสรีมาครอบงำ ปตท. ทั้ง ๆ ที่โดยที่เนื้อแท้แล้วการแปรรูปครั้งนี้ไม่ได้อยู่บนรากปรัชญาทาง เศรษฐศาสตร์ตัวใดเลยแม้แต่น้อย
     
       อ้างเสรีก็ไม่จริง - เพราะปตท.ใช้อำนาจมหาชนของรัฐ และใช้สิทธิพิเศษของรัฐวิสาหกิจเช่นเดิม
     
       อ้างว่าแปรรูปเอาเข้าตลาดหลักทรัพย์เพื่อระดมทุนแทนที่รัฐต้องควักก็ ไม่จริง - เพราะมีการพิสูจน์แล้วว่าเงินที่ได้มาเป็นส่วนน้อย เงินที่เสียไปให้คนนอกกลับเป็นก้อนใหญ่
     
       เรามาดูตัวเลขผลพวงของการแปรรูปแบบทักษิณกัน…คุณรสนา โตสิตระกูล ประธานคณะกรรมาธิการศึกษาตรวจสอบเรื่องการทุจริตและเสริมสร้างธรรมาภิบาล วุฒิสภา ศึกษาพบว่า การแปรรูปทำให้ ปตท.ได้เงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแค่ 28,083 ล้านบาท (ปี 2544 จำนวน 24,250 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 1,405 ล้านบาท และปี 2550 จำนวน 2,427 ล้านบาท) แต่ผู้ถือหุ้นใหม่เหล่านี้ได้รับส่วนแบ่งกำไรระหว่างปี 2544 - 2550 มากถึง 216,384 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสูงถึง 771% (ข่าวเอเอสทีวีผู้จัดการรายวัน15ก.ย.2552)
     
       ขออ้างเรื่องการแปรรูปเอาเข้าตลาดเพื่อระดมทุนจึงถูกกำไร 771% ที่แบ่งให้กับผู้ถือหุ้นเอกชนหักกลบลบหายไปสิ้น เหลือแต่เพียงคำถามตัวโต ๆ ว่าแปรรูปไปเพื่ออะไรกันแน่ !!!?
     
       จนกระทั่งบัดนี้คนปตท.หลายคนก็ยังคงท่องคาถาเดิม ๆ ว่าแปรรูปเพื่อเอาเงินลงทุนมาขยายกิจการ ไม่ต้องพึ่งพา ไม่ต้องให้ประชาชนแบกรับแต่ตัวเลขส่วนแบ่งผลประโยชน์ที่ปรากฏออกมามันแสดง ให้เห็นชัดเจนว่า ได้น่ะมีส่วนที่ได้ แต่ได้กลับไม่คุ้มเสีย ! ใครจะรับผิดชอบ
     
       คนที่ตั้งคำถามต่อแนวคิดการแปรรูปในยุคก่อนหน้ามีไม่น้อย แต่เสียงไม่ดัง เพราะกระแสโลกในห้วงเวลานั้นแรงกว่า
     
       นักเศรษฐศาสตร์ที่อยู่ตรงกันข้ามกับ Neo-Liberalism และฉันทามติวอชิงตันอย่าง ศ.พอล ครุกแมน หรือ ศ.โจเซฟ สติกลิทซ์ ที่เราคุ้นชื่อกันดีในยุคนี้พูดเท่าไหร่ต่อเท่าไหร่ถึงผลลบของการเปิดเสรี และการแปรรูปก็ไม่มีใครฟังเท่าที่ควร จนกระทั่งล่าสุดที่โลกเริ่มเปลี่ยนไป
     
       ช่วงวิกฤตเศรษฐกิจโลกที่เพิ่งผ่านไปก็มีผู้ออกมาชี้ว่าเจ้าระเบียบโลกใหม่-ฉันทามติวอชิงตันก็คือต้นตอของวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้
     
       กลายเป็นว่าวันนี้โลกเงี่ยหูฟังแนวคิดของครุกแมน สติกลิทซ์ มากขึ้นๆ ซึ่งแน่นอนว่ามันมีผลกระทบโดยตรงกับแนวคิดกระแสหลักดั้งเดิมของการเปิดเสรี แบบ Neo-Liberalism
     
       โลกทุกวันนี้กำลังตั้งคำถามตัวโต ๆ กับการแปรรูปรัฐวิสาหกิจที่เราเคยเชื่อกันว่ามันคือหนทางแห่งความรุ่งเรือง ว่าที่แท้แล้วมันรุ่งเรืองหรือหายนะกันแน่ !!?
     
       นึกถึงเมื่อ 10 กว่าปีก่อนเมื่อครั้งวิกฤตต้มยำกุ้งปี 2539 ประเทศไทยยังเป็นสาวกที่ดีของฉันทามติวอชิงตันจึงก้มหน้าก้มตาแก้ปัญหาที่ เกิดขึ้นด้วยสูตรยาแรงของ IMF-ADB ตัดแบ่งประเทศให้เสือหิวตะวันตก ส่วนประเทศมาเลเซีย ไม่เดินตามแนวคิดครอบโลก เลือกใช้คำแนะนำของ ศ.พอล ครุกแมน นักเศรษฐศาสตร์ที่ยืนคนละฟากกับฉันทามติวอชิงตัน ที่สุดมาเลเซียก็ประคองตัวเองผ่านวิกฤตมาได้อย่างสวยงาม
     
       ถ้ายังจำได้ตอนนั้นคนที่เชื่อในแนวทางแบบกระแสหลักวิจารณ์ครุกแมนและ มาเลเซียอย่างรุนแรงจนกระทั่งเหตุการณ์เป็นตัวพิสูจน์ตัวมันเองว่าของเขาถูก เราต่างหากที่เป็นฝ่ายผิดเพราะไปเชื่อ IMF/ADB
     
       ศ.โจเซฟ สติกลิทซ์ เป็นผู้วิพากษ์แนวคิดการแปรรูปรัฐวิสาหกิจว่ามันคือการคดโกงที่ออกแบบมา เพื่อให้รัฐมนตรีในรัฐบาลกอบโกยผลประโยชน์ไปสูงสุด ดังนั้นการแปรรูปจึงไม่ใช่ผลประโยชน์ที่จะเกิดแก่รัฐ
       นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลคนนี้บอกว่าที่จะต้องห่วงมากที่สุดในการ แปรรูปรัฐวิสาหกิจก็คือการคอรัปชั่น การแปรรูปรัฐวิสาหกิจนั้นเลวร้ายยิ่งกว่าการโกงกินทีละเล็กทีละน้อยเพราะมัน คือการทุจริตขนาดใหญ่
     
       ศัพท์ที่สติกลิทช์ หยิบมาล้อ "Privatization" ก็คือ "Briberization"(การติดสินบน) ซึ่งคำ ๆ นี้กลายเป็นภาพด้านลบของการแปรรูปรัฐวิสาหกิจทั่วโลกไปแล้ว
     
       โลกเปลี่ยนไปแล้ว แต่สังคมไทยล่ะ..ยังศรัทธาและเชื่อมั่นต่อแนวทางแปรรูปรัฐวิสาหกิจตามก้นใครอยู่อีกหรือ ?
     
       ความคิดสำเร็จรูปของขุนนางพลังงาน
     
       ย้อนมาดูเมืองไทยของเราว่ามีอะไรเปลี่ยนไปเหมือนที่โลกเปลี่ยนบ้าง. สิ่งที่เห็นก็คือผู้ที่เกี่ยวข้องกับนโยบายแทบทุกระดับยังไม่ให้ความสนใจ หรือตั้งคำถามต่อผลลัพธ์ที่ได้จากการแปรรูปรัฐวิสาหกิจในช่วงที่ผ่านมาว่า ให้ผลลัพธ์ตามที่คาดหวังหรือไม่แค่ไหนอย่างไร ?
     
       สำหรับวงการพลังงาน-ดูเหมือนว่าแนวคิดหลักที่ครอบงำฝ่ายนโยบาย ฝ่ายการเมือง ข้าราชการและผู้เกี่ยวข้องเหมือนจะไม่เปลี่ยนแปลงไปจากที่เคยเป็นมา
     
       พอมีคนวิจารณ์ว่าทำไมประเทศไทยขุดก๊าซขุดน้ำมันได้เองแล้วราคาขายยัง แพงอยู่ ? ก็จะมีผู้ออกมาอธิบายความด้วยชุดคำแบบสูตรสำเร็จทำนองว่า
     
       1.ประเทศไทยยังต้องนำเข้าน้ำมันเป็นประเทศผู้บริโภคไม่ใช่ประเทศผู้ผลิต
     
       2.ไทยยังต้องอิงราคาขาย ณ โรงกลั่นสิงคโปร์เพราะเรานำเข้าน้ำมันมากลั่นและต้องส่งออกขายแข่งกับต่างประเทศ
     
       3.ไม่ควรลดราคาขายในประเทศเพราะเดี๋ยวประชาชนจะใช้เยอะ ไม่ประหยัดพลังงาน
     
       4.ประเทศไทยยังต้องพึ่งการเข้ามาลงทุนขุดเจาะจากบริษัทต่างประเทศ ยังต้องมีเงื่อนไขที่ดึงดูดการลงทุนมิฉะนั้นบริษัทต่างชาติจะไปลงทุนประเทศ เพื่อนบ้าน เราจะไม่มีรายได้ ดังนั้นอย่าคิดหวังจะให้ขอผลประโยชน์เพิ่มให้กับชุมชนหรือประชาชน
     
       5.เราเก็บรายได้ภาษีและค่าภาคหลวงเหมาะสมแล้ว เพราะที่ไหน ๆ ก็คิดแบบนี้ จะโหดเกินมาตรฐานไม่ได้เพราะเดี๋ยวจะไม่มีคนลงทุน
     
       6. และ ฯลฯ.......................
     
       ชุดความคิดที่เป็นกระแสหลักของวงการพลังงานไทยในทำนองนี้ปรากฏออกมา ให้เห็นในหลายรูปแบบเพื่อตอบโต้ผู้วิพากษ์วิจารณ์และเสียงเรียกร้องจากผู้ บริโภค
     
       ดังนั้นผู้บริโภคน้ำมันในประเทศไทย จึงต้องอยู่ใต้โครงสร้างตลาดน้ำมันที่พิลึกพิลั่น ประกาศกับโลกว่าเป็นตลาดเสรีแต่ไม่มีการแข่งขัน แล้วกำหนดราคาขายผูกกับราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์เพื่อจะได้บวกค่าใช้จ่าย จิปาถะเพิ่มเข้าไปขายให้กับผู้บริโภคคนไทยทั้ง ๆ ที่น้ำมันดิบบางส่วนก็มาจาก อ่าวไทยของเราเองไม่ต้องบวกค่าเดินทางขนส่งอะไรแต่บริษัทน้ำมันก็ยังบวกเข้า ไป
     
       ตัวชี้วัดตลาดไม่เสรี-ราคากดขี่คนไทย ?
     
       หากตลาดน้ำมันเสรีจริง จะต้องมีการแข่งขันระหว่างโรงกลั่น-บริษัทน้ำมันซึ่งจะส่งผลให้ราคาขายหน้า ปั๊มแตกต่างกัน แต่ข้อเท็จจริงก็คือ ราคาขายหน้าปั๊มไม่ต่างกัน ไม่ได้สู้กันเรื่องราคาจริง ทั้งนี้เป็นเหตุมาจากปตท. ถือหุ้นในโรงกลั่นใหญ่ 5 โรงจากจำนวน 7 โรงของประเทศไทย แม้ว่าปตท.จะอ้างว่ามีบางโรงที่ถือหุ้นไม่มากไม่ได้ครอบงำกิจการหรือผูกขาด กิจการ แต่ในทางปฏิบัติโรงกลั่นใหญ่ 5 โรงร่วมมือกันกำหนดราคาในประเทศไปแล้ว
     
       แท้จริงแล้วต้นทุนราคาน้ำมันที่โรงกลั่นในไทยผลิตได้ถูกกว่าราคา FOB สิงคโปร์ ผู้เกี่ยวข้องในวงการน้ำมันอ้างว่าเราต้องอิงราคาหน้าโรงกลั่นสิงคโปร์เพราะ เอาไว้อ้างอิงเพื่อการส่งออก นำเข้า และแข่งขันกับตลาดโลก
     
       ราคาต้นทุนน้ำมันที่โรงกลั่นในไทยผลิตได้มาจากวัตถุดิบ 2 ส่วน ๆ แรกต้องนำเข้าน้ำมันดิบจากต่างประเทศเข้ามาซึ่งมักจะอ้างอิงราคาน้ำมัยดิบดู ไบ อีกส่วนหนึ่งมาจากอ่าวไทยเอง กำลังการผลิตของ 7 โรงกลั่นในไทยล้นความต้องการภายในประเทศ ดังนั้นจึงต้องส่งออกน้ำมันสำเร็จรูปที่กลั่นแล้วออกไปต่างประเทศ และประเทศไทยก็ได้ค่ากลั่นเป็นกำไร
     
       ราคาน้ำมันที่ส่งไปขายต่างประเทศต้องอิงราคา FOB สิงคโปร์ ถามว่าเหตุใดคนไทยต้องมาแบกรับค่าใช้จ่ายจิปาถะที่ไม่ได้เกิดขึ้นจริง
     
      

     
       นั่นเพราะว่าน้ำมันดิบส่วนหนึ่งมาจากอ่าวไทยของเราเอง นำมาผลิตในโรงกลั่นประเทศไทยซึ่งเมื่อผลิตออกมาแล้วมีต้นทุนที่ถูกกว่า FOB สิงคโปร์อย่างแน่นอนเพราะน้ำมันบ้านเราเหลือต้องส่งออกไปขายต่างประเทศ การส่งออกไปขายต่างประเทศต้องทำราคาให้แข่งขันได้
     
       แต่การที่เราไปอิงราคาสิงคโปร์ดังกล่าวเป็นช่องทางให้บริษัทน้ำมัน บวกค่าใช้จ่ายจิปาถะเสมือนมีการขนส่งจริงจากสิงคโปร์มาไทย (ทั้งที่ข้อเท็จจริงไม่มีการขนส่ง) แล้วกลายเป็นราคาขายปลีกในไทย
       ราคาขายปลีกในไทยจึงเป็นราคาที่บวกเพิ่มจาก FOB สิงคโปร์ โดยโรงกลั่นและบริษัทน้ำมันได้กำไรจากส่วนต่างดังกล่าวในจำนวนมากกว่าที่ควร จะได้
     
       หากมีการแข่งขันระหว่างโรงกลั่นจริง น้ำมันขายปลีกอาจจะลดลงมา แต่ปรากฏว่าในเมื่อไม่มีการแข่งขันจริง ดังนั้นราคาน้ำมันที่ขายคนไทยจึงพิลึกพิลั่นในนามของตลาดเสรี
     
       จริงอยู่ที่เมื่อ 2 ทศวรรษก่อนประเทศไทยเป็นประเทศผู้บริโภคน้ำมันที่ไม่มีวัตถุดิบของตนเอง ในยุคนั้นเทคโนโลยีการขุดเจาะยังไม่ทันสมัยและบริษัทยักษ์ใหญ่ต่างมุ่งไปที่ แหล่งน้ำมันขนาดยักษ์ของโลก ทำให้เราต้องพึ่งพาการลงทุนและเทคโนโลยีต่างชาติ
     
       แต่โลกวันนี้มันเปลี่ยนไปมากมาย
     
       ประเทศไทยก็ยังคงยึดคำอธิบายแบบเดิม ๆ ว่าเรามีมาตรการที่เหมาะสมแล้วกับการเก็บภาษีน้ำมัน
     
       เมื่อมีผู้ยกตัวอย่างประเทศซ้ายจัดอย่างเวเนซูเอล่าที่ประธานาธิดีฮู โก้ ชาเวซต่อรองผลประโยชน์กับบริษัทน้ำมันใหม่ให้รัฐได้ประโยชน์เต็มเม็ดเต็ม หน่วยก็จะมีคนแก้ตัวให้แทนว่าเป็นกรณีเฉพาะแต่สำหรับเมืองไทยยังต้องแข่งขัน กับเพื่อนบ้าน ถ้าเก็บมากไปจะไม่มีคนมาลงทุนเขาจะไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านหมด
     
       แท้จริงแล้วการแบ่งผลประโยชน์ขุดเจาะน้ำมันให้รัฐ 70-80% ไม่ใช่เป็นเรื่องที่เป็นไปไม่ได้สำหรับโลกยุคใหม่ ข่าวเล็ก ๆ ชิ้นหนึ่งเมื่อ 4 เดือนก่อนรายงานว่า บริษัทเปโตรนาสของมาเลเซียเพื่อนบ้านเราเข้าไปลงทุนขุดเจาะน้ำมันในเวเนซู เอลา Petronas enters into major oil venture in Venezuela แต่ก็น่าแปลกที่ประเทศไทยยังคงมีคนท่องคาถาว่าจะต้องเก็บภาษีจากบริษัทต่าง ชาติให้เป็นมาตรฐานเดียวกับเพื่อนบ้านมิฉะนั้นจะไม่มีคนมาลงทุนอยู่ต่อไป เช่นเดิม
     
       หรือแม้แต่ประเทศอเมริกาเองก็เหมือนกัน รัฐคาลิฟอเนียเคลื่อนไหวขอขึ้นภาษีขุดจาะน้ำมันในส่วนของรัฐเมื่อปีที่แล้ว แม้กระทั่งวุฒิสมาชิกก็ยังเคลื่อนไหวเรื่องนี้กับเขาด้วย ซึ่งจะเป็นผลให้ภาษีน้ำมันของคาลิฟอร์เนีย สูงสุดในบรรดารัฐผู้ผลิตน้ำมัน แต่เขาก็ยังจะขึ้นโดยไม่เห็นจะกลัวว่าไม่มีนักลงทุนเข้าในรัฐของเขาต่อไป
     
       วงการน้ำมันโลกในศตวรรษใหม่ดูไปแล้วคล้าย ๆ กับวงจรชีวิตของฉันทามติวอชิงตันนั่นก็คือเป็นยุคขาลงและมีผู้รู้ทันกับแนว คิดกระแสหลักดั้งเดิมมากขึ้น ๆ เรื่อย ๆ เปโตรนาสของมาเลเซียเพื่อนบ้านเราเป็นบรรษัทน้ำมันของรัฐที่สามารถทำให้ราคา ขายปลีกในประเทศต่ำพอจะบริการประชาชนได้โดยไม่ติดข้อปัญหาว่า “ถ้าน้ำมันถูกคนจะไม่ประหยัด” และเชื่อไหมว่าวงการน้ำมันโลกยกให้เปรโตนาสกลายเป็น 1 ใน 7 กิจการน้ำมันในทศวรรษใหม่ที่จะขึ้นมาท้าทาย 7 ยักษ์โลกตะวันตกเดิม
     
       กิจการน้ำมันน้องใหม่มาแรงถูกขนานนามว่า “The new seven sisters” ที่กำลังถูกจับตามองว่า อาจสร้างการเปลี่ยนแปลงในขั้วอำนาจพลังงานโลกของศตวรรษนี้ เพราะนอกจากจะควบคุมการผลิตน้ำมันและก๊าซธรรมชาติไว้เกือบ 1 ใน 3 ของปริมาณทั่วโลกแล้ว ยังครอบครองแหล่งพลังงานทั้งที่สำรวจมากกว่า 1 ใน 3 ของแหล่งพลังงานทั่วโลก ประกอบด้วย ซาอุดี อะรัมโก ของซาอุดีอาระเบีย ,กาซปรอม ของรัสเซีย ,ซีเอ็นพีซี ของจีน ,เอ็นไอโอซี ของอิหร่าน ,พีดีวีเอสเอ ของเวเนซุเอลา ,เปโตรบราส ของบราซิล และเปโตรนาส ของมาเลเซีย
     
       บริษัทเหล่านี้กำลังจะเป็นหัวขบวนการเปลี่ยนแปลงชุดความคิดกระแสหลัก ที่ครอบงำวงจรพลังงานโลกอยู่ ... นี่เป็นความเปลี่ยนแปลงระดับโลกที่ใกล้ตัวคนไทยยิ่ง เพราะประเทศไทยอยู่ในตำแหน่งภูมิรัฐศาสตร์การพลังงานที่สำคัญจุดหนึ่งของ เอเชีย
     
       กิจการพลังงานเป็นส่วนหนึ่งของความมั่นคงและปัญหารัฐศาสตร์ชาติ แทบทุกประเทศในโลกไม่ว่าชาติมหาอำนาจหรือด้อยพัฒนาต่างถือว่ากิจการพลังงาน คือกิจกรรมที่เกี่ยวกับการปกป้องผลประโยชน์ชาติและประชาชน คำถามตัวโตย้อนกลับมาถามคนไทยว่า กิจการด้านพลังงานของไทยนั้นเป็นไปตามสิ่งที่ว่าหรือเพื่อประโยชน์ของคน กลุ่มใดกันแน่
     
       *การแปรรูปปตท. เมื่อปี 2544 เป็นไปเพื่อผลประโยชน์ชาติและประชาชนหรือผลประโยชน์ใคร ?
     
       *ผลประโยชน์ที่ประเทศชาติได้จากกิจการขุดเจาะน้ำมันสมน้ำสมเนื้อและ สมกับการเปลี่ยนแปลงแนวคิดเรื่องการพลังงานของโลกแล้วหรือยัง ?
     
       *การควบคุมการขุดเจาะและผลิตพลังงานมีช่องโหว่ รูรั่ว หรือเหมาะสมดีแล้วอย่างไร เรื่องนี้คนท้องถิ่นจังหวัดสงขลาซึ่งเป็นพื้นที่แรก ๆ ที่รู้จักแท่นขุดเจาะในอ่าวไทยทราบกันดีว่า แท่นขุดเจาะบางแห่งนำน้ำมันลงเรือขนส่งโดยไม่มีหลักประกันใดเลยว่าน้ำมันดิบ ดังกล่าวเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางใด เป็นการเดินทางโดยถูกต้องหรือลักลอบไม่จ่ายภาษีและค่าภาคหลวงหรือไม่อย่างไร ? แม้กระทั่งพนักงานคนไทยเองก็ยังไม่เคยล่วงรู้เรื่องราวเหล่านี้เลย ขณะที่หน่วยงานควบคุมอย่างเช่น ตำรวจน้ำ ทหารเรือ มีส่วนในการควบคุมดูแลเรื่องเหล่านี้มากน้อยเพียงไร ?
     
       *การเปิดให้สัมปทาน การต่ออายุสัญญาสัมปทาน มีความผิดปกติหรือไม่อย่างไร ? ระบบการเปิดเผยข้อมูลต่อสาธารณะทันการณ์หรือไม่ ? จริงหรือไม่ที่ขุนนางพลังงานยุครัฐบาลพล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ ปล่อยผีบริษัทขุดเจาะน้ำมันล็อตใหญ่และต่ออายุสัญญาสัมปทานแบบผิดปกติ
     
       *ระบบการตรวจสอบของรัฐบาลไทยมีประสิทธิภาพเพียงใดเพื่อพิสูจน์ทราบ ว่า บริษัทเอกชนที่เข้ามาทำมาหากินในแปลงสัมปทานของไทยเป็นกิจการบังหน้าของ ทุนกลุ่มใด หรือประเทศใด หรือมองแค่เพียงขอให้จดทะเบียนถูกต้องก็เข้ามาทำมาหากินได้ โดยไม่ได้มองมิติด้านความมั่นคงมาประกอบการพิจารณา
     
       *นโยบายของบริษัทน้ำมัน ไม่ว่าปตท. หรือบริษัทต่างชาติที่มีต่อสังคมและท้องถิ่น การตอบแทนต่อท้องถิ่นเพียงพอเหมาะสมแล้วหรือยัง ?
     
       *นโยบายพลังงานที่ยังเอาเปรียบประชาชน และผู้บริโภค ให้ประโยชน์บริษัทเอกชนและพวกพ้องจะต้องได้รับการแก้ไขเช่นไร โดยใคร?
     
       *ที่สุดแล้วก็มาถึงคำถามต่อนโยบายการพลังงานของประเทศว่ายืนอยู่บนผล ประโยชน์ของชาติและประชาชนแล้วจริงหรือ ? จะทำให้การพลังงานเป็นหัวหอกของความจำเริญงอกงามโชติช่วงชัชวาลดั่งที่คน รุ่นก่อนวาดฝันแล้วได้จริงหรือไม่ ?
     
       คำถามเหล่านี้เป็นเรื่องสาธารณะที่ประชาชนคนไทยทุกคนสามารถตั้งขึ้น และควรจะมีช่องทางในการมีส่วนต่อกิจการที่ใกล้ตัวที่สุดอีกอย่างหนึ่ง
     
       กิจการด้านพลังงานเป็นเรื่องผลประโยชน์โดยรวมของชาติ เป็นเรื่องความมั่นคงและการช่วงชิงระดับโลก เป็นผลประโยชน์ที่ตีเป็นตัวเงินมหาศาล เป็นกิจกรรมที่ยืนอยู่บนทรัพยากรส่วนรวมของคนในชาติ และเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิตประชาชนแต่ละคนโดยตรง
     
       เรื่องเหล่านี้เป็นเรื่องที่ประชาชนคนทั่วไปควรรับรู้ วิจารณ์ เสนอแนะ แสดงความเห็นได้ใช่หรือไม่ ?
     
       ถ้าใครคิดว่าไม่ใช่...ขอให้กลับไปคิดใหม่ !!!!

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง