บล็อกนี้เป็นเพียงช่องทางรวบรวมข้อมูลข่าวสารจากที่ต่างๆ ผู้จัดทำไม่ได้มีเจตนาบิดเบือนข้อมูลข่าวสารหรือต้องการให้ร้าย องกรณ์ หน่วยงานและบุคคลใดๆทั้งสิ้น+++++ หากบทความใดผิดพลาดหรือกระทบต่อ องกรณ์ หน่วยงาน หรือบุคคลใด ผู้จัดทำก็กราบขออภัยไว้ล่วงหน้า +++++ ผู้อ่านท่านใดมีข้อมูลหักล้าง ชี้แนะ หรือมีความเห็นใดๆเพิ่มเติมก็ขอความกรุณาแสดงความเห็นเพื่อให้เป็นความรู้สำหรับผู้อ่านท่านต่อๆไปได้ตามแต่จะเห็นสมควร ------------- ขอขอบคุณเจ้าของบทความทุกๆท่านมา ณ. ที่นี้ด้วยครับ *******ช.ช้าง *******

วันจันทร์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2554

ทวงสัญญาประชานิยม "หลอกว่าจะให้"

นโยบายประชานิยม "ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ" กำลังถูกจับจ้องว่าจะนำพาไทยสู่ความรุ่งเรืองหรือวิกฤต
       ASTVผู้จัดการออนไลน์ - คำสัญญาหลอกว่าจะห้กลายเป็นบ่วงรัดคอเพื่อไทย พิสูจน์น้ำยาประชานิยมสินค้าเก่ารีแบรนด์หม่ หากทำไม่ได้กระแสตีกลับถูกเหยียดหยันดีแต่พูดไม่ต่างประชาธิปัตย์แน่ ผู้ช้แรงงานทวงค่าแรงขั้นต่ำวันละ 300 บาท บัณฑิตหม่ฝ ันเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท นักเรียนทุกคนรอแจกคอมพิวเตอร์ เกษตรกรตั้งตาคอยพักหนี้ รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคล คืนภาษีผู้ซื้อบ้านซื้อรถ ลดราคาน้ำมัน เพิ่มเบี้ยผู้สูงอายุหัวละพัน รับจำนำข้าวตันละ 15,000 บาท ขณะที่เสียงค้านเริ่มดัง ห่วงช้จ่ายเกินตัวเกิดวิกฤตเศรษฐกิจพาชาติล่มจม
      
       การเลือกตั้งเมื่อ 3 ก.ค. 54 ที่ผ่านมา ทุกพรรคการเมืองต่างแข่งขันกันหาเสียงด้วยนโยบายประชานิยม ชัยชนะของพรรคเพื่อไทยเจ้าตำหรับประชานิยมก็ได้มาด้วยคำสัญญาต่างๆ นาๆ เช่นเดียวกัน ดังนั้น ภารกิจสำคัญของเพื่อไทยหลังชัยชนะจึงไม่ช่แค่เรื่องการนิรโทษกรรม ทักษิณ ชินวัตร ที่แอบซ่อนไว้เบื้องหลังเท่านั้น แต่ยังต้องทำห้คำสัญญา “หลอกว่าจะห้” เป็นจริงห้ได้ด้วยเพื่อรักษาคะแนนนิยมไม่ห้มวลชนรากหญ้ารู้ว่าดีแต่คุยโม้โอ้อวดไม่ต่างจากประชาธิปัตย์
      
       แต่นทางกลับกันก็มีเสียงแสดงความห่วงยหากเพื่อไทยทำตามคำสัญญาหลอกว่าจะห้ได้ จริง ก็เท่ากับว่า ว่าที่นายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของไทย นำพาประเทศเดินเข้าสู่กับดักวิกฤตเศรษฐกิจสร้างประวัติศาสตร์ซ้ำรอย เพราะรัฐบาลจะต้องกู้เงินจำนวนมหาศาลมาทุ่มเทห้กับโครงการลดแลกแจกแถมตามที่สัญญาเอาไว้
      
       ย้อนกลับมาดูกันว่า คำสัญญาหลอกว่าจะห้ หลอกว่าจะทำนั้น ต้องช้เม็ดเงินมหาศาลขนาดไหน ซึ่งก่อนนี้มีนักวิชาการ ผู้เชี่ยวชาญด้านการเงินการคลัง ออกมาห้ข้อมูลเผยแพร่ตามสื่อต่างๆ โดยประเมินกันว่านโยบายประชานิยมลดแลกแจกแถมของเพื่อไทยนั้นจะต้องช้เงิน เพิ่มประมาณ 1 ล้านล้านบาท ถ้ารวมกับโครงการลงทุนต่างๆ เช่น รถไฟฟ้า รถไฟความเร็วสูง ระบบน้ำ ฯลฯ ประมาณ 3 ล้านล้านบาท รวมๆ แล้วเม็ดเงินที่จะช้จ่ายเพิ่มสูงถึงประมาณ 4 ล้านล้านบาท
      
       สำหรับโครงการตามนโยบายที่เพื่อไทยหาเสียง ซึ่งจะต้องหาเงินส่ลงไป มีดังนี้
      
       1.องค์การปกครองส่วนท้องถิ่นได้รับเงินเพิ่ม 25%
       2.เพิ่มทุนกองทุนหมู่บ้านๆ ละ 1 ล้านบาท 80,000 หมู่บ้าน ประมาณ 80,000 ล้านบาท
       3.พักหนี้เกษตรกร ไม่เกิน 500,000 บาท 5 ปี และหนี้ไม่เกิน 5 ล้านบาท ยืดหนี้ 10 ปี ประมาณ 20,000 ล้านบาท
       4.รีไฟแนนซ์หนี้ส่วนบุคคลไม่เกิน 500,000 บาท ไม่น้อยกว่า 3 ปี และปรับโครงสร้างหนี้ผู้ที่มีหนี้เกิน 500,000 บาท แต่ไม่เกิน 1 ล้านบาท ประมาณ 10,000 ล้านบาท
      
       5.ลดภาษีนิติบุคคลจาก 30% เหลือ 23% รัฐสูญเสียรายได้ ประมาณ 98,000 ล้านบาท (1% ของภาษีที่ลดลงเท่ากับ 14,000 ล้านบาท)
       6.ปรับเงินเดือนห้ข้าราชการและพนักงานรัฐวิสาหกิจ
       7.จบปริญญาตรีเงินเดือนเริ่มต้น 15,000 บาท หากคำนวณจากจำนวนบัณฑิตจบหม่ต่อปี 400,000 คน ฐานเงินเดือนปัจจุบัน 10,500 บาท ต้องช้เงินประมาณ 700 ล้านบาท
       8.คืนภาษีและเพิ่มค่าลดหย่อนภาษีห้กับผู้ซื้อบ้านหลังแรก คืนภาษีห้ผู้ซื้อรถคันแรก
       9.ตั้งกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีเฉลี่ยจังหวัดละ 100 ล้านบาท รวม 77 จังหวัด ประมาณ 7,700 ล้านบาท
       10.เบี้ยเพื่อไทยวัยสูงอายุ เฉลี่ย 600 - 1,000 บาทต่อเดือน ประมาณ 4,200 - 7,000 ล้านบาท
      
       11.คอมพิวเตอร์แท็บเล็ตแจกนักเรียนทุกคนทั้งประเทศ ประมาณ 80,000 - 100,000 ล้านบาท
       12.โครงการรับจำนำข้าว ผลผลิตข้าวนแต่ละปีประมาณ 30 ล้านตันๆ ละ 15,000 ประมาณ 400,000 ล้านบาท
       13.บัตรเครดิตชาวนา เกษตรกรมี 5.8 ล้านครัวเรือน ต้องการสินเชื่อ 30,000 บาทต่อฤดูกาลผลิต ตกประมาณ 174,000 ล้านบาท
       14.โครงการ 30 บาทรักษาทุกโรค ประมาณ 130,000 ล้านบาท
       15.โครงการรถไฟฟ้า 10 สายรอบกรุงเทพฯและปริมณฑล ประมาณ 250,000 ล้านบาท
      
       16.โครงการรถไฟรางคู่เชื่อมต่อบริเวณชานเมืองกรุงเทพฯ
       17.โครงการรถไฟความเร็วสูงไปนครราชสีมา ระยอง จันทบุรี ประมาณ 78,000 ล้านบาท
       18.โครงการขยายแอร์พอร์ตลิงค์ ไปพัทยา
       19.ภาคต้ทำแลนด์บริดจ์ ประมาณ 100,000 ล้านบาท
       20.สนามบินสุวรรณภูมิห้เป็นศูนย์กลางการบิน ประมาณ 73,000 ล้านบาท
      
       21.ชลประทานระบบท่อ 25 ลุ่มน้ำ ประมาณ 400,000 ล้านบาท
       22.ตั้งกองทุนร่วมทุนนมหาวิทยาลัยของรัฐและเอกชน เพื่อห้นักศึกษากู้ยืม 169 มหาวิทยาลัยๆ ละ 1,000 ล้านบาท ประมาณ 1.69 แสนล้านบาท
       23.ทำเขื่อนกั้นทะลไม่ห้น้ำท่วมกรุงเทพฯ 30กม.ช้เวลา 9 ปี ประมาณ 900,000 ล้านบาท หรือปีละ 1.8 แสนล้าน
       24.ค่าจ้างแรงงานขั้นต่ำวันละ 300 บาท
       25.ยกเลิกการจัดเก็บเงินเข้ากองทุนน้ำมันชั่วคราว เพื่อลดราคาน้ำมันเบนซินและดีเซล (แต่เพื่อไทยไม่ได้บอกว่าราคาก๊าซฯจะพุ่งสูงขึ้นเพราะไม่มีเงินอุดหนุนจาก กองทุนน้ำมันแล้วจะแก้ไขอย่างไร)
      
       หากพิจารณาโครงการและเม็ดเงินลงทุนข้างต้นแล้ว หลายฝ่ายจึงวิพากษ์วิจารณ์ว่าเป็นโครงการขายฝัน แต่ไม่น่าเชื่อว่าโครงการขายฝันนี้กลับขายได้ ประชาชนซื้อ ดังเช่นที่กลุ่มผู้ช้แรงงานเทคะแนนห้กับพรรคเพื่อไทย และขณะนี้พวกเขากำลังรอว่า เมื่อไหร่พรรคเพื่อไทยจะทำห้ค วามฝันของพวกเขาเป็นจริงเสียที ขณะที่นักเรียน นักศึกษา ข้าราชการ พนักงานรัฐวิสาหกิจ เกษตรกร ฯลฯ ต่างรอความหวังจากนโยบายขายฝันของเพื่อไทยถ้วนหน้า
      
       แต่ถ้าตื่นจากฝันหันมามองความจริง คำถามแรกที่ควรถามกลับก็คือ รัฐบาลยิ่งลักษณ์ จะเอาเงินจากที่ไหนมาส่เข้าไปนนโยบายขายฝันข้างต้น เพราะสำนักงานเศรษฐกิจการคลัง กระทรวงการคลัง ประเมินกรอบวงเงินงบประมาณรายจ่ายปี 2555 ที่จะเริ่มช้นวัน ที่ 1 ต.ค. 54- 30 ก.ย. 55 ตามมติครม.เมื่อวันที่ 28 มี.ค. 54 ว่า มีรายจ่ายอยู่ที่ 2,250,000ล้านบาท และมีรายรับ 1,900,000 ล้านบาท ขาดดุลงบประมาณ 350,000 ล้านบาท ซึ่งนจำนวน งบประมาณที่ขาดดุลนี้สามารถนำมาจัดสรรเป็นงบลงทุนตามนโยบายรัฐบาลได้เพียง 186,000ล้านบาทเท่านั้น ถ้าเช่นนั้น จะเอาเงินมาจากไหนนอกจากกู้หนี้ยืมสินเพื่อมาช้จ่าย
      
       การกู้หนี้สาธารณะ การทำงบประมาณขาดดุลอย่างต่อเนื่องเพื่อนำมาช้จ ่ายแบบเกินตัว ย่อมส่งผลต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ ยอดหนี้สาธารณะ ซึ่งปัจจุบันอยู่ที่ 41.28% ของจีดีพี มีแนวโน้มจะพุ่งทะยานขึ้น และหากทะลุ 60% ของจีดีพีเมื่อไหร่ก็หมายถึงหายนะของประเทศ แม้ว่า ว่าที่นายกฯ ยิ่งลักษณ์ จะบอกว่า การดำเนินการตามโครงการขายฝันจะไม่กระทบต่อฐานะการเงินการคลังของประเทศ แต่การพูดเช่นนั้นถือเป็นคำกล่าวอ้างที่เชื่อถือได้น้อย แม้ด้านหนึ่งจะหวังว่าโครงการประชานิยมจะกระตุ้นการช้จ่าย เพิ่มความต้องการซื้อ ทำห้เศรษฐกิจเฟื่องฟูรายได้หมุนเวียนกลับคืนสู่รัฐ ก็ตาม
      
       นอกเหนือไปจากนั้น สิ่งที่จะตามมากับประชานิยม ก็คือ สินค้าจะปรับราคาสูงขึ้น ค่าครองชีพพุ่ง เงินเฟ้อปรับตัวสูงขึ้นมโหฬาร
      
       ชัยชนะถล่มทลายของเพื่อไทย ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดการตัดสินจของคนไทยที่ยกประเทศห้ “ทักษิณคิด เพื่อไทยทำ” ครั้งนี้ กำลังนำไปสู่คำตอบสุดท้าย ประชาชนชาวไทยจะได้รู้กันอย่างสิ้นสงสัยเสียทีว่า แท้จริงแล้ว ทักษิณ ชินวัตร คือนักบุญหรือซาตานกันแน่

0 ความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

รีโมท ซื้อ รีโมท จากผู้ค้าส่งโดยตรง ที่มีหน้าร้านจริง ที่ บ้านหม้อ และ คลองถม ราคาถูกกว่าใคร ปลอดภัย มีรับประกัน

คนไทยกู้แผ่นดิน บนเฟชบุ๊ค

บทความย้อนหลัง